วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: วังชอนซา ลำนำรักแห่งฮานึล [จบแล้วค่ะ] 30/09/59  (อ่าน 27421 ครั้ง)

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ฮออออล บีบหัวใจสุดๆ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 26
 
 

แสงสีขาวสว่างบาดตาทำให้ชายหนุ่มที่นอนฟุบอยู่กับขอบเตียงต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้า เปลือกตาหนาขยับสองสามครั้งก่อนที่ลูกแก้วรัตติกาลจะปรากฏให้เห็น
 
ความพร่าเลือนของภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ต้องหรี่สายตา พร้อมกันนั้นมือหนาก็กระชับมือเล็กที่ตนกอบกุมมาตลอดให้แน่นขึ้น ทว่าสัมผัสผิวเนื้อนุ่มที่หวังจะได้รู้สึกกลับมีเพียงผืนผ้าแพรว่างเปล่า
 
“ซอนอิน!” กว่าที่สายตาจะคุ้นชิน ก็พึ่งตระหนักว่าคนร่างบางที่คอยเฝ้านั้นหายไปจากที่นอนแล้ว
 
ชายหนุ่มพลุนพลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้แล้วหันหลังกลับไปยังที่มาของแสงสีขาวบาดตา ร่างร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นไม่ชัดนักเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงเหล่านั้น เขาป้องแขนขึ้นพยายามเพ่งสายตามอง ตอนนั้นเองที่ความสว่างค่อยๆ จางสลายหายไป เหลือเพียงร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีขาวปลอดที่อุ้มร่างหมดสติของซอนอินไว้
 
“เจ้าเป็นใครกัน!” ถึงจะเดาได้ไม่ยากนักว่าคนตรงหน้านี้คงเป็นเทพสักองค์หนึ่ง เพราะปีกสีขาวขนาดใหญ่นั่นไม่ใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่อาจเจาะจงได้ว่าเป็นผู้ใดกัน
 
“คืนซอนอินมาให้ข้า!”
 
“ชองจีรยง” เสียงหวานนุ่มนวลนั้นฟังแตกต่างจากน้ำเสียงกระแทกกระทั้นของเจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยนามอย่างที่สุด
 
ชื่อที่ถูกเรียกอย่างไม่ผิดเพี้ยนทำให้ร่างสูงกดเรียวคิ้วลงต่ำ แววตาคมฉายประกายกร้าวจ้องสบสายตาสีชาอย่างไม่เกรงกลัว
 
“ต้องการสิ่งใดก็จงเอาจากข้า ซอนอินไม่ใช่คนที่เจ้าคิดจะแตะต้อง”
 
รูปหน้าหล่อเหลาสะอาดหมดจดของชายร่างสูงโปร่งแย้มยิ้มบาง “ผิดแล้ว ผู้ที่ข้าต้องการย่อมเป็นคิมซอนอิน ไม่ใช่มนุษย์เลือดคาวอย่างเจ้า”
 
“หมายความเช่นไร! ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์พรากซอนอินไปจากข้า!” จีรยงชักกระบี่ออกจากฝักที่บั้นเอวขึ้นชี้จ่อไปยังคนเบื้องหน้า แก้วตากร้าวฉายแววคุกคามพร้อมสู้
 
ทว่าเพียงแค่อีกฝ่ายใช้สายตาจ้องมอง กระบี่เล่มนั้นก็หงิกงอราวกับถูกบิดด้วยมือที่มองไม่เห็นอย่างง่ายดาย
 
“ใช้กำลังคงเป็นเรื่องถนัดของเจ้าสินะ ชองจีรยง” บุรุษปริศนาเอ่ยดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แม้น้ำเสียงจะยังคงเรียบเรื่อยชวนฟังไม่ต่างจากท้วงทำนองดนตรีไพเราะก็ตาม
 
“ต้องการสิ่งใด” เสียงทุ้มเอ่ยถามรอดไรฟันอย่างต้องการสะกดอารมณ์ไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้ เขาโยนกระบี่ไร้ความหมายลงข้างตัว
 
“ไม่ต้องการสิ่งใด ...แค่คิมซอนอิน”
 
“เช่นนั้นก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
 
บุรุษชุดขาวพ่นลมออกทางริมฝีปาก “คิดหรือว่าเจ้ามีโอกาสชนะ?”
 
“ข้าไม่สน แต่ถ้าเจ้าต้องการซอนอินล่ะก็ มีทางเดียวคือต้องข้ามศพข้าเท่านั้น!”
 
“มนุษย์ หนอ มนุษย์ ไยไม่รู้จักเจียมตัว” ชายผู้มีปีกสีขาวส่ายศีรษะเล็กน้อย ท่าทางอย่างนั้นยิ่งทำให้คนฟังไม่สบอารมณ์ จีรยงกัดฟันกรอดเมื่อคิดว่าทำไมตนต้องมาถูกดูหมิ่นจากคนอื่นเช่นนี้ด้วย
 
“ฟังข้าให้ดีชองจีรยง คิมซอนอินมิใช่คนของเจ้า สิทธิ์ของเจ้าที่มีต่อคิมซอนอินนั้นหามีไม่ เจ้าไม่มีความเหมาะสมในทุกประการต่อทูตสวรรค์คนสำคัญของเรา ...เทพชอนอา คือนามที่แท้จริงของคิมซอนอิน ทั้งก่อนหน้าและปัจจุบันที่ที่คนคนนี้ควรค่าดำรงอยู่คือแดนสวรรค์ หาใช่โลกมนุษย์ ความผิดทุกอย่างที่เทพชอนอาเคยก่อไว้ได้ถูกชดใช้หมดสิ้นแล้ว เวลานี้ข้าจึงมารับเขากลับไป ไม่ว่าเจ้าจะขัดขวางเช่นไรก็ไร้ประโยชน์”
 
คำบอกเล่านั้นทำให้มังกรหนุ่มรู้สึกว่าในหัวตื้อตัน
 
เทพชอนอา? ชดใช้ความผิด? ...เรื่องบ้าอะไรกัน! คิมซอนอินเป็นคนของเขา เป็นทุกอย่างของเขาเท่าที่ใจเขาต้องการ จะเป็นเทพหรือปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไรคิมซอนอินก็คือคนที่เขาต้องการมากกว่าใคร
 
เทพชอนอาอะไรนั่น ...ใครจะยอมรับกัน!
 
“คนที่เจ้าอุ้มอยู่คือคิมซอนอิน เป็นคนของข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพล่ามอะไร ...อึก!!”
 
พลันลำคอถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น แรงที่บีบรัดเข้ามานั้นมากพอที่จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ลมหายใจถูกลิดรอนมากขึ้นเรื่อยๆ
 
“อย่าปากกล้าให้มากนัก เจ้าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรองสิ่งใดได้” แก้วตาสีชาฉายแววกระด้างจ้องลึกเข้าไปในเนตรรัตติกาล ริมฝีปากบางฉาบรอยยิ้มดูแคลน “หึ จิตใจมนุษย์ช่างโลเลนัก คนที่คิดแค้นอาฆาตอยากได้ชีวิตคิมซอนอินก็คือเจ้ามิใช่หรือ แล้วเหตุใดเพลานี้ถึงต้องการคิมซอนอินเล่า?”
 
หากเป็นเมื่อครั้งแรกที่ได้ตัวคิมซอนอินมาไว้ในกำมือ คำพูดของฝ่ายนั้นก็ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย คราแรกก็เพราะการเมือง แต่กับเรื่องของฮีอูนั้นเองที่ทำให้เขาสติขาดจนอยากจะฆ่าซอนอินเสียเดี๋ยวนั้น ...แต่นั่นมันก่อนที่เขาจะเกิดความต้องการในตัวของซอนอิน ก่อนที่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป
 
จะด้วยความจริงจากเหตุผลใดก็ตามแต่ ตอนนี้ ณ เวลานี้ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือซอนอิน ...หัวใจของวิหคเพลิงที่มีเพื่อเขา หัวใจ...ที่เขาพร้อมจะยอมรับทั้งหมด
 
“ปฏิเสธคำพูดของข้าไม่ได้สิใช่ไหม?”
 
จีรยงสูดหายใจเข้าลึกทันทีเมื่อแรงรัดที่ลำคอคลายลง เขาจ้องสายตาตอบกลับอีกฝ่าย “ข้าไม่ปฏิเสธความจริงที่เจ้าพูด และข้าก็ไม่ปฏิเสธหัวใจของข้าที่ต้องการซอนอิน ...ตกลง ข้ายอมทุกอย่าง ต้องทำเช่นไรเจ้าถึงจะคืนซอนอินให้ข้า”
 
บุรุษหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสนใจ “ข้าคงพูดให้เจ้าฟังไม่เข้าใจ ข้าจะบอกอีกครั้ง คิมซอนอินเป็นคนของสวรรค์ ลิขิตชะตานี้ไม่มีผู้ใดฝืนได้ ทั้งคิมซอนอิน ทั้งเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามเส้นด้ายแห่งชีวิต”
 
“ไม่! ข้าไม่ยอมรับเรื่องไร้สาระเช่นนี้! ลิขิตสวรรค์อะไรกัน เกิดมาหนึ่งชีวิตย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง เจ้าคิดจะพาซอนอินไปจากข้า เจ้าได้ถามความต้องการของซอนอินหรือไม่!!”
 
ความรู้สึกลึกๆ ของจีรยงเริ่มเกิดความกังวล แน่นอนว่าให้สู้กันจริงๆ เขาไม่มีทางชนะคนตรงหน้าได้ แล้วยังเหตุผลไร้สาระแบบนั้น ...ใครจะยอมรับกัน!
 
“พูดอะไรผิดไปหรือเปล่าชองจีรยง เจ้าเองต่างหากที่เป็นคนแทงกระบี่ใส่คิมซอนอิน ในเมื่อเจ้าฆ่าคิมซอนอินแล้ว ก็อย่าได้ถามหาหัวใจของคิมซอนอินอีก”
 
“นั่นมัน....” เป็นเพราะปีศาจที่สิงร่างซอนอินไม่ใช่หรือไง เขาถึงต้องทำเช่นนั้น!!!
 
แก้วตาสีชาหรี่ลง เขามองท่าทางอึกอักของชายหนุ่มอย่างพิจารณา ก่อนเอ่ยต่อเรียบเรื่อย “ลิขิตสวรรค์ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เสียทีเดียว หากเจ้ายอมทำทุกอย่างจริงล่ะก็ ข้าอาจจะคืนคิมซอนอินให้เจ้า”
 
“ทุกอย่าง! ข้าทำได้ทุกอย่าง!!” จีรยงตอบแทบไม่ต้องคิด เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าความรู้สึกมากล้นที่เกิดขึ้นนี้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาจะปล่อยให้ซอนอินหลุดจากมือของเขาไปไม่ได้เด็ดขาด
 
“อย่างที่เจ้าว่ามา แม้ข้าจะไม่ได้ถามความต้องการของคิมซอนอิน แต่ข้าก็รู้ว่าใจจริงแล้วคิมซอนอินต้องการสิ่งใด การกลับไปเป็นเทพไม่อาจชักจูงหัวใจที่มีเพียงแต่เจ้าได้ เป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย และข้าก็ไม่พอใจที่เห็นคิมซอนอินถูกเจ้ารังแกอย่างร้ายกาจ แค่ถูกลงโทษให้ลงมาเกิดข้าก็ทุกข์ใจเกินจะทนอยู่แล้ว แต่เจ้าก็ยัง...”
 
คนพูดหลับตาลงครั้งหนึ่ง ก่อนใช้ดวงตาสีชาจ้องมองชายหนุ่มร่างสูง “ถ้าเจ้ายอมรับความเจ็บปวดจากการเกิดใหม่แทนคิมซอนอินได้ ข้าจะคืนเขาให้กับเจ้า”
 
“ข้าจะรับไว้ทั้งหมด” จีรยงตกปากรับคำในทันทีอย่างไม่ลังเล
 
“และเจ้าต้องสาบานต่อหน้าข้าด้วยคำสัตย์ ว่าน้องชายของข้าผู้นี้ จะมีเจ้าคอยดูแลปกป้องตราบชีวิตเจ้าจะหาไม่”
 
บุรุษปริศนาที่ยืนโต้คารมกันอยู่นานสองนาน ที่แท้ก็เป็นพี่ชายของซอนอิน! ไม่สิ เป็นพี่ชายของเทพชอนอาต่างหาก
 
จีรยงสลัดความคิดยืดเยื้อนั้นออกจากหัวแล้วรีบคุกเข่าลงทั้งสองข้าง มือข้างหนึ่งทาบลงตรงกลางอก
 
 
“ฟ้าดินเป็นพยาน ข้า ชองจีรยง สาบานว่าจะดูแลปกป้องคิมซอนอินจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความเจ็บปวดที่ก่อเกิดกับคิมซอนอินให้ตกลงที่ข้าแต่เพียงผู้เดียว!”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ห้องว่างห้องหนึ่งภายในตำหนักเอกของเชินอัน ร่างเล็กชาวต่างแคว้นได้แต่ลุกๆ นั่งๆ อยู่กับที่ร่วมหนึ่งชั่วยามเต็ม เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นด้วยความกังวลจับใจ สายตาคอยเพ่งมองว่าเมื่อไหร่ม่านทางเข้าตรงหน้าจะเปิดออกเสียที
 
ยองจูบาดเจ็บสาหัสมานานหลายเดือนแล้ว ทำท่าว่าจะหายก็ได้แผลใหม่ขึ้นมาอีก ซ้ำยังถูกจับไปทรมานแสนสาหัส แม้ว่าคนผู้นี้จะเก่งกาจสักเพียงใด แต่ร่างกายก็บอบช้ำเกินกว่าจะฝืนไปได้มากกว่านี้ ตอนที่ได้เจอกับยองจูอีกครั้งหลังจากที่ต้องแยกจาก ฮีอูแสนเจ็บปวดหัวใจอย่างที่สุด เพียงแค่เห็น...ก็อยากจะแบ่งเบาความเจ็บมาที่ตนบ้าง
 
“คุณชายคิมฮีอู เชิญข้างในได้แล้ว” ผ้าม่านถูกแหวกเปิดกว้าง นักบวชท่านหนึ่งเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงเค้าของสีหน้ายินดีกับผลที่ได้
 
ฮีอูรีบก้มศีรษะให้ชายตรงหน้าทันที พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปด้านในตัวห้อง
 
บนเตียงที่ตั้งติดชิดริมผนัง ร่างสูงของราชครูหนุ่มกำลังนั่งจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง ปลายเชือกที่ใช้มัดเส้นที่สองยังไม่ทันจะผูกเป็นปม ร่างเล็กก็ถลาเข้ากอดจนพากันเอนล้มลงไปกับที่นอน
 
“ยองจู! ยองจู! ฮึก ท่านหายแล้ว!! ท่านหายแล้ว!!!”
 
ริมฝีปากของคนถูกสวมกอดวาดรอยยิ้มกว้าง สองแขนโอบกอดร่างเล็กนุ่มไว้หลวมๆ พลางกดปลายจมูกลงกลางกลุ่มผมหอมกรุ่น
 
“ทำไมเจ้ายังดูซีดเซียวเช่นนี้เล่า” เสียงทุ้มเอ่ยติร่างเล็ก ที่ถึงจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่สีหน้าก็ยังไม่สดชื่นเท่าที่เขาหวังไว้
 
ฮีอูซุกใบหน้าลงกับไหล่กว้าง “เราเป็นห่วงท่านจนนอนไม่หลับ จะทานอะไรก็ทานไม่ลง ฮึก ยองจู ต่อจากนี้อย่าห่างจากเราอีกเลยนะ อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยได้ไหม”
 
ฝ่ามือใหญ่ลูบผมเส้นเล็กเบาๆ “ข้าจะไปไหนได้ ตัวข้ายังจะไปที่ใดได้อีก ในเมื่อหัวใจของข้าติดอยู่กับเจ้าเช่นนี้”
 
“ยองจู ฮึก ฮืออออ” ดวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเม็ดใสเงยขึ้นสบสายตาคนพูด ริมฝีปากเล็กขยับเอื้อนเอ่ยยากลำบากเมื่อเสียงสะอื้นคอยแต่จะขัดจังหวะ “เรา ฮึก เรารักท่าน รักท่าน รักท่าน ปาร์คยองจู!!”
 
“ข้าก็รักเจ้า คิมฮีอู” ยองจูประคองสองข้างแก้มชื้นให้ก้มลงมาใกล้ เขาทาบทับแนบจูบริมฝีปากเล็กอย่างอ่อยอิง สัมผัสอย่างนุ่มนวลทะนุถนอม ลิ้มรสความหอมหวานจากปากเล็กเชื่องช้าราวกับไร้ห้วงกาลเวลา
 
วงแขนเล็กคล้องกอดไหล่กว้างกระชับแน่น ตอบรับจูบแสนหวานลึกล้ำชวนให้เกิดความรู้สึกวาบหวาม ความสุขมากมายเอ่อล้นอยู่ในอก ก่อนจะแตกกระจายเป็นอณูเล็กๆ ที่วิ่งพล่านไปทั่วทั้งกาย
 
...รัก รักมากเหลือเกิน...
 
ยองจูเช็ดน้ำตาให้คนบนตัวเมื่อพวกเขาผละจูบออกจากกันได้ในที่สุด
 
ฮีอูปล่อยให้ปลายนิ้วหยาบลูบไล้ใบหน้า ขณะที่ตนสำรวจร่างกายของชายคนรัก มือเล็กจัดการปลดเชือกเส้นบนของเสื้อออกเพื่อดูให้แน่ใจกับตาว่าตามร่างกายของยองจูไม่มีร่องรอยบาดแผลแล้วจริงๆ
 
ฝ่ามือเล็กลูบคลำไปตามผิวกายแกร่ง ทั้งรอยถูกแทง รอยช้ำเลือด แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ก็ไม่มีให้เห็น ครั้นเลื่อนสายตาขึ้นสบดวงตาคมเข้ม ก็ปรากฏเพียงแก้วตาสีน้ำตาลเข้มตอบกลับมา ไม่มีเค้าแววตาสีแดงให้เห็น ทุกอย่างนี้คงบอกได้แล้วว่ายองจูหายเป็นปกติ ชายหนุ่มสามารถควบคุมพลังธาตุในกายได้เหมือนเดิมแล้ว
 
ฮีอูขยับลุกจากตัวของคนรักไปนั่งปุลงข้างๆ ปล่อยให้ยองจูจัดการใส่เสื้อผ้าของตนเองไปจนเสร็จ
 
“เป็นอะไร หืม?” ราชครูปาร์คเลิกคิ้วถาม เขาขยับใบหน้าเข้าไปใกล้คนที่นั่งทำแก้มพองลม
 
คนตัวเล็กก้มหน้างุด “ท่านคงรู้สึกแย่สิใช่ไหมที่เราเป็นคนดูแลท่านก่อนหน้านี้ การรักษาของเราเทียบกับคนของท่านไม่ได้เลยสักนิดเดียว ท่านคงรู้สึกเสียเวลามากเลยล่ะสินะ”
 
ที่แท้ก็น้อยใจหรอกหรือนี่
 
ยองจูจับร่างเล็กให้ขึ้นมานั่งบนตัก เขาโอบวงแขนกอดร่างของฮีอูเอาไว้ให้เอนพิงแนบอก
 
“การรักษาของเจ้าเอามาเทียบกับนักบวชชินซองไม่ได้หรอก เจ้าก็รู้ว่าเราใช้วรยุทธต้านวรยุทธ การรักษาก็ต้องใช้วรยุทธเช่นกัน แต่ถ้าตอนนั้นเจ้าไม่พาตัวข้าไปรักษา คิดว่าตอนนี้ข้าคงขึ้นสวรรค์ ไม่ก็ลงนรกไปแล้ว”
 
ร่างสูงเลื่อนมือลงกอบกุมมือเล็กทั้งสองข้าง “ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเจ้าไม่ไร้ค่าแม้แต่น้อย ...คิมฮีอู ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้านะ ชีวิตของข้าเป็นของเจ้าฮีอู”
 
มือเล็กกระชับตอบมือใหญ่ “เราก็อยากให้ท่านรู้ว่า ชีวิตของเราก็เป็นของท่านเหมือนกัน”
 
ดวงหน้าหวานหันมองคนรัก “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านสัญญากับเรานะ ว่าจะไม่ผลักไสเราไปไหน ต่อให้ต้องเจ็บปวดเสียใจก็จะไม่ห่างจากเราไปอีก ...นะยองจู”
 
สายตาที่สบประสานมีความหมายมากเกินพอจะเอื้อนเอ่ย ยองจูก้มลงจูบริมฝีปากเล็กนั้นอีกครั้งหนึ่งราวกับต้องการจะตีตราทำสัญญาระหว่างกัน
 
 
 
“ยองจู ท่านจะไปไหนน่ะ?” เมื่อคนทั้งสองดื่มยาสมุนไพรบำรุงร่างกายเรียบร้อยแล้ว เสียงเล็กก็เอ่ยถามคนที่เพิ่งหายบาดเจ็บที่ลุกขึ้นจากเตียง
 
“ผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ข้าจะไปดูวังชอนซา”
 
“เราไปด้วย”
 
ยองจูและฮีอูพักอยู่ที่ห้องทางปีกซ้ายของตำหนักเอก ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็เดินมาถึงทางเข้าห้องกลางขนาดใหญ่ที่ผู้เฒ่าลีซางใช้ในการประกอบพิธีกรรมปลุกองค์วังชอนซาให้ฟื้นคืน
 
 
“อ๊าคคคคคคคคคคคคคค!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
 
 
เสียงทุ้มหนักดังแผดลั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮีอูยึดชายแขนเสื้อของคนรักแล้วสบสายตาเป็นเชิงถาม ทว่ากลับยังไม่ได้รับคำตอบ คนข้างตัวก็รีบหุนหันวิ่งเข้าไปในห้องเสียก่อน
 
ฮีอูรีบวิ่งตามเข้าไป และภาพที่เห็นก็ทำให้ร่างเล็กมึนงงสับสน


(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

 

เรื่องราวขององค์วังชอนซาฮีอูรับรู้หมดแล้วจากการบอกเล่าของคนรอบตัว เขารู้ว่าตอนนี้องค์รัชทายาทชองจีรยงกำลังอยู่ในช่วงเฝ้าอาการขององค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิด การประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นี้เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าลีซางจะต้องอันเชิญเทพยดาลงมาเพื่อจุติชุบชีวิตขององค์วังชอนซาอีกครั้ง
 
มันก็น่าจะแค่นั้น แล้วเหตุใด ทุกคนถึงไปรุมล้อมอยู่รอบเตียงอีกหลังหนึ่งที่มีองค์ชายจีรยงนอนอาละวาดอยู่เล่า?!
 
“จับมัดขาไว้!” เสียงของนักบวชคนหนึ่งตะโกนสั่งเมื่อเห็นว่าแรงดิ้นของชายหนุ่มนั้นมีมากจนน่ากลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บ
 
ความโกลาหนวุ่นวาย บวกกับกลิ่นธูปที่ตีตลบอบอวลทำให้ร่างเล็กที่ยังอ่อนเพลียรู้สึกหน้ามืด ทำท่าว่าจะเซจนยืนไม่ไหว ร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้กันจึงรวบเอวไว้ให้พิงกายกัน
 
“จะออกไปก่อนหรือเปล่าฮีอู?”
 
ดูเหมือนว่าตอนนี้คนกว่าสิบคนภายในห้องจะไม่ทันสังเกตเห็นผู้มาใหม่ทั้งสอง เพราะความวุ่นวายนั้นดูเร่งรีบจนพาให้ไม่สนใจสิ่งอื่น
 
ศีรษะเล็กส่ายไปมา “ทำไมองค์ชายจีรยงถึงเป็นอย่างนั้น”
 
แววตาคมจ้องมองชายหนุ่มร่างสูงผู้มีสายเลือดนักรบแดนมังกรอย่างยอมรับในความจริงใจที่มีต่อคิมซอนอิน “องค์ชายของเจ้ากำลังรับความเจ็บปวดที่ก่อเกิดจากการฟื้นคืนชีวิตแทนวังชอนซา”
 
“รับความเจ็บปวดแทน?”
 
“ใช่ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ต้องแลกกับหัวใจที่แหลกสลาย เพื่อการกลับคืนของเถ้ากระดูกและเลือดเนื้อทั้งหมดอีกครั้ง ...การเกิดใหม่ครั้งที่สองของวังชอนซา”
 
“แต่ร่างกายของวังชอนซายังอยู่ครบไม่ใช่หรือ?” ฮีอูถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
 
ยองจูยังคงจ้องมองร่างสูงที่อาละวาดอยู่บนเตียงขณะตอบ “แม้ร่างกายจะยังอยู่ แต่ความรู้สึกที่เกิดกับร่างกายนั้นคือการแลกเปลี่ยนของการมีชีวิตใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนคนหนึ่งจะได้มีชีวิตครั้งที่สอง สิ่งที่ต้องแลกมาคือความทรมานทางร่างกายอย่างแสนสาหัส ..ราวกับเนื้อถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ ฉีกกระชากไปทุกส่วนของร่างกาย ความทรมานที่เกิดขึ้นนี้แม้ไม่เห็นได้ด้วยตา แต่คนที่รับความเจ็บปวดนั้นสัมผัสได้ทุกความรู้สึก”
 
ทั้งก้อนเนื้อหัวใจที่ถูกปลายกระบี่เสียบแทง ทั้งการฟื้นคืนของกระดูกทุกตารางนิ้ว ทั้งเลือดเนื้อที่ก่อเกิดเริ่มสร้างขึ้นใหม่ ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ชองจีรยงได้รับนั้นแลกมาด้วยการตื่นขึ้นอีกครั้งของคิมซอนอิน
 
หากไม่เป็นคนที่รักอย่างสุดใจ หากไม่ใช่คนสำคัญมากกว่าชีวิตของตนเอง การรับผลกรรมเหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ และตอนนี้ ชองจีรยงก็ทำให้เขาเห็นแล้วว่าฝ่ายนั้นให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ของเขามากเพียงไร
 
ซอนอิน ต่อจากนี้ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะได้รับความสุขเหมือนคนอื่นๆ...
 
 
ความกดดันภายในห้องนั้นดำเนินต่อไปราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ฮีอูทนยืนมองได้ไม่นานก็ต้องซบหน้าลงกับอกของยองจู สีหน้าขององค์ชายจีรยงทั้งดูบิดเบี้ยว ทั้งดูเจ็บปวด เสียงทุ้มที่ร้องไม่หยุดยิ่งสร้างความปวดใจให้ร่างเล็กมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ตอนนี้องค์ชายจีรยงกำลังรู้สึกยังไงนะ ร่างกายคงจะเจ็บไปหมดทุกส่วน คงเหมือนว่าร่างกายกำลังถูกฉีกทึ้งทั้งเป็นไม่หยุด ทรมาน... แค่คิดก็ทรมานเหลือเกิน หากเป็นเขาคงทนแบบนี้ไม่ได้แน่
 
ฮีอูละใบหน้าออกจากอกของยองจูแล้วมองไปยังเตียงอีกฝั่งหนึ่งที่มีร่างบอบบางขององค์วังชอนซานอนแน่นิ่ง โดยมีผู้เฒ่าลีซางยืนสวดทำพิธีอยู่ที่ปลายเตียงไม่หยุดพัก
 
น่าเหลือเชื่อนัก องค์ชายชองจีรยงคนนั้น ยอมทำถึงเพียงนี้เพื่อช่วงชิงชีวิตของใครคนหนึ่งกลับมา หากเป็นเมื่อก่อน ชายผู้มีใจแกร่งดั่งหินผาที่แสนเย็นชาผู้นี้ คงไม่มีทางทำอะไรเช่นนี้แน่ ...ในที่สุด องค์ชายจีรยงก็ได้พบกับคนของพระองค์ที่แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีเหลือเกิน
 
 
เข้ายามสิบ เสียงทุ้มที่ดังก้องอย่างเจ็บปวดมาร่วมสองชั่วยามก็ได้เงียบสงบลง ชองจีรยงหมดสติทันทีเมื่อความทรมานนั้นสิ้นสุด ตามร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬผุดพรายราวกับใครเอาถังน้ำมาสาดใส่
 
ฮีอูรีบเข้าไปช่วยดูแลเรื่องการเช็ดตัวให้กับจีรยงพร้อมกับโทซองและกึมซองที่รอปรนนิบัติถวายอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่แรก ยองจูปลีกตัวออกมาที่เตียงของวังชอนซา
 
“บาดแผลหายไปหมดแล้ว ชีพจรก็เต้นอีกครั้ง” ราชครูปาร์คใช้สองนิ้วทาบข้อมือขาวเพื่อวัดชีพจรหลังจากที่เปิดอาภรณ์ช่วงบนออกเพื่อดูบาดแผลบนเนินอกเนียนละเอียด
 
“คิดว่าคงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เหลือเพียงรอให้วังชอนซาฟื้นขึ้นมา” ชายชรามีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ยองจูประคองผู้เฒ่าลีซางลงนั่งที่เก้าอี้
 
“ต่อจากนี้ให้ข้าดูแลเองเถอะ ท่านควรจะพักผ่อนเสีย”
 
มือหยาบย่นกร้านโลกโบกไปมาในอากาศ “ช่างเถิด ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เฮ้อ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อ คำทำนายทั้งหมดนั่นเป็นความจริงทุกประการไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อยเลย ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบกี่ร้อยปี ที่วังชอนซาองค์ต่อไปจะได้รับเลือกให้เป็นร่างที่รองรับเทพสวรรค์ที่ทำผิดกฎอีก”
 
“จะกี่สิบกี่ร้อยปี ถึงตอนนั้นชินซองก็ยังคงดำรงอยู่ด้วยประสงค์ของสวรรค์”
 
“นั่นสินะ...”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
สองวันหลังจากที่พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ผ่านพ้นไป แผงขนตาดำยาวก็ได้ขยับเคลื่อนไหวเชื่องช้า ท่ามกลางสายตาของคนกลุ่มหนึ่งที่รอคอยอย่างคาดหวัง ไม่นานนักแก้วตาคู่สวยที่หลับใหลมานานก็ได้เผยให้เห็นถึงประกายสดใสอีกครั้ง
 
ทว่าทันทีที่ลืมตาขึ้น หยดน้ำตาเม็ดใสก็ได้ไหลรินลงจากหางตาทั้งสองข้าง ก่อนที่แก้วตาคู่นั้นจะเอ่อคลอด้วยม่านน้ำตาจนท่วมท้น
 
แผงขนตาสีดำถูกเม็ดน้ำเกาะเป็นประกายระยิบ ริมฝีปากบางเฉียบเม้มแน่นจนขึ้นสีจัด ปลายจมูกโด่งรั้นระเรื่อสีแดงเข้ม ผิวหน้าขาวนวลสูบฉีดด้วยเลือดฝาดทั้งสองข้างแก้ม
 
เป็นความสวยงามบนความปวดร้าวที่ยากเกินจะห้ามใจไม่ให้ชื่นชมไม่ได้ นั่นเป็นความคิดของทุกคนในที่แห่งนี้ คิมซอนอินเป็นบุรุษที่งดงามหาใดเปรียบ แม้กระทั่งยามที่มีน้ำตาเช่นนี้...ก็ยังคงงดงามยิ่งกว่าผู้ใด
 
จีรยงทรุดตัวลงนั่งที่ข้างเตียง การเคลื่อนไหวของเขาเรียกสายตาของคนที่นอนลืมตาเหม่อลอยให้หันมองสบ และเมื่อใบหน้าที่แสนคุ้นเคยได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าแล้ว ร่างบอบบางที่ยังไร้เรี่ยวแรงก็รีบขยับลุกโถมกายเข้าหาอ้อมกอดที่ผายออกรอรับในทันที ท่อนแขนเล็กสวมกอดกายชายคนรักแนบแน่น ฝังใบหน้าแห่งความเศร้าโศกลงกับอกกว้างที่แสนอบอุ่น
 
“ฮึก เสด็จพ่อ... ข้าฆ่าเสด็จพ่อ!!!! ฮึก ฮือ!!!”
 
เรียวคิ้วเข้มกดลงต่ำ สองแขนตระกองกอดคนที่กำลังอ่อนแออย่างที่สุด ไหล่บอบบางสั่นสะท้านจนทำให้ใจของชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวเหลือแสน ความเสียใจเหล่านี้ เป็นไปได้เขาก็อยากจะรับไว้เอง
 
แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้ซอนอินได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ความรู้สึกของซอนอินแม้จะสื่อมาถึงเขาได้ราวกับเป็นฝาแฝด แต่เขาก็ไม่อาจบรรเทาความเสียใจเหล่านั้นให้กับซอนอินได้เลย
 
น่าเจ็บใจนัก ที่ทำได้ดีที่สุดก็เพียงแค่โอบกอดปลอบโยนอยู่เช่นนี้
 
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นค่อยๆ จางหายไปตอนที่คนอื่นๆ ที่เหลือพากันเดินออกมาและปิดบานประตูให้คนสองคนภายในห้องนั้นได้อยู่กันตามลำพัง
 
“องค์วังชอนซาทรงฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้จะทำเช่นไรต่อไป ท่านผู้เฒ่าลีซาง ...ตำแหน่งวังชอนซา ยังเป็นขององค์ชายคิมซอนอินอยู่หรือไม่?” นักบวชชั้นผู้ใหญ่เอ่ยถามบุคคลที่เป็นผู้นำอย่างสงสัย
 
“พระอนุชาขององค์ชายคิมซอนอินยังเด็กเกินไปที่จะรับตำแหน่งนี้ คนอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ข้ายังไม่เห็นว่ามีผู้ใดเหมาะสม”
 
“แล้วเชินอันล่ะจะทำเช่นไร หากองค์ชายไม่ทรงขึ้นครองราชย์ แล้วยังจะมีผู้ใดเล่า?”
 
“เชินอันล่มสลายแล้ว ไยต้องมีกษัตริย์ปกครอง” โทซองเอ่ยขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “กองทัพของเรายังอยู่พร้อม หากคนของท่านยังคิดสู้ก็ไม่ขัด”
 
“ใช่ ฝ่าบาทของเราก็พร้อมจะสู้รบอีกครั้งได้ในทันทีด้วย” กึมซองรีบสนับสนุนคำพูดของพี่ชาย ถึงอย่างไรแล้ว ใจของเด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังคงจงรักภักดีต่อฮานึลอย่างหาที่สุดไม่ได้
 
“ใจเย็นๆ ก่อน พวกเจ้าจะมาเป็นปฏิปักษ์ต่อกันทำไม ...ยูโทซอง ยูกึมซอง พวกเจ้าสองคนก็มีเลือดครึ่งหนึ่งเป็นชินซอง อย่ามุ่งคิดร้ายนักเลย” ลีซางถอนหายใจยาว เขาพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ “ถึงอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึงอยู่ดี กาลอวสานต้องมาเยือนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ไม่มีเชินอัน แต่ชินซองก็ยังคงอยู่ องค์รัชทายาทชองจีรยงเองก็รับปากกับข้าแล้วว่าจะปกครองแคว้นแห่งนี้อย่างเต็มความสามารถ อีกอย่าง การจะฟื้นระบบเชื้อสายพระวงศ์ที่เหลืออยู่ของเชินอันในตอนนี้ เห็นทีคงจะยากนัก”
 
ปีศาจตนนั้นฆ่าคนไม่เว้นราวกับเห็นเป็นผักปลา สายเลือดเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่เห็นจะมีก็แต่โอรสทั้งสองพระองค์ขององค์ราชินีซองอึนเท่านั้นกระมัง
 
ยังไม่นับเรื่องบ้านเมืองที่ถูกเพลิงกัลป์เผาผลาญทำลายจนประเมินค่าความเสียหายไม่ได้นั่นอีก ชาวบ้านล้มตายก็นับไม่ถ้วน บ้านเมืองเสียหายชำรุดขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะฟื้นตัวเองขึ้นมาได้ง่ายแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องจำยอมสวามิภักดิ์ต่อผู้ปกครองคนใหม่ ชองจีรยง เท่านั้นเอง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
ซอนอินร้องไห้จนสลบไปอีกครั้งในอ้อมกอดของจีรยง
 
กลางดึกในคืนนั้น ความอบอุ่นจากกายที่ได้สวมกอดกันกลับว่างเปล่า จีรยงเปิดเปลือกตาขึ้นในทันทีท่ามกลางความมืดสลัวภายในห้อง ตะเกียงข้างเตียงถูกจับยกขึ้นเพื่อส่องหาคนร่างบางที่หวังว่าจะอยู่ไม่ห่างกายมากนัก หากแต่ก็ยังไม่มีแม้เงาของคนที่นึกห่วงสุดใจ
 
เมื่อหัวค่ำก็เพิ่งจะฟื้นตื่นขึ้นมา แล้วยังร้องไห้จนสลบไปอีก ร่างกายอ่อนเพลียขนาดนั้นยังจะมีแรงเดินไปไหนอีก!
 
จีรยงคว้าเสื้อตัวนอกขึ้นสวมรวดเร็ว ก่อนจะเอื้อมจับกระบี่ด้วยความคุ้นเคย ทว่าคราวนี้กระบี่ในมือกลับเบากว่าที่เคยเมื่อมีเพียงแต่ฝักที่เหลืออยู่
 
แน่นอนว่ากระบี่ที่ใช้จ่อเทพสวรรค์ในตอนนั้นเป็นแค่ภาพมายาของความฝัน กระบี่ของเขายังคงสภาพอยู่ดีจนถึงเมื่อตอนที่เขาวางมันก่อนหน้านี้
 
ทันความคิด ร่างสูงสง่าก็รีบผลุนผลันวิ่งออกจากตำหนักไปอย่างรวดเร็ว
 
 
อากาศเย็นเฉียบของค่ำคืนตัดผ่านผิวเนื้อให้รู้สึกหนาวเยือก ริมฝีปากหยักหนาพ่นไอร้อนออกมาขณะที่วิ่งไปยังท้องพระโรงของวังหลวงเชินอัน
 
เหนื่อยจนเหมือนร่างกายจะฉีกขาด ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อสองวันก่อนยังหลงเหลือให้รู้สึกสะท้านไปทั้งร่างกาย เรี่ยวแรงยังไม่อาจฟื้นคืนได้เต็มที่ แต่จีรยงก็ยังไม่หยุดฝีเท้า เขาผลักบานประตูขนาดใหญ่ที่ห่างไกลจากสภาพเดิมออกให้พ้นทาง
 
ตรงกลางของห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีแต่ซากศพและกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง ร่างบางในอาภรณ์ขาวยืนเด่นอยู่ที่สุดปลายสายตา ในมือเล็กๆ นั้นกำกระบี่ของเขาเอาไว้ด้วย
 
หัวใจของมังกรหนุ่มดิ่งวูบกับการกระทำของคนตรงหน้า
 
 
เคร้ง!
 
 
“ทำบ้าอะไรของเจ้า!” เมื่อเข้าประชิดตัวได้ จีรยงก็รีบปัดกระบี่ออกให้พ้นท่อนแขนขาวที่มีเลือดสีแดงสดไหลอาบอย่างน่ากลัว เขาสบถอีกหลายคำขณะที่ฉีกเสื้อผ้าของตนมามัดปิดปากแผลให้อย่างร้อนรน
 
“อย่าได้คิดทำเช่นนี้อีกนะ! คิดว่าข้าทำทุกอย่างนี้เพื่ออะไรกัน!! ชีวิตของเจ้าจะเอามาทิ้งง่ายๆ ได้ที่ไหน!!!”
 
ซอนอินไม่ได้ตอบโต้คำพูดที่ตะโกนก้องอยู่ข้างหู สายตาที่มีแต่ม่านน้ำใสบดบังมองเห็นแต่เพียงร่างกายของพระบิดาที่นอนไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้าเท่านั้น แม้แต่แรงยืนก็ไม่เหลือแล้วหากไม่มีมือของจีรยงคอยจับประคองไว้
 
สภาพของซอนอินในตอนนี้จีรยงเข้าใจดี แต่ก็ยังอดเคืองในการกระทำงี่เง่าไร้ความคิดนี้ไม่ได้ เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์โกรธแล้วจับศีรษะเล็กให้เอนพิงอก ฝ่ามือใหญ่ลูบเบาๆ ที่ข้างแก้มชื้น
 
“เจ้าจะร้องไห้อีกสักเท่าไหร่ข้าไม่ห้ามแล้ว แต่ข้าขอได้ไหม อย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้อีก”
 
“ข้าไม่อยากอยู่แล้ว” เสียงหวานแหบพร่าสั่นเครือ “...จีรยง ข้าไม่อยากมีชีวิตอีกแล้ว”  หยดน้ำตาร่วงหล่นกระทบผิวแก้มราวหยดน้ำฝน
 
จีรยงประคองไหล่เล็กให้คุกเข่าลงนั่ง ใช้ปลายนิ้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้พ้นดวงหน้าสวยอย่างเบามือ ก่อนเชยปลายคางมนบังคับให้เงยหน้าขึ้นสบสายตา
 
“ชีวิตที่เจ้าไม่ต้องการ ก็ยกมันให้ข้าเสีย ทั้งปัจจุบันและอนาคต มอบมันให้กับข้า คิมซอนอิน”
 
ริมฝีปากอุ่นนาบจูบเข้าหาราวเป็นพยานแลกเปลี่ยนข้อตกลงที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ปฏิเสธ จูบนุ่มนวลหอมหวานลึกล้ำมีแต่จะทำให้ใจของซอนอินยอมรับไปอย่างไร้หนทางหลีกหนี
 
ความเป็นจริงที่เห็นอยู่ตำตา เพียงสิ่งเดียวที่ซอนอินไม่อาจตัดทิ้งได้ ก็คือชองจีรยงผู้นี้
 
หากไม่มีจีรยง ชีวิตนี้คงไม่มีค่าพอที่จะดำรงอยู่เป็นแน่
 
แค่ชองจีรยง...
 
“ฮึ อืม...อือออ” เรียวลิ้นเล็กตอบสนองช้ากว่าปกติด้วยสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่บอบช้ำ ทว่าก็ยังคงสร้างความพึงพอใจในทุกจูบที่มีให้กันระหว่างคนทั้งสองไม่เปลี่ยนแปลง
 
จูบหวานล้ำลึกซึ้งสิ้นสุดลงในที่สุด
 
ริมฝีปากแดงบวมเจ่อเล็กน้อย ซอนอินช้อนสายตาฉ่ำน้ำขึ้นสบสายเนตรรัตติกาล มือข้างที่ไม่ถูกบาดยื่นขึ้นทาบลงกับผิวแก้มของคนที่รักสุดหัวใจเพียงหนึ่งเดียว
 
“หากวันใดที่ข้าไม่มีเจ้า ข้าจะทำเช่นนี้อีก”
 
จีรยงจับมือเล็กผอมบางข้างนั้นเลื่อนต่ำลงมายังตำแหน่งของริมฝีปาก เขานาบจูบเบาๆ ลงบนเรียวนิ้วข้างนั้น พร้อมสบสายตาจ้องลึกลงไปในแก้วตาคู่สวยตรงหน้า
 
 
 
“จะไม่มีวันใด ที่เจ้าไม่มีข้า”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จีรยงกลายเป็นอีกคนไปเลยอ่ะ ดีจัง
แต่คู่ราชครูน่ารักมากกกกกกกก
 :mew3:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

บทที่ 27
 

 
ประวัติศาสตร์หน้าสุดท้ายของเชินอันถูกจารึกไว้ในวันประกาศพ่ายสงครามต่อฮานึล เหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งเภทภัยธรรมชาติและการยกทัพทำศึกยุติลงในเจ็ดวันให้หลัง โดยมีราชินีซองอึนเป็นตัวแทนของเชินอันในการกล่าวคำสัตย์สวามิภักดิ์ต่อฮานึลนับแต่นี้เป็นต้นไป
 
หากแต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น ทันทีที่ไพร่ฟ้าประชาชนของเชินอันรับรู้ถึงชะตากรรมที่ต้องถูกผลัดเปลี่ยนผู้ปกครองแคว้นต่างพากันแสดงท่าทีต่อต้าน เหตุอันเนื่องมาจากความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยงที่ว่า คิมซอนอิน หรือ องค์วังชอนซาองค์ปัจจุบัน จะต้องย้ายเข้าวังหลวงของฮานึลอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่ประกอบศาสนพิธีของชินซองจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในเขตแคว้นของฮานึลใกล้กับวังหลวง ด้วยเพราะแต่เดิมจิตใจของประชากรนั้นแสนบอบช้ำต่อสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย รวมถึงการที่แคว้นต้องพ่ายแพ้ต่อศึกสงคราม ความต้องการขององค์รัชทายาทชองจีรยงข้อนี้จึงกระทบจิตใจของชาวเมืองเชินอันเป็นอย่างมาก ราวกับว่าพวกเขาถูกช่วงชิงผู้เป็นที่พึ่งทางใจและความหวังเพียงหนึ่งเดียวไปต่อหน้าต่อตา
 
แต่ไหนแต่ไรมา วังชอนซา เป็นผู้ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเสียยิ่งกว่าองค์กษัตริย์หรือราชนิกูลองค์ใด ตำแหน่งที่เป็นถึงตัวแทนเทพเจ้าทงซก นั้นให้ความหมายของฐานะที่สูงส่งกว่าคนสามัญทั่วไป แม้แต่ผู้ปกครองแคว้นก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะให้ความสำคัญต่อองค์วังชอนซามากถึงเพียงนี้
 
การประท้วงต่อต้านของชาวบ้านนับว่าสร้างปัญหาไม่น้อยเลยทีเดียว ขบวนศึกของฮานึลไม่อาจใช้เส้นทางปกติในการเดินทางกลับได้ เนื่องจากมีกลุ่มคนขวางเส้นทางอย่างไม่คิดถอย รวมถึงคำสั่งของท่านแม่ทัพที่เจ็ดที่ว่าห้ามผู้ใดแตะต้องทำร้ายประชากรของเชินอันแม้แต่ปลายเล็บ จึงทำให้ต้องเลี่ยงเส้นทางอย่างช่วยไม่ได้
 
เช่นเดียวกับที่ประตูวังหลวง ชาวบ้านนับร้อยนับพันต่างพากันปิดทางเข้าออกเพื่อกันไม่ให้ผู้ใดก็ตามพาองค์วังชอนซาออกไปได้ ชาวบ้านเหล่านี้ต่างคุกเข่าอ้อนวอนข้ามวันข้ามคืนถึงสามวัน จนในที่สุดองค์ราชินีต้องออกมากล่าวชี้แจงต่อหน้าประชาชนด้วยองค์เอง
 
พระนางลำบากใจไม่น้อยกับสิ่งที่ต้องเอ่ยบอกกับไพร่ฟ้าถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เป็นธรรมเนียมอยู่แล้วที่เมื่อไหร่ก็ตามบ้านเมืองถูกช่วงชิง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมตกอยู่ในกำมือของผู้ชนะ ไม่เว้นแม้แต่เศษเถ้าธุลีเพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าชินซองจะเป็นเพียงชนเผ่าที่อยู่อย่างสันโดษเพียงลำพัง แต่พื้นที่อาณาเขตก็อยู่บนผืนดินของเชินอัน ความเป็นจริงนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ยังนับว่าดีด้วยซ้ำ ที่ฮานึลไม่คิดควบคุมความเป็นอยู่ของชินซอง ทุกอย่างของชินซองยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีการรุกราน ไม่มีการบังคับให้แตกศาสนาความเชื่อเดิมที่ศรัทธา ยกเว้นเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือตัวของวังชอนซาที่ต้องย้ายไปยังวังหลวงฮานึล
 
หากจะพูดให้ถูก ยกเว้น คิมซอนอิน เท่านั้นที่ต้องย้ายไปอยู่กับชองจีรยง
 
เพราะความจริงแล้วจีรยงไม่ได้ต้องการผู้ที่เป็นวังชอนซา แต่ต้องการคิมซอนอินต่างหาก ต่อจากนี้ใครจะรับตำแหน่งวังชอนซาชายหนุ่มก็ไม่สนใจทั้งนั้น ใจจริงแล้วชายหนุ่มอยากจะให้ซอนอินเป็นเพียง ‘คิมซอนอิน’ เท่านั้นด้วยซ้ำ แต่เพราะยังไม่มีผู้ใดเหมาะสมจะรับตำแหน่งนี้ต่อจากซอนอิน เขาถึงได้จำยอมให้ร่างบางเป็นวังชอนซาต่อไปเช่นนี้
 
ราชินีซองอึนเอ่ยบอกถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของแคว้นเชินอัน พระนางกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยนกับไพร่ฟ้าว่าถึงแม้แคว้นนี้จะถูกช่วงชิงไปแล้ว แต่พระนางรับรองว่าชาวบ้านจะได้รับการดูแลไม่ต่างจากเดิม ฮานึลเป็นแคว้นใหญ่ที่มีศักยภาพการปกครองที่ดีมาก และการที่วังชอนซาต้องย้ายไปก็เพื่อเป็นหลักฐานการแสดงตนว่าเชินอันยอมอยู่ภายใต้อำนาจของฮานึลอย่างแท้จริง เพื่อสร้างสัมพันธภาพและสานต่อความสัมพันธ์ของสองแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว การเสียสละครั้งนี้แลกมาด้วยความสงบสุขภายในแคว้น ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น
 
เมื่อพระนางเอ่ยชี้แจ้งเรื่องราวให้ได้เข้าใจแล้ว ชาวบ้านที่นิ่งฟังต่างก็หลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ วันนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง พวกเขาถึงยังทำใจไม่ได้ หากแต่ในอนาคต รุ่นลูกรุ่นหลานก็จะไม่มีการแบ่งแยกประชากรของแคว้นใหญ่ทั้งสองแคว้นอีกต่อไป ศึกสงครามในดินแดนตะวันออกแห่งนี้ก็จะหมดไปด้วย ปณิธานของชองจีรยง แม้แต่ชาวเชินอันเองก็รู้ดีว่าคนผู้นี้นั้นต้องการรวมแคว้นในทิศตะวันออกให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันแคว้นใหญ่จากทิศต่างๆ ที่รายล้อม ถึงจะขัดใจกับการโยกย้ายผู้ที่ตนศรัทธาไปยังสถานที่ห่างไกล แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ อย่างที่องค์ราชินี่ตรัสบอก ว่าถึงอย่างไรแล้วก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้นเอง
 
กลุ่มชาวบ้านที่ยืนประท้วงมาสามวันยอมล่าถอยกลับแต่โดยดีหลังจากที่ราชินีซองอึนได้แถลงชี้แจงด้วยองค์เอง หลังจากนั้นอีกสองวัน วังชอนซาก็ได้เดินทางไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำพิธีสวดอวยพรให้กับประชาชนของเชินอัน ในวันนั้นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์คลาคล่ำไปด้วยชาวบ้านหลายพันคนที่ร่วมเข้าฟังสวด ระยะเวลาที่วังชอนซาสวดขอพรนั้นยาวนานถึงห้าวันเต็ม ชาวบ้านเองก็อยู่จนวันสุดท้ายของการสวดเช่นกัน กระทั่งรุ่งสางในวันต่อมา ขบวนรถม้าก็ได้ถูกจัดเตรียมรอรับวังชอนซาให้เดินทางไปยังวังหลวงฮานึล
 
เสียใจที่ต้องแยกจากมารดา โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเจอกันอีกไหม
 
เสียใจที่ไม่อาจอยู่เคารพศพเสด็จพ่อได้มากกว่านี้
 
เสียใจที่ยังไม่ทันได้รู้จักใครก็ต้องพลัดพรากลาจาก นอกจากตำหนักในวังหลังและมหาวิหาร ซอนอินแทบไม่รู้จักสถานที่ใดในเชินอัน แม้แต่ผู้คนก็เช่นกัน
 
ทว่าในความเสียใจเหล่านั้น ซอนอินพูดได้ไม่เต็มปากนัก ว่าในใจลึกๆ แล้วเขาไม่ได้อยากลาจากไปไหน นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งในความเสียใจที่ก่อตัวขึ้นและรู้สึกได้อย่างชัดเจน ซอนอินรู้สึกโกรธที่หัวใจของตนทรยศบ้านเมือง เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือการได้อยู่ใกล้ชิดกับชองจีรยง ไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด เขาก็อยากติดตามไปในทุกทุกที่ ถึงจะดูผิดบาปที่ตนรู้สึกเช่นนี้ก็ตาม แต่ซอนอินก็หยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้
 
นอกจากคอยสวดขอพรให้กับทุกคนแล้ว ซอนอินก็ไม่มีทางอื่นจะทดแทนให้กับเชินอันอีก ต่อจากนี้ไป เขาจะทุ่มเทกับการเป็นวังชอนซาให้มากกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ซอนอินตั้งมั่นอยู่ในใจตอนที่เดินทางออกมาจากเชินอัน
 
...อย่างน้อย ก็จนกว่าชินซองจะหาใครรับตำแหน่งต่อจากเขา
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
กลิ่นยาหอมจากเทียนหลากสีที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงสร้างความรู้สึกมึนเมาจนยากจะควบคุมสติ สัมผัสรุ่มร้อนที่วนเวียนไม่รู้ห่างจากใบหน้ายิ่งพรากสติของร่างบางให้หลุดลอย
 
ซอนอินปรือตาเชื่อมแสงขึ้นมองเจ้าของจูบที่ยังแนบซับใกล้ชิดอย่างเลื่อนลอย แก้วตาคู่สวยฉายประกายแววของความลุ่มหลงในสัมผัสอย่างไม่ปิดบัง วงแขนเล็กเกาะเกี่ยวไหล่กว้างไว้อย่างอ่อนแรง ดวงหน้าขาวระเรื่อสีแดงจัดลามมาจนถึงลำคอขาวที่แหงนเงยหลีกทางให้ซี่ฟันคมได้ทำสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของ
 
“อ๊ะ! อื้อ!! เจ็บ....”
 
เสียงหวานครางฟังคล้ายลูกแมวตัวเล็กถูกกลั่นแกล้ง ทว่าราชสีห์ตัวใหญ่กลับไม่สำนึกผิดที่ทำให้ลูกแมวตัวน้อยได้เลือดซิบเป็นแนวฟัน ซ้ำยังคำรามเสียงต่ำแสดงความพอใจ ปลายลิ้นร้อนจัดการแลบเลียแผลช้ำเลือดบริเวณนั้นอย่างอ่อนโยน พร้อมกับฝ่ามือหยาบที่ฟ้อนเฟ้นผิวเนื้อนุ่มละเอียดมืออย่างเร่งเร้า
 
ร่างบางบิดกายเล็กน้อยอยู่ภายใต้การทาบทับของคนตัวใหญ่ แผ่นอกเนียนขาวสะท้อนขึ้นลงหนักหน่วง ลมหายใจกระชั้นถี่เมื่ออารมณ์ความใคร่ค่อยๆ พุ่งขึ้นสูงจนยากจะควบคุม
 
ริมฝีปากสีแดงบวมช้ำถูกประกบช่วงชิงลมหายใจอีกครั้ง
 
“อ้าขาให้มากกว่านี้สิซอนอิน”
 
คำพูดน่าอายถูกส่งใกล้ใบหูเล็กที่แดงจัด ลมร้อนเป่ารดข้างผิวแก้มให้รู้สึกใจสั่นจนแทบเตลิดไปไกล
 
วิหคงามเสหันหน้าหนีไปด้านข้างเพื่อหลบสายตาคมดุจแววตาของมังกรตัวใหญ่ที่พร้อมจะกลืนกินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ทว่า ท่อนขาผอมเพรียวกลับยอมแยกออกกว้างตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
 
ริ้วรอยความเขินอายพาดผ่านผิวแก้มซ้ายมายังข้างแก้มขวาอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มที่เฝ้ามองทุกอิริยาบถของคนใต้อาณัติมาตั้งแต่เริ่มเล้าโลมจนเนื้อตัวเปลือยเปล่ากันทั้งคู่ยกยิ้มพึงใจ
 
มือใหญ่จับยึดท่อนขาเล็กขึ้นพาดกับไหล่ ร่างกำยำของชายหนุ่มนักรบแนบลงเข้าหาเรือนร่างของทูตสวรรค์แสนงามจนแนบสนิท ความรุ่มร้อนจ่อเข้าช่องทางที่รอคอยการรุกล้ำอย่างโหยหา ในขณะที่การมอบจุมพิตก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งไปพร้อมกัน
 
“อึ อืมมม อ๊ะ อ๊าาาาาา!!!”
 
เรือนกายผอมบางสะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บแม้ว่าจะได้รับการเตรียมพร้อมมาแล้วก็ตาม ซอนอินจิกปลายเล็บลงบนท่อนแขนใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม แก้วตาใสเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
 
เรียวคิ้วของรัชทายาทหนุ่มขมวดยุ่งเมื่อความคับแคบนั้นส่งผลให้การขยับเป็นไปอย่างติดขัด ยิ่งฝืดฝืนทั้งเขาและซอนอินก็ยิ่งทรมาน เขาจับสะโพกเล็กให้ลอยขึ้นสูงอีกเล็กน้อย หามุมองศาให้พวกเขาเข้ากันได้ดีมากกว่าที่เป็นอยู่
 
ตลับเนื้อยาเหนียวข้นถูกปลายนิ้วหยาบควักออกมาชโลมเพื่อเพิ่มความหล่อลื่นอีกครั้ง ความพยายามครั้งที่สองของชายหนุ่มเป็นผลสำเร็จ เขาก้มลงมอบจูบหนักหน่วงให้คนร่างบางขณะที่กายของพวกเขาค่อยๆ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
 
ความหฤหรรษ์ในเพศรสเป็นสิ่งที่น่าพิสมัยนัก ทั้งที่เจ็บเจียนจะขาดใจ แต่กลับรู้สึกดีเจียนจะขาดใจด้วยเหมือนกัน ซอนอินรู้สึกเหมือนร่างกายไม่ใช่ของตนเอง ไม่อาจควบคุมอะไรได้เลย ทั้งความรู้สึกและความต้องการมีแต่จะนำพาตัวตนของเขาไปยังเส้นแสงแห่งความสุขที่ถูกหยิบยื่นจากอีกฝ่าย
 
เสียงสอดประสานของร่างกายและเสียงร้องครางอย่างสุขสมดังเอื่อยอยู่ในบรรยากาศหอมอบอวลของกลิ่นเทียนหอมภายในห้องนอนของตำหนักโยกัน ความสุขมากล้นที่ไหลเวียนอยู่ภายในอกนั้นเต็มตื้นจนแทบจะล้นทะลัก ซอนอินรู้สึกมีความสุขมากจนน่ากลัวว่าความสุขนี้จะมากเกินไปที่คนอย่างเขาจะสมควรได้รับ
 
เพียงแค่ความคิดเล็กๆ นี้ผุดขึ้นมาในสมอง แผ่นหลังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาจนต้องรีบตวัดแขนกอดรัดคนด้านบนไว้เพื่อไขว่คว้าความอบอุ่นและเพื่อตอกย้ำให้ตนเองได้รู้ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน
 
“อืม...” จีรยงครางในคอยามที่เร่งจังหวะมากขึ้น เขาก้มลงจูบดวงหน้าสวยซ้ำๆ อย่างไม่รู้เบื่อ
 
“ซอนอินของข้า อ่า...เจ้าเป็นของข้า เป็นของข้าทั้งหมด...”
 
ซอนอินได้แต่หวัง หวังว่าคำพูดที่ได้ยินอยู่นี้จะเป็นความจริงตลอดกาล
 
 
ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวที่มี อย่าได้พรากมันไปจากเขาเลย...
 


(ต่อ)


ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

 
 
 
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดผ่านหน้าต่างมายังคนที่ยังอยู่ห้วงนิทรารมย์ ร่างบางขยับพลิกกายอยู่ภายใต้ผ้าผวยผืนหนา ไม่นานนักเปลือกตาบางก็ขยับเผยดวงตาสีนิลสุกสกาวให้สาวใช้ได้ระบายยิ้มตอบ
 
“องค์วังชอนซาทรงตื่นบรรทมเถิดเพคะ อาหารเช้าตั้งโต๊ะเสร็จหมดแล้ว”
 
“อืม...โซยอน.....” ซอนอินงัวเงียยันกายลุกขึ้นนั่ง อาภรณ์ตัวบางที่สวมหมิ่นเหม่นั้นเผยช่วงไหล่ขาวเนียนที่ถูกแต่งแต้มด้วยร่องรอยฝากรักขององค์รัชทายาท ทำเอาเด็กสาวหน้าแดงวาบขึ้นมาทันที
 
เห็นมานับไม่ถ้วนแล้วแท้ๆ แต่นางก็ยังอดรู้สึกเขินไม่ได้
 
“มาเถิดเพคะองค์วังชอนซา อากาศเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” เด็กสาวเข้าไปพยุงคนร่างบางให้เดินไปยังห้องอาบน้ำเพื่อล้างตัวและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่
 
ย่างเข้าเดือนสิบแล้วตั้งแต่ที่องค์วังชอนซาถูกพาตัวกลับมายังตำหนักโยกันอีกครั้ง ภูมิอากาศช่วงนี้ที่ฮานึลเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว และยังจะเป็นฤดูนี้ต่อไปอีกถึงสี่เดือนเต็ม
 
ซอนอินออกมานั่งทานอาหารเช้าในครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงร้อง ‘จิ๊บๆ’ ของนกน้อยพาให้ดวงตาสีนิลละจากชามข้าวขึ้นมองอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มแรกของวันฉายชัดบนดวงหน้าสวย
 
“ราชครูปาร์ค!!!” อารามดีใจทำให้คนตัวเล็กลุกพรวดวิ่งถลาไปหาชายผู้เปรียบเสมือนญาติสนิท และเป็นที่แน่นอนว่าคนซุ่มซ่ามอย่างคิมซอนอินมีหรือจะไม่สะดุดขาเก้าอี้ที่ตั้งขวางเส้นทางอยู่ตรงหน้า
 
ยองจูคว้าท่อนแขนเล็กของลูกศิษย์ไว้ได้ก่อนที่เจ้าตัวจะล้มหน้าทิ่มลงไป
 
“เห็นทีข้าต้องเริ่มสอนเจ้าตั้งแต่หนึ่งใหม่เสียกระมัง”
 
คนตัวเล็กย่นหน้ายู่ทันทีเมื่อได้ยินคำว่าสอน ห่างหายจากการเรียนมานานพอควรแล้วก็อดหลงลืมไม่ได้ว่าตนยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมาก พอนึกว่าต่อไปนี้ราชครูปาร์คจะคอยมาสอนหนังสือเหมือนอย่างแต่ก่อนก็อดรู้สึกขยาดขึ้นมาไม่ได้
 
แต่เมื่อคิดว่าดีกว่าที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ คนตัวเล็กก็ยิ้มกว้าง
 
“ทำไมท่านมาช้าเช่นนี้ล่ะ? ข้ารอท่านตั้งเกือบสามเดือนเชียวนะ มัวทำอะไรอยู่?” ซอนอินถามด้วยความสงสัย พลางพาตัวเองและอาจารย์ประจำตัวไปนั่งลงที่โต๊ะ โดยมีสาวใช้รินน้ำชาให้อย่างรู้งาน
 
ตั้งแต่เดินทางออกจากเชินอัน ซอนอินก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ราชครูปาร์คจะตามมาอยู่ด้วยกัน เพราะราชครูของเขาคนนี้เอ่ยข้อตกลงกับจีรยงไว้อย่างชัดเจนว่าเขาอยู่ที่ใด ราชครูก็จะต้องได้ตามไปคุ้มกันถึงที่นั่นด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดให้มากความ แต่เดิมสิ่งที่เป็นเชินอันต้องถูกฮานึลรวบไว้เป็นของตนอยู่แล้ว แต่ราชครูปาร์คซึ่งเป็นคนของชินซองเป็นข้อยกเว้น จีรยงไม่คิดกดขี่ตำแหน่งของราชครูปาร์คที่เป็นอยู่ ซ้ำยังยกตำหนักของคุณชายฮีอูให้ราชครูของเขาได้อาศัยด้วยกันอีกต่างหาก ที่สำคัญ จีรยงยังเป็นธุระในการเจรจากับพ่อและแม่ของคิมฮีอูด้วยถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ก็เรียกได้ว่าหมดปัญหาล่ะนะ!
 
“หม่อมฉันต้องเดินทางไปดูชายแดนของเชินอันที่ติดกับแคว้นทางเหนือ” ยองจูส่งนกน้อยให้มือขาวรับไป
 
“อ๋อ แคว้นที่ท่านพ่อยกทัพไปขับไล่บ่อยๆ ใช่ไหม?”
 
ซอนอินพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว จีรยงเคยพูดเปรยๆ อยู่เหมือนกันว่าพักนี้คงต้องยุ่งกับการตั้งรับแคว้นที่อยู่โดยรอบของเชินอัน ดูเหมือนว่าแคว้นเหล่านั้นหวังจะใช้ความบอบช้ำของเชินอันเป็นหนทางในการทำลายช่วงชิงแผ่นดินมาจากฮานึล
 
แววตาคู่สวยเหล่มองชายร่างสูง “ท่านราชครูไปตรวจชายแดนตามคำสั่งของจีรยงหรือ? น่าแปลกมากเลย ท่านยอมฟังจีรยงตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
 
ครั้งล่าสุดที่ซอนอินเห็น คืออาจารย์ของเขาที่ขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงกลัวต่อหน้าจีรยง ตอนที่จีรยงประกาศจะเอาตัวเขากลับฮานึล ดูยังไงก็ไม่น่าจะมาญาติดีกันได้เลยแท้ๆ
 
คำถามของลูกศิษย์นำพาให้คิ้วหนากดลึกเข้าหากัน ที่เขาต้องมายอมฟังเจ้าคนบ้าอำนาจที่อายุน้อยกว่าอย่างนี้มันก็เพราะคนตรงหน้าเขาไม่ใช่หรืออย่างไรกัน ยังจะมาทำเป็นพูดดีอีก หากไม่เพราะชองจีรยงเป็นคนดูแลซอนอิน มีหรือที่เขาจะยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ เช่นนี้ ต่อให้เชินอันพ่ายต่อฮานึล แต่ชินซองก็ไม่จำเป็นต้องก้มหน้ารับใช้ใคร พูดกันให้ถูกแล้วก็มีเหตุผลเดียวคือคิมซอนอินลูกศิษย์ของเขาคนนี้เท่านั้นแหละ
 
เพราะสำหรับคิมฮีอู เขาไม่คิดคืนให้ใครอยู่แล้ว ทว่าการเดินทางมาอยู่ที่ฮานึลก็ใช่จะเป็นเรื่องร้ายแรง อย่างดีที่สุด ฮีอูก็ยังได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว และเขาก็ยังได้ดูแลซอนอินไม่ห่างสายตา ก็นับว่าเป็นข้อตกลงที่ลงตัวและน่ายินดีอยู่มาก
 
“องค์วังชอนซาอย่าทรงเบี่ยงประเด็นเลย โต๊ะทรงอักษรเตรียมเครื่องใช้ไว้หมดแล้ว เมื่อเสวยอาหารเสร็จก็เริ่มเรียนกันเสียเลยดีกว่า”
 
ดวงหน้าที่ระบายยิ้มพรายอย่างสุขใจที่ได้เอ่ยเย้าแหย่ท่านราชครูผู้เงียบขรึมมีอันต้องสลดลงอย่างฉับพลัน
 
เรียนอีกแล้ว... น่าเบื่อจริงๆ!
 
การเรียนครั้งนี้ซอนอินเพิ่งได้รู้ว่าที่ผ่านมาตนยังไม่มีความรู้พื้นฐานอีกมาก ซ้ำตอนนี้ยังต้องเรียนรู้เรื่องราวของฮานึลเพิ่มเข้าไปอีก ของเก่ายังจำไม่หมด ยังจะมีของใหม่เพิ่มเข้ามาให้ได้ปวดหัวเสียอีก
 
สวรรค์ช่างกลั่นแกล้งวิหคเพลิงแสนงามนัก
 
ตกเย็น การคัดอักษรอันแสนยาวนานของซอนอินก็สิ้นสุดลง ร่างบางถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะวางพู่กันลงบนแท่นไม้ เรียวคิ้วสวยขมวดยุ่งริมฝีปากเม้มแน่นเมื่อเห็นตัวอักษรโย้เย้ของตนเอง
 
เอาเถอะๆ ไม่สวยมากแต่ก็ใช้ได้แหละ! ซอนอินให้คำตอบกับตัวเองก่อนจะเป่าเบาๆ ให้หมึกตัวสุดท้ายแห้ง แล้วม้วนกระดาษเดินออกไปส่งให้ราชครูปาร์คที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมห้อง
 
“เสร็จแล้ว” มือเล็กยื่นกระดาษส่ง ยืนบิดมือไปมารอฟังคำตัดสินของท่านอาจารย์ว่าเป็นอย่างไร ดวงตากลมโตจ้องมองลุ้นทุกการเลื่อนสายตาของคนตรงหน้าไปยังบรรทัดถัดไปจนสุดหน้ากระดาษ
 
“ลายมือขององค์วังชอนซายังไม่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ห่างหายไปนานอย่างนี้คงต้องเข้มงวดกันหน่อย”
 
“อย่าใจร้ายกับข้านักสิท่านราชครู จะให้คัดอีกสักกี่สิบครั้งก็ได้เท่านี้แหละ” ซอนอินโอดครวญ
 
“ให้เราช่วยสอนดีไหม?” เสียงเล็กที่เอ่ยแทรกขึ้นทำให้คนร่างบางหันขวับไปมองพร้อมรอยยิ้มกว้าง
 
“ฮีอู!~ อ๊ะ อิงอิง!!~” เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินเข้ามา ซอนอินก็ยิ้มหน้าระรื่นทันที พร้อมกับก้มลงอุ้มเจ้าสุนัขจิ้งจอกขึ้นแนบอก “ดีเลยๆ ให้ฮีอูสอนข้าก็ได้ ข้ารู้หรอกว่าท่านกำลังศึกษางานที่จีรยงมอบหมายให้ทำอยู่ ไม่ต้องเสียเวลามาเฝ้าข้าหรอก!”
 
ยองจูปิดหนังสือในมือ เขาปรายสายตามองคนตัวเล็กสองคนที่ยืนชิดสนิทสนมกันอย่างใช้ความคิด เขาเพิ่งเดินทางมาถึงวังหลวงฮานึลเมื่อยามสอง เจอกับชองจีรยงและได้พูดคุยกันนิดหน่อยก่อนจะไปหาฮีอูที่ตำหนัก แต่เพราะเห็นว่าคนตัวเล็กของเขายังหลับอยู่จึงไม่คิดรบกวน จากนั้นก็มาที่ตำหนักโยกัน ถึงจะพอได้ฟังมาจากชองจีรยงมาบ้างแล้วว่าซอนอินกับฮีอูเป็นมิตรที่ดีต่อกัน แต่ไม่คิดว่าจะสนิทกันมากขนาดนี้
 
สงสัยว่าเกือบสามเดือนที่ผ่านมาคงจะเป็นเวลายาวนานเกินกว่าที่เขาคาดคิดกระมัง
 
ในความรู้สึกของยองจูแล้วอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สำหรับซอนอิน ในช่วงเวลานั้นทั้งเสียใจและหดหู่กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น การที่ร่างกายถูกใครอื่นควบคุม แต่ตนกลับเห็นทุกสิ่งที่สองมือของตัวเองเป็นผู้กระทำนั้นยากเกินจะทนรับไหว ซอนอินเศร้าซึมมาตลอดการเดินทาง ถึงจะมีจีรยงคอยกอดปลอบประโลมไม่ห่าง แต่ก็ยังช่วยลดความทุกข์ใจของซอนอินไปได้ไม่มากมายนัก แต่เมื่อฮีอูเข้ามาพูดคุยด้วย ซอนอินกลับพบว่าตนเองรู้สึกดีที่ได้ระบายความรู้สึกกับฮีอู อะไรบางอย่างบอกว่าฮีอูนั้นคล้ายกับจีมุน นั่นคือเป็นคนที่มีจิตใจดี อยู่ด้วยแล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ อย่างที่เค้าว่า มิตรสหายสำคัญกว่าเงินทองนั่นแหละ นับๆ ดูแล้ว นอกจากจีมุนก็มีฮีอูนี่แหละที่ซอนอินนับได้ว่าเป็นเพื่อน
 
“สองสามวันนี้หม่อมฉันยังไม่ต้องทำอะไรมาก องค์วังชอนซาไม่ต้องกังวลไป หากหม่อมฉันไม่ว่างเมื่อใดก็คงต้องขอให้คุณชายฮีอูช่วยดูแล”
 
“อะไรกัน อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กได้ไหม อายุของข้าก็พอๆ กับฮีอูเลยนะ” จะต่างกันก็แค่เดือนเกิดเท่านั้นแหละ
 
สองสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้นายทั้งสามลอบส่งสายตายิ้มขำให้กัน ดูจากสายตาของพวกนางแล้ว องค์วังชอนซาดูเป็นเด็กกว่าคุณชายฮีอูตั้งเยอะ ก็อย่างคุณชายฮีอูน่ะ ทั้งเรียบร้อย เรียนเก่งมีความรู้มากมาย รู้จักการวางตัว สุภาพก็ที่หนึ่ง ต่างกับนายของพวกเธอเป็นไหนๆ
 
“ยองจู ท่านอย่าเร่งรัดองค์วังชอนซาให้มากนักเลย มีเวลาเรียนรู้อีกมากนัก ท่านเองก็เถอะ เพิ่งเดินทางมาถึง ไม่รู้จักเหนื่อยบ้างหรืออย่างไร?” ประโยคนั้นฟังดูเผินๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ท้ายประโยคนี่สิที่ซอนอินจับเค้าน้ำเสียงได้ความว่าคนตัวเล็กกำลังน้อยใจท่านอาจารย์ของเขาอยู่
 
เดินทางกลับมาทั้งทีไม่คิดจะอยู่พูดคุยกันสักคำ กลับออกมาตำหนักโยกันก่อนเสียนี่!
 
ใช้ไม่ได้! ท่านอาจารย์นี่ใช้ไม่ได้เลย!
 
“เฮ้อออ ข้าง่วงนอนมากๆ เลย! พวกท่านสองคนกลับกันไปก่อนเถอะนะ เรียนมาทั้งวันข้ารู้สึกเพลียสุดๆ อยากจะนอนสักงีบ” มือขาวยกขึ้นปิดปากทำท่าหาววอด “ยอนอา โซยอน ข้าฝากส่งท่านราชครูกับคุณชายฮีอูด้วยนะ” สั่งความเสร็จก็เดินตัวปลิวหลีกหายเข้าห้องนอนไปทันที แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวก็รีบวิ่งกลับมายื่นส่งอิงอิงคืนให้เจ้าของรับไปแล้วก้าวฉับๆ กลับไปที่ห้องอีกรอบอย่างรวดเร็ว
 
ซอนอินทิ้งตัวนั่งปุลงบนเตียง ยกสองขาขึ้นนั่งขัดสมาธิ ดวงหน้าเรียวได้รูประบายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อนึกถึงภาพของราชครูปาร์คกับคุณชายฮีอูที่มองตากันอยู่เมื่อครู่
 
คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เห็นคนรักของผู้เป็นอาจารย์เสียแล้ว คิก...คุณชายฮีอูนี่แน่จริงๆ จับอาจารย์ของเขาเสียอยู่หมัดเลย!
 
“หัวเราะอะไรอยู่คนเดียว หืม?” กำลังหัวเราะคิกคักกลิ้งตัวเกลือกไปบนเตียงด้วยความสุข จู่ๆ ก็มีวงแขนปริศนารวบตัวเข้าไปนั่งแหมะอยู่บนตักคนด้านหลังเสียชิดแนบสนิท ตามติดมาด้วยริมฝีปากอุ่นที่ฉกความหอมไปจากผิวแก้มนุ่ม
 
“เสร็จราชกิจแล้วหรืออย่างไร? ถึงได้มานั่งนัวเนียข้าอย่างนี้?” ไม่ผิดจากคำพูดนั้นแม้สักน้อย ชองจีรยงกำลัง‘นัวเนีย’ ร่างบางอยู่จริงๆ เผลอหน่อยเดียวอาภรณ์ที่สวมอยู่ก็หลุดลุ่ยติดไปกับมือช่ำชองคู่นั้นอย่างแนบเนียน
 
จีรยงหัวเราะขำในคอกับสีหน้าและวิธีการพูดของคนในวงแขน ซอนอินที่เป็นแบบนี้นี่แหละช่างน่ารักนัก แววตาเป็นประกายสดใสแบบนี้คือตัวตนของคิมซอนอินที่เขาต้องการนักหนา
 
“งานราษฎร์งานหลวงวันนี้เสร็จหมดแล้ว ยกเว้นแต่งานส่วนตัวของข้าที่ยังไม่ได้เริ่มเสียที”
 
“งั้นเจ้าก็รีบๆ ไปทำ..อื้อ....เสียสิ” ขณะที่พูด ซอนอินก็ต้องหลับตาแน่นเมื่อยอดอกถูกสะกิดยอกเย้า
 
“ข้าทำคนเดียวไม่ได้หรอก เจ้าต้องช่วยข้าด้วย”
 
“ช่วย...อึก...อะไร” อยากจะตอบไปว่า ตอนนี้แม้แต่จะช่วยตัวเองให้พ้นมือเจ้าข้ายังทำไม่ได้ แล้วจะให้ข้าช่วยอะไรได้อีก แต่ยังไม่ทันจะได้ต่อปากต่อคำให้มากความกว่านั้น ร่างสูงก็จัดการกดคนตัวเล็กลงนอนราบไปกับที่นอนหนา ริมฝีปากอุ่นจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มใส ก่อนส่งความหมายผ่านวาจาให้เจ้าตัวได้เข้าใจ
 
 
“การครอบครองร่างกายเจ้า ถือเป็นงานส่วนตัวที่สำคัญยิ่งของข้า มา เจ้าต้องให้ความร่วมมือกับข้าแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นคงต้องสะสางงานกันจนถึงรุ่งสางกว่าจะเสร็จเป็นแน่”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ซอนอินได้ข่าวมาหลายวันแล้วว่าองค์ชายจีมุนเดินทางไปรับเสด็จย่าที่หุบเขาพูซาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดในการเข้ารับพิธีถือศิลกินเจของฮานึล ดูเหมือนว่าเสด็จย่าของจีรยงจะเข้ารับศีลที่นั่นถึงครึ่งปีเต็มเพื่อทำบุญแผ่ส่วนกุศลในตอนที่เกิดเพลิงกัลป์ร้ายแรงกับฮานึลเมื่อครั้งก่อน และวันนี้ก็เป็นวันที่จะเสด็จกลับวัง
 
“นี่ฮีอู ข้าว่าข้ากลับไปตำหนักโยกันดีกว่านะ อันที่จริงแล้วข้าเป็นแค่คนอาศัย มายืนตอนรับแบบนี้จะดีเหรอ?” ซอนอินกระซิบกระซาบกับร่างเล็กอย่างเป็นกังวล
 
ตอนนี้คนกว่าครึ่งวังต่างมายืนรอต้อนรับเสด็จอยู่ที่ลานโล่งด้านหน้าของประตูวังหลวง พระสนมฮีวอนยืนอยู่หน้าสุดของบรรดาพระสนมนางใน ดูท่าคนมียศถาคงมาอยู่ที่นี่กันครบ ยกเว้นแต่องค์กษัตริย์ที่ยังป่วยจนลุกไม่ได้เท่านั้นเอง
 
“ได้อย่างไรกัน องค์วังชอนซาเป็นคนขององค์รัชทายาท จะเรียกว่าผู้อาศัยธรรมดาได้อย่างไรกัน”
 
“แต่ว่าข้า...” แต่ว่าข้าอะไรยังไม่ทันจะได้ฟัง ฮีอูก็รีบคว้าท่อนแขนบางภายใต้อาภรณ์สีขาวให้ค้อมตัวลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับเสียงก้องกระหึ่มที่ดังสะท้อนไปทั่วทั้งลานกว้าง
 
 
“ถวายพระพรพระแม่เจ้าชองโยฮวา และองค์หญิงอิมยูนา!!!”
 
 
หืม?...องค์หญิงอิมยูนา? ซอนอินที่ก้มหัวไปตามแรงมือของฮีอูขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ฟังเสียงสรรเสริญของคนรอบข้าง เสด็จย่าของจีรยงเขารู้แล้วว่าชื่อชองโยฮวา แต่ไม่เห็นรู้ว่าฮานึลมีองค์หญิงด้วย?
 
“ฮีอู องค์หญิงอิมยูนาเป็นน้องหรือพี่จีรยงเหรอ?” ขบวนรถม้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ยิ่งเพิ่มความดังของเสียงสรรเสริญมากอีกเท่าตัว ซอนอินจึงต้องป้องมือข้างหนึ่งเข้ากับหูซ้ายของฮีอู
 
“องค์หญิงอิมยูนาเป็นบุตรบุญธรรมขององค์กษัตริย์ อายุสิบหกชันษา ก็ถือว่าเป็นน้องขององค์ชายจีรยงและองค์ชายจีมุน”
 
“อ๋อ บุตรบุญธรรม” ซอนอินพึมพำไปตามเรื่องราวที่ได้ฟัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงรอบตัวได้พากันเงียบไปหมดแล้ว ตอนนี้ที่ด้านหน้า คือภาพของชองจีรยงที่ยืนรอรับเสด็จย่าก้าวลงมาจากรถม้า ก่อนตามมาด้วยองค์หญิงอิมยูนาที่จับมือของจีรยงก้าวตามลงมา
 
รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวนั้นงดงามเสียจนซอนอินยังอดชื่นชมไม่ได้ ดีจริงๆ เลยนะชองจีรยง เจ้ามีน้องสาวน่ารักขนาดนี้ก็ไม่บอกกันสักคำ ภายในใจคิดตำหนิชายหนุ่มไปเรื่อยเปื่อยขณะรอให้กลุ่มคนตรงหน้าเคลื่อนขบวน
 
ทว่าเสียงซุบซิบของสนมที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านหลังกลับวิ่งเข้าหูของซอนอินราวกับพลุที่วิ่งพุ่งขึ้นฟ้า กลบเอาความคิดไปจนหมดสิ้น แล้วแทนที่ด้วยประโยคที่ทำเอาร่างกายชาไปทุกส่วน ราวกับอยู่ดีๆ ก็ถูกโยนลงไปในสระน้ำที่ใกล้จะกลายเป็นน้ำแข็ง
 
 
“ครานี้พระแม่เจ้าต้องได้ฤกษ์วันแต่งขององค์หญิงยูนากับองค์รัชทายาทเป็นแน่!”
 
 
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้น ซอนอินที่ยังไม่เข้าใจความหมายดีนักก็รู้สึกถึงมือที่ถูกบีบเบาๆ จากคนตัวเล็กข้างกาย ก่อนตามมาด้วยแรงกระตุกเพื่อเรียกสติให้เขาได้โค้งกายตอนที่จีรยงเดินนำกลุ่มคนสำคัญผ่านไป
 
ใช้เวลาเดินทางกลับมายังตำหนักโยกันรวดเร็วจนน่ากลัว ซอนอินไม่รอให้เสียเวลา รีบเปิดปากถามถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาจากฮีอูทันที
 
“องค์หญิงอิมยูนาเป็นลูกสาวของขุนนางคนสนิทที่ได้เสียชีวิตไปในสนามรบ เสด็จย่าขององค์ชายจีรยงทรงรับเลี้ยงเป็นหลานบุญธรรมด้วยความรักใคร่มาแต่ไหนแต่ไร จุดมุ่งหมายของพระแม่เจ้าก็เพื่อให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายขององค์ชายชองจีรยง”
 
“คู่หมั้นคู่หมาย?” ซอนอินรู้สึกเหมือนเสียงตัวเองลอยมาจากที่ไหนสักที่ที่ไกลแสนไกล “แต่ว่าก่อนหน้านี้จีรยงชอบเจ้าไม่ใช่หรือ? แล้วจีรยงไปมีคู่หมายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
 
“องค์วังชอนซาทรงทราบดีอยู่แล้วว่าองค์ชายจีรยงเป็นองค์รัชทายาท” ฮีอูเอ่ยตอบคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่น้อย “...ดังนั้นสักวันฝ่าบาทก็จะได้ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ต้องทรงตกแต่งชายา เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมานานแล้ว ตัวเราเองก็ทราบดีอยู่ตลอด ถึงองค์ชายจีรยงจะเคยชอบพอเรา แต่นั่นก็เป็นคนละเรื่องกับการแต่งตั้งชายา”
 
เสียงหวีดของอะไรบางอย่างแล่นผ่าเข้ากลางสมองจนรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง ซอนอินทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความกลัวที่มักก่อตัวขึ้นในหัวใจอยู่เสมอๆ นั้นคืออะไร ใช่สิ สักวันจีรยงก็จะต้องแต่งชายาและสืบทอดบัลลังก์ มีลูกหลานสืบสกุล หนทางที่ถูกต้องเหล่านี้ไม่มีพื้นที่พอให้เขาเข้าเบียดแทรก
 
 
จุดยืนของเขา สักวันก็จะต้องถูกลบเลือนหายไป
 
 
ความจริงที่ไม่อยากยอมรับและไม่อยากเข้าใจ
 
 
ชองจีรยง ข้าน่ะไม่ได้เข้มแข็งมากมายอะไรเจ้าก็รู้ เพราะอย่างนั้น ได้โปรดบอกข้าที ว่าทุกอย่างที่ข้าได้ยินมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง...
 
 
 
ปิดหูปิดตาของข้าทีเถอะ ชองจีรยง
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 

ประกาศเปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ลิ้งรายละเอียดค่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0


ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
รักกับจีรยงนี่ไม่ง่ายเลย  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เฮ้อ... อุปสรรค์รัว ๆ เลย

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
โอย เมื่อไหร่ องค์ซอนอิน จะได้มีความสุขจริงๆเสียทีเนี่ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ urmein

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 871
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-2
ซอนอินตั้งสติก่อนนะ ใจเย็นๆ ลองคุยกับจีรยงก่อนนะๆๆ

สงสารมาก เมื่อไหร่จะมีความสุขแบบจริงๆ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

บทที่ 28
 
 
 
“เจ้าลองทานทีสิว่าอร่อยหรือยัง ต้องใส่น้ำผึ้งเพิ่มไหม?”
 
ภายในห้องครัวของตำหนักโยกันในวันนี้ดูคึกคักมากกว่าที่เคย เนื่องจากในตอนสายของวันมีบุรุษรูปงามหมายมั่นปั้นมือที่จะเข้ามาทำขนมจองเจด้วยตัวเอง ทำให้สาวใช้คนสนิททั้งสองพากันวุ่นวายคอยเป็นลูกมือให้เจ้านายคนสวย ไม่เว้นแม้แต่กึมซองที่วันนี้ไม่มีธุระอะไรก็แวะมาที่ตำหนักโยกัน
 
ยูกึมซองไม่รีรอที่จะคว้าก้อนขนมสีชมพูน่าทานขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว
 
“ไร้มารยาทมาก! กึมซอง! ทำไมเจ้าหยิบทานทีละสามลูกเช่นนี้เล่า!!” ยอนอาร้องลั่นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าองค์วังชอนซาเชียวนะ เจ้าคนนี้ยังกล้าได้อีก
 
“อ้ออันอ่าอานอี่!!” กึมซองพยายามจะพูดว่า ‘ก็มันน่าทานนี่’ ทั้งที่มีก้อนขนมอัดแน่นอยู่เต็มปาก
 
“ไม่เป็นไรหรอก ข้าทำไว้ตั้งเยอะ เดี๋ยวเสร็จแล้วพวกเจ้าก็เอาไปแบ่งกันทานด้วยล่ะ ...ว่ายังไงกึมซอง อร่อยไหม? ต้องเพิ่มอะไรหรือเปล่า” ซอนอินรบเร้าเอาคำตอบจากเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้น
 
องครักษ์ร่างเล็กทุบกำปั้นลงกับอกดัง อั่ก สองสามครั้งเพราะรีบกลืน ก่อนจะรีบถวายคำตอบ “อร่อยเหมือนพระสนมฮีวอนทำเลย! องค์วังชอนซาทำได้อย่างไรพะย่ะค่ะ?!”
 
“ก็ข้าจำวิธีการทำรวมถึงการใส่ส่วนผสมมาจากพระสนมนี่น่า นี่แปลว่าข้าทำถูกต้องทุกอย่างเลยใช่ไหม ดีล่ะ งั้นข้าจะเอาถาดนี้ไปให้จีรยง”
 
คนตัวเล็กยิ้มร่าอย่างมีความสุข โดยไม่สนเลยว่าสภาพตนเองในตอนนี้จะเป็นอย่างไร ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเต็มปื้นไปด้วยผงแป้งสีขาวจนทั่วไปหมดแล้ว
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงขณะที่กำลังจะยกถาดขนมจองเจขึ้น เรียวคิ้วบางขมวดมุ่นอยู่เพียงครู่ ก่อนจะร้องสั่งให้โซยอนเอาโถเล็กมาใส่ขนมจองเจเพิ่มอีก
 
“เอาใส่ทุกสีเลยนะ ข้าจะเอาไปให้จีมุนด้วย”
 
“เอ๋ องค์วังชอนซาจะทรงเสด็จไปตำหนักขององค์ชายรองด้วยหรือเพคะ?”
 
“อื้ม”
 
“ไม่ได้นะเพคะ องค์รัชทายาททรงรับสั่งให้ไปได้แค่ตำหนักรัชทายาทเท่านั้นนะเพคะ”
 
“พวกเจ้าไม่บอกจีรยงก็ไม่รู้หรอกน่า อีกอย่าง ข้าแค่จะแวะไปทักทายเท่านั้น ให้ขนมเสร็จเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว จริงสิ ไหนๆ ก็ทำเสียเยอะขนาดนี้ ข้าเอาไปฝากฮีอูกับท่านราชครูด้วยดีกว่า”
 
จากหนึ่งที่เป็นสอง และสาม นี่เจ้านายของพวกนางคิดจะเดินร่อนไปทั่วราชวังหรืออย่างไรกันนะ!
 
“งั้นให้กระหม่อมตามไปด้วยนะพะย่ะค่ะ” กึมซองจบปัญหาความว้าวุ่นใจของนางกำนัลน้อยทั้งสองด้วยการอาสาติดตามนายคนสวยไปด้วย
 
ซอนอินกลอกตาไปมาก่อนจะพยักหน้ารัวๆ “ก็ได้ๆ ยอนอาไปด้วย โซยอนไปด้วย กึมซองไปด้วย ทีนี้ก็ไม่ต้องปิดจีรยงเป็นความลับแล้วว่าข้าไปที่ใดบ้าง แห่กันไปเป็นกลุ่มอย่างนี้ไม่มีใครเห็นก็แปลกเกินไปแล้ว”
 
“ไม่ใช่ว่าพวกกระหม่อมคิดจะคุมตัวองค์วังชอนซานะพะย่ะค่ะ แต่เป็นพระประสงค์ขององค์รัชทายาทที่รับสั่งให้คอยดูแลองค์วังชอนซาอย่างใกล้ชิด” กึมซองรีบแก้ตัวเมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย ยอนอาและโซยอนเองก็รีบแก้ต่างเป็นพัลวัน ด้วยกลัวว่าเจ้านายจะคิดมากว่าตนเองไม่มีอิสระใดๆ เฉกเช่นเชลยศึกเหมือนแต่ก่อน
 
“ข้ารู้หรอกน่าว่าพวกเจ้าหวังดี แล้วนี่ก็เป็นคำสั่งของจีรยงด้วย พวกเจ้าไม่กล้าฝ่าฝืนใช่ไหมล่ะ” ซอนอินพูดเนืองๆ สองมือก็จัดเตรียมขนมหวานลงภาชนะไปด้วย
 
ความจริงแล้วถึงร่างบางจะไม่ใช่เชลยศึกของฮานึลอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคิมซอนอินมีสิทธิ์ที่จะอยู่ในวังหลวงฮานึลได้อย่างปกติสุข เพราะถึงอย่างไรแคว้นที่พ่ายศึกก็ไม่ต่างจากการยอมเป็นผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของฝ่ายที่ชนะ มันก็ไม่ได้ต่างจากการเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ดีๆ นี่เอง ดังนั้นความเป็นอยู่อย่างที่เป็นอย่างตอนนี้ซอนอินก็พึงพอใจมากแล้ว
 
จีรยงดูแลเขาอย่างให้ความสำคัญเช่นนี้ นับว่าดีที่สุดสำหรับซอนอินแล้ว
 
 
 
ตำหนักของจีมุนอยู่ในบริเวณของตำหนักพระสนมเอกซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตำหนักโยกันมากมายนัก ไม่นานขบวนแถวขององค์วังชอนซาก็มาถึงหน้าประตูตำหนักของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง
 
“เอ๋?” ดวงหน้าขาวเอียงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าด้านหน้าตัวตำหนักนั้นมีขบวนแถวตั้งขวางทางอยู่ ซอนอินจึงบอกให้คนติดตามทั้งคนสนิทและข้ารับใช้ของโยกันรออยู่ที่ด้านนอก ก่อนเจ้าตัวจะเดินผ่านกลุ่มคนตรงหน้าไปยังด้านในตำหนักของจีมุน
 
“องค์วังชอนซาเสด็จ!”
 
ทหารหนุ่มที่ยืนประจำประตูร้องตะโกนเมื่อเห็นซอนอินเดินเข้ามาใกล้
 
“จีมุนมีแขกเหรอ?”
 
“พะย่ะค่ะ เพลานี้องค์หญิงอิมยูนาประทับอยู่ในห้องรับรองด้านในพะย่ะค่ะ”
 
“อ้อ....”
 
“ซอนอิน” เสียงทุ้มที่ร้องเรียกทำให้ร่างบางหมุนกายหันไปมอง ซอนอินระบายยิ้มบางให้ชายหนุ่มแล้วก้าวเดินเข้าไปหา
 
“ข้าทำขนมจองเจมาฝากเจ้าล่ะ” มือเล็กส่งโถกระเบื้องให้ชายหนุ่มรับไป รอยยิ้มสดใสที่มีเมื่อครู่พลันหมองลงเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของชายตรงหน้าที่มองมาที่ตน “จีมุน ข้าอยากจะคุยกับเจ้าตามลำพังสักครั้ง หากวันไหนที่เจ้าว่าง ช่วยแวะไปหาข้าที่ตำหนักได้ไหม?”
 
“เห็นทีคงไม่เหมาะ องค์วังชอนซาเองก็เถิด เหตุใดถึงมาที่ตำหนักของหม่อมฉัน รู้หรือเปล่าว่าถ้าเสด็จพี่ทรงทราบจะกริ้วท่านได้” นับจากวันนั้นที่ได้สารภาพความจริงไป จีมุนก็เฝ้าระวังตัวตลอดไม่ให้ตนเองเข้าใกล้ซอนอินอีก เพราะจีมุนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่มีทางใดเลยที่เขาจะลืมคนตรงหน้านี้ได้ การไม่พบเจอกันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา คนคนนี้เป็นคนของเสด็จพี่ เป็นคนที่อยู่สูงเกินกว่าจะเอื้อมไขว่คว้า ...สูงเกินกว่าที่จะคิดหมายปองด้วยซ้ำ
 
คำพูดห่างเหินและแววตาเฉยชาที่ได้รับจากอีกฝ่ายทำให้ซอนอินรู้สึกอึดอัดใจเป็นที่สุด
 
“ข้าไม่สนหรอกว่าจะเหมาะหรือไม่เหมาะ หากข้าอยากเจอเจ้าข้าก็จะมา”
 
“แต่ข้าไม่อยากเจอท่าน ...องค์วังชอนซา ท่านควรจะทราบถึงจุดยืนของท่านบ้างว่าอย่าทำอะไรตามอำเภอใจให้มากนัก หม่อมฉันเองถึงจะมียศศักดิ์เป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะคอยตามใจท่านได้ทุกอย่าง ...อย่าได้ทรงมาหาหม่อมฉันอีกเลย”
 
.
.
.
 
“จีมุน ทำไมเจ้าพูดกับข้าอย่างนี้ ข้าไม่ใช่เพื่อนของเจ้าอีกแล้วใช่ไหม...”
 
 
เพล้ง!!
 
 
แจกันตั้งโต๊ะถูกมือใหญ่ปัดทิ้งลงพื้นด้วยความแรง ร่างสูงโปร่งทรุดตัวลงนั่งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะรู้สึกถึงก้อนเนื้อในอกที่บีบรัดเข้าหากัน ภาพของดวงหน้าขาวที่จ้องมองมาที่เขายามเอื้อนเอ่ยคำพูดประโยคนั้นยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำจนวินาทีนี้ แก้วตาสวยคู่นั้นคลอเคล้าด้วยความเสียใจและความผิดหวังในตัวเขา
 
จีมุนสบถอยู่ในใจ
 
ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าเสียใจ ข้าไม่ได้ต้องการทำร้ายความรู้สึกของเจ้า แต่ซอนอิน ข้าไม่อาจลืมเจ้าได้ ข้าทนเห็นเจ้าอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่ข้าไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ...ข้าทนไม่ได้!
 
“เป็นบุรุษรูปงามเช่นนี้เอง มิน่าเล่าองค์ชายรองถึงได้หลงเสียขนาดนี้” เสียงหวานใสถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางสีชมพู เจ้าของเรือนร่างอรชรนั่งเท้าคางอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ แก้วตาสีชาทอดมองร่างสูงผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชาย
 
เหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวว่ายังมีหญิงสาวนั่งอยู่ภายในห้องนี้ด้วย จีมุนปรับสีหน้าเสียใหม่ก่อนหันไปจ้องมองเด็กสาว พลางเอ่ยประโยคที่คุยกันค้างคาเมื่อครู่ก่อนที่ซอนอินจะมา
 
“ยูนา ข้าจะขอพูดกับเจ้าอีกครั้ง ห้ามทำตามรับสั่งของเสด็จย่าเป็นอันขาด”
 
“ทำไมล่ะ องค์ชายรองน่าจะยินดีมิใช่หรือ? หากข้าอภิเษกกับเสด็จพี่จีรยง ก็เปิดโอกาสให้ท่านเข้าหาองค์วังชอนซาได้ไม่ใช่หรืออย่างไร”
 
“ข้าไม่ต้องการ โอกาสของข้าไม่เคยมีแต่แรก ข้าไม่ใช่คนที่จะทำให้ซอนอินมีความสุขได้ คนคนเดียวที่ซอนอินรักคือเสด็จพี่เพียงคนเดียว ดังนั้นหากเจ้าไม่ฟังคำร้องขอจากข้า ข้าก็จะทำทุกอย่างเพื่อหยุดการอภิเษกครั้งนี้”
 
ยูนาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเรียบนิ่งทว่างดงามนั้นแต่อย่างใด นางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เชื่องช้า  ก้าวเดินอ้อมโต๊ะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของจีมุน
 
แก้วตาที่มักเก็บซ่อนความรู้สึกอย่างอิสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีจ้องลึกลงไปในแววตาของชายหนุ่มตรงหน้า “องค์ชายรองไม่ใช่ผู้กุมอำนาจเหนือยูนา ท่านสั่งความสิ่งใดไยข้าต้องทำตาม รับสั่งของเสด็จย่าท่านเองก็น่าจะรู้ว่าใครก็ไม่อาจต่อต้านได้ ท่านคิดว่าข้าเป็นใครมาจากไหนกันถึงคิดว่าข้าจะทรยศผู้มีพระคุณที่รับข้ามาเลี้ยงดูได้ง่ายๆ เพียงเพราะองค์วังชอนซาที่แม้แต่พูดคุยกันสักคำข้าก็ยังไม่เคย ...กับข้าเองที่ถือเป็นน้องของท่าน ท่านกลับมาพูดจาสั่งความบังคับกันอย่างนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่ามันอาจจะทำร้ายจิตใจของข้า” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นไม่ได้แฝงความรู้สึกอื่นใดไว้เลย ท่วงทำนองการเอื้อนเอ่ยเป็นไปอย่างเรียบเรื่อยยากจะคาดเดาใจคนพูด
 
“ธุระของท่านที่เรียกข้ามาที่นี่มีแค่เรื่องนี้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน” จีมุนรั้งแขนของเด็กสาวไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนกายจากไป
 
“เดี๋ยว! ยูนา เจ้าคิดให้ดีสิ เจ้ากับเสด็จพี่ถูกเลี้ยงดูให้เป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เกิด แล้วเจ้าจะร่วมหอกันได้อย่างไร”
 
รอยยิ้มบางระบายฉาบใบหน้าสวยให้ชวนมองมากยิ่งขึ้น “ท่านพี่...ท่านอย่าลืมว่าถึงแม้จะมีการนับญาติกันในพวกเราสามคน แต่ข้าเองก็รู้อยู่แก่ใจตั้งแต่เด็กว่าข้าเป็นเพียงลูกบุญธรรม ท่านคิดว่าเวลาที่ได้ใกล้ชิดใครสักคนมาตลอดสิบกว่าปีนี้จะไม่เคยคิดชอบพอกันได้เลยหรือ? ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
 
“ยูนา เจ้า!!...”
 
“อย่าเสียเวลามาขอร้องข้าเลย ถ้าจะพูดก็ไปพูดกับเสด็จย่าเองเถอะ” ท่อนแขนบางสะบัดออกจากการเกาะกุม ยูนาไม่รีรอให้สาวใช้คนใดน้อมส่งถวายก็ก้าวเดินออกจากตำหนักขององค์ชายรองไปอย่างไม่สนใจใครหน้าไหน
 
จีมุนกำมือแน่นอยู่ข้างกาย เขาอุตส่าห์หลีกทางให้พี่ชายขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมยังไม่มีค่าพอให้คนที่เขารักได้มีความสุข เหตุใดสวรรค์ถึงทำร้ายกันอย่างนี้ หากเสด็จพี่เข้าพิธีอภิเษกจริงล่ะก็ สิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดก็ไร้ความหมายน่ะสิ!!
 
 
 

 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ถาดกระเบื้องที่มีขนมจองเจวางเรียงรายอย่างสวยงามไม่อาจเรียกความอยากทานให้กับร่างเล็กได้มากเท่าใด แม้ว่าจะลองทานไปแล้วชิ้นหนึ่งซึ่งพบว่ามันอร่อยมากก็ตามที
 
ฮีอูหยิบขนมจองเจสีเขียวส่งให้สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กคาบไปทานที่มุมห้อง ริมฝีปากบางพรูลมหายใจเหนื่อยอ่อนต่อเหตุการณ์ปัจจุบันทันด่วนที่เพิ่งได้รับรู้มาเมื่อวานนี้ ข่าวการประกาศเรื่องการเปิดตัวชายาขององค์รัชทายาทชองจีรยงในอนาคตที่ใกล้จะถึงนี้ทำให้ร่างเล็กเกิดความวิตกกังวลใจนัก
 
ทันทีที่ได้ทราบเรื่องว่าพระแม่เจ้าต้องการแต่งตั้งองค์หญิงอิมยูนาให้เป็นชายาขององค์ชายจีรยงจริงๆ ฮีอูก็รีบไปที่ตำหนักโยกันเพื่อหวังปลอบใจองค์วังชอนซา แต่เขากลับพบว่าคนร่างบางนั้นไม่แม้แต่จะมีอาการเศร้าเสียใจ ซ้ำยังยิ้มต้อนรับเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปนั่งทานขนมจิบน้ำชากันเสียอีก เขาเองก็ไม่กล้าปริปากเอ่ยถามว่าเพราะเหตุใดถึงยังยิ้มได้อย่างนี้ เหตุใดถึงยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมยังยิ้มได้...ทำไมถึงต้องแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับความรู้สึกเช่นนี้ด้วย
 
มันทรมานไม่ใช่หรือที่ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจ...
 
คิมซอนอิน...เรารู้ดีว่าท่านเสียใจ และเราก็รู้ว่าการรักใครสักคนย่อมเสียสละให้ได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ท่านก็ควรจะต่อสู้เพื่อความต้องการของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปเช่นนี้
 
ก่อนที่ท่านจะต้องเจ็บ ...ทำไมถึงไม่สู้เสียก่อน
 
ฮีอูเพิ่งได้พูดประโยคนั้นให้วังชอนซาฟังเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน และได้คำตอบจากอีกฝ่ายมาว่า “ข้าไม่คิดขวางทางคนที่จะได้เป็นกษัตริย์หรอก การแต่งตั้งชายาเป็นเรื่องสำคัญที่ข้าไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดได้ ตราบใดที่จีรยงไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็ไม่คิดจากจีรยงไปไหนเหมือนกัน ต่อให้ข้าเป็นได้แค่ใครบางคนที่ไร้ตำแหน่งใดๆ ก็ตามที”
 
ไม่ใช่ว่า ‘ไม่อาจ’ เรียกร้อง แต่วังชอนซา ‘ไม่คิด’ ที่จะเรียกร้องมากกว่า คนคนนี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างโดดเดี่ยว ไม่กล้าร้องขอเพราะกลัวจะถูกทอดทิ้ง ไม่กล้าคาดหวังเพราะกลัวคำตอบที่จะมีแต่ความว่างเปล่า ในเมื่อตอนนี้มีองค์ชายจีรยงอยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่รักษาไว้ก็อาจเสียคนคนนี้ไปก็เป็นได้
 
ความคิดของซอนอินดูเหมือนว่าฮีอูจะอ่านออกจนหมด เพราะสิ่งที่ฮีอูเข้าใจนี้ไม่ต่างจากความจริงเลยแม้แต่น้อย ซอนอินในตอนนี้ก็เหมือนกับตุ๊กตาผ้า ยอมถูกเจ้าของชักจูง ดีกว่าที่จะยอมถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
 
น่ากลัวก็แต่ว่าองค์ชายจีรยงจะคิดเห็นชอบกับการอภิเษกสมรส ยิ่งฝ่ายนั้นมุ่งมั่นจะครองบัลลังก์ด้วยแล้ว การแต่งชายาอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรที่ถึงขั้นจะต้องปฏิเสธ นิสัยขององค์ชายใหญ่แต่เดิมก็ไม่คิดจริงจังอะไรในสิ่งที่พระองค์ไม่ใคร่ให้ความสนใจ ต่อให้แต่งชายาก็คงเหมือนได้นางบำเรอมาอยู่ในตำหนักก็เท่านั้น ดีไม่ดี พระองค์อาจตกปากรับคำแต่งตั้งชายาอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากความเลยด้วยซ้ำ เพราะถึงจะเข้าห้องหอกับใครนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดสำหรับชายหนุ่มที่ชอบหาความสำราญเป็นทุนเดิมอย่างองค์รัชทายาท ที่จะให้ความสำคัญก็มีแต่องค์วังชอนซาเท่านั้น
 
ถึงจะให้ความสำคัญมากกว่าใครก็ตาม แต่ถ้าต้องมาเห็นใครอื่นยืนอยู่เคียงข้างคนที่รัก ใครที่ไหนจะทนได้...
 
ถ้าเป็นเขาล่ะก็ ไม่ยอมปล่อยให้ยองจูไปแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนเป็นแน่!!
 
“ว่าแต่ยองจูหายไปไหนของเขากันนะ!” คิดไปคิดมาก็มาลงกับร่างสูงที่ตั้งแต่เช้าก็ไม่เห็นตัว ฮีอูสะบัดศีรษะไล่ความคิดชวนปวดหัวออกไป คิดไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี วังชอนซาเองยังไม่คิดจะทำอะไรแล้วเขาจะไปหาทางช่วยได้ยังไงกัน ถ้าเจ้าตัวไม่คิดสู้มันก็ไร้ความหมายที่จะลงมือ เฮ้อ! ทำไมเรื่องราวมันถึงได้วุ่นวายซับซ้อนอย่างนี้นะ!!
 
“ถอนหายใจมากๆ ระวังจะแก่เร็วนะฮีอู” ร่างสูงที่เดินเอื่อยเข้ามาในตำหนักทักขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง ก่อนที่วงแขนกว้างจะสอดคล้องเอวคอดไว้หลวมๆ รั้งแผ่นหลังบางให้ขยับชิดเข้าแนบอก
 
ฮีอูไม่เคลิ้มตาม คนตัวเล็กตวัดสายตาเงยหน้าขึ้นจ้องดวงตารัตติกาล
 
“อย่าให้เรารู้เชียวนะ ว่าท่านแอบไปมีสาวที่ไหนเก็บไว้ในกระท่อม!!”
 
คนตัวเล็กมาอารมณ์ไหนตามไม่ทัน ราชครูหนุ่มขมวดคิ้วงุนงงอยู่อึดใจกว่าจะรู้ว่าคนรักของเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอะไร ร่างสูงลอบยิ้มลับหลัง
 
“ก็ไม่รู้สินะ ถ้าข้ามีเจ้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะ หืม? อ่ะ ...โอ้ย!!” ยองจูสะบัดแขนออกจากตัวของฮีอูด้วยความเร็ว หลักฐานจากการกระทำเมื่อครู่คือรอยฟันวงกว้างที่กัดเข้าเต็มท่อนแขนแกร่ง
 
“มีไม่มีเดี๋ยวได้รู้แน่! เราไม่ยอมหรอกนะปาร์คยองจู!!”
 
“เอาล่ะๆ พอแล้วๆ โอ้ยฮีอู! ข้ายอมแล้ว อย่ากัดกันสิ!! ข้าจะไปมีใครที่ไหนได้นอกจากเจ้า” กว่าจะรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดได้สำเร็จก็โดนกัดไปอีกสองแผล ซ้ำที่ขายังมีเจ้าอิงอิงวิ่งเข้ามาร่วมวงช่วยเจ้านายกัดกระชากชายผ้าของเขาเสียอีก ยองจูรวบแผ่นหลังบางไว้แน่น ปัดปลายจมูกลงกับเรือนผมหอมนุ่ม
 
“ใจของข้ามีแต่เจ้า เจ้าเป็นคนแรกที่ข้ารัก และจะเป็นคนสุดท้ายสำหรับข้าจนวันตาย”
 
ฝ่ามืออบอุ่นโอบประคองข้างแก้มใสให้เงยขึ้นสบสายตา จูบเบาๆ ประทับลงบนหน้าผากมน
 
“ข้าไม่เหมือนองค์ชายของเจ้าหรอกนะฮีอู ทั้งข้าทั้งเจ้า จะมีแค่สองเราเท่านั้น เจ้าให้ความสำคัญกับข้าเช่นไร ข้าเองก็ให้ความสำคัญกับเจ้าไม่ต่างกัน อย่าได้คิดว่าข้าจะมีใครที่ไหนอีกเลย เพราะไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็เจอแต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
 
ฮีอูซึมซับคำพูดหวานหูนั้นเข้าสู่กลางอก สองมือเกาะเกี่ยวไหล่กว้างโอนอ่อนไปตามอ้อมกอดที่รั้งให้แนบชิดกันมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากเล็กที่ปัดป่ายกับริมฝีปากหยักหนาเพียงผิวเผินขยับเอ่ยวาจาแว่วหวานไม่แพ้กัน
 
“ท่านไม่รู้หรอกว่าเรารักท่านมากกว่าที่ท่านคิดไว้มากแค่ไหน แค่รู้ไว้ว่ามากจนไม่เหลือเผื่อไว้ให้ใครนอกจากปาร์คยองจูก็พอ”
 
จุมพิตนุ่มนวลหอมหวานตามติดประโยคนั้นแทบจะทันที สองร่างโอบกอดส่งผ่านความรักผ่านริมฝีปากของกันและกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ว่าจะแลกจูบให้กันมากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอกับรักที่พวกเขามีให้กันและกันได้เลย
 
 
 
“ตกลงว่า เราจะเอายังไงกับเรื่องขององค์วังชอนซาและองค์ชายจีรยงดีล่ะยองจู?”
 
 
 
 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-


 (ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2

 
 
“เรื่องเรือรบองค์หญิงอันแฮซูจัดการให้เราเรียบร้อยแล้ว ท่านนายพลซูวอนเตรียมสั่งการให้ทหารไปประจำได้เลย แล้วสั่งให้ขึ้นไปป้องกันน่านน้ำของเชินอันที่ติดกับแคว้นทางเหนือไว้จนกว่าทหารม้าจะเดินทางไปถึง”
 
“โชคดีจริงๆ นะพะย่ะค่ะ ที่องค์หญิงอันแฮซูทำสัญญาการยืมเรือรบของพกซอไว้ ไม่อย่างนั้นเราคงแย่แน่ หลังจากนี้คงต้องเตรียมสร้างเรือรบไว้บ้างแล้ว เป็นเพราะแคว้นเราไม่ติดน่านน้ำมหาสมุทรแท้ๆ ถึงได้ขาดสิ่งนี้” นายพลซูวอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ถือว่าเป็นโชคดีของฮานึลที่ฝ่าบาททำสัญญาไว้กับองค์หญิงอันแฮซูที่กระทำความผิดคราวนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนการปล่อยตัวไว้ การขับไล่แคว้นทางเหนือให้เลิกราไปคงไม่ยากเกินไปนัก
 
“อืม ข้าก็คิดไว้เหมือนกัน เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ พวกท่านก็เตรียมส่งรายงานการจัดกองทัพมาให้ข้าพรุ่งนี้เช้าด้วย ...โทซอง เดี๋ยวเจ้าเอาผลสรุปของเดือนที่แล้วไปถวายให้องค์กษัตริย์หลังจากนี้ด้วย”
 
“รับทราบพะย่ะค่ะ”
 
เมื่อรัชทายาททรงลุกขึ้นยืน ทั่วทั้งโถงว่าราชการก็เงียบกริบอีกครั้ง ขุนนางข้าหลวงน้อมส่งนายเหนือหัวจนอีกฝ่ายลับสายตาไป
 
จีรยงออกมายืนอยู่ด้านนอกท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กลายเป็นสีส้มอมแดง ไม่คิดว่าการประชุมในวันนี้จะยาวนานล่วงเลยจนใกล้พลบค่ำ ป่านนี้ใครบางคนที่บอกว่าจะมาทานข้าวเที่ยงด้วยกันคงหลับไปแล้วเป็นแน่
 
เพียงแค่คิดถึงหน้าขาวๆ ที่นอนฟุบหลับคาโต๊ะจนเป็นนิสัยขึ้นมา ริมฝีปากหยักก็ยกยิ้มอยู่กับตนเอง ช่วงขายาวก้าวเดินเร่งจังหวะเร็วขึ้นเมื่อใกล้ถึงที่หมาย ประตูตำหนักรัชทายาทอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ทว่าปลายเท้าของชายหนุ่มกลับหยุดเดินกะทันหันอยู่กลางสะพานข้ามสระน้ำที่ด้านหน้าตำหนัก
 
สายตาคมเข้มทอดมองไปยังร่างร่างหนึ่งที่นั่งกอดเข่าเขี่ยกิ่งไม้อยู่ริมสระไม่ไกลจากสะพานมากนัก ท่าทางที่เจ้าตัวพยายามจะคว้าดอกซากึมฮาเสียสุดปลายแขนน่ากลัวว่าจะตกลงไปนัก
 
ทันความคิด ช่วงขายาวก็รีบพาตัวเองไปให้ถึงคนร่างบาง พอดีกับที่อีกฝ่ายนั้นเหมือนจะเสียสมดุลจนต้องรีบคว้ายอดหญ้าเอาไว้
 
...คิดได้ยังไงว่ายอดหญ้าจะช่วยชีวิตได้?!
 
เอวเล็กคอดถูกรวบไว้ได้ทันการ
 
“อ่ะ!~...มาแล้วเหรอจีรยง” คนสวยระบายยิ้มกว้างให้เจ้าของอ้อมแขนของคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง มือข้างที่จับไม้อยู่เมื่อครู่ถูกจับให้แบออก
 
“อยากได้ดอกไหนบอกมา ข้าหยิบให้เอง”
 
ซอนอินสั่นศีรษะไปมา เขาขยับตัวให้ลุกนั่งได้ถนัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีอ้อมกอดของคนด้านหลัง ซ้ำยังอิงแอบแนบกายพิงอกกว้างอย่างน่ารัก
 
“ไม่ได้จะเอาดอกซากึมฮา ข้าแค่จะปัดให้ดอกตรงนั้นมันหลุดจากกกบัว” เรียวนิ้วเล็กชี้ไปที่ดอกไม้สีทองที่ลอยอยู่ใกล้กกบัวขนาดย่อม
 
จีรยงก้มลงมองดวงหน้าคนพูด เขาเห็นว่าสีผิวบนใบหน้าของซอนอินนั้นซีดจัด เจ้าตัวคงใช้เวลานั่งเล่นอยู่ตรงนี้นานพอสมควรแล้ว ฤดูหนาวเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะนั่งเล่นอยู่นอกตำหนัก เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวทัดปอยผมให้พ้นใบหน้า ก่อนใช้อ้อมแขนกระชับอ้อมกอดมากขึ้นอีกนิด
 
“ทำไมไม่นั่งรอข้าในตำหนัก?”
 
“อยู่ในตำหนักแล้วข้าจะหลับ เลยออกมานั่งดูดอกไม้” เปลือกตาบางหลับลงเมื่อถูกฝ่ามืออุ่นอังใบหน้าอย่างต้องการวัดไข้ให้ ซอนอินปล่อยให้จีรยงลูบไล้ใบหน้าอย่างไม่มีอาการขัดขืน
 
“จริงสิ ครั้งก่อนองค์หญิงอันแฮซูทำลายดอกไม้ที่ข้าให้เจ้าไปแล้ว เจ้าจะเอาใหม่เลยหรือเปล่าล่ะ ข้าจะได้เก็บให้”
 
“ไม่เอาแล้ว ดอกไม้ที่อยู่ตามลำพังมันไม่สวยเลย ไม่เหมือนกับดอกไม้ในสระพวกนี้” ซอนอินตอบทั้งที่ยังหลับตา ความอบอุ่นจากอ้อมกอดและแสงแดดอ่อนๆ ที่ใกล้ลาลับขอบฟ้านั้นช่วยขับให้บรรยากาศที่หนาวเย็นพลันอุ่นขึ้นมา
 
จีรยงหยุดบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น เขาเกี่ยวเส้นผมนุ่มลื่นเล่นไปมา สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะมองมันเลย น่าแปลกนักที่ความสวยงามของธรรมชาติสามารถตรึงสายตาได้มากถึงเพียงนี้ จีรยงอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยหยุดมองความสวยงามนี้เลยสักครั้ง
 
ไรแสงอ่อนที่ใกล้จะถูกความมืดมิดครอบงำนั้นสวยงามประหลาดตา เหมือนจะร้อนแรงแต่ก็เย็นสงบในเวลาเดียวกัน สวยงาม...แต่ว่างเปล่า เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกน่าทึ่งนัก
 
คนในอ้อมแขนของเขาก็เช่นกัน ช่างเป็นบุรุษที่มีแต่เรื่องให้นึกประหลาดใจอยู่บ่อยครั้งนัก...
 
“พระอาทิตย์ตกแล้ว” เสียงหวานเอ่ยเลื่อนลอย สองมือยังคงเกาะเกี่ยวท่อนแขนหนาที่คล้องกอดอยู่รอบเอว
 
“แต่พระอาทิตย์ของข้ายังฉายแสงอยู่เลย”
 
“..............”
 
ซอนอินรู้สึกเหมือนว่าพระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่กลางนภา ระหว่างที่ถูกทาบทับริมฝีปาก ความร้อนก็รุมเร้าร่างกายของเขาราวถูกแสงอาทิตย์อาบไล้ไปทุกส่วน อบอุ่นอ่อนโยนจนอยากร้องไห้ ซอนอินเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นตามการชักนำของคนรักอย่างว่าง่าย ไล่ตามไปในทุกจังหวะ เก็บเกี่ยวความหอมหวานของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แลกเปลี่ยนหยาดน้ำใสราวคนที่โหยหามานานนักหนา จวบจนรอบกายเหลือเพียงแต่ความมืดมิดของค่ำคืน
 
เสื้อคลุมตัวนอกถูกถอดออกจากเจ้าของแล้วสวมทับให้ร่างเล็กกว่าที่มีเพียงอาภรณ์ตัวบางสวมใส่ จีรยงโอบกระชับไหล่ของซอนอินให้เดินกลับเข้าตำหนักก่อนที่อากาศในฤดูหนาวจะเย็นไปมากกว่านี้
 
ซอนอินนั่งลงที่เตียงของรัชทายาทหนุ่ม
 
“ลองทานดูสิ ข้าเพิ่งหัดทำด้วยตัวเอง” ซอนอินพยักเพยิดหน้าไปยังถาดกระเบื้องที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง
 
“ข้าไม่ชอบขนมหวาน” จบคำพูดนั้นคนสวยก็ขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันที
 
“ข้าอุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้เจ้าเลยนะ” เมื่อยังไม่เห็นทีท่ายอมรับ ซอนอินก็เม้มริมฝีปากแน่น “ชิ้นเดียวก็ได้ ทานสักคำเถอะนะ”
 
“ก็ได้ เจ้าป้อนข้าสิ” จีรยงยกถาดขนมจองเจมาจ่อตรงหน้าคนสวย เขาพาตัวเองลงนั่งข้างกัน “ไม่ใช่มือ ป้อนด้วยปากของเจ้า”
 
ซอนอินตีหน้าขึงขึ้นมาทันที “ไม่ต้องทานแล้วก็ได้!”
 
“ข้าหยอกเจ้าเล่นน่า เอาสิ ป้อนข้าด้วยมือนั่นแหละ” จีรยงฉุดข้อมือเล็กไว้ไม่ให้เจ้าตัวลุกหนีไปไหน ปิดกั้นหนทางบ่ายเบี่ยงด้วยการยื่นใบหน้าเข้าใกล้อีกนิด
 
ซอนอินชั่งใจอยู่เพียงครู่ก็หยิบขนมจองเจสีชมพูส่งให้ริมฝีปากหยักรับไป หากแต่ตอนที่จะชักมือกลับนั้นเอง ปลายนิ้วของตนกลับถูกซี่ฟันคมยึดไว้เสียนี่ ก่อนตามติดด้วยปลายลิ้นร้อนที่แลบเลียข้อนิ้วของเขาอย่างหยอกเย้ากลั่นแกล้ง นิ้วถูกอมเข้าไปถึงข้อแรก ตามมาด้วยแรงกัดไม่เบานัก
 
“หวาน”
 
ไม่รู้ว่าหมายถึงขนมหรืออะไร แต่ทั้งสายตา สีหน้า และคำพูดมันทำให้คนฟังหน้าแดงวาบจนเจ้าตัวยังรู้สึกได้ ซอนอินเสก้มหน้าหลบ มือข้างที่ใช้ป้อนขนมยังถูกยึดไว้ แต่เปลี่ยนจากถูกอมนิ้วเป็นการประทับพรมจูบเบาๆ ที่หลังมือ ตอนนี้นอกจากจะรู้สึกหายใจไม่ทันแล้ว ซอนอินยังรู้สึกเหมือนจะลอยได้อย่างไรชอบกล
 
เพราะว่าเอาแต่หลบตา จึงมารู้สึกตัวว่าถูกจับนอนราบกับฟูกเตียงก็ตอนที่ร่างสูงขยับกายขึ้นทาบทับแล้ว
 
“เป็นอะไรไป หืม?” แม้ไม่ต้องเอ่ยบอก จีรยงก็จับเค้าสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความกังวลบนใบหน้าของร่างบางได้ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามข้างรูปหน้าเรียวสวย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ คิมซอนอิน”
 
ซอนอินส่ายหน้าเบาๆ เป็นการปฏิเสธที่จะพูด เพราะสิ่งที่เขาคิดไม่อาจเอ่ยบอกอีกฝ่ายได้ ถึงแม้จีรยงจะรู้ว่าเขากำลังปิดบังความรู้สึก แต่เขาก็ไม่อาจเอ่ยบอกด้วยปากของตัวเองได้ เขาจะไม่มีวันทำทุกอย่างพังเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้นนี้ ...ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ซอนอินก็ไม่อยากเสียจีรยงไปทั้งนั้น
 
“ซอนอิน ข้าอยากฟังความคิดของเจ้า บอกข้ามาให้หมดว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่” ร่างกายของซอนอินเป็นอย่างไร นิสัยของซอนอินเป็นอย่างไร จีรยงรู้จักดียิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จีรยงจะไม่รู้ว่าซอนอินกำลังทุกข์ใจเรื่องใดอยู่ เพียงแต่เขาอยากได้ยินเจ้าตัวพูดออกมาเท่านั้น
 
แสดงให้ข้าเห็น ว่าเจ้ารักข้ามากแค่ไหนซอนอิน...
 
“ข้ากำลังคิด คิดถึงวันที่เจ้าได้ครองราชย์ คิดถึงวันที่เจ้าประสบความสำเร็จในทุกด้าน” ซอนอินไม่ได้หลบตาขณะที่ตนเอ่ยตอบ เขาพยายามแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในสิ่งที่เอ่ยออกมา “...ข้าคิดถึงวันที่เจ้ามีครอบครัวพร้อมหน้าคอยปรนนิบัติรับใช้ ...คิดว่าลูกคนแรกของเจ้าจะเป็นชายหรือหญิง.....”
 
จีรยงหยุดคำพูดที่พลั่งพรูออกมาจากริมฝีปากบางด้วยการประทับจูบหนักๆ
 
“ข้าให้โอกาสเจ้าพูดอีกครั้งซอนอิน เจ้าอยากให้ข้าตัดสินใจอย่างไร”
 
“ข้าอยากเห็นเจ้าปกครองบ้านเมืองโดยมีคู่ครองยืนอยู่เคียงข้างเจ้า...อึก!...”
 
ริมฝีปากบางถูกกระแทกจูบรุนแรงกว่าครั้งแรก
 
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ?! เจ้าอยากให้ข้าแต่งงานกับยูนาใช่ไหม?!!”
 
เปล่าเลย ซอนอินไม่ได้อยากให้จีรยงแต่งงานกับใคร ...พอๆ กับที่ไม่อยากรั้งจีรยงไว้กับความพินาศที่ติดตัวของเขาอยู่อย่างนี้ จีรยงจะเลือกหนทางที่ผิดไม่ได้ เขาจะดึงจีรยงลงมาไม่ได้
 
“ข้ารักเจ้านะจีรยง ไม่ว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร ไม่ว่าเจ้าจะมีหญิงสาวมากมายแค่ไหน แต่ข้าก็ยังเป็นคนของเจ้า เป็นคนที่รักเจ้า ดังนั้น ความสำเร็จของเจ้า ข้าเองก็อยากจะมีส่วนผลักดันให้เจ้าไปถึงจุดหมาย”
 
คำตอบที่ได้รับยังผลให้จีรยงกดไหล่บางติดกับที่นอนอย่างรุนแรง เขากดปลายจมูกลงกับซอกคอขาว ใช้ทั้งลิ้นและฟันตอดต้อนผิวเนื้อขาวละเอียดจนแดงก่ำอย่างไร้การทะนุถนอม
 
ซอนอินหลับตาแน่นด้วยความเจ็บ หยาดน้ำตาที่ไม่อาจเก็บกลั้นไหลลงจากหางตาทั้งสองข้าง
 
“เจ้าคิดจะเป็นแค่นางโลมเพื่อข้าอย่างนั้นหรือซอนอิน ทั้งที่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้ามากถึงเพียงนี้ แต่เจ้าก็ยัง!” จีรยงสบถในท้ายประโยค ก่อนบีบปลายคางเล็กให้เงยขึ้นรับจูบหนักหน่วงเร่งเร้า มือหยาบใหญ่ฟ่อนเฟ้นเรือนร่างบางผ่านอาภรณ์สีขาวอย่างหยาบโลน ก่อนที่เสื้อผ้าแต่ละชั้นจะถูกทึ้งดึงกระชากออกเผยผิวเนื้อนวลเนียนลื่นมือ
 
จีรยงรู้สึกโกรธอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ เขาหวังว่าซอนอินจะเรียกร้องอะไรกับเขาบ้าง หวังว่าซอนอินจะรักเขามากเกินกว่าจะเห็นใครมายืนเคียงข้างเขาได้ เขาหวังเพียงคำพูดแค่ไม่กี่คำที่จะบอกให้เขามีแต่ซอนอินเพียงคนเดียว...
 
คิมซอนอิน เจ้าไม่คิดที่จะพยายามเพื่อที่จะมีข้าบ้างเลยหรืออย่างไร!
 
.
.
.
 
เข้ายามสองแล้วกว่าที่พายุโหมกระหน่ำในเพศรสจะสิ้นสุดลง ร่างสูงหลับไปแล้ว สองแขนแกร่งโอบกอดร่างผอมบางไว้ไม่ห่างกาย ในความมืดมิดของค่ำคืนนั้น กลับยังมีแสงสะท้อนเล็กจากสองแก้วตาใสที่สะท้อนกับแสงจันทร์อยู่อย่างเงียบๆ
 
ซอนอินนอนไม่หลับ ในหัวมีแต่ความคิดที่วิ่งวนไม่หยุด ซอนอินรู้ว่าจีรยงโกรธและไม่พอใจ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เช่นเดียวกับจีรยง ที่ไม่รู้ว่าใจจริงแล้วซอนอินต้องการจะบอกอะไรกับเขากันแน่
 
 
 
ซอนอินรักจีรยง
 
 
และจีรยงก็รักซอนอิน
 
 
ทว่า ความรักของพวกเขาแสดงออกไม่เหมือนกัน...
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

จบตอน
 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เศร้าตลอด

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชีวิตองค์ซอนอิน ช่างเป็น ศาลาคนเศร้า

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ทำไมเศร้า สงสารซอนอินอ่า ฮือ จะมีทางที่ทำให้รักกันอย่างราบรื่น และปกครองบ้านเมืองได้ดีมั้ย

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ลุ้นคู่หลักต่อไปปป

แต่คู่รองน่ารักมากกกกกกกกกกกก
 :hao6:

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 

บทที่ 29
 
 
 
รุ่งสางมาเยือนพร้อมอากาศที่เย็นเหยียบจนต้องคว้าร่างอุ่นนุ่มเข้ามาแนบกันมากกว่าเดิม จีรยงโอบกอดซอนอินไว้ด้วยสองแขน ส่งผ่านความอบอุ่นให้เรือนร่างบางได้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
 
จีรยงหลับต่ออีกเพียงครึ่งชั่วยาม เปลือกตาหนาก็ได้ขยับเผยดวงตาของมังกรหนุ่มผู้เก่งกล้า แก้วตารัตติกาลจ้องมองดวงหน้าใสที่อิงซบท่อนแขนของเขาเป็นสิ่งแรกของวัน ริมฝีปากอิ่มสวยยังบวมช้ำจากการถูกจูบหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อคืนนี้ จีรยงลูบกลีบปากสีสดนั้นเบาๆ ก่อนไล่สายตาลงตามช่วงไหล่เนียนไปจนท่อนแขนขาวที่หายลับเข้าไปในผืนผ้าห่ม ทว่าเพียงแค่ส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากผวยผ้านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นถึงร่องรอยช้ำเป็นจ้ำกระจายอยู่ประปราย
 
เมื่อคืนนี้เขาทำรุนแรงกับซอนอินถึงเพียงนี้เชียวหรือ ความสำนึกผิดเพิ่งได้ก่อตัวขึ้นก็ตอนนี้เอง
 
ข้อนิ้วหนาเกี่ยวเส้นผมสีดำมันเงาที่แผ่สยายให้รวบตกไปยังด้านหลัง หัวไหล่ขาวเนียนดูเป็นประกายต้องสายตามากยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีเส้นผมมาบดบัง จีรยงเลื่อนสายตาวกกลับไปมองดวงหน้าสวยอีกครั้ง เขาเห็นว่าเปลือกตาบางมีอาการบวมเล็กน้อย เมื่อใช้ปลายนิ้วแตะลงที่หางตาก็รู้ได้ว่าซอนอินร้องไห้จนผล็อยหลับไป
 
ร้องไห้อีกแล้ว...
 
จีรยงอยากจะชกปากตัวเองนัก ไม่เพียงแค่ปาก แต่อยากจะชกทุกส่วนของร่างกายที่ทำให้คนสำคัญคนนี้ต้องเสียน้ำตาและทุกข์ใจครั้งแล้วครั้งเล่า ...ชองจีรยง เจ้าจะคาดหวังอะไรกับคนคนนี้นักหนา ทำไมเจ้าจะต้องคาดคั้นซอนอินให้จนมุมด้วย ก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าซอนอินมีนิสัยอย่างไร รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าซอนอินยอมเสียใจดีกว่าที่จะเสียเจ้าไป
 
ซอนอินจะไม่มีวันเรียกร้อง หากเขายังตั้งมั่นที่จะสืบทอดราชบัลลังก์
 
...กษัตริย์ที่ไม่มีชายา ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะปกครองแคว้น
 
ซอนอินรู้ดีถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะรู้ถึงได้ยอมที่จะยืนอยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเขา...และเพื่อซอนอินเอง
 
ริมฝีปากอุ่นนาบลงกับหน้าผากขาว ก่อนพรมจูบเบาๆ ไล้ลงตามสันจมูกโด่งรั้น
 
“ข้าจะไม่ถามเจ้าให้ช้ำใจอีกว่าเจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด ข้าจะไม่ฝืนความรู้สึกของเจ้าอีกแล้ว ข้าจะอภิเษกสมรสหรือไม่ ไม่สำคัญอะไรเท่ากับเจ้า หากข้าอภิเษกสมรสเจ้าก็เสียใจ หากข้าทิ้งมงกุฎเจ้าก็เสียใจอีก ...ซอนอินของข้า... ข้าจะหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับเราสองคน เพราะฉะนั้น ระหว่างนี้เจ้าช่วยเข้มแข็งหน่อยจะได้ไหม เข้มแข็งเพื่อข้าและเพื่อตัวเจ้าเอง”
 
จีรยงลูบผิวแก้มคนที่ยังอยู่ในห้วงนิทราอย่างแสนรักใคร่
 
 
“เจ้าแค่อยู่ตรงนี้ มองแต่ข้า รักเพียงข้า ที่เหลือนอกจากนี้ให้เป็นข้าเองที่ทำเพื่อเจ้า”
.
.
.
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา สาส์นท้ารบฉบับหนึ่งจากแคว้นทางเหนือได้ถูกส่งมายังฮานึล จีรยงตัดสินใจตอบรับทันทีด้วยคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ทหารกองพลก็ได้จัดเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว การทำศึกครั้งนี้ไม่ใช่สงครามครั้งใหญ่มากมายนัก แต่ก็ไม่อาจละเลยได้ แคว้นทางเหนือยังไม่มีการแก่งแย่งชิงแคว้นกันอย่างจริงจัง ดังนั้นแต่ละแคว้นก็ยังคงรักษาเขตแดนของตนเองอย่างสันโดษ การที่แคว้นใดแคว้นหนึ่งท้ารบกับเมืองอื่นนั้นหากไม่มีศักยภาพจริงคงทำไม่ได้ เพราะนอกจากจะไม่มีใครคอยช่วยหนุนหลังแล้ว ยังต้องใช้ประชากรของตนเองให้คุ้มค่าที่สุดด้วย จีรยงทราบมาว่าแคว้นทางเหนือ ‘แฮอัน’ นั้นมีผู้นำที่เยาว์ชันษากว่าตน แต่กลับเก่งกาจเกินตัวนัก จากที่สืบรู้มา ดูเหมือนว่าผู้นำคนนี้ได้จัดการเรื่องทุพภิกขภัยได้อย่างน่ายกย่อง เพียงครึ่งปีชาวบ้านที่คลาดแคลนอาหารก็ได้ฟื้นตัวระบบการเกษตรใหม่อีกครั้งหลังจากถูกพายุมหาสมุทรทำลายมานานกว่าสองปี เป็นแคว้นที่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
 
จีรยงออกตัวว่าจะร่วมศึกครั้งนี้ด้วย ใช้กองทัพที่สามและสี่เป็นแกนนำ ส่วนกองทัพที่เจ็ดของพระองค์นั้นจะคอยหนุนหลังเป็นกองกำลังเสริมอีกที
 
ในการเดินทางครั้งนี้ยังมีอีกผู้หนึ่งที่จะเข้าร่วมด้วย นั่นก็คือราชครูปาร์คยองจู เนื่องจากเป็นน่านน้ำของเชินอันจึงจำเป็นต้องมีกุนซือคอยชี้ทางที่ดีที่สุดในการวางแผนรบ ทันทีที่ฮีอูรู้เรื่องนี้เข้าก็ถึงกับหมกมุ่นปรุงยาให้คนรักเก็บติดตัวไว้เป็นการใหญ่
 
 
“อันนี้แก้ไข้หวัดทั่วไป แต่ถ้าหากท่านเป็นไข้ป่า ท่านต้องทานนี่ กับนี่ แล้วก็นี่ เข้าไปด้วยรู้ไหม” มือเล็กจัดการหยิบกระปุกยานับสิบลงในห่อผ้าที่ดูจะใหญ่เกินกว่าจะนำติดตัวไปออกรบของชายหนุ่ม
 
“แล้วถ้าหากท่านน้ำมูกไหลเพราะอากาศเย็นล่ะก็ ต้องดื่มโสมผสมน้ำผึ้งในขวดนี้นะ” ดวงหน้าขาววุ่นวายอยู่กับการหันซ้ายทีขวาทีจนผมเผ้ายุ่งเหยิงนั้นเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับชูขวดน้ำที่ทำจากไม้เนื้อดี กำลังจะอธิบายสรรพคุณเพิ่มเติม จู่ๆ คนตัวสูงก็ลุกพรวดเดินจ้ำอ้าวเข้ามาคว้าเอวไว้แล้วลากลงมานั่งด้วยกันบนเตียง
 
ฮีอูที่ถูกจับนั่งลงบนตักของร่างสูงเอียงศีรษะเล็กน้อยเหมือนรู้ใจยามที่ริมฝีปากอุ่นนั้นแนบลงที่ข้างแก้ม
 
“แล้วถ้าหากข้าเป็นไข้ ‘คิดถึงฮีอู’ ล่ะ จะทำเช่นไร มียาให้ข้าทานหรือเปล่า”
 
เจ้าจิ้งจอกตัวโตนี่นิสัยต่างจากบุคลิกเสียจริง! ฮีอูแอบเหน็บแนมราชครูหนุ่มในใจ นึกจะพูดจาหวานหูก็พูดออกมาดื้อๆ ทั้งที่ปกติออกจะเย็นชานิ่งขรึมเสียขนาดนั้นแท้ๆ ปาร์คยองจูเป็นผู้ชายที่ดูแค่ภายนอกไม่ออกเลยจริงๆ
 
ฮีอูขยับตัวให้หันไปมองหน้าเจ้าของตักได้ถนัดขึ้น “ยาทานไม่มีหรอก มีแต่ยาป้องกัน!” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็จัดการยื่นริมฝีปากนุ่มๆ เข้าประทับจูบเป็นการป้อนยาป้องกันโรคหวัดที่ว่านั่นเสียชุดใหญ่ กะเอาให้อีกฝ่ายหมดลมหายใจกันไปข้าง
 
จูบกันไปจูบกันมา ร่างกายที่แนบชิดก็เริ่มอ่อนระทวยต่อบรรยากาศ ขณะที่ปลายลิ้นและริมฝีปากยังแนบสนิทกัน ร่างของคนทั้งสองก็เอนลงกับที่นอนหนา แต่ถึงแม้ว่าระดับการจูบจะเร่งเร้ามากขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่าคนตัวสูงก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดตอบสนองนอกไปจากการแทรกปลายนิ้วผ่านเรือนผมเส้นเล็กอยู่แค่นั้น
 
“อืม...” ฮีอูครางทรมานอยู่ในลำคอ อารมณ์ตอนนี้ของร่างเล็กนั้นปั่นป่วนจนเหมือนอะไรในกายจะระเบิดออกมาเสียให้ได้หากไม่ได้รับการปลุกเร้ามากกว่านี้ แน่นอนว่าร่างกายของฮีอูไวต่อการถูกสัมผัสมากเป็นพิเศษ เพราะการขึ้นเตียงครั้งแรกกับองค์ชายใหญ่นั้นเป็นประสบการณ์ที่ถือว่าเริ่มต้นเร็วกว่าวัยนัก ซ้ำฝีมือการฝึกสอนขององค์ชายใหญ่เก่งกาจเสียขนาดนั้น ย่อมทำให้ร่างกายของฮีอูจดจำและอ่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
 
ยากเกินจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน หากแต่ท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่คิดจะรุกไล่ ฮีอูก็ไม่ด้านพอจะเป็นฝ่ายเริ่ม ร่างเล็กผละจูบออกมาด้วยสีหน้าแดงก่ำ ลมหายใจหอบกระชั้นติดขัด ฮีอูนั่งคร่อมร่างของยองจูอยู่หลายอึดใจเพื่อระงับสติไม่ให้เตลิดไปไกลแล้วถึงค่อยขยับลงมานั่งบนฟูกเตียงข้างๆ คนตัวสูง
 
“พรุ่งนี้ท่านต้องออกเดินทางแต่รุ่งสางเลยใช่ไหม?”
 
“อืม ต้องใช้เวลาเดินทางหลายวัน จึงจำเป็นต้องรีบเร่ง”
 
ศีรษะเล็กพยักหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจัดสัมภาระให้ยองจูต่อ
 
ช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกนั้น คนที่ไม่ได้แวะเวียนมาที่ตำหนักของคุณชายฮีอูมาได้พักใหญ่นั้นกลับเดินทางมาหาถึงที่ พร้อมขบวนทหารติดตามสมตำแหน่ง
 
“องค์ชายจีรยง” ฮีอูออกมายืนตอนรับที่ด้านหน้าตำหนักพร้อมกับยองจู
 
“ไม่ต้องมากพิธี” เขาปัดมือไล่สาวใช้ ก่อนเดินนำเจ้าของตำหนักเข้าไปยังด้านใน ชายหนุ่มสะบัดชายชุดทรงก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้รับรอง เมื่อคนทั้งสองนั่งลงตามแล้ว เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่รอช้า “ฮีอู ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ เจ้าช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนซอนอินได้ไหม นอนที่ตำหนักนั้นเลยยิ่งดี ข้ากลัวใจของเสด็จย่านัก เวลานี้เห็นแก่ข้าถึงไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับซอนอิน แต่หากข้าไม่อยู่ไม่รู้ว่าพระนางจะไปที่ตำหนักโยกันหรือไม่”
 
ตั้งแต่ที่เริ่มมีการพูดถึงเรื่องอภิเษกสมรส จีรยงก็หาได้นิ่งนอนใจไม่ ชายหนุ่มคัดค้านคำของเสด็จย่าทันที ทว่าอีกฝ่ายเป็นผู้สูงวัยกว่า ซ้ำยังมีศักดิ์เป็นถึงพระมารดาขององค์กษัตริย์ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีกฝ่ายจะยอมฟังความของหลานชาย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีการตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ แต่หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดก็คงค้างคากันไม่มีวันจบแน่ แล้วยิ่งยูนาเองยังเชื่อฟังเสด็จย่าด้วยแล้ว ยากนักที่จะหาเหตุผลดีๆ มายุติความต้องการนี้
 
เมื่ออาทิตย์ก่อน หลังจากที่เขาได้คาดคั้นซอนอินไป สุดท้ายแล้วเขาก็พบว่าตนเองทำอะไรไม่คิด จึงได้ตัดสินใจไปคุยกับเสด็จย่าว่าตนแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้น พอพูดไปอย่างนั้นกลับโดนสวนกลับมาว่าเป็นเพราะคิมซอนอินที่ทำให้เขาต่อต้านพระนาง ได้ฟังเช่นนั้นแล้วจีรยงก็กังวลใจขึ้นมา เสด็จย่ารู้ทันเขา... เขาเอ่ยดักทางฝ่ายนั้นไม่ให้ไปยุ่งกับซอนอิน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมฟังไหม ตอนนี้เขายังเป็นแค่รัชทายาท อำนาจในมือมีแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น ถึงอย่างไรพระแม่เจ้าก็เป็นผู้ที่ปกครองอาณาเขตวังหลังไว้ทั้งหมด ใครจะอยู่หรือไป ผู้ใดทำอะไร ล้วนอยู่ในสายพระเนตรของเสด็จย่าทั้งสิ้น
 
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัยอันใดเลย หม่อมฉันจะอยู่เป็นเพื่อนองค์วังชอนซาจนกว่าฝ่าบาทจะเสด็จกลับ”
 
เมื่อได้รับคำมั่นจากฮีอูเช่นนี้ จีรยงก็ค่อยเบาใจ
 
“แต่ว่า...” ฮีอูขมวดคิ้วยุ่ง “ฝ่าบาทไม่คิดจะอยู่รอจนกว่าองค์วังชอนซาจะเดินทางกลับจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนหรือ?”
 
ทุกกลางเดือน เป็นเวลาสี่วัน องค์วังชอนซามีหน้าที่ที่จะต้องไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ใกล้กับวังหลวงของฮานึลเพื่อทำพิธีสวดสรรเสริญขอพรองค์เทพเจ้าทงซกเป็นประจำ
 
ตอนนี้ซอนอินไปที่มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้สองวันแล้ว
 
“ข้าจะเดินทางไปพร้อมกองพลทหารชุดสุดท้ายในวันพรุ่ง ไปถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากจบจากศึกนี้แล้วแคว้นเราคงได้อยู่อย่างสงบไปอีกนานพอควร” เป็นอย่างที่จีรยงว่าไว้ไม่ผิด หากศึกนี้ฮานึลชนะอย่างไม่สูญเสียมากนัก แคว้นอื่นๆ ที่อยู่รายล้อมจะเกิดความเกรงกลัวในอำนาจของฮานึล กว่าที่จะมีผู้ใดคิดสู้ขึ้นมาอีกก็คงผ่านไปอีกหลายสิบปีแล้ว
 
จีรยงอยู่คุยกับฮีอู และนัดหมายการเดินทางกับยองจูไม่นานนักก็เดินออกจากตำหนักไป
 

(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
 
 
ก่อนจะหมดวัน จีรยงได้แวะไปหาองค์กษัตริย์ฮวาจีผู้เป็นพระบิดาที่ตำหนักหลวง
 
 
แสงสลัวภายในห้องบรรทมขององค์กษัตริย์แห่งฮานึลชวนให้ผู้มาเยือนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงกาลเวลาที่ต่างออกไปจากเดิม เจ้าของเรือนร่างสูงสง่าภายใต้อาภรณ์สีทองอร่ามซึ่งถูกปักเย็บด้วยเส้นด้ายเนื้อดีลวดลายมังกรตัวใหญ่ก้าวย่างไปยังแท่นบรรทมของผู้เป็นพระบิดา
 
กว่าสองเดือนแล้วที่จีรยงพบว่าเสด็จพ่อของตนเอาแต่นอนซมไม่ทรงประสงค์ทำสิ่งใด ทั้งโอสถและพระกระยาหารไม่ใคร่เสวยสักเท่าใดนัก ร่างกายที่ผ่ายผอมอยู่เป็นนิจเวลานี้ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ความกังวลก่อตัวขึ้นในจิตใจของรัชทายาทหนุ่มไม่เว้นแต่ละวันยามที่เห็นเสด็จพ่ออ่อนแรงลงทุกครั้งที่มาเยี่ยม
 
เก้าอี้ที่ไม่เคยถูกจับย้ายห่างจากข้างเตียงถูกชายหนุ่มร่างสูงรั้งเข้ามานั่ง
 
“เสด็จพ่อ ทรงทานยาหน่อยเถอะพะย่ะค่ะ อย่าทรงทรมานตนเองเช่นนี้เลย” จีรยงวนช้อนในถ้วยกระเบื้องที่รับมาจากแพทย์หลวงประจำตัวสองสามครั้ง ก่อนเอ่ยแกมวอนขอต่อผู้เป็นพ่อ “จู่ๆ เสด็จพ่อก็ดื้อขึ้นมาอย่างนี้ หม่อมฉันเป็นห่วงนัก เสด็จพ่อทราบหรือไม่ว่าร่างกายของเสด็จพ่ออ่อนแอลงมากเพียงไร เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังท่านหมอหลวง พิษจากดอกอังฮวา หากเว้นระยะการรักษาจะทำให้ไม่สามารถรักษาสมดุลของธาตุในกายได้นะพะย่ะค่ะ”
 
เรียวหน้าขาวซูบตอบ ทว่ายังคงเค้าของความเป็นบุรุษรูปงามระบายรอยยิ้มบางคล้ายฝืนทน นัยน์ตาอ่อนแสงไร้แววประกายสุกใสหลุบลงเชื่องช้า ก่อนลืมขึ้นทอดสายตาไปไกลไร้จุดหมาย สุรเสียงแหบแห้งเอื้อนเอ่ยราวกับกำลังพร่ำรำพึงกับตนเอง
 
“ชองฮวาจีมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้นับว่านานเกินกว่าที่คิดไว้นัก”
 
“เสด็จพ่อตรัสเช่นนั้นได้อย่างไรกัน...”
 
“หึ พ่อจะบอกอะไรให้เจ้าฟังนะจีรยง ความเป็นจริงที่พ่อพยายามปกปิดมาโดยตลอด คือการที่หัวใจและวิญญาณของพ่อได้ตายจากไปตั้งแต่วันที่พ่อได้ขึ้นครองราชย์ สิ่งที่เจ้าและใครๆ ต่างเห็นอยู่นี้ คือชองฮวาจีที่มีแต่เพียงร่างกายและสามัญสำนึกในหน้าที่เท่านั้นเอง ตัวตนจริงๆ ของพ่อได้ตายจากไปนานแล้ว”
 
คำพูดเลื่อนลอยไร้เหตุผล เป็นครั้งแรกที่คนเป็นลูกเพิ่งเคยได้รับฟัง
 
“เสด็จพ่อทรงกล่าวไร้สาระ ...ตายจากไปที่ไหนกัน อย่าทรงล้อเล่นกับหม่อมฉันให้มากนักเลย” จีรยงพยายามปลอบใจตัวเองว่าสิ่งที่เพิ่งได้ฟังนี้เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ
 
ชองฮวาจีหันศีรษะมองลูกชาย เขาวาดรอยยิ้มแบบที่จีรยงเห็นแล้วรู้สึกทรมานหัวใจนัก มือผอมแห้งยกขึ้นวางทาบบนหลังมือของเด็กหนุ่มแล้วกำไว้หลวมๆ
 
“ความหมายของพ่อ สักวันเจ้าจะเข้าใจ”
 
มีหลายครั้งที่จีรยงสะกิดใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อ หลายครั้งที่เขาเกี่ยวโยงเรื่องราวขององค์กษัตริย์ฮานึลและเชินอันเข้าด้วยกัน ศึกรบระหว่างสองแคว้นเมื่อครั้งก่อนเกิดอะไรขึ้นนั้นชายหนุ่มเริ่มจะจับความอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว เหลือก็แต่รอให้อีกฝ่ายเปิดเผยให้ฟังเท่านั้น ทว่าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนี้ก็เกรงว่าจนถึงวินาทีสุดท้ายของเส้นชีวิต พ่อของตนอาจจะจบทุกความทรงจำนั้นลงไปพร้อมกับลมหายใจก็เป็นได้
 
จีรยงวางถ้วยยาลงที่โต๊ะเล็กเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าคนบนเตียงจะสนใจทาน ชายหนุ่มล้วงหยิบห่ออะไรบางอย่างจากอกเสื้อ
 
“ความหมายของเสด็จพ่อ คือสิ่งนี้ใช่หรือไม่”
 
ห่อผ้าแพรลื่นมือสีเหลืองถูกคลี่ออกเผยให้เห็นสร้อยคอที่ทำจากเชือกหนังอย่างดี สิ่งที่สะดุดตาคนมองครั้งแรกคือจี้หยกแบนเรียบไร้ลวดลาย แต่เมื่อมือขาวบางเอื้อมหยิบสร้อยเส้นนั้นจากมือของลูกชายขึ้นมาก็ได้เผยให้เห็นที่ด้านหลังตัวหยกซึ่งมีลายสลักอักษรฮันจาสองคำ มีความหมายตรงกับพระนามขององค์กษัตริย์ฮานึลองค์ปัจจุบัน ‘ฮวาจี’
 
ไม่ต้องคิดให้มากความก็รู้ได้ว่าคนทั้งสองนั้นมีความเกี่ยวข้องกัน จีรยงเห็นสร้อยเส้นนี้นอนนิ่งอยู่ในอุ้งมือของกษัตริย์เชินอันตอนที่เขาวิ่งไปห้ามซอนอินไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ร่างไร้วิญญาณนั้นถูกแยกระหว่างกายกับศีรษะ หากแต่รูปแบบการกำสร้อยคอไว้ในอุ้งมือนั้นราวกับว่าเจ้าตัวจงใจให้ใครสักคนได้เห็นถึงวัตถุชิ้นนี้ในฝ่ามือของตน และจีรยงก็ได้เห็นมันก่อนจะเก็บกลับมา
 
ตัดสินใจอยู่นานกว่าจะนำสิ่งนี้มาให้เสด็จพ่อ เพราะถ้าปล่อยให้พูดออกมาเอง เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้
 
“เสด็จพ่อ...” แววตาสีอ่อนที่สลดวูบยามจ้องมองจี้หยกทำให้คนเป็นลูกต้องเอ่ยเรียกเบาๆ แต่แล้วจีรยงก็ตัดสินใจเงียบเสียงลง
 
ฮวาจีใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าที่หยดน้ำตาที่เอ่อคลอม่านตาจะสลายหายไป เหลือเพียงแต่เค้าร่องรอยของความเสียใจในดวงตาที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย
 
“จีรยง เจ้าช่วยใส่ให้พ่อได้ไหม” แม้น้ำเสียงจะยังคงนิ่งเรียบ แต่คนฟังก็ยังรู้สึกได้ว่าเสียงที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีดคู่บางนี้สั่นเครือเล็กน้อย
 
จีรยงประคองแผ่นหลังแบบบางให้พิงหัวเตียง ก่อนบรรจงสวมสร้อยที่มีเพียงจี้หยกคล้องอยู่ให้กับเสด็จพ่อ
 
“เสด็จพ่อกับกษัตริย์อุนเซ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร บอกลูกได้ไหมพะย่ะค่ะ”
 
“หากเจ้าเลือกที่จะเดินอยู่บนเส้นขนานระหว่างกัน วาจาหนึ่งคำที่ข้าให้เจ้าได้ก็มีเพียง ‘เวลา’ เท่านั้น”
 
ประโยคดังกล่าวเรียกให้เรียวคิ้วหนากดลึกอย่างใช้ความคิด ฮวาจีงมองสีหน้าของลูกชาย ก่อนเอ่ยต่อไป “พ่อไม่จำเป็นต้องบอกเจ้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับอุนเซหรอกใช่ไหม” แน่นอนว่าจีรยงคาดเดาคำตอบได้เองแล้วตั้งแต่เห็นจี้หยก เมื่อเห็นลูกชายพยักหน้ารับ กษัตริย์ฮวาจีก็ยิ้มให้บางๆ “ประโยคเมื่อครู่นี้ เป็นประโยคสุดท้ายที่พ่อได้ฟังจากคนผู้นั้น ในฐานะของคิมอุนเซและชองฮวาจี ไม่ใช่รัชทายาทจากแคว้นใด ...หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์ พ่อก็ขึ้นครองราชย์ทันที และมีเจ้าในเวลาต่อมา จนกระทั่งเจ้าอายุได้ห้าขวบเศษ ฮานึลและเชินอันก็ได้ประกาศทำสงครามกันอย่างเป็นทางการ ทั้งพ่อและอุนเซต่างบาดเจ็บสาหัสไม่แพ้กัน ความจริงแล้ว พ่อเองอาจจะต้องจบชีวิตไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ หากอุนเซไม่ประกาศเลิกทัพกะทันหัน ...นั่นเป็นทั้งหมดที่เจ้าอยากรู้มาตลอด เหตุผลที่พ่อไม่คิดจะทำศึกกับเชินอันอีกก็เพราะหนี้ชีวิตครั้งนั้น”
 
ร่างผ่ายผอมระบายลมหายใจบางเบา ขณะที่สายตาเหลือบขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของลูกชาย
 
“แต่มันก็เหมือนเป็นโชคชะตา ที่เจ้าไปลักพาตัวบุตรชายของอุนเซ...”
 
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเป็นหนี้ชีวิตกษัตริย์อุนเซ” เมื่อได้ฟังข้อเท็จจริง จีรยงก็รู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เพราะสาเหตุของเรื่องราวที่เป็นอยู่นี้ ทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นจากวันที่เขาไปลักพาตัวซอนอินมาที่ฮานึล
 
“ถึงเจ้าไม่เริ่มตั้งตัวก่อสงคราม สักวันข้างหน้าฮานึลและเชินอันก็ต้องปะทะกันอยู่ดี จะช้าหรือเร็วเท่านั้น...อย่างที่อุนเซเคยบอกไว้ หากพ่อเลือกหนทางนี้ สิ่งที่กั้นกลางระหว่างพ่อและเขาก็คือเวลา...”
 
ฮวาจีนึกย้อนไปถึงช่วงเวลายาวนานที่ผ่านพ้นมา
 
‘เวลา’ ที่อุนเซเคยบอกนั้นเป็นคำพูดที่กรีดลึกลงในหัวใจของเขาแทบทุกวัน ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่ดำเนินไปไม่หยุด เฉกเช่นความรู้สึกของเขาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะผ่านคืนวันมาเนิ่นนาน รวมถึงความเจ็บปวดเสียใจที่ต้องทนกับช่วงเวลาเหล่านี้อย่างไม่มีสิ้นสุด
 
มือซีดขาวอมโรคยกขึ้นทาบจี้หยก ...ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าเองก็เจ็บปวดไม่แพ้ข้าใช่ไหม คิมอุนเซ...
 
จีรยงหยุดคิดทบทวนคำถามอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจเอ่ยด้วยความสงสัย “ไยเสด็จพ่อถึงเลือกครองราชย์  ในเมื่อเสด็จพ่อเองก็ยังมีใจให้อีกฝ่ายอยู่เช่นนี้”
 
“เวลานั้นพ่อเด็กกว่าเจ้านักจีรยง ความสัมพันธ์ที่มากเกินกว่าจะเข้าใจระหว่างพ่อกับอุนเซเหมือนเป็นแค่เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเพียงความฝันที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริง ทุกอย่างที่พ่อต้องทำล้วนเป็นสิ่งที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ภาระหน้าที่ทุกอย่างตกอยู่ที่พ่อทันทีที่เสด็จปู่ของเจ้าสวรรคต สิ่งที่พ่อทำได้และต้องทำก็คือการสืบทอดราชบัลลังก์ให้ฮานึลคงอยู่ต่อไป”
 
ภาระหน้าที่ คำคำนี้ช่างบาดลึกลงในหัวใจของจีรยงนัก
 
“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ว่าแต่เจ้าจะตัดสินใจเช่นไร หืม จีรยง?” คำถามของผู้เป็นพ่อไม่ต้องขยายความให้ยืดเยื้อจีรยงก็รู้ว่าพระองค์ทรงถามถึงสิ่งใด
 
การแต่งตั้งชายา...
 
“เรื่องนั้นลูกตัดสินใจได้แล้ว เพียงแต่หนทางอาจจะยากสักหน่อย”
 
ได้ฟังคำตอบจากบุตรชาย คนเป็นพ่อก็ได้แต่ยิ้มฝืดฝืน “พ่อเคยบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ข้องแวะกับวังชอนซาให้มากนัก พอมาถึงตอนนี้คิดจะถอนตัวเจ้าก็ทำไม่ได้แล้ว อย่าว่าแต่แต่งตั้งชายาเลย หากคิมซอนอินยังอยู่ในตำแหน่งของวังชอนซาเช่นนี้ แม้แต่ตำแหน่งของนางสนมนางบำเรอเจ้าก็แต่งตั้งให้คนผู้นั้นไม่ได้ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเจ้านั้นเป็นความผิดบาปต่อแรงศรัทธาของผู้คนทั้งแผ่นดิน หากเจ้ายังคิดจะดำเนินความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อไป ก็มีแต่จะต้องปกปิดเป็นความลับอยู่อย่างนี้เท่านั้น ...และมันก็อาจจะทำร้ายทั้งเจ้าและคิมซอนอินด้วย”
 
ซอนอินเป็นชาย เรื่องนี้เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยกตำแหน่งให้ยืนเคียงข้างเขาได้ ซ้ำคนที่เขาเลือกให้เป็นหนึ่งเดียวคนนี้ยังมีตำแหน่งวังชอนซาที่นักบวชชินซองยัดเยียดให้คล้องคออยู่อย่างแน่นหนาอีก ไม่ต่างจากการถูกล่ามโซ่ไม่ให้ออกไปไหนเลยสักนิดเดียว
 
การหยุดความสัมพันธ์กับซอนอินเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่างแน่นอน และการขึ้นครองราชย์ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจละทิ้งได้เช่นกัน
 
การแต่งชายาไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา จีรยงมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวนางใดก็ให้ได้แค่ความใคร่ทางร่างกายกับเขาเท่านั้น ไม่มีผู้ใดพิเศษไปกว่ากัน ไม่มีคนไหนที่อยู่เหนือคิมซอนอินของเขาได้แม้สักคนเดียว
 
“เสด็จพ่อไม่ต้องกังวลไป ถึงอย่างไรลูกก็จักขึ้นครองราชย์ต่อจากเสด็จพ่อแน่ ส่วนเรื่องนี้ ลูกจะจัดการเอง ไม่ว่าเสด็จย่าจะว่าอย่างไรก็ไม่มีวันบังคับลูกได้”
 
ภายในใจลึกๆ ของฮวาจีแล้ว เขาคาดหวังในตัวของบุตรชายคนนี้ไว้มาก ถึงจะเห็นแก่ความสำคัญต่อความรู้สึกของลูกชายมากมายเพียงไร แต่ฮวาจีก็หวังให้ลูกคนนี้ได้เป็นกษัตริย์สืบทอดบัลลังก์ต่อจากเขา เมื่อได้รับคำมั่นจากเด็กหนุ่มว่าจะไม่ทิ้งแคว้นเช่นนี้ฮวาจีก็ค่อยเบาใจ
 
“เจ้าจะทำอะไรก็คิดให้ดีแล้วกัน พ่อเชื่อในการตัดสินใจของเจ้า ถ้าเจ้าเลือกคิมซอนอินแล้ว ก็อย่าได้ทำให้เขาเสียใจเป็นอันขาด ครั้งที่พ่อได้เจอครั้งแรก เด็กคนนั้นน่าสงสารนัก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้า แล้วตอนนี้ยังไม่มีที่ให้อยู่ ซ้ำพ่อก็มาตายจาก จีรยง เจ้าต้องเป็นที่พึ่งให้กับคิมซอนอิน รู้ไหม ...ในเมื่อเลือกเขา ก็จงดูแลให้ดีที่สุด”
 
“ลูกทราบแล้ว”
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ไม่มีสมาธิเลย
 
ซอนอินพยายามตั้งใจกับบทสวดที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าคล้ายท่วงทำนองของบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์ กว่าสองร้อยยี่สิบหน้าที่ต้องอ่านให้จบก่อนตะวันลาลับฑิฆัมพร แต่สมาธิของซอนอินกลับไม่ได้จดจ่อในตัวอักษรละลานตาเหล่านั้นเลย ทั้งที่ก็รู้ว่ากลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันอยู่ดี จีรยงออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ทั้งอย่างนั้น ซอนอินก็อยากจะรีบกลับไปที่ตำหนัก อยากไปอยู่ในที่ที่จะรับรู้ได้ถึงตัวตนของฝ่ายนั้น แม้จะเป็นเพียงมวลอากาศและภาพความทรงจำก็ตามที
 
สวรรค์ รับฟังคำขอพรทั้งหมดนี้ของข้าเพื่อปกป้องคุ้มครองชองจีรยงด้วยเถิด
 
ถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อผู้คนที่เข้าร่วมพิธี แต่ตอนนี้ซอนอินขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง ขอให้พรของเขาในคราวนี้ส่งผลให้ชองจีรยงได้รับเพียงคนเดียวเท่านั้น
 
.
.
.
 
 
“องค์วังชอนซาทรงรักษาวรกายด้วย” กลุ่มนักบวชที่เข้าร่วมการสวดพากันบอกลาร่างบางที่ไม่ต้องเดินทางกลับเผ่าชินซองเหมือนคนอื่นๆ ซอนอินยืนส่งคณะนักบวชจนภายในห้องโถงกว้างของวิหารศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงเขาคนเดียว
 
บรรยากาศเงียบสงบทำให้ซอนอินเผลอนิ่งคิดอะไรไปคนเดียวอยู่นาน ก่อนที่สายตาจะสังเกตเห็นปุยหิมะแรกของฤดูกาลร่วงหล่นลงจากม่านฟ้าผ่านบานหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกหลากสี
 
ต้องเปลี่ยนชุด คำสั่งการดังขึ้นในหัว ซอนอินละสายตาจากรูปสลักองค์เทพทงซกเบื้องหน้าแล้วเดินไปยังประตูด้านข้าง ถัดจากโถงกว้างที่ใช้ทำพิธีออกไปด้านหน้านั้นถูกกั้นด้วยกำแพงหินหนา โทซองและกึมซองรอรับอยู่ในที่ตรงนั้น
 
ซอนอินเปลี่ยนชุดสีเงินสว่างที่ทำจากเส้นไหมคุณลักษณะพิเศษแบบที่เมื่อต้องแสงแล้วจะเกิดประกายเลื่อมสีสันนับเจ็ดสีคล้ายสายรุ้งกลางแดดส่องระยิบระยับ ผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ขาวประจำตัวอยู่หลายนาทีจนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ชิ้นสุดท้ายเพื่อกันความหนาวเย็นของอากาศภายนอก
 
ซอนอินเก็บอุปกรณ์ของใช้ทุกอย่างไว้ในหีบที่ตั้งอยู่ชิดผนังห้อง มือเรียวจัดการลงกลอนจนแน่นหนาแล้วจึงหมุนกายเตรียมจะเดินออกจากห้องขนาดเล็ก ตอนที่หันตัวไปนั้นเอง จู่ๆ ก็มีชายสวมผ้าคลุมหน้าสีดำสองคนพุ่งเข้ามาจับตัวของเขาไว้ สติที่ตื่นตัวยังไม่ทันได้ทำงานมากไปกว่าความตกใจก็พลันวูบดับลงเพราะอะไรบางอย่างที่มากับผ้าปิดปาก
 
ร่างของซอนอินทรุดลงในวงแขนของบุรุษลึกลับ
 
“พาตัวไปเร็วเข้า” เสียงทุ้มใหญ่ของชายที่ตัวสูงกว่าเอ่ยสั่งความเร่งผู้ร่วมกระทำ
 
 
 
อีกด้านหนึ่ง โทซองที่จับความผิดปกติระยะเวลาการเปลี่ยนอาภรณ์ของวังชอนซาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ด้านในห้องโถง เขาสั่งให้กึมซองวิ่งไปเคาะที่ประตูห้องด้านข้าง เคาะเรียกอยู่สามครั้งจนมั่นใจว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่
 
ประตูไม้เนื้อดีถูกเด็กหนุ่มสองคนช่วยกันพังเข้าไปในเวลาไม่นาน
 
ห้องเล็กๆ ที่ไร้ประตูอื่นใดว่างโล่ง หีบเก็บสัมภาระถูกลงกลอนแน่นหนาบ่งบอกว่าวังชอนซาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้องค์วังชอนซาอยู่ที่ใดกันเล่า?!
 
“กึมซอง เจ้ารีบออกไปทางประตูหลังวิหารเร็วเข้า ข้าจะวิ่งไปดูที่เนินเขาด้านข้าง”
 
“ได้ ข้าจะวิ่งไปดูจนถึงหน้าผาเลย” เด็กหนุ่มรับคำหนักแน่นแล้วรีบพาตัวเองออกมาจากมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเนินภูเขา
 
แต่กว่าที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องขึ้นกับวังชอนซา ชายลึกลับในชุดดำก็ได้พาร่างหมดสติของวิหคเพลิงไปถึงปลายหน้าผาแล้ว
 
เสียงสายน้ำที่ไหลเชื่อมต่อมาจากน้ำตกขนาดใหญ่ภายในป่าลึกดังสะท้อนก้องหน้าผาทั้งสองฝั่ง ธารากว้างใหญ่เบื้องล่างไหลเชี่ยวกราดอย่างน่ากลัว
 
ความสูงขนาดนี้หากตกลงไปในน้ำก็คงไม่ตาย หากแต่แม่น้ำเชี่ยวกราดขนาดนี้ก็ยากนักที่จะรอดขึ้นฝั่งไปได้ ยิ่งกับคนที่หมดสติเช่นนี้ด้วยแล้ว ไม่มีทางรอดไปได้อย่างแน่นอน
 
“โยนลงไปเร็วเข้า เดี๋ยวยาก็หมดฤทธิ์เสียก่อนหรอก!!!”
 
ชายที่อุ้มร่างบางอยู่พยักหน้ารับ เขาก้าวออกไปจนปลายเท้าแตะเฉียดปลายผา จังหวะที่กำลังจะโยนร่างนั้นลงไปสู่ห้วงเหวมรณะ เปลือกตาบางก็ได้ขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย
 
ด้วยความตกใจ ชายคนนั้นรีบโยนร่างของซอนอินลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนทั้งสองจะพากันวิ่งออกไปจากที่ตรงนั้น
 
 
 
เสียงหวีดของอากาศดังแว่วอยู่ข้างหู ซอนอินยังไม่ได้สติดีเท่าใดนัก สมองยังคงมึนงงและสับสนจากฤทธิ์ยาที่ได้รับ ศีรษะเพิ่งจะเกิดอาการปวดหนึบ สัญชาตญาณของร่างกายเพิ่งได้เริ่มทำงาน แรงกระแทกรุนแรงก็เกิดขึ้น
 
 
ซ่า!!!!!!!!!!!
 
 
น้ำเย็นเฉียบในต้นฤดูหนาวบาดลึกตามร่างกาย ปากและจมูกสำลักน้ำอย่างทรมาน สองแขนผอมบางวักน้ำไร้ทิศทางพยายามอย่างที่สุดที่จะพาตัวเองโผล่พ้นผิวน้ำ ทว่าสายน้ำนั้นรุนแรงเกินกว่าจะควบคุมอะไรได้
 
ราวกับเทพแห่งกระแสสินธุทรงพิโรธอยู่ก็ไม่ปาน
 
 
 
...หายใจไม่ออก
 
...ทรมาน
 
...ช่วยด้วย!
 
...ใครก็ได้!!!
 
...ช่วยข้าด้วย!!
 
 
..จีรยง ช่วยข้าด้วย!!!!....
 
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
จบตอน
 
 

เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0




ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ลุ้นชะตากรรมองค์ซอนอิน จนเพลีย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 30
 
พระสนมฮีวอนมีความลับเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจได้รับการให้อภัย พระนางปกปิดความลับนี้ไว้กับตัวด้วยความรู้สึกผิดบาปที่ยากจะหาสิ่งใดชดใช้ได้ ทว่าความลับข้อนี้ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ล่วงรู้อยู่ด้วยเช่นกัน
 
สิบกว่าปีก่อน สาเหตุการลอบปลงพระชนขององค์กษัตริย์ชองฮวาจีถูกตัดสินว่าราชินีอึนจองเป็นผู้กระทำการลอบวางยาดอกอังฮวา ทว่าความจริงแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายครั้งนี้คือพระสนมฮีวอน พระนางไม่คิดถึงขั้นว่าอยากให้อีกฝ่ายตายเพื่อหลีกทางให้ลูกชายของนางได้อยู่เหนือกว่าชองจีรยง แต่เพราะขาดความยั้งคิดทำให้นางกระทำการไปเช่นนั้น และผลที่ตามมาก็มากเกินกว่านางจะรับไหว
 
เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ราชินีอึนจองจากไปตลอดกาล ตำแหน่งพระสนมเอกของพระนางก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยิ่งนานวันเข้าพระนางก็ยิ่งเกิดความรู้สึกจงเกลียดชองจีรยงบุตรของราชินีอึนจองที่ได้รับการดูแลจากองค์กษัตริย์มากขึ้นอีกหลายเท่านัก ส่วนชองจีมุนบุตรชายของพระนางกลับได้รับการเอาใจใส่น้อยเหลือเกิน ความน้อยใจและความอิจฉาริษยานี้เองที่ทำให้นางจ้องแต่จะหาโอกาสผลักชองจีรยงให้พ้นทางของจีมุน
 
แต่สวรรค์ไม่ใจดีอย่างนั้น พระสนมฮีวอนถูกต้อนจนมุมด้วยหลักฐานและพยานเมื่อหลายเดือนก่อน จีรยงเปิดเผยเรื่องจริงต่อหน้าพระนางราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ในเวลานั้นพระนางคิดว่าตนเองคงถูกจับตัวไปประหารแน่ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด จีรยงไม่คาดโทษที่ทำให้แม่ของเขาต้องตาย พระนางรู้ดีว่าใจจริงแล้วเด็กหนุ่มคงอยากจะฆ่าพระนางด้วยมือตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะผลที่ตามมาไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
 
ไฟป่ากำลังรุมเร้าฮานึลอย่างหนัก ภัยแล้งมาเยือนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด หากพระสนมเอกถูกกล่าวหาและโดนประหารตอนนั้นล่ะก็ ชาวบ้านจะยิ่งหมดกำลังใจในการดำรงชีวิต ดังนั้นชองจีรยงจึงให้เหตุผลที่จะยอมปล่อยพระนางไปด้วยการบอกให้พระนางเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างนี้ต่อไป แต่นับจากนี้ห้ามข้องเกี่ยววุ่นวายกับการดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มอีก ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามแต่ จะไม่มีการออกเสียงความเห็นชอบใดๆ จากพระนางอย่างเด็ดขาด
 
แม่ที่ถูกใส่ร้ายจนตัวตาย เหตุใดยังยอมทำตามหน้าที่ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นนี้อีก? ฮีวอนเคยสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่าจนมองไม่เห็นคำตอบอยู่ที่ใด และด้วยการไม่เอาเรื่องครั้งนั้นเองที่ทำให้พระนางสำนึกผิดขึ้นมาได้อีกครั้ง พระนางไม่ขัดขวางทางเดินของจีรยงอีกนับจากนั้น ซ้ำยังรับปากรัชทายาทหนุ่มว่าจะดูแลองค์วังชอนซาตามที่ฝ่ายนั้นต้องการ
 
ที่ผ่านมา พระนางก็ทำตามที่อีกฝ่ายไหว้วานมาอย่างดี กับคิมซอนอิน พระนางไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย พระนางขัดขวางจีมุนให้เลิกยุ่งกับคนของจีรยง สำหรับข้อนี้แล้ว พระนางไม่ปฏิเสธว่าพระนางยินดีทำเป็นอย่างยิ่งนัก เพราะภายในใจลึกๆ แล้ว พระนางก็หวังอยากให้จีมุนมีคู่ครองที่เป็นอิสตรีที่จะสามารถมีบุตรสืบสกุลได้ ในเมื่อรัชทายาททรงคิดที่จะมีเพียงวังชอนซา ดังนั้นผู้หญิงใฝ่สูงอย่างนางก็อดคาดหวังในรุ่นหลานไม่ได้
 
ถึงกระนั้นก็ตาม การเลือกข้างระหว่างรัชทายาทชองจีรยงกับพระแม่เจ้าชองโยฮวานั้นเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากนัก หากบทสรุปไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ มีสิทธิ์ที่พระนางจะโดนพระแม่เจ้าลงทัณฑ์ได้ ...แต่ที่สุดแล้วจะมีสิ่งได้ร้ายแรงไปกว่าการพรากชีวิตเล่า หากครั้งนั้นองค์ชายจีรยงคาดโทษพระนางละก็ ตอนนี้ก็คงไม่ได้มานั่งคิดตัดสินใจอยู่นี่หรอก
 
 
ฟุบ!
 
 
แรงลมวูบหนึ่งที่พัดกิ่งไม้ทำให้พระสนมเอกหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิด กลางป่ารกทึบแห่งนี้ไม่มีสัตว์ร้ายเพราะเป็นอาณาเขตของพื้นที่หลวง รู้อย่างนั้นแล้วก็ยังอดรู้สึกหวาดระแวงไม่ได้ พระนางขยับปลายท้าวเดินถอยหลังไปอีกเล็กน้อยเพื่อหวังว่าต้นไม้ใหญ่เบื้องหลังจะช่วยเป็นเกราะกำบังจากอะไรก็ตามแต่ได้บ้าง
 
“พระสนม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้คนถูกเรียกรีบหันกลับไปมองโดยเร็ว
 
ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนหลบอยู่ที่เงาแมกไม้ แม้ไม่เห็นหน้าตาอีกฝ่าย แต่เพียงน้ำเสียงพระนางก็รู้ดีว่าเป็นใคร ชายคนนั้นเอ่ยถามอย่างไม่รอช้า
 
“ได้ตัววังชอนซาหรือไม่”
 
พระนางพยักหน้ารับหนึ่งครั้ง
 
“ดี ที่เหลือปล่อยให้คนของข้าจัดการต่อเอง ระหว่างนี้ขอให้พระสนมอยู่แต่ที่ตำหนัก เช้าเย็นไปเยี่ยมเสด็จพ่ออย่างที่เคย อย่าให้มีพิรุธอันใดเด็ดขาด”
 
เสียงตอบรับของพระนางเอ่ยอย่างมั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ก่อนที่ฮีวอนจะหมุนตัวเดินกลับวังไปนั้น เสียงทุ้มก็ได้เอ่ยสั่งความสุดท้าย
 
“องค์หญิงยูนา ฝากเป็นธุระให้ท่านด้วย”
 
ลับแผ่นหลังบอบบางของพระสนมเอก ชายหนุ่มร่างสูงในเงาไม้ก็เดินหมุนตัวกลับไปยังทิศทางตรงกันข้าม
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
“พวกเจ้าหมายความว่ายังไง หายตัวไป?!!!!” เสียงแหลมเล็กของฮีอูแหวกลั่นผ่านอากาศอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ด้วยบุคลิกของฮีอูนั้นเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและใจเย็นอย่างที่สุด แต่เวลานี้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
 
คนตัวเล็กคาดคั้นเอาคำตอบเสียงดังลั่นตำหนักโยกันอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!!”
 
สีหน้าของกึมซองซีดเผือดกับสิ่งที่ต้องเอ่ยตอบ โทซองจึงเป็นฝ่ายเปิดปากอธิบายเอง “หลังจบพิธีสวด องค์วังชอนซาหายตัวไปจากมหาวิหาร กว่าที่เราสองคนจะรู้ตัวก็ตามไปไม่เจอแล้ว พยายามหาจนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม” ตอนนี้ที่ว่าคือยามสิบ
 
“ตามไม่เจอ?!! พวกเจ้าพูดออกมาง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร! คนทั้งคนจะหายไปเฉยๆ ได้ที่ไหน!! ป่าด้านหลังมหาวิหารดูทั่วแล้วหรือยัง หมู่บ้านตรงเชิงเขาล่ะ!!”
 
“พวกเราดูทั่วหมดแล้วขอรับคุณชาย ไม่ว่าที่ใดก็ไม่เจอเลย”
 
ได้ฟังอย่างนั้นฮีอูก็แทบจะลมจับ ร่างเล็กรู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาเสียดื้อๆ ยอนอาและโซยอนที่ยืนฟังก็พลอยใจคอไม่ดีไปด้วย แต่ก็ยังพอมีสติประคองฮีอูให้นั่งลงที่เก้าอี้
 
“แล้วจะทำอย่างไรกันดี องค์วังชอนซาหายไปเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงพิโรธแค่ไหนกัน ...โธ่ องค์วังชอนซาของบ่าว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง” ยอนอาลูบอกอย่างต้องการปลอบขวัญที่กระเจิดกระเจิงของตนเอง
 
“ขออย่าให้มีเรื่องร้ายแรงเลยเถิด สวรรค์...” โซยอนเองก็ถึงกับนั่งคุกเข่ายกมือประกบขอพรจากสวรรค์
 
“ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่” ฮีอูพึมพำขึ้นมา โทซองที่ได้ยินชัดถนัดหูก็รีบเสริม
 
“คนที่จับตัวองค์วังชอนซาไปต้องมีวรยุทธสูงถึงจะทำได้รวดเร็วและไร้ร่องรอยอย่างนี้ หากไม่ใช่ทหารลับแล้วล่ะก็คงเป็นจอมยุทธรับจ้างจากสำนักใดสำนักหนึ่ง”
 
“ข้อมูลกว้างอย่างนี้เราจะไปหาตัวคนร้ายได้ยังไงกันล่ะ ยองจูก็ไม่อยู่ องค์รัชทายาทก็ด้วย โอ้ย แล้วเราจะทำอย่างไรดี!!!”
 
ฮีอูรู้สึกคลื่นไส้แปลกๆ ปัญหานี้มันหนักหนาเกินตัวของเขาอยู่มากโข จู่ๆ องค์วังชอนซาหายไปอย่างนี้จะอธิบายให้องค์ชายจีรยงฟังได้อย่างไร คนสำคัญทั้งคนถูกจับไปเช่นนี้...
 
โอ้ย คิมฮีอู เจ้าจะทำยังไงกันล่ะทีนี้!!!
 
ขณะที่เสียงกรีดร้องในใจของฮีอูยังโหยหวนอยู่นั้น เด็กหนุ่มฝาแฝดผู้เป็นองครักษ์รับหน้าที่ดูแลองค์วังชอนซาก็มีอาการไม่ต่างกัน
 
 
หน้าที่โดยตรงของพวกเขาคือการปกป้ององค์วังชอนซา แต่กลับทำงานพลาดเสียได้!!!
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
คิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว
 
ซอนอินสะดุ้งตื่นพร้อมกับปอดที่เรียกร้องอากาศจนต้องสูดหายใจเข้าไปอย่างรุนแรง กำปั้นเล็กทุบอกตามติดแทบจะในทันทีเพราะความรู้สึกที่เหมือนว่าตนเองกำลังจมน้ำนั้นยังคงอยู่ พลันศีรษะก็ปวดแปลบขึ้นมาจนต้องรีบยกมือขึ้นกดหน้าผาก ริมฝีปากสีซีดจากอากาศที่หนาวเย็นเม้มแน่นสนิท
 
รู้สึกร้าวไปทั้งตัว
 
ซอนอินปวดแปลบตามร่างกายไปหมด ปวดจนรู้สึกไปถึงกระดูก ...คงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเกินจะทน
 
ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แล้วสติทุกอย่างก็ค่อยคืนกลับมา ซอนอินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่บนแคร่ไม้ภายในกระโจมหนังสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่คุ้นตา ผ้าขนสัตว์ฟูฟ่องตกอยู่ข้างตัว เมื่อมองดูตามตัวก็พบว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ใช่ของตนเอง
 
ทุกอย่างรอบตัวที่แปลกไปทำให้ซอนอินจับต้นชนปลายไม่ถูก ก่อนหน้านี้เขาถูกจับโยนลงหน้าผา จำได้ว่าตอนตกลงไปในน้ำที่เย็นเฉียบนั้นทรมานอย่างที่สุด หวาดกลัวจนคุมสติไม่ได้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดสนิท แล้วถึงมารู้สึกตัวเอาตอนนี้
 
ดวงหน้าขาวที่ค่อนไปทางซีดเซียวหันมองไปรอบกระโจม ภายในที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกนอกจากแคร่ไม้ที่เขานั่งอยู่ และเก้าอี้หนึ่งตัวที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ นอกนั้นก็เป็นคบเพลิงที่ตั้งอยู่โดยรอบเพื่อสร้างความอบอุ่น แต่อาจเพราะอุณหภูมิที่ลดต่ำลงมากเกินไปจึงทำให้ร่างบางยังคงรู้สึกหนาวจนตัวสั่น
 
มือผอมเพรียวคว้าผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นคลุมตัว ก่อนหย่อนปลายเท้าเปลือยเปล่าลงบนผืนหนังที่ปูแผ่ต่างพื้น ชายชุดที่ถลกขึ้นเล็กน้อยเผยให้เห็นท่อนขาเรียวงามขาวนวลของผู้เป็นเจ้าของ ซอนอินก้าวเดินไปได้เพียงสองก้าว ม่านกระโจมด้านหน้าก็ถูกแหวกเปิดออก
 
เรียวคิ้วบางขมวดยุ่งทันทีที่เห็นว่าบุคคลที่มายืนอยู่เบื้องหน้าตนเองนั้นคือใคร
 
และแทนด้วยคำอธิบาย จูบอุ่นๆ ก็นาบลงบนกลีบปากเย็นชืดเป็นการทักทาย
 
ซอนอินได้แต่ยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง มือที่กำผ้าห่มไว้สั่นน้อยๆ จนกระทั่งใบหน้าของคนที่แนบชิดกันอยู่เมื่อครู่เคลื่อนถอยห่าง น้ำตาเม็ดใสก็ไหลลงสองข้างแก้มพร้อมกับวงแขนเล็กที่โผเข้ากอดคนตรงหน้า
 
“ฮึก จีรยง!!”
 
เจ้าของชื่อโอบร่างบางเข้าหาไออุ่นของกันและกัน ทั้งโอบกอดทั้งลูบแผ่นหลังจนแทบจะอุ้มร่างบางขึ้นทั้งอย่างนั้น ฝ่ามือใหญ่รั้งไหล่เล็กที่สั่นสะท้านไม่หยุดแน่นขึ้น
 
“ไม่ต้องกลัวนะซอนอิน ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยปลอบโยนคนในวงแขน เขากดริมฝีปากลงบนกลุ่มผมนุ่มหอม
 
ความหวาดกลัวของซอนอินที่เพิ่งผ่านเรื่องน่ากลัวมาชายหนุ่มเข้าใจได้ดี ต่อให้เป็นทหารที่เก่งกาจแค่ไหนแต่ถ้าต้องถูกจับโยนลงไปในน้ำที่เชี่ยวกราดแบบนั้นย่อมต้องเกิดความกลัวด้วยกันทั้งนั้น
 
“ฮึก ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายแน่ๆ ข้าคิดว่าจะไม่ได้เห็นเจ้าอีกแล้ว ฮือๆ” ซอนอินขยุ้มเสื้อของจีรยงแน่น ฝังใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงกับอกอุ่น
 
ร่างของซอนอินสั่นน้อยๆ อยู่ในวงแขนของจีรยง
 
“ไม่เชื่อใจข้าเลยหรือไง หืม? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าจะดูแลชีวิตเจ้า หัดเชื่อใจกันบ้างสิ” ปลายนิ้วอุ่นลูบไล้ดวงหน้าสวยเพื่อซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน แววตาของคนพูดนั้นสะท้อนความจริงใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้
 
“หนาวมากใช่ไหม มาตรงนี้ ข้าจะโอบกอดเจ้าเอง” จีรยงคว้าเอวคอดให้เจ้าของร่างขึ้นมานั่งบนแคร่ด้วยกัน จับให้ร่างเล็กนั่งอิงแอบแนบอกแล้วก็คว้าผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นมาคลุม ก่อนที่จะใช้วงแขนโอบร่างเล็กไว้อีกชั้น
 
“อุ่นหรือไม่ รู้ไหมตอนที่ข้าเจอเจ้า ตัวเจ้าเย็นจนแทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว” ขณะที่พูด วงแขนกว้างใหญ่ไม่ต่างจากผืนนภาบนฟากฟ้าสำหรับซอนอินก็กระชับเข้าหาแน่นขึ้นอีก
 
ซอนอินซุกซบทั้งตัวทั้งใบหน้าเข้าหาอกกว้าง ใช้สองมือกอดคล้องท่อนแขนของคนรักอย่างไม่กระดากอาย “ตอนที่จมน้ำ แม้ว่าร่างกายจะรู้สึกหนาวก็จริง แต่ใจของข้าหนาวเย็นยิ่งกว่าเมื่อคิดว่าจะต้องจากเจ้าไปตลอดกาล”
 
คำสารภาพตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมนั้นทำให้จีรยงต้องก้มลงมอบจุมพิตปลอบขวัญคนที่ยังตื่นกลัว
 
ริมฝีปากของซอนอินแดงระเรื่อน้อยๆ แตกต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ จีรยงจ้องมองคนสวยของเขาอย่างพึงใจ ริมฝีปากเล็กๆ นี้ยิ่งจูบยิ่งแดงขึ้นทุกวัน
 
“แล้ว...ทำไมเจ้าถึงมาช่วยข้าได้ล่ะ? เจ้าออกไปรบไม่ใช่หรือ อ่ะ!!” ซอนอินร้องเสียงหลงออกมาเมื่อถูกจับให้นอนลงกะทันหัน ท่อนแขนหนาหนักกกกอดร่างบอบบางไม่ให้ขืนหนี จีรยงสอดมืออีกข้างเข้าใต้ร่างเล็กแล้วรวบร่างนั้นเข้ามากอดให้ถนัดขึ้นพลางว่า
 
“เจ้ายังมีไข้อยู่ นอนฟังอย่างนี้จะดีกว่า”
 
.
.
.
 
ก่อนจะประกาศตอบรับทำศึกกับแคว้นทางเหนือสามวัน องค์หญิงอิมยูนาได้เข้ามาพบจีรยงที่ห้องทรงงาน สิ่งที่นางบอกเล่าให้จีรยงฟังนั้นคือแผนร้ายที่เสด็จย่าแอบกระทำลับหลังเขา ในเย็นวันก่อนหน้านั้นยูนาได้เข้าไปที่ตำหนักเสด็จย่าเพื่อจะทูลถามเรื่องอาหารของวันพรุ่ง แต่เผอิญไปได้ยินพระนางพูดคุยสั่งความกับชายชุดดำท่าทางลึกลับไม่น่าไว้ใจ แล้วก็เป็นอย่างที่ยูนาคาดไว้ นางได้ยินพระแม่เจ้าสั่งให้จอมยุทธชุดดำไปจับตัวองค์วังชอนซาหลังจบพิธีสวดที่มหาวิหาร ...รับสั่งให้จับโยนลงหน้าผา
 
จีรยงโกรธเคืองจนร่างกายแทบจะลุกเป็นไฟ ในวินาทีนั้นชายหนุ่มไม่รีรอที่จะตรงไปยังตำหนักของเสด็จย่า ทว่าความคิดอย่างหนึ่งก็ได้หยุดเขาไว้เสียก่อน เขาบอกกับยูนาที่ทำสีหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้นางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องลอบทำร้ายองค์วังชอนซา จีรยงไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรให้ยูนาเข้าใจมากมายนัก รับสั่งแต่เพียงให้เก็บสิ่งที่รู้มานี้ไว้ในใจ แล้วทำเหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
 
จากนั้นจีรยงก็ได้ไปหาพระสนมฮีวอน จีรยงลอบวางแผนซ้อนแผนโดยมีพระสนมเป็นคนคอยช่วยเหลือ เขาสั่งให้พระสนมนำดอกไม้ธูปเทียนไปเปลี่ยนที่สุสานหลังวังซึ่งติดกับป่าหลวงในวันครบรอบทำความสะอาดสุสานทุกสองสัปดาห์ซึ่งตรงกับวันสุดท้ายที่ซอนอินสวดขอพรเทพเจ้าพอดี ในวันนั้นรัชทายาทหนุ่มรับสั่งให้พระนางนำทหารของพระองค์สวมชุดทหารติดตามประจำตัวตามออกไปจากวัง แล้วให้ทหารเหล่านั้นไปดักรอรับร่างของซอนอินที่จะไหลลงมาตามกระแสของแม่น้ำ แม้ใจของเขาจะยังเป็นห่วงกังวลในสวัสดิภาพของซอนอิน แต่เขาก็เชื่อมั่นในฝีมือของทหารลับของตนและเชื่อมั่นในโชคชะตาว่าซอนอินจะไม่เป็นอะไร
 
เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปตามที่จีรยงคาดการณ์ไว้ การทำแผนครั้งนี้เขาไม่อาจบอกให้องครักษ์ฝาแฝดคนสนิทให้รู้ได้ เพราะจะดูไม่สมจริงหากมีการลักพาตัวซอนอินไปโดยที่องครักษ์ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ต่อให้วางแผนแล้วก็ตามก็ยากที่จะตบตาเสด็จย่าได้ นอกไปจากพระสนมฮีวอนแล้ว หายากนักที่จะมีคนเล่นละครเก่งได้เท่านาง ซ้ำเสด็จย่ายังมีสายลับปะปนอยู่แทบทุกตำหนักไม่เว้นแม้แต่ตำหนักของฮีอู ที่เขาจงใจสั่งให้ฮีอูไปอยู่เป็นเพื่อนซอนอินก็เพื่อให้ดูสมกับความเป็นห่วงที่เขามีให้ฝ่ายนั้น และก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้เสด็จย่าได้กระทำตามแผนก่อนที่ซอนอินจะกลับเข้าวัง
 
 
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ คนฟังก็ได้แต่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
 
ฟังไปฟังมาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จีรยงบอกว่ารู้เรื่องที่เขาจะต้องจมน้ำ แต่ก็ปล่อยให้เขาถูกลอบทำร้ายก่อนค่อยมาช่วย ...เพื่ออะไรกัน?
 
ข้อนิ้วหนาเกี่ยวผมเส้นเล็กให้พ้นดวงหน้างดงามของคนในอ้อมกอด “ซอนอิน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า ...เจ้าจะยอมรับไหม หากข้าจะบอกเจ้าว่าวังชอนซาได้เสียชีวิตไปแล้ว”
 
พลันดวงตาที่ง่วงงุนอ่อนเพลียขยายกว้างขึ้น แก้วตาสุกใสจ้องมองชายหนุ่มอย่างตกใจ
 
“ข้าเสียชีวิตแล้ว?!”
 
“ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นวังชอนซา”
 
จีรยงจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากมน “แม่น้ำสายหลักจะกลายเป็นน้ำแข็งในสามสี่วันข้างหน้า ร่างของวังชอนซาจะถูกแช่อยู่ใต้น้ำแข็งอีกหลายอาทิตย์กว่าที่น้ำแข็งจะละลาย จากนั้นอีกหลายวันทีเดียวกว่าที่ร่างของวังชอนซาจะลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ถึงตอนนั้น ต่อให้เป็นศพปลอมก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
 
ซอนอินรับฟังคำอธิบายนั้นอย่างตั้งตัวไม่ถูก จีรยงจะบอกว่าตัวเขาได้ตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ ถึงจะพูดว่าเป็นวังชอนซาที่ตายไปก็เถอะ แล้วยังศพปลอมอีก แต่นั่นก็หมายถึงตัวของเขานี่? แล้วต่อจากนี้จะทำอย่างไรล่ะ ร่างกายของเขาที่ยังหายใจอยู่นี้จะเป็นยังไง ...จีรยงไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้วใช่ไหม
 
ทันความคิดของซอนอิน จีรยงก็ช้อนปลายคางเล็กให้สายตาคู่สวยเงยขึ้นสบ “คิดอะไรให้มันดีกว่านี้หน่อยเถอะ นิสัยเจ้าแบบนี้ต่อไปจะเป็นชายาของข้าได้อย่างไรกัน หืม?”
 
“ช...ชายา?”
 
“เจ้าย่อมต้องเป็นชายา”
 
“ต...แต่ข้าเป็นผู้ชาย จะเป็นชายาของเจ้าได้ยังไง”
 
“ใครบอกกัน เจ้าน่ะเป็นผู้หญิงของข้าต่างหาก”
 
ความหมายของคำว่า ‘เป็นผู้หญิงของข้า’ ทำให้ดวงหน้าสวยแดงจัด ต่อให้เป็นคนอ่อนต่อโลกแค่ไหนก็ต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แน่ล่ะ ก็ตลอดมาเขาเป็นคนที่ถูกกกกอดราวกับเป็นผู้หญิงของจีรยงนี่นา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นผู้ชายนะ เหตุใดถึงได้เอามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้เล่า
 
“พูดอะไรของเจ้า ไม่เห็นจะเข้าใจ” คนสวยย่นหน้ายู่ ริมฝีปากเล็กเม้มน้อยๆ
 
เริ่มหัวค่ำ อากาศก็ยิ่งเย็นมากขึ้น ซอนอินเบียดกายเข้าหาจีรยงอีกนิด
 
จีรยงโอบเอวซอนอินให้ขยับตัวได้สะดวกขึ้น ริมฝีปากอุ่นปัดป่ายอยู่กลางศีรษะเล็กที่ซุกหาไออุ่นจากแผ่นอกของเขา จีรยงกดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มหอมหนักๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มไม่ดังนัก ทว่าก้องกังวานอยู่ในอกของคนฟังราวกับเสียงระฆังจากแดนสวรรค์
 
 
“ข้ารักเจ้า”
 
 
เสียงหัวใจดังโครมครามจนแทบจะทะลุออกมาจากอกเสียให้ได้ น่ากลัวว่าเสียงหัวใจที่เต้นอยู่นี้จะสะท้อนไปถึงอีกคน
 
ซอนอินเผลอหยุดหายใจไปเสียด้วยซ้ำ
 
จู่ๆ ก็พูดออกมาไม่ให้ตั้งตัว ไม่รู้เลยหรือไงว่ามันทำให้หัวใจของเขาเกือบจะหยุดเต้น
 
“ข้ารักเจ้า ซอนอิน ข้ารักเจ้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร จะเป็นวังชอนซา จะเป็นเทพหรือปีศาจ หรือจะเป็นเพียงคิมซอนอิน เจ้าก็คือคนที่ชองจีรยงหลงรัก เป็นคนเพียงคนเดียวที่จะได้หัวใจของข้าไป และเป็นคนเพียงคนเดียวที่ข้าต้องการตลอดไป”
 
เป็นเพราะคำสารภาพที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ให้เวลาได้ทำใจ ซอนอินจึงไม่รู้จะตอบอะไรกลับไป เขาทำได้เพียงแค่ก้มหน้าฟัง มือที่เกาะเกี่ยวแผ่นหลังไว้สั่นน้อยๆ ไม่ได้อยากร้องไห้แต่ก็หยุดร้องไม่ได้ สิ่งที่ได้ยินอยู่นี้มันทะลุทะลวงเข้าไปตามร่างกายของเขาทุกส่วน กระแสของความสุขแล่นพล่านอยู่ภายในกายจนรู้สึกเจ็บที่หัวใจยามที่มันแตกกระจายออกมา
 
เป็นสุขจนรู้สึกเจ็บ ซอนอินคิดว่าตัวเองคงผิดปกติเป็นแน่
 
“ซอนอิน เงยหน้าขึ้นเร็วเข้า” จีรยงสั่งให้คนสะอึกสะอื้นแหงนศีรษะขึ้น ขณะที่ปาดปลายนิ้วซับน้ำตาให้ เขาก็เอ่ยต่อไป “วังชอนซาตายไปแล้ว นั่นหมายถึงคิมซอนอินก็ได้ตายไปด้วย ...ช่วงที่รัชทายาทออกไปรบกับแคว้นทางเหนือ ได้พบกับหญิงงามนางหนึ่งระหว่างทาง รัชทายาทถูกใจนางเป็นอย่างมากจึงคิดที่จะพานางกลับไปยังวังหลวงหลังจบศึก และยกย่องนางให้เป็นชายาของพระองค์เมื่อรัชทายาทได้รับมงกุฎสืบทอดราชบัลลังก์”
 
“หญิงงาม...” ซอนอินทวนคำอย่างมึนงง “เจ้าหมายถึงข้า?” คนตัวเล็กคาดเดาเอาจากสายตาของคนพูดที่จ้องมองเขาแทบไม่กระพริบตา
 
“แม่นางชอนอา เป็นหญิงงามที่ข้าค้นพบเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดินนี้”
 
จีรยงไม่สงสัยกับสีหน้าของคนสวยที่ไม่คุ้นเคยกับชื่อที่เขาเรียก ‘ชอนอา’ เพราะอดีตชาติที่ผ่านมาของซอนอินนั้นเจ้าตัวไม่เคยรับรู้ ‘ชอนอา’ ที่เคยเป็นเทพบนสวรรค์นั้นเป็นเรื่องราวอีกภพหนึ่งของมนุษย์ ระหว่างรอยต่อของเส้นแบ่งเล็กๆ ในวันที่เขาใช้กระบี่แท่งขั้วหัวใจของซอนอิน หากซอนอินได้ลืมตาขึ้นในร่างของเทพสวรรค์ เจ้าตัวก็จะระลึกชาติก่อนหน้าได้ทุกอย่าง แต่จะถูกสวรรค์ลบเรื่องราวตอนเป็นมนุษย์ออกไปจนหมดสิ้น การจะเป็นใครคนหนึ่งนั้นมีสิทธิ์ได้เห็นเพียงสิ่งที่เลือกแล้วเท่านั้น หากจะให้นับ จีรยงคิดว่าเขาคงเป็นคนจำนวนน้อยหรืออาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้พบเจอกับเทพสวรรค์จริงๆ ต่อหน้า ซ้ำยังได้สนทนากันอีก...
 
พอนึกย้อนกลับไป จีรยงก็พึ่งได้รู้ตัว ว่ากว่าจะได้คนคนนี้มา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดเดียว
 
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ชาวบ้านไม่เคยได้เห็นใบหน้าของวังชอนซาเท่าใดนัก เพราะซอนอินต้องสวมชุดเวลาออกไปสวดซึ่งมีผ้าคลุมหน้าผืนบางคอยพรางสายตามาตั้งแต่ต้น ส่วนคนในวังหลวงก็มีน้อยคนนักที่จะได้เห็นซอนอิน แต่เรื่องนี้เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะจัดการยังไงต่อไป
 
กว่าจะได้เจ้ามา แม้จะยากเย็นแสนเข็ญ แต่ข้าก็ยินดีเพื่อเจ้าซอนอิน ...ขอเพียงเจ้ายอมตอบรับเท่านั้น
 
ฝ่ามือใหญ่ประคองดวงหน้าเล็กที่ยังชื้นน้ำตา เขาทอดมองอย่างอ่อนโยนระคนรักใคร่ในแววตาอย่างแสดงออก “คิมซอนอิน เจ้ายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะเป็น ชอนอา ของข้าได้ไหม หากเจ้าต้องเป็นหญิงในสายตาผู้อื่นยามที่ยืนเคียงข้างข้าในฐานะชายา เจ้าจะยอมหรือเปล่า ...เจ้าจะยอมโกหกคนทั้งแผ่นดินไปพร้อมกับข้าผู้นี้หรือไม่...ซอนอิน”
 
แผนการที่จีรยงวางไว้ ก็เพื่อหาช่องทางให้เขาได้เป็นคู่ครองกับอีกฝ่ายงั้นหรือ ซอนอินรู้สึกเหมือนตัวเองรับเรื่องพวกนี้เข้าไปอีกไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงกระอักความสุขตายเสียก่อนจะได้สมหวังอย่างแน่นอน
 
ซอนอินยันมือลงกับแคร่ไม้แล้วลุกขึ้นนั่ง เส้นผมสีดำยาวที่ไม่ได้มัดรวบไว้ไหลตกลงตามไหล่บอบบาง ผิวกายของซอนอินในตอนนี้ขาวกว่าปกติด้วยอากาศที่หนาวเย็นทำให้เส้นผมนั้นตัดกับสีผิวอย่างชัดเจน เป็นภาพที่สวยงามนักในสายตาของคนมอง
 
นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายสุกใสมองสบสายตาคมเข้มของคนที่นอนอยู่ ฝ่ามือเล็กวางทาบแผ่นอกแกร่ง
 
“ต่อให้ต้องลงนรกไปกับเจ้าข้าก็ยินยอมที่จะคว้าหัวใจดวงนี้ไว้ตลอดไป”
 
ริมฝีปากหยักระบายยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเอื้อมแขนขึ้นฉุดร่างบางให้นอนทับลงมาที่ตัวของเขา
 
“ซอนอิน ข้าอยากจะกอดเจ้านัก อยากจะกลืนกินเจ้าเสียตอนนี้เลย”
 
ถึงปากจะบอกว่าอยาก แต่มือก็ได้นำไปก่อนแล้ว จีรยงลูบไล้เรือนร่างนุ่มนิ่มผ่านอาภรณ์อย่างห้ามใจไม่อยู่ จับพลิกให้ร่างเล็กนอนอยู่ด้านล่างแล้วตามขึ้นคร่อม ตามติดด้วยจูบหนักๆ ที่เน้นย้ำจนคนตอบรับหายใจแทบไม่ทัน
 
“อื้มมมม”
 
จีรยงถอนจูบออกมา ดวงหน้าแดงก่ำของซอนอินตอนนี้ทั้งดูสวยทั้งดูน่ารัก
 
“หากข้ากอดเจ้าตอนนี้ มีหวังเป็นไข้กันทั้งคู่แน่ มา คืนนี้ข้าจะนอนกอดเจ้าไว้ทั้งคืน หายไข้เมื่อไหร่ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
 
ผ้าห่มขนสัตว์ถูกยกขึ้นคลุมตัวพวกเขาอีกครั้ง เช่นเดียวกับอ้อมกอดที่มอบให้คนรักอีกครั้งเช่นกัน
 
เสียงหัวใจและจังหวะการหายใจของจีรยงค่อยๆ ขับกล่อมให้ซอนอินคล้อยหลับ แต่ก่อนที่สติจะจมสู่ห้วงนิทรา เรียวคิ้วบางก็ขมวดยุ่ง เสียงหวานเอ่ยถามผ่านแผ่นอกคนกอด
 
“จีรยง แล้วอย่างนี้ที่วังไม่วุ่นวายกันแย่เหรอ ก็ข้าหายไปทั้งคนนี่?”
 
“ไม่หรอก เสด็จย่าย่อมต้องปิดข่าวทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะพระนางเองเป็นคนสั่งให้จับเจ้าโยนลงหน้าผา ส่วนคนของข้าก็คงไม่กล้าประกาศอะไรออกไปจนกว่าข้าจะกลับเข้าวัง อืม...เห็นจะน่าห่วงก็แต่คนของข้านี่แหละ จะบอกใครก็ไม่ได้ ป่านนี้คงแทบอกแตกตาย นั่งนับวันรอข้ากลับไปอยู่เป็นแน่”
 
ทั้งฮีอู โทซอง กึมซอง แล้วยังคนในตำหนักโยกัน เวลานี้คงร้อนใจกันน่าดู
 
น่าสงสารพวกเขานัก!
 
ซอนอินคิดถึงความรู้สึกของฮีอู แล้วยังยอนอากับโซยอนอีก ทั้งสามคนต้องเป็นห่วงเขาจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่
 
ส่วนชองโยฮวา ตอนนี้ก็คงจะพออกพอใจที่เขี่ยเขาออกจากหลานชายได้สินะ พระนางจะแค้นข้าไปจนตายหรือเปล่าหากพบว่าข้ายังมีชีวิตอยู่อย่างนี้
 
โอ้ย ทั้งที่ข้าเคยอยู่แต่ในกรอบของศีลธรรมมาตลอด แต่ตอนนี้กลับเลือกทางเดินตรงข้ามเสียได้ คิมซอนอินอยากจะร้องไห้นัก แต่ก็ไม่รู้ว่าที่ร้องไห้นี้เพราะเสียใจหรือยินดีกันแน่ คิดแล้วก็ได้แต่จนกับคำตอบ
 
คงมีเพียงสิ่งเดียวที่ตอบซอนอินจากคำถามนับร้อยเหล่านี้ได้
 
 
...เพราะชองจีรยง
 
 
“ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด ไม่มีแคว้นไหนมีผู้นำร้ายกาจได้เท่าเจ้าอีกแล้วล่ะชองจีรยง”
 
“แต่ข้าว่าเจ้าน่ากลัวกว่าใครทั้งหมด ไม่มีผู้ใดทำให้ใจของชองจีรยงหวั่นไหวได้เท่าเจ้าอีกแล้วล่ะคิมซอนอิน”
 
“นอกจากจะนิสัยร้ายแล้ว เจ้ายังปากร้ายเกินใครอีกด้วย!”
 
“นอกจากจะน่ากลัวแล้ว เจ้ายังปากหวานจนข้าอยากจะกินมันทั้งคืน!”
 
“.......”
 
ซอนอินกับจีรยงมองตากัน ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
 
เสียงตอบโต้ของคนทั้งสองค่อยๆ เงียบหายไปในค่ำคืนของต้นฤดูหนาว รสจูบนุ่มนวลหอมหวานดำเนินไปอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากปุยหิมะที่ลอยเอื่อยอยู่ท่ามกลางผืนฟ้ากว้างใหญ่ ความอบอุ่นจากสัมผัสกายที่โอบกอดกันปิดกั้นไม่ให้ความหนาวเย็นได้กร่ำกราย
 
 
ค่ำคืนนี้ วิหคแสนงามได้หลับใหลไปในวงแขนของมังกรหนุ่มผู้เป็นที่รักนั้นเอง
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-

จบตอน

 

เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะมีใครจับได้ไหมนะ

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
บทที่ 31

 
เกือบคิดไปว่าได้ออกมาท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เสียอีก
 
คนร่างบางมัวแต่สุขสันต์หรรษาเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติระหว่างที่นั่งซ้อนอยู่บนหลังของอันนุน อาชาสีขาวสว่างตาของจีรยงระหว่างเดินทางตามกองทัพไปยังค่ายที่อยู่เหนือสุดของเชินอัน จนลืมไปเสียสนิทว่าภารกิจสำคัญคือการออกรบของชายหนุ่มคนรักต่างหาก
 
ใต้ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งว่างโล่ง คนตัวเล็กนั่งดึงยอดหญ้าเล่นอยู่ตามลำพัง โดยมีอันนุนยืนเล็มหญ้าอ่อนอยู่ไม่ไกล สายตาของคนที่นั่งเฉาอยู่คนเดียวละจากกลุ่มชายในชุดศึกที่เกาะกลุ่มวางแผนรบอยู่เบื้องหน้าไปมองทิวเขาสีเขียวชอุ่มของภาคเหนือเชินอัน ภูมิอากาศของเชินอันไม่หนาวจัดเหมือนอย่างฮานึล กว่าหิมะจะตกก็อีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ดังนั้นช่วงกลางเดือนสิบเช่นนี้จึงถือว่าเป็นช่วงที่เชินอันมีภูมิอากาศดีที่สุด คือไม่เย็นมากจนเกินไปนั่นเอง
 
ทั้งที่อากาศออกจะดีขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงต้องมารบกันด้วยเล่า!
 
คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องศึกสงครามได้แต่คิดขัดข้องใจอยู่คนเดียว สถานภาพของซอนอินตั้งแต่เล็กนั้นถูกเลี้ยงดูมาห่างไกลจากคำว่าสงครามมากนัก ทั้งที่เป็นโอรสแท้ๆ แต่กลับอยู่แต่ในวังหลัง วันๆ เอาแต่เก็บตัวไม่ได้ออกไปไหนหรือพบปะกับผู้ใด หน้าที่อย่างเดียวที่มีคือการสวดขอพรต่อเทพเจ้าเท่านั้น ผ่านมาก็หลายปีคิดจะให้สนใจเรื่องพวกนี้ตอนนี้ ทำได้ยากนัก
 
ซอนอินขมวดคิ้วยุ่งเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าคนตัวสูงที่บอกว่าประชุมเสร็จจะพาขี่อันนุนไปเดินเล่นรอบๆ จะพูดคุยกันเสร็จเสียที ร่างบอบบางยันตัวเองลุกขึ้นยืน สถานที่แบบนี้ถึงจะเป็นเชินอันแคว้นเกิดก็ตาม แต่สำหรับซอนอินเป็นสถานที่ที่แปลกใหม่ในสายตามากเหลือเกิน
 
ชิ! ข้าไม่มาเสียเวลานั่งรอเจ้าหรอก!
 
หลังจากจบศึกก็ต้องกลับเข้าวัง เวลาอันแสนอิสระเช่นนี้มีหรือที่ซอนอินจะยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ มือเรียวจัดการผูกเชือกของอันนุนคล้องไว้กับต้นไม้ ก่อนจะพาตัวเองเดินตรงไปยังทุ่งดอกไม้สีเหลืองสดที่อยู่เบื้องหน้า
 
จากสายตาที่เห็นไม่คิดว่าลำต้นของดอกไม้จะสูงเสียมิดศีรษะขนาดนี้ ซอนอินตื่นเต้นกับดอกไม้ตรงหน้าราวกับเด็กเล็กๆ ได้ชื่อว่าเป็นโอรสแห่งเชินอัน แต่กลับเพิ่งเคยเห็นดอกไม้ขึ้นชื่อของแคว้นก็วันนี้ ปกติแล้วถ้าจะได้เห็นก็คือดอกที่ตัดออกมาแล้วเท่านั้นเอง
 
“อ๋า~ นึกออกแล้วๆ ดอกเฮบารากิ!” คนตัวเล็กระบายยิ้มกว้างเมื่อหยุดคิดอยู่นานว่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้คืออะไร
 
พลันสายตาคู่สวยก็สบเข้ากับผีเสื้อหลากสีสองสามตัว
 
โดยไม่สนใจจะคิดให้มากความ ซอนอินเดินฝ่าดงดอกเฮบารากิเข้าไปเพื่อที่จะไล่ตามผีเสื้อตัวน้อย ระยะห่างของลำต้นเฮบารากินั้นไม่เบียดเสียดจนเกินไป ทำให้มีช่องว่างมากพอที่คนคนหนึ่งจะเดินแทรกตัวเข้าไปกลางทุ่งได้
 
จากสายตาคมที่เฝ้ามองอยู่เป็นระยะ ชายหนุ่มสังเกตเห็นชายอาภรณ์ที่คนร่างบางสวมใส่นั้นหายลับเข้าไปในทุ่งดอกเฮบารากิ เรียวคิ้วเข้มกดลึก นึกเหนื่อยใจกับคนสวยที่ทำตัวไม่ต่างจากเด็กที่คลาดสายตาเป็นไม่ได้ต้องก่อเรื่องให้ใจของเขาว้าวุ่นอยู่เป็นประจำ
 
“ตกลงตามนี้ล่ะ จัดการเรื่องเรือรบทั้งสองลำนั้นก่อน เมื่อเราไปถึงค่อยจู่โจมที่เหลือในคราวเดียว” เสียงทุ้มสรุปสั่งความกับทหารม้าเร็วที่นำสาส์นมาส่งจากค่ายทหาร
 
เมื่อม้วนกระดาษตีตราประทับส่งให้นายทหารเรียบร้อยแล้ว ชองจีรยงก็หันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนกอดอกคอยออกความเห็นมาตลอด “ราชครูยองจู ข้าขอถามอะไรอย่างสิ”
 
นัยน์ตาคมเข้มไม่แพ้คนถามเหลือบขึ้นมองเป็นเชิงตอบรับ
 
“ปกติซอนอินเป็นอย่างนี้หรือ”
 
“คงเรียกว่าปกติไม่ได้ เรียกว่าเป็นนิสัยที่แท้จริงน่าจะถูกกว่า” ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านั้นจีรยงก็เข้าใจได้ดี เพราะโดยปกติของซอนอินคือการถูกฉาบด้วยหน้าที่ของวังชอนซา บ่อยครั้งเข้าสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลืนกินตัวตนของซอนอินให้ถูกฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
 
“ชองจีรยง ข้าเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักลูกศิษย์ การที่เด็กคนนั้นยิ้มได้อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเพราะท่านปลดปล่อยโซ่ที่พันธนาการเจ้าตัวมาตลอดถึงทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ...ข้ารู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก และข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ละทิ้งเด็กคนนั้นในภายภาคหน้า”
 
“ไม่มีเหตุผลใดที่ข้าต้องทิ้งซอนอิน คนที่จะมาเป็นชายาของข้าในอนาคต”
 
“ได้ฟังเช่นนี้ข้าก็เบาใจ คนสำคัญคนนี้ต้องฝากท่านแล้ว รัชทายาทชองจีรยง”
 
จีรยงไม่ตะขิดตะขวงใจเมื่อเห็นว่าราชครูผู้มีอายุมากกว่าตนถึงสองปีก้มศีรษะให้ตนเช่นนี้ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว มันคือการให้ความเคารพในฐานะจอมยุทธที่นับถือซึ่งกัน
 
“ท่านเองก็เถิด คิมฮีอูเป็นเหมือนน้องชายของข้า ข้าต้องฝากท่านด้วยเช่นกัน”
 
การพยักหน้ารับคำพูดของราชครูหนุ่มทำให้จีรยงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาฝากงานที่เหลือให้ยองจูจัดการให้เรียบร้อยแล้วปลีกตัวออกไปตามซอนอิน ที่ตอนนี้ไม่รู้วิ่งเล่นทะลุออกนอกทุ่งเฮบารากิไปถึงไหนแล้ว
 
ช่วงขายาวก้าวเดินไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาสาวเท้าจนไปถึงแนวทุ่งดอกเฮบารากิ แต่ยังไม่ทันจะได้แหวกลำต้นเดินเข้าไป กลุ่มลำต้นตรงหน้าก็ขยับไหว แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาสู่อ้อมแขนของเขาพอดิบพอดี
 
“อ๊าคคคคค!!~ จีรยง!!~”
 
คนตัวเล็กตะปบแขนเกาะร่างหนาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ใบหน้าที่เปื้อนดินเงยขึ้นมองคนรักด้วยดวงตาตกตื่น “ตรงนั้นมีงูด้วยล่ะ! งูตัวใหญ่มากกกก!!” เดาเอาจากการลากเสียงของคนในวงแขนแล้ว คงตัวใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
“แปลว่าเจ้าจะได้เจอเนื้อคู่น่ะสิ ซึ่งก็คือข้าคนนี้” จีรยงพูดขำพลางสางเส้นผมสีดำยาวที่ยุ่งเหยิงให้เป็นทรง
 
ซอนอินยู่หน้า “ไม่ตลกเลยนะ แล้วอะไรเนื้อคู่ ข้าเคยได้ยินแต่ว่าต้องฝันเห็นงูรัด เจ้าอย่ามาซี้ซั้ว” ความกลัวปลิวหายไปตั้งแต่ได้วงแขนกว้างโอบกอด คนสวยแหงนหน้าปล่อยให้ชายหนุ่มลูบไล้ผิวแก้มเช็ดรอยเปื้อนดินออกให้ทั้งที่สายตายังตวัดค้อน
 
“อะไรกัน อย่ามาจ้องหน้าคาดโทษข้าอย่างนี้นะ เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ” พูดไป มือก็จัดการปัดเศษดินเศษหญ้าตามตัวคนร่างบางออกให้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปล้มท่าไหนถึงได้หมดสภาพอย่างนี้
 
“ก็เจ้ามัวแต่คุยอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ข้านะ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว” สองแขนเล็กยกขึ้นสูงตามแรงมือบังคับของอีกฝ่ายเพื่อความสะดวกในการปัดเศษดินตามจุดต่างๆ ได้มากขึ้น
 
“แล้วเป็นอย่างไรล่ะ หายเบื่อเลยไหม หืม?”
 
ดวงหน้าคมเข้มที่ก้มลงมาใกล้จนลมหายใจรดกันทำให้คนสวยคลายอาการขัดเคืองใจ แววตาเป็นประกายสุกใสจ้องสบสายตารัตติกาลด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
 
สัมผัสบางเบานุ่มละมุนที่ทาบทับริมฝีปากสร้างความหวั่นไหวในอกได้มากพอจะทำให้หมดแรง ซอนอินเกาะเกี่ยวแผ่นหลังกว้างแล้วปล่อยให้วงแขนใหญ่โอบรอบแผ่นหลังเพื่อพยุงตัวให้ ใบหน้าเรียวเล็กแหงนเงยตามองศาจูบที่ถูกหยิบยื่น ปลายลิ้นเล็กเกี่ยวกระหวัดตอบรับอีกฝ่ายอย่างว่านอนสอนง่าย
 
“อือ...” จูบยาวนานไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจทำให้โพรงปากเล็กเก็บกักหยาดน้ำใสที่แลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันไม่หมด
 
เสียงเปียกลื่นของน้ำลายที่เอ่อล้นเรียกความอายให้ดวงหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ
 
จีรยงขบเม้มกลีบปากล่างสีแดงสดทิ้งท้ายก่อนจะผละจูบออก แล้วกระซิบเสียงนุ่มหวานหูในระยะประชิดให้คนตัวเล็กได้เขินอายอีกระลอก
 
“หงส์ตัวน้อยของข้าซนได้ขนาดนี้ แปลว่าหายไข้สนิทแล้วสินะ”
 
.
.
.
 
เป็นเพราะต้องเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น ทั้งกลางวันและกลางคืนแทบไม่ได้หยุดพัก เส้นตายของคนตัวเล็กจึงยืดยาวออกไปอีกหน่อย
 
ทว่าสามวันหลังจากนั้น ขบวนกองทัพที่เจ็ดของรัชทายาทหนุ่มก็มาถึงค่ายทหารเป็นที่เรียบร้อย
 
ภายในกระโจมพักขนาดใหญ่ที่สุดถูกสร้างขึ้นด้วยผ้าหนังสัตว์ถึงสามชั้นเพื่อกันความหนาวให้กับคนด้านใน เตียงไม้ก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดีตามคำสั่งของแม่ทัพที่เจ็ด ดังนั้นในเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุดในการใช้สอยสิ่งนี้
 
บนผืนผ้ายับย่นที่คลุมทับฟูกเตียงนั้น ร่างเปลือยเปล่าขาวนวลนอนบิดกายน้อยๆ อย่างทรมานต่อสัมผัสที่รุกไล่จากฝ่ามือหยาบใหญ่
 
ผิวเนื้อเนียนละเอียดค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวมุกเป็นสีชมพูระเรื่อตามแรงบีบเฟ้นของคนที่คร่อมทับ เนื้อตัวของซอนอินในตอนนี้เป็นที่น่าพอใจของจีรยงยิ่งนัก เพราะตลอดการเดินทางชายหนุ่มคะยั้นคะยอเป็นผู้ป้อนอาหารให้ร่างบางด้วยตนเองมาตลอด เริ่มตั้งแต่ที่เจ้าตัวฟื้นขึ้นหลังจากที่จมน้ำนั่นแหละ ผ่านมาร่วมสองอาทิตย์ ไม่ว่าจับไปตรงไหนก็ดูจะเต็มไม้เต็มมือมากกว่าแต่ก่อนเยอะทีเดียว
 
“อ๊ะ”
 
ปลายนิ้วแกร่งสะกิดผ่านตุ่มไตสีชมพูสดเรียกเสียงหวานครางจากลำคอเพรียวระหง
 
“ความรู้สึกเจ้าไวเสมอเลยนะซอนอิน” จีรยงเอ่ยเย้า เขาลากไล้ฝ่ามือไปตามส่วนโค้งเว้าของร่างบางอย่างถือวิสาสะ สำรวจไปตามเรือนร่างที่ไม่ว่าจะจับตรงไหนก็ล้วนแต่สร้างกระแสแห่งเพศรสให้เขาได้ทั้งสิ้น
 
เอวเล็กคอดถูกบีบเฟ้นลามเรื่อยลงถึงเนินสะโพกบาง
 
สัมผัสมือร้อนระอุราวเปลวเพลิงที่จงใจเพิกเฉยต่อสัดส่วนที่ตื่นตัวนั้นทำให้ซอนอินหายใจติดขัดด้วยความทรมาน ร่างเล็กบิดกายด้วยท่าทางเย้ายวนอย่างต้องการเรียกร้อง ทว่าจีรยงยังไม่คิดจะสนใจ
 
นัยน์ตาเชื่อมแสงปรือมองคนรักเว้าวอน ริมฝีปากบางกัดเม้มจนแดงจัด ในใจนึกโกรธขึ้นมาที่ถูกอีกฝ่ายแกล้งให้เกิดอารมณ์แต่กลับไม่ยอมตอบสนองเสียที
 
คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง จีรยงยกยิ้มที่มุมปาก “ทนไม่ไหวแล้วหรือ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเจ้าเลยนะ”
 
ไม่ทำอะไรที่ไหนกัน เจ้าคนเสแสร้ง! ซอนอินอยากจะตะโกนใส่นักว่าที่ถูกเล้าโลมอยู่ตั้งนานนี่เรียกว่าไม่ทำอะไรงั้นหรือ แต่ติดตรงที่มีปลายลิ้นอุ่นๆ มาแลบเลียต้นขาทำให้เสียงที่เปล่งออกมากลายเป็นเสียงครางไปเสียนี่
 
“ฮ๊ะ อะ....”
 
มังกรหนุ่มลอบยิ้ม เขาจงใจกดซี่ฟันลงไปที่เนินเนื้ออ่อนของต้นขาเล็กแล้วขบกัดจนเกิดรอย ก่อนจะเลื่อนไปกัดอีกสามจุดใกล้กับโคนขา วิธีปลุกเร้าที่เร่าร้อนรุนแรงมากขึ้นทำให้ซอนอินยิ่งควบคุมสติไม่อยู่
 
มือเล็กที่จับบิดผ้าข้างตัวเมื่อครู่เลื่อนลงขยุ้มกลุ่มผมของคนที่ก้มหน้าวุ่นวายอยู่กับหว่างขาของตนให้ขยับมาตรงกลางอย่างห้ามใจไม่อยู่ ความต้องการของคนร่างบางที่ดูจะชัดเจนกว่าที่ผ่านมาทำให้จีรยงยอมหยุดแกล้งแต่โดยดี เขาครอบครองสัดส่วนที่ตื่นตัวได้อย่างน่ารักด้วยริมฝีปากอุ่นร้อน
 
“อ๊ะ อาาาา.....” ดวงหน้าขาวชื้นเหงื่อแหงนเงย แผ่นหลังบางแอ่นขึ้นรับสัมผัสจากการถูกโลมเลียหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดตั้งแต่ส่วนปลายจนถึงส่วนโคน ปลายลิ้นร้อนที่ลากไล้ขึ้นลงด้วยจังหวะที่เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งเพิ่มความรุ่มร้อนในกายของซอนอินให้พุ่งขึ้นสูง เสียงหวานครางหลายต่อหลายครั้งเมื่อที่สุดของอารมณ์ถูกกระตุ้นเร้าให้ปลดปล่อย ร่างกายที่ถูกปั่นป่วนมาตั้งแต่เริ่มทำให้ซอนอินไม่อาจฝืนทนได้มากกว่านี้
 
“จีรยง อ่ะ อาาาาา” หยาดน้ำขาวขุ่นพวยพุ่งเต็มช่องปากของแม่ทัพหนุ่ม ซอนอินเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นว่าของของตัวเองนั้นถูกอีกฝ่ายกลืนกินจนหมด ยังไม่ทันจะได้พักหายใจซึมซับกับอารมณ์ที่หลุดลอยไป ช่วงเอวก็ถูกจับยกให้ร่างทั้งร่างลอยขึ้นมานั่งคร่อมลงบนตัวของร่างสูงอย่างกะทันหัน
 
ซอนอินตัวอ่อนปวกเปียกจนจีรยงต้องประคองสีข้างของซอนอินเอาไว้ แก้วตาคู่สวยฉ่ำหวานทอดมองคนด้านล่างคล้ายกำลังยั่วยุอารมณ์ราชสีห์ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจจะทำเช่นนั้น
 
จีรยงมองคนสวยของเขาอย่างพึงใจ รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ต่อให้เป็นสตรีมาเห็นเข้าก็คงไม่ปล่อยให้พ้นมือเป็นแน่ นับประสาอะไรกับบุรุษเพศอย่างเขากัน จีรยงจ้องมองสีหน้าเชิญชวนของซอนอินที่ยังอยู่ในวังวนของอารมณ์ที่เจ้าตัวเพิ่งไปถึงที่สุด เส้นผมสีดำยาวจากศีรษะได้รูปตกระผิวกายหยาบของเขายิ่งสร้างภาพลักษณ์ให้ซอนอินดูมีเสน่ห์มากเป็นเท่าตัว เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งที่ประคองร่างบางขึ้นเกลี่ยไล้ใบหน้าขาว ปลายนิ้วกดลงที่กลีบปากสีแดง ออกแรงเพียงเล็กน้อยข้อนิ้วก็ล่วงล้ำเข้าไปในโพรงปากเล็ก
 
คนที่ยังอยู่ในห้วงแห่งความสุขสมเกาะกุมข้อมือหนาด้วยสองมือ ลิ้นเล็กตอดรัดปลายนิ้วแกร่งราวกับทานขนมหวาน แลบเลียดูดคลึงจนไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตัวจะไร้เดียงสากับเรื่องบนเตียง ดูท่าว่าคนร่างบางคงตกเป็นทาสของอารมณ์แล้วกระมัง
 
ใบหน้าหล่อเหลาของแม่ทัพหนุ่มเผยรอยยิ้มร้าย จีรยงปล่อยให้ซอนอินสนุกกับการเล่นมือของเขาไม่นานนัก เขาก็ใช้มืออีกข้างกอบกุมสัดส่วนที่อ่อนตัวไปเมื่อครู่อีกครั้ง
 
ซี่ฟันเล็กพลันกดลึกลงบนข้อนิ้วหนา
 
มือหยาบขยับขึ้นลงถี่รัว รู้สึกได้ถึงสิ่งที่กอบกุมอยู่นั้นขยายตัวและแข็งสู้การปลุกเร้า หยดน้ำสีขุ่นซึมจากปลายยอดเกิดเป็นเสียงเหนอะหนะ สะโพกเล็กแอ่นขึ้นลงอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงร้องแว่วหวานครางดังเป็นระยะ ไม่ถึงอึดใจต่อมา แผ่นหลังขาวนวลก็หยัดแอ่นขึ้น ลำคอเพรียวแหงนเงย ก่อนที่ร่างผอมบางจะกระตุกเกร็งพร้อมกับปล่อยสายธารแห่งห้วงอารมณ์ออกมาเต็มฝ่ามือหยาบใหญ่
 
“ฮึก....” ก่อนที่ร่างของซอนอินจะทรุดลงอย่างหมดแรง จีรยงก็ลุกขึ้นนั่งจับประคองคนร่างบางไว้บนตัก เขายื่นมือที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นๆ เข้าจ่อกลีบปากสีกุหลาบ
 
“เลียซะ”
 
หากเป็นเวลาปกติ คำสั่งแบบนี้คงไม่มีทางที่ซอนอินจะยอมทำตาม
 
“อึ อืมมม” เรียวคิ้วบางขมวดยุ่ง ขณะที่ปลายลิ้นก็แลบเลียของของตนเองตามคำสั่ง รสเฝื่อนขมที่ได้ลิ้มรสทำให้ใบหน้าสวยบิดเบี้ยวเล็กน้อย ซอนอินไม่อาจเลียทั้งหมดได้ ศีรษะเล็กส่ายปฏิเสธพร้อมกับไอสำลัก จีรยงจูบปิดปากคนที่พยายามทำตามคำสั่งเป็นการปลอบโยน ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างนั้นกอบกุมสิ่งที่กำลังจะทนรอไม่ไหวของตนเอง
 
ร้อนราวกับเปลวเพลิง ซอนอินรู้สึกถึงสิ่งที่นาบอยู่บริเวณหน้าท้อง สิ่งนั้นทั้งใหญ่และร้อนจนราวกับจะถูกแผดเผาหากโดนสัมผัสมากกว่านี้ คนตัวเล็กขยับยุกยิกอยู่บนตักเมื่อสัญชาตญาณเริ่มทำงาน
 
“จะไปไหน หืม? ตัวเองสบายไปถึงสองครั้ง คิดจะปล่อยให้ข้าทรมานหรืออย่างไร?”
 
“ไม่เอาท่านี้ จีรยง...ไม่เอาแบบนี้นะ” ซอนอินรีบร้องบอกเมื่อเห็นทีท่าว่าจะถูกเจ้าป่าผู้มากราคะกลืนกินทั้งตัวไปในท่านี้จริงๆ
 
การถูกกกกอดด้วยท่านั่งอย่างนี้เขาเข็ดแล้วจริงๆ!!
 
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แล้วยังความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นอีกตัวตนหนึ่งของตัวเองมีอะไรกับจีรยงด้วยท่านี้ แค่คิดซอนอินก็ทำใจยอมรับไม่ได้ การถูกจีรยงกอดคือสิ่งที่เขาต้องการ แต่เขาไม่อยากเจ็บอีกแล้ว หากทำท่านี้จริงๆ มีหวังต้องได้เลือดแน่
 
สำหรับซอนอินแล้ว ร่างกายของตนเองบอบบางยังไงเจ้าตัวก็รู้ดี ขีดจำกัดที่ทนได้มีเท่าไหร่ ทั้งความทรงจำที่เคยถูกจีรยงทรมานก็มากเกินพอที่จะทำให้ซอนอินต่อต้านการถูกรุกรานอย่างรุนแรง เมื่อครั้งที่ถูกปีศาจครอบงำก็ยังจำความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดทรมานได้อย่างชัดเจน ตัวตนของปีศาจอาจจะชอบความรุนแรงโหดร้ายอย่างนั้น แต่กับซอนอินไม่ใช่เลย
 
น้ำตาเม็ดใสที่ไหลเอ่อถูกปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยซับให้
 
“กลัวเจ็บหรือ?” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ซอนอินก็เคยมีอาการต่อต้านมาก่อนจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิดเสียอารมณ์ ที่มากกว่านั้นยังทำให้จีรยงรู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขาอยากจะทะนุถนอมคนรักคนนี้ให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
 
เขาจับพลิกซอนอินให้นอนราบลง หลังมืออุ่นไล้ใบหน้าสวยชื้นน้ำตาเบาๆ “ข้าจะค่อยๆ ทำ เชื่อใจข้านะ”
 
ให้หยุดตอนนี้ซอนอินก็ไม่เอาเหมือนกัน คนสวยจึงพยักหน้ารับ
 
จีรยงก้มลงจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะจับท่อนขาเรียวเล็กขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้า ยกสะโพกเล็กให้สูงขึ้นแล้วใช้หมอนสอดรองรับน้ำหนักของเจ้าตัว ชายหนุ่มแลบเลียนิ้วของตนจนชุ่มก่อนจะค่อยๆ ใช้เปิดทางให้ส่วนนั้นได้คุ้นเคย เขากวาดไปรอบๆ ราวกับกำลังวาดรูปวงกลมจนกระทั่งช่องทางเล็กเริ่มอ่อนตัวพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งที่ใหญ่กว่า ฝ่ามือใหญ่ตรึงข้อพับขาขาวไว้ให้กดต่ำลงขณะที่เขาดันกายเข้าหาอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
 
ซอนอินหลับตาแน่น สองมือกำผ้าปูไว้จนยับย่น หยาดน้ำสีขุ่นที่เชื่อมทับรอบกายของร่างสูงไว้ทำให้การรุกล้ำเป็นไปอย่างนุ่มนวลง่ายดาย ทว่าก็ยังคงสร้างความเจ็บให้กับร่างบางอยู่ดี
 
“อื้อ!!!” ซอนอินผวาเกาะไหล่กว้าง ปลายเล็บกดจิกลงไปบนมัดกล้ามของนักรบหนุ่มอย่างไม่ออมแรง
 
“มา ให้ข้าจูบที” ใบหน้าเล็กที่หันซ้ายขวาด้วยความเจ็บถูกสั่งให้เงยหน้าขึ้นรับจูบหวานๆ
 
จีรยงจูบซอนอินซ้ำๆ ไม่ยอมผละห่าง รู้สึกตัวอีกทีซอนอินก็พบว่าร่างกายของตัวเองรับตัวตนของอีกฝ่ายไว้จนหมดสิ้น
 
“หายเจ็บแล้วหรือไม่?”
 
คำถามนั้นทำให้ซอนอินหน้าแดงไม่ต่างจากถูกแสงแดดแผดเผา จะไม่ให้อายได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงตัวตนของจีรยงที่เต้นตุบตุบ อยู่ภายในร่างกายของเขา
 
คนสวยช้อนสายตาขึ้นมองคนถาม ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นก่อนจะเผยอน้อยๆ เอ่ยตอบเสียงเบาเสียยิ่งกว่าสายลมพัดผ่าน
 
 
“ข้าจะเจ็บยิ่งกว่านี้ หากเจ้าไม่ขยับเสียที”
 

(ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
.
.
.
 
 
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนรบที่จีรยงวางไว้ จำนวนคนของแคว้นทางเหนือมีไม่มากพอที่จะตั้งรับทหารของฮานึล ดังนั้นการโจมตีเรือรบทั้งหมดที่มีของฝ่ายศัตรูไปในเวลาพร้อมกันจึงสร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายนั้นได้เป็นอย่างมาก ทั้งยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเสียหายไม่น้อยด้วย หากแต่ในวันที่ห้าของการทำศึกนั้นเอง ดูเหมือนว่าฝ่ายเหนือจะยอมพ่ายต่อสงครามแล้ว จึงใช้วิธีการสกปรก ระหว่างที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายประกาศยุติสงคราม จีรยงที่ยืนอยู่บนฝั่งของเชินอันนั้นวางอาวุธตามข้อตกลงยุติการรบ ผู้นำอีกฝ่ายก็วางอาวุธเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นเอง เรือรบที่ผู้นำฝ่ายเหนือยืนอยู่กลับยิงระเบิดขึ้นมาบนฝั่งถึงสามครั้ง ควันสีเทาคลุ้งตลบอบอวลทั่วบริเวณ ภายในม่านหมอกที่มองไม่เห็นนั้นเอง ลูกธนูหลายพันดอกก็ถูกยิงใส่ทหารฮานึล ความวุ่นวายดำเนินไปไม่นานมากนัก หลังจากที่กลุ่มควันหายไป เรือรบฝ่ายศัตรูก็หายไปด้วยเช่นกัน เหลือไว้แต่ผืนผ้าสีขาวที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลเป็นสัญญาณบอกถึงการยอมจำนน
 
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทหารหลายคนดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่พลทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บช่วยกันปฐมพยาบาลกันอย่างเร่งรีบ
 
นายพลซูวอนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรวิ่งวุ่นไปทั่ว ก่อนจะเห็นราชครูยองจูประคองทหารที่เจ็บอยู่ไม่ไกล
 
“ท่านราชครู! ท่านเห็นองค์รัชทายาทหรือไม่ ข้าหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ!!”
 
“แย่ล่ะ รัชทายาทยืนติดริมฝั่งมากเกินไป อาจได้รับบาดเจ็บจนตกทะเลก็เป็นได้” ยองจูเรียกทหารที่อยู่ใกล้ๆ มารับร่างคนเจ็บไป ก่อนจะหันกลับไปหาซูวอนอีกครั้ง “ท่านนายพลไปสั่งให้ทหารเอาเรือเล็กออก ข้าจะวิ่งไปดูในจุดที่รัชทายาทยืนอยู่เมื่อครู่”
 
ราชครูหนุ่มรีบสาวเท้าไปที่ชายฝั่ง ที่ตรงนี้เป็นผาสูง นอกจากท่าเรือที่ยื่นออกไปแล้วก็ไม่มีบริเวณใดที่จะพาลงไปสู่น้ำทะเลได้ เพราะบริเวณนี้เป็นทะเลน้ำลึก ชายหาดที่มีเม็ดทรายละเอียดอยู่เลยจากที่ตรงนี้ไปอีกไกลนัก
 
ยองจูก้มมองผิวน้ำทะเลที่นิ่งสงบ
 
ชองจีรยงไม่น่าจะจมน้ำ ชายผู้นั้นย่อมว่ายน้ำเป็น นอกเสียจากจะได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงว่าย
 
ลูกธนูที่ยิงมาอาจมีสักดอกสองดอกที่พุ่งโดนร่างของชองจีรยง เพราะฝ่ายนั้นยืนอยู่หน้าสุดของคนทั้งหมด ไม่มีทางที่จะโดนสะเก็ดระเบิดที่ตกเลยไปด้านหลังไกลขนาดนั้น
 
นับเวลาที่จมน้ำ หากเป็นตอนนี้ก็อาจจะยังทัน
 
คิดคำนวณเวลาเสร็จสรรพ ราชครูหนุ่มก็ปลดกระบี่ลงจากบั้นเอว แล้วกระโดดลงไปในน้ำทะเลทั้งอย่างนั้น
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
หอม...
 
 
กลิ่นดอกไม้หรือ?
 
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคือสัมผัสรับรู้ทางกลิ่นที่ชัดเจนจนอดสงสัยไม่ได้ จากนั้นความเจ็บปวดรุนแรงที่หน้าอกและแขนซ้ายก็ตามมา
 
เจ็บจนแทบอยากจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออก
 
นัยน์ตาพร่าเลือนพยายามปรับแสงให้คุ้นชิน ภาพของเพดานกระโจมที่เห็นทำให้ความทรงจำทั้งหมดไหลคืนสู่สมอง
 
ก่อนหน้านี้เขาโดนลูกธนูแทงเข้าที่หน้าอกกับแขนซ้ายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
 
ประสาททั้งหมดตื่นตัวในเวลารวดเร็ว จีรยงผุดลุกขึ้นนั่งในทันที เขามองไปรอบกระโจมพักของตนเอง ก่อนเลื่อนสายตาลงมองต้นกำเนิดของกลิ่นหอมหวาน
 
ศีรษะเล็กที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีนิลเป็นประกายนั้นฟุบหลับอยู่ข้างกาย มือเล็กทั้งสองข้างยังคงเกาะเกี่ยวท่อนแขนขวาของเขาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้จะเจ็บบาดแผลที่ตอนนี้ถูกพันด้วยผ้าสีขาวอย่างดีแล้วก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังลุกไปจัดการอุ้มร่างบางขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกัน
 
ดูเหมือนว่าซอนอินจะอดหลับอดนอนมาหลายชั่วยาม ตอนนี้ถึงได้ไม่รู้สึกตัว ...เห็นแล้วก็ชวนให้ลักหลับเสียเหลือเกิน
 
จีรยงเอนตัวลงนอนอย่างยากลำบากด้วยบาดแผลยังสดใหม่
 
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ร่างสูงเอาแต่นอนมองใบหน้ายามหลับของคนรัก กระทั่งเปลือกตาบางนั้นขยับเผยแก้วตาสุกใส
 
“อะ! จีรยง!! เจ้าฟื้นแล้ว!!”
 
“โอ้ย! เจ้าจะฆ่าข้าหรืออย่างไร!”
 
ซอนอินรีบปล่อยอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าสวยระบายยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น “ข้าขอโทษ เจ็บมากไหม เจ้านอนรอก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะออกไปตามหมอจากึนมาให้”
 
“ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่กับข้าที่นี่แหละ ดึกดื่นอย่างนี้ให้ทุกคนได้พักผ่อนเถิด”
 
“แต่ว่า...”
 
“ไม่มีแต่ มานั่งตรงนี้เร็วเข้า ข้าอยากได้จูบจากเจ้าเป็นยาแก้ปวด”
 
ซอนอินเดินกลับไปนั่งบนเตียงแต่โดยดี คนตัวเล็กก้มลงจูบชายหนุ่มตามคำขอ จูบหนึ่งครั้งไม่น่าจะพอแก้ปวดได้ ซอนอินเลยเพิ่มให้อีกสองครั้ง เป็นทั้งยาเป็นทั้งรางวัลที่อีกฝ่ายออกไปรบจนได้รับชัยชนะกลับมา
 
“หายปวดหรือไม่?”
 
“ยังปวดอยู่ จูบอีกสิ”
 
“ได้คืบจะเอาศอกเชียวนะ”
 
บ่นอุบอิบแต่ก็ยอมก้มลงจูบแต่โดยดี เมื่อผละจูบออก จีรยงกลับยังรั้งท้ายทอยขาวให้ก้มค้างในระยะประชิด
 
“ไม่ใช่ซอนอินของข้า ข้าก็ไม่เอาสิ่งใดหรอก”
 
“ปากหวาน พูดอย่างนี้กับหญิงสาวทุกคนเลยล่ะสิ”
 
“หึงหรือ?”
 
“ใครจะกล้าหึงองค์รัชทายาทอย่างเจ้ากัน วันๆ มีแต่คนเข้าหาไม่ขาดสาย ข้ายอมรับได้อยู่แล้ว”
 
จีรยงลูบไล้ดวงหน้าขาวแผ่วเบา “ซอนอิน มีแต่เจ้าที่ข้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ด้วย อย่าว่าแต่ผู้ใดเลย แม้แต่กับฮีอูข้าก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหวั่นไหวได้เท่ายามที่อยู่ใกล้ชิดเจ้า ข้าคิดไม่ออกเลยว่า หากข้าไม่ได้พบเจอเจ้า ข้าจะกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกหรือไม่ ชั่วชีวิตนี้ข้าอาจไม่รู้จักกับการรักใครสักคน”
 
ข้อศอกเล็กที่เท้าอยู่กับเตียงเพื่อพยุงตัวไม่ให้ทับแผลของร่างสูงทำท่าจะหมดแรงเอาเสียดื้อๆ คำสารภาพที่ไม่คิดว่าจะได้ฟังจากคนรักทำให้ซอนอินอยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
 
ตอนที่รู้ว่ารักจีรยง ก็คิดว่ายอมได้ทุกอย่างเพื่อคนคนนี้ ทว่าในตอนนี้เมื่อรู้ว่าจีรยงก็รักตน กลับอยากผูกมัดให้จีรยงมองแค่เขาเพียงคนเดียว ไม่อยากให้ใครได้ใกล้ชิด ไม่อยากยอมในทุกๆ สิ่งที่จะเป็นการกัดกร่อนหัวใจของเขา
 
“น้ำตาของเจ้า เมื่อไหร่จะเหือดแห้งเสียทีนะ” จีรยงเช็ดหยาดน้ำให้พ้นจากดวงตาที่บวมช้ำมาก่อนหน้า ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเจ้าตัวคงจะร้องไห้ที่เห็นเขาบาดเจ็บ
 
“ต่อไปภายหน้าเจ้าก็จะเป็นชายาแล้ว อย่าได้ร้องไห้ให้ผู้ใดเห็นนอกจากข้าเสียล่ะ”
 
ชายา... คำคำนี้ทำให้ซอนอินหลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง แล้วเริ่มวังวนความคิดใหม่ที่มีแต่ม่านหมอกบดบัง เขาอาจจะเป็นชายาให้กับจีรยงได้ แต่เขาเป็นผู้หญิงให้กับจีรยงไม่ได้ ถึงจะได้ยืนเคียงข้าง แต่ไม่สามารถสืบเชื้อสายให้กับจีรยงได้อย่างที่ควรจะเป็น ...ที่สุดแล้ว จีรยงก็ต้องมีหญิงอื่นนอกจากเขาอยู่ดี
 
ทำไมชองจีรยงถึงมีแค่คิมซอนอินไม่ได้...
 
เขาจะทำอย่างไรกับความรู้สึกเห็นแก่ตัวนี้ดีนะ...
 
โดยไม่รู้ตัว น้ำตาก็ได้ไหลเอ่อออกมาราวกับสายน้ำ หยดลงตามผิวแก้มและใบหน้าของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง
 
“ซอนอิน เจ้าเป็นอะไร” เขาแน่ใจว่าซอนอินหยุดร้องไห้แล้วเมื่อครู่นี้ แต่ครั้งนี้ร้องไห้เพราะอะไรกัน ทั้งยังตัวสั่นไปหมดอย่างนี้
 
ฝ่ามือใหญ่ข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บบีบไหล่เล็กบังคับให้คนร่างบางเงยหน้าสบตา แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่งไม่ขยับ เอาแต่ส่ายศีรษะไปมาอยู่อย่างนั้น
 
“เจ้าเป็นอะไรบอกข้าสิ ร้องไห้ทำไม”
 
พูดดีๆ คงไม่ยอมฟัง จีรยงจึงจับปลายคางเล็กให้เงยหน้าขึ้น ถึงอย่างนั้นแล้วซอนอินก็ยังเสหลบสายตาไปทางอื่น ปฏิกิริยานั้นทำเอาความอดทนของจีรยงแทบขาดผึง
 
“ข้าเจ็บแผลมากนะ เจ้าอยากให้ข้าลุกขึ้นมาขืนใจเจ้าตอนนี้เลยใช่ไหม!”
 
“ฮึก...”
 
เสียงตวาดทำให้คนตัวเล็กสะดุ้ง จีรยงถอนหายใจครั้งหนึ่ง หลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง
 
“ซอนอิน อย่าทรมานข้าอย่างนี้ เห็นเจ้าร้องไห้คิดว่าใจของข้าเป็นสุขหรือ”
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ทั้งกลั้นเสียงร้องไห้ทั้งพยายามกัดไม่ให้หลุดพูดความในใจออกไป แต่สุดท้ายประโยคของร่างสูงที่เอ่ยออกมาก็เอาชนะทุกอย่างของซอนอินได้เหมือนเช่นทุกครั้ง
 
“ข้าโกรธตัวเอง”
 
“โกรธ? เพราะเหตุใด” คำตอบของซอนอินทำเอาจีรยงต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
 
“โกรธสวรรค์ด้วย โกรธทุกอย่างที่ทำให้ข้าเป็นอย่างนี้ โกรธหัวใจของข้าที่รักเจ้า โกรธชะตาชีวิตของข้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้ทุกอย่าง ฮึก...จีรยง ข้าโกรธที่ตัวเองอยากผูกมัดเจ้าไว้คนเดียว ทั้งที่ข้าไม่มีค่าเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นกับเจ้า...”
 
จีรยงกดท้ายทอยที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมนุ่มแล้วจูบปิดปากที่ยังพูดไม่จบ
 
ประกบริมฝีปากกันอยู่นาน จูบราวกับจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หายใจอีกเป็นครั้งที่สอง
 
“ชอนอาจะเป็นชายาเพียงคนเดียวของข้า ไม่มีสนม ไม่มีหญิงนางโลม ไม่มีผู้ใดทั้งนั้น ตั้งแต่ที่ข้าช่วงชิงชีวิตเจ้ากลับมาจากสวรรค์ ข้าไม่คิดมีใครอื่นอีก มีแต่เจ้าที่อยู่ตรงหน้าของข้านี้เท่านั้น”
 
ดวงตาที่ยังฉ่ำน้ำจ้องมองคนพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ...ไม่มีสนมงั้นหรือ? จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน
 
จีรยงยกยิ้มเมื่ออ่านสายตาที่จ้องมองมาออกราวกับได้ยินความคิดของอีกฝ่าย เขาลูบผิวแก้มเปียกน้ำอย่างอ่อนโยนขณะเอ่ย “ข้าหวังที่จะครองราชย์ แต่ไม่ได้หวังที่จะมีลูก นอกจากข้าแล้วก็ยังมีจีมุน ยูนา เสด็จน้าของข้าก็มีบุตรมากมาย ฮานึลเป็นแคว้นใหญ่ย่อมมีผู้คนมากมายที่เหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วข้าเองก็ใช่จะอายุมากเสียเมื่อไหร่ นับตามอายุข้าไปก็คงอีกหลายสิบปีนั่นแหละกว่าที่ข้าจะตาย ถึงตอนนั้นก็มีผู้ที่เหมาะสมนับไม่ถ้วนแล้ว”
 
ทุกอย่างมันจะง่ายอย่างนั้นจริงหรือ? แม้แต่จีรยงก็ไม่อาจตอบได้อย่างชัดเจน ทว่า ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดและตัดสินใจ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำเพื่อซอนอินและตัวของเขาเอง เมื่อกลับถึงวังหลวง เขาจะต้องจัดการทุกอย่างตามที่หวังนี้ให้สำเร็จลุล่วง แม้แต่เสด็จย่าก็ไม่สามารถขัดขวางได้
 
“ข้าบอกว่าจะมีเพียงเจ้า ได้ยินหรือไม่?”
 
ศีรษะเล็กพยักตอบเบาๆ
 
“แล้วเหตุใดยังร้องไห้อยู่อีก”
 
ถ้าบอกว่าดีใจจนหยุดร้องไห้ไม่ได้ จะเป็นอะไรไหมนะ? ซอนอินแอบคิดในใจ ก่อนจะสูดจมูกเสียงดังเพื่อระงับอาการสะอื้น
 
“ชองจีรยง เป็นข้าดีแล้วจริงๆ หรือ?”
 
ซอนอินอดถามออกไปไม่ได้ ที่จีรยงต้องทำทุกอย่างนี้ก็เพื่อเขา ทั้งที่อีกฝ่ายสมควรจะมีลูกหลานสืบทอดต่อไป แต่กลับหยุดอยู่กับเขาคนนี้...
 
“บนแผ่นดินนี้ข้าเห็นแต่เจ้า”
 
แววตามั่นคงที่ส่งมานี้สะท้อนใจของซอนอินอย่างรุนแรง
 
“ชองจีรยง ข้ารักเจ้า ฮึก ข้ารักเจ้า รักเจ้ามากที่สุด”
 
จีรยงประคองดวงหน้าเล็กให้ก้มลงมาใกล้แล้วจูบลงกลางหน้าผากมน ก่อนไล้ลงจนถึงริมฝีปากอิ่ม
 
 
 
“รักข้าให้มากๆ เพราะข้าจะเรียกร้องความรักจากเจ้าไปชั่วชีวิต คิมซอนอิน”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 

 จบตอน

 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0



ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
บทที่ 32

 
“ค...คุณชายฮีอู.....”
 
เสียงของนางกำนัลหน้าตำหนักร้องเรียกร่างเล็กที่เดินตึงตังเข้ามาอย่างไม่สนใจว่าใครจะยืนขวาง นายทหารหน้าประตูก็ไม่กล้าจะใช้กำลังกับคนสำคัญขององค์รัชทายาทผู้นี้ ข้ารับใช้ทั้งหมดจึงได้แต่ครางเรียกอย่างทำอะไรไม่ถูก
 
“พวกเจ้าหลีกทางให้เราเดี๋ยวนี้นะ!” เมื่อก้าวเข้ามาถึงหน้าห้องทรงอักษรภายในตำหนักรัชทายาทแล้ว ฮีอูก็ขึ้นเสียงเกรี้ยวกราดใส่สาวใช้อย่างที่ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อน ถึงแม้เสียงเล็กที่เอ่ยจะฟังดูไม่น่ากลัวสักเท่าใดก็ตาม
 
อารมณ์ของคิมฮีอูในตอนนี้นั้นมากกว่าจะเรียกว่าโกรธ เหตุเพราะการกลับเข้าวังขององค์รัชทายาทที่มาพร้อมกับข่าวลือที่มีเค้าความจริงว่าพระองค์ได้พาหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งเข้าวังมาด้วย ซ้ำยังคิดจะแต่งตั้งนางให้เป็นชายา ทั้งๆ ที่ในตอนนี้องค์วังชอนซาหายตัวไป พระองค์คิดอะไรอยู่กันแน่!!
 
ฮีอูรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในหัวทำท่าจะระเบิดออกมาเสียให้ได้
 
โกรธจนมือไม้สั่นไปหมดแล้ว
 
“คุณชายฮีอูเข้าไปไม่ได้นะขอรับ”
 
“หลีกทางไปให้พ้นนะ! เราจะเข้าไปคุยกับองค์ชายจีรยงให้รู้เรื่อง!!!”
 
“แต่ว่าตอนนี้ฝ่าบาททรงว่าราชกิจอยู่กับราชครูปาร์คยองจู...”
 
“ดีเลย! เราจะเข้าไปหาทั้งสองคนนั่นแหละ! โอ๊ย อย่ามาขวางได้ไหม!!”
 
ฮีอูปัดแขนของข้ารับใช้หนุ่มออกให้พ้นทาง พอดีกับที่บานประตูด้านหน้าเปิดออกพร้อมกับร่างสูงคุ้นตาที่ตั้งแต่กลับเข้าวังมาเมื่อกลางดึกก็เพิ่งจะได้เห็นหน้ากันก็ตอนนี้
 
“ให้คุณชายฮีอูเข้ามา”
 
“อ่ะ ขอรับท่านราชครู”
 
เมื่อเดินเข้ามาด้านในแล้ว คนตัวเล็กก็ไม่รอช้าที่จะหันไปหาร่างสูงที่ปิดประตูเดินตามหลังมา
 
“ทำไมท่านถึงปล่อยให้องค์ชายพาใครที่ไหนก็ไม่รู้เข้าวังมาอย่างนี้เล่า! ไม่ห่วงองค์วังชอนซาแล้วหรืออย่างไร!!”
 
“องค์วังชอนซาเสียชีวิตแล้ว” สีหน้าเรียบนิ่งของชายหนุ่มนั้นทำเอาริมฝีปากของฮีอูที่เตรียมเผยอขึ้นได้แต่อ้ากว้างด้วยความตกใจ
 
“อะไรนะ ท่าน...ท่านหมายความว่ายังไงยองจู องค์วังชอนซา....ไม่จริง....” ศีรษะเล็กหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร แววตาคมเข้มเรียบนิ่งดุจสายหมอกกลางหุบเหวที่จ้องตอบกลับมาทำให้ขาของฮีอูหมดแรงทรุดลงกับพื้น
 
แม้จะไม่ได้สนิทสนมกันมากมายนัก แม้ว่าช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันเพิ่งจะเริ่มต้น แต่สำหรับฮีอูแล้ว คิมซอนอินก็เหมือนเพื่อนคนสำคัญคนหนึ่งในบรรดาคนทั้งหมดที่ได้ใกล้ชิดด้วย ทั้งอายุที่ไล่เลี่ยกัน ทั้งความรู้สึกภายในใจมากมายที่เคยปรับทุกข์ให้กัน มีคนรักที่เป็นคนสำคัญของกันและกัน ระหว่างฮีอูกับซอนอินถือว่าเป็นเพื่อนคนสนิทมากที่สุดในตอนนี้ก็ว่าได้
 
ขอบตาที่บวมช้ำมาแต่เดิมถูกกลบด้วยหยาดน้ำใสอีกครั้ง หลายวันมานี้ฮีอูร้องไห้ไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของวังชอนซาไม่รู้วันละกี่รอบ ยิ่งได้มารับรู้ว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วก็ยิ่งทำใจไม่ได้
 
“ราชครูปาร์ค” เสียงทุ้มเอ่ยกลบเสียงสะอื้นของฮีอู ร่างสูงสง่าลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ตัวใหญ่ ช่วงขายาวภายใต้อาภรณ์สีเงินสว่างตาก้าวตรงไปยังประตูห้อง รัชทายาทหนุ่มไม่พูดอะไรอีกแล้วเดินออกไปจากห้องราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ร่างสูงอีกคนภายในห้องก็รู้หน้าที่ดีว่าต้องทำอย่างไร
 
ยองจูย่อตัวลงนั่งตรงหน้าของฮีอู ข้อนิ้วใหญ่เกลี่ยซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “ข้าดีใจที่เจ้าเป็นห่วงวังชอนซาถึงเพียงนี้ แต่อย่าได้เสียใจไปเลย ถึงไม่มีวังชอนซาแต่เจ้าก็ยังมีข้า”
 
“ฮึก! ยองจู ท่านพูดอะไรน่ะ วังชอนซาเป็นคนสำคัญของท่านนะ ทำไมท่านพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลยที่วังชอนซาเสียชีวิตไปแล้ว! ฮือออ”
 
คนร่างสูงระบายยิ้มบางอย่างที่หาได้ยากนักบนใบหน้าได้รูปนี้ “แน่นอนว่าวังชอนซาเป็นคนสำคัญของข้า ชอนอา ก็เป็นคนสำคัญของข้าเช่นกัน”
 
“ชอนอา...?” เรียวคิ้วเล็กขมวดยุ่ง นี่มันชื่อของหญิงสาวที่องค์ชายจีรยงพาเข้าวังมาไม่ใช่หรือ แล้วยองจูไปรู้จักอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ซ้ำยังเป็นคนสำคัญด้วย?
 
“มาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักกับชอนอา คนสำคัญของพวกเรา” ยองจูใช้จังหวะที่ร่างเล็กหยุดสะอื้นไห้จูบปิดปากเล็กๆ เสียนานสองนานราวกับจะกลืนความเสียใจนั้นไปเสียเอง แล้วฉุดแขนบางให้ลุกขึ้นยืน สอดมือเข้ากอบกุมมือเล็กจนแนบสนิทแล้วก็ออกเดินนำไปทั้งที่อีกคนยังจับต้นชนปลายของเรื่องราวไม่ถูก
 
แต่ที่แน่ๆ ฮีอูไม่ได้อยากรู้จักกับผู้หญิงที่ชื่อชอนอาเลยสักนิด!
 
 
 
 
วังชอนซา... คิมซอนอิน... ชอนอา...
 
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่กลับใช้เวลานานพอดูที่คนร่างเล็กเรียบเรียงเรื่องราวจนเข้าใจ ฮีอูนั่งอยู่ภายในห้องบรรทมขององค์รัชทายาท สายตาจับจ้องไปยังร่างบางบนเตียงที่วันนี้อาภรณ์ที่สวมใส่แปลกตาไปอย่างมาก สีสันของสีแดงและสีขาวที่ตัดกันอย่างลงตัว รวมถึงลวดลายวิจิตรที่ปักอยู่บนเนื้อผ้าก็ยิ่งขับให้คนที่สวมใส่ดูสูงส่งสง่างามอีกหลายเท่าตัว ผิวพรรณขาวนวลต้องตาที่มักจะปล่อยโล่งคราวนี้มีเครื่องประดับสีทองมาเสริมให้เจ้าตัวดูงดงามไม่แพ้สตรีนางใดเท่าที่เคยพบเห็นมา
 
...หากไม่เรียกว่านางฟ้า เห็นทีคงสรรหาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว
 
“อ่ะ จีรยง...” เสียงหวานที่เอ่ยอย่างเขินอายยามที่ถูกคนที่นั่งข้างตัวนาบปลายจมูกเข้าหาข้างแก้มทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งตาม สมองที่คิดประมวลผลอยู่เมื่อครู่กลับเข้าที่เข้าทางได้ในที่สุด
 
“ที่แท้ ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้องค์วังชอนซาได้เป็นชายาขององค์ชายจีรยงหรอกหรือ!” สีหน้าของฮีอูแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี ริมฝีปากเล็กระบายยิ้มกว้างจนยองจูกลัวว่าแก้มป่องคู่นั้นจะปริแตกออกมาเสียก่อน
 
“ถูกต้อง นอกจากซอนอินแล้วเจ้าคิดว่าข้าจะสนใจผู้ใดได้อีกหรือฮีอู” จีรยงไม่สนใจอาการต่อต้านเล็กๆ ของคนร่างบางที่พยายามเบี่ยงตัวออกจากวงแขน เขาจับร่างที่ดิ้นอย่างน่ารักนั้นขึ้นมานั่งบนตักของตนเอง แล้วคล้องแขนกอดรอบเอวเล็กคอดไว้อย่างต้องการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนางฟ้าองค์นี้
 
จะบอกว่าแอบคิดไปว่าที่พระองค์พาหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายกับวังชอนซาเข้ามาเพราะหวั่นไหวในรูปลักษณ์นั้นคงจะโดนต่อว่าอย่างแน่นอน ฮีอูจึงเก็บคำสารภาพนั้นลงไปแล้วส่ายหัวพึ่บพั่บ
 
“ก็หม่อมฉันไม่รู้เรื่องที่พระแม่เจ้าวางแผนนี่ แล้วฝ่าบาทก็ทำอะไรไม่ปรึกษาหม่อมฉันเลย อ๊ะ จริงสิ โทซองกับกึมซองก็โดนท่านหลอกด้วย น่าสงสารจริง!”
 
“สองคนนั้นใช่ว่าจะไม่มีความผิด ความปลอดภัยของวังชอนซาสำคัญถึงเพียงใด ยังปล่อยให้โดนคนร้ายจับตัวไปได้ ต่อให้เป็นแผนที่ข้าวางไว้ก็ตามที แต่เพราะความสะเพร่าเลินเล่อถึงทำให้วังชอนซาโดนจับโยนลงหน้าผา หากว่าข้าไม่ได้วางแผนเอาไว้มีหรือที่ซอนอินจะมานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ความผิดนี้ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงโทษ”
 
ฮีอูนึกไปถึงเมื่อตอนเช้าที่เขาเรียกหาตัวเด็กหนุ่มฝาแฝดทั้งสองคนไม่พบ เป็นเพราะองค์ชายจีรยงเรียกตัวไปลงโทษนี่เอง
 
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซอนอินที่กังวลเรื่องนี้มาได้สักพักก็หันไปหาเจ้าของตัก “พอเถอะจีรยง เจ้าปล่อยให้สองคนนั้นแช่อยู่ในน้ำมาหนึ่งชั่วยามแล้วนะ แล้วสระน้ำนั่นก็แทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วด้วย ข้าไม่อยากให้พวกเขาเป็นอะไรไป”
 
“เจ้าเองก็แทบจะเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วตอนที่ข้าพบเจ้า ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงโทษ เจ้าก็ไม่ต้องห่วงให้มากนัก สองคนนั้นถูกฝึกมาอย่างดี แค่นี้ไม่ถึงกับทำให้เป็นอะไรมากมายนักหรอก”
 
ฮีอูมองภาพคู่รักตรงหน้าแล้วก็พลอยหัวใจพองโตอย่างเป็นสุข องค์ชายจีรยงมีนิสัยไม่ฟังใคร ทั้งยังดุถึงเพียงนั้น แต่กลับอ่อนโยนได้มากมายอย่างนี้ก็เพราะคิมซอนอิน สายตาและการกระทำของชองจีรยงล้วนเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อคิมซอนอิน นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าคู่แท้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของชีวิต
 
เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องมีอุปสรรคอันใดขวางทางอีกเลย
 
ฮีอูเอ่ยถามถึงเรื่องของพระแม่เจ้าว่าจะทำเช่นไรต่อไป ถึงแม้ชาวบ้านจะเข้าใจว่าองค์รัชทายาทหมายมั่นให้หญิงสาวผู้งดงามเป็นชายา แต่กับคนในวังหลวงไม่มีทางที่จะปิดบังได้ ใบหน้าของวังชอนซาถึงจะมีน้อยคนนักที่ได้พบเห็นแต่นั่นก็ถือว่ารู้จักหน้าของวังชอนซาไปแล้ว ซ้ำจะให้วังชอนซาแสดงตัวเป็นหญิงสาวตลอดเวลาก็ใช่ว่าจะทำได้ ถึงแม้ว่าแค่การแต่งตัวและรูปร่างของวังชอนซาจะทำให้ชวนคิดไปว่าเป็นสตรีไปโดยปริยายก็ตามที
 
เรื่องการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของซอนอิน จีรยงเองก็คิดมาหลายครั้งแล้วว่าทำอย่างไรถึงจะดีที่สุด ชายหนุ่มไม่อยากฝืนใจซอนอินให้แสดงตัวเป็นใครคนอื่น ดังนั้นเวลาที่อยู่ในตำหนักส่วนพระองค์ ซอนอินจะยังเป็นซอนอินเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนในตำหนักของเขาเป็นคนที่ไว้ใจได้ หรือต่อให้มีใครคิดร้ายเขาก็พร้อมจะจัดการกับคนผู้นั้นอย่างไร้ความปรานี แน่นอนว่าเรื่องนี้จีรยงไม่ได้บอกให้ซอนอินรู้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับความโหดร้ายนี้ไม่ได้
 
“เรื่องของเสด็จย่าข้าเองก็คิดไว้แล้วว่าจะทำอย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ นอกจากจะเลี่ยงไม่พบเสด็จย่าตอนนี้แล้ว ข้าต้องรอให้เสด็จพ่อเตรียมการใหญ่ให้เสร็จเสียก่อน ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่ข้าต้องการ”
 
จีรยงลูบไล้เส้นผมสีดำยาวของคนในวงแขนอย่างเคยชิน ขณะเอ่ยกับเจ้าตัว “ซอนอิน ระหว่างที่ข้าเตรียมทุกอย่างเพื่อเจ้า ข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในตำหนักของข้าเท่านั้น อย่าได้ออกไปไหนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะให้ฮีอูอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้า หลายวันหลังจากนี้ข้าอาจจะกลับเข้าตำหนักไม่บ่อยนัก ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ข้าอยากให้เจ้าเข้มแข็งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เจ้าจะทำได้ไหมซอนอิน”
 
หัวใจของซอนอินหวั่นไหวมานับครั้งไม่ถ้วนกับคำพูดและการกระทำของจีรยง ทั้งเศร้าสุขทุกข์ใจหรือแม้แต่ความยินดี ทุกอย่างที่มาจากชองจีรยงล้วนทำให้หัวใจของคิมซอนอินโอนเอียงได้เสมอไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม
 
ในเมื่อจีรยงไม่ท้อถอย แล้วเขาจะกล้ายอมแพ้ได้อย่างไรกัน
 
“ข้าจะเข้มแข็ง” ซอนอินตอบหนักแน่นพร้อมพยักหน้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ริมฝีปากบางได้รูปถูกประทับแนบเป็นรางวัล ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยวาจาที่ทำให้หัวใจของคนฟังสั่นคลอนด้วยความเป็นสุขอย่างที่สุด
 
“ข้าสัญญาว่าพวกเราจะต้องมีความสุขตลอดไป”
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
“องค์ชายซอนอิน นกน้อยของท่านไม่คิดจะตั้งชื่อให้หรือ?”
 
ภายในตำหนักรัชทายาทในช่วงบ่ายของวัน ร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างมาได้สักพักเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะกลางห้องอย่างสงสัย ขณะที่มือก็ยื่นเข้าไปในกรงนกเพื่อเล่นกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กเท่าฝ่ามือ
 
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษตรงหน้า ซึ่งมีตัวอักษรถูกเขียนซ้ำๆ อยู่เกือบสิบบรรทัด มือเรียววางพู่กันลงกับแท่นหมึก ก่อนยกหลังมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกลงมาบนใบหน้าออกให้พ้นตา
 
“ข้าตั้งแล้วนะ ชื่อเจ้านกน้อยไง”
 
“เจ้านกน้อย? แบบนั้นเรียกว่าชื่อได้ที่ไหน”
 
ฮีอูหันไปขมวดคิ้วใส่คนตอบคำถาม ในขณะที่อีกคนก็ขมวดคิ้วยุ่งตอบกลับมาเช่นกัน
 
“ความจริงก่อนหน้านี้ข้าก็ตั้งชื่ออื่นๆ ให้แล้วนะ แต่เวลาเรียกก็ไม่บินมาหา นอกจากว่าข้าจะเรียกว่าเจ้านกน้อยนั่นแหละถึงจะยอมเชื่อฟัง สงสัยว่าข้าเรียกแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วถึงได้จำแต่ชื่อนี้”
 
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง... ว่าแต่เจ้านกน้อยของท่านนี่เก่งเนอะ ถูกฝึกให้ทำงานลับก็ได้ด้วย อิงอิงของหม่อมฉันทำอะไรไม่เห็นจะเป็นสักอย่าง” ว่าแล้วก็หันไปมองเจ้าตัวกลมที่นอนซุกขดอยู่บนโต๊ะที่มีกองผ้าสุมอยู่ อาจเพราะอากาศที่หนาวจัดถึงทำให้สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยเอาแต่นอนทั้งวันไม่ยอมออกมาวิ่งเล่นเหมือนปกติ
 
ฮีอูปิดประตูกรงนกแล้วเดินเข้าไปหาร่างบางที่เริ่มต้นเขียนอักษรอีกครั้ง ศีรษะกลมเอียงมองลายมือของซอนอินอย่างพินิจ ดวงตาเรียวหรี่ลงเล็กน้อย
 
“อื้อ ลายเส้นสวยขึ้นเยอะเลย! แต่อืม... ลายมือของท่านคล้ายกับขององค์ชายจีรยงมากเลยนะ ถ้าตวัดปลายเส้นอีกนิดนี่ใช่เลย” ฮีอูออกความเห็นตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากคนรักว่าให้ฝึกองค์ชายซอนอินคัดอักษรให้สวยงาม
 
ซอนอินหยุดมองลายมือของตัวเอง แล้วก็เห็นด้วยกับที่ฮีอูบอกไว้ ก่อนหน้านี้เขามีลายมือแทบดูไม่ได้ นั่นก็เพราะลายมือของราชครูปาร์คที่เขาเฝ้าเอาเป็นตัวอย่างมาตั้งแต่เล็กนั้นเขียนยากเกินจะลอกเลียนแบบได้ เรียกว่าเป็นลายมือของนักกวีตัวจริงเลยก็ว่าได้ แต่ลายมือของชองจีรยงที่เขาเพิ่งหันมาเอาเป็นแบบอย่างนี่เขียนง่ายกว่า น้ำหนักเส้นก็หนักแน่นไม่พลิ้วไหวเหมือนอาจารย์ของเขา อีกอย่าง ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในตำหนักนี้ก็เห็นแต่ลายมือของจีรยงเต็มไปหมด ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคุ้นตาจนจำมาใช้แบบนี้
 
“จีรยงจะโกรธไหมเนี่ยที่ข้าเลียนแบบลายมืออย่างนี้”
 
“ฮ่าฮ่า ใครว่า องค์ชายจีรยงคงยิ้มหน้าชื่นตาบานมากกว่ากระมัง” นอกจากซอนอินแล้ว เห็นจะมีก็แต่ฮีอูที่กล้าล้อเล่นกับผู้มียศถาสูงศักดิ์อย่างองค์รัชทายาทชองจีรยง แม้ว่าจะมีความเคารพยำเกรงบ้างก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นคนสนิทที่สามารถเอ่ยถึงคนสำคัญของฮานึลเช่นนี้ได้
 
ซอนอินลอบยิ้มเมื่อคิดว่าจีรยงจะเอ่ยชมที่เห็นว่าตนเองมีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้น อาจเพราะสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ซอนอินไม่ได้ทำอะไรนอกจากฝึกคัดลายมือกับฮีอู อีกทั้งราชครูยองจูและจีรยงแทบไม่ได้เข้ามาที่ตำหนักรัชทายาทเลย นับๆ ดูแล้วก็มีแค่สองครั้งเท่านั้นที่ซอนอินได้เจอกับจีรยงตอนกลางคืน
 
ร่างบางก้มหน้าก้มตาคัดอักษรต่อไปอีกห้าบรรทัดจนสุดกระดาษก็วางพู่กันลง เรียวแขนเล็กเหยียดขึ้นอย่างต้องการคลายกล้ามเนื้อที่ต้องนั่งเขียนมาครึ่งค่อนวัน ซอนอินกับฮีอูพากันไปนั่งทานขนมว่างที่ห้องรับแขก เนื่องจากช่วงนี้อากาศหนาวจนแม้แต่เสื้อคลุมขนสัตว์ที่สวมใส่ยังเอาไม่อยู่ จึงต้องพึ่งเตาผิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องแห่งนี้
 
ขนมหลากสีถูกจัดวางอย่างน่าทานบนภาชนะกระเบื้องลวดลายวิจิตร ซอนอินไม่รอช้าที่จะหยิบผลไม้สีม่วงในถ้วยตรงหน้าขึ้นมาทานอย่างรวดเร็ว
 
อื้ม~ ผลอิงผิงนี่อร่อยที่สุดจริงๆ!
 
“ที่เชินอันหมดหน้าผลไม้ชนิดนี้แล้วไม่ใช่หรือ?” ฮีอูเอ่ยถามขึ้นมาขณะหยิบขนมที่ทำจากมันเผาขึ้นมาทาน
 
“อื้อ แต่ถ้าปลูกบนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ดีล่ะก็ ยังพอจะหาผลอิงผิงทานได้อยู่ ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่ว่าตอนอยู่ที่เชินอัน ข้าก็กินผลอิงผิงแทบทุกวันเลยล่ะ” แก้มของคนเอ่ยตอบนั้นป่องจนน่าใช้นิ้วจิ้มสักที ฮีอูมองท่าทางของซอนอินแล้วก็พอจะนึกภาพออกว่าองค์ชายคนนี้แม้จะอยู่แต่ตำหนักในส่วนของวังหลัง แต่ก็ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี อยากทานอะไรก็ได้ทาน จะมีก็แต่อิสระที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้มา
 
ฮีอูเท้าคางมองคนที่มีอายุน้อยกว่าไม่ถึงปี คิมซอนอินในตอนนี้แตกต่างจากคิมซอนอินที่ยังมีตำแหน่งเป็นวังชอนซาเมื่อครั้งที่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกมากนัก ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาที่ดูงดงามขึ้น บางสิ่งบางอย่างรอบกายของคนผู้นี้ยังชวนให้ผู้พบเห็นหลงใหลได้มากกว่าแต่ก่อนนัก
 
สดใสจนน่าอิจฉาเลยล่ะ
 
องค์ชายจีรยงคงจะดูแลคนคนนี้เป็นอย่างดี ยิ่งคิมซอนอินผ่านการถูกองค์ชายจีรยงกอดมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าท่าทางของคิมซอนอินไม่ว่าจะทำอะไรก็ชวนให้คนมองเคลิ้มได้ตลอดเวลา แม้แต่กับเขาเองแค่นั่งมองอยู่อย่างนี้ก็เพลินใจไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
 
ความรักทำให้คนสวยขึ้นได้จริงๆ
 
“เราเองก็อยากถูกยองจูกอดบ้างนะ”
 
“เอ๋ ว่าไงนะฮีอู?”
 
เสียงพึมพำของฮีอูทำให้ซอนอินหันมาถาม
 
“เปล่า ไม่มีอะไร” มือเล็กปัดไปมาในอากาศแล้วยิ้มกลบเกลื่อน สายตาจับผิดของซอนอินทำให้ฮีอูเริ่มไปต่อไม่ถูก แต่แล้วจู่ๆ เสียงตะโกนของนายทหารก็ดังขึ้นที่ด้านหน้าตำหนัก พร้อมกับการประกาศว่ามีคนของตำหนักหลวงขอเข้าพบ ฮีอูจึงรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วใช้โอกาสนี้หลีกเลี่ยงสายตาของซอนอินไปซะ
 
“ซอนอินรออยู่ในห้องนี้นะ เราจะออกไปดูเอง”
 
ตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักรัชทายาทมาไม่เคยมีคนนอกมาหาเลยสักครั้ง ซอนอินในตอนนี้จึงเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จีรยงกำชับนักหนาให้เขาเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักจนกว่าอีกฝ่ายจะจัดการเรื่องราวได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วซอนอินเองก็ไม่รู้ว่าจีรยงกำลังทำสิ่งใดอยู่ อีกฝ่ายบอกให้รอเขาก็รอ แต่การรอโดยไม่รู้อะไรเลยเป็นเรื่องที่ทำได้ยากนัก
 
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาอดทนมาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะเชื่อใจจีรยง
 
ไม่ว่าตอนนี้จีรยงจะกำลังทำอะไรอยู่ ซอนอินก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายทำเพื่อเขา ดังนั้น เขาจะกลัวไม่ได้เด็ดขาด
 
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ซอนอินก็นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ ปล่อยให้ฮีอูจัดการคนของตำหนักหลวงที่ขอเข้าพบ คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรมากเดี๋ยวก็พากันกลับไป แต่แล้วอะไรบางอย่างก็แล่นเข้ามาในความคิด ในเมื่อรัชทายาทไม่ได้อยู่ในตำหนัก แล้วคนของตำหนักหลวงมาที่นี่ทำไม นอกเสียจากว่า...
 
“ซอนอิน ใช้ผ้าคลุมหน้าเร็วเข้า!” ร่างเล็กรีบเบียดตัวเข้ามาในห้องพร้อมกับปิดประตูอย่างรวดเร็ว “พระแม่เจ้าต้องการพบกับหญิงสาวที่ชื่อชอนอา!”
 
“เอ๊ะ!”
 
“เร็วเข้าเถิด เราเองก็ขัดรับสั่งที่ส่งมาโดยตรงอย่างนี้ไม่ได้ ไว้ท่านออกไปพร้อมขบวนของคนจากตำหนักหลวงแล้ว เราจะรีบตามองค์ชายจีรยงมาช่วย” ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ารัชทายาทหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลนี้อยู่ที่ใดในวังหลวงก็ยังพูดให้ซอนอินได้เบาใจ เพราะตอนนี้ฮีอูเองก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว เหตุใดองค์ชายจีรยงถึงได้ปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนะ!
 
“แต่ว่าข้าไม่...” ซอนอินละล้าละหลังที่จะเดินออกไป ผ้าที่ปิดหน้านั้นถึงแม้จะพลางสายตาได้บ้างแต่ก็ยังอดกลัวไม่ได้
 
ริมฝีปากบางเม้มแน่นจนขึ้นสี คราวนี้ซอนอินรู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ
 
“ฮีอูไปกับข้าไม่ได้หรือ?”
 
“พระแม่เจ้ารับสั่งเรียกหาชอนอาแต่เพียงผู้เดียว เราไปกับท่านไม่ได้”
 
ฮีอูเดินเข้าไปบีบมือของซอนอิน “ต้องไม่เป็นไรแน่ ถึงอย่างไรองค์ชายจีรยงก็ไม่ปล่อยให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”
 
รู้อยู่แล้วว่าเป็นคำปลอบใจ แต่ซอนอินก็เลือกที่จะยึดคำพูดนั้นของฮีอูมาเป็นที่พึ่ง เขาพยักหน้ารับหนึ่งครั้งให้กับฮีอู ก่อนจะหันหลังเปิดประตูออกไปจากห้อง
 
 

 (ต่อ)

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ทุกย่างก้าวที่เดิน ซอนอินไม่ได้สนใจสิ่งใดเลยนอกจากแผ่นหลังของนางกำนัลที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าเมื่อไปถึงตำหนักหลวงแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
 
ชองโยฮวาเคยคิดจะกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซากมาแล้วครั้งหนึ่ง หากพระนางรู้ว่าเขาคือใครจะเกิดอะไรขึ้น พระนางจะฆ่าเขาอีกครั้งไหม แล้วถ้าเกิดว่าเขาก้าวเข้าไปในตำหนักของพระนางแล้ว เขาจะได้กลับออกมาอีกครั้งหรือเปล่า
 
ซอนอินไม่เสียดายชีวิต เพียงแต่เขาไม่อยากจากจีรยงไปไหน
 
จะทำอย่างไรดี...
 
ขณะที่คิดถึงตรงนี้ คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็หยุดฝีเท้าลง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าตนเองเดินทางมาถึงหน้าตำหนักหลวงของพระแม่เจ้าแล้ว
 
“เชิญที่ด้านใน” นางกำนัลที่แต่งกายแตกต่างจากข้าหลวงสาวใช้คนอื่นเพราะเป็นคนของตำหนักพระแม่เจ้าเอ่ยบอกให้ซอนอินก้าวเข้าไปในห้องโถงตรงหน้า ซอนอินสังเกตเห็นว่าสาวใช้ในตำหนักนี้ส่วนใหญ่จะมีสีหน้าท่าทางเงียบขรึม ไม่ยิ้มแย้มเหมือนอย่างยอนอาและโซยอน
 
แม้แต่บรรยากาศภายในตำหนักยังชวนให้รู้สึกเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าอากาศภายนอกที่มีหิมะตกบางเบา ยืนอยู่ไม่ถึงอึดใจเสียด้วยซ้ำกลับรู้สึกได้ถึงความกดดันรอบๆ ตัว
 
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” เสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นจากคนที่เพิ่งปรากฏตัวที่ประตูทางเชื่อมตรงหน้าของซอนอิน
 
สายตาคู่นั้น ราวกับเหยี่ยวที่จ้องจะกินเหยื่อไร้ทางสู้
 
น่ากลัว...
 
เหมือนสายตาของจีรยงในครั้งแรกที่ได้เห็น สายตาที่พร้อมจะขย้ำเหยื่ออย่างเขาให้แหลกละเอียด
 
ซอนอินมองผ่านผ้าผืนบางไปยังหญิงสูงวัยตรงหน้า เครื่องประดับและอาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีดำตัดกับสีแดง ยิ่งทำให้เจ้าของร่างดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทั้งน่ากลัวทั้งมีพลังอำนาจ ...พระแม่เจ้าที่ใครๆ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ชองโยฮวา...
 
อึก... ซอนอินรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก รู้สึกถึงเหงื่อเย็นๆ ที่หยดซึมตามฝ่ามือทั้งที่อากาศเย็นจนหายใจออกมาเป็นควันสีขาว
 
คิมซอนอิน เจ้าจะกลัวอะไรนักหนา ใจเย็นๆ สิ!
 
ภายในใจตะโกนบอกตัวเองไปอย่างนั้น แต่เจ้าตัวก็ยังรู้สึกได้ว่ามือที่กำอยู่ข้างตัวเริ่มสั่นนิดๆ
 
“นั่งลงสิ ชอนอา”
 
รับสั่งเรียบง่าย แต่คนฟังกลับหนักใจเป็นที่สุด “...ขอบพระทัยเพคะ” ซอนอินเลือกนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหนึ่งของโต๊ะกลมกลางห้อง
 
ร่างของหญิงชรานั่งลงตรงข้ามกับซอนอิน
 
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก ข้าไม่ได้คิดจะจับเจ้ากิน”
 
แต่สายตาท่านบอกว่าอยากกินข้าจะแย่อยู่แล้ว! ซอนอินยิ้มเฝื่อนในใจ
 
“เปิดผ้าออกซะ ข้าอยากเห็นใบหน้าของคนที่จะมาเป็นชายาของรัชทายาท” ซอนอินไม่เคยเจอกับชองโยฮวามาก่อน จึงมั่นใจว่าพระนางไม่รู้จักหน้าตาของตน ตอนที่ถูกจับโยนลงหน้าผาตอนนั้น เขาก็คลุมผ้าผืนบางไว้อย่างที่เคยทำมาตลอดเวลาที่ต้องออกจากวัง เพราะตอนที่อยู่เชินอัน ใบหน้าของวังชอนซาไม่อาจเปิดเผยให้บุคคลภายนอกได้พบเห็นอยู่แล้ว หรือถ้าคนร้ายที่เคยจับตัวเขาไว้จะเห็นใบหน้าของเขาตอนที่เขาสลบไปแล้วละก็ คงไม่สามารถอธิบายได้ละเอียดหรอกว่าเขามีหน้าตาเช่นไร
 
พยายามหาข้ออ้างมากมายให้ตัวเองได้สบายใจ แต่มือเรียวก็ยังสั่นน้อยๆ ยามที่ดึงผ้าบังตานั้นออกให้พ้นจากใบหน้า นึกภาวนาอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าให้พระนางล่วงรู้ตัวตนจริงๆ ของเขาเลย
 
สวรรค์ ข้าหวังว่าข้ารับใช้ในตำหนักนี้จะไม่เคยเห็นหน้าของข้า
 
แต่แล้วคำสวดภาวนานั้นก็ต้องแหลกสลายไปในสายลม เมื่อหญิงสาวในชุดอาภรณ์สีฟ้าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารของว่างสีสันสดใส
 
...องค์หญิงอิมยูนา!
 
พระแม่เจ้าไม่ได้มีทีท่าสนใจองค์หญิงที่กำลังจัดวางของว่างลงบนโต๊ะ พระนางเอาแต่จ้องใบหน้าของซอนอินแทบไม่กระพริบตา จ้องจนคนถูกมองกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว
 
“หึ” ชองโยฮวาเปล่งเสียงในคอออกมาครั้งหนึ่ง ทำเอาซอนอินสูดหายใจเข้าไปอย่างไม่ทันระวังจนต้องไอออกมาสามสี่ครั้ง “เป็นอะไรไป ไม่อยากร่วมโต๊ะกับข้างั้นหรือ”
 
“หาใช่ไม่เพคะ หม่อมฉันเพียงแต่...” ซอนอินอึกอัก ทั้งสรรพนามทั้งภาษา ท่วงท่า ทุกอย่างที่อิสตรีควรทำซอนอินไม่เคยรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้เขาทั้งประหม่าทั้งกลัวจนลนลานไปหมดแล้ว
 
“เช่นนั้นก็ดี ทานของว่างกับข้าเสียหน่อยก็แล้วกัน”
 
ทั้งที่กินขนมมาแล้วตั้งหลายชิ้น แต่ซอนอินก็ยังหยิบก้อนสีขาวตรงหน้าขึ้นมากัดเข้าปากราวกับว่าอยากทานนักหนา
 
“ยูนา เจ้าเทน้ำชาเสร็จแล้วก็ออกไปได้ ข้ามีเรื่องจะคุยกับชอนอาตามลำพัง”
 
ซอนอินรู้มาจากจีรยงแล้วว่ายูนาเป็นคนบอกข่าวเรื่องสายลับของชองโยฮวา เมื่อครู่เขาถึงเบาใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้จักตน คิดไว้ว่าอย่างน้อยก็ยังมีใครอีกคนที่อยู่ในที่นี้หากเขาโดนจับเชือดคอขึ้นมาจริงๆ จะตายทั้งทีก็อยากให้ศพถูกพาไปที่ดีๆ หน่อย ไม่ใช่จับโยนลงเหวลงน้ำไปทั้งอย่างนั้น
 
“เพคะเสด็จย่า” ยูนาโค้งกายต่ำ ก่อนเดินออกไปจากห้องไม่แม้แต่จะเหลียวมองสายตาขอความช่วยเหลือของร่างบางที่ใกล้จะถูกสูบวิญญาณออกไปจากร่างอยู่รอมร่อ
 
ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ชองโยฮวาน่ากลัวออกเพียงนี้ ใครจะกล้าขัดขืนกัน
 
เมื่อเหลือกันอยู่สองคนภายในห้อง ซอนอินก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากกว่าเมื่อครู่อีกหลายเท่าตัว ร่างบางกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองด้วยการหยิบขนมตรงหน้ากินราวกับตั้งอกตั้งใจเป็นที่สุด
 
“ได้ยินมาว่ารัชทายาทเจอกับเจ้าระหว่างออกเดินทางไปรบ”
 
คำถามสายฟ้าแลบทำเอาขนมแป้งพองแทบพุ่งออกมาจากปาก “แค่ก...เพคะ”
 
“เจอกันได้ยังไงล่ะ? รัชทายาทไม่น่าจะแวะกลางทางที่ไหนใช่ไหม?”
 
“เอ่อ...หม่อมฉัน หม่อมฉันถูกขบวนม้ารบขององค์รัชทายาทชนระหว่างเดินอยู่ในป่าเพคะ แล้ว แล้วหม่อมฉันก็สลบไป ...ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้ดูแลหม่อมฉันเพคะ”
 
นิทานก่อนนอนชัดๆ
 
“งั้นหรือ เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่าล่ะ”
 
“หม่อมฉันไปเก็บ เอ่อ เสบียงอาหารเพคะ พวกเผือก มัน หน่อไม้...” ซอนอินอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายนัก ขืนถูกรุกมากกว่านี้เขาคงตอบออกนอกทะเลเป็นแน่
 
“ผิวพรรณเจ้าไม่เหมือนคนที่ต้องเข้าป่าไปหาเสบียงอาหารเลยสักนิด น่าแปลกนะ”
 
“หม่อมฉัน เอ่อ...”
 
“เอาเถิด ข้าไม่สนใจนักหรอกว่าเจ้าเจอกับรัชทายาทได้อย่างไร ที่ข้าสนใจก็คือ เหตุใดโอรสของคิมอุนเซถึงมาอยู่ในวังหลวงฮานึลได้ ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเป็นชอนอา”
 
เหมือนถูกค้อนหินฟาดลงมากลางศีรษะ ซอนอินจนกับคำพูดของตัวเอง สมองประมวลผลสับสนไปหมด อยากจะหาคำพูดมาแก้ตัวแต่ก็คิดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
 
“เจ้าปิดข้าไม่ได้หรอกคิมซอนอิน ข้าเคยเห็นพ่อของเจ้า หน้าตาของเจ้าไม่ต่างจากคิมอุนเซเลยสักนิด แม้ดวงตาของเจ้าจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ได้แม่เจ้ามาก็ตามที แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าย่อมต้องเป็นบุตรของคิมอุนเซ คนที่ทำให้โอรสของข้าหลงผิดเมื่อครั้งก่อน”
 
“หลงผิด...?”
 
“ข้าพูดไม่ได้หรอกนะว่าเจ้าหน้าตาไม่ดี ทั้งพ่อเจ้า ทั้งเจ้า ล้วนเป็นบุรุษรูปงามด้วยกันทั้งคู่ ถึงจะดูแตกต่างกันไปคนละแบบ เจ้าดูอ่อนต่อโลกและบอบบางกว่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นบุรุษที่ทำให้คนพบเห็นหลงใหลได้ไม่ยากเย็น หึ...คราวนี้อุนเซส่งเจ้ามาทำลายชองจีรยงสินะ ตายไปแล้วแต่ก็ยังร้ายกาจนัก!”
 
แม้จะไม่เข้าใจที่คนตรงหน้าพูดแม้สักนิด แต่ซอนอินก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังให้ร้ายบิดาของตนเองอยู่ ร่างบางพลุนพลันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ความกลัวที่มีแทนที่ด้วยความโกรธ แม้แต่มารยาทซอนอินก็ไม่สนใจอีกแล้ว
 
“เสด็จพ่อของหม่อมฉันไม่เคยคิดร้ายกับจีรยง! หม่อมฉันเองก็ด้วย เหตุใดท่านถึงพูดเช่นนี้!!”
 
“ไม่คิดร้ายงั้นหรือ?” โยฮวาไม่ได้ลุกขึ้นยืน เขาปล่อยให้คนที่เด็กกว่ายืนค้ำหัวอยู่เช่นนั้นขณะเอ่ยต่อไป “รัชทายาทที่ไม่คิดจะมีบุตรถือว่าเป็นกบฏต่อบ้านเมือง ที่เจ้าเข้ามาวุ่นวายกับหลานชายข้าก็เพราะอยากทำลายระบบเชื้อสายของหลานข้าให้หมดไปไม่ใช่หรืออย่างไร ข้าเคยบอกกับจีรยงแล้วว่าจะมีนางบำเรออีกสักกี่ร้อยคนก็ย่อมได้ จะเป็นหญิงหรือชายข้าไม่ว่า แต่ชายาต้องเป็นคนที่ข้าเลือกให้เท่านั้น แต่นี่อะไร นอกจากจะเอาเจ้ามาตบตาแล้ว ยังไม่คิดจะมีสนมอีก ฮานึลไม่พินาศไปแล้วหรืออย่างไรที่มีผู้นำเช่นนี้!!!”
 
ข้าไม่ได้จะทำลายจีรยง ข้าเพียงแต่รักจีรยง...ไม่ได้หรือ แค่ข้ารักจีรยง แค่เราสองคนมีกันและกันเท่านั้นไม่ได้หรือ
 
ซอนอินรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่คลอหน่วงบดบังสายตา เขาปฏิเสธคำพูดของพระนางไม่ได้ เพราะเขาเองก็หวังให้จีรยงมีแค่ตนเพียงคนเดียว การที่จะมีเขาเท่านั้นคือการทำลายจีรยงงั้นหรือ แค่ความรักที่มีให้กันไม่ใช่สิ่งที่พระนางต้องการใช่ไหม
 
“คิมซอนอิน ข้ายอมให้เจ้าเป็นคนรักของรัชทายาทได้ แต่ข้าขอร้องให้เจ้าเกลี่ยกล่อมให้รัชทายาทยอมแต่งตั้งยูนาเป็นชายา ถ้าเจ้ายอม ข้าเองก็ยอมให้เจ้าอยู่กับรัชทายาทต่อไป”
 
เสียงหัวใจที่เต้นรุนแรงอยู่นี้ทำให้ซอนอินรู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างที่สุด มือเรียวเล็กกำแน่นเข้าหากันจนรู้สึกเจ็บถึงปลายเล็บที่ทิ่มแทงผิวเนื้อบนฝ่ามือ
 
ชองจีรยง ข้าตัดสินใจแล้ว เป็นตายอย่างไรข้าจะเชื่อในความรักที่เรามีให้กัน
 
“หม่อมฉันยอมไม่ได้ ถึงอย่างไรจีรยงก็ไม่คิดฟังความคิดเห็นของหม่อมฉันอยู่แล้ว ไยหม่อมฉันต้องบากหน้าไปบอกให้จีรยงแต่งตั้งผู้หญิงอื่นเป็นชายานอกจากหม่อมฉัน ถึงหม่อมฉันจะไร้ประโยชน์ ถึงหม่อมฉันจะเป็นคนไม่ดี แต่หม่อมฉันก็รู้ตัวดีว่าหม่อมฉันเป็นคนที่รักชองจีรยงมากกว่าใครทั้งหมด ...นอกจากหม่อมฉันแล้ว บนแผ่นดินนี้ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับชองจีรยงอีกแล้ว”
 
จีรยงรักเขา ซอนอินเชื่ออย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่ซอนอินอยากจะเชื่อทุกคำพูดของจีรยงมากกว่าคำพูดของใครทั้งหมด เป็นครั้งแรกที่เขาซื่อสัตย์ต่อเสียงภายในใจของตัวเอง
 
ใช่แล้ว บนแผ่นดินนี้ ข้าเองก็เห็นแต่เพียงเจ้าเท่านั้น ชองจีรยง
 
ในเมื่อเราเห็นแค่กันและกัน ยังจะมีใครคนไหนอีกที่จะเหมาะสมไปกว่าพวกเราสองคน
 
ชะตาชีวิตของเขาถูกขีดเส้นให้บรรจบกับกรงเล็บของมังกรหนุ่มแห่งฮานึลมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อจะต้องตกเป็นเหยื่อของใครสักคน ซอนอินก็ยินดีที่จะเป็นเหยื่อของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว
 
สีหน้าและแววตาจริงจังของวิหคแสนงามทำให้โยฮวานึกทึ่งอยู่ภายในใจ พระนางขยับตัวลุกขึ้นยืนเชื่องช้า ท่วงท่าที่เปลี่ยนไปทำให้ซอนอินเผลอก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าว
 
“กล้าพูดดีนี่ เจ้าบอกว่าเจ้าเหมาะสมกับชองจีรยงมากที่สุดใช่ไหม”
 
ซอนอินไม่ได้เอ่ยตอบรับ ใช้เพียงสายตาจ้องตอบกลับไปแทนความหมาย
 
“หยิบช้อนเงินตรงนั้นขึ้นมา” คำสั่งที่แปลกไปจากบทสนทนาทำให้ร่างบางต้องใช้เวลาคิดนานกว่าปกติ
 
มือเรียวหยิบช้อนเงินข้างจานกระเบื้องขึ้นมาตามคำสั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจความต้องการของอีกฝ่าย
 
“น้ำซุปตรงหน้านั้น เจ้าตักขึ้นมาครึ่งช้อน”
 
ซอนอินทำตาม และทันทีที่ช้อนเงินแตะเข้ากับน้ำซุปนั้น ปลายช้อนก็กลายเป็นสีม่วงอ่อนราวกับกระแสน้ำที่ค่อยๆ พัดขึ้นฝั่ง
 
“นี่มัน...” ซอนอินรู้สึกถึงเสียงของตัวเองที่หายลงคอไปอย่างน่าประหลาด
 
“น้ำซุปนี้มียาพิษ หากเจ้าคิดว่าตนเองเหมาะสมกับชองจีรยงจริงละก็ เจ้ากล้าที่จะทานของสิ่งนี้แทนจีรยงหรือไม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ทาน เห็นทีว่าข้าจะต้องกำจัดหลานชายแท้ๆ ของข้าเอง ข้าไม่ยอมให้ฮานึลมีผู้นำที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้แน่”
 
ความหมายของพระนาง ก็คือให้เขาหายไปจากชีวิตของจีรยงใช่ไหม
 
พระนางไม่ยอมรับเขา หากเขาไม่ทาน จีรยงก็ต้องตาย เพราะถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าพระแม่เจ้าพูดอะไรจีรยงก็ไม่มีทางยอมรับฟังเด็ดขาด
 
แต่หากว่าเขาตายไปล่ะก็ สักวันจีรยงก็จะทำใจลืมเลือนเขาไปได้ และก้าวไปข้างหน้าตามเส้นทางที่ชองโยฮวาต้องการ...
 
“ว่าอย่างไรล่ะคิมซอนอิน เจ้ายินดีจะสละชีวิตเพื่อคนที่เจ้ารักหรือไม่”
 
 
แน่นอนอยู่แล้ว ว่าเขายินดีทำทุกอย่างเพื่อชองจีรยง
 
อย่างน้อย ชีวิตนี้เขาก็ได้รักชองจีรยงอย่างสุดหัวใจแล้ว
 
 
ชองจีรยง ชีวิตของข้านับตั้งแต่ที่ถูกเจ้าช่วงชิงตัวไปในวันนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนอย่างเดิมได้อีก
 
หัวใจของข้าหวั่นไหวไปตั้งแต่ที่เจ้าทำร้ายร่างกายของข้า
 
หัวใจของข้าถูกคว้าไปทั้งดวงตั้งแต่ที่เจ้าอ่อนโยนกับข้า
 
หัวใจของข้าไม่อาจเต้นอยู่ได้หากไม่มีเจ้าตั้งแต่ที่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นทุกอย่างในชีวิตของข้า
 
 
ข้าอ่อนแออีกแล้วล่ะชองจีรยง
 
ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า ข้าทนรับไม่ได้หากเจ้าจะต้องจากข้าไปตลอดกาล
 
ข้าขอโทษที่ไม่เข้มแข็งอย่างที่เจ้าต้องการ
 
 
...ข้ารักเจ้าชองจีรยง
 
 
รักเจ้ามากเหลือเกิน...
 
.
.
.
 
เคร้ง!
 
 
ช้อนเงินที่ว่างเปล่าตกลงสู่พื้น ก่อนที่ร่างบอบบางจะทรุดฮวบตามลงไป
 
 

 

-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
 
จบตอน

 

ออฟไลน์ KimYoonBe

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
 
ปัจฉิมบท

 
ซอนอินคิดว่าตนเองคงตาฝาดไป หรือไม่สมองก็คงถูกทำลายจนเห็นภาพเพ้อฝันว่าชองจีรยงมายืนอยู่ตรงหน้า จะใช่ตัวจริงหรือเปล่า ภายในใจเกิดความสงสัย และคาดหวังอย่างที่สุดว่าจะเป็นอย่างใจคิด แต่ทุกอย่างกลับมืดสนิทลงก่อนจะได้คำตอบ
 
ร่างอ่อนแรงของซอนอินทรุดฮวบลงทันทีหลังจากที่ปลายลิ้นได้แตะสัมผัสกับน้ำซุปที่ถูกผสมยาพิษ แต่ก่อนที่ศีรษะเล็กจะกระแทกลงกับพื้น วงแขนใหญ่คู่หนึ่งก็ช้อนร่างนั้นขึ้นมาอุ้มไว้ได้ทันเสียก่อน
 
“เท่านี้คงพอพระทัยเสด็จย่าแล้ว นอกจากซอนอินคนนี้ หม่อมฉันไม่คิดจะครองคู่กับใครอื่นอีก” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยอย่างหนักแน่นนั้นกระชับร่างของคนรักในวงแขนให้แนบอก ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบผู้เป็นย่า
 
“เสด็จย่าทำความผิดสิ่งใดไว้ย่อมรู้พระองค์เอง หม่อมฉันจะไม่ถือสาหาความผิดในเรื่องนั้น จริงอยู่ว่าเสด็จย่ามีสิทธิ์ในการตัดสินใจทุกเรื่องในวังหลัง แต่คิมซอนอินเป็นคนของหม่อมฉัน เสด็จย่าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะต้องเขาแม้เพียงเล็กน้อย และนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ในฐานะของกษัตริย์แห่งฮานึล หม่อมฉันขอสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดก็ตามต่อต้านคิมซอนอินเป็นอันขาด”
 
เบื้องหน้าของชองโยฮวาในเวลานี้ คือกษัตริย์หนุ่มผู้เพียบพร้อมทั้งปัญญาและความสามารถรอบด้าน อีกทั้งอาภรณ์และเครื่องประดับยศที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ก็ยิ่งส่งเสริมความองอาจและความงามสง่าสมตำแหน่งที่ถือครอง รวมถึงความน่าเกรงขามที่ดูเหมือนว่าชองจีรยงจะมีมากกว่าชองฮวาจีผู้เป็นบิดามากมายนัก
 
โยฮวาเดินมาถึงทางตันแล้ว กำแพงที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแข็งแรงเกินกว่าที่นางจะทำลายให้พังทลายลงได้ หญิงชราทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ สายตาของนางไม่หลงเหลือเค้าของความมุ่งร้ายอีกต่อไป ทั้งความจริงใจของคิมซอนอินและความมุ่งมั่นของชองจีรยง ล้วนทำให้นางยอมแพ้ได้ในที่สุด
 
มาถึงตรงนี้แล้ว โยฮวาก็มีแต่จะต้องทำใจ ในเมื่อบุตรชายของนางถึงกับยอมสละราชบัลลังก์ก่อนถึงเวลาอันควรเพื่อให้ชองจีรยงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยชอบธรรม ทั้งที่ความจริงแล้วหากกษัตริย์องค์ปัจจุบันไม่สวรรคตก็ไม่สามารถยกใครขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งนี้ได้ แต่ฮวาจีกลับยอมตายด้วยนามก็เพื่อบุตรชาย ยอมให้ป่าวประกาศว่าตนเองสิ้นแล้วทั้งที่แท้จริงยังมีชีวิตอยู่ พ่อลูกคู่นี้คงช่วยกันวางแผนหาทางออกมาได้สักพักแล้ว เพราะการจะสละราชบัลลังก์ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องตระเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดแล้วว่าฮวาจีเองก็สนับสนุนบุตรชายให้ทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่รีบร้อนแต่งตั้งจีรยงให้เป็นกษัตริย์ทั้งที่ยังไม่มีการทำพิธีตามธรรมเนียมที่ถูกต้อง
 
เมื่อวานนี้เองที่นางรู้ว่าจีรยงได้เป็นกษัตริย์ตอนที่เจ้าตัวมาบอกกับนางถึงตำหนักด้วยตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามแต่ ราชินีของจีรยงจะเป็นชายไม่ได้เด็ดขาด การมีลูกหลานสืบสกุลไม่ใช่เรื่องที่จะละเลยกันได้ง่ายๆ ดังนั้นการเดิมพันระหว่างนางกับจีรยงจึงเกิดขึ้น หากว่าคิมซอนอินเหมาะสมกับหลานชายของนางถึงเพียงนั้นจริงล่ะก็ การจะตายแทนคนรักที่มีความสำคัญต่อแคว้นก็ย่อมต้องทำได้อย่างไม่มีลังเล ...จะมีใครบ้างที่ยอมทานยาพิษทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีทางที่คิมซอนอินจะทำได้ โยฮวาเชื่อเช่นนั้นจึงใช้เป็นข้อต่อรองกับหลานชาย
 
และการเดิมพันครั้งสุดท้ายของนางก็ได้ถูกคิมซอนอินทำลายจนหมดสิ้น
 
ไม่เพียงไม่ลังเล แต่คิมซอนอินยังเต็มใจที่จะตายเพื่อชองจีรยงจากใจจริง
 
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสิ้นคิด หรือเสียสติไปแล้วกันแน่ หญิงชราจนกับความคิดของเด็กหนุ่มที่ชื่อซอนอินคนนี้จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าถ้ากินไปแล้วจะต้องตายก็ยังกลืนยาพิษลงคอไปจนได้ ถึงจะรักมากเพียงไรก็ตาม แต่การทานยาพิษทั้งที่รู้อยู่แก่ใจก็เกินไปจริงๆ
 
ชองจีรยงเองก็ร้ายเหลือเกิน เมื่อวานนี้โยฮวาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อรับรู้ว่าหลานชายได้ตลบหลังซ้อนแผนของนาง ศพที่เวลานี้คงอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งตรงไหนสักที่ของแม่น้ำเป็นศพของชาวบ้านไร้นาม จากที่นางคิดจะกำจัดคิมซอนอินให้พ้นทาง กลับกลายเป็นแรงเสริมให้หลานชายได้พา ‘ชอนอา’ กลับมาแต่งตั้งเป็นชายาไปเสียนี่ ทุกอย่างนี้ชองจีรยงได้วางแผนเอาไว้หมดแล้ว ชาวบ้านจะรับรู้เพียงว่าราชินีของพวกเขาคือหญิงงามนามว่าชอนอา ในขณะที่วังชอนซาองค์ปัจจุบันได้หลับใหลไปตลอดกาลแล้ว คิมซอนอินก็จะเป็นคนของชองจีรยงแต่เพียงผู้เดียว
 
เป็นการวางกับดักที่ร้ายกาจนัก
 
“ได้ เจ้าชนะ ข้าจะล้มเลิกเรื่องคู่ครองของเจ้าตามข้อตกลง และจะเป็นธุระจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวังให้ทั้งหมด” โยฮวาผ่อนลมหายใจออกมาบางเบา แม้จะเหนื่อยใจและนึกอยากขัดขวางเพียงไร แต่นางก็รู้แล้วว่าไม่ว่าจะทำสิ่งใดไปก็คงไร้ประโยชน์ที่จะพรากสองคนนี้ให้ห่างออกจากกัน และชองจีรยงเองก็เป็นหลานแท้ๆ นางเองก็ปล่อยให้ผ่านไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องของชาวบ้านนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่เดิมวังชอนซาคนนี้ไม่ใคร่เผยโฉมหน้าให้ผู้คนพบเห็นอยู่แล้ว ที่น่าห่วงเห็นจะเป็นแต่ในวังหลวงนี่เอง แม้รับสั่งของกษัตริย์จะเป็นวาจาสิทธิ์ แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้ นอกจากคอยจับตาแล้วยังต้องคอยระวังไม่ให้ผู้ใดเผยแพร่ความเป็นจริงออกไป
 
จีรยงเผยรอยยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นทีท่าของผู้เป็นย่าที่อ่อนลง แต่เดิมเสด็จย่าเป็นคนใจดีโดยพื้นฐานอยู่แล้ว แต่จะเข้มงวดกับทุกสิ่งที่พระนางไม่เห็นว่าสมเหตุสมผลพอที่จะยอมรับ นี่ก็ถือว่าเขาพยายามมาจนสำเร็จแล้ว “หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จย่าที่ทรงเข้าใจ นอกจากซอนอินแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฮานึล หม่อมฉันสัญญาว่าจะทำหน้าที่ของกษัตริย์ให้ดีที่สุดพะย่ะค่ะ”
 
“เอาเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นฮานึลเป็นสำคัญมากเพียงไร นับแต่นี้ก็จงทุ่มกายใจเพื่อฮานึลแทนส่วนของเสด็จพ่อของเจ้าด้วยก็แล้วกัน” โยฮวาเอ่ยเรียกให้ยูนาเข้ามาในห้อง เด็กสาวรู้หน้าที่ดีจึงเดินเข้ามาพร้อมกับขวดยาใบเล็ก โยฮวารับของสิ่งนั้นมาแล้ววางมันลงบนโต๊ะ “ยาถอนพิษนี้ให้ทานได้เลย หลังจากนั้นประมาณสามชั่วยามคิมซอนอินก็จะฟื้น”
 
“จีรยงขอบพระทัยเสด็จย่าอีกครั้ง”
 
ระหว่างทางที่เดินกลับตำหนักรัชทายาท จีรยงก็ได้พบกับจีมุนซึ่งยืนอยู่กลางสะพานที่ข้ามสระดอกซากึมฮาไปยังตำหนักของเขา
 
สายตาของจีมุนตวัดมองร่างของซอนอินที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ชายทันที
 
“ซอนอิน...”
 
“เข้าไปในตำหนักก่อนค่อยว่ากัน” จีรยงตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็วแล้วเดินผ่านร่างของน้องชายตรงเข้าประตูตำหนักไป
 
ภายในตำหนักมีฮีอูยืนคอยอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับราชครูปาร์คที่คงเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ฟังเรียบร้อยแล้ว ฮีอูรีบเข้าไปช่วยประคองซอนอินลงกับฟูกนอน พอดีกับที่หมอหลวงจากึนรีบร้อนเข้ามาในตำหนักตามคำสั่งของจีรยงที่ให้คนไปตามมาก่อนหน้า
 
ยาแก้พิษถูกกรอกลงไปในลำคอเรียวเล็กของซอนอิน หลังจากที่จากึนตรวจชีพจรอยู่พักใหญ่ก็เอ่ยบอกให้กษัตริย์หนุ่มเบาใจลงได้ เมื่อกำชับนางกำนัลเรื่องยาบำรุงเสร็จแล้วจากึนก็ออกจากตำหนักไป
 
ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วจนชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจับต้นชนปลายไม่ถูก
 
“คิดจะมาต่อว่าข้าล่ะสิใช่ไหม” จีรยงที่นั่งอยู่บนเตียงข้างกายซอนอินเอ่ยขึ้น เขารู้ดีว่าจุดประสงค์ของจีมุนในการมายืนรอเขาอยู่หน้าตำหนักคงไม่ต่างจากฮีอูที่ตั้งใจมาต่อว่าเขาเรื่องที่พาหญิงงามเข้าวังมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
 
“เสด็จพี่เจอซอนอินตั้งแต่เมื่อไหร่ ...แล้วยศนั่น...” สายตาของจีมุนเลื่อนขึ้นมองเครื่องประดับที่บ่งบอกถึงผู้ที่เป็นกษัตริย์ซึ่งสวมอยู่ที่ศีรษะของพี่ชาย
 
“เจ้าสงสัยสิ่งใดให้ถามเอากับราชครูปาร์ค เวลานี้ข้าขออยู่กับซอนอินตามลำพัง พวกเจ้าออกไปให้หมด” ชายหนุ่มไม่เสียเวลาเหลียวมองผู้ใดอีก เขาเลื่อนสายตาลงมองดวงหน้าขาวของคนที่ยังหลับใหลอย่างเป็นห่วง มือข้างหนึ่งลูบไล้ผิวแก้มนุ่มอย่างอ่อนโยน
 
สายตาของชองจีรยงในเวลานี้ บ่งบอกถึงความรักที่มีต่อคิมซอนอินอย่างที่สุด
 
ฮีอู ยองจู และจีมุน ไม่มีใครสักคนเอ่ยสิ่งใดออกมาราวกับกลัวว่าเสียงของตนจะไปขัดช่วงเวลาที่แสนสำคัญของร่างสูงผู้นั้น พวกเขาออกมาจากห้องบรรทมพร้อมกับปิดประตูให้อย่างเบาเสียง
 
ฮีอูเดินนำชายหนุ่มร่างสูงทั้งสองคนไปยังห้องโถงกลางที่ใช้รับรองแขก แล้วปล่อยให้ยองจูอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้องค์ชายรองได้เข้าใจ
 
“แม้แต่คนของชินซองก็ไม่รู้งั้นหรือ?” หลังจากที่ฟังอยู่นาน จีมุนก็เกิดข้อสงสัยขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยที่วังชอนซาจะตายจากไปอย่างนี้ นั่นเท่ากับว่าตำแหน่งวังชอนซาที่แสนสำคัญก็ต้องว่างลง
 
“มีเพียงผู้เฒ่าลีซางที่รู้ว่าคิมซอนอินยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงคิมซองอึนด้วย และเป็นเพราะนางเองก็รู้ดีว่าบุตรชายของนางต้องทุกข์ใจกับการรับตำแหน่งนี้มานานแค่ไหน นางจึงยินดีที่จะให้ชองจีรยงจัดการทุกอย่าง ที่สุดแล้วนางเองก็หวังให้ซอนอินได้มีความสุขกับคนที่รัก เรื่องตำแหน่งของวังชอนซาที่ว่างลงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เฒ่าลีซางว่าจะทำเช่นไรต่อไป การหาตัวแทนมาทำพิธีสวดไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะหาผู้ที่เหมาะสมมารับตำแหน่งวังชอนซาซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำเผ่าชินซองนั้นต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับสวรรค์จะชี้ให้ใครมาดำรงตำแหน่งนี้ เรื่องวิธีการเลือกข้าเองก็บอกไม่ได้ ตอนนี้ที่รู้ก็เพียงวังชอนซาองค์ปัจจุบันสิ้นแล้วเท่านั้น”
 
ได้ฟังเช่นนี้จีมุนก็รู้สึกเหมือนความอึดอัดใจที่กดทับสะสมมานานสลายไปในสายลม ถึงเขาจะเจ็บปวดเสียใจในความรักที่มีต่อซอนอินมากเพียงไร แต่เขาก็หวังอย่างสุดซึ้งที่จะให้ซอนอินมีความสุข
 
แค่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสรักคนผู้นั้น จีมุนก็ขอบคุณสวรรค์นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
 
ความขมขื่นในแววตาของจีมุนนั้นแม้จะไม่เด่นชัด แต่ฮีอูที่เฝ้ามองอยู่ก็รับรู้ได้ไม่ยากนัก การรักใครสักคนไม่ยากเท่าการตัดใจจากคนที่รัก ความรู้สึกที่มีไม่อาจลบเลือน และแน่นอนว่าสำหรับองค์ชายรองแล้ว ไม่มีวันที่ความรู้สึกนี้จะลดน้อยลง สิ่งที่ทำได้ก็เพียงการยอมรับความเป็นจริงเท่านั้น ฮีอูรู้สึกเลื่อมใสในจิตใจขององค์ชายจีมุนอย่างที่สุด
 
“เอาอย่างนี้ไหม ไหนๆ องค์ชายรองก็มาแล้ว ให้หม่อมฉันทำของว่างให้ทานระหว่างรอซอนอินฟื้นดีกว่า” ฮีอูว่าพร้อมกับเตรียมลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาอยากให้บรรยากาศดูสดใสมากกว่านี้
 
“ไม่ต้องหรอกฮีอู ข้าได้รู้ว่าซอนอินปลอดภัยดีก็เพียงพอแล้ว ข้ากลับตำหนักตอนนี้เลยดีกว่า”
 
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปส่ง” ยองจูอาสาเดินไปส่งจีมุนที่ประตูตำหนัก และไม่ลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณกับฝ่ายนั้นที่เป็นห่วงซอนอินไม่แพ้ใคร ยองจูอดคิดไม่ได้ว่าที่ฮานึลมีคนที่รักซอนอินมากมายถึงเพียงนี้ราวกับเป็นชะตาของซอนอินที่ต้องมายังแคว้นแห่งนี้
 
ราวกับว่าวิหคที่ถือกำเนิดผิดที่ผิดทางได้กลับคืนสู่ท้องนภาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
 
ซ้ำแผ่นอัมพรที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ยังมีจ้าวแห่งมังกรคอยคุ้มครองอยู่เคียงข้าง
 
ยองจูละสายตาจากแผ่นหลังของชองจีมุนแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่ในเวลานี้มีละอองหิมะตกโปรยปรายบางเบา
 
 
สวรรค์ ท่านกำหนดชะตาของคิมซอนอินให้เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วสินะ เส้นทางของคิมซอนอินและชองจีรยงบรรจบกันที่ปลายเส้นด้ายมาโดยตลอด รอเพียงให้พวกเขาได้พบเจอกันในสักวันเท่านั้น
 
 
...และวันนั้นก็ได้มาถึงแล้วในที่สุด
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
ชองจีรยงอีกแล้ว...
 
ภาพพร่าเลือนที่กระทบสายตาเป็นสิ่งแรกคือชายหนุ่มคนรัก ซอนอินคิดว่าตนเองคงจะคิดถึงจีรยงมากเกินไป ขนาดตายเป็นผีไปแล้วก็ยังจะเพ้อมองเห็นผู้ชายคนนี้ไม่ต่างจากตอนที่ยังมีชีวิต
 
อ่า... นี่เขาตายแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นที่นี่ที่ไหนกันล่ะ เขาตกนรกหรือขึ้นสวรรค์กันแน่?
 
เอ๊ะ? นี่ข้านอนอยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือ ซอนอินขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อเห็นเพดานไม้ของเตียงที่อยู่เบื้องหลังใบหน้าคมเข้มของคนรัก อืม... สงสัยข้าจะได้ขึ้นสวรรค์ ถึงได้นอนสบายอยู่บนเตียงอย่างนี้ แถมยังได้เห็นภาพหลอนของชองจีรยงเป็นการปลอบใจอีกด้วย
 
เดี๋ยวสิ นี่มันจะชัดเจนเกินไปหรือเปล่า ทำไมถึงสัมผัสภาพที่สร้างขึ้นเองได้ล่ะ?!
 
“คิดจะลูบหน้าของข้าไปจนถึงเมื่อไหร่ หืม?”
 
เหวอ~ พูดได้ด้วย!
 
“สวรรค์นี่ดีจริงๆ เลย” เสียงเล็กที่พึมพำออกมาทำเอาคนตัวสูงหยุดชะงักใบหน้าที่ก้มลงหมายจะจูบเรียกสติของคนตัวเล็ก เรียวคิ้วเข้มข้างหนึ่งกระตุกขึ้นเล็กน้อย และขยับใบหน้าถอยห่างครึ่งศอก
 
ดวงหน้าสวยที่เห็นอยู่นี้ช่างใสซื่อเสียจนจีรยงอยากจะกลืนกินเจ้าของความงดงามนี้ลงไปทั้งตัว คิดว่าเขาเป็นภาพหลอนหรืออย่างไรกัน เพ้อถึงสวรรค์อย่างนี้เห็นทีคงต้องเรียกสติด้วยวิธีอื่นเสียแล้ว
 
“สวรรค์งั้นหรือ? ใช่แล้ว ที่นี่คือสวรรค์ และข้าก็เป็นพระเจ้าที่จะกุมชะตาชีวิตของเจ้า คิมซอนอิน ชีวิตของเจ้านับจากนี้จะต้องปรนเปรอพระเจ้าที่มีนามว่าชองจีรยงด้วยร่างกายของเจ้าไปชั่วชีวิต เอาล่ะ แยกขาออกเร็วเข้า ข้าจะได้จัดการลงทัณฑ์ดวงวิญญาณใหม่อย่างเจ้าเสียที”
 
ไม่เพียงคำพูด มือใหญ่ยังจัดการสอดใต้เข่าอ่อนแรงนั้นให้ยกตั้งขึ้นทั้งสองข้าง สีหน้าเลื่อนลอยของซอนอินพลันตกตื่นขึ้นมาทันที แววตาใสเป็นประกายฉายแววสะท้อนสิ่งที่เห็นตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้นกว่าตอนแรก
 
“ชองจีรยงตัวจริง!!!”
 
“ก็ใช่น่ะสิ ลองเจ้ายังเพ้ออยู่อีก ข้าได้ขืนใจเจ้าจริงๆ แน่”
 
คำพูดไร้ยางอายไม่เคยเปลี่ยนของชายหนุ่มไม่ทำให้คนหน้าบางนึกสนใจแต่อย่างใด วงแขนเรียวเล็กคว้ากอดคนที่นั่งอยู่ด้านข้างไว้ด้วยแรงอันน้อยนิด แค่เพียงได้แตะสัมผัสการมีตัวตนของคนตรงหน้าให้รู้ว่าตนเองไม่ได้ฝันไปก็เพียงพอที่จะทำให้ซอนอินหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเป็นสุขที่สุด
 
“ฮึก...ข้าคิดว่าตัวเองตายไปแล้วเสียอีก”
 
“ยาพิษที่เจ้ากินไม่ทำให้ถึงกับตายได้หรอก เสด็จย่าเพียงต้องการลองใจเจ้าเท่านั้น”
 
“จีรยง...ฮึก ข้าคิดจริงๆ ข้าคิดว่าให้ตายยังดีกว่าที่ข้าจะอยู่โดยไม่มีเจ้า ...เจ้าโกรธข้าไหมที่ข้าคิดอย่างนี้ ข้าเห็นแก่ตัวมากเลยใช่หรือเปล่า”
 
“ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อความเห็นแก่ตัวของเจ้าอยู่ภายใต้คำว่ารักที่เจ้ามอบให้ข้า เพียงแต่หลังจากนี้ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ข้าอยากให้เจ้ารักชีวิตตัวเองมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเรื่องของข้า ก็อย่าได้ใช้ลมหายใจของเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน เข้าใจไหมซอนอิน หากข้าไม่มีเจ้า ข้าก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้เช่นกัน”
 
ภายในอกของซอนอินรู้สึกปวดแปลบอย่างน่าประหลาด ไม่ใช่อาการปวดอย่างเจ็บร้าว แต่เป็นอาการปวดหนึบที่ถูกความรู้สึกมากมายทับถมลงมาจนล้นหัวใจ
 
ความสุขที่มากเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด หรือแม้แต่ปฏิกิริยาของร่างกายที่แสดงออกมา ความรู้สึกของซอนอินในเวลานี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ตัวเองจะทำความเข้าใจได้ด้วยซ้ำ
 
จีรยงโอบไหล่บอบบางที่มีอาการสั่นน้อยๆ อย่างต้องการปลอบขวัญ ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังของคนรักอย่างทะนุถนอม เขากดปลายจมูกลงกับกลุ่มผมนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า โอบกอดกระชับวงแขนแนบแน่นอยู่อย่างนั้นอยู่หลายนาที ก่อนจะเชยคางมนให้ดวงตาชื้นน้ำใสได้จ้องสบกัน
 
ริมฝีปากที่เม้มแน่นเข้าหากันเพื่อระงับเสียงสะอื้น ถูกข้อนิ้วหนาแทรกเข้าเพื่อไม่ให้เจ้าตัวกัดจนปากของตัวเองได้เลือดไปเสียก่อน
 
ปลายนิ้วอุ่นแตะเบาๆ บนกลีบปากสีสด ก่อนจะใช้หลังมือไล้ไปตามผิวแก้มชื้นน้ำด้วยความรู้สึกรักใคร่อย่างไม่ปิดบัง ซอนอินเอนตัวลงนอนเมื่อหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวอีกต่อไป จีรยงเอนตัวลงตามเข้าจุมพิตคนร่างบางอย่างเชื่องช้า เหมือนกับว่าร่างกายของคนทั้งคู่ตอบสนองต่อกันได้อย่างเป็นธรรมชาติจนน่าประหลาด ทันทีที่ปลายลิ้นลักลอบช่วงชิงลมหายใจซึ่งกัน มือทั้งสองข้างของพวกเขาก็สอดประสานแนบสนิทราวกับรู้ใจของอีกฝ่าย
 
ซอนอินกระชับมือตอบมือใหญ่ของจีรยง ความอบอุ่นถูกถ่ายเทไปในทุกสัมผัสของปลายนิ้วที่กอบกุมมือของกันและกัน
 
เสียงจูบทิ้งท้ายดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ชายหนุ่มผละจูบออก
 
จีรยงคลายมือข้างหนึ่งออกจากการกอบกุมเพื่อปัดเส้นผมบางให้พ้นดวงหน้าสวย ขณะที่อีกมือยังคงกักขังมือเล็กเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
 
ซอนอินเอียงศีรษะไปตามสัมผัสอบอุ่นอ่อนโยนจากคนรัก นอกจากเสียงหายใจที่ได้ยินแล้ว มีเพียงสายตาเท่านั้นที่สื่อถึงกันแทนคำพูดและความรู้สึก
 
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่หากไม่พูดออกไป อีกฝ่ายคงไม่มีทางเข้าใจได้เองเป็นแน่
 
“คิมซอนอิน เจ้าจะเป็นชายาของชองจีรยงได้หรือไม่ เจ้าจะรับตำแหน่งเป็นราชินีของฮานึล เป็นคนที่จะยืนอยู่เคียงข้างข้าไปจนชั่วชีวิตหรือไม่”
 
เป็นคำถามที่สร้างความสับสนให้คนร่างบางอย่างที่สุด ทั้งที่เพิ่งหายสับสนจากภาพของความฝันและความเป็นจริงมาได้ไม่ถึงอึดใจ อยู่ดีๆ ก็ถูกกระชากกลับเข้าไปในความฝันอีกครั้งเสียนี่ แน่นอนว่าคำถามของจีรยงคือสิ่งที่ซอนอินคาดหวังอยู่ภายในใจลึกๆ มาโดยตลอด จนคิดว่าความหวังนี้คงเป็นไปได้แค่เพียงความฝันเท่านั้น คำถามนี้ช่างมีอิทธิพลมากมายนัก มากเสียจนซอนอินกลัวว่าหากความจริงที่เผชิญอยู่นี้ต้องสูญสลายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง เขาอาจจะหยุดหายใจไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้
 
สวรรค์ เมื่อจีรยงเอ่ยออกมาแล้ว ก็อย่าได้มีเรื่องโหดร้ายมาเล่นตลกกับข้าอีกเลย
 
อย่าทำให้ความจริงที่เห็นอยู่นี้กลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ อีกเลย...
 
“เจ้าจะเป็นชายาของข้าได้ไหมซอนอิน”
 
คำขอแต่งงานของกษัตริย์หนุ่มไม่ได้ร้อนแรงอะไรเลยสักนิดเดียว แต่กลับเป็นการขอแต่งงานที่นุ่มนวลและอบอุ่นที่สุดเท่าที่ใครในแผ่นดินนี้ก็ไม่สามารถทำได้
 
ไม่ต้องมีพิธี ไม่ต้องมากความ แค่คำถามซื่อตรงที่มาพร้อมกับความจริงใจเท่านั้น
 
มือเล็กกระชับตอบมือใหญ่ที่กอบกุมอยู่ครั้งหนึ่งราวกับเป็นสัญญาณตอบตกลง ก่อนที่ดวงหน้าสวยจะเสหลบไปด้านข้าง ริ้วรอยสีแดงพาดผ่านจากแก้มซ้ายมายังแก้มขวาด้วยความเขินอายของเจ้าตัว
 
“อย่าถามอะไรที่เจ้าเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้วจะได้ไหม”
 
“หากเจ้าไม่เอ่ยออกมาด้วยตนเอง ก็เท่ากับข้าบังคับเจ้าน่ะสิ”
 
“ตลอดมาเจ้าก็ชอบบังคับข้าอยู่แล้วนี่?”
 
“ได้ เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่รบเร้า เอาเป็นว่าเจ้าเป็นชายาของข้าอย่างชอบธรรมแล้วนับแต่วินาทีนี้ไป”
 
“เอ๋?” ซอนอินหันกลับมาหาคนพูดอย่างไม่เข้าใจ ในตอนนั้นเองที่เห็นว่าคนตัวสูงลงไปนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น แล้วหลังมือของเขาก็ถูกริมฝีปากอุ่นแนบจุมพิตตามติดเป็นสัญญาณของการประกาศการครองคู่ที่กษัตริย์จะมีให้กับราชินีผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว
 
การจุมพิตที่หลังมือพร้อมกับคุกเข่าลงต่ำ เปรียบเสมือนการเทิดทูนคนสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างสัตย์ซื่อ
 
“จีรยง...” ซอนอินทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นว่าคนที่เป็นถึงกษัตริย์ลงไปนั่งคุกเข่าให้กับตนเองอย่างนี้ แม้จะยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันมากมายนัก แต่ซอนอินก็รู้ว่าสิ่งที่จีรยงสวมศีรษะอยู่ในเวลานี้ คือเครื่องประดับที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคือกษัตริย์ผู้เกรียงไกร
 
ร่างบางรีบยันกายลุกขึ้นนั่ง พยายามดึงมือใหญ่ให้คนตัวสูงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงดีๆ แต่อีกฝ่ายกลับยังขืนแรงนั่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม นัยน์ตารัตติกาลจ้องมองตอบกลับมาแสดงออกถึงความจริงใจจนยากจะต้านทาน
 
นี่ตกลงว่าจะฟังคำตอบรับให้ได้เลยใช่ไหม ...ซอนอินคิดอย่างเหนื่อยใจ จะมีสักครั้งไหมที่เขาไม่ถูกคนตรงหน้าไล่ต้อนจนหมดหนทางที่จะหนีอย่างนี้
 
ซอนอินปัดความอายออกไปให้พ้นทาง
 
คนตัวเล็กออกแรงบีบกระชับมือของจีรยง
 
“ข้าจะเป็นชายาของเจ้า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า คิมซอนอินจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชองจีรยงนับแต่นี้และตลอดไป...”
 
 
 
“จนกว่าฟากฟ้าจะไร้สายลม คิมซอนอินจะไม่มีวันหยุดรักชองจีรยง”
 
 
“จนกว่ามหาสมุทรจะไร้คลื่น ชองจีรยงก็จะไม่มีวันหยุดรักคิมซอนอินเช่นกัน”
 
 
 
ดวงหน้าสวยเคลื่อนลงเข้าหารูปหน้าหล่อเหลาที่ขยับเข้ามาใกล้ คนทั้งสองแลกจุมพิตแห่งคำสัญญาที่มีให้กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับกลัวว่าหากผละจูบออกตอนนี้ อีกคนจะบินหนีหายไปต่อหน้าต่อตา
 
 
ต้องจูบกันอีกสักกี่ครั้งนะ ถึงจะเพียงพอให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่เต็มอกนี้ได้
 
ต้องจูบกันไปจนหมดลมหายใจเลยไหม ถึงจะบอกให้อีกคนรู้ว่าตนเองนั้นรักคนตรงหน้ามากเพียงไร
 
 
รัก... ความรู้สึกนี้ ใช้เพียงจูบไม่กี่ครั้งคงไม่อาจเพียงพอที่จะอธิบายได้
 
หากว่าในทุกๆ วันต่อจากนี้ จูบหนึ่งครั้งจะหมายถึงความรักที่เพิ่มพูนในแต่ละวัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะแลกจุมพิตซึ่งกันและกันเช่นนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์...
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 
 
 
กล่าวกันว่า ในปีหนึ่งของฤดูหนาวที่เหน็บหนาวยิ่งกว่าปีใดที่เคยผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์แห่งแคว้นฮานึลได้เกิดขึ้น การสวรรคตของชองฮวาจีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในปลายเดือนสิบ นำพาให้โอรสองค์โตนามว่าชองจีรยงได้ขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมาแทบจะในทันที พิธีการถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ความตื่นตกใจของชาวบ้านต่อเหตุการณ์เศร้าสลดที่ต้องสูญเสียผู้นำไปถูกปลอบขวัญด้วยกษัตริย์คนใหม่ที่พร้อมจะปกครองแคว้นอย่างห้าวหาญ พร้อมกันนั้น ชาวบ้านยังได้ร่วมพิธีเฉลิมฉลองการอภิเษกสมรสราชินีคนปัจจุบันแห่งฮานึลอีกด้วย
 
ทว่าในความลึกลับซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น ใครหลายคนทั้งในวังและนอกวังต่างรู้อยู่แก่ใจว่าหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างคู่บารมีขององค์กษัตริย์ชองจีรยงผู้นี้ แท้ที่จริงแล้วก็คือองค์วังชอนซาที่ใครต่อใครรับรู้กันถ้วนหน้าว่าเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งที่รู้อย่างนั้นแล้ว แต่ทุกคนกลับเก็บสิ่งที่รู้นี้ลงไปให้ลึกจนสุดใจอย่างเป็นที่รู้กันว่าความลับนี้ไม่ควรใช้เป็นข้อสนทนาพร่ำเพรื่อ แม้ชองจีรยงจะหวังให้ทุกคนรู้จักเพียง ‘ชอนอา’ แต่ช่างน่าเสียดายที่ความลับไม่เคยซ่อนเร้นได้อย่างมิดชิด หากแต่ไพร่ฟ้าที่รับรู้ความเป็นจริงต่างก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น และปล่อยให้วังชอนซาผู้ที่พวกเขาเคารพนับถือได้ครองคู่กับกษัตริย์ของตนชั่วฟ้าดินสลายเช่นนี้ตลอดไป
 
หากชองจีรยงและคิมซอนอินได้รับรู้ถึงการกระทำของไพร่ฟ้าเหล่านี้ พวกเขาคงรู้ตัวว่าตนเองเป็นที่รักของคนทุกผู้บนแผ่นดินนี้มากเพียงไร
 
มีนิทานเรื่องหนึ่งถูกคัดลอกขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นิทานพื้นบ้านของฮานึลที่ถูกแต่งขึ้นหลังชองจีรยงครองราชย์ได้สามปีเศษ นิทานเล่มบางๆ ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของหงส์แสนงามที่พลัดถิ่นจนกระทั่งได้พบกับมังกรฟ้าผู้กำชะตาชีวิตของหงส์ผู้งดงามไว้ จุดจบของเรื่องราวคือภาพประกอบหน้าสุดท้ายของกระดาษที่บอกเล่าให้เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าต้องเงยหน้ามองท้องฟ้า ว่าบนผืนนภาที่กว้างใหญ่นี้ จะมีหงส์และมังกรบินเคียงคู่กันอยู่บนนั้นเหมือนในนิทานหรือไม่
 
 
 
 
“แม่! แม่!”
 
เด็กตัวน้อยวิ่งตึงตังออกมาจากห้องนอน หลังจากที่พี่เลี้ยงเล่านิทานให้ฟัง มือเล็กๆ โบกหนังสือเก่าคร่ำครึในมือไปมาส่งให้ผู้เป็นแม่ดู
 
“แม่! โตขึ้นหนูอยากเป็นหงส์แสนงาม หนูอยากเจอมังกรฟ้า!”
 
“เพ้อเจ้อ! รีบๆ ไปนอนได้แล้วไป”
 
หญิงวัยกลางคนรุนหลังเด็กน้อยวัยสี่ขวบให้เดินกลับไปหาพี่เลี้ยง นางหยิบสมุดนิทานเล่มบางเก่าแก่ออกจากมือของลูก ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะอย่างไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก
 
แสงจันทร์ที่ส่องแสงสีเหลืองอ่อนนั้นตกกระทบลงบนหน้าปกของนิทานเล่มเก่าเป็นสีนวล หมึกสีดำที่ตวัดเขียนอยู่เหนือภาพหงส์และมังกร คืออักษรคำว่า ‘ลำนักรักแห่งฮานึล’
 
 
 
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
 

 
- จบ -
 
 
คิมยุนบี : ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามจนจบเรื่องนะคะ เรื่องนี้พระเอกดาร์คมาก นายเอกก็อ่อนมาก ฮ่าๆๆ โดยส่วนตัวแล้วชอบเห็นนายเอกถูกกระทำค่ะ (โรคจิต ฮ่า) จริงๆ เรื่องนี้แต่งจบไว้หลายปีแล้วค่ะ นำกลับมารีไรท์ใหม่ จึงสามารถโพสได้เกือบทุกวัน แฮะๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอ่อนประสบการณ์ค่ะ ยิ่งเป็นพีเรียตย้อนยุคด้วยแล้ว หนักใจค่ะ ยากจริงๆ หวังว่านักอ่านจะสนุกไปกับนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ! (สามารถติดตามตอนพิเศษได้ภายในเล่มค่ะ)

 
เปิดจองรวมเล่มแล้วนะคะ ^^
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=55750.0





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :pig4:

อ่านตอนแรก ๆ คิดในใจว่าคงดราม่ามาก น้ำตาท่วมจอแน่ แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ถึงขนาดนั้น
พระเอกก็ไม่ได้ดาร์กจนเราเกลียด ฮา

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
จบแล้ว ขอบคุณคนแต่งที่นำมาลงให้ได้อ่าน ถึงแม้เราจะเกลียดจีรยงมากก็ตามที ซอนอินอีก แต่ตามจนจบเลย หุหุ

ออฟไลน์ owlseason

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จบดีมากกกกค่ะ
บอกตรงๆ ตอนแรกเรานึกภาพตอนจบไม่ออกเลย
แต่จบสวยมาก
ประทับใจ

ขอบคุณมากนะคะที่แต่งนิยายดีๆ มาให้กัน
หลังจากนี้ต้องคิดถึงแน่เลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด