
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 37ที่คิดเอาไว้ไม่ผิด ตัวผอมๆ แบบนี้จะมีแรงสู้สักเท่าไหร่กัน แค่โดนตีด้านหลังก็ทรุดลงไปหลับไม่รู้เรื่อง แต่เพื่อกันมันตื่นอั๋นเลยเอายาสลบโปะให้มันสูดเข้าไปอีกนิด ผมขับรถด้วยความสบายใจพอๆ กับไอ้อั๋นที่นั่งยิ้มสมใจที่จะได้แก้แค้นอยู่ข้างๆ ส่วนเหยื่อที่จับมาก็นอนสลบให้ไอ้นัทลูบไล้เล่นๆ ที่เบาะหลัง
“ตัวจริงแม่งน่ารักกว่าในรูปอีกว่ะ เสียดายไม่น่ามีผัวแล้วเลย”นัทลูบแก้มคนที่นอนหนุนตักมันเบาๆ แววตาเสียดายอย่างเห็นได้ชัด เดาว่าที่เสียดายคือคนที่สลบไม่ซิงแค่นั้นเอง ไอ้นี่ชอบฟัดเด็กอ่อนๆ หรือไม่ก็ชายแท้ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่บ้ามาก เพราะชายแท้ที่ไหนจะมานอนให้มันเอา มีแต่มันนั่นแหล่ะที่ต้องนอนให้เขาเตะเอาเสียมากกว่า
หลังจากขับออกมาจากกรุงเทพฯได้สักพัก เพื่อนอีกกลุ่มที่นัดไว้ก็กำลังขับรถตามมาสมทบ ผมค่อนข้างใจเย็นถึงแม้จะรู้ว่าเรากำลังจะทำเรื่องที่เรียกว่า...ผิดกฎหมาย...อย่างที่บอกไว้ว่ามีเส้นใหญ่และสถานที่ที่กำลังไปก็เป็นที่ส่วนตัว ผมสามารถคุมคนเข้าออกแถวนั้นได้ ไม่ต้องกลัวเรื่องเสียงหรือ...การหลบหนี การเดินทางใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงรีสอร์ท ผมโทรบอกให้เตรียมบ้านหลังเล็กของผมไว้ล่วงหน้าแล้วหนึ่งวัน พอเรามาถึงทุกอย่างเงียบสงบเพราะบ้านพักผมติดกับเขตไร่ ซึ่งนอกเหนือเวลางานจะไม่มีใครมายุ่มย่าม เขตรั้วแน่นหนาพอที่จะวางใจว่ามันไม่สามารถแอบหนีไปได้ ด้านในบ้านพักสะอาดเรียบร้อยหลังจากไม่ได้มานานหลายเดือน เครื่องดื่มถูกอัดแน่นเต็มตู้เย็นตามคำสั่ง ผมกับอั๋นไม่สนใจเหยื่อสักเท่าไหร่ ปล่อยให้นัทมันอุ้มเข้าไปนอนในห้องนอนผม อั๋นเดินตามเข้าไปพร้อมกับเอากุญแจมือมาล็อคเอาไว้ ผมคิดไม่ถึงว่ามันจะลงทุนสั่งไอ้นัทให้หากุญแจมือมาให้ อุปกรณ์แปลกๆ นัทมีหมดแทบทุกอย่าง เพราะมันเป็นคนรักสนุกอย่างสุดขั้ว กุญแจมือคล้ายกุญแจมือของตำรวจแต่มีการดัดแปลงลักษณะของโซ่ที่ยาวกว่า นัทอธิบายให้ฟังว่ามันเอาไว้เล่นสนุกเวลาล็อคแขนล็อคขาคู่ขามัน ถ้าโซ่สั้นไป...บางท่า...มันก็ไม่สะดวก ผมแอบคิดไปว่ามันพกเอาพวกปลอกคอหรือแซ่หนังอะไรมาด้วยหรือเปล่า
ผมโทรไปสั่งอาหารที่ให้มาส่งที่บ้าน รอไม่นานอาหารก็มาพร้อมๆ กับเพื่อนอีกกลุ่ม แต่ละคนทยอยเข้าไปเยี่ยมชมคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอย่างสนุกสนาน ผมนั่งกินเหล้ากับอั๋นโดยไม่ค่อยสนใจในห้องเท่าไหร่ มีเพียงไอ้นัทที่ให้ความสนใจร่างที่นอนเป็นกับแกล้มให้มันมองเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อนหลายคนที่กะว่าจะมาเที่ยวเล่นเฉยๆ ก็เริ่มให้ความสนใจกับกิจกรรมที่ผมสามคนตั้งใจมา เหล้าเข้าปากจิตใจฝ่ายต่ำมักจะถูกกระตุ้นง่ายๆ ผู้ชายเป็นเพศที่ไวต่อแรงกระตุ้นทุกรูปแบบ ต่อให้เป็นชายแท้แต่พอเมาแล้วเห็นคนนอนสภาพเสื้อผ้าถูกปลดให้เห็นเรือนร่างบางส่วนยิ่งกระตุ้นความอยากเห็น พวกมันได้ฟังเหตุผลของการมาที่นี่ก็เพราะไอ้อั๋นเริ่มเมาแล้วพร่ำเพ้อออกมา ยิ่งดึกยิ่งคึกเป็นเรื่องจริง และยิ่งเมาด้วยแล้วอารมณ์ดิบยิ่งเพิ่มทวีคูณ ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการทำให้คู่นอนพึงพอใจในลีลา มันเหมือนเป็นการโอ้อวดเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากปากต่อว่าเรานั้นเจ๋งและสุดยอดแค่ไหน ทว่าครั้งนี้ไม่จำเป็น เพราะเป็นแค่เหยื่อ...แค่ความสนุกชั่วคราวแก้เซ็งของผม และเพื่อล้างความทุกข์ของเพื่อน
กิจกรรมทุกอย่างเริ่มดำเนินไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างเหิมเกริมเมื่อรังแกและได้ยินเสียงหวาดกลัวของคนที่นอนหมดทางต่อสู้ อั๋นไม่สนใจที่จะรับรู้เหตุการณ์ในห้อง แต่มันยื่นกล้องวีดีโอให้ไอ้นัทถ่ายเพื่อแบล็คเมล์ภายหลัง เอาที่จริงมันก็ดี เพราะจะได้มีหลักประกันว่ามันคงไม่กล้าแจ้งความให้เรื่องยุ่งยาก หรือหาทางมาแก้แค้นคืนอีกรอบ ผมเป็นคนเดียวที่ต้องเป็นฝ่ายกระทำอย่างเต็มรูปแบบเพราะเพื่อนคนอื่นแค่เข้ามาช่วยเหลือ นัทไม่สามารถร่วมวงได้เพราะกลัวเหลือร่องรอยที่จะสร้างความเสียหายอีกหลายล้าน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว บังคับให้อีกฝ่ายใช้ปากให้อย่างทุลักทุเล ผมไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่เพราะตอนนี้มีบางสิ่งผิดปกติ...ทุกอย่างมันผิดไปหมด...การดิ้นรนขัดขืน เนื้อตัวสั่นเทา อาการเกร็งสะท้านทั่วตัว ผมเคยเชื่อมั่นว่าลีลาตัวเองเด็ดแต่กลับเสียความมั่นใจไปเมื่อคนใต้ร่างแสดงสีหน้าทรมานตลอดเวลา ร่างกายที่เกร็งทำเอาผมเจ็บไปด้วยจนเกิดโมโห ถ้ามันยอมง่ายๆ ก็ไม่เจ็บตัวขนาดนี้ ทำเหมือนไม่เคย.....ใช่...ชั่วขณะที่สอดใส่และรั้งสะโพกเข้ามาผมคิดแบบนี้....เหมือนไม่เคย
ทุกอย่างยิ่งสับสนมากขึ้นเมื่อโต้เถียงกับมันในเช้าวันใหม่ ไอ้เด็กเวรนี่ตื่นมาถึงก็ปากดีใส่ผมอย่างที่เรียกว่าไม่เคยมีใครทำมาก่อน...ไม่สิ...คำว่าวิปริตที่มันด่านั้นผมเคยได้ฟังมาเมื่อนานมาแล้ว และผมก็ตอบแทนคนที่พูดคำนั้นกลับไปอย่างสาสม แต่ครั้งนี้ต้องละไว้ให้คู่กรณีมันจัดการก่อน ผมค่อยจัดการทีหลัง คำด่าทอของมันยังไม่หยุดแค่นั้นทั้งที่ผมพยายามใจเย็น สิ่งที่มันพูดกระทบความคิดเมื่อคืนอย่างจัง...ผมต้องยอมรับกับตัวเองอย่างลึกๆ ว่า.....ไอ้เด็กนี่ไม่มีท่าทางของคนโกหก...รวมถึงไม่เหมือนคนที่เป็นเกย์แล้ว ผมรีบเดินออกไปจากห้องเพื่อสอบถามกับไอ้อั๋น กว่าจะปลุกมันลุกขึ้นมาได้ก็แทบหมดแรง ระหว่างรอให้มันอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกมาคุยกันเสียงในห้องนอนผมก็ดังอย่างผิดสังเกต มันทำกระจกตู้เสื้อผ้าผมแตกซะไม่มีชิ้นดี ผมเป็นคนค่อนข้างหวงของทุกอย่าง ต่อให้ไม่ค่อยได้กลับมาแต่ถ้าได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของผม หากผมไม่เขวี้ยงทิ้งเอง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ ผมกำลังจะหันไปหาเรื่องมันแต่กลับกลายเป็นเห็นมันคู้ตัวทรมานเหมือนจะขาดอากาศหายใจ สีหน้าซีดลงและตะกุยคอตัวเองจนเป็นรอยแดง คนอื่นๆ เริ่มเข้ามามุงในห้องแล้วยืนงงกับสิ่งที่พบเห็น...คนกำลังจะตาย...ไอ้นัทเป็นคนที่แก้สถานการณ์ได้เร็วสุดตามนิสัยขี้ระวังตัว มันรีบบอกให้ผมไปสตาร์ทรถ ส่วนมันอุ้นเด็กนั่นมานั่งที่เบาะหลัง ผมคิดว่าการที่เราจับตัวมันมาข่มขืนเนี่ยพอจะรอดคุกด้วยเส้นสายได้ แต่ถ้ามันตายในสภาพที่ผ่านการร่วมเพศอย่างสาหัสนี่ผมคิดว่าไม่ติดคุก แต่คงอับอายในสังคมจนอาจทนไม่ไหวเหมือนกัน ทางเดียวที่คิดได้คือ...มันต้องรอด
“เอาไงดีวะมึง ถ้าไปโรงพยาบาลมีหวังเจอสอบแน่เลยว่ารอยตามตัวนี่เกิดจากอะไร กูว่าเอามันไปทิ้งไว้ข้างทางดีมั้ยวะ ยังไงมันก็ไม่รู้จักหน้าพวกเราอยู่แล้ว”ความคิดไอ้นัทรอบคอบดีมั้ยครับ โคตรเอาตัวรอดเลย ถ้าตายด้วยอุบัติเหตุที่ผมพอจะทำใจ แต่ถ้าเอาไปปล่อยไว้ให้ตายเองนี่...ผมว่าผมยังไม่เลวถึงขั้นนั้น สุดท้ายผมเลยขับรถออกไปที่คลีนิคหน้ารีสอร์ท....ทางเลือกสุดท้ายที่ผมคิดจะมาขอความช่วยเหลือจากคนที่นี่
“ไปทำอะไรกันมาเนี่ย แล้วนี่ใคร”คำถามแรกหลังจากผมอุ้มคนที่นอนหายใจระรวยเหมือนคนใกล้ตายเข้ามาด้านใน ไอ้นัทเลือกที่จะนั่งรอในรถเพราะกลัว...นักสืบ ผมไม่ได้ตอบคำถามอะไรก็รีบอุ้มคนตัวเบาในอ้อมแขนไปนอนในห้องฉุกเฉินแล้วออกมายืนรอฟังผลและคำด่าด้านนอก
เพียงเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าทุกอย่างก็สงบลง เด็กนั่นแค่เกิดแพ้อาหารอย่างรุนแรงจนเกิดผื่นขึ้นทั้งด้านในและนอกลำคอ ทำให้หายใจไม่ออก แปลกดี ทีเมื่อคืนผมใส่มันไม่ยั้ง เลือดอาบจนหน้าขาผมยังเลอะไปด้วยแต่ไม่ยักจะดูใกล้ตาย นี่แค่...ของกิน...ดันเสือกจะตาย
“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไง อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะว่าร่องรอยพวกนั้นคืออะไร ทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ได้ไง ไม่มีความคิดกันเลยรึไง นั่นก็คนเหมือนเรานะ เกิดตายขึ้นมารับผิดชอบไหวมั้ย ครอบครัวเขาอีก คบแต่เพื่อนเลวๆ จนเลวตามกันไปหมดแล้วรึไง”มาเป็นชุดจนไม่อยากเถียง คนนี้เป็นคนเดียวที่ผมยอมทุกอย่าง ยอมให้ด่า ยอมให้ดูถูก เพราะผมรู้ว่าเขาเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของผม
“เรื่องมันยาวนะพี่นพ ไว้กลับบ้านผมจะเล่าให้ฟังนะ อย่าไปบอกแม่ใหญ่ล่ะ ขี้เกียจฟังคนแก่บ่น”
“คิดว่าเรื่องนี้มันเล่าได้รึไง อายุตั้งเท่าไหร่กันแล้ว ถ้าไปแข่งรถ เมาหัวทิ่มหัวตำหรือไปต่อยตีกับใครนี่พี่ไม่ว่าเลยนะ แต่นี่ข่มขืนคนไม่มีทางสู้..อย่าเถียงนะ แค่เห็นรอยที่ข้อมือข้อเท้าก็รู้แล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่พี่จะปิดแม่แล้วจบหรอกนะ ตั้มทำลายชีวิตคนหนึ่งคนไปแล้ว มันสำคัญตรงที่เขาไม่ตาย เพราะงั้นความเจ็บปวดมันจะยังอยู่ แล้วจะรับผิดชอบยังไง อย่าคิดว่ารักษาหายแล้วจบนะ พี่ว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายเหมือนตอนที่เอาปืนไปยิงรถกำนันหรอกนะ”พี่นพพูดความผิดครั้งใหญ่เมื่อสามปีก่อน ผมบังเอิญไม่ถูกชะตากับกำนันในตำบลผม แล้วมันก็เกลียดผมเข้าไส้ด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากผมเด็กแต่ไม่เคารพวัยวุฒิใคร มันเลยสร้างความรำคาญเล็กๆ ให้ผมด้วยการ...ไม่ให้เงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ทางอบต.ต้องจ่ายให้ทุกเดือน ผมยังไม่แก่ ไม่มีสิทธิได้ แต่พนักงานที่รีสอร์ท แม่ครัว แม่บ้าน ป้าๆ ยายๆ ที่อยู่กับผมตั้งแต่เด็กได้รับความเดือดร้อนทางใจ เงินไม่กี่ร้อยบาทน่ะไม่ทำให้คนของผมขัดสนหรอก แต่มันเหมือนการหยามน้ำหน้าว่าเราไม่มีปัญญารักษาผลประโยชน์คนในปกครองได้ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ผมเมาแล้วดันไปกินร้านเดียวกัน ด้วยความปากดีของพวกวัยวุฒิสูงแต่คุณวุฒิต่ำเลยทำให้เส้นความอดทนที่แสนบางของผมขาดสะบั้น คว้าปืนที่มีไว้ในรถเพื่อป้องกันตัวเวลาเดือนทางไกลขึ้นมายิ่งใส่รถมัน แล้วก็ยืนรอให้ตำรวจมาจับพร้อมใช้เส้นเชิญตัวเองออกจากโรงพักด้วยการจ่ายเงินค่าปรับในการทำลายทรัพย์สินผู้อื่นเพียงไม่กี่พัน แต่ผมตอบแทนความอดทนต่ำของผมสาหัสมาก พี่นพไม่ด่าผมสักคำ แต่ปิดคลินิกที่ลงทุนมาทั้งชีวิตและรักยิ่งกว่าชีวิตด้วยเหตุผลที่ว่า...ไม่อยากรักษาคนไข้ที่ผมอาจจะเผลอความอดทนต่ำใส่ ผมอึ้งไปพักใหญ่ รู้ดีว่าพี่ชายรักอาชีพหมอ และมีจิตวิญญาณของการปกป้องคนอื่นมากแค่ไหน หากแต่ไม่คิดว่า...จะปิดกิจการเพราะผม ยิ่งกว่าคำว่ารู้สึกผิด...คำว่า..ขอโทษ...ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แล้วผมก็ทำสิ่งที่คิดว่า...สมควร...การก้มหัวให้คนสำคัญไม่ใช่เรื่องยาก...การที่ผมกราบเท้าขอโทษพี่ชายตัวเองก็ไม่ยากเช่นเดียวกัน...ครั้งนั้นพี่นพยื่นคำขาดเรื่องการพกอาวุธและบอกให้ผมเรียนโทต่อ ผม...รับคำทันที และพี่นพก็เปิดกิจการเหมือนเดิม
ครั้งนี้เลวร้ายกว่าครั้งนั้น เพราะผมทำให้พี่ชายตัวเองกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเพื่อปกปิดความผิดน้องชายตัวเอง ผมเครียดมาก และถึงมากที่สุดเมื่อกลับมาพบเพื่อนๆ ผมถามอั๋นในสิ่งที่สงสัยค้างไว้ ว่ามันแน่ใจเหรอว่าคนที่จับมาไม่ผิดตัว และคนๆ นี้...เป็นเกย์ มันยังคงยืนยันว่าไม่ผิดตัวแน่ คนๆ นี้กับคนในรูปคือคนเดียวกัน แต่ที่ผมสงสัยคือ...คนตัวบางอย่างนั้นเนี่ยนะที่ข่มขืนผู้หญิงของมัน ต่อให้สู้ตัวต่อตัวกับผู้หญิงผมยังต้องคิดเลยว่าจะชนะหรือเสมอ สุดท้าย...ผมเลือกที่จะเชื่อความมั่นใจแบบโง่ๆ ของเพื่อนผม ไม่มีเหตุผลอื่นรับรอง...แค่เพราะมันเป็นเพื่อน
วันนั้นเพื่อนๆ ทยอยกลับกันในตอนค่ำเพราะเริ่มหมดสนุก แต่ผมคิดว่ามันกลัวจะติดร่างแหกันมากกว่า คนที่ยังอยู่กับผมมีแค่นัทกับอั๋น พวกมันรู้ว่าผมซีเรียสกับเรื่องที่ต้องลากพี่นพมาเอี่ยว เรารอพี่นพอยู่ที่บ้านอย่างสงบเสงี่ยมด้วยเบียร์ที่เหลือไม่กี่กระป๋อง ตอนเย็นพี่นพกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูแย่...และโกรธผมอย่างที่เข้าหน้าไม่ติด ไม่พูดไม่แสดงอาการอะไรนอกจากยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างมองพวกผมสามคนที่นั่งจ้องกระป๋องเบียร์ตรงหน้า
“รู้มั้ยว่าทำอะไรกันลงไป”ประโยคที่แสนสั้นส่อเค้าพายุที่กำลังค่อยๆ ก่อตัวเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะรู้จักพี่ชายผมดีว่า....ยามพี่ถอดเสื้อกราวน์ออกไปแล้ว...พี่นพสามารถจับมีดผ่าตัดแทงคนได้อย่างไม่ลังเล และยินดีเย็บแผลให้โดยไม่คิดค่าบริการ
“เด็กคนนั้นเหมือนจะอาการไม่ค่อยปกติ ดูตื่นกลัวคนแปลกหน้า ขนาดที่ยังไม่กล้าเอื้อมมือไปตรวจแผลใกล้ๆ หน้าตาเหมือนขู่ให้กลัวแต่ดันมีน้ำตาคลอ...เด็กแบบนี้นี่นะที่สมควรโดนพวกนายทำลาย”
“พี่นพไม่รู้เรื่องทั้งหมด ที่ผมทำกับมันน่ะสมควรที่สุดแล้ว”
“การที่ทำร้ายคนหนึ่งคนไม่มีเหตุผลใดที่จะเอามาอ้างได้ว่า...คนนั้นสมควรโดน ฉะนั้นอย่าเอาเหตุผลอะไรไร้สติมาพูดกับพี่”คำพูดพี่ชายผมเป็นประกาศิต ไม่มีใครกล้าเถียงสักคำ ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่พี่พูดมามันถูกต้อง หากแต่...ผมก็แค่...ทำตามความคิดที่ไร้สติในแบบของผม
“ใครเป็นคนลงมือ”พี่นพเลือกใช้คนพูดที่นุ่มนวล ไม่เจาะจงว่า...ใครข่มขืน...ใครสอดใส่บ้าง...ใครสนุกกับร่างกายนั้นบ้าง
“ผมคนเดียว”ผมตอบเร็วอย่างไม่คิดที่จะปิดบัง ไม่ดึงคนอื่นมาเอี่ยวด้วย
“รู้มั้ยว่าเด็กนั่นเกือบตายถ้าไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ร่างกายรอดแต่จิตใจไม่รู้ว่าตายไปรึไง แต่พี่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ในขณะที่น้องชายตัวเองเป็นทำตั้งใจทำลาย พี่จะทำยังไงดีตั้ม”
“พี่จะให้ผมทำอะไรผมยอมหมด”
“แน่ใจว่ายอมหมด”พี่นพถามย้ำ และผมพยักหน้าเนือยๆ ไม่อยากยอมแต่ต้องยอม กลัวใจพี่ตัวเองมากกว่ากลัวสิ่งที่ต้องทำ
“อย่างแรก...กลับมาดูแลรีสอร์ทและกิจการทั้งหมดในเครือ”คำสั่งแรกก็แทบกระอัก ที่นี่ถึงจะเป็นบ้านแต่ผมกลับพยายามใช้เวลาอยู่น้อยกว่าที่ควรเป็น และคำสั่งที่ให้มาไม่ต่างจากสั่งให้ผมเข้าคุก เรื่องที่หลีกเลี่ยงตลอดเวลากลับต้องยอมรับเพราะ...ไอ้เด็กนั่น
“อย่างที่สอง...รับผิดชอบจนกว่าเด็กคนนั้นจะหายเป็นปกติ และพี่เชื่อว่า...มันไม่ใช่เร็ววันแน่ๆ เพราะเด็กนั่นประสาทเสียจนพี่คิดว่าจะกลับไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ถ้าเขาเป็นบ้า...นายต้องทำให้เขาหาย ถ้าเขาตาย...ต้องทำให้ฟื้น...ชดใช้ให้เขาซะ”สิ้นสุดคำสั่งผมนั่งอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง จากที่คิดว่าทำๆ ไปซะแล้วก็จบ แยกย้ายไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม มันไม่รู้จักหน้าผม ส่วนผมไม่สนใจมัน ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า..ผมต้องเอาตัวเองไปผูกติดกับมัน...คำว่าชดใช้ฟังดูเหมือนกับคำว่าไถ่บาป ในใจแล้วผมค่อนข้างสังเวชตัวเองและสมเพชเด็กนั่น ผู้ชายอะไรอ่อนแอฉิบหาย แค่นี้ถึงกับจะเป็นบ้า แล้วผู้หญิงของไอ้อั๋นป่านนี้ไม่ฆ่าตัวตายไปแล้วเหรอ...อืม...อันที่จริงก็ทำไปแล้วนี่นา
“พรุ่งนี้ไปตรวจเลือดกับพี่ด้วย”
“เฮ้ย!! อย่าบอกนะว่ามันเป็นโรคอะไรน่ะ”ผมหน้าซีดเลย เมื่อวานก็นึกสนุกกับการดิ้นรนขัดขืน คิดว่ามันคงผ่านมาไม่เยอะเลยไม่ป้องกันอะไร
“ถ้าเขาจะเป็นก็คงติดจากนายนั่นล่ะ เด็กนั่นกลัวจะติดโรคเลยขอให้พี่ตรวจ เข้าใจบ้างรึยังว่าต่อไปนี้ชีวิตคนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปเพราะการกระทำเลวๆ ของพวกนายทุกคน”
ผมและผู้ร่วมชะตากรรมอีกสองคนนั่งรถกลับด้วยความอึดอัด ทุกคนรู้ดีว่าการให้ผมต้องฝืนใจทำอะไรเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะทำเพื่อ...คนอื่น ผมคิดว่าจะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ หากเด็กนั่นต้องใช้เสียเงินค่ารักษาอะไรผมยินดีจ่าย นี่ถือเป็นการชดใช้ในแบบของผม แต่นั่นไม่ใช่แบบของพี่นพ ทุกวันและแทบจะวันละหลายรอบที่โทรมาเพื่อบังคับให้ผมฟังความเคลื่อนไหวของเด็กนั่น ไม่ว่าจะอาการทางจิตที่หวาดวิตกผู้คน หรือปัญหาเรื่องงาน ระยะหลังนอกจากพี่นพแล้วก็คือพี่หน่อย จิตแพทย์สาวที่พี่ชายผมคบหาดูใจกันอยู่เงียบๆ เรื่องราวบีบคั้นผมหนักกว่าเก่าเมื่ออั๋นพบซีดีเจ้าปัญหาที่อยู่ในกระเป๋าผู้หญิงของมัน วันที่เกิดเหตุแล้วมันเป็นคนไปช่วยทุกอย่างเหมือนจะฉุกละหุกจนมันลืมคืนสิ่งของที่ตกในรถ และเมื่อมันเปิดดูถึงรู้ว่าภาพในนั้นคือภาพแพรกำลังถูกข่มขืน มันไม่อยากดูต่อไปแต่ก็อยากดูเพื่อมองหน้าผู้ร้ายทั้งหมด ฝ่ายนั้นค่อนข้างรอบคอบเพราะไม่สามารถมองเห็นหน้าใครสักคนได้ชัดเจน มีเพียงน้ำเสียงซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร และมันยอมรับว่าความแค้นมันยังไม่จบ มันยังอยากแก้แค้นกับเหยื่อคนเดิม แต่ไม่คิดจะลากพวกผมไปเกี่ยวด้วย หลังจากที่มันให้คนตามสืบเรื่องราวส่วนตัวเพื่อตามหาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ขาหรือสามีของเด็กนั่น มันถึงรู้ว่า...มีบางสิ่งผิดพลาดไป
ทุกสิ่งทุกอย่างจากปากมันรวมกับคำบอกเล่าจากพี่หน่อยถึงเรื่องราวส่วนตัวของคนไข้ทำให้ผมคิดหนัก เมื่อเริ่มแน่ใจว่า...จับผิดตัว เด็กนั่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการข่มขืน ที่แน่ใจเพราะเท่าที่รู้พายไม่มีเพื่อนสนิทเกินสองคน หนึ่งคือเพื่อนร่วมคณะ อีกหนึ่งคือเพื่อนข้างห้องพัก ผมเริ่มที่จะเป็นฝ่ายติดตามเด็กนั่นโดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาคะยั้นคะยอให้ดูแล พายมีอาการอย่างที่พี่หน่อยบอกทุกอย่าง ระแวงคนแปลกหน้าโดยเฉพาะผู้ชาย ผมเคยเดินเข้าลิฟต์ตัวเดียวกันและแอบสังเกตอาการอยู่ด้านหลัง หน้าตาซีดลงพร้อมขบเม้นริมฝีปากจนแทบได้เลือด ฝ่ามือกำแน่นอย่างอดทน คงจะทำตามคำแนะนำพี่หน่อยว่าอย่าหนีและอย่ากลัว ความบังเอิญเล็กๆ เกิดขึ้นเมื่อผมไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วบังเอิญพบกับเพื่อนข้างห้องของพายที่นั่น จากที่จ้องมองกันไปมาก็เริ่มต้องใจเงียบๆ ด้วยลักษณะภายนอกที่ถูกใจ และเมื่อรู้ว่านุเองก็มีรสนิยมเดียวกันจึงไม่ยากที่คืนนั้นจะหิ้วกลับไปนอนด้วยได้ ยอมรับว่าค่อนข้างพอใจกับลีลาที่ไม่ได้จัดจ้านของนุ จากครั้งแรกก็มีครั้งที่สองและสามตามมา ผมรู้ว่านุขัดสนเรื่องเงินพอสมควรจึงเสนอตัวช่วยเหลือเหมือนที่เคยทำกับคู่นอนบางคนที่ถูกใจ เงื่อนไขง่ายๆ ในการคบหาก็คือ...ผมไม่ชอบแบ่งปันกับใคร ถ้าได้ชื่อว่าอยู่ในความดูแลของผมแล้ว คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ ผมเสนอให้นุมาทำงานที่ร้านเบเกอรี่ที่ใกล้มหาลัยฯของเขา เงินเดือนนอกเหนือจากงานจะโอนเข้าบัญชีที่ผมเปิดไว้ให้ นุเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัด บางครั้งที่กลับบ้านก็จะมีของฝากเล็กๆน้อยๆ ติดมือมาให้ผม ผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน เมื่อถูกตามตัวให้กลับไปดูแลรีสอร์ทและไร่ ขากลับผมก็จะมีของฝากมาให้ แปลกตรงที่...ผมมักนำมามากพอสำหรับสองคน เหมือนจงใจให้เขาเผื่อแผ่ไปให้เพื่อนข้างห้องที่พูดถึงให้ผมฟังบางครั้ง ความคิดที่ยังลังเลว่าผิดตัวจริงหรือไม่เริ่มหายไปจากเรื่องราวจากปากคนรอบข้าง พายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ แม่เองก็อยู่ต่างจังหวัดและไม่ได้มีรายได้พอจะส่งเสีย เงินทุกอย่างในชีวิตประจำวันมาจากการทำงานของพาย บางส่วนเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายเรื่องการเรียน และบางส่วนส่งกลับไปให้แม่ พายเป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยพูดกับคนแปลกหน้า แต่ถ้าสนิทแล้วจะยอมบอกเรื่องราวส่วนตัวหรือหยอกล้อได้ ไม่ได้มีผลการเรียนดีเด่นแต่ขยันและอดทนเพื่อคว้าปริญญามาให้แม่และเป็นใบเบิกทางในการทำงานเพื่อรายได้สูงๆ รวมแล้วผมว่าเด็กนั่นเป็นคนที่เรียกว่า....อ่านง่าย....ทุกการกระทำเพียงเพื่อแม่เท่านั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคนแบบนี้ไม่มีวันทำเรื่องเลวร้าย ไม่มีทางโกหกหลอกลวง
ผมยืนอยู่ระเบียงห้องนอนของนุ คืนนี้เป็นคืนแรกที่มาใช้สถานที่นี้แทนโรงแรม เจ้าของห้องนอนหลับเพราะความเหนื่อย ส่วนผมอาบน้ำแล้วแต่งตัวเตรียมตัวกลับ หากแต่เสียงซักผ้าด้วยมือดังจากระเบียงข้างห้องเรียกความสนใจไว้ก่อน ตอนนี้ล่วงเข้าวันใหม่มาชั่วโมงกว่าแต่ดันมีคนนั่งซักผ้า แทนที่จะลงไปใช้เครื่องซักผ้าอัตโนมัติเหมือนคนอื่นๆ คงเพิ่งกลับมาจากงานใหม่ที่เริ่มทำได้สักพัก บางทีจิตสำนึกพื้นฐานของคนคงหมดไปจากตัวผม ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมทำกับเขามันผิด...แต่ไม่ได้รู้สึกผิด....สิ่งที่เขาตะโกนใส่หน้าผมวันนั้นยังก้องในหัว....คำพูดที่สื่อว่าผมโง่จนไม่รู้ว่าใครที่ยัง...บริสุทธิ์...หรือ...เคยผ่านมาแล้ว คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็อดยิ้มมุมปากบางๆ ไม่ได้....
เด็กนั่นเป็นของผม!! -----------------------------------------------------------------------------------------
เหมือนทุกรีฯ จะให้อภัย แต่..

อีโมมันข่มขู่ชัดๆ

ป.ล. คนแต่งพึ่งแต่งเสร็จสดๆร้อนๆ ตอนแต่งก็กินไวน์ไปด้วย
จะมีคำผิดเยอะหน่อยนะ คนโพสพยายามแก้ไขอยู่จ้า
