.ผู้พิทักษ์รอยยิ้ม.
“ไม่เป็นไรนะ มี่ทำได้อยู่แล้ว เชื่อเรานะ” เด็กชายหมอกในวัยสิบขวบกำลังปลอบเด็กชายมี่ที่กำลังตื่นกลัวกับการสอบคีย์บอร์ดในวิชาดนตรีสากล เพลงที่สอบนั้นก็ไม่ได้ยากเกินไปกว่าความสามารถของเด็กสิบขวบเลย เพียงแต่มี่ไม่เก่ง เวลาที่เล่นในคาบเรียน มี่ไม่เคยจำได้ว่าโน้ตตัวไหนอยู่ปุ่มกดไหน มันสีขาวเต็มไปหมด แล้วยังจะมีอันสีดำเล็กๆด้านบนอีกละ เอาไว้ทำอะไร มี่สับสน มี่ไม่เข้าใจ
หลังจากรู้ว่าต้องสอบ คุณครูบอกว่า เพลงที่เราจะสอบคือ twinkle little star ซึ่งเป็นเพลงที่คุณครูสอนในคาบเรียนแล้ว ทุกคนเล่นได้ และไม่มีใครดูเป็นกังวลกับการสอบครั้งนี้เลย นอกเสียจาก..เด็กชายมี่ ดังนั้น เด็กชายมี่จึงรีบไปขอให้เด็กชายหมอก ที่เป็นเพื่อนรักและมักจะเข้าใจกันเสมอ ช่วยสอนให้เล่นเพลง twinkle little star นี่ที เด็กชายหมอกที่แสนจะรักเพื่อน ก็ตอบตกลง และบอกให้เพื่อนมี่ตัวเล็กมาที่บ้านทุกวันหลังเลิกเรียน เพราะที่บ้านเด็กชายหมอกมีคีย์บอร์ดที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอยู่
‘ตึงๆ ตึ๊งงงง ตึ่งงๆ ตึงง’
วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ทุกคนในบ้านจะเห็นเด็กชายทั้งสองนั่งกันอยู่หน้าคีย์บอร์ด พากันจับนิ้ว ประครองมือกันแล้ววางบนคีย์บอร์ด ภาพที่เห็นเหล่านั้นเรียกอมยิ้มน้อยๆจากผู้ใหญ่ได้ดี
‘ตึงงง ตึงงง ตึ๊งๆๆ ตึ่งง’
ใช่....วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว เด็กชายหมอกลอบปาดเหงื่อเบาๆ นี่ก็สามวันแล้วที่ซ้อมกันมา แต่ทำไมเด็กชายมี่ถึงเล่นได้......ไม่ต่างจากวันแรกที่มานั่งคู่กันตรงนี้เลย เด็กชายหมอกพยายามคิดหาวิธีให้เพื่อนตัวเล็กอีกคน เข้าใจการวางนิ้วทั้งสิบไว้บนคีย์บอร์ดอย่างถูกต้อง แล้วก็จำได้ซะทีว่าโน้ตนี้เป็นโน้ตอะไร ทั้งเอากระดาษมาแปะก็แล้ว แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายอีกคนเอาแต่มองแป้นคีย์บอร์ด และเมื่อเงยหน้าไปดูตัวโน้ตที่ต้องเล่นอีกที ก็หาไม่เจอเสียแล้วว่าเล่นถึงตรงไหน
‘เราว่า เราคงเล่นให้ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว’เด็กชายที่ตัวเล็กกว่าละมือจากคีย์บอร์ดแล้วมากุมไว้ที่หน้าตัก ก้มหน้าลงอย่างหน้าสงสาร ..ใช่ น่าสงสารมาก สำหรับเจ้าของคีย์บอร์ดที่นั่งข้างกัน มือเล็กๆที่มีขนาดไม่ต่างกันนัก จึงเลื่อนไปกุมมือของเพื่อนแล้วรีบละล้ำละลักพูด เพื่อปลอบใจ
‘ไม่จริงเลย มี่เก่งจะตาย เราจะช่วยมี่เอง’ พูดพลางกระชับมือที่กุมกันให้แน่นขึ้น
‘แต่เราทำไม่ได้ซะที เราไม่ชอบมันเลย’ ยิ่งเห็นเพื่อนตัวเล็กเงยหน้าแล้วขอบตาเริ่มแดงๆเด็กชายหมอกยิ่งทนไม่ไหว ............จะอยู่เฉยไม่ได้แล้วววว
‘เอางี้นะ ขอเราคิดวิธีก่อน เราจะทำให้มี่เล่นเก่งจนไปสอบแล้วได้คะแนนเต็มให้ได้เลย มี่เชื่อเรานะ’ เด็กชายมี่เงยหน้ามองเพื่อน ยิ่งได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเด็กชายหมอกแล้ว ก็ทำให้คิดว่าจะมายอมแพ้ง่ายๆไม่ได้
‘อื้อ เราเชื่อหมอก เรารู้ว่าหมอกทำได้ ฝากด้วยนะ’ พูดจบก็แจกยิ้มหวานที่แม่ชอบบอกให้ยิ้มเวลาถ่ายรูปไปทางเด็กชายหมอกด้วยความดีใจ แก้มป่องๆของเด็กชายวัยสิบขวบยุ้ยขึ้นซะจนดันตาปิด แลดูน่ารัก น่าเอ็นดู อืม...น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก ในหัวของเด็กชายหมอกเต็มไปด้วยคำว่า น่ารัก แถมในใจมันตื้นเต้น มันเต้นแรงเหมือนเวลาดูโคนันแล้วคนร้ายกำลังจะถูกเปิดเผยตัวตน เด็กชายหมอกชอบดูโคนัน ต้องดูทุกวันที่ฉาย และเด็กชายก็คิดว่าไม่มีวันที่เค้าจะเลิกดูโคนันได้หรอก เพราะเค้าชอบมันมาก แต่ตอนนี้เด็กชายหมอกกำลังคิด ..........คิดว่ารอยยิ้มตรงหน้านี่ต่างหากที่เลิกมองไม่ได้ จะให้หายไปไม่ได้ จะรักษามันไว้ ไม่ให้ใครมาทำลายได้เด็ดขาด .............................................................................แม้แต่โคนันก็ตาม แม่ของเด็กชายหมอกที่ผ่านมาเห็นภาพนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปหยิบกล้องมาเก็บภาพนี้เอาไว้ จะได้เป็นความทรงจำดีๆของเด็กทั้งคู่ต่อไปในอนาคต
วันต่อมาเด็กชายมี่ก็เดินต๊อกแต๊กมาที่บ้านของเด็กชายหมอกหลังเลิกเรียนพร้อมกับคุกกี้ไส้สับปะรดที่แม่ทำและฝากมาให้ที่บ้านของเด็กชายหมอก เพราะต่างก็เป็นเพื่อนสนิทและเพื่อนบ้านกันมานาน มักจะทำกับข้าวหรือขนมมาแลกเปลี่ยนกันอยู่เสมอ แถมเด็กชายทั้งสองคนที่เกิดไล่เลี่ยกัน ลูกชายของทั้งสองบ้าน ก็ยังมาเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันอีก
‘สวัสดีครับ แม่ลม แม่ตาลฝากขนมมาให้ครับ’เดินเข้ามาก็พบแม่ของเด็กชายหมอก จึงเข้าไปไหว้และเอาขนมที่แม่ฝากมาไปให้
‘จ้าๆ ขอบใจมากนะ เดี๋ยวแม่ฝากแกงกลับไปให้แม่ตาลของหนูด้วยนะลูก’พูดลมแม่ลมก็ลูบหัวของเด็กชายมี่ที่ยืนยิ้มแฉ่งพยักหน้าอยู่อย่างเอ็นดู
‘แล้วหมอกอยู่ไหนอ่ะครับแม่’
‘อ๋อ เจ้าหมอกเห็นตั้งแต่กลับมาก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่หน้าคีย์บอร์ดกับห้องนอนหมอกนั่นแหละจ้ะ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนแล้ว ไม่รู้กำลังจะทำอะไร’ แม่ลมพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินผละไปหน้าบ้าน
เด็กชายมี่เดินเลยส่วนของห้องนั่งเล่นเข้าไป ก็จะเจอคีย์บอร์ดที่เด็กชายมี่รู้สึกขนลุก และใจเต้นทุกครั้งที่ได้เห็น ก็ทำไงได้ละ เล่นทีไรก็ไม่เคยทำได้ดีเลย แถมยังจะมาสอบทีละคนแบบนี้ ตื่นเต้นตายเลย ว่าแล้วก็หันซ้ายหันขวา ไม่เห็นวี่แววของเด็กชายหมอก เด็กชายที่เป็นแขกของบ้านเอียงคอมองไปยังคีย์บอร์ด..............วันนี้คีย์บอร์ดแปลกไป มีกระดาษเล็กๆมาปักเรียงกันและแปะโน้ตที่ปกติควรจะแปะอยู่บนแป้นคีย์บอร์ด แต่ตอนนี้กลับอยู่ในระดับสายตาที่สามารถมองเห็นได้ทั้งตัวโน้ตแต่ละตัวบนคีย์บอร์ด และโน้ตเนื้อเพลง แถมยังมีกระดาษแข็งรูปดาว ที่ระบายด้วยสีช็อกสีเหลืองทั้งสองด้าน เจาะรู แล้วห้อยด้วยเชือกลงมาจากคีย์บอร์ด สั้นบ้างยาวบ้าง แต่ก็ดูน่ารักดี เด็กชายมี่เดินเข้าไปจับดวงดาวกระดาษแล้วหมุนเบาๆ ให้มันหมุนไปรอบๆ ทำให้พบว่ามีสีเหลืองติดปลายนิ้วป้อมๆมาเล็กน้อย
‘อ่าวว มี่ มาแล้วหรอๆ นั่งเร็วๆๆ’ เด็กชายหมอกวิ่งพรวดเข้ามา ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อพบว่ามีใครอยู่ในห้อง
‘หมอกทำอะไรอยู่อ่ะ’
‘นี่เป็นวิธีการที่เราคิดมาอ่ะ ทำอย่างนี้จะได้ลดความกลัวของมี่ลงไปบ้าง แล้วนี่มี่ไม่ต้องคอยก้มมองแล้วนะว่านิ้วมี่อยู่ที่โน้ตไหน ดีป่ะล่ะ ’พูดแบบอวดๆพร้อมรอยยิ้ม แล้วเดินมานั่งข้างๆมี่ ก่อนจะบอกต่อ
‘แล้วก็นี่ด้วย ! ถ้านิ้วมี่จำไม่ได้ หรือนิ้วมันแข็งจนมี่เล่นไม่ได้ เราจะพานิ้วมี่เล่นไปด้วยกันเอง’ เด็กชายหมอกยิ้มแฉ่ง แล้วชูเศษผ้ายาวๆหลายเส้นที่ไปขอจากแม่ขึ้นมาหลากหลายสี ในขณะที่เด็กชายมี่ทำหน้างงๆว่าเศษผ้าสีสันสวยๆนั่นจะช่วยได้อย่างไร
เด็กชายหมอกวางเศษผ้าทั้งหมดไว้ ก่อนจะหยิบมาหนึ่งเส้นแล้วจับนิ้วชี้ของของเด็กชายมี่มาวางไว้ด้านล่างของนิ้วชี้ตัวเอง และค่อยๆมัดให้พอขยับได้ ก่อนจะพานิ้วของตัวเองและเพื่อนข้างๆกัน ไปกด โน้ต โด
‘นี่ไง เราเล่นได้ มี่ก็เล่นได้ด้วยเหมือนกัน ทำแบบนี้ จะได้ทำให้นิ้วกะมือมี่ชินกับตำแหน่งคีย์บอร์ดได้เร็วๆเนอะ’
‘อื้ม ขอบใจมากนะ’ โอยย ยิ้มอีกแล้วอ่ะมี่ หมอกตื่นเต้นเลยเนี้ย ใจมันเต้นตึกๆตักๆ น่ารักจังมี่ เด็กชายที่นิ้วชี้อยู่ด้านบนพยายามยิ้มตอบแล้วหยิบผ้าเส้นอื่นมามัดจนครบ ถึงหลังๆจะมัดยากหน่อยเพราะนิ้วติดกับอีกคนไปแล้ว แต่ทั้งสี่มือก็ช่วยๆกัน ดีหน่อยที่เด็กชายมี่ตัวเล็กกว่า การที่ให้คนหนึ่งนั่งเล่นและอีกคนหนึ่งยืนเล่นจากข้างหลังจึงไม่ลำบากมากนัก
เด็กทั้งสองคนก็เล่นเพลง ไปโดยส่วนใหญ่จะมีนิ้วที่อยู่ด้านบนนำพาไปตามโน้ตเพลง แต่ในรอบหลังๆ เจ้าของนิ้วมือด้านล่างก็เริ่มจำโน้ต และชินกับตำแหน่งมือที่อีกคนพาไปได้แล้ว จึงเล่นไปด้วยกันได้ดีขึ้น
เด็กชายมี่รู้สึกสนุกกับการเล่นมากขึ้น ความกลัว และความกังวลมันก็หายไปหมดเมื่อมีมืออีกคู่คอยนำทางตามโน้ตเพลงไป แถมยังมีดาวรอบๆคีย์บอร์ดที่หมุนเล็กน้อยเวลามีลมพัดผ่าน ทำให้เข้าถึงเพลงนี้มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเด็กชายด้านหลังฮัมเนื้อเพลงไปด้วย
Twinkle, twinkle, little star.
How I wonder what you are.
Up above the world so high,
Like a diamond in the sky.
Twinkle, twinkle, little star.
How I wonder what you are.
กลายเป็นว่าเด็กทั้งสองร้องไปด้วยกันและเล่นซ้ำไปซ้ำมา ร้องซ้ำไปซ้ำมา จนเด็กชายที่เคยกังวลกับการเล่นคีย์บอร์ดนั้น ลืมความกังวลไปจนหมด และเล่นได้ดีโดยที่มือคู่บนไม่ต้องคอยบังคับทิศทางอีกแล้ว เด็กชายหมอกก็แอบยิ้มด้วยความดีใจ ที่เป็นคนทำให้เพื่อนสนิทคนนี้ทำได้ดี
‘เราว่าเราคอแห้งแล้วอ่ะ’ เด็กชายด้านหน้าหันหน้ามาหาเด็กชายด้านหลังด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนรอยยิ้ม แล้วบอกไปตามด้วยเสียงหัวเราะ ระยะห่างที่ใกล้กันมาก ใกล้จนเห็นเส้นเลือดฝอยเป็นเส้นแดงๆบนแก้มใสๆของอีกฝ่าย ไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก
เด็กชายหมอกทำตัวไม่ถูก
เด็กชายหมอกใจเต้นแรงเกินไปแล้ว
เด็กชายหมอกรู้สึกระยิบระยับในอก
โอยย จะเดินหนีไปก็ไม่ได้ มือก็ติดกันอยู่ จึงได้แต่หน้าแดงแล้วหลบสายตาจากเพื่อนตัวเอง
'งะ งั้น ไปกินน้ำกันเถอะ มี่เล่นเก่งขึ้นเยอะเลย เก่งมาก’
เด็กชายทั้งคู่ยิ้มกว้างให้กัน ก่อนจะช่วยกันแกะผ้าออกจากนิ้วของกันและกัน โดยที่เด็กชายมี่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมหน้าของหมอกถึงแดงขนาดนั้นน้า หรือว่าจะไม่สบาย คิดแล้วก็สงสัย แต่เด็กชายมี่ไม่ได้ถามหรอก แถมจะวัดไข้ มือก็ยังแกะไม่เสร็จเพราะงั้น เอาหน้าผากนี้แหละ แปะวัดซะเลย
กึก!
เด็กชายหมอกชะงัก หยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ ตาโตๆของเด็กชายมองไปยังเพื่อนที่ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรถึงได้อยู่ๆก็เอาหน้าผากมาแปะกับหน้าผากเค้า งื้อออออ ทำอะไรอ่ะมี่ ไม่ได้ดูโคนันซะหน่อย แถมวันนี้ก็ไม่ใช่วันที่มีฉายด้วยซ้ำ แล้วทำไม ...ทำไมใจเต้นเร็วขนาดนี้ หมอกไม่เข้าใจ หมอกไม่เข้าใจจจจจ
‘เราว่าหมอกไม่สบายละ จริงๆนะ แต่ตัวก็ไม่ร้อน จริงๆเราไม่รู้หรอกว่าตัวร้อนคือร้อนแค่ไหน แต่แม่ชอบวัดที่หน้าผากอ่ะ แต่ แต่ว่าหมอกหน้าแดงมาก หมอกต้องเป็นไข้แน่ๆ’ เด็กชายตัวเล็กพูดอย่างมีหลักการ ขณะที่แกะผ้าออกจากมือที่ผูกกัน ส่วนเด็กชายอีกคนหนึ่งนั้น ยิ้มอ่อน ตาลอยไปแล้ว จึงทำให้เด็กชายมี่แกะไปก็พึมพำไม่ขาด
‘ หมอกน่ะไม่สบาย ต้องกินข้าวกินยา อืมม แม่เราชอบบอกแบบนี้เวลาเราป่วย’
‘หน้าแดงมากเลยหมอก’
'หมอกติดหวัดเพื่อนหรอ ติดจากใครละ น้ำฝนหรือป่าว ฝนชอบเข้ามาเล่นกับหมอกนี่นา’
‘จริงๆน้ำฝนก็เป็นหวัดอยู่ตลอดเวลาเลยเนอะ’
‘เราเห็นน้ำฝนน้ำมูกย้อยตลอดเลย’
‘หมอกต้องระวัง เราว่าน้ำฝนจะทำให้หมอกป่วย อย่าไปเล่นกับน้ำฝนบ่อยๆสิ เราจะกันให้เองนะ!’
แล้วเด็กชายก็พูดเกี่ยวกับเด็กหญิงน้ำมูกย้อยไปจนแก้เศษผ้าจนเสร็จ โดยที่เด็กชายหมอกนั้น ไม่ได้ยินแม้แต่ชื่อของเด็กหญิงน้ำฝนด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่มองแก้มใสๆของเด็กชายมี่อย่างตั้งใจอยู่
จากนั้นแม่ลมก็มาเรียกไปกินข้าวพอดี โดยมีพ่อของเด็กชายหมอก และแม่ของเด็กชายหมอกร่วมโต๊ะอาหารด้วย ก็กินอาหารด้วยกัน พูดคุยกันอย่างสนุกสาน ก่อนที่เด็กชายมี่จะบอกสิ่งที่ควรจะบอกแม่ลมตั้งแต่แรก แต่ก็มัวคุยจนเพลิน
‘แม่ลมครับ มี่ว่าหมอกไม่สบายแน่เลย มี่เห็นหมอกหน้าแดงๆ’
‘หมอกไม่สบายหรอลูก ไหนแม่ดูหน่อย ตัวร้อนมั้ย’ ว่าแล้วแม่ลมก็เอาหลังมือทาบไปที่หน้าผากและลำคอ
‘เอ้ ก็ตัวไม่ร้อนนี่ลูก หน้าก็ไม่ค่อยแดงแล้ว หมอกสบายดีจ้ะมี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่ว่าหมอกคงหน้าแดงเพราะอย่างอื่นมากกว่าจ่ะ’
แม่ลมพูดยิ้มๆ โดยประโยคหลังนั้นพูดกับมี่ เด็กชายก็ทำหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย เพราะไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำหมอกถึงหน้าแดง แต่สบายดีก็ดีแล้ว เด็กชายตัวเล็กจึงยิ้มแล้วตอบรับ ก่อนจะกินข้าวต่อ
ขากลับแม่ลมก็ฝากแกงไปให้แม่ตาลอย่างที่ได้บอกเอาไว้ และให้หมอกช่วยถือไปส่ง บ้านหลังที่อยู่เยื้องๆตรงข้ามกัน พอถึงหน้าบ้าน เพื่อนตัวเล็กก็บอกว่าถือเข้าไปเองได้
‘วันนี้เราขอบใจหมอกมากเลยนะ มะรืนนี้จะสอบแล้ว พรุ่งนี้เราจะเล่นด้วยตัวเองให้ได้เลย เราดีใจจังเลยที่เป็นเพื่อนกับหมอก’พูดจบก็ยิ้มให้เพื่อนรัก โดยที่อีกคนก็เหมือนคนรู้สึกตัวได้ว่า ใช่แล้ว เพราะเราเป็นเพื่อนรักกัน เราเลยรู้สึกดีต่อกัน ไม่แปลกหรอก ไม่แปลก ไม่เห็นแปลกเลยที่จะเป็นแบบนี้ หน้าแดง ใจเต้น ไม่เห็นแปลกเลย ก็เราเพื่อนกัน ใช่ เพื่อนกัน
‘เราก็ดีใจนะ พรุ่งนี้เล่นให้เราฟังทั้งเพลงก่อนใครเลยนะ เราจะรอฟัง ไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ ’เด็กชายหมอกยิ้มให้เพื่อนด้วยความจริงใจ ก่อนจะเดินถอยหลังกลับไปบ้านตัวเอง ขณะที่เด็กชายมี่ก็ไม่เข้าบ้านจนกว่าเด็กชายหมอกจะถึงประตู
.......แล้วทั้งสองก็เข้าบ้านพร้อมกัน
ในขณะที่เด็กชายมี่กำลังถอดเสื้อผ้าเพื่อจะอาบน้ำนั้น ก็เพิ่งสังเกตเห็นสีเหลืองๆ ด่างๆติดอยู่ที่หลังมือ แล้วก็คิดออกทันทีว่ามามันจากไหน เมื่อนึกถึงดาวกระดาษสีเหลืองที่ห้อยรอบๆคีย์บอร์ด เด็กชายอมยิ้ม พลางคิดว่าบนฝ่ามือของเพื่อนก็คงจะเต็มไปด้วยสีเหลืองด่างๆจากการระบายสีลงบนดาวกระดาษแบบนี้เช่นเดียวกัน
แล้ววันสอบก็มาถึง เด็กชายที่ซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมจนเด็กชายที่สอนก็มั่นใจว่าต้องสอบได้แน่ๆ แต่เจ้าตัวกลับไม่มั่นใจเลยสักนิด ความกังวลที่หายไป ค่อยๆกลับมาอีกครั้ง เด็กชายมี่เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ ไม่ชอบเป็นจุดสนใจของคนเยอะๆ แล้วนี่จะให้ทุกคนดูเค้าเล่น แค่คิดว่าต้องเดินออกไปหน้าห้องคนเดียวก็เกร็งจนขาสั่นไปหมดแล้ว
“ไม่เป็นไรนะ มี่ทำได้อยู่แล้ว เชื่อเรานะ”
เด็กชายทั้งสองนั่งอยู่ข้างกัน ในขณะที่เพื่อนๆก็ทยอยกันออกไปเล่นหน้าห้อง ทุกคนดูสนุกสนาน แต่ไม่ใช่เด็กชายมี่แน่ๆล่ะ ฉะนั้นเพื่อนรักอย่างเด็กชายหมอกจึงต้องทำให้ความกังวลนั้นหายไปให้ได้
“หมอก เราเชื่อหมอกนะ แต่เราไม่เชื่อตัวเองเลย”
“เราซ้อมกันมาหลายรอบแล้ว มี่ก็ทำได้ดีทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ก็เหมือนกับที่เล่นกับเราที่บ้านเลย มี่คิดซะว่าแบบนั้นนะ” มือเล็กๆว่างบนบ่าเพื่อนแล้วบีบเบาๆ เหลืออีกคนเดียวเท่านั้นก็จะถึงเลขที่ของเด็กชายมี่แล้ว ส่วนเด็กชายหมอก ออกไปตั้งแต่แรกๆแล้ว เพราะเลขที่ของเค้ามาก่อน เพื่อนตัวเล็กไม่พูดอะไร ได้แต่หันมายิ้มแล้วสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะปล่อยออกมายาวๆ พร้อมกับเด็กเลขที่ก่อนหน้าเด็กชายหมอกจะกดโน้ตตัวสุดท้ายจบพอดี เด็กชายหมอกจับมือแล้วบีบเบา ก่อนจะพูดว่า
“เล่นไปด้วยกันนะ เราก็จะเล่นไปพร้อมกับมี่”
ไม่ทันได้ถามอะไร เด็กชายมี่ก็ได้ยินเสียงคุณครูเรียกชื่อ จึงเดินออกไปอย่างเกร็งๆ และนั่งลงตรงหน้าคีย์บอร์ด กลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ หายใจเข้าลึกๆ แล้ววางนิ้วลงตำแหน่งที่ตรงกับโน้ต ว่าแล้วก็ขอหันไปหาเพื่อนรักสักนิดแล้วกันเพื่อเป็นกำลังใจ และสิ่งที่เด็กชายมี่เห็นคือ เพื่อนสนิทของเค้ายิ้มมาให้ และยกมือขึ้นมาวางบนอากาศในท่าทางที่เหมือนกำลังวางอยู่บนคีย์บอร์ด พร้อมกับพยักหน้าให้เด็กชายมี่ เด็กชายที่เริ่มเข้าใจเหตุผลที่เพื่อนทำแบบนั้นจึงพยักหน้าตอบแล้วเริ่มเล่นเพลงไปตามโน้ต ตามจังหวะเพลง
น่าแปลกที่เด็กชายมี่เหมือนจะรู้สึกอยู่ตลอดที่เล่นเลยว่า มีมืออีกคู่หนึ่งกำลังประครองแล้วเล่นไปด้วยกัน จนโน้ตตัวท้ายสุดจบลง เด็กๆในห้องก็ปรบมือให้เพื่อนทีเพิ่งเล่นจบ ในตอนนั้นเด็กชายมี่รู้สึกตื้นตัน รู้สึกดีใจ รู้สึกหลายๆอย่าง ปนเปกันไป แต่ระหว่างที่ละสายตาจากโน้ตตัวสุดท้าย สายตาของเด็กชายมี่ก็โฟกัสไปที่ที่เดียว .....ใบหน้ายิ้มของเด็กชายหมอก ยกนิ้วโป้งสองนิ้วขึ้นมาระดับหน้าให้เค้า ทั้งสองคนยิ้มให้กัน ยิ้มในความเป็นเพื่อนที่ไม่อาจคิดเกินเลยได้ ...............
เด็กชายทั้งสองหักห้ามความเกินเลยได้ในตอนนั้น ด้วยคำว่า ‘เพื่อน’
แต่พวกเค้าไม่อาจหักห้ามใจได้ตลอดไป ในเวลาที่คำว่า เพื่อน นั้นไม่เพียงพอต่อความรู้สึกที่มีให้กันอีกต่อไปแล้ว
.ผู้พิทักษ์รอยยิ้ม.
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ฝากเด็กน้อยไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ เราเพิ่งเคยลงครั้งแรกเนาะ เลยติดๆขัดๆเรื่องการตั้งกระทู้อยู่บ้าง
ไว้คราวหน้าจะเอาเด็กๆตอนโตมาฝากนะคะ อ่านแล้วติชมกันบ้างน้าา
ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ กอดดด