แด่เธอที่เล้ง
เข่งสะพานปลา
( 2/3 )
ผมตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ด้วยความรู้สึกปวดหัวจนเหมือนว่ามันจะระเบิด
พอดีกับที่แม่เคาะประตูห้อง ร้องเรียกจนกว่าผมจะยอมลุกไปเปิด ทันทีที่เห็นสภาพสะโหลสะเหลของลูกชายซึ่งอยู่ในชุดเดียวกับที่ใส่ออกไปจากบ้านเมื่อคืน แม่ของผมก็แทบลมจับ จากชุดและผมที่ใส่ พ่อและแม่ของผมคงแต่งตัวเสร็จ เตรียมจะออกไปร่วมงานแต่งช่วงเช้าของไอ้เล้งแล้ว
“ตายแล้วธี! กลิ่นเหล้าหึ่งเลย แล้วนี่เพิ่งตื่นหรือยังไง”
ผมขมวดคิ้ว ก็ตื่นตามเวลาที่นาฬิกามันร้องปลุกนั่นแหละ แต่พอหันไปดูนาฬิกาแขวนบนผนังห้องแล้วเห็นว่าตอนนี้เข็มสั้นชี้ที่เลขเจ็ด หาใช่เลขหกอย่างที่ได้ตั้งไว้ ความทรงจำอันเลือนลางว่าตัวเองตื่นมากดปิดเสียงปลุกแล้วนอนต่อก็พลันชัดเจนขึ้นมา ปกติผมไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบหรือว่าไม่ตรงต่อเวลา แต่เมื่อคืนผมเมามาก เมาชนิดที่ไม่สนใจแล้วว่าวันนี้จะต้องไปไหนกับครอบครัวตั้งแต่เช้า
“ผมไม่ไปพิธีเช้าได้ไหมแม่ ค่อยไปงานเลี้ยงตอนเย็นทีเดียว”
“ได้ยังไง ก็บ้านเรารับปากอึ้มเขาแล้วว่าจะไป ถ้าผู้ใหญ่ไม่เห็นธีในงานมันจะน่าเกลียด”
เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าจะมีใครสังเกตว่าผมไปหรือไม่ไปหรอก เอาแค่บรรดาญาติโกโหติกาของทางนั้นก็แทบจะล้นบ้านแล้ว ไหนจะญาติฝ่ายหญิงอีก พิธีแต่งงานช่วงเช้าส่วนใหญ่ก็เป็นการกราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บรรพบุรุษ ดื่มน้ำชา และกินเลี้ยงมือกลางวันกันตามธรรมเนียม ไอ้เพื่อนรุ่นๆ เดียวกันกับผมส่วนใหญ่ก็ไปร่วมงานกันอีกทีตอนเย็นทั้งนั้น
แต่เห็นสายตาที่แม่มองมา ผมไม่คิดว่าจะปฏิเสธอะไรได้ เลยพยักหน้ารับแล้วปิดประตู รีบจัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วน้อยกว่าปกติครึ่งหนึ่ง
เมื่อลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นป๊านั่งจิบกาแฟดำ อ่านหนังสือพิมพ์ระหว่างรอคนชักช้าอย่างผม ส่วนแม่เช็กเงินใส่ซองเป็นรอบที่สาม ไม่มั่นใจว่ามันน้อยไปหรือเปล่า โธ่ นั่นก็ตั้งหลายพันแล้ว ผมอยากบอกแม่ แต่ก็เงียบและปล่อยให้ป๊าเป็นคนออกความเห็นจะดีกว่า
“ไปเร็ว สายแล้ว ป่านนี้พิธีเริ่มแล้ว” เมื่อเห็นผม แม่ก็รีบเก็บกระเป๋า เก็บแก้วกาแฟป๊าไปวางทิ้งในซิงค์ล้างจานแล้วเร่งทุกคนในบ้านให้รักษาเวลา เราเดินไป
ใช่ครับ ไม่ผิดหรอกที่เราเดินไปร่วมงานแต่งงานบ้านเล้ง ความใกล้ก็แค่ผมเคยเดินไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูได้ทุกวัน ไอ้ครั้นจะให้ขับรถไปก็คงเวอร์วังอลังการ เหลือที่จอดไว้ให้คนที่เขามาไกลกว่าเราน่าจะดีกว่า
งานแต่งของเล้งจัดในตัวบ้านของมัน โต๊ะเก้าอี้ที่เคยเป็นหน้าร้านถูกดันติดผนัง ซ้อนกันเท่าที่จะพอทำได้เพื่ออำนวยพื้นที่ อย่างที่ผมคิดคือมีญาติโกโหติกามาร่วมงานกันมากมาย ทั้งญาติจากฝั่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ภาษาจีนแต้ติ๋วปะปนไปกับภาษาไทยฟังเซ็งแซ่ไปหมด ทว่าผมไม่เห็นเล้งเลย ไม่คุ้นเคยกับงานแต่งแบบจีนมากนักจนไม่รู้ว่าจะมองหาบ่าวสาวได้จากที่ใด
และเมื่อพูดถึงเล้ง แน่นอนว่าผมจะต้องร้อนวูบวาบในอก ที่ริมฝีปากพลันรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็จะให้ไม่แปลกได้อย่างไร ในเมื่อคืนที่ผ่านมานี้มันเพิ่งจะ -- เอ่อ...
จูบผม พูดแล้วก็กระดากปากอย่างไรพิกล แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ มันทำสิ่งที่ไม่สมควร อาจด้วยเพราะความเมาและเห็นปมเป็นว่าที่เจ้าสาวของมันกระมัง นี่ดูจะเข้าเค้าที่สุด ช่วยให้ผมไม่ต้องคิดอะไรมากจนกว่ามันจะปรากฏตัวในพิธีเช้าวันนี้
“คงจะไปรับเจ้าสาวอยู่น่ะซี” แม่ของผมพูดขึ้น ถึงแม้สายตาจะหันไปทางป๊า แต่ก็ราวกับท่านรู้ข้อสงสัยในใจผมทะลุปรุโปร่ง
ผมไม่ค่อยเข้าใจพิธีแบบจีนจริงๆ จึงเอ่ยปากถามแม่ “เขาไม่ได้แต่งตัวกันที่นี่หรือครับ”
“ก็ต้องเป็นบ้านเจ้าสาวสิ เจ้าบ่าวเขาจะไปรับออกจากบ้านมาที่นี่ เป็นพิธี”
“รับมาเข้าห้องหอ” ป๊าเสริม ผมแทบสำลักน้ำลายพรวด เห็นหน้าตางงๆ อย่างนี้แล้ว คนจีนโดยสายเลือดอย่างป๊าก็เลยอธิบายต่อ “คล้ายๆ พิธีแบบไทยที่ยกขันหมากไปสู่ขอนั่นแหละ แต่คนจีนเขาต้องรับมาบ้านเจ้าบ่าว มาทำพิธีต่อที่นี่ เข้าห้องหอก็พอเป็นพิธี จะให้จัดเต็มๆ แบบของแท้ก็ต้องกินเวลาไปสองสามวันนู่น เดี๋ยวนี้เขาจัดสั้นๆ กันแล้ว”
ก็ว่าน่ะซี ไอ้เรื่องเข้าห้องหอกลางวันแสกๆ นี่ทำเอาผมตกใจน่าดู ก็ตอนค่ำยังมีงานเลี้ยงแบบสากลจัดต่ออีก ระหว่างนั้นจะให้เอาจริงเลยก็คงน่าขัดเขินอย่างไรพิกล
ผมทำเป็นเข้าใจ เคยไปร่วมงานแต่งเพื่อนก็สามสี่ครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะไปเฉพาะงานกลางคืนเสียมากกว่า ฉะนั้นเรื่องพิธีกงพิธีการอะไรนี่ก็ไกลตัวผมพอดู
ผมดื่มน้ำชาและของว่างมงคลแทนมื้อเช้า ใจนึกอยากได้กาแฟสักแก้วมากกว่า มองไปรอบๆ เจอแต่สีแดง ทำให้หิวพิกล
หากเสียงรถที่เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเลียบถนนหน้าบ้านก็เรียกความสนใจผมได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในงาน มีแค่คันหน้าสุดที่ห้อยโบสีแดงสดนำขบวนมา ส่วนอีกสองคันหลังปกติ ผมมองดูคนแรกที่ลงมาจากประตูหน้าของคันที่เด่นที่สุด เป็นชายวัยรุ่น อาจจะอ่อนกว่าผมนิดหน่อย เขาสวมชุดสูทสุภาพเรียบร้อย ในมือมีตะเกียงไฟฟ้าทรงโบราณถือติดมือมาด้วย ไม่นานนักบ่าวสาวก็พยุงกันลงมาทางประตูซีกหลัง ตามด้วยคนในรถคันอื่นๆ อันประกอบด้วยพ่อแม่ฝ่ายสาว ญาติสำคัญสองสามคน แล้วก็แม่สื่อที่ฝั่งเจ้าบ่าวส่งไปเจรจา
ตอนที่เราบังเอิญสบตากันนั้น เล้งผงะ แต่กริบสายตาของผมก็ถูกบังด้วยช่างภาพที่รีบรุดเข้ามาเก็บตอนสำคัญ เมื่อตรงหน้าของปมปลอดโปร่งอีกครั้ง สายตาของเล้งก็มุ่งมองไปยังทางข้างหน้า ซึ่งก็คือโต๊ะที่มีผลไม้และของมงคลตั้งเตรียมไหว้เสียแล้ว
มันแย่ที่ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก ไม่รู้แม้กระทั่งเหตุผลของอารมณ์ที่เกิดขึ้น แวบหนึ่งในใจกันเผลอคิดขึ้นมาว่าจากนี้เพื่อนสมัยเด็กที่แสนน่ารำคาญคงไม่แวะเวียนมาวุ่นวายวันหยุดของผมอีกแล้ว
ผมควรจะดีใจ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
ยิ่งเมื่อรสจูบคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอลล์เมื่อคืนนี้เข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้ผมจนหลุดจมไปกับความรู้สึกบางอย่าง
“ธี อาหารไม่อร่อยหรือ”
ป๊าถามผม ตอนนี้ครอบครัวของเรานั่งอยู่ท่ามกลางอาหารภัตตาคารหลากหลายที่อาอึ้มแกจ้างมาลง มีทั้งหูฉลาม ผัดหมี่ซั่ว กระเพาะปลา กุ้งทอดกระเทียม และอีกหลายอย่างที่ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงคีบกินจนพร่องไปครึ่งโต๊ะแล้ว
“เปล่าป๊า ผมไม่ค่อยหิวอะ”
“เมาค้างหรือ” คราวนี้แม่ถาม แถมยังตั้งท่าจะหันไปบ่นยาวเหยียดให้เพื่อนบ้านที่นั่งร่วมโต๊ะกับเราฟัง “วัยรุ่นสมัยนี้นี่ยังไง ต้องมีเลี้ยงสละโสด ทำอย่างกับแค่งงานเป็นเรื่องไม่ดีอย่างนั้นแหละ”
ทั้งโต๊ะหัวเราะครืน ครอบครัวป้านิ่มร่วมสนทนาเรื่องนี้กับแม่ผมอย่างออกรส โดยมีป๊าหันมายิ้มแห้งๆ ราวกับว่าเข้าใจวิสัยผู้ชายกับผมอยู่สองคน แต่เวลานั้น ผมกำลังให้ความสนใจกับเล้งและหลี เจ้าสาวของมัน ทั้งคู่กำลังเดินสายถ่ายรูปกับแขกเหรื่อในช่วงเช้าทีละโต๊ะ กว่าจะมาถึงโต๊ะผมก็คงอีกสักพักกระมัง ผมหวังให้มันมองข้ามโต๊ะนี้ไปเสีย แต่ดูเหมือนเล้งจะไม่พยายามหลีกหนีผมสักเท่าไร
เพราะไม่กี่นาทีต่อมา เล้งกับหลีก็มาถึงโต๊ะของผม รับไหว้ป๊าและแม่ก่อนจะเดินอ้อมมาข้างหลังเพื่อให้ช่างภาพทำหน้าที่ มันวางมือลงบนพนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง ปลายนิ้วสัมผัสอยู่กับแผ่นหลัง นั่นทำให้ผมจำต้องขยับตัวนั่งหลังตรง หลบสัมผัสของมันทุกทางโดยไม่จำเป็น
เราสบตากัน ยิ่งเมื่อตอนที่เล้งย้ายฝั่งไปถ่ายรูปกับครอบครัวป้านิ่ม ผมก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่าดวงตาคู่นั้นมองมาคล้ายจะอยากสื่อสารอะไรกับผมสักอย่าง แต่ผมแน่ใจว่าเราไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันหรอก นอกจากคำขอโทษที่มันควรพูด
แต่อีกใจ ถ้าเล้งทำแค่ขอโทษขึ้นมาจริงๆ ผมก็ยังนึกอนาคตไม่ออกว่าตัวเองจะต้องรู้สึกอย่างไร
เอ้า! แล้วจะต้องรู้สึกอะไรล่ะวะผมด่าตัวเอง เขวี้ยงสูทจัสปาลลงบนเตียงแล้วทึ้งหัว ผมไม่ค่อยสติแตกบ่อยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องไอ้เล้ง ผมในตอนโตก็บังคับตัวเองว่าห้ามเอาใจไปวุ่นวายแทนมันอีก ผมคอยแก้ปัญหาให้มันตั้งแต่เด็ก ช่วยในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องช่วย ทำทุกอย่างจนกลายเป็นว่ามันติดผมแจ รอเป็นหมาเฝ้าบ้านอยู่ที่ถิ่นนี้
แล้วดูสิ่งที่มันตอบแทนผมซี มันทิ้งระเบิด --
ระเบิดลูกโตจนผมต้องละเมิดข้อห้ามตัวเองทุกอย่าง เผลอเอาใจไปฝักใฝ่ไอ้คนไม่ได้เรื่องอย่างนั้นอีกแล้ว!
สิ่งที่เล้งเป็นกวนใจผม ทำให้ผมหงุดหงิด ไม่ว่ามันจะอยู่หรือไปก็ตาม
คืนนั้นผมต้องเจอมันระลอกที่สอง โดยการไปร่วมงานเลี้ยงตอนกลางคืนตามความนิยมสากล คราวนี้ผมต้องเก็บอาการมากกว่าเดิมเพราะไม่ได้นั่งโต๊ะเดียวกับป๊าแม่แล้ว แต่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับก๊วนปาร์ตี้สละโสดเมื่อคืน
ไอ้บอลตบไหล่ผมปุๆ รู้ว่ารับศึกหนักกว่าใครในที่นี้เพราะมีแค่ผมคนเดียวที่ไปร่วมพิธีช่วงเช้ามา ส่วนพวกมันได้นอนสบายใจเฉิบ มาร่วมงานแบบหล่อๆ หายแฮงค์ สดชื่นพร้อมจะเมาต่ออีกสักคืน ถ้าให้ว่ากันตามตรงผมอ้วกแตกถึงสองวันติดไม่ไหว ทว่าเพื่อนอยู่ ผมก็เป็นอันต้องอยู่
ช่วงท้ายของพิธี เล้งมานั่งกินข้าวที่โต๊ะพวกเรา เจ้าสาวตามมาแนะนำตัวเสร็จสรรพก็แยกไปถ่ายรูปสไตล์ผู้หญิงๆ กับเพื่อนหล่อน แขกเหรื่อผู้ใหญ่เริ่มทยอยกลับกันแล้ว รวมถึงป๊าแม่ของผมที่คงเพลียเต็มแก่ ตอนนี้สี่ทุ่ม ในที่สุดโต๊ะของเราก็เปิดเหล้ากลมที่สาม เป็นสัญญาณว่าคืนนี้ยังอีกยาวนานแน่นอน
“จองโรงแรมไว้ถึงกี่โมงวะ”
“เที่ยงคืน” เล้งตอบ กระดกเหล้าใส่ปากโดยไม่ใส่ใจจะดูแลแขกที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งงาน
“ปกติเขาจองกันถึงสามสี่ทุ่ม ไอ้เหี้ยนี่ล่อไปเที่ยงคืน” เพื่อนๆ พากันหัวเราะครืน นั่นรวมถึงผมด้วยเช่นกัน
“ถ้ากูไม่จองไว้ดึกๆ พวกมึงจะไปนั่งกินที่ไหนอะ” เล้งตอบอีกรอบ
“ไอ้เล้งแม่งป๋าฉิบหาย จองห้องโรงแรมยาวๆ ไว้เพื่อเพื่อนโต๊ะเดียว”
แต่เอาเข้าจริงเราก็ดื่มกันถึงแค่ราวห้าทุ่มเศษๆ เท่านั้น ไม่ได้กะเอาเมาตายเหมือนเมื่อคืน อีกเหตุผลก็คือหลี เจ้าสาวไอ้เล้งตามมานั่งร่วมโต๊ะด้วยเพราะเพื่อนหล่อนกลับไปหมดแล้ว บรรดาเพื่อนๆ ก็เลยเกรงใจ รู้ตัวว่ากำลังแย่งเวลาเข้าห้องหอที่แท้จริงแล้วก็เลยยอมแยกย้าย ว่าจะไปหาร้านต่อกันเองแต่สุดท้ายก็แค่พูดเท่านั้น
ผมกำลังจะเดินตามไอ้บอลออกไปขึ้นรถ มันอาสาขับไปส่งคนไม่มีพาหนะส่วนตัวอย่างผม ก็ตอนมาผมมากับที่บ้าน ไม่ได้คิดถึงตอนกลับเพราะเผื่อเมากับไอ้พวกนี้นี่แหละ แต่เดินพ้นประตูโรงแรมได้ไม่ทันไร เสียงเรียกคุ้นหูก็ดังแว่วมาแต่ไกล
“ไอ้ธี”ผมควรจะหน่ายใจ แต่หันไปเจอไอ้เล้งกำลังวิ่งเหยาะๆ ออกมาแล้วก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ไอ้บอลเลยบอกว่าเดี๋ยวจะไปเอารถก่อน ให้ผมรออยู่นี่ คุยกับไอ้เล้งให้เสร็จเรียบร้อย
อยากถามว่ามีอะไรแต่ไม่ได้พูด พอเห็นหน้ามันก็พูดไม่ออก เล้งยังอยู่ในชุดเจ้าบ่าว ไม่เรียบร้อยนัก แล้วก็มีกลิ่นเหล้าจางๆ ติดตัวคล้ายกับเมื่อคืนนี้
“จะกลับแล้วหรือวะ” มันถามโง่ๆ ผมก็เลยปั้นเสียงติดรำคาญตอบกลับไป
“เออซีวะ ไอ้บอลจะไปส่ง”
“อ๋อ...” เล้งพยักหน้า ดูงกๆ เงิ่นๆ จนน่าหน่ายยิ่งกว่าทุกทีที่มันเป็น
ผมเห็นเล้งไม่พูดอะไรสักที เดี๋ยวบอลก็มาแล้ว เลยกลั้นใจกลืนน้ำลาย ช่วยเปิดบทถามให้อีกฝ่ายทั้งที่ใจก็กลัวไม่แพ้กัน “มึงมีอะไร”
ไอ้เล้งถูจมูก เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าเจ้าสาวของมันไม่ได้อยู่แถวนี้ (ผมเดา) ก่อนจะทำใจแล้วก็ว่า
“เรื่องเมื่อคืนนี้...”
“เออ กูรู้ว่ามึงเมา” ผมรีบสวน ยอมรับว่าไม่กล้าให้มันพูดจนจบอย่างไรก็ไม่รู้
“อือ กูเมา” เล้งรับอย่างง่ายดาย “แต่กูจะบอกมึงว่า... กูรู้ตัวทุกอย่าง”
มันสร้างฟ้าผ่าลงตีแสกหน้า ผมสะอึก นึกอยากได้น้ำสักขวดมาแทนการต้องยืนนิ่งๆ ฟังคำมันแบบนี้
“กูขอโทษนะ” มันยังพูดอีก พูดอย่างคนขลาด แต่ทำเอาแรงอารมณ์บางอย่างในใจผมปะทุขึ้นสูง
“แล้วมึงจะพูดทำไมวะ”
เล้งงง อยู่ดีๆ ผมก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทั้งที่เมื่อครู่ยังทำเฉยได้อยู่เลย มันอ้อมแอ้ม อึกอัก หันซ้ายแลขวาอีกรอบ ก่อนจะมองตรงมาทางผม สบดวงตาสีเข้มนั้นเพื่อสื่อความรู้สึกบางอย่าง
“กู... กูแค่อยากบอกให้มึงรู้”
“รู้อะไร? รู้อะไรของมึงวะไอ้เล้ง”
เล้งเม้มปาก ผมก็เม้ม หัวใจเต้นรัวเมื่อคิดได้ว่าที่ผมสู้เฉยชา ทำรำคาญใส่มันมาตลอดนี่ใจร้ายเพียงใด ผมก็แค่อยากปิดกั้นอะไรบางอย่าง อะไรที่เกิดจากความเคยชินเพราะมีมันมาทั้งชีวิต อะไรที่ผมแสร้งจะไม่รู้ ไม่คิด และทำราวกับว่าไม่เคยสลักสำคัญอะไรเลยตราบใดที่มันยังขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่เดิม ไม่หนีไปไหน
แต่ผมคิดผิด... เพราะการที่เล้งแต่งงาน นั่นเหมือนผมถูกถีบออกจากวงโคจรอย่างไรแปลกๆ
ผม... ผมอาจจะหวงเพื่อนแบบไม่รู้ตัวก็เป็นได้ เพื่อนโง่ๆ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่รู้ตัวว่าผมเบื่อมัน
“กู... กู
ชอ--”
“ไอ้เหี้ย! มึงแต่งงานแล้ว”เล้งสะดุ้ง ผมก็ตกใจตัวเองเช่นกัน
“จะพูดอะไรออกมา...” เสียงผมแผ่วลงจนแทบเบาหวิว “คิดถึงสถานะตัวเองด้วย”
การที่มันจูบผมนั้นเป็นความผิดพลาดของเราทั้งคู่ หรือบางทีก็แค่สายไป
จบ (2/3)