24
“เลิกเรียนแล้วผมจะมารับนะครับ” ยังไม่ทันลงจากรถก็ถูกดึงไปหอมแก้มฟอดใหญ่ ผมยกมือเขกหัวแต่ไอ้เม่นมันดึงตัวหลบทัน เลยได้แต่ฮึดฮัดที่เขกอากาศ “เจอกันครับ”
“เออ พูดมาก” โมโหอารมณ์เสียที่ทำร้ายร่างกายมันไม่ได้ ตั้งแต่ย้ายไปอยู่คอนโดมัน ผมไม่เคยทำร้ายร่างกายมันได้เลย มีแต่มันที่ทำร้ายผม
มีศาลไหนให้ความยุติธรรมกับผมได้บ้าง
ผมเดินหน้ามุ่ยขึ้นตึก เพียงแค่เหยียบบันไดขั้นแรกก็เกือบหงายหลังเมื่อเห็นคนกำลังเดินสวนลงมา ความตกใจอยู่ในระดับมาก ยิ่งกว่าเห็นแหนมตุ้มจิ๋วซะอีก
“ไฮ เพื่อน” เพื่อนสาวใจแมนของกลุ่มทักผมด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเป็นบ้า ต่างจากคนที่เดินเคียงข้างที่ทำตาโตเหมือนเห็นผี “เป็นไรวะ ทำหน้าเหมือนผัวไม่รัก”
“พ่องมึงสิ” ชูนิ้วกลางส่งคืน อีแน่วมันก็หัวเราะร่าโดยไม่สนว่าสาวน้อยที่มันควงมาจะทำหน้าบึ้งแค่ไหน “สบายดีนะครับ” ผมเอ่ยทักคนที่เพื่อนหลง
“ก็ดี” เสียงใสตอบกลับแบบห้วนๆ ตามนิสัย เอ๊ย สไตล์
“เฮ้ย ไอ้มู่ กูจะแนะนำให้มึงรู้จัก นี่...”
“กูรู้จักแล้ว ไม่ต้องแนะนำ” ผมว่า และไม่รอฟังอะไรต่อ บอกตามตรง ผมทนคุย ทนมองเด็กผู้หญิงนิสัยแบบนี้ไม่ได้ ต่อหน้าเพื่อนผมยิ้มแย้ม แต่พอมองหน้าผมอย่างกับจะกินหัวซะงั้น ยัยเด็กผู้หญิงนิสัยไม่ดี ปกติไอ้ม่านไม่ใช่คนปากร้ายนะครับบอกเลย แต่ก็ไม่ได้ใจดีพ่อพระแบบไอ้กลอย ไม่โหดอย่างคุณชายอัธ และไม่เพี้ยนเหมือนไอ้ทู สรุป เป็นตัวเองนี่แหละครับปกติสุด
ผมเดินหนีขึ้นมาด้านบน เจอพวกไอ้เจนั่งคุยบ้าบอรออยู่แล้ว พอพวกมันเห็นผมก็รีบอวดสรรพคุณสาวใหม่ของเพื่อน แต่ผมรีบยกมือห้ามก่อนที่จะได้ยินอะไรมากไปกว่าความน่ารักและขี้เล่น เพราะฟังยังไงมันก็ไม่ใช่
“กูไม่ได้อิจฉา แต่กูไม่ชอบ” บอกไปตรงๆ จนเพื่อนทั้งโต๊ะเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ทำไมวะ กูว่าน่ารักดีนะ ลูกคุณหนูอีก” ไอ้มีนว่า แต่ผมรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “อะไรของมึง”
“คือมันก็ไม่ใช่เรื่องของกูนะ แต่กูยืนยันได้เลยว่า สิ่งที่พวกมึงเห็นนั้น...” เว้นวรรคให้ดูน่าสนใจ
“อะไรวะ รีบๆ พูด กูอยากเสือกเต็มแก่” ไอ้เกมส์ถึงกับวางมือถือ ผมสอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของเพื่อนทั้งสามแล้วยืนขึ้น
“เพราะ...มันก็เป็นแค่เพียงภาพลวง หลอกตา ที่เธอสร้างขึ้นมาให้ฉันได้ใจ มันไม่เคยจะเป็นของจริง แค่ลวง แค่หลอกกันไป แค่นั้น” เค้นพลังเสียงอันสุดยอดแล้วถ่ายทอดออกมา เพื่อนทั้งสามของผมคงจะชอบน้ำเสียงอันไพเราะนี้ เพราะพวกมันถึงกับแย่งกันดึงผมให้นั่ง
“กูว่า คราวหน้ามึงพูดเฉยๆ เถอะ สงสารหูของกูบ้าง” ไอ้เจขยี้รูหูตัวเองไปมาพลางทำหน้ายุ่ง ส่วนผมก็หัวเราะอย่างเดียว
ที่จริงเสียงผมก็เพราะนะครับ แต่มันต้องเค้นอารมณ์ไง บรรยายถึงเด็กนั่นน่ะ เลยเพี้ยนบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง...อะไร มากก็ได้ โธ่
“ไร้สาระไอ้ห่ามู่ กูไปขี้ดีกว่า” ไอ้เกมส์ลุกไปเลยครับ แถมไอ้มีนยังเดินตามอีก
ไปขี้หรือไปกินขี้กันก็ไม่รู้
พออยู่กับไอ้เจสองคน แววตาเสือกคนตรงหน้าก็ฉายแววอย่างเด่นชัด ผมรู้ว่ามันคงอยากถามตั้งแต่เมื่อกี้ แต่คนอื่นอยู่มันเลยต้องสงบปากสงบคำไว้
“จะแดกหัวกูหรือไง จ้องขนาดนั้น” ผมว่า ไอ้เจเลยเอานิ้วจิ้มหน้ผากผมจึ๊กๆ
“หัวมึงกูไม่ชอบแดก มีแต่ขี้เลื่อย แต่ที่กูจ้องเพราะอยากรู้ และกูขอเดาว่า เด็กนั่นคือญาติไอ้เม่นใช่ป่ะ” สกิลการเดาของไอ้เจขั้นเทพจริงๆ ครับ ผมรีบพยักหน้าหงึกๆ “กูว่าแล้ว”
“ทำไมวะ มึงรู้ได้ไง”
“ก็ตอนอีแน่วแนะนำว่าย่าเป็นใคร ทำธุรกิจอะไร กูนี่มีดาวที่หางตาเลยไอ้ห่า”
“มึงโคตรความจำดี กูเล่าให้ฟังครั้งเดียวแม่งจำได้หมด” แทบอยากปรบมือให้
“แน่นอน กูใคร กูเจ ว่าที่เกียรตินิยมเหรียญทองเว้ย” ก็อยากจะอ้วกคำอวดตัวมันอยู่หน่อยๆ แต่เผอิญมันพูดจริง “แต่หน้าตาโคตรขัดกับนิสัย ถูกเลี้ยงมายังไงนี่รู้เลย”
“มึงต้องเจอของจริง แล้วจะไม่อยากเข้าใกล้เหมือนกู” ภาพครั้งแรกที่เจอยังติดตาตรึงใจในความปากร้ายของเขา “เลิกพูดๆ กลัวเก็บไปหลอกหลอนในฝัน”
เมื่อเลิกพูด ผมกับไอ้เจก็หอบข้าวของขึ้นห้อง วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า ไอ้เม่นก็ด้วย เราเลยนัดกันว่าจะไปกินข้าวกับยายมันครับ ตอนแรกที่รู้ก็เกร็งๆ นะ แต่ผมว่า อยู่กับหลานเขาแล้วก็ต้องกล้าๆ หน่อย เหมือนจะเอาหลานเสือก็ต้องเข้าถ้ำของยายเสือ...
“โชคดีนะมึง” ไอ้เจตบหลังผมอวยพรตอนแยก ผมยิ้มน้อยๆ ส่งให้เพื่อนก่อนเดินข้ามถนนไปหาคนที่นั่งรออยู่บนรถ
บนรถที่แอร์เย็นเฉียบมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แปลกปลอมจนต้องขมวดคิ้ว ผมหันซ้ายหันขวามองหาต้นเหตุแต่ก็ไม่เห็น หรือมันเปลี่ยนน้ำหอมใหม่วะ
“พี่หาอะไรเหรอ”
“เปลี่ยนน้ำหอมใหม่เหรอ โคตรหอม”
กลิ่นเหมือนดอกกุหลาบตามสวน ผมเคยไปฝึกงานที่ไร่กุหลาบด้วยนะ ไปแค่เดือนเดียว ตอนนั้นโคตรหลงที่นั่น ทั้งบรรยากาศ ทั้งพี่ที่ทำงานที่นั่น อีกทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ตอนเช้ามันโคตรฟิน
“ไม่นะ” เจ้าของรถตอบ “คงเพราะเมื่อเช้าผมไปซื้อของกับเพื่อนละมั้ง กลิ่นมันเลยติด”
“เหรอ” ที่จริงแอบหวังเล็กๆ ว่ามันอาจซื้อดอกไม้มาให้ผมงี้ โคตรบ้าเลยผมเนี่ย คิดไปได้ “แล้วนัดยายมึงหรือยัง”
“ครับ ยายจองที่นั่งไว้แล้ว ร้านโปรดของยาย” ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ “พี่ไม่ต้องกลัว มีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวผมช่วยเอง”
“ยายมึงไม่ใช่ปีศาจ จะน่ากลัวอะไรมากมายวะ” ปากกล้าไปงั้นแหละครับ ที่จริงปิดบังความสั่นอยู่ “แล้วนี่ ลุงกับป้ามึงจะมาด้วยไหม”
“ไม่หรอก คงมีแค่ตากับยายเท่านั้นแหละ” ค่อยโล่งอกนิดๆ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนมองหน้าคุณป้ามหาภัย ขืนมาคงรอแขวะผมเต็มที่
ฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดจนมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่น ผมเคยผ่านร้านนี้นะ แต่ไม่เคยเข้าหรอก ส่วนมากถ้าอยากกินอาหารญี่ปุ่นก็นู้น ร้านบนห้าง แบบบุฟเฟ่ต์ก็มี ไม่แพงมากด้วย
“ร้านนี้เหรอวะ” ถามขณะไอ้เม่นกำลังถอยรถจอดข้างรถยายมัน “แพงหรือเปล่า”
“เราคงไม่ได้จ่ายหรอก กินได้เต็มที่”
“อืม”
แม้จะตอบไปแบบนั้น แต่คิดเหรอว่าผมจะกินเต็มที่ แม้จะเป็นของฟรีที่ชอบก็เถอะ
ผมเดินตามไอ้เม่นเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นที่เหมือนยกร้านจากญี่ปุ่นมา ทั้งการตกแต่ง โทนสี หรือแม้แต่การแต่งตัวของพนักงานที่พูดต้อนรับ
น้ำเสียงน่ารักเหมือนหน้าตาเลยวุ้ย
“จ้องอีกนานป่ะ” เสียงพร้อมแรงสะกิดทำให้ต้องละสายตาจากหน้าขาวๆ ของพนักงานไปมองหน้าคนสะกิด “หึงนะเนี่ย”
“เชี่ย” ด่าไปเบาๆ เมื่อไอ้เม่นพูดออกเสียง ที่สำคัญ แม่สาวน่ารักได้ยินยังหัวเราะ “ทำไรเนี่ย” พอด่าไป มันยิ่งบ้าหนักด้วยการพาดแขนมาโอบไหล่แล้วดึงผมไปชิด
“ก็บอกว่าหึงไง หวงด้วย” แทบอยากเอานิ้วจิ้มตาไอ้คนลอยหน้าซะเหลือเกิน ผมหันไปยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานสาวก่อนเธอจะเดินนำไปที่ห้องที่ถูกจองไว้
“ปล่อยสิวะ” พยายามดันมือที่โอบไหล่ออก แต่ก็เกาะแน่นซะเหลือเกิน “ไอ้เม่น ปล่อย”
“ไม่ และจะทำมากกว่าเดิมถ้าพี่ยังมองคนนั้นคนนี้อีก”
“ก็ตากู กูจะมองคนไหนก็ได้”
“ตาของพี่ต้องมองผมแค่คนเดียว เข้าใจ๊?”
“จะให้มองแต่มึง ไม่ให้มองทาง ถ้ากูล้มจะทำไง”
“ผมจะนำทางพี่เองไม่ต้องห่วง ไม่ล้มแน่นอน ไว้ใจได้”
“ไอ้เสี่ยว”
ด่าไปแต่ปากก็ยิ้ม ทำไมผมดูขัดแย้งในตัวเองวะ
เราสองคนเดินไปหยุดหน้าห้องที่ยายจองไว้ ก่อนไอ้เม่นจะเคาะประตูไม้เบาๆ เมื่อมีเสียงตอบรับมันถึงเลื่อนเปิดประตู ตากับยายมันมารออยู่ก่อนหน้าแล้วแถมทั้งคู่ยังจ้องมาที่พวกผม เอาซะผมทำตัวไม่ถูก
“ขอโทษที่มาช้าครับ” ไอ้เม่นว่าพลางยกมือไหว้ ผมก็รีบไหว้ตาม
“สวัสดีครับ” พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ขาที่ก้าวเข้าไปโคตรสั่น ผมนั่งลงบนเบาะนุ่มบนพื้นตรงข้ามกับยายของไอ้เม่น ตอนนี้เกร็งไปทุกส่วน ขนาดมือที่วางบนขาตัวเองยังสั่น
“ฉันสั่งอาหารไปแล้ว อยากกินอะไรก็สั่งมาเพิ่มเอง” เสียงเรียบๆ ของยายดังขึ้น ผมได้แต่นั่งก้มหน้าดูเมนูที่ไอ้เม่นเอามากางไว้ตรงหน้าผม “สั่งสิ”
“ครับ? เอ่อ ผมกินอะไรก็ได้” สะดุ้งเมื่อยายมันบอก ผมปิดเมนูแล้วยื่นคืนให้ไอ้เม่นที่กำลังรอพนักงานมาเพื่อจะสั่งอาหาร
“พี่ไม่สั่งเหรอ” รีบส่ายหน้าทันทีที่ถูกถาม “อ่าว งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้”
ช่วงรออาหารยายหลานเขาคุยกันแบบนิ่งมาก ถามคำตอบคำ ไม่ถามก็เงียบ บรรยากาศอึดอัดสุดๆ ผมจะอยู่รอดปลอดภัยไปถึงตอนเลิกไหมเนี่ย
“เรียนจบจะไปทำการทำงานอะไร” เสียงเข้มของตาไอ้เม่นดังขึ้น ทั้งผมกับไอ้เม่นต่างก็มองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าถามใคร “ถามเธอนั่นแหละ คิดจะทำงานอะไรหลังเรียนจบ”
“อ๋อ จบแล้วผมจะกลับไปช่วยพ่อกับแม่ทำสวนที่บ้านครับ” ความตั้งใจในการมาเรียนคณะนี้ของผม
“สวนผลไม้หรือผักล่ะ”
“มีทั้งผักและผลไม้ครับ” ตอบพร้อมรอยยิ้ม ตาไอ้เม่นชวนคุยทำให้ความตึงเครียดของคนในห้องเริ่มผ่อนคลายลง “พ่อผมทำสวนผักและผลไม้แบบผสมผสานและปลอดสารพิษครับ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนปลูกและคนกิน”
“ผลไม้คราวที่แล้วก็มาจากสวนเธอสินะ”
“ครับ”
“มะม่วงหวานดี ฉันชอบ” คราวนี้เป็นยายไอ้เม่นพูด ผมหันไปมองคอแทบเคล็ด
“ขอบคุณครับ”
ตอนนี้กลายเป็นว่า ผมคุยกับตายายอยู่คนเดียว ไอ้เม่นมันนั่งนิ่ง มีเหล่ตามองบ้างเป็นระยะ คงเพราะความห่างที่ผ่านมา ทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัวเข้าหากันมากหน่อย แต่ผมว่า ปลายทางมันต้องคุ้มแน่นอน
อาหารมื้อนี้อร่อยสมราคา ผมยัดทุกอย่างจนพุงยื่น ไม่เชื่อถามไอ้เม่นที่ลูบดูก็ได้
“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณตากับยายก่อนแยกกันกลับ ไอ้เม่นยังคงนิ่งเหมือนเดิม แม้จะไหว้ลาเหมือนกัน แต่พูดลาไม่มี จะปากหนักไปไหนก็ไม่รู้
“อยากกินอะไรไหม” พอรถยายมันผ่านหน้าไป ไอ้เม่นก็ถามออกมา
“ไม่กลัวดอกพิกุลร่วงแล้วเหรอวะ” ล้อไปเลยถูกมือมันขยี้หัวซะผมฟู
“ไม่อยากทำให้พี่อึดอัดมากกว่า ผมกับยายคุยกันดีๆ ได้ไม่นานหรอก” ผมกระพริบตาปริบๆ มองตามหลังไอ้เม่นที่เดินไปที่รถ
“แต่ยายกับตาดูรักมึงนะ แต่คงไม่รู้จะแสดงออกยังไง” ในความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น ผมเห็นยายชอบแอบมองเวลาไอ้เม่นคีบของกิน คงคอยสังเกตว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร “เปิดใจบ้างก็ได้ เหมือนเรื่องกูอะ”
“ไม่เหมือน” เสียงตอบกลับทันทีที่ผมถาม “พี่ไม่เหมือนกับใคร”
“ไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไหร่” แม้หน้าตาจะจริงจัง แต่ก็อดที่จะว่าไม่ได้ “ประตูล็อคอะ” ผมบอกไอ้เม่นที่นั่งประจำที่คนขับแล้วด้วย อย่าบอกว่าจะทิ้งผมนะเฮ้ย
“พี่ม่าน คือแบบ...” เสียงเรียกพร้อมกับหน้าขาวๆ โผล่พ้นหลังคารถ “น้ำมันหมด”
“ฉิบหาย ล้อเล่นหรือเปล่าวะ” ผมรีบเดินอ้อมไปฝั่งไอ้เม่น กลัวว่ามันจะโกหก แต่น้ำมันหมดจริงๆ ครับ ไม่ได้ล้อเล่นเลย “ปล่อยให้หมดได้ไง แล้วจะทำไงดีเนี่ย”
“เดินไปซื้อไหม ผมเห็นปั้มอยู่ไม่ไกล” ได้แต่กระพริบตาปริบๆ เพราะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง “หรือพี่จะรออยู่ที่นี่...”
“ไม่เอา กูไปด้วย” เกิดมันทิ้งผมไว้ที่นี่กับรถมันจะทำไง ไม่เอาหรอก
“กลัวผมทิ้งเหรอครับ” อยากด่าคนที่หัวเราะเยาะ แต่มันคือเรื่องจริง พอเห็นผมไม่ตอบโต้ ไอ้เม่นก็หยุดขำ “ผมไม่ทิ้งพี่หรอก ไม่มีวัน”
“กูไม่ได้กลัวมึงทิ้งเว้ย”
“จริงอะ ไม่เชื่อหรอก พี่กลัวผมทิ้ง หน้าพี่บอก”
“ไม่จริงเว้ย”
“ไม่จริงแล้วเดินหนีผมทำไม พี่ม่าน”
ไม่รู้ไม่ชี้ ผมเดินหนีมันออกมาหน้าร้าน ปั้มน้ำมันอยู่ตรงไหนวะ เมื่อกี้ก็ลืมมอง มัวแต่นั่งง่วง ไอ้เม่นรีบสาวเท้ายาวๆ ของมันมาเดินข้างผม พร้อมส่งแขนหนักๆ พาดคอ
“เดินดีๆ สิวะ” เบี่ยงตัวให้หลุดจากแขนที่รัด แต่มันกลับดึงผมไปชิดจนไหล่ชนกับอก “ไอ้เม่น”
“นี่ก็ดีแล้วไง พี่นั่นแหละ เดินดีๆ” ดูมันยอกย้อนสิครับ
“กูหนัก”
“แต่ผมไม่หนัก”
“อย่ามากวนตีนกู”
“ไม่กวนตีน แต่กวนใจได้ป่ะ”
“ไม่ได้เว้ยไอ้เสี่ยว”
“ถึงเสี่ยวก็เสี่ยวแค่กับพี่นะ เพราะผมโคตรของโคตรรักพี่เลย” ไอ้เม่นขยิบตาเจ้าชู้พร้อมรอยยิ้มกวน
“ไอ้...” ด่าไม่ออกเพราะหน้าร้อนๆ ของตัวเองทำให้สมองไม่ค่อยทำงาน “โว้ยย” หงุดหงิดที่ด่าไม่ได้ จังหวะที่สัญญาณไฟข้ามถนนเป็นสีแดงห้าวินาที ผมรีบผลักไอ้เม่นออกแล้ววิ่งข้ามไป
“พี่ม่าน เฮ้ย” ตามมาไม่ทันแล้วครับ เพราะตอนนี้ผมมาอยู่อีกฝั่งถนน ไอ้เม่นหน้าหงิกหน้างอกวักมือเรียกผมให้กลับไปหา “พี่ม่าน ข้ามไปทำไม กลับมา!”
“ไม่โว้ย!” ตะโกนคุยกันแบบนี้โคตรเจ็บคอ ผมรีบเดินไปด้านหน้าต่อ ส่วนคนอีกฝั่งก็รีบเดินตาม
“พี่ม่าน! ข้ามมาเดี๋ยวนี้! พี่ม่าน!!”
“ไม่โว้ย! เจอกันสะพานลอยข้างหน้านะพวก!”
ผมรีบเดินหนี เห็นสะพานลอยข้ามถนนอยู่ไกลๆ แต่ขาอาจจะลากหน่อย เดินตามฟุตบาทไปเรื่อยๆ มองอีกด้านก็ยังเห็นไอ้เม่นเดินเอื่อยๆ เป็นคู่ขนานกับผมไป เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงครั้งแรกที่เจอ ผมกับไอ้เม่นดูเหมือนถนนสองเส้นที่ไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ด้วยซ้ำ
มันชอบเพื่อนผม นั่นคือสิ่งแรกที่รับรู้ แม้ว่าตอนนี้มันจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนผมแล้วก็ตาม แต่นั่นคือความทรงจำแรกและการรู้จักมัน แล้วอยู่ๆ เส้นทางคู่ขนานกลับเบี่ยงมาบรรจบกันเฉย ที่สำคัญ เป็นทางบรรจบที่ถูกเทด้วยปูนคอนกรีตชนิดแข็งแรงที่สุดซะด้วย
“พี่ม่าน!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้สะดุ้ง ผู้คนที่เดินตามทางเท้าก็ดูจะตกใจไม่แพ้กัน มันเรียกผมที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายขนาดนี้ทำไมเนี่ย ผมรีบก้มหน้าก้มตาเดินทำเป็นไม่รู้จัก แต่... “พี่ม่านที่สวมชุดนักศึกษา รองเท้าผ้าใบสีขาวเก่าๆ สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลที่กำลังยกมือปิดหน้า” อือหือ ไอ้เม่นบรรยายออกมาคือตัวผมชัดๆ ก่อนพี่คนข้างหน้าจะสะกิดเรียกให้ผมหันไปดู
“ไอ้เหี้ย” ด่าแบบไร้เสียง ไม่รู้ว่ามันจะรู้หรือเปล่า เพราะความห่างของถนนสองเลนแบบนี้
“พี่ม่านครับ! ผมมีบางอย่างจะบอกกับพี่ครับ!” มันจะตะโกนทำหอกอะไรเนี่ย ผมอาย “พี่ม่านครับ! ไอเลิฟยู เวรี่มัช!”
แทบกระอักออกมาเป็นความอาย ไอ้เม่นตะโกนบอกรักผมท่ามกลางรถราที่วิ่งเต็มท้องถนนไม่พอ ผู้คนยังแน่นหนาอีก คิดว่าผมจะอายไหมล่ะครับ
“ไอ้เหี้ย!” คราวนี้ตะโกนกลับเสียงดังฟังชัด โคตรหน้าร้อนเลยตอนนี้ พยายามก้มหน้าหลบสายตาผู้คนที่มองมา
“ถึงเป็นเหี้ย ก็เป็นเหี้ยที่รักพี่นะครับ!” มันยังตอบกลับมาอีก มีปิ๊บไหมครับ ผมจะเอาคลุมหัว “จุ๊บๆ” มีจูบใส่มือแล้วเป่ามาทางผมอีกต่างหาก คราวนี้คนที่ยืนฝั่งผมพากันหัวเราะแถมยังส่งเสียงแซวมาอีก ขนาดยกมือปฏิเสธแล้วแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
“ไอ้เม่น มึงโดนตีนกูแน่ ไอ้เชี้ย!!” ตะโกนด่าไป ก่อนถูกสะกิดแขนเบาๆ จากป้าที่ขายกล้วยทอดบนฟุตบาท “ครับ?”
“ด่าผัวไม่ดีนะหนู มันบาป”
ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่รีบเดินหนีให้พ้นจากที่นั่นโดยเร็ว เพราะตอนนี้ ทั้งเสียงแซว เสียงโห่ เสียงเชียร์ดังมาตลอดทางที่เดิน ความอายนี้หาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!!
พอทางขนานมาบรรจบ ผมก็กระโดดถีบไอ้คนต้นเรื่องทันที ไอ้เม่นหัวเราะทั้งน้ำตา มันคงเจ็บแต่ผมไม่สน ไอ้เหี้ยนี่ทำให้ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“ก็พี่บอกผมให้พูดตามที่ใจอยากพูดไง ผมผิดเหรอ” นั่นเป็นประโยคที่ผมเคยพิมพ์บอกไปในข้อความช่วงแรกที่ได้คุย
“ไม่ผิดที่มึงพูด แต่ผิดที่สถานที่” กระชากคอเสื้อมันขึ้นมาแล้วเขย่าๆ “เพราะมึงเลยนะ กูอายจน...”
คำด่าถูกดูดหายไปเมื่อปากผมถูกปากนุ่มไอ้เม่นกดจูบ
“ผมรักพี่ ตรงนี้ไม่มีคน พูดได้ใช่ป่ะ”
“ตรงนี้ก็ไม่ได้โว้ย”
มันจูบผมกลางสะพานลอย คิดได้ไงวะเนี่ย เกรงใจฟ้ากับนกบ้างไหม
“ผมรักพี่ม่าน ผมรักพี่!”
“ตะโกนทำไม กูบอกว่า พูดตรงนี้ไม่ได้!”
“ผมรักพี่ม่าน!”
“ไอ้เชี่ยเม่น!”
“พี่ครับ ไอเลิฟยู!!”
ผมหยุดคำพูดมันด้วยปากของผมเอง ไม่รู้ต่อไปเส้นทางของผมจะเป็นยังไง แต่ที่รู้ๆ ผมจะไม่เหงาอย่างแน่นอน
“ไอ้เสี่ยว หยุดตะโกนบอกรักกูสักที กูเขิน!”
“พี่โคตรน่ารักอะ โคตรรักพี่ โคตร! รัก! พี่! ม่าน! เลย! ครับ!!”
“กูบอกว่าให้เงียบๆ กูเขิน!!”
“น่ารักเกินไปแล้ว!”
“บอกว่าห้ามตะโกนไงเล่า!”
พวกเราจะได้ไปซื้อน้ำมันมาเติมรถไหมครับเนี่ย
“ไม่ตะโกนก็ได้...ผมรักพี่ครับ”
“เออ กูก็รักมึง”
ไม่สนว่าใครจะเงยหน้ามองขึ้นมา หรือกำลังเดินขึ้นบันได ตอนนี้ขอจูบกับมันก่อน เรื่องปิ๊บคลุมหัวค่อยว่ากันทีหลังแล้วกันนะครับผม อะไรนะ นี่กลางสะพานลอยเหรอ ไม่แคร์แล้วล่ะ ก็คนอยากจูบก็ต้องจูบสิครับ...เนอะ
-- THE END --
จบแล้วค่าาาา เย้ๆๆๆ
กว่าจะจบได้ อู้อยู่นาน (ก้มกราบ)
ขอบพระคุณทุกๆ คนที่ติดตามเรื่องนี้ค่า จะพยายามพัฒนาฝีมือตัวเองไปเรื่อยๆ ตรงไหนติดขัดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า
แล้วเจอกันตอนพิเศษเด้อค่าเด้อ