
(ชอบอีโมนี้อ่ะ)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 43ที่คิดเอาไว้ว่าที่นี่เปรียบเสมือนห้องขังนั้นคงไม่เกินความเป็นจริง นุเหมือนผู้คุมที่ทำงานตามคำสั่งอย่างดีเยี่ยม ติดตามผมทุกฝีเก้าโดยที่ผมไม่สามารถต่อว่าอะไรได้ ผมใจอ่อนกับนุมาตั้งแต่เมื่อก่อน ยิ่งเกิดเรื่องยุ่งๆ ขึ้นผมเลยยิ่งไม่กล้าว่าอะไรนุแรงๆ ได้แต่หงุดหงิดใส่เท่านั้น
"วันนี้ก็ไม่ต้องทำงานอีกแล้วเหรอ"ผมถามโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือที่อยู่บนตัก
"อืม...ลาพักร้อนระยะยาวแบบไม่มีกำหนด เคยได้ยินมั้ย"นุหันมาตอบแบบยิ้มๆ กับอภิสิทธิ์ที่ตัวเองได้รับจากเจ้าของร้าน
"เราไปอยู่ด้วยกันที่หอนุดีกว่ามั้ย มาอยู่กับพี่หน่อยหลายวันแล้ว เกรงใจ"พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบวันแรก ถ้าต้องอยู่จนสอบเสร็จก็อีกสองสัปดาห์ ผมว่ามันนานเกินไป
"พี่หน่อยก็ไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ถ้าเราไปที่อื่นเขาจะห่วงมากกว่านี้น่ะสิ อยู่นี่แหล่ะดีแล้ว เพื่อความสบายใจของทุกคน"นุพูดถูกครึ่งหนึ่ง พี่หน่อยไปอยู่หอพักที่โรงพยาบาลทุกวัน จะมีแวะเข้ามาทานข้าวด้วยบ้างเป็นบางวัน ส่วนอีกครึ่งที่ไม่ถูกก็คือ...ผม...เป็นคนหนึ่งที่ไม่สบายใจ เพราะงั้นไม่ควรใช้คำว่า..ทุกคน
พรุ่งนี้มีสอบตอนบ่าย ผมยังไม่รู้เลยว่าจะทำข้อสอบได้บ้างมั้ย ปกติ...ผมเคยอ่านหนังสือคนเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ใช่ว่าผมอยากจะกลับไปเหมือนเดิม รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้...ทุกอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว
ตกเย็นพี่หน่อยซื้ออาหารจากข้างนอกมาฝาก ก่อนกลับก็อวยพรให้ผมสอบได้คะแนนดีๆ อยู่ที่นี่ใช่ว่าผมจะลำบากอะไร วันๆ อ่านหนังสือแล้วก็นอน มันไม่โผล่หน้าหรือเสียงมาให้ผมรำคาญใจ แต่....ผมก็ยังหงุดหงิดอยู่เสมอเวลาที่นุรับโทรศัพท์ของมันแล้วคอยรายงานเรื่องราวประจำวันของผมให้ฟัง...ผู้คุมที่ดี...ผมเคยแกล้งเรียกนุแบบนี้ แล้วก็โดนโกรธ ไม่อยากง้อแต่ต้องง้อ อย่างน้อย...นุก็เป็นเพื่อนผม จิ๋วแวะเวียนมาหาเมื่อวันก่อน มานั่งๆ นอนๆ ดูทีวีเป็นเพื่อนนุแล้วก็กลับ ห้องขังนี้ดีหน่อย...ให้คนนอกมาเยี่ยมได้ แต่...คนใน...ไปไหนไม่ได้...สมกับคำว่าห้องขังจริงๆ
รุ่งเช้าผมตื่นมาอ่านหนังสืออีกรอบ นุลงไปซื้อข้าวมานั่งกินกับผมสองคน พอใกล้เที่ยงก็มีสารถีที่ชื่อพี่นัทขับรถมารับไปส่งพร้อมรอรับกลับที่มหาฯลัย ผมลงจากรถโดยมีนุเดินตามตลอด ไม่ถามก็รู้ว่าจะตามไปเฝ้าถึงหน้าห้องสอบแน่ๆ ผมนั่งรอเวลาให้ใกล้เข้าห้องสอบถึงได้ขึ้นไปดูเลขที่นั่งสอบ ผมกับทิวมักจะได้นั่งสอบห้องเดียวกันเสมอ อยู่ในระยะ...ที่มองเห็นกันได้...และ...ทิวยืนรอผมอยู่หน้าห้องสอบอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
"......สอบเสร็จแล้วทิวขอคุยด้วยนะ"ทิวเดินเข้ามาพูดกับผม แต่ผมเดินผ่านเข้ามาในห้องแล้วนั่งในแถวที่สามโต๊ะที่หนึ่ง ส่วนทิว...แถวที่หนึ่งโต๊ะที่สี่ ลำดับที่คุ้นเคยมาตลอดเกือบสี่ปี ผมรีบก้มหน้าทำข้อสอบ พยายามรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับคำถามและตัวเลือก ต้องรีบทำให้เสร็จ...แล้วจะได้รีบออกจากห้องก่อนทิว....ผม...กำลังหนี เป็นครั้งแรกที่รู้สึกขอบคุณนุที่เดินมาด้วย อย่างน้อยผมก็ยังรู้สึกมีที่พึ่ง
เวลาในการทำข้อสอบเกือบหนึ่งชั่วโมงหมดไป ทันทีที่อาจารย์อนุญาติให้ออกจากห้องสอบได้ผมก็รีบลุกเป็นคนแรก เรียกว่าเดินกึ่งวิ่งกลับมาที่รถ พี่นัทไม่ได้อยู่ที่รถ ระหว่างที่มองหาพี่นัทก็วิ่งมาจากทางโรงอาหาร นุคงโทรไปเรียก ผมวิ่งเข้าไปนั่งในรถแล้วก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำลังสั่น ผม...กลัว...ใช่...ผมกลัวทิว ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนั้น...ผมรู้...ว่าทิวจ้องมองผมจากด้านหลัง ผมกลัวทิว ผมไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบตา ไม่กล้าพูดด้วย ภาพวันนั้นย้อนกลับเข้ามาทำให้ผมระแวง ผมคิดว่าทิวคงไม่กล้าทำอะไรผมหน้าห้องสอบ แต่ก็ยังกลัว ไม่ใช่กลัวทิวจะทำอะไรแบบวันนั้น แต่....กลัว...ตัวตนของทิว ผม...ไม่แน่ใจว่า...แบบไหน...คือตัวตนจริงๆ ของทิว แล้วผม...จะเป็นอย่างไร ผม...ยอมรับ...ว่าไม่ได้เกลียดทิว....วันนั้นจนมาถึงวันนี้...ก็ไม่เคยรู้สึกเกลียดเลย....แค่...โกรธ...และกลัว.....เท่านั้นจริงๆ
"พายเป็นอะไร"พี่นัทถามหลังจากที่ขับรถออกมาแล้ว
"หนีทิวมา"นุเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่กลับรับรู้ทุกอย่าง ทิวตะโกนเรียกชื่อผมเสียงดังจนสะดุ้ง ผมรู้ว่าทิววิ่งตามมาแน่ๆ รู้ว่าวิ่งไม่ทัน แต่ทิววิ่งอยู่ ผมไม่กล้าเงยหน้าเพราะ....กลัวตัวเอง
ตลอดระยะทางกลับมาคอนโดฯพี่หน่อยมีแต่ความเงียบ ผมกับนุเดินกลับขึ้นห้องหลังจากพี่นัทอาสาเลี้ยงข้าวเที่ยงแต่ผมปฏิเสธไป นุไม่กวนใจผมที่ขอตัวนั่งอ่านหนังสือในห้องนอนเพียงลำพัง ผมไม่ได้ก้มลงมองตัวหนังสือที่กางคว่ำหน้าบนเตียง ผมคิดเรื่องทิว รู้ดีว่าทำไมทิวต้องดักรอหน้าห้องสอบ นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้พูดกับผม หลังจากที่โทรศัพท์ผมโดนยึดพร้อมๆ กับอิสรภาพในการใช้ชีวิต ไม่สิ...อิสรภาพนั้นโดนยึดไปนานแล้ว ใจหนึ่งผมก็อยากคุยกับทิว อยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทิวทำแบบนั้น แต่...กลัวคำตอบ ผมไม่สามารถแสร้งทำตัวไม่รับรู้เรื่องราวแล้วกลับไปพูดคุยกับทิวได้เหมือนเดิม คำถามของนุย้อนกลับมาในความคิด....มันต่างจากทิวตรงไหน......
การสอบในวันถัดมายังคงเป็นเช่นเดิม หากต่างไปตรงที่ผมเดินจับมือนุให้ขึ้นมาเป็นเพื่อนจนถึงหน้าห้องสอบ แถมยังเข้าสอบสายไปสิบห้านาทีด้วยความตั้งใจของผม ทิวไม่ได้ยืนอยู่หน้าห้องสอบเหมือนเมื่อวาน คงเป็นเพราะมีอาจารย์ไล่ให้เข้าห้องไปหล่ะมั้ง อย่างน้อยวันนี้ผมก็โชคดี มีสมาธิทำข้อสอบมากกว่าเมื่อวาน แต่เมื่อทำข้อสอบเสร็จกลับไม่สามารถลุกไปได้ ทิวยืนรออยู่หน้าห้อง ผมนั่งอยู่ด้านในรอจนหมดเวลาแล้วเดินตามเพื่อนกลุ่มใหญ่ออกไป อย่างน้อยก็อาศัยเพื่อนช่วยบังไม่ให้ทิวเข้ามาถึงตัวผมได้ง่ายๆ และทิวก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรผมต่อหน้าเพื่อนร่วมรุ่นด้วย
"เป็นไงบ้างพาย ทำข้อสอบได้มั้ย"พี่นพถามผมยิ้มๆ คงจะรู้มาจากคนอื่นแล้วว่าผมไม่ค่อยมีสมาธิในการทำข้อสอบเท่าไหร่
"ก็...อย่างที่รู้แหล่ะครับ แล้วนี่พี่มาได้ไง"ผมตอบกลับไปแบบแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นพี่นพในห้อง นุเดินเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดปล่อยให้ผมนั่งคุยกับพี่นพตามลำพัง
"เพิ่งไปลองชุดแต่งงานกับพี่หน่อยมา พายเตรียมหาชุดหล่อๆ ใส่ไปงานด้วยล่ะ"
"ครับ แล้วพี่หน่อยล่ะครับ"
"ลงไปซื้อข้าว ยังไม่ได้กินอะไรใช่มั้ย จะได้กินพร้อมกัน"
"งั้นพายเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ เดี๋ยวออกมาคุยด้วย"ผมเดินตามนุเข้าไปในห้อง พอผมเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกมานั่งคุยกันสี่คน พี่หน่อยลงมือทำสปาเก็ตตี้ขี้เมาให้กิน ดูท่าทางแล้วจะเป็นอาหารโปรดของพี่นพแน่ๆ
"พายสอบเสร็จแล้วไปอยู่กับพี่ที่บ้านนะ"
"ที่รีสอร์ทน่ะเหรอครับ"
"ใช่ ปิดเทอมไม่ต้องเรียนซัมเมอร์ใช่มั้ย"
"ไม่ต้องครับ แต่พายว่าจะหางานทำ"
"ไปทำกับพี่ไง เป็นผู้ช่วยที่คลีนิคหรือที่รีสอร์ทก็ได้ เลือกเอาว่าจะทำที่ไหน"
"จะดีเหรอครับ ไปรบกวนเปล่าๆ"
"ดีสิ ไปให้น้าพรหายคิดถึงหน่อย พรากลูกพรากแม่มาตั้งนาน แม่พี่ด่าจนหูชาแล้ว"
"ผมก็คิดถึงแม่ แล้วแม่กลับมารึยังครับ"
"ยังเลย สงสัยเที่ยวกันเพลิน"
"พาย...อยากโทรหาแม่"
"......ถ้าพายคิดว่าจะไม่ทำให้น้าพรเป็นห่วง พี่ก็จะให้คุย"คำตอบของพี่นพทำให้ผมคิดว่า...สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ ถึงคำพูดจะนุ่มนวล แต่...มันก็มีความหมายเดียวกับ...ไม่ให้คุย ผมอยากจะสวนกลับไปนักว่าแม่ผมจะเป็นห่วงผมเพราะใครล่ะ ไม่ใช่เพราะน้องเขาเหรอที่ทำแบบนี้กับผม
"พายกับนุอยู่ห้องพี่สบายดีนะ มีอะไรก็หยิบใช้ได้ตามสะดวกนะ ของกินในตู้เย็นก็กินได้ ปล่อยทิ้งไว้มันจะเสียเปล่าๆ อยากกินอะไรโทรสั่งร้านข้างล่างแล้วลงบัญชีพี่ไว้ได้เลย นุด้วยนะ ตามสบาย"พี่หน่อยคงเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดีถึงได้เปลี่ยนเรื่อง คู่นี้ก็....ช่วยเหลือกันดีนะครับ
"ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็พอแล้ว"นุพูดแบบเกรงใจ ซึ่งตรงกับใจผมพอดี
"ไม่เป็นไรหรอก มีอะไรก็ช่วยๆ กัน พายก็เหมือนน้อง พี่เคยบอกแล้วไง นุก็เหมือนน้องคนเล็กพี่เหมือนกัน"
"ครับ"ผมตอบรับเบาๆ.....ผมเหมือนน้อง....แต่ไม่ใช่น้องของว่าที่สามีพี่...พี่ถึงได้ไม่เข้าข้างผม
"พายสอบเสร็จวันไหนจ๊ะ"
"พฤหัสหน้าครับ"
"อืม...งั้นสอบเสร็จแล้วพายไปอยู่รีสอร์ทพี่เลยแล้วกันนะ พี่กับพี่หน่อยต้องไปถ่ายรูปแต่งงานที่นั่น ไปพร้อมกันเลยจะได้ช่วยๆ กัน นุด้วยนะ ถือว่าไปเที่ยว"พี่นพวกเข้ามาเรื่องนี้อีกครั้ง เห็นทีผมคงจะปฏิเสธไม่ได้
"เรื่องที่ให้ผมไปอยู่ที่นั่นเป็นความคิดพี่หรือใคร"คำถามผมทำให้ทั้งวงสนทนาตกอยู่ในความเงียบ แค่นี้ก็ได้คำตอบแล้ว วิธีการบังคับแบบนี้ออกจะคุ้นเคย.....วิธีการของมัน
".....ถือว่าได้ไปอยู่เป็นเพื่อนน้าพรแล้วกันนะพาย อย่าคิดในแง่ร้ายนักเลย"พี่นพพูดโดยไม่แก้ไขความเข้าใจของผม นี่เป็นการยืนยันว่าผมคิดถูก ผมจะได้ย้ายห้องขังใหม่เร็วๆ นี้
"ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีแง่ดีให้คิดเลย คงเพราะเพราะไม่ใช่คนในครอบครัวเหมือนพี่ แล้วก็ไม่ได้หลงรักมันเหมือนใครแถวนี้ล่ะมั้ง"ผมพูดจบก็ลุกเดินกลับเข้าห้องนอนอย่างไม่สนใจมารยาท รู้ตัวว่าคำพูดนั้นทำให้ใครเจ็บบ้าง แต่ผมเคยเจ็บมากกว่านี้อีก แบ่งๆ กันไปบ้างจะเป็นไร ไหนๆ ก็มีส่วนร่วมกันทั้งนั้นนี่
--------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความสามารถในการทวงต้นฉบับเป็นเลิศ

(ยกย่องตัวเองได้อีก)