
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 24ผมนั่งมองกระจกข้างกับกระจกมองหลังตลอดเวลา บอกตรงๆ ว่าใกล้จะสติแตกเต็มที กลัวว่ามันจะเกิดบ้าขึ้นมา แล้วขับรถปาดหน้า กระชากผมออกจากรถแบบในหนัง ส่วนทิวดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขับรถไปก็เล่าเรื่องที่ร้านไป ผมเออออตามเรื่องตามราว กว่าจะมาถึงหอ เหงื่อนี่ชุ่มไปหมดทั้งมือ
“ไปก่อนนะทิว ไว้เจอกันพรุ่งนี้”ผมรีบดีดตัวออกจากรถ บอกลาทิวลวกๆ แล้ววิ่งขึ้นห้อง คำกล่าวลาที่ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า เพราะผม....อาจกลายเป็นศพหมกห้องอยู่ที่นี่ก็ได้
เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ก็รีบกดล็อคกลอน ถอยจากประตูมายืนสงบอยู่กลางห้อง สภาพห้องเหมือนเจอขโมยเข้าห้องเลยครับ ตู้เสื้อผ้าไม่ได้ปิด เสื้อผ้าก็กระจายตามพื้น ชั้นหนังสือก็มีหนังสือกองอยู่นอกชั้น นี่แสดงว่าวันนั้นมันเลือกของยัดใส่กระเป๋าผมด้วยเหรอ ถ้าคว้าได้แล้วจับใส่กระเป๋า สภาพห้องผมคงไม่รกเพราะโดนลื้อแบบนี้
เสียงไขกุญแจห้องทำให้ผมหันไปมอง ลืมไปเลยมันเคยไขเข้ามาในห้องผมก่อนหน้านี้หลายครั้ง บางทีมันอาจจะขโมยกุญแจสำรองในลิ้นชักโต๊ะคอมฯ หรือไม่ก็แอบเอากุญแจไปปั๊ม แต่กว่าที่จะดึงตัวเองมาจากเรื่องที่คิดอยู่ได้ คนที่ไขกุญแจก็เปิดเข้ามาในห้องแล้ว ผมแถวหลังไปยืนชิดประตูระเบียง เตรียมมองหาของป้องกันตัวที่อยู่ใกล้มือ
“.......ไปแจ้งย้ายออกซะ เดี๋ยวจะนั่งเก็บของรอ”มันมองหน้าผมชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ
“ห๊ะ!!”ผมร้องถามแบบไม่มั่นใจว่าได้ยินถูก น้ำเสียงมันราบเรียบเกินไป
“พูดครั้งเดียวไม่รู้เรื่องรึไง บอกให้ไปแจ้งย้ายออก จะหักประกันอะไรก็ช่างเขา เดี๋ยวจ่ายคืนให้”มันเดินไปนั่งบนเตียง หันหน้าเข้าตู้เสื้อผ้า กวาดสายตามองหาของบางอย่าง ผมไม่รอให้มันไล่อีกรอบ รีบเดินออกจากห้องลงไปที่สำนักงานข้างล่างทันที
กว่าจะคุยกับเจ้าของหอรู้เรื่องก็โดนว่าซะหูชา ถึงจะไม่เอาเงินประกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ผมเดินซึมๆ เพราะความรู้สึกผิดเล็กๆ กลับมาบนห้อง กล่องเบียร์สามกล่องบรรจุไปด้วยหนังสือและข้าวของจุกจิกที่มัน...โกย...ลงใส่ลัง กระเป๋าเสื้อผ้าของผมสองใบวางอยู่บนเตียง ใบหนึ่งถูกยัดจนเต็ม อีกใบมันกำลังจับยัดโดยไม่ถอดออกจากไม้แขวนเสื้อ
“ทำไรน่ะ แบบนั้นเสื้อมันก็ยับ ไม้แขวนเสื้อก็งอหมดสิ”ผมรีบไปแย่งของในมือมันมาถือเอง
“ความจริงไม่ต้องเอาไปก็ได้นะ เสื้อผ้าก็ซื้อให้ใหม่ตั้งเยอะแล้ว”
“อะไร ซื้อให้ตอนไหน ผมไม่เอาหรอกนะของๆ คุณน่ะ”ผมพูดไปก็ถอดเสื้อออกจากไม้แขวนไป ส่วนมัน...แย่งเสื้อจากมือผม แล้วยัดใส่กระเป๋า ผมก็ต้องรีบดึงออกมาสลัดแล้วพับใหม่
“ก็ซื้อให้วันที่พาไปตัดสูทไง เอาไม่เอาก็ต้องใส่ ไม่งั้นก็ทิ้ง”มันพูดโดยไม่มองหน้าผมเลย บรรยากาศตอนนี้ทำให้ผมอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ปฏิกิริยาของมันไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ รวมถึงคำพูดด้วย ไม่คิดว่าน้ำเสียงและสีหน้าจะยังนิ่งได้แบบนี้ ผมคิดว่ามันจะตะคอกใส่ พร้อมแถมหมัดให้บนหน้าสักหมัดสองหมัดซะแล้ว มัน....นิ่งเกินไป แต่ก็ช่างมันเถอะ แบบนี้ก็ดีแล้ว ยังไม่พร้อมจะได้แผลอะไรมาซ้ำรอยเก่า
“ทำอะไรน่ะ”มันเดินมาถามระหว่างที่ผมกำลังนั่งเขียนจดหมายสั้นๆ บนโต๊ะ
“เขียนจดหมายบอกนุก่อน อยู่ดีๆ ผมหายไปเขาคงคิดมาก”
“แล้วทำไมไม่โทรไปบอกด้วยตัวเอง”
“จะให้บอกว่าไงล่ะ ผมไม่ได้กล้าหาญขนาดจะพูดกับนุโดยตรงหรอกนะ เพราะอะไรคุณก็น่าจะรู้อยู่”
“แล้วเขียนลงไปว่าไง”มันพยายามจะก้มลงมาอ่าน แต่ผมเอามือปิดเอาไว้
“ไม่ได้พูดอะไรถึงคุณหรอกน่ะ”
“พูดไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร ตกลงเขียนบอกเขาว่าไง”น้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจอย่างที่พูดจริงๆ
“ก็...บอกว่า....มีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อย ตอนนี้เลยต้องไปอยู่ห้องพักสำหรับพนักงานไง”นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องเบอร์โทรเก่าที่ไม่มีวันโทรติด แล้วก็เหตุผลที่ผมหายไปหลายวัน ผมต้องโกหกเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ กับอีกกี่คนกัน
“ก็โกหกเนียนดีนี่”มันพูดอย่างชื่นชมปนถากถาง
“คำชมแบบนี้ผมไม่ต้องการหรอกนะ”ผมหันไปมองหน้าคนที่ถอยไปนั่งบนเตียง ถึงจะไม่ได้พูดตะคอกเสียงดัง แต่คำพูดมันกลับทำให้ผมโมโหได้เสมอ
“ก็ใครบอกให้โกหกล่ะ เลือกเองแท้ๆ”
“เฮอะ...ผมคงกล้าเอาไปพูดหรอกนะ รูปเอย คลิปเอย ทุกอย่างมันอยู่กับคุณหมดแล้วนี่ ถึงนุหรือคนอื่นรู้ แต่คนอย่างคุณคงไม่ปล่อยผมไปสบายง่ายๆ หรอก”ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันทำกับผมแบบนี้ทำไม แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ...มันไม่ปล่อยผมง่ายๆ หรอก
“งั้นการที่พายมาอยู่ใกล้ๆ พี่ มันก็เป็นการดีแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากได้ของพวกนั้นคืน ก็มีแต่...ทางนี้...ไม่ใช่หรือไง”
“หมายความว่าไง”ผมตวัดสายตาไปถาม ไม่เข้าใจความหมายของมัน ทางที่มันบอกน่ะ...คือการที่ผมต้องเอาตัวเข้าแลกงั้นเหรอ
“....ก็...ไฟล์คลิปรวมถึง...รูปพวกนั้น...มันอยู่ที่พี่ ถ้าพายไม่ไปอยู่ใกล้ๆ จะมีทางไหน......เอาไปได้เหรอ”มันพูดยิ้มๆ ถึงจะอธิบายยาวขึ้นกว่าเดิม แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ว่าทางที่มันบอก....คืออะไร
“ก็แล้วทำไงถึงจะได้คืนมาล่ะ ผมต้องอยู่กับคุณไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย”
“มันขึ้นอยู่กับพาย...ไม่ใช่พี่”คำพูดของมันฟังเหมือนผมเลือกได้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย
“ก็ถ้าคุณไม่ใช้วิธีสกปรกแบบนั้นบังคับผม มีเหรอที่ผมจะอยากไปอยู่ใกล้ๆ คุณน่ะ”ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“.......อุตส่าห์พยายามพูดดีก็แล้ว อะไรก็แล้ว แต่...สงสัยจะยิ่งทำให้ได้ใจสินะ ถึงได้ลุกขึ้นมาพูดอะไรไม่คิดแบบนี้”
“คนอย่างคุณ...มันจะแกล้งทำดีได้นานแค่ไหนกันเชียว”ผมเริ่มรู้สึกว่า ยิ่งอยู่ใกล้มันนานเท่าไหร่ เส้นความอดทนระหว่างผมกับมันเริ่มจะเท่ากันทุกที
“บอกได้เลยว่า...ไม่นานอย่างที่คิดหรอก แล้ววันนี้มันก็เกินลิมิตแล้วด้วย ทำอะไรไว้อย่าคิดว่าพี่จะปล่อยผ่านไปง่ายๆ นะ ถ้าไม่สั่งสอนซะบ้าง คงไม่เข้าใจสินะว่าควรจะทำตัวยังไง”
“.....ทำตัวเป็นกระสอบทรายล่ะมั้ง”
“ทำตัวเป็นเมียที่ดีจะเหมาะกว่านะ ไหนๆ ก็ยืนเถียงคล่องขนาดนี้ กลับไปก็คงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง”มันลุกขึ้นยืนจ้องกลับมา สีหน้าแววตาที่ส่อไปถึงเรื่องที่มันกำลังพูด ผมรังเกียจมัน....พอๆ กับเริ่มรู้สึกรังเกียจร่างกายตัวเอง
“ไม่นะ!!! ผมไม่ยอม ถ้าคุณบังคับผมอีกผมจะฆ่าตัวตาย คนของคุณก็มีตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปยุ่งกับเขาล่ะ”
“พายก็เป็นคนของพี่เหมือนกัน”
“
ไม่ใช่!! ผมไม่ได้เป็นของคุณ นุต่างหากที่เป็นของคุณ และถ้าคุณสำนึกได้ก็ควรเลิกยุ่งกับผมได้แล้ว”ผมตะโกนใส่หน้าพร้อมชี้นิ้วไปยังกำแพงคั่นห้องของผมกับนุ
“ถ้าเรื่องของนุมันสร้างปัญหาให้นักล่ะก็ จะเลิกตอนนี้เลยก็ได้นะ”มันไม่พูดเปล่า หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมกดโทรออกด้วย
“อย่านะ!!”ผมรีบเอื้อมมือไปแย่งโทรศัพท์มาถือไว้ โล่งใจที่เบอร์ตรงหน้ายังไม่กดโทรออก
“.....จะเอายังไง”
“ผมต่างหากที่ควรถามจะคุณจะเอายังไงกับผมอีก แค่นี้ผมก็ไม่มีหน้าไปคุยกับนุแล้ว”
“ก็จะทำให้คุยกันง่ายขึ้นไง”มันเคยเข้าใจอะไรง่ายๆ เหมือนคนอื่นบ้างมั้ย ปัญหามันควรจบโดยการที่มันเลิกยุ่งกับผม แล้วจะคบกับนุต่อหรือไม่ ก็ต้องไม่ใช่เพราะผม
“คุณมันบ้า เคยเข้าใจความรู้สึกคนอื่นบ้างมั้ย หรือทุกอย่างมันเป็นเพียงเรื่องสนุกสำหรับคุณเท่านั้น ใครจะเป็นจะตายยังไงเคยสนใจบ้างมั้ย คงไม่สินะ เพราะคุณไม่เคยสนใจใคร รวมทั้งไม่เคยมีใครสนใจคุณด้วย...ใช่มั้ย!!”
“............”ไม่มีเสียงพูดอะไรกลับมา ผมก็ไม่คิดจะพูดอะไร ได้แต่ยืนหอบหายใจหลังจากระเบิดอารมณ์ สายตาที่จ้องมองผมอย่างไม่รู้ความหมาย แต่ผมก็ไม่ยอมหลบตา ยังคงยืนจ้องตาระหว่างที่เรายืนเงียบ
“รีบเขียนให้เสร็จแล้วตามไปที่รถ ของพวกนี้จะให้คนอื่นมาขนวันหลัง”มันพูดจบก็หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าสองใบบนเตียงเดินออกจากห้อง ผมยืนมองตามแผ่นหลังแบบงงๆ นึกว่าจะพูดอะไรกลับมา แต่ก็เปล่า...ให้มันตะคอกหรือด่ากลับมาผมจะรู้สึกดีกว่านี้นะ ถึงผมจะเกลียดมันแค่ไหน แต่...ผมก็ไม่เคยด่าใครแรงแบบนี้ ยิ่งมาเงียบใส่...ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
หลังจากเขียนจดหมายเล็กๆ ไปสอดใต้ประตูห้องนุ ผมก็กลับมานั่งที่รถ ตลอดทางกลับห้องมีแต่ความเงียบ วันนี้ทั้งวันผมนั่งรถกับคนใบ้ถึงสองครั้ง...อึดอัดพิกล
กลับมาถึงห้อง มันก็แยกเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน ผมจัดเสื้อผ้าไปแขวนในตู้เสื้อผ้ามันบางส่วน ที่เหลือก็ยัดใส่กระเป๋าไว้เหมือนเดิม เหลือบมองไปเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เพิ่งกลับมาจากการส่งซักและแขวนอยู่ในตู้ ผมหยิบเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนมาทาบตัวแล้วมองกระจก มัน...พอดีตัวผมจริงๆ และนั่นหมายความว่า...เสื้อผ้าพวกนี้เป็นขนาดของผมทั้งหมด มันใส่ไม่ได้แน่ๆ ยอมรับครับว่าเสื้อผ้าพวกนี้ดูดีและน่าใส่ทุกตัว แต่....ก็อย่างที่บอก ของๆ มันไม่ว่าอะไร ผมก็ไม่อยากแตะ
ผมนอนดูทีวีที่ไม่มีรายการอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ หากแต่มันเงียบเกินกว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ เจ้าของห้องก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็นอีกตั้งแต่เข้าไป ผมเริ่มคิดหนักว่า...ตัวเองพูดเกินไปหรือเปล่า...บางทีคนเราอาจจะไม่มีใครเลวร้ายโดยไม่มีเหตุผล หากแต่เพราะเขาอาจจะมีปมในใจ หรือมีปัญหาในวัยเด็กก็ได้ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ...ผม...จะสามารถให้อภัยมันสำหรับเรื่องที่ผ่านมา....ได้มั้ย
“นั่งเหม่ออะไร เรียกตั้งนานไม่ได้ยินรึไง”มันเดินออกมานั่งข้างผมเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีหน้าก็ห่างจากผมไม่กี่คืบ
“ตกใจหมด อยู่ดีๆ ก็ยื่นหน้ามา”ผมผงะถอยไปนิดหน่อย ก่อนจะลุกหนีไปนั่งโซฟาอีกตัว
“มัวแต่ใจลอยไปถึงใครอยู่ล่ะ”
“.....ประสาท”
“โทรไปสั่งข้าวขึ้นมากินซะ เบอร์จดอยู่ตรงฝาตู้เย็น”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวลงไปหาอะไรกินข้างล่างก็ได้”
“โทรไปสั่งขึ้นมา แล้วสั่งข้าวผัดกุ้งให้ด้วย”มันออกมาจากห้องเพราะหิวสินะ ไม่ยักรู้ว่าคนบ้าก็หิวเป็น มันวางเงินทิ้งไว้หนึ่งร้อย แล้วก็เดินกลับเข้าห้องทำงานไป ผมเดินไปที่ตู้เย็น ฝาตู้เย็นมีเบอร์โทรศัพท์มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหารประเภทต่างๆ ผมโทรไปสั่งข้าวผัดมาสองจาน เพื่อประหยัดเวลาในการทำ ไม่นานพนักงานก็เดินขึ้นมาส่ง คราวนี้ผมไม่ต้องไปเคาะเรียก สงสัยจะได้ยินเสียงกริ่ง มันเลยเดินออกมานั่งรอที่โซฟา ผมวางจานลงตรงหน้ามันพร้อมเงินทอนเฉพาะส่วนของมัน
“อะไร”
“ตังค์ทอนไง”
“ไม่ต้อง”มันมองเงินทอนข้างจานแล้วเลื่อนมาตรงหน้าผม
“ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน”ผมไม่สนใจ เดินไปนั่งโซฟาตัวถัดจากมัน แล้วลงมือกินข้าว มันก็นั่งกินไปดูทีวีไป ระหว่างเราไม่มีคำพูดอะไรที่เอ่ยออกมาอีก และเงิน...ก็ยังวางอยู่ที่เดิม จนกระทั่งมันกินเสร็จแล้วเดินกลับเข้าห้อง ผมมองเงินทอนอย่างหนักใจ รู้ว่าเงินแค่นี้อาจจะเป็นแค่เศษเงิน แต่ถึงบาทเดียวผมก็ไม่อยากได้จากมัน กระปุกพลาสติกใบเล็กบนตู้เก็บจานถูกหยิบมาใช้แทนกระปุกออมสินชั่วคราว อย่างน้อยมันจะได้เห็นว่าผมไม่ได้เอาไป และเงินก็ไม่ได้ถูกวางทิ้งไว้เหมือนไม่มีค่า
วันนี้ถึงแม้ผมจะใช้ชีวิตอยู่กับมันในห้องสองคนทั้งวัน แต่ก็เหมือนต่างคนต่างอยู่ ทุกอย่างมันเงียบสงบเกินไป....จนผมกังวล การที่มันตามผมไปคอนโดทิวได้นั่นก็น่ากลัวพอแล้ว แต่...มันก็ไม่ได้ทำอะไร ถึงแม้วันนี้ผมจะว่าอะไรมันไปรุนแรงแค่ไหน.....มันก็ไม่โต้ตอบกลับมา ผมหยิบหมอนผ้าห่มออกมานอนบนโซฟา.....มันก็ไม่ขัด.....อาการนิ่งสงบแบบนี้...ชวนให้ประสาทเสียมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ข้อสงสัยต่างๆ ที่นอนกลัดกลุ้มเมื่อคืนจางหายไป จากที่คิดว่า...มันอาจจะปรับปรุงตัว หรือคิดได้ว่า...ทำกับผมมากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพยายามคิดในแง่ดีถูกมันตอกย้ำว่า...คนอย่างมันไม่มีดีจริงๆ รุ่งเช้ามันอาสาแกมบังคับที่จะไปส่งผมเหมือนเคย เวลาเรียนไม่ได้ถูกเอ่ยถาม เพราะมันเช็คจากเว็บไซต์ของคณะแล้วปริ๊นท์ออกมาแปะไว้หน้าตู้เสื้อผ้า จากที่เคยเอาตัวรอดโดยการพุ่งออกนอกรถมันทันทีที่รถจอดก็ไม่สามารถทำได้เพราะมือที่ล็อคไว้แน่นยิ่งกว่าคีม
“จะทำอะไร ถึงแล้วก็รีบๆ ปล่อยผมสิ”ผมพยายามแกะมือออกโดยไม่โวยวายให้คนข้างนอกผิดสังเกต
“ปล่อยก็ได้”มันปล่อยจริงๆ ด้วยครับ แต่ทันทีที่ปล่อยจากมือผม มันก็เปิดประตูรถออกไป ผมรีบลุกออกจากรถแล้ววิ่งหนีทันที แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็ตามมารั้งแขนผมไว้ทัน
“คุณจะทำอะไร”ผมพยายามกดเสียงต่ำพอๆ กับข่มอารมณ์ตัวเอง
“ก็ถ้าให้มาเรียนแล้วมีปัญหามากนัก...ลาออกซะเลยดีกว่ามั้ง”มันบีบข้อศอกผมเบาๆ เพื่อให้ผมอยู่นิ่งๆ
“..มะ..ไม่นะ”ไม่รู้ว่าผมพูดคำนั้นออกไปได้ไง รู้เพียงแต่ว่า...ผมไม่อยากลาออกจริงๆ ถึงจะเคยกล้าประชดมัน แต่....ผมอยากเรียนสูงๆ จะเอาปริญญาให้แม่ไปอวดคนอื่นๆ
“งั้นก็ว่าง่ายๆ แค่จะไปส่งที่ห้องเรียนเท่านั้นล่ะ”มันดันข้อศอกให้ผมเดินนำ แต่ผมขืนตัวเอาไว้
“ไม่ได้หรอก วันนี้ผมไม่ไปที่อื่นเหมือนเมื่อวานอีกแล้ว ผมขอร้องล่ะ คุณกลับไปเถอะ เลิกเรียนแล้วผมจะรีบกลับ หรือจะให้โทรบอกคุณ ให้คุณมารับก็ได้ จะเอายังไงก็ได้ ขอร้องล่ะ....อย่า...อย่าทำกับผมแบบนี้”ผมพูด...พูดสิ่งที่ตัวเองไม่คิดอยากจะพูด ความอ่อนแอของตัวเอง ผม...ยังไม่พร้อม หากทิวมาเจอล่ะ จะให้ผมบอกว่าไง ในเมื่อทิวก็รู้ว่ามันเป็นแฟนนุ คำโกหกที่ผมเพิ่งบอกไปเมื่อวานล่ะ แล้ว...มันจะพูดอะไรกับทิว มันจะทำอะไร.....กับเพื่อนคนสำคัญของผม
“อ้าวพาย จะเข้าเรียนแล้วนะ มายืนทำอะไรตรงนี้”เสียงเรียกจากด้านหลัง....เสียงของคนที่ผมไม่อยากพบมากที่สุดตอนนี้....ไม่ทันแล้วใช่มั้ย
----------------------------------------------------------------------------------------------------
เสียงใครหนอนั่น

V1นุ V2 ทิว v3 ต่อ
ทายถูก รับตัวและหัวใจคนโพสไป
