-เจ้าหลง (1) -
ใครๆ ก็มีอดีตกันทั้งนั้น…
อดีตเลวร้ายที่เป็นเหมือนกับดัก
ลวงเราให้จมปลักกับความทรงจำแสนเจ็บปวดอยู่ซ้ำๆ
แต่เชื่อมั้ย...
ถ้าหากทำให้ความเจ็บปวดจากบาดแผลในอดีตเหล่านั้นจางลงได้
คุณจะพบว่ามันยังเหลือพื้นที่มากมาย...
ให้คุณได้เติมความทรงจำครั้งใหม่ที่สวยงาม
“อึก... อื้อ! ใจเย็นๆ ก่อนสิ” เสียงกระเส่าของหญิงสาวในชุดเดรสรัดรูปสีดำขลับเอ่ยขึ้นมาขณะที่พยายามเบือนหน้าหนีจากคนที่เอาแต่วุ่นวายอยู่กับการมอบจุมพิตร้อนแรงให้เธอจนแทบไม่เว้นโอกาสให้หายใจ
“...” ร่างสูงไม่ตอบอะไร แต่เคลื่อนริมฝีปากต่ำลงไปยังซอกคอขาวเนียน จูบซ้ำๆ อย่างไม่กลัวว่าผิวสวยจะช้ำ
ลมหายใจร้อนผ่าวและริมฝีปากที่กดจูบหนักๆ ลงมาไม่หยุดทำให้หญิงสาวหัวเราะพึงพอใจ “นายนี่มันใจร้อนชะมัด” เสียงหวานเอ่ย ก่อนจะจับใบหน้าของเขาให้เงยขึ้นมาสบตาเธออีกครั้ง ดวงตาคมสีนิลฉายแววที่บ่งบอกถึงความปรารถนาอย่างซื่อตรง
“เหรอ” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทั้งออดอ้อน ทว่าเย่อหยิ่ง...
รอยยิ้มที่ทำให้เจ้าของร่างระหงอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงไปหาเขาเสียเอง
เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะในลำคอเมื่อรู้ว่ารอยยิ้มเคลือบยาพิษนั่นได้ผลเสมอ ความร้อนแรงของรสจูบที่เต็มไปด้วยไฟปรารถนาคงจะนำพาไปสู่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่า ถ้าหากว่าไม่มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาหยุดการกระทำเหล่านั้นเสียก่อน
“ฮึก...” สองร่างที่กำลังนัวเนียหยุดชะงัก แต่ไม่นานร่างสูงก็ทำท่าจะจรดริมฝีปากลงไปอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
“ดะ...เดี๋ยวสิ ฉันว่าฉันได้ยินเสียงคนนะ” เสียงหวานปรามขึ้นมา พยายามจะเบือนหน้าหนี
และคราวนี้มันทำให้ชายหนุ่มชักจะหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
“แล้วไง” จมูกโด่งซุกลงไปที่ซอกคอระหงอีกครั้งพร้อมกับใช้ริมฝีปากฝากรอยจูบไว้กับผิวเนียน ขณะที่ฝ่ามือหนาเริ่มซุกซนปัดป่ายไปทั่วเรือนร่างเย้ายวน
“อ๊ะ... เดี๋ยวสิ” หญิงสาวเบิกตากว้างเมื่อสัมผัสร้อนๆ จากฝ่ามือเคลื่อนมาที่ขาอ่อนของเธอ และทำท่าจะสูงขึ้นถ้าหากว่าเสียงหวานไม่ร้องห้ามเสียก่อน “มีคนอยู่ตรงนั้นจริงๆ นะ”
เวรเอ๊ย
ร่างสูงสบถในใจ และพ่นลมหายใจหงุดหงิดออกมา ดวงตาสีดำสนิทคมกริบมองกลับไปตามสายตาของหญิงสาวแวบหนึ่งและพบว่าเขากับเธอไม่ได้อยู่ในซอกตึกสกปรกนี้ตามลำพัง
“เด็กนั่นอะไรน่ะ” ร่างบางชี้ไปยังใครบางคนที่นั่งกอดเข่าขดตัวอยู่ข้างถังขยะห่างออกไปไม่ไกลนัก ขณะที่เจ้าของคิ้วเข้มขมวดแน่นอย่างสงสัยปนขัดใจ
นั่นไม่ใช่เด็กแน่...
ถึงจะนั่งขดตัวอยู่ในชุดประหลาดๆ ที่เหมือนกับชุดมาสคอตตุ๊กตาก็เถอะ แต่ขนาดตัวและใบหน้าสวยหวานที่โผล่ออกมาจากฮู้ดสีน้ำตาลนั่น ก็บ่งบอกอย่างดีว่าเจ้าของร่างเล็กที่ขดตัวอยู่ในซอกมืดๆ นั่นน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเขา
“ช่างเถอะ” น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดเอ่ยขึ้น และหันกลับมาหาหญิงสาวต่อ ถึงจะมีเรื่องขัดอารมณ์ถึงสองครั้งสองครา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมให้คืนนี้ผ่านไปโดยไม่ได้อะไร
ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่...
“ไปที่อื่นกันเถอะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างออดอ้อน ขณะที่เขากำลังสาละวนอยู่กับการพรมจูบไปที่ไหปลาร้าของเธอ ส่งเสียงปฏิเสธในลำคออย่างเอาแต่ใจ แต่สุดท้ายก็ฟิวส์ขาดอีกครั้งเมื่อร่างบางยื่นข้อเสนอใหม่
“ไปที่ห้องนายไม่ได้เหรอ”
“...”
“สัญญาว่าจะไม่ทำตัววุ่นวายแล้ว” แม้จะพยายามใช้เสียงออดอ้อนแบบที่เขาชอบ แต่คำถามต้องห้ามที่เพิ่งเอ่ยออกมา ก็ทำเอาร่างสูงหยุดชะงัก
เขาพ่นลมหายใจหงุดหงิดอีกครั้ง ก่อนจะผละออกมองหน้าหญิงสาวด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
“คิดจะเล่นตัวกับฉันหรือไง” ว่าพลางยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด มือเรียวล้วงบุหรี่ในกระเป๋าออกมาจุดสูบดับอารมณ์คุกรุ่น
เขาไม่ชอบคนที่ทำตัววุ่นวาย สำหรับเขามีแค่ได้ กับไม่ได้... เท่านั้นเอง
“เปล่าสักหน่อย อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิ” ร่างบางขยับเข้ามาเกาะแขนอย่างต้องการเอาใจ “แต่ตรงนี้มันไม่เหมาะเท่าไหร่” เธอพยักหน้าไปทางบุคคลปริศนาที่ยังส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุด
ดวงตาเรียวคมสีนิลตวัดกลับไปมองอีกครั้งก่อนจะแสยะยิ้ม แล้วพ่นควันสีขาวขุ่นออกมาจากริมฝีปาก มันเป็นความผิดของเขาเองที่ดันใจร้อนอยากจะมาทำเรื่องอย่างว่าที่นี่ ถ้าไปโรงแรมซะตั้งแต่แรก คงไม่ต้องมายืนหงุดหงิดหมดอารมณ์อยู่ตรงนี้
“ไปที่ห้องนายเถอะ นะ น้า~ แล้วฉันจะเป็นเด็กดี ไม่ยุ่งกับห้องของยะ...”
“หุบปาก” น้ำเสียงของเขาทวีความเย็นชาขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“วายุ...”
“ไปซะ” แม้แต่แววตาก็แปรเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่มีแววออดอ้อนปนเจ้าเล่ห์อีกต่อไป มันดูไร้ความรู้สึกเสียจนหญิงสาวขนลุก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังกล้าที่จะสบตาสู้ และคลี่รอยยิ้มบางอย่างต่อรอง
“ไม่เอาน่า” เคลื่อนใบหน้าสวยกระซิบชิดริมฝีปากได้รูปที่กำลังแสยะยิ้มหยัน
“...”
“อย่าทำแบบนี้สิ ฉันรู้นะว่านายกระหายจนแทบจะระเบิดแล้ว” นิ้วเรียวไล้ไปตามแผ่นอกกว้างที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตสีดำที่กระดุมหลุดลุ่ยอย่างต้องการปลุกเร้าอารมณ์
แต่แน่ล่ะ ว่าคนถูกยั่วไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับหญิงสาวตรงหน้าอีกแล้ว เขาหัวเราะในลำคอ ปัดมือเธอออกอย่างไม่ไยดีก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบรอดไรฟัน
“ไสหัวไป”
“นี่!” เสียงแหลมตวาดใส่หน้าเขาอย่างหมดความอดทน ยิ่งเห็นคนตรงหน้าหลับตาข่มอารมณ์พลางถอยออกมาพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งอุดหูอย่างจงใจกวนประสาทก็ยิ่งทนไม่ไหว “อย่าสำคัญตัวเองนักนะวายุ”
“...”
“คิดว่าฉันจะง้อหรือไง” เธอชักสีหน้าก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก “นายต่างหากที่ต้องอ้อนวอนฉัน”
“...”
“อดอยากปากแห้งมาหลายวันแล้วนี่... คิดดูดีสิ ป่านนี้แล้ว จะมีผู้หญิงที่ไหนให้นายหิ้วไปดับกระหายได้อีก” เป็นถ้อยคำน่าสมเพชที่เล่นเอาเขาต้องแค่นหัวเราะ และสบตาเธอด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าเธอไร้ค่าแค่ไหนที่พูดมันออกมา
แต่ถึงอย่างนั้นนิสัยชอบการเอาชนะก็กระตุ้นให้เสียงทุ้มเอ่ยถ้อยคำแสนอวดดีออกไป
“ใครว่าไม่มี” เสียงทุ้มกระซิบเรียบนิ่ง ก่อนจะหันไปมองร่างบางที่นั่งขดตัวร้องไห้อยู่ในมุมมืด
“นะ... นี่นาย” ใช้เวลาคิดอยู่พักใหญ่ กว่าเจ้าของเสียงหวานจะเข้าใจความหมาย
จะเอาเด็กสกปรกนั่นมาแทนเธองั้นเหรอ
ชายหนุ่มแสยะยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะทำสิ่งเหนือความคาดหมายอย่างการเดินไปนั่งยองลงตรงหน้าเจ้าของร่างที่สั่นระริกอย่างน่าสงสาร
“ร้องไห้ทำไม” เขาถาม
“ฮึก...” แต่ไม่ได้อะไรกลับมานอกจากเสียงสะอื้น
“อยากไปกับฉันมั้ย?”
“วายุ!” คำถามของชายหนุ่มตรงไปตรงมาเสียจนหญิงสาวที่เขาทิ้งไว้ถึงกับเบิกตากว้าง เพราะไม่คิดว่าคนยโสอย่างวายุจะกล้าลดตัวลงไปคว้าคนจรจัดข้างถนนมาเป็นคู่นอนแทนเธอจริงๆ
แถมที่สำคัญ คนคนนั้นยังเป็น...
“ว่าไง?” แต่ร่างสูงกลับไม่ฟังเสียงร้องห้ามใดๆ เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเอาแต่ใจ พร้อมกับจ้องร่างบางที่เอาแต่ร้องไห้ไม่วางตา
“ฮึก...” จนกระทั่งเจ้าของดวงตากลมโตเงยหน้าขึ้นมาสบตา... เขาจึงพบว่าภายใต้คราบน้ำตามอมแมมและความมืดที่ปกคลุมตลอดมา มีใบหน้าที่แสนงดงามไร้เดียงสาเพียงใดซ่อนอยู่
“...”
วายุไม่อาจรู้ได้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นถูกเรียกว่าอะไร มันเหมือนกับเขากำลังถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดลงไปในห้วงลึกที่ยากจะเข้าใจ
สายตาที่เจือไปด้วยความอบอุ่น ปลอบประโลม แม้จะเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
“...!”
แต่แล้วก็ได้สติอีกครั้งเมื่อนิ้วเรียวสวยที่กำลังสั่นระริก ยื่นมาตรงหน้าด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
วินาทีนั้นวายุไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไมริมฝีปากของเขาจึงคลี่ยิ้ม... รอยยิ้มบางที่ไม่ใช่การเย้ยหยัน อธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดจากความรู้สึกอะไร
ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมออกไปกุมมือที่เย็นเฉียบเอาไว้แล้วฉุดร่างบางในชุดลูกกวางน้อยให้ลุกขึ้นเดินตามเขามาอย่างอ่อนโยนเกินว่าที่คนอย่างเขาจะเคยปฏิบัติกับใคร
“คืนนี้ฉันคงไม่ต้องง้อเธอแล้วล่ะ” หันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเมื่อจูงมืออีกคนเดินกลับมาหยุดตรงหน้าหญิงสาว ก่อนจะทิ้งมวนบุหรี่ที่ถือด้วยมืออีกข้างลง เพื่อเอื้อมมือผ่านร่างบางไปหยิบกระเป๋ากีตาร์ที่วางทิ้งเอาไว้ก่อนหน้าขึ้นมาสะพายไหล่ และจงใจก้มลงไปกระซิบรอดไรฟันที่ข้างหูของเธอ
“ฝันดี”
“หยุดนะ! วายุ! ไอ้บ้าวายุ! สารเลวเอ๊ย!” แน่นนอนว่ามีเสียงก่นด่ามากมายตามหลังมา แต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บใจนั้นก็ไม่ต่างจากก้นบุหรี่ที่เขาเพิ่งใช้ปลายเท้าขยี้ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี
เวลาผ่านไป
วายุรู้ว่าตัวเองกำลังเสียสติ
ถ้ามีคนอยู่บนดวงจันทร์แล้วมองลงมาก็คงลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเขากำลังเสียสติ
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทิ้งผู้หญิงที่ทั้งสวย เซ็กซี่ มีดีกรีเป็นถึงนางแบบนิตยสารดัง แล้วดันหันไปคว้าผู้ชายหน้าหวานมาแทนแบบนี้หรอก
ใช่ ร่างบางในชุดที่เขาเพิ่งรู้ว่าเป็นกวางน้อยนี่... เป็นผู้ชาย
อันที่จริงวายุรู้ตั้งแต่อยู่ในตรอกแล้วตอนที่ได้สบตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความอยากเอาชนะหรืออะไรกันแน่ ถึงทำให้เขาหลวมตัวลากคนตัวเล็กนี่ติดมือมา
“ชื่ออะไร” เขาถาม น้ำเสียงไม่สบอารมณ์เสียจนอีกคนเริ่มห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัว
แต่ท่าทางแบบนั้นกลับทำให้เขารู้สึกผิดแทนที่จะหงุดหงิด ทั้งที่ปกติ ถ้าถูกเงียบใส่เหมือนคุยกับสากกะเบือแบบนี้คนเจ้าอารมณ์อย่างวายุคงจะโมโหจนตะคอกใส่ไปแล้ว
“ทำไมถึงไปนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น” แต่เสียงทุ้มกลับเลือกที่จะเปลี่ยนคำถาม เมื่อสังเกตเห็นคราบน้ำตาที่เปรอะอยู่บนใบหน้าหวาน แม้จะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นแล้วก็ตาม
เอาเถอะ รู้ชื่อไปก็ไร้ประโยชน์ เขาไม่คิดว่าจะได้ทำความรู้จักกันไปมากกว่านี้อยู่แล้ว
ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ข้ามคืนกับคนอื่นๆ ที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าครั้งนี้เขาคงไม่ได้หาความหรรษาจากคนตรงหน้า เพื่อลบเลือนความเจ็บปวดที่เล่นงานทุกค่ำคืนเหมือนเคย
“...” เจ้าของดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา แต่ก็กลับไม่โต้ตอบอะไร
“เป็นใบ้เหรอ?” วายุขมวดคิ้ว
“...” คราวนี้คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า ไม่ปริปาก จนคนขี้หงุดหงิดถอนหายใจหนักๆ ราวกับเจอเรื่องปวดหัวที่สุดในชีวิต เขาสบตาที่เต็มไปด้วยประกายลึกลับบางอย่างคู่นั้น ก่อนจะพูดด้วยท่าทางเย็นชาที่ติดเป็นนิสัย
“หมดธุระแล้ว ไปได้แล้ว” ไม่ว่าเปล่า มือเรียวกลับล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาควักธนบัตรสีเทาวางลงตรงหน้าคนที่ยังคงนั่งหน้าซื่ออย่างไม่เข้าใจ
“?”
...ไม่เข้าใจว่าคนพูดต้องการให้ไปไหน ในเมื่อก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายชวนเขามาเอง
ด้วยเหตุนั้นทันทีที่ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินค่ากาแฟและนมร้อนที่ไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย คนตัวเล็กจึงนั่งคอยอยู่ที่เดิมจนกระทั่งคนออกคำสั่งเดินกลับมาเมื่อเก็บสัมภาระเพียงอย่างเดียวของเขาสะพายบนบ่า
“...” ดวงตาสีดำสนิทสบกับตวงตาสีน้ำตาลอ่อนอีกครั้ง ความรู้สึกประหลาดแล่นขึ้นมาจุกที่อกของร่างสูง แต่วายุก็ปัดความรู้สึกนั้นออกไปทันควัน พลางเบือนหน้าหนีเดินจากไปอย่างไม่ใส่ใจ
แต่ว่า...
ไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกับถูกมองตามอยู่ตลอดเวลานี่มันอะไรกันวะ
ชายหนุ่มสบถเบาๆ อย่างขัดใจใจ ก่อนจะหันกลับไปในร้านกาแฟยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เพิ่งเดินจากมาอีกครั้ง และเห็นว่าเจ้าของร่างที่เขาเพิ่งทิ้งไว้ตรงนั้น ยังคงนั่งมองมาราวกับไม่เข้าใจความหมายของคำพูดที่เขาทิ้งเอาไว้
เวรชิบ
“เฮ้ย” เรียวขายาวสาวเท้าเดินกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ยืนล้วงกระเป๋ามองคนน่ารำคาญด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความหงุดหงิดเกินบรรยาย “ปัญญาอ่อนเหรอวะ บอกให้ไปไง” เสียงทุ้มเอ่ยดังจนเกือบจะตะคอก
อันที่จริงวายุรู้สึกโมโหตัวเองมากกว่า ที่ดันลากภาระติดมือมาทั้งที่น่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ
ลากคนจรจัดที่ร้องไห้อยู่ข้างถังขยะกลับมาด้วยเนี่ยนะ คนสติดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน
ก่อนหน้านี้เขาคงจะเมาเกินไปจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้พอสร่างแล้ว ก็เลยโคตรจะเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
ครืดด~
และยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่เมื่อโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงดันสั่นขึ้นมาไม่รู้เวล่ำเวลา
“อะไร” น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ กรอกลงไปในสายโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนที่โทรมาเป็นใคร
[ วา... นี่หลินเองนะ ]
“...” แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา สมองของเขาก็กลับขาวโพลนไปชั่วขณะ
[ วา ได้ยินเรามั้ย ]
“...” ความรู้สึกบางอย่างที่โถมขึ้นมาส่งผลให้เขาเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ถ้าหากว่าไม่ถูกนิ้วมือแสนมอมแมมของอีกคนแตะลงมา
วายุก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่ถูกถือวิสาสะแตะต้องโดยคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะพูดจาตอบโต้เขามานานหลายนาที คนแปลกหน้าที่เขากำลังพยายามไล่ให้พ้นตัว กำลังแตะนิ้วเรียวบางที่กำลังสั่นเทาลงมาบนหมัดที่กำแน่นจนเห็นเส้นเลือดชัดของเขาจากปลายนิ้วเพียงเล็กน้อยไล่มาจนกลายเป็นเต็มฝ่ามือ...
ฝ่ามือที่เล็กกว่าของเขาเกือบเท่าตัว
[ วา... ]
ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอยืนนิ่งลืมคนปลายสายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาอีกครั้ง วายุก็ไม่รีรอที่จะวางหูอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะกดปิดโทรศัพท์และยัดมันเข้ากระเป๋าทันที
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฟังเสียงของผู้หญิงคนนั้นอีก ไม่ว่าเธอจะโทรมาด้วยจุดประสงค์อะไร
ร่างสูงก้มลงสบตากับเจ้าของฝ่ามือเล็กที่เขาเผลอเป็นฝ่ายกุมมือไว้ และรับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบที่ส่งผ่านมายังฝ่ามือเขา ราวกับจะดับความร้อนในใจให้หายไปด้วยความเย็นนั้น
วายุคาดเดาว่าสติอันน้อยนิดของเขาคงถูกทำลายนับตั้งแต่ได้ยินเสียงหวานที่ไม่ได้ยินมานานนับปี... เพราะหากไม่ไร้สติอย่างสิ้นเชิง หลังจากเงียบไปหลายวินาที เขาคงไม่หลับหูหลับตาทำในสิ่งที่รู้ดีว่าจะเสียใจภายหลังอีกครั้ง
“ตามมา”
วันต่อมา
วายุย้ำกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยว่าเขากำลังเสียสติ
เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ดื่มมากจนเมามาย อันที่จริงเขานับแก้วแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืนได้ด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะเครื่องดื่มที่สั่งไม่ใช่ยี่ห้อเดิมที่กินเป็นประจำ จึงไม่ชิน... หรือไม่ก็เป็นเพราะถูกรสจูบร้อนแรงมอมเมาจนหูอื้อตาลาย หรือ...อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาอันตรธานไปชั่วขณะจนทำเรื่องงี่เง่าขนาดนี้
พาผู้ชายไม่รู้จักขึ้นคอนโดเนี่ยนะ?
ผีบ้าอะไรเข้าสิงเขาเหรอวะ
แถมไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา ยังเป็นผู้ชายจรจัดท่าทางผิดปกติทางจิตอีกต่างหาก ไม่บ้าก็ไม่รู้ว่าจะด่าตัวเองว่ายังไงแล้ว วายุขยี้ผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดจนไม่เป็นทรง ก่อนจะเบือนสายตากลับมาจ้องร่างมอมแมมที่นอนคุดคู้อยู่บนโซฟาตัวโตในห้องรับแขกของเขาอีกครั้ง พลางถอนหายใจหนักๆ อย่างสับสน
“เฮ้ย” เรียวขายาวยื่นออกไปสะกิดเข้าที่ลำตัวบางภายใต้ชุดมาสคอตกวางสีน้ำตาลที่ใหญ่กว่าขนาดตัวคนใส่เกือบเท่าตัว เห็นแล้วขัดหูขัดตาจนเผลอขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“เฮ้ย ตื่น” เขาเรียกซ้ำ และใช้เท้าสะกิดแรงขึ้นแต่ไม่ถึงกับเตะ
แต่นอกจากคนถูกเรียกจะไม่ตื่นแล้ว คิ้วเข้มของคนที่หลับสนิทกลับขมวดเข้าหากันจนผิวหนังระหว่างคิ้วทั้งสองข้างย่นยับ เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
ตอนนั้นเองที่วายุสังเกตว่าแพขนตาหนามีหยดน้ำเกาะพราว ก่อนที่มันจะค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้มที่มอมไปด้วยเศษดินเป็นทาง
“เฮ้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลง “ไม่ได้ดุสักหน่อย ไม่เห็นต้องร้องเลย” แผ่วเบาราวกับกระซิบกับตัวเอง
เขาเริ่มหงุดหงิดในความสับสนของตัวเอง เขาไม่ควรใจอ่อนอย่างนี้ ควรจับร่างโปร่งบางตรงหน้านี่โยนออกไปนอกห้องให้รู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำ แต่เขากลับไม่ทำ ไม่กล้าแม้แต่จะทำรุนแรงกับร่างกายผอมบางที่ดูพร้อมจะบุบสลายหากจับแรงเกินไป
“อย่างน้อยก็น่าจะลืมตาขึ้นมาคุยกันก่อนดิ” เขาพึมพำกับตัวเองอย่างไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ยังไง ใจนึงก็อยากจะไล่ แต่อีกใจ...
เชื่อเถอะว่าเขาไม่ใช่คนดีพอที่จะเห็นน้ำตาของคนแปลกหน้าแล้วจะเกิดรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาจนยอมปล่อยให้เจ้าหนูสกปรกตัวนี้มานอนคุดคู้อยู่ที่โซฟาตัวโปรดของเขาได้ตลอดทั้งวัน
แต่ว่า...
ให้ตาย นี่มันอะไรกัน
วายุไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจความคิดชั่ววูบหนึ่งของตัวเองที่ทำให้เขาทำเพียงแค่ผ่อนลมหายใจหนักๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน และเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมผ้าห่มผืนหนาที่เขาใช้ห่มเมื่อคืน
ไม่เข้าใจแม้กระทั่งตอนที่เขาทิ้งผ้าห่มผืนนั้นลงไปบนร่างโปร่งบางที่นอนขดตัวอย่างน่าสงสาร แล้วเอื้อมมือไปหยิบรีโมตเครื่องปรับอากาศ เพื่อปรับอุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นไม่ให้มันหนาวเกินไป
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร...ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำแบบนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา
รู้แต่ว่า พอได้เห็นน้ำตาที่หยุดไหล พร้อมกับสีหน้าที่ผ่อนคลายของเจ้าของใบหน้าหวาน มันก็เกิดโล่งใจขึ้นมาจนเผลอยิ้มบาง และบอกตัวเองว่า ให้นอนต่ออีกสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
เวลาผ่านไป
“ไอ้วา ได้ข่าวว่าเมื่อวานมึงทิ้งมีมี่ไว้หลังผับเหรอวะ” ดิน มือเบสประจำวงยื่นหน้าเข้ามากระซิบถามเพื่อนตัวดี ขณะที่พวกเขากำลังเก็บเครื่องดนตรีลงจากเวที หลังจากการแสดงปิดท้ายของวันนี้จบลง
“เหรอ” แต่นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว คนที่ง่วนอยู่กับการยัดกีตาร์ใส่กระเป๋ากลับถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
วายุไม่ได้ตั้งใจจะยียวน ทว่าวินาทีนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจคำถามของเพื่อนรักแม้แต่น้อย
“เหรอพ่อง กูถามมึงไม่ใช่ให้มึงมาย้อนถามกู” ดินโวย แต่ก็พูดขึ้นมาใหม่ ในสิ่งที่ตัวเองรับรู้มา “ไอ้ทีมันบอกกูว่ามีมี่โทรมาด่าเรื่องที่มึงทิ้งเขาไปกับผู้ชาย”
“...” คราวนี้วายุเงียบไป ถึงเมื่อคืนเขาจะไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะมองออกเหมือนกันว่าคนที่เขาลากขึ้นห้องแทนเธอ ไม่ใช่ผู้หญิง
หน้าหวานขนาดนั้น มองออกได้ไงวะ
“ตกลงจริงเหรอวะ?” คราวนี้นทีเพื่อนสนิทอีกคนที่มีหน้าที่เป็นมือกลองประจำวงสอดตัวเองมาถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นไม่แพ้กัน
วายุพ่นลมหายใจหงุดหงิด ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปยังลูกค้าที่กำลังทยอยเดินออกจากร้านไปราวกับหาตัวช่วยสำหรับการอธิบาย จะบอกเพื่อนได้ยังไงว่ามันคือเรื่องจริง เขาทิ้งสาวฮอตปรอทแตกที่เสนอตัวมาให้กินถึงที่ แล้วไปคว้าผู้ชายจรจัดหน้าหวานขึ้นคอนโดแทน
คอนโดที่เขาหวงแหน ถึงขั้นที่แม้แต่เพื่อนสนิททั้งสองก็ไม่กล้าไปเยือนโดยพลกาล... นับตั้งแต่วันนั้น
แต่เมื่อหาคำตอบจากรอบตัวไม่ได้ เขาก็เลยใช้ท่าไม้ตาย ปรายตามองคนสอดรู้สองคนนิ่งๆ พร้อมถ้อยคำตัดจบแสนโหดร้ายเหมือนเคย
“เสือก”
“ไอ้สัส!” ถ้าไม่ใช่เพราะสนิทกันมานาน ก็คงมีเคืองบ้างเหมือนกันที่ถูกตอกหน้ามาแบบนั้น แต่เพราะรู้นิสัยวายุดีว่าเขาเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากแค่ไหนเพื่อนทั้งสองก็ได้แต่ด่ากลับอย่างไม่จริงจัง ก่อนจะเลิกซักไซ้เพราะรู้ว่ามาไม้นี้แล้วก็คงไม่มีใครล้วงคำตอบจากวายุได้อีก
เรื่องไหนที่เขาไม่อยากพูด เขาก็จะไม่พูด นั่นคือนิสัยอีกอย่างหนึ่งของวายุที่ทุกคนรู้ดี และไม่คิดจะทู่ซี้ให้ตัวเองเดือดร้อน แม้ว่าจะอยากรู้แค่ไหนก็ตาม
“กูไปละ พรุ่งนี้ห้องซ้อมเวลาเดิม” พูดจบก็ตีหน้าตึงยกกระเป๋ากีตาร์ขึ้นมาพาดบ่า ก่อนจะเดินฝ่าฝูงชนเดินออกจากร้านไป โดยไม่ไขปริศนาใดๆ ให้เพื่อนทั้งสองที่ได้แต่หันกลับมามองหน้ากัน พลางยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
วันนี้วายุไม่ได้ดื่มก่อนหรือหลังเล่นดนตรีเหมือนเคย เขารีบเร่งเดินออกจาร้านมาทันทีที่หมดเวลางาน แทบจะไม่บอกลาหรือชายตามองเหล่าสาวๆ ที่ยกมือขึ้นโบกลาเขาตามทาง บ้างก็ส่งสายตาเชิญชวนเพราะรู้ว่าในทุกๆ วัน เขาจะต้องหาสาวสักคนคว้าติดไม้ติดมือไปเล่นด้วยตลอดทั้งคืนก่อนที่จะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดในตอนเช้า และออกมาใช้ชีวิตประจำวันข้างนอกอีกครั้งตามประสาคนเข้าสังคม
มันเป็นความขัดแย้งในตัวเองแบบที่ใครก็ยากที่จะเข้าใจ ถึงวายุจะหวงคอนโดตัวเองขนาดไหน แต่ในทางกลับกัน เขาก็เกลียดที่จะกลับไปที่นั่นมากกว่าสิ่งใดเช่นกัน เพราะแบบนั้นเขาจึงหาเรื่องค้างข้างนอกทุกครั้ง แทบจะนับเวลาที่อยู่ในห้องตัวเองได้เป็นวินาทีเลยด้วยซ้ำ
แต่วันนี้เขาคงจะหาเรื่องค้างที่อื่นไม่ได้แล้ว... มันเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขารอเวลาที่จะกลับไปที่นั่นไม่ได้แล้วเช่นกัน มันเป็นความผิดเขาอีกนั่นแหละที่ดันทิ้งผู้ชายคนนั้นไว้ในห้องเพียงเพราะเห็นว่าคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมตื่นแม้กระทั่งตอนที่เขากำลังจะออกมา ถึงมันจะประหลาดที่เขายอมใจอ่อนทั้งที่ปกติไม่ใช่คนขี้เห็นอกเห็นใจ แต่ท่าทางหลับเป็นตายเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันแบบนั้น ก็ทำเอาเขาอดสงสารไม่ได้ จนต้องปล่อยเลยตามเลย
เพราะทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น ตอนนี้ถึงต้องมาร้อนใจไง... ถ้าเกิดเป็นขโมยขึ้นมาจะทำไงวะ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างหงุดหงิดพลางเร่งฝีเท้าไปตามทางเพื่อมุ่งหน้าไปที่ลานจอดรถอย่างร้อนใจ ถึงหน้าตาและรูปร่างแบบนั้น ดูยังไงก็ไม่คลับคล้ายว่าจะเป็นขโมยก็เถอะ แต่ว่า...
“ฮึก...”
ความคิดทั้งหมดเป็นอันต้องหยุดชะงัก เมื่ออยู่ๆ วายุก็ได้ยินเสียงหนึ่งแทรกผ่านสายลมมาระหว่างทาง เขาชะงัก มองตามเสียงนั้น ก่อนจะพบว่าสถานที่กำเนิดเสียงคุ้นตาเสียจนราวกับภาพเดจาวู
“ฮึก...” เสียงที่ไม่ต้องตั้งใจ ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงร้องไห้ ดังมาจากตรอกแคบๆ ก่อนถึงลานจอดรถ ที่เขาเกือบจะได้ใช้มันเป็นสถานที่สร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหญิงสาวเมื่อคืน แต่เพราะเสียงร้องไห้แบบเดียวกันนี่เอง ที่ทำให้ทุกอย่างพัง และเขาก็ตัดสินใจทำเรื่องที่เสียใจมาจนตอนนี้
“ฮือออ” เสียงสะอื้นที่ลอยมาตามลมยิ่งดังชัดเมื่อความสงสัยพาให้เรียวขายาวก้าวเข้าไปใกล้
บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาในใจของวายุขณะที่เขาเดินเข้าไปหาเจ้าของเสียงร้องไห้นั้นอย่างช้าๆ ก่อนจะพบว่าเจ้าของร่างผอมซีดภายใต้ชุดมาสคอตกวางตัวโคร่งที่ขดตัวร้องไห้อยู่ข้างถังขยะใบนั้น เป็นคนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อคืน
นี่มันอะไรกัน
“ฮึก...” รู้ตัวอีกที วายุก็พาตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างบอบบางแล้ว เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าและแววตาไม่ต่างไปจากตอนที่เจอกันครั้งแรก
แววตาที่ทำลายความสมเหตุสมผลทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นในหัวเขา
“ร้องไห้ทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยคำถามเดิมที่เขาจำได้ดีว่าไม่เคยได้รับคำตอบ
แต่คราวนี้เขากลับไม่รู้สึกอยากเร่งเร้า เอาแต่นั่งมองเจ้าของใบหน้าหวานที่จับจ้องมายังเขาด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนานหลายวินาที
ใจหนึ่งเขาบอกตัวเองว่าควรทิ้งผู้ชายคนนี้เอาไว้ และสบายใจได้แล้วว่าคนจรจัดที่เขากำลังหวาดระแวงไม่ได้มีทีท่าว่าจะขโมยของมีค่าอะไรติดตัวมา
แต่อีกใจ มันกลับห้าม... และเอาแต่ตะโกนว่าเขาไม่สามารถทิ้งคนตรงหน้านี้ไปได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม...
เขาเลือกทำตามคำเรียกร้องที่สองของหัวใจ
มือหนาจึงยื่นออกไป พร้อมกับเอ่ยคำพูดที่ราวกับถูกเซตเอาไว้ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เขาเคยเอ่ยในครั้งก่อนเลย
“อยากไปกับฉันมั้ย?”
“...”
จะแปลก... ก็ตรงที่คราวนี้เขาไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่เอ่ยมันออกมา
--------------------------------------
ฝากด้วยนะคะ
ฝากเรื่องที่ผ่านมาด้วยนะคะเป็นเรื่องยาว ชื่อเรื่อง Just Another Guy เพียงแค่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง
แปะลิ้งค์โบ้มม
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52722.0ปล. หาที่เปลี่ยนนามปากกาไม่เจอ แต่ปัจจุบัน makok_num เปลี่ยนมาใช้นามปากกา Martian นะคะ หวังว่าจะไม่สับสนเนอะ