Just you and I : Part Sun & Jom [4]
[Sun]
ร่างที่นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงตาดูเหม่อลอยจับความรู้สึกนึกคิดไม่ได้ นั่นคือภาพแรกที่ผมเห็น และได้รู้จักชื่อ จอม คือชื่อที่มันบอก นิสัยมันก็เพี้ยนๆ บ้าบอ มันมักจะตัวติดกับเพื่อนมันอีกคน ไอ้โช คนที่ทำหน้านิ่งตลอดเวลาจนผมคิดว่ามันจะเมื่อยหน้าบ้างหรือเปล่า นั่นตอนรู้จักตอนมอปลาย แต่ตอนนี้ผมกับพวกมันทั้งสองอยู่ปีสี่ใกล้จะจบเข้าทุกที
แม้ผมจะพยายามเข้าไปตีสนิทกับไอ้จอมแต่มันก็มักจะมีกำแพงบางๆ กั้นอยู่ตลอด มันบอกผมชอบบังคับ มันก็ใช่ แต่คนแบบไอ้จอมหากมันไม่มีใจจะทำต่อให้ลากมันไปแขวนคอมันก็ดื้ออยู่ดี เข้าใจที่ผมบอกใช่มั้ย ถึงปากมันจะบ่นแต่มันก็ยอมทำตามตลอด
ครอบครัวของผมเป็นหมอเกือบหมด มีแค่ผมกับพี่ชายที่ไม่ยอมเดินตามทางนั้น ดูเหมือนทุกคนก็พอเข้าใจ ผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อาจเพราะมีเงินทำให้มีสาวเข้าหามากกว่าปกติ จะบอกว่าหน้าตาดีผมก็มองว่าตัวเองหน้าตาธรรมดา อาจจะพูดดีด้วยส่วนหนึ่ง หากรู้จักผมดี อย่างที่ไอ้โชมันรู้ ผมไม่ได้เป็นคนดีเลิศเลอ ก็แค่ผู้ชายชั่วๆ คนหนึ่ง อย่างที่ไอ้จอมนิยามตัวผม ไอ้โชก็คล้ายๆ ผมนี่แหละ แต่ไอ้จอมก็อย่างที่บอก มันมีกำแพงบางๆ ขวางอยู่ทำให้เข้าถึงตัวตนมันลำบาก
แต่ก็ไม่ยากหากได้ลองดู
“มึงเคยอิ่มแล้ว ตอนนี้มึงต้องคิดว่าข้าวสองจานต้องอิ่ม” ผมสั่งให้คนหัวดื้อที่จะกินข้าวจานที่สามต่อ ทั้งๆ ที่สองจานที่ผ่านมาก็เต็มจนพูนจาน ผมรู้ถึงอดีตมันแต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ อย่างที่ป้าผมบอก มันฝังอยู่ในจิตใจต้องใช้เวลาในการเยียวยาเป็นเวลานาน ไม่ก็ตลอดชีวิต
“ทำไมชอบบังคับกูวะ เสือกเรื่องกูตลอด” ถูกมันด่าแต่ผมไม่สน ปากมันร้ายแบบนั้นเพราะปิดบังความอ่อนแอภายในใจ
“ถ้ากูไม่บังคับ มึงจะยอมทำตามมั้ย” ว่าให้มัน เลยถูกดวงตาโตค้อนวงใหญ่ สำหรับผมมันดูเป็นผู้ชายที่พยายามทำตัวเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่มันเป็นคนเรื่องมาก เฉพาะกับผมนะ แต่กับไอ้โชมันดูตามใจไอ้หน้านิ่งมากจนผมไม่พอใจอยู่บ่อยครั้ง เพื่อนเหมือนกันแต่แคร์ไอ้นั่นมากกว่า ยังดีที่ตอนนี้ไอ้โชมันคบกับเด็กต่างมหาลัยทำให้ข้างกายไอ้คนเรื่องมากไม่มีใคร
“มึงว่า ถ้ากูหันไปคบกับผู้ชายนิสัยแบบไอ้เกรียนกลอยจะดีหรือเปล่าวะ” คำถามที่ทำเอาผมเกือบสำลักน้ำ เชี่ย ดูมันถามผม “กูเห็นไอ้โชคบไอ้เกรียนนั่นแล้วก็อิจฉา หาแบบไอ้เด็กนั่นสักคนคงดี” ผมจ้องหน้ามันทันที
“จะหาแบบเด็กไอ้โชคงหาไม่ได้แล้วว่ะ” ผมรีบพูดกันท่าทันที ไอ้จอมทำหน้างอแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงว่ะ เกรียนด้วย เพี้ยนด้วย บ้าด้วย แต่แม่งทำกับข้าวโคตรอร่อย หาไม่ได้แล้วจริงๆ” อยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก ดูเหมือนมันชอบตรงทำกับข้าวอร่อยนี่มากที่สุด
แต่คิดว่าผมจะยอมเหรอ ผมแค่ไม่พูดออกไป ไม่ใช่ว่าปากหนักหรอกนะ แต่ไอ้จอมมันไม่เคยรู้จักคำว่ารักเลย รู้จักแค่คำว่าชอบกับผูกพันด้านร่างกายเฉยๆ จะโทษจากการเลี้ยงดูก็คงได้ ผมจะทำให้มันค่อยๆ รู้จักคำว่ารักและขาดกันไม่ได้ บ่อยครั้งที่มันบอกเลิกหรือถูกบอกเลิก มันทำแค่มองแล้วก็เดินออกมาไม่มีท่าทีเสียใจหรือฟูมฟายอะไรเลย แม้จะถูกสูบเงินหลายแสนมันก็ไม่รู้สึกอะไร ล่าสุดหมดไปเกือบล้าน ไม่อยากจะเชื่อมันเลย
ทุกครั้งที่มันคบกับใครก็ตามแต่ มันไม่เคยโทรตามหรือสงสัยอะไรสักอย่าง มีแค่ผมที่คอยตามสืบดูให้มันอยู่ทุกครั้ง ผู้หญิงที่มันคบทุกคนคิดแค่อยากได้เงินและนอนกับมันเท่านั้น เพราะมันเป็นคนดังของคณะ ไม่แปลกที่จะมีคนเข้าหาเยอะ
“ว่าแต่ มึงเก็บของหรือยัง” ผมถามไอ้คนที่เปลี่ยนจากกินข้าวมากินพายสับปรดแทน มันกัดขนมพร้อมกับพยักหน้าลง “มึงนี่นะ” ผมบ่น มันกินขนมจนเศษเล็กๆ ติดมุมปาก พอชี้มันก็แลบลิ้นออกมาเลียจนผมต้องขมวดคิ้ว ส่วนไอ้คนตรงหน้ายักคิ้วลิ่วตาจนอยากจะเขกหัว
ผมนั่งมองไอ้คนกินขนมอย่างอร่อย ทำให้ย้อนไปถึงตอนถูกไอ้โชเรียกไปคุยหลังตึกเมื่อก่อนนี้ ถ้ามันไม่มีแฟน ผมคงคิดว่ามันชอบไอ้จอมแน่ ใบหน้าไอ้โชมันดูเรียบเฉย และมันคงรู้ ว่าผมรู้สึกยังไงกับเพื่อนสนิทมัน ดวงตานิ่งๆ ที่ไม่แสดงออกอะไรแต่ภายในคล้ายกับอ่านความคิดคนได้ ไอ้นี่มันน่ากลัว
‘มีอะไรกับกูวะ’ ผมถามหลังจากเดินอ้อมมาหลังตึกเรียน ไอ้โชมันจ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะแสยะยิ้มออกมาจนผมต้องยิ้มตาม...มันรู้
‘มึงก็รู้จักไอ้จอมดี ถ้ามึงไม่เริ่มก่อน มันก็ไม่รู้ตัวหรอก’ ไอ้โชมันว่า ดวงตาดุมันมองไปที่คนไม่รู้อะไรกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองกลุ่มปากหมาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันคงรำคาญอยู่แน่
‘มึงรู้จริงสินะ’
‘กูรู้ตั้งแต่แรก’ ไอ้โชมันว่า ‘ตาของมันมักจะมองแค่ไอ้จอมเสมอ กูพูดถูกหรือเปล่า’ มันช่างสังเกตจริงๆ ทั้งที่ผมเก็บอาการไว้ตั้งแต่ต้น
‘หึๆ รู้ดีจริงนะมึงน่ะ’ ผมชมไอ้โชมันแค่ยักไหล่
‘ครอบครัวไอ้จอมมึงก็รู้ ว่ามันถูกเลี้ยงมายังไง ความรักของมันแทบไม่มีความหมายอะไรเลย มันเลยปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอดทำให้กลายเป็นคนไม่รู้จักคำว่ารัก ถ้ามึงคิดจะจริงจัง มึงก็ต้องบอกมันตรงๆ กูบอกได้แค่นี้’ มันพูดซะยาวเหยียดขัดกับนิสัยพูดน้อยของมัน
‘จะบอกว่าต้องทำแบบมึงงั้นสิ ตามตื้อเด็กนั่นตลอด’ แอบแขวะมันไป มันตามติดไอ้เด็กต่างมหาลัยนั่นอย่างกับเงาตามตัว
‘กูแค่ทำตามที่อยากทำและต้องทำ’ ไอ้โชมันยิ้ม ผมเลยตบบ่ามันไป
‘เอาไว้กูจะลองทำตามมึง’ ผมว่า ก่อนเราจะหัวเราะออกมา ‘กูต้องเรียกมึงว่าไอดอลมั้ยวะ’
มาถึงตอนนี้ผมกำลังทำตามที่บอกกับไอ้โชไว้ แต่อีกคนกลับไม่ค่อยยอมร่วมมือสักนิด ขนาดผมเกือบล่วงเกินมันไปก็คิดว่ามันจะอายไม่กล้ามองหน้าผมอีก ทีไหนได้ มันกลับลอยหน้าลอยตาไม่รู้สึกอะไร กลายเป็นผมซะอีกที่อยากหลบหน้ามัน หรือผมลีลาไม่พอที่มันจะติดใจ เอาไว้เจอของจริงก่อนเถอะ
“ทำตาหื่นนะมึง” เสียงดังแว่วมาทำเอาผมกระพริบตาเรียกสติที่หลุดลอย มันจ้องหน้าขมวดคิ้ว ตาหื่นเป็นยังไงวะ
“มึงรู้ได้ไงว่ากูทำตาหื่น” ผมถาม ขนาดตัวผมยังไม่รู้ว่ามันทำยังไง จ้องหน้าอยากรู้แต่หูมันกลับแดงจนเห็นชัด หรือมันเขินวะ
“เชี่ย ก็มันเหมือนตอนนั้น” มันตอบเสียงอู้อี้ ก้มหน้าก้มตากัดถุงขนมที่ด้านในหมดไปแล้ว
“ตอนไหน” ต้อนมันจนมุมก็สนุกพิลึก
“มึงจะถามเชี่ยอะไรหนักหนา ก็ตอนที่มึงช่วยกูวันนั้น” ประโยคแรกมันตะโกนจนผมตกใจ แต่ประโยคหลังมันกลับมาอู้อี้ตามเดิม แต่ผมได้ยินชัด มันหูแดงลามมาที่แก้ม น่ารักเหี้ยๆ มันคงนึกถึงตอนที่กำลังนัวเนียอยู่บนโซฟาแน่
“กูไม่เห็นรู้เลย” ตอบกวนมันเลยโดนถลึงตาใส่ อยู่แบบนี้แล้วรู้สึกดี ผมต้องเรียกไอ้โชว่าไอดอลจริงๆ สินะ
อีกไม่กี่วันพวกผมจะไปเชียงใหม่ ตอนแรกก็ไม่ได้วางแผนอะไร แต่ไอ้จอมมันเอาเรื่องที่เพื่อนสนิทมันจะพาเมียไปเที่ยวบอกกลุ่มปากหมา พวกมันก็เริ่มสุมหัวนัดแนะกันเรียบร้อย ไอ้โชรู้ก็โวยวายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แถมยังตกลงจะไปนอนบ้านไอ้ม่าน เด็กเกษตรมหาลัยผมนี่แหละครับ
ทริปเชียงใหม่ก็ไม่มีอะไรมาก ความสนุกมันหมดไปเยอะเมื่อไอ้โชทะเลาะกับเด็กของมัน อารมณ์เสียพากันเซ็งๆ ขนาดไอ้จอมผู้ที่ไม่ค่อยสนใจอะไรยังทำหน้าเหม็นเบื่ออยากกลับตลอดเวลา กว่าจะตกลงกันได้ พวกผมก็แทบหมดสนุกแล้วนั่นพอคืนดีกันปุ๊บมันก็พากันออกไปอยู่โรงแรมที่จองไว้แต่แรกทิ้งพวกผมอยู่ตามกันเอง คนที่ไม่ได้เตรียมแผนการมาก็เลยได้แต่มองหน้ากันไม่รู้จะไปไหน
“ไปถนนคนเดินกันพวกมึง” ไอ้แทมมันว่า หลังจากเปิดดูที่เที่ยวในเชียงใหม่ “แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวม่อนแจ่ม”
“ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลยนะพี่ ถนนคนเดินยังไม่มีหรอก” ไอ้อัธมันว่า พวกผมเลยได้แต่ปลงๆ จะให้ไปเที่ยวน้ำตกแบบไอ้ตินว่ามันก็ไม่น่าจะใช่ ก็นี่มันหน้าหนาว มันจะไปเที่ยวน้ำตก ความคิดโคตรประเสริฐ
“งั้นก็นอนก่อน ตื่นมาค่อยไปถนนคนเดิน” ไอ้จอมมันออกความคิดเห็นพลางล้มตัวนอนลง แต่ถูกไอ้แทมดึงไว้จนมันส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “เชี่ยไรวะ”
“ไปดูหมาแพนดี้กันมึง อย่าเพิ่งนอน” ไอ้เชี่ยแทมมันว่า ตามันก็ยังจ้องมือถือ
“หมาแพนดี้เชี่ยไรของมึง” ไอ้เบโวยวาย
“ก็หมีแพนด้าไงพี่” เป็นลูกเจ้าของบ้านที่เฉลย แม่งมันมาเป็นคำผวน พวกผมก็ตามไม่ทัน
“ถูกต้องนะครับ ไปกันๆ กูอยากดูมันกินๆ นอนๆ” ดูความคิดของไอ้แทม ไอ้ตินก็พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่มองหน้ากัน
“มึงจะให้ผู้ชายตัวควายๆ ไปดูหมีแพนด้า มึงสติดีอยู่มั้ยวะ” ไอ้จอมเหวี่ยง
“กูตัวเล็กนะเว้ย ตัวควายๆ ต้องไอ้ติน” เลยโดนไอ้ตินฟาดเต็มหัว ปากแบบนั้นมันสมควรโดน
“อย่างกูเรียกสมส่วนเว้ย” ไอ้ตินเถียง แต่ผมเห็นด้วยกับไอ้แทมมากกว่า
“สมส่วนเป็นญาติสมเสร็จใช่มั้ยวะ” สองป๊าบบนหัวไอ้เบ ไอ้นี่วอนเจ็บตัว เด็กของมันก็หัวเราะแต่ก็ลูบหัวปลอบ
“แหม พอดีกันพวกกูเป็นคนนอกเลยนะมึง” ไอ้แทมเริ่มแซว ปกติไอ้เบมันจะนิ่งๆ เวลาอยู่กับไอ้เด็กนี่ ก็อย่างที่รู้ๆ กัน ไอ้เบมันฝังใจยึดติดกับน้องไอ้จอม ตอนนี้คงปลดล็อคสำเร็จได้แล้ว
“แน่นอน พวกมึงก็แค่ตัวประกอบ” ดูมันยักไหล่ไม่แคร์แต่เด็กมันหน้าแดงไปแล้ว
“ใช่ซี้ พวกกูมันไม่สำคัญ เป็นแค่ตัวประกอบ...” ไอ้แทมมันกำลังอ้าปากจะร้องเพลงแต่โดนไอ้จอมเอาผ้าขนหนูอุดปากซะก่อน ไม่งั้นคงต้องออกไปเอาบันไดแม่ไอ้ม่านให้มันปีนหาคีย์ที่เหมาะกับร่องเสียงห่วยๆ
“ไร้สาระว่ะ” ไอ้ตินมันส่ายหน้า มันลุกขึ้นถอดกางเกงนอนแล้วเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ สรุปจะไปดูหมีแพนด้าสินะ
เมื่อมติส่วนใหญ่ รวมไอ้จอมตกลงว่าจะไปสวนสัตว์ ผมก็เลยต้องเออออตามไป แม้ไม่อยากไปก็ตาม สัตว์ในนั้นก็เหมือนที่เขาดินนั่นแหละ ไม่เหมือนแค่มีหมีแพนด้า นกเพนกวิน แล้วอะไรอีกวะ ที่รู้เพราะไอ้จอมมันยื่นมือถือมันมาให้ผมดู ขณะผมกำลังเลี้ยวรถออกถนน
ใช้เวลาชั่วโมงเศษๆ กว่าจะมาถึงประตูทางเข้าสวนสัตว์เชียงใหม่ จ่ายเงินค่าเข้ากับค่ารถก็ขับเข้าไปจอดด้านใน ไอ้พวกเด็กโข่งตื่นเต้นกันใหญ่ คือหน้าหนาวแบบนี้ อากาศใกล้ดอยมันหนาวจริงๆ ขนาดแค่ตีนเขายังเย็นขนาดนี้ เหมือนอยู่ในห้องแอร์จริงๆ
“นั่นมึงนั่น ห้องดูหมีแพนด้า” ไอ้แทมแม่งตื่นเต้นมากกับการเห็นห้องที่มีสัตว์ที่อยากเห็น ห้องอยู่ด้านหน้า เดินเข้ามาไม่ไกลก็ถึง โดนค่าเข้าชมไปอีก พอเข้าไปก็เจอ
หมีหลับในหลุมทั้งสองตัว
“ไอ้เชี่ยเอ้ย กูเสียเงิน แหกขี้ตามาดูหมีหลับ” ไอ้จอมเริ่มบ่น อยากสมน้ำหน้านะ แต่ไม่เอาดีกว่า
“เอาน่า อย่าน้อยมึงก็เห็นตัวเป็นๆ ของมัน” ผมกอดคอมันแล้วปลอบ มันเหล่ตามองผมนิดๆ แล้วก็เงียบ แก้มมันแดงจนสังเกตเห็น “แก้มมึงแดงว่ะ”
“เรื่องของกู” มันไม่ยอมมองหน้าผม
ผมกอดคอก่อนเลื่อนมาเป็นโอบบ่าแทน สาวๆ ที่เดินผ่านพากันมอง บ้างก็ยิ้มแล้วชี้มา คู่ผมเดินรั้งท้าย ส่วนไอ้เด็กโข่งพวกนั้นมันกระโดดโลดเต้นอยู่หน้ากรงลิงที่ไต่ไปมาบนกิ่งไม้
น่าจะบอกให้พนักงานเอาพวกมันเข้าไปรวมจริงๆ
“หิว” เสียงเบาๆ ออกจากปากคนที่ผมโอบบ่าอยู่ หน้ามันงอๆ คงจะหิวน้ำ แม้อากาศจะหนาวแต่พอเดินนานๆ ก็เริ่มร้อนเหมือนกัน
ผมตะโกนบอกไอ้พวกลิงว่าจะแยกไปซื้อน้ำ พวกมันแค่หันมามองไม่สนใจ เพราะมัวแต่เอาไม้แหย่เข้าไปในกรง อยากเอาป้ายที่ติดด้านหน้าฟาดหน้าพวกมันจริงๆ เขาห้ามแหย่สัตว์ในกรงเว้ย แล้วดู พอลิงยื่นมือมาจับไม้ พวกมันก็โวยวายลั่นแล้วยกกล้องถ่ายรูปถ่ายรัวๆ จนฝรั่งหัวเราะ
พอแยกออกมาหาร้านขายของ ผมให้ไอ้จอมนั่งรอ ส่วนผมเดินเข้าไปซื้อของด้านใน แต่พอมองออกมา เห็นมีผู้หญิงสองคนเข้ามานั่งคุยด้วย ไม่พอใจต้องบอกแบบนั้น อารมณ์อยากจะเข้าไปขัดแต่กำลังรอแม่ค้าคิดเงิน
เดินออกไปแบบหน้าบึ้งๆ แต่เด็กสองคนนั้นกลับยิ้มแย้มเมื่อเห็นผมเดินออกไป เปิดขวดน้ำแล้วยื่นให้ไอ้คนบ่นว่าหิว กลับมีเสียงกรี๊ดเล็กจนต้องมอง
“พวกพี่เป็นแฟนกันจริงด้วย” เสียงตื่นเต้นของคนที่มานั่งด้วยทำเอางง “พวกพี่เหมาะสมกันมากเลยค่ะ พวกหนูเห็นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ” คำพูดรัวๆ จนผมเกาหัว ไอ้จอมก็มัวแต่ดูดน้ำเปล่าจนเกือบหมดขวด ก่อนจะยื่นให้ผมทั้งที่เหลือก้นขวด พอรับมาก็ได้ยินเสียงกล้องถ่ายรูปดังรัวๆ “ขอบคุณค่ะ รักกันนานๆ นะคะ พวกหนูเป็นกำลังใจให้” แล้วก็รีบวิ่งไป นี่พวกผมต้องทำตัวยังไง ต้องเขินมั้ย
“เมื่อกี้ใครวะ มาถามกูเรื่องแฟนกันๆ” แอบขำไอ้คนเบลอ มันหิวสมองก็เลยไม่คิดอะไรมาก
“เขาบอกกูกับมึงเป็นแฟนกัน” ผมบอก ไอ้จอมก็พยักหน้าเบาๆ
“อ่อ กูกับมึงเป็นแฟนกันตอนไหนวะ” มันถามแบบมึนๆ หรือต้องกินขนมก่อนถึงจะรู้เรื่อง
“ก็ในห้องวันนั้น...” ผมพูด ไอ้จอมมันคงกำลังคิดภาพตาม “บนโซฟา” หน้าแดงมาอีกแล้ว ฮ่าๆ แบบนี้ไม่ต้องเรียกสติด้วยขนมแล้วก็คงได้
“พูดเรื่องนี้ตลอดไอ้ห่า ก็แค่มึงช่วยกูรีดน้ำออกก็แค่นั้น” แต่ผมว่าไม่แค่นั้น เพราะตอนนี้หน้าแดงลามไปถึงหูแล้ว ผมเลยก้มกระซิบข้างหูแดงๆ จนมันลุกหนีไป
“ถ้าครั้งต่อไปไม่แค่รีดน้ำแน่”
ไอ้จอมมันมีมุมน่ารักนะครับ แค่ไม่ค่อยมีคนเห็น
ดูสัตว์แทบทุกตัวอย่างสมใจ พวกมันก็บ่นเหนื่อย เมื่อย เลยพากันไปน้ำพุร้อน แต่คือมันคนละเส้นทางกันเลย เหมือนจากใต้ขึ้นเหนือแบบนั้น แล้วพวกมันก็ให้ผมขับยิงยาว กว่าจะถึงก็ปวดหลังเมื่อยก้นกันไป
น้ำพุร้อนหน้าหนาวคนมาเที่ยวกันเยอะ ยิ่งปิดปีใหม่แบบนี้คนยิ่งล้นหลามชนิดที่ว่า แทบไม่มีที่วางขาลงแช่ โคตรเสียเวลา จะให้เหมาแช่ในห้องก็ไม่ได้เตรียมชุดมา เลยได้แต่ซื้อไข่ไปต้มที่บ่อแทน
มาน้ำพุร้อนได้กินแค่ไข่ต้ม ตลกว่ะ
ตอนนี้ไอ้ตินเปลี่ยนมาขับ ผมเลยดึงไอ้จอมมานั่งด้านหลังด้วย ปล่อยให้ไอ้แทมไปนั่งข้างคนขับแทน คนข้างผมมันซื้อไข่ถาดหนึ่งแล้วเอาไปต้ม ตอนนี้เริ่มแจกจ่ายให้พวกบนรถ นี่ถ้าตดกันคงไม่รู้ว่าเป็นของใคร
“มึงกินมะ” ไอ้จอมมันยื่นไข่ที่ปอกเปลือกแล้วมาที่ปากผม ผมก็ยิ้มกัดไปคำหนึ่ง แล้วมันก็เอาที่เหลือไปกิน
“ไม่ได้ให้กูเหรอ” ถามมัน
“ให้ชิมเฉยๆ” กินได้ยั่วยวนทางสายตามาก เริ่มไม่อยากกินไข่ต้มแล้ว
กินไข่ต้มแต่ก็ยังไม่อิ่ม เลยพากันไปหาข้าวกินแถวนิมมานย่านท่องเที่ยวและรถติด ไอ้ตินบ่นจนหูชาว่ารถไม่ยอมขยับ เลยเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางแล้วไปหาอะไรง่ายๆ กินแถวข้างทางแทน สุดท้ายมาลงเอยที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แต่พวกเราทุกคนสั่งข้าวซอยไก่ รสชาติต่างจากร้านใหญ่ๆ ที่เคยไปกิน มันอร่อยกว่า เข้มข้นกว่าต้องบอกแบบนี้
“ซื้อกลับบ้านกันมั้ยวะ อร่อยว่ะ” ไอ้ตินมันกินไปสองถ้วยยังคิดจะซื้อกลับอีก
“เอาเลยมึง ซื้อไปหลายๆ ถุงเผื่อตอนกลางคืนด้วย” คู่หูมันเห็นด้วย ส่วนไอ้จอมมันหันมามองผมก่อนแล้วก็เงียบไม่ออกความคิดเห็น
“พวกพี่อย่าลืมว่าเราต้องไปถนนคนเดินนะ” ไอ้ม่านขัดขึ้นมา แต่ไอ้ตินสั่งไปแล้ว สรุปเลยใส่ถุงมาได้สิบกว่าถุง แล้วมาบอกว่าสั่งแค่นิดเดียว
กินอิ่มก็เลยพากันไปเดินย่อยบนห้างที่ดูเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ ตึกก่อด้วยอิฐสีส้มดูสะดุดตา แต่บรรยากาศมันไม่ค่อยจะคึกคักเท่าไหร่ ร้านค้าส่วนมากก็เป็นเสื้อผ้ากับโทรศัพท์มือถือ ไอ้อัธชวนผมดวลชู้ตบาสโซนเกมส์ จากนั้นก็แยกย้ายเล่นเกมส์จนแทบลืมเวลา ดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะทุ่ม พวกที่ร้องคาราโอเกะยังไม่ยอมออกมา จนผมต้องเปิดไปปิดเพลงแล้วลากพวกมันให้ออกมา
“ไอ้เชี่ยซัน กูกำลังฝึกลูกคอไปประกวดอยู่เลยไอ้เชี่ย” ไอ้แทมมันโวยวายจนคนมองกันเป็นแถว
“รายการเขาเจ๊งพอดีมึงไปประกวด”
“มึงไม่เคยให้กำลังใจกู กูเสียไต”
“เสียใจก็พอไอ้สัด”
ถนนคนเดินที่แทบไม่ได้เดินต้องบอกแบบนี้ คนทะลักจนไหลไปกับมวลชน ไอ้จอมเริ่มหน้าบึ้งเพราะมันไม่ชอบ ผมเลยชวนมันออกไป ซึ่งมันก็พยักหน้าตกลง เราเลยเดินแยกไปนั่งหน้าอนุสาวรีย์แทน
“คนเยอะเหี้ย” เริ่มบ่น
“นั่นดิ่ แล้วพวกไอ้แทมหายไปไหนไม่รู้”
ผมสองคนนั่งอยู่ม้านั่ง คนที่เดินไปมาต่างก็มองบ้างก็ชี้ๆ เพื่อนให้มอง นี่ผมตัวเหม็นหรือเปล่าวะ แต่ถ้าเหม็น ไอ้คนข้างๆ มันต้องโวยวายแล้วสิ
“คนมอง” ไอ้จอมมันพูดก่อน
“นั่นดิ่ มองอะไรวะ”
“มองกูหล่อ”
“มั่นมากมึงอ่ะ”
“แน่นอน” ไอ้จอมมันยิ้มๆ จนผมผลักหัวมันเบาๆ
“มึงรักกูบ้างหรือยัง” พอได้ยินมันก็หันมามองทำตาโต
“รักอะไร”
“ก็กูกำลังจีบมึงอยู่” บอกไปตามตรงแบบไอ้โชมันว่า ไอ้จอมมันมองผมนิ่งๆ
“จีบกูตอนไหน” อยากจะตบหัวมันแรงๆ สักที ไอ้เชี่ยเอ้ย
“ก็ทุกตอนนี่แหละ” บอกแบบเหวี่ยงๆ จนไอ้คนฟังมันหัวเราะ
“ถ้ามึงยอมให้กูก่อน”
“ยอมเชี่ยไร”
“ยอมเป็นเมียกูก่อน” ผมเบิกตามองไอ้คนบอกให้ผมยอมเป็นเมียมันก่อน
“ถ้ากดกูได้ กูก็ยอมเลยไอ้สัด” แล้วเราก็หัวเราะกันดังลั่น สาวๆ ที่เดินผ่านกรี๊ดกันเป็นแถว
เช้าวันใหม่พวกผมแหกขี้ตาไปปลุกไอ้โชกับเมียมัน ป่านนี้แม่งอยู่สวรรค์ชั้นไหนก็ไม่รู้ นั่งรออยู่ด้านล่างโรงแรม พอมันลงมาหน้าเพื่อนผมโคตรบูด สงสัยไปขัดความสวีท กองทัพชายหนุ่มกลุ่มใหญ่บุกเส้นแม่ริมเพื่อไปเที่ยวม่อนแจ่ม ไอ้จอมแม่งให้ผมถ่ายรูปจนเมื่อย เดี๋ยวอยากได้มุมกดบ้าง มุมเงยบ้าง ตามใจโคตรๆ ก่อนปิดท้ายด้วยไอ้เบรถคว่ำลงมาจากเนินหน้าไถลกับดินอย่างฮา คนที่ยืนดูพากันหัวเราะจนมันซอยเท้าหนียิกๆ
จากม่อนแจ่มเปลี่ยนไปดูสตอเบอรี่ ลูกสดๆ จากต้นมันลูกใหญ่กว่าที่ขายตามร้านทั่วไป พออิ่มหนำกับบรรยากาศก็ถึงเวลากลับ ตอนแรกเถียงกันเรื่องจะเข้าปางช้าง แต่พอจอดถามมันหมดช่วงเวลาไปแล้วเลยได้แต่หน้าจ๋อยกันไป จะเข้าฟาร์มงูก็ไม่ไหว ไอ้เชี่ยแทมกลัว เลยพากันกลับดีที่สุด
ทริปเชียงใหม่แม้มันจะไปแบบชุลมุนแต่มันก็ทำให้ผมได้บอกไอ้จอมไปตรงๆ และมันก็ตอบรับ คิดว่างั้นนะ แม้มันจะมีเงื่อนไข แต่เชื่อสิ มันทำไม่ได้หรอก ของแบบนี้มันอยู่ที่ประสบการณ์และความไว
ส่วนเรื่องความรัก ผมจะค่อยๆ สอนไอ้คนไม่รู้เรื่องไปเรื่อยๆ แล้วสักวันมันต้องพูดว่ารักผม
....TBCพี่ซัน (ฉายา) ปากหนักมาแล้วค่าาาา
ปอลอ. เรื่องของพี่ฟลอยด์กำลังคิดจะผูกเป็นเรื่องยาวสักเรื่อง เพราะพี่แกไม่ยุ่งเกี่ยวกับแก๊งสายฮา หากเอามารวมคงจะไม่ค่อยเหมาะ (เนอะ) << ถามใคร ถถถถถถ
เจอกันพาร์ท 5 ค่า
