13
หลังจากปิดห้องเชียร์ด้วยความประทับใจ การมาเรียนจึงเป็นอะไรที่โคตรสดชื่น ไม่มีความเครียด ความเกร็งหน้า หรือแม้แต่ทำขรึมต่อหน้าคนอื่น ตอนนี้ได้กลับมาเป็นตัวเอง แม้ผมจะไม่ได้อยู่โหมดนิ่ง แต่บางครั้งก็ต้องนิ่งเวลามีพวกไอ้เจอยู่ด้วย ต่อจากนี้ไป ความสนุกจะกลับมาเยือนผมสักที
“มึงซั่มกับเด็กมึงหรือยัง” คำถามจัญไรออกมาจากปากไอ้เจ ทั้งที่มีขนมอยู่เต็มปาก หล่อๆ อย่างมัน ไม่รู้จักหรอกครับ คำว่า คีฟลุค
“ซั่มพ่อง กูคบแบบบริสุทธิ์ใจเว้ย” ยื่นมือแย่งขนมไอ้เพื่อนปากหมา พอหลุดจากตำแหน่งก็ออกลายเลยไอ้ห่า
“พวกมึงชอบคิดอกุศลกับไอ้มู่” ไอ้มีนมันออกโรงปกป้องผมครับ โคตรซึ้ง “อย่างไอ้มู่ มันอ่อนจะตาย ไม่กล้าหรอก ใจแม่งเสาะ เชี่ย” ตบเน้นๆ กลางกบาลแบบไม่ออมแรงด้วย ไม่สนว่าไอ้มีนหน้าจะพุ่งไปโดนอะไร
“เกือบจะดีอยู่แล้ว ไอ้เชี่ยมีน” เขม่นแรงใส่เพื่อนตัวเอง “ไอ้เกมส์ ช่วยกูหน่อย กูรู้ ว่ามึงเข้าข้างกู” หันไปเขย่าแขน เอาแก้มถูเพื่อนตัวโตแต่มันกลับดันหน้าผมให้ออกห่างคล้ายรังเกียจ
“ทำแบบนี้กูจะอ้วกไอ้ห่า ไปอ้อนเด็กมึงนู้น” แล้วทุกคนก็หัวเราะเยาะผม แม่ง ไม่มีใครเข้าข้างผมเลย “ว่าแต่ อีแน่วละวะ” ตั้งแต่มานั่ง ผมก็ไม่เห็นเพื่อนสาวใจชายเลย
“โอย ตอนนี้มันไม่สนเพื่อนหรอก สนแต่สาวที่ได้ใหม่” ไอ้มีนว่า
“ใครวะ” ทำไมเหมือนมีแค่ผมที่ไม่รู้เรื่อง
“เด็กปีหนึ่งคณะเรานี่แหละ รองดาว” พยักหน้าให้คำตอบของไอ้มีน ร้ายกว่ายุงก็แน่วเพื่อนผมนี่แหละครับ แป๊บๆ ได้สาวใหม่อีกแล้ว
แล้วแบบนี้ผู้ชายอย่างพวกผมจะมีไปทำไมเนี่ย
ผมเลิกสนใจเรื่องความรักของเพื่อน เพื่อมาสนใจข้อความในมือถือที่มันสั่นอย่างต่อเนื่อง ไอ้เม่นท่าจะบ้าเกินไปแล้วจริงๆ นะผมว่า ขนาดอยู่ในห้อง นอนบนเตียงข้างกัน มันยังส่งข้อความมาหา พอผมด่า มันก็ว่า คำพูดเป็นแค่ลมปาก ถ้ามีตัวอักษรด้วย หากลืมหรือคิดถึง ก็จะได้กลับมาเปิดดูอีกได้
ชักอยากรู้ว่า ไอ้เด็กนี่โตมายังไงแล้วล่ะสิ
“เอ่อ มหาลัยปิดอาทิตย์หนึ่ง ไปไหนกันดีวะ” ไอ้เจเปิดประเด็นหลังจากกินขนมหมดถุง ไอ้นี่ เรื่องกินไว้ใจได้ แต่กินหนักก็ไม่อ้วน โคตรอิจฉา
“กูว่าจะล่องใต้ ไปว่ายน้ำดูปะการัง ดูสาวใส่ชุดบิกินนี่” อือฮือ แทบอยากมุดกระเป๋าเดินทางไปกับไอ้มีนเลยครับ “พวกมึงล่ะ”
“กูคงไปนั่งปฏิบัติธรรมกับแม่ว่ะ” ไอ้เกมส์พูดออกมาหน้าตาย แต่พวกผมกลับแตกตื่นสุดๆ
“เรื่องจริงเหรอวะ” ผมถามออกไปอย่างไม่เชื่อหู หน้าโหดๆ อย่างไอ้เกมส์เนี่ยนะ
“อืม แม่กูบอกว่ากูกำลังจะมีเคราะห์ พอดีหยุดเลยสั่งให้กูไปปฏิบัติธรรม” น้ำเสียงมันโคตรโมโนโทน ผมตบบ่าเพื่อนรักตัวโตอย่างเห็นใจ “พวกมึงว่า ที่นั่นเขาจะมีไมโครเวฟหรือเปล่าวะ”
“ฮะ มึงว่าอะไรนะ” ไอ้เจแทบยื่นหน้ามาติดกับไอ้เกมส์
“ก็กูเห็นข้อห้ามโคตรเยอะ ถ้าแม่งมีแต่กับข้าวเจ กูจะได้แอบเอาข้าวกล่องไป เผื่อเวฟกินตอนดึกๆ” ได้บุญโคตรๆ ครับเพื่อนผม “มึงล่ะไอ้มู่ หยุดนี้ไปไหน”
“ทำไมมึงไม่ถามไอ้เจก่อนล่ะ” ไอ้เจมันก็ยังไม่ได้พูดเลย
“เกี่ยวอะไรกับกู คนอย่างกู ก็นอนตายอยู่ในห้องนั่นแหละ พ่อแม่กูหนีไปทะเลนู้น” ไอ้นี่ก็น่าสงสารเหมือนกัน พ่อแม่ชอบไปเที่ยวโดยไม่พาลูกไป
“กูว่าจะกลับบ้านว่ะ” ผมบอก
“พาผัวไปให้พ่อแม่ดูตัวเหรอวะ” แทบอยากกระโดดถีบเพื่อนตัวเองที่แหกปากหัวเราะไม่แคร์เด็กปีอื่นๆ ที่มองมา “แต่จะเรียกผัวก็ไม่เต็มปาก เพราะยังนกอยู่ จิ๊บๆๆ”
“ไอ้พวกเหี้ย” ได้แต่โวยวาย เพราะขืนไปทำอะไรพวกมันได้รุมผมเละแน่ ถ้าคนเดียวพอเอาคืนได้ นี่สามเลยนะ คูณมือ คูณตีนเข้าไป ตายแน่นอนผมน่ะ
จะว่าไป ผมยังไม่ได้บอกไอ้เม่นเลยว่าจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ ไม่รู้มันจะว่าไง...
“ไปด้วย ไม่หยุดก็จะไป นะๆๆๆ” ผมยืนเท้าเอวมองไอ้เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยนอนดิ้นไปมาอยู่กลางเตียง คือมึงจะปัญญาอ่อนแบบพี่คณะมึงไม่ได้ “พี่ม่าน ให้เม่นไปด้วย”
“แต่มหาลัยมึงไม่หยุด จะไปได้ไง” พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นที่สุด ผมนั่งลงบนเตียงปุ๊บ ไอ้เม่นก็รีบไถตัวขยับหัวหนักๆ มาหนุนตัก “มึงก็อยู่เฝ้าห้องให้กูไป”
“ไม่เอา” รีบแขม่วพุงเมื่อถูกหน้าขาวหันมาซบ แขนยาวของมันรัดรอบเอวผมจนขยับหนีไม่ได้อีก “งั้นก็ไปวันหยุดสิ นะๆ ให้เม่นไปด้วย”
“แต่...” ไม่ชอบเด็กก็เพราะผมขัดใจไม่ได้นี่แหละครับ “เออๆ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์ โอเค๊” วันศุกร์มันไม่มีเรียนครับ ไอ้เด็กที่นอนหนุนตักผมเนี่ย
“เย้ๆ ขอบคุณครับ รักพี่ม่านโคตรๆ จุ๊บๆ” ฉิบหาย ไอ้เม่นจูบหน้าท้องผมจนขนลุก ผมรีบดันหน้าผากมันให้ห่าง “อะไร”
“ขนลุกไอ้ห่า แล้วอย่าพูดว่ารักกูบ่อย ฟังแล้วมันไม่ศักดิ์สิทธิ์” ที่จริงเขินหรอก
“อะไรที่พี่บอก เม่นพร้อมทำตามทู๊กอย่าง” เกลียดสายตาแป้วๆ ของมันมาก โคตรอยากเอานิ้วทิ่มตานัก
“เลิกเสี่ยวด้วย กูขี้เกียจอ้วก”
“ไม่เสี่ยวไม่ได้ เดี๋ยวพี่ม่านจะเหงาหัวใจ” ไม่พูดปากเปล่าด้วยนะ มือมันยื่นมาจับหน้าอกผมด้วย ไอ้นี่แอบเนียนตลอด
“ไอ้....” อ้าปากจะด่า แต่ก็หุบ ไม่อยากเถียงมาก ผมว่า ตั้งแต่รู้จักไอ้เม่น พลังชีวิตผมโดนสูบไปมากโข “มึงไปบ้านกู ไม่กลัวพ่อกับแม่กูเหรอ”
“ไม่กลัวหรอก” ผมเลิกคิ้วมองคนที่ผละจากตักผมไปนอนคว่ำ ไอ้เม่นใช้ข้อศอกค้ำเตียงวางคางบนหลังมือ “พี่ม่านน่ารักแบบนี้ พ่อกับแม่ก็ต้องน่ารักเหมือนกัน”
“มั่นใจขนาดนั้น” หลุดยิ้มให้คนมั่นหน้าที่ยักคิ้ว “พ่อกูดุมาก มีปืนโคตรเยอะ”
“ปืน? เอาไว้ยิงนกเหรอ”
“ยิงนกห่าอะไร บาป”
“ขนาดนก พ่อพี่ยังไม่ยิง เม่นเป็นแฟนของลูกเขา พ่อไม่ยิงหรอก”
“ไอ้เม่น ไอ้เสี่ยวแดก” ใช้เท้าถีบจนไอ้เสี่ยวหน้าหงายเลยครับ ไม่มีสงสารหรอกสำหรับไอ้นี่
“พี่ม่านอ่า...”
ผมรู้สึกดีนะ ที่เรากลับมาเรียกกันแบบครั้งแรก ผมว่ามันฟังแล้วรื่นหูมากกว่า แล้วผมก็ถนัดเรียกแบบนี้ด้วย มาให้เรียกบงเรียกเบ๊ ไอ้ม่านไม่ไหว มันทรมานปากเหลือเกิน
“ไอ้เม่น มึงใส่กางเกงในกูอีกแล้ว” มัวแต่คิดบ้าบอ หันมาอีกที เห็นคนยืนแก้ผ้าเหลือแค่กางเกงในสีขาวลายหมีที่ก้น
“ของพี่ก็เหมือนของผมนั่นแหละ” ว่าแล้วมันก็รูดหมีขาวลงจากเอว “แล้วผมก็ไม่ถือด้วย”
“มึงไม่ถือ แต่กูถือ ไอ้เหี้ย” แม้อยากจะวิ่งไปหยิบกางเกงในตัวเองที่ม้วนเป็นเลขแปด แต่ดูแล้วคงต้องให้มันเอาไปซักก่อน เชี่ยเอ๊ย ขนาดผมสนิทกับพวกไอ้อัธ ไอ้กลอย ยังไม่เคยเอากางเกงในพวกมันมาใส่ แม่ง “มึงเอาไปซักมาคืนกูด้วย”
“เม่นก็ซักให้ทั้งของตัวเองแล้วก็ของพี่นั่นแหละ นู้นไง ที่ระเบียง”
“ฮะ?” รีบวิ่งไปเปิดประตูระเบียงดูแทบไม่ทัน ที่แขวนชั้นในมีทั้งกางเกงในของผมกับไอ้เม่นห้อยเต็มไปหมด “นี่มึงซักของกูด้วยเหรอ” ผมนี่อึ้งไปเลยครับ
“อื่อ ไม่เห็นเป็นไร ก็เราเป็นแฟนกัน เม่นไม่ถือ” ผมมองรอยยิ้มที่ปากของมัน คือไม่อยากมองช่วงล่างที่เป็นชีเปลือย “พี่น่ะ ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ผมเปิดใจ เปิดแม่งทุกอย่างแล้ว พี่ก็ต้องเปิดบ้าง” สายตาที่มันปะทะกับผม เหมือนบังคับให้ผมมองตามมาที่ตัวเอง... “อย่างเช่น แก้ผ้า อาบน้ำด้วยกันอะไรแบบนี้”
“ไอ้...” ไม่ทันได้ด่า มันก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมควรรับมือยังไงดีกับไอ้เด็กเม่น หรือจะถามไอ้กลอย แต่แฟนมันคงไม่เสี่ยวเหมือนไอ้เม่น หรือไอ้ทู ไม่ๆ ไอ้เพื่อนคนนี้ปากมาก “โอ๊ย กูเครียด” ขยี้ผมจนยุ่งเหยิง ขัดกับเสียงร้องเพลงในห้องน้ำอย่างอารมณ์ดี
ผมต้องรับสภาพพร้อมเปิดตัว เอ๊ย เปิดใจจริงๆ ใช่ไหม
เฮ้อ ไหวหรือเปล่าเนี่ยกู
เวลาช่างผ่านไปเร็วดั่งนิยาย ปุ๊บๆ ก็วันศุกร์สุดสัปดาห์แล้ว ผมแบกกระเป๋าใส่ในรถกระบะของตัวเอง ผมว่า ผมโคตรจะพร้อมแล้วนะ แต่ยังมีคนพร้อมกว่าผมอีก ไอ้เม่นพกทั้งผลไม้สด กระเช้าอีกสามสี่กระเช้า นี่ถ้าผมอยู่ตอนมันซื้อ ผมคงตบหัวมันไปแล้ว นี่ก็บ่นไปหลายรอบ แต่มันก็แบกมาใส่รถจนได้
“มึงนี่นะ จะซื้อทำไมเยอะแยะ” ก้าวขาขึ้นรถก็เริ่มบ่นอีกรอบครับ กลับบ้านคราวนี้ผมมีโชเฟอร์ ที่จริงก็คิดว่าจะสลับกันขับนั่นแหละครับ ขืนให้มันยิงยาวอาจจะล้าแล้วพากันลงข้างทางได้
“พี่เลิกบ่นสักทีสิ ก็ซื้อมาแล้ว อีกอย่าง เม่นไม่รู้ว่าพ่อกับแม่พี่กินอะไรได้บ้าง เลยซื้อมาหมดเลย” ได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ คืนก็ไม่ได้ “หิว”
“เดี๋ยวแวะซื้อหมูปิ้งตรงมุมซอย” ผมชี้นิ้วแล้วดึงสายเข็มขัดมาคาดตัว
“มา เดี๋ยวแฟนสุดหล่อคนนี้จะทำให้” ไอ้เม่นตีมือผมจนสายมันเด้งกลับที่เดิม เกือบโดนหน้าผมแล้ว “พี่กินก็เยอะ ทำไมไม่อ้วน” ดูมันบ่นครับ “ไม่เป็นไร อยู่กับเม่น เดี๋ยวเม่นบำรุงเอง”
“บำรุงอะไร รีบๆ เลย เดี๋ยวออกสายถึงค่ำพอดี” เกลียดนัก รอยยิ้มจนตาหยีของมันเนี่ย
“ครับๆ”
รถกระบะของผมล้อหมุนแล้วครับ เวลาดีหกโมงเช้าพอดี เส้นทางก็สายเอเชียยิงยาวถึงบ้าน ถ้าผมมาคนเดียวคงขึ้นรถทัวร์ เพราะง่ายและสะดวกกว่า ประหยัดกว่า ปลอดภัยกว่าด้วย ขืนขับรถกลับเองคงหลับในก่อนพอดี
“กินข้าวเหนียวมากเดี๋ยวก็ง่วงหรอก” ผมเตือนคนขับรถที่มันอ้าปากรอข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมปั้นเป็นก้อนทีละคำ มันกินจนจะหมดถุงแล้วครับ สิบบาทเนี่ย
“ถ้าเม่นง่วง พี่ก็เปลี่ยนมาขับก่อน งีบสักสิบนาที ตาก็สว่างแล้ว” เบ้ปากให้คนที่แสนมั่นใจ
“ตาสว่าง แล้วยายไม่สว่างเหรอ” เล่นมุกกากๆ ตามสไตล์ ไอ้เม่นหันมาอ้าปากรอข้าวไม่สนว่าผมจะเล่นมุกอะไร
นี่มันยิ่งกว่าด่าว่ามุกเหี้ยอีก
“มุกพี่เจ๋งว่ะ” ผ่านไปสิบกว่านาที ข้าวหมดปากมันถึงพูดออกมา
“ขอบใจ...ไอ้เหี้ย” หน้างอสิผม ไอ้เม่นหัวเราะจนน้ำตาไหล แม่ง “ขับๆ ไปเลย เอ่อ เดี๋ยวแวะซื้อปลาแดดเดียวแถวสิงห์บุรีด้วยกูอยากกิน” ไม่น่าเชื่อ ว่าผมจะมีคนให้ออกคำสั่ง แล้วมันฟังแทบทุกครั้ง เริ่มมองเห็นข้อดีของการจะมีแฟนแล้วสิ
ถนนสายเอเชียมุ่งหน้าขึ้นภาคเหนือ รถราก็คับคั่งเป็นช่วงๆ ผมเปลี่ยนมาเป็นคนขับแถวๆ กำแพงเพชร เพื่อให้ไอ้เม่นได้นอนหลับ เห็นมันหาวหลายครั้งติด ฤทธิ์ของข้าวเหนียวคงเพิ่งจะกำเริบ ส่วนผมนั้น กำเริบตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงหลังกินอิ่มนั่นแหละครับ
“ขับดีๆ นะครับ เม่นเป็นห่วง” แม้ปากมันจะพูด แต่ตามันปิดสนิทไปแล้ว ผมส่ายหน้าให้กับเด็กที่กล้าบุกไปขอจีบผม ทั้งที่ตอนเจอครั้งแรก ที่มันจะยอมเป็นแฟนนั่น ผมก็คิดว่ามันพูดเล่นๆ ที่ไหนได้ มันกลับเอาจริงเฉย
ผมขับรถมาเรื่อยๆ ถนนก็แบ่งสร้างใหม่ทำให้เวลาที่คิดไว้พลาดไปมาก ยังไม่ถึงบ้านท้องฟ้าก็เริ่มเป็นสีส้มแล้ว แม่ก็โทรมาถามผมเป็นระยะ คงกลัวว่าจะง่วง พอเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่ ผมก็ยิ้มออกเลยทีเดียว ตอนนี้โคตรเมื่อย ขยับก้นไปมาเพื่อให้เหน็บที่กินเบาลงอยู่หลายรอบ แบบว่า มันชาไปหมด
ผมเลี้ยวเข้าแยกเพื่อออกนอกตัวเมือง บ้านของผมอยู่เขตชนบท ช่วงที่รถขับลงหลุมเพราะหลบไม่พ้น แรงส่ายของรถทำให้คนนอนหลับสะดุ้งตื่น ไอ้เม่นงัวเงียมองออกนอกหน้าต่างที่มีแต่ทุ่งนา
“ที่นี่ที่ไหนเนี่ย” มันขยี้ตาไปมา คงมึนๆ สมองทำงานไม่เต็มที่อยู่
“เชียงใหม่” ผมบอก ไอ้คนเพิ่งตื่นรีบทำตาโตหันมามอง
“เฮ้ย ทำไมพี่ไม่ปลุกผม ผมกะจะนอนสักสิบนาทีแล้วเปลี่ยนมาขับ” ยังมาหน้ามาพูด ไอ้เม่นกรนมาตลอดทาง เสียงกรนทำให้เพลงที่เปิดแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“ปลุกแล้ว แต่มึงไม่ตื่น ใกล้ถึงบ้านกูละ” พูดจบ ไอ้เม่นก็ทำหน้าตื่น ไหนใครบอกไม่ตื่นเต้นวะ ผมขำหน้าเหลอหลาของมัน จนมันค้อน “อย่าลืมนะ ว่าพ่อกูมีปืน มึงพูดไม่เข้าหู พ่อกูยิงไส้ทะลุแน่”
“ไม่กลัวหรอก เพราะพ่อพี่จะไม่ทำร้ายคนรักของลูก”
“มั่วตลอดมึงน่ะ”
ท้องถนนที่แสนคุ้นเคย ต้นไม้ที่เคยปีนเล่น และบ้านที่โตมา ผมเลี้ยวรถเข้าหน้าบ้านตัวเอง มีแม่ยืนรอรับอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอรถจอดสนิท ไอ้เม่นก็ดูเกร็งทันที เจอของจริงเข้าไป ไอ้คนกล้าหายไปเลยเว้ย
“ตื่นเต้น” ผมขำให้กับคนข้างๆ ที่มันยังไม่กล้าเปิดประตูออกไป “ต้องลงแล้วใช่ไหม”
“เออ” ผมโบกมือให้แม่ขณะที่ดับเครื่อง และแค่เปิดประตูลงไป หมาที่ผมเลี้ยงมาก็กระโดดโลดเต้นเกาะแข้งเกาะขาดีใจจนผมต้องอุ้มมัน ดีที่ตัวไม่ใหญ่ “แม่ ม่านมาแล้ว” ผมโยนหมาลงก่อนเพื่อไหว้แม่ อยากจะกอดเหมือนกัน แต่บังเอิญกอดหมาไปก่อนหน้า มันเลยดูไม่เหมาะเท่าไหร่ อันที่จริงไม่เหมาะกอดหมาก่อนผมรู้ดี
“มาค่ำแต้” (มาถึงค่ำจริง) แม่ยิ้มให้ผม ก่อนหันไปรับไหว้คนที่เพิ่งลงมา ไอ้เม่นดูเกร็งอย่างเห็นได้ชัด “แล้วนี่...”
“สวัสดีครับ ผมชื่อเม่นครับ” ดีที่ไม่ต้องให้ผมบอก ไอ้เม่นยิ้มตาหยีแนะนำตัวกับแม่ผมเอง ผมลองสังเกตดูท่าทางของมันแล้ว มันคงเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่งแน่นอน
“มาๆ เข้าบ้านมาก่อน กินข้าวหรือยังลูก” แม่ผมเดินไปแตะแขนไอ้เม่น มันสะดุ้งแล้วยิ้มแหยๆ “ไปๆ ม่าน พาเพื่อนเข้าบ้าน แม่เตรียมข้าวไว้แล้ว” พอแม่เดินเข้าบ้านไปก่อน ผมก็รีบเดินไปประกบคนยืนเกร็งทันที
“เป็นไรมึง” ใช้ข้อศอกสะกิด ไอ้เม่นส่ายหน้านิดๆ แล้วยิ้มให้ผม
“เปล่า แค่ไม่ชิน” หรี่ตามองคนบอกไม่ชิน สงสัยปมของครอบครัวมันคงมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วทำไมผมถึงไม่ถามน่ะเหรอ ก็เพราะว่า เรื่องละเอียดอ่อนอย่างเรื่องครอบครัว ถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจเล่าเอง ก็ไปบังคับไม่ได้หรอก “ไปเถอะ”
“เออ กูควรเป็นคนพูดมากกว่า นี่บ้านกู” นี่ไม่ใช่ประโยคที่น่าขำขัน แต่ไอ้คนเดินตามกลับหัวเราะเฉย
นี่ผมไม่ใช่คนตลกนะเว้ยเฮ้ย
เดินตามคนเพิ่งมาบ้านผมครั้งแรก ดูท่าทางจะอยากรู้อยากเห็นพอสมควร ไอ้เม่นมันหยุดเดินทุกๆ ก้าวเพื่อถามผม อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้น
“นี่ถ้วยรางวัลของพี่เหรอ” คำถามกับแรงดึงที่ชายเสื้อ ทำให้ผมหยุดเดิน ทั้งๆ ที่อีกแค่สองก้าวก็จะถึงห้องครัวอยู่แล้ว
“เออ”
“โห ถ้วยอะไร ทำไมเยอะ”
“วิ่งควาย” ไอ้เม่นทำตาโตหลังจากได้ยิน มันเชื่อผมว่ะ
“พี่เป็นควายใช่ไหม เฮ้ย ผมล้อเล่น”
จัดไปเน้นๆ ที่ก้น ผมยกขาเตะจนมันเกือบล้ม พอดีกับแม่เดินออกมา ไอ้ม่านคนนี้เลยถูกฝ่ามือตีเน้นๆ
“แม่อ่า”
“ไม่ต้องเลยนะ ไปทำแบบนั้นกับเพื่อนได้ไง”
“มันไม่เจ็บหรอก...ใช่ไหม” ทั้งผมกับแม่รีบหันไปหาไอ้เม่น มันกระพริบตาปริบๆ ก่อนพยักหน้า “เห็นป่ะ”
“นิสัยไม่ดีจริงๆ ม่านนี่” แล้วก็โดนแม่บ่นรัวๆ ยังดีที่พ่อเดินเข้าบ้านมา เสียงบ่นเลยหายไป
ผมไหว้พ่อแล้วเดินไปกอด ส่วนไอ้เม่นก็ทำเหมือนเดิมคือไหว้ แล้วก็ยืนอยู่เงียบๆ
“คนนี้เหรอที่บอก” พ่อถามปุ๊บ ผมก็ยิ้มให้ “อืม” แล้วพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก
มื้อค่ำของวันนี้ช่างมีความสุขซะจริงๆ แม่ทำกับข้าวของโปรดให้ผม พ่อก็คอยแกะหอยขมให้ โคตรสุขใจ เมื่อก่อนตอนผมจะไปเรียนที่อื่น ผมแอบเห็นแม่กับพ่อร้องไห้บ่อยๆ ก็นะ ลูกชายหล่อเหลาขนาดนี้ก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา (มั่นหน้าสุดๆ)
“แล้วนี่ เป็นเพื่อนม่านเขาหรือ” พ่อผมวางปลาเผาที่เอาก้างออกใส่ในจานข้าวไอ้เม่นครับ มันดูตกใจนิดๆ แล้วพยักหน้าลง ก่อนจะส่ายหน้าทำเอาทุกคนงงไปตามๆ กัน “อ่าว แล้วมันยังไงละ” พ่อผมถามไปขำไป
“มันเป็นรุ่นน้องไอ้กลอย” เป็นผมที่ตอบแทน
“อ๋อ รุ่นน้องกลอยเหรอ แล้วมาสนิทกันได้ยังไง” นี่แม่ครับ คำถามโคตรตอบยากเลย
“คือผม...” ท่าทางอึกอักของไอ้เม่นมันดูขัดตาซะจริงๆ จะเกร็งอะไรนักหนา
“มัน...”
“กลัวพ่อกับแม่หรือลูก เกร็งเชียว หรือข้าวไม่อร่อย” แม่ผมแย่งพูด ผมเลยต้องหุบปากลงก่อนแมลงวันจะบินเข้าปาก ส่วนไอ้เม่นก็กัดริมฝีปากล่างตัวเองอย่างลังเล
“อร่อยครับ” กว่ามันจะตอบ ผมก็ลุ้นจนเกือบกินเปลือกหอยขมไปแล้ว
“อร่อยก็กินเยอะๆ สิลูก ไม่ต้องเกรงใจหรอก” แม่ผมตักแกงเผ็ดหมูให้ไอ้เม่นครับ “แกงนี่ไม่เผ็ดมากหรอก เพราะพ่อเขากินเผ็ดมากไม่ได้”
“คือ...” แค่ไอ้เม่นพูดปั๊บ ทั้งครอบครัวผมก็หยุดทุกอย่าง “ผมไม่เคยกินข้าวพร้อมหน้าพ่อแม่แบบนี้นานแล้ว ก็เลย...”
“อย่าดราม่าสิวะ” กระแทกข้อศอกเข้าท้องคนจุดความเศร้า “กินๆ อย่าคิดมาก” ผมส่งซิกให้พ่อกับแม่กินข้าวต่อครับ ไม่อยากให้การกินมันหมดอร่อย
“กินเยอะๆ ลูก ตอนเช้าอยากกินอะไรบอกแม่ได้ แต่อาหารฝรั่งแม่ทำไม่เป็นนะ” เป็นไงล่า แม่ผม
“ขอบคุณครับ” ผมยังกินไปจ้องคนเขี่ยข้าวไป พอมันตักข้าวเข้าปากก็เริ่มเงียบ “แกงนี้อร่อยครับ”
“แกงแคหอยขมน่ะลูก ของโปรดม่านเขา” ยิ้มอ้อนแม่ทันที โคตรรักอะ ผู้หญิงคนนี้ ไอ้เม่นหันมายิ้มให้ผมแล้วตักหอยที่พ่อผมแกะให้เข้าปาก “อร่อยไหม”
“ครับ” คำตอบกับรอยยิ้มทำเอาผมกับแม่ถอนหายใจออกมา ต่างจากพ่อที่เริ่มวางหอยขมใส่จานไอ้เม่นมากขึ้นโดยไม่พูดอะไรออกมา เดี๋ยวๆ แล้วผมล่ะ นี่แกงโปรดของเม่นนะพ่อ
มื้อค่ำแสนอิ่มท้องและอุ่นใจผ่านไป ผมอยู่ช่วยแม่เก็บกวาด ส่วนไอ้เม่นถูกไล่ไปอาบน้ำที่บ้านเล็กก่อน บ้านเล็กของผมสร้างแยกจากเรือนไม้ของพ่อกับแม่ครับ ได้ฤกษ์เข้าอยู่ครั้งแรกพร้อมกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ที่ไม่อยากเสียเงินค่าโรงแรม ความคิดโคตรดีจริง
จานชามถูกล้างและเช็ดใส่ตู้เรียบร้อย ผมกับแม่ก็ออกมานั่งรับลมที่แคร่ไม้หน้าบ้าน โดยที่ผมนอนหนุนตักแม่ เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก ตักแม่จะมีหัวผมแล้วก็หมาสุดที่รักแย่งกันนอนด้วย มิน่า ผมของผมถึงไม่มีเหา เพราะมีแต่เห็บ...ล้อเล่น
“แม่ว่า ไอ้เม่นมันมีอดีตฝั่งใจป่ะ” ผมถามแม่ มือก็ลูบฝ่ามือกร้านเพราะทำงานหนัก
“ทุกคนย่อมมีอดีตเสมอแหละลูก” แม่ตอบ “แต่แม่ว่า น้องเม่นเขาอาจจะไม่มีคนที่ให้คำปรึกษาที่ดี”
“จะชมว่าตัวเองเป็นที่ปรึกษาที่ดีว่างั้น โอ๊ย แม่ ม่านเจ็บ” โดนสิครับ หยิกจนเนื้อที่แขนริ้วเลย แค่หยอกนิดเดียวเอง
“เรานี่นะ ว่าแต่ พอรู้เรื่องไหมล่ะ” ผมส่ายหัวบนตักแม่ เพราะเรื่องที่รู้ก็เท่าหัวไม่ขีดเลยไม่อยากบอก “เหรอ ดูน้องเศร้าๆ นะ”
“แม่ก็ให้คำปรึกษามันสิ” รีบขยับพลิกตัวมาจ้องหน้าแม่ “ม่านว่า มันต้องเป็นเด็กขาดความอบอุ่นแน่นอน” ดูจากการที่มันไม่กล้าเข้าหาผู้ใหญ่ ผมว่า มันต้องขาดสิ่งนี้ไปแน่ๆ เพราะมันเคยบอกอยู่กับตาและยายแต่ไม่สนิทกัน อืม ต้องใช่แน่ๆ
“แม่เนี่ยนะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ไอ้เม่นก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นผมนอนคุยกับแม่ และเป็นแม่ของผมที่กวักมือเรียกมันให้มานั่งด้วยกัน “อาบน้ำแล้วสบายตัวไหมลูก”
“ครับ” ยังคงพูดน้อยเช่นเดิม ทั้งที่อยู่กับผม ไอ้เม่นพูดเป็นต่อยหอย “นะ น้ำเย็นดีครับ” อยากจะขำให้กับมัน คงไม่รู้จะพูดอะไรนั่นแหละครับ ก็ในเมื่อแม่ผมจ้องมันอยู่
“นั่นสิ น้ำที่นี่เป็นน้ำบาดาลที่สูบขึ้นมากรองน่ะ ไม่ใช่น้ำประปาอย่างในเมืองหรอก” แม่พูดเรียบๆ ก่อนปรายตามองผม “ม่าน ไปเอามะม่วงที่แม่ปอกมาให้น้องเขาสิ...ไป” ผมทำอิดออดเล็กๆ แต่พอเจอสายตาโหด จำเป็นต้องจรลี แต่คิดเหรอ ว่าไอ้ม่านคนนี้จะยอมเชื่อ
ผมย่องกลับมาแอบอยู่ที่มุมประตู ก้มตัวให้ต่ำเพื่อหลบสายตาของแม่แล้วก็ไอ้เม่น ด้านในบ้าน มีเสียงของทีวีที่พ่อกำลังนั่งดูข่าวอยู่
“ไม่ต้องเกร็งหรอกลูก แม่ไม่ได้ใจร้ายแบบม่าน” นั่นไง ขืนไปก็ไม่ได้ยินแม่นินทาตัวเอง ไอ้เม่นพอได้ยินก็ขำออกมา “เม่นมาเชียงใหม่ ได้บอกที่บ้านหรือยังลูก”
“ยังครับ” สีหน้าของมันเวลาตอบคำถามดูอึดอัดพิกล คิ้วก็ขมวดอยู่ตลอดเวลา “คือ พวกเขาไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่อยู่แล้ว”
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะลูก พ่อกับแม่ก็รักลูกทุกคนนั่นแหละ ไม่มีใครไม่สนใจลูกตัวเองหรอก”
“พ่อกับแม่ผม...ท่านเสียไปตั้งแต่ผมอยู่มอต้นแล้วครับ” เงียบ...ทั้งแม่และผมที่ได้ยิน “ที่จริงผมก็อยู่ในรถด้วย เจ็บไม่มาก แต่พ่อกับแม่ก็...เสีย”
“แม่เสียใจด้วยนะลูก” แม่ผมถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เป็นผม ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันครับ มันสะเทือนใจไปด้วยกับเหตุการณ์นั้น
“ผมออกโรงพยาบาลไปอยู่กับปู่ที่ต่างจังหวัด แต่ตากับยายไปรับผมมาอยู่ด้วย” สีหน้าและแววตามันดูเจ็บปวดยามย้อนนึกถึงอดีต
“เม่นมีอะไร ปรึกษาแม่ได้นะลูก เม่นก็เหมือนลูกแม่อีกคนนั่นแหละ” แม่ผมยื่นมือลูบแก้มไอ้เม่น ผมเห็นหรอก น้ำตาของมันน่ะ
“ขอบคุณครับ” ตอนมันยกมือไหว้ ผมถึงกับต้องรีบกระพริบตาตัวเอง ไม่ได้ร้องไห้ตามนะครับ แค่ลมมันพัดขี้ฝุ่นเข้ามาให้ระคายเคืองแค่นั้น “ตากับยายยังไม่เคยพูดแบบนี้กับผมเลย”
“ตากับยายก็รักเม่นนั่นแหละ แต่ท่านคงไม่แสดงออก”
“ผมก็ไม่รู้ว่าเขารักผมหรือเปล่า เพราะพวกเขาก็มีหลานน่ารักกว่าผมอีกตั้งหลายคน ผมคงเป็นคนเดียว ที่พวกเขาไม่สนใจ” เอาอีกแล้วครับ ไอ้เม่นร้องไห้อีกแล้ว มันยกแขนขึ้นปาดน้ำตา คงจะอัดอั้นเรื่องนี้คนเดียวมานานนม “ผมอยู่บ้านที่พ่อกับแม่สร้างไว้คนเดียวตั้งแต่ไปอยู่ที่นั้น ทั้งที่บ้านในนั้นมีหลายหลัง แต่ กลับมีผมแค่คนเดียวที่ไม่มีใครมาสนใจ”
“โถ เม่น” แม่ผมดึงคนร้องไห้มากอดปลอบ ไอ้เม่นสะอื้นเบาๆ อย่างน่าสงสาร
ชีวิตคนเรา มันจะเศร้าได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ ยิ่งกว่าละครอีกนะ ผมว่า
“พวกเขา...พวกเขาไม่เคยมาสนใจสักครั้ง มีแค่แม่บ้านที่มาดูแลเก็บกวาด...” เล่าพร้อมเสียงสะอื้นขึ้นจมูก “หลายครั้งที่ผมถูกตีในความผิดที่ผมไม่ได้ทำ เพราะพวกเขาเชื่อหลานรักของเขา ผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลยนะครับ”
“พอแล้วลูก พอแล้ว ไม่ต้องเล่าแล้วนะ อดีต ยังไงมันก็แค่อดีต มันแก้ไขไม่ได้ เม่นต้องอยู่กับปัจจุบันนะ ตอนนี้เม่นมีแม่ มีอะไรก็โทรมาปรึกษาได้ คิดซะว่า แม่เป็นแม่อีกคนของเม่นก็แล้วกัน ดีไหม” ผมเห็นไอ้เม่นพยักหน้าพร้อมน้ำตาแล้วบ่อน้ำตาตัวเองจะแตก โอย ทำไมแสบจมูกขนาดนั้น
“ขอบคุณครับ” แขนที่เคยกอดผมตอนนอน ตอนนี้มันรัดเอวแม่ผมซะแน่น หมดกัน ไอ้เด็กเสี่ยว ร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กเล็กไปเลย (ด่าตัวเอง)
“แรกๆ มันอาจไม่ชิน เม่นต้องลองเปิดใจ เหมือนที่เม่นตามลูกชายแม่นั่นไง ถ้าไม่เปิดใจ คงไม่ใจกล้าไปขอจีบกลางมหาลัยหรอกจริงไหม” คราวนี้ผมแทบหงายหลัง แม่ไปบอกมันทำไมเล่า โว๊ะ
พอดีผมเป็นพวกไม่มีความลับกับแม่ครับ แม่กับพ่อท่านเลี้ยงผมมาแบบเพื่อน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้หมด ด่าไหม ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นคำปรึกษา คำเตือนหรือชี้แนะมากกว่า
“ครับ” ไอ้เด็กขี้แยหัวเราะออกมาเฉย นี่ก็ไม่มีความอายอยู่บนหนังหน้า
ผมแอบอยู่อีกไม่นานก็เดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อเอามะม่วง ที่ป่านนี้แม่คงบ่นแล้วบ่นอีกว่าผมหายออกมานานเกินไป
“ได้เรื่องเยอะไหมล่ะ” จังหวะที่เดินผ่านพ่อ เสียงนี้ก็ลอยมาพอดี ผมหันไปมอง เห็นพ่อปรายตามาแวบหนึ่ง
“พ่อจะด่าว่าม่านขี้เผือกใช่ป่ะ” ถึงกับต้องย่นคิ้วหยุดถาม
“เออ” จบครับ คำตอบคำเดียว แต่ตอบได้ใจความ
เพิ่งรู้ว่าพ่อตัวเองก็ปากร้ายเหมือนกัน สงสัยติดจากแม่แน่เลย
ค่ำคืนแรกของการกลับมานอนบ้าน ผมยืนมองด้านหลังของคนที่นอนบนเตียงและดูเหมือนจะหลับไปแล้ว ไอ้เม่นที่ผมเห็นยิ้มแป้นแล้นดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องอะไรคนนั้น กับคนที่ร้องไห้เมื่อกี้ช่างดูต่างกัน มันก็เป็นแค่เด็กที่ชอบเก็บปัญหาไว้คนเดียว แล้วสร้างกำแพงขึ้นมาปกปิดเพื่อไม่ให้ใครเห็นด้านหลัง
ความทรมานคงสาหัสน่าดู
ผมลงไปนอนข้างๆ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำยังไง สุดท้ายก็ยกแขนขึ้นพาดตัวมัน และกำลังจะหลับตา คนที่ผมโอบก็ขยับถอยมาชิดจนหลังมันชนกับอกผม มือมันก็จับมือผมไว้แน่น
แม้ไม่หันมา ผมก็รู้ว่ามันยิ้ม...เหมือนที่ผมกำลังยิ้ม
“ฝันดีไอ้เสี่ยว”
.........TBC
บางที คนที่เราเห็นเขามีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เบื้องหลังอาจกำลังเจ็บปวดจนอยากร้องไห้อยู่ก็ได้ (คมจนบาด) อิอิ