ตอนที่ 13 “บ้านทรายทอง”
หาวววววววววววววววววววววววววว วู้ววว ทำไมเช้านี้ผมรู้สึกมึนๆงงๆ ชอบกลนะ รู้สึกอ่อนปวกเปียก ล้าจริงๆเช้านี้
พอดีกับที่โทรศัพท์ผมมันสั่นพอดี อ้อไอ้ปันโทรมาแต่เช้าคงจะชวนผมไปวิ่งชัวร์
“สวัสดีครับเฮียปัน” ผมทักทาย
“มองตรงหน้าต่างดิ” มันบอกผม ผมก็ขยับตัวชะโงกหน้าลงมามองเห็นมันยืนยิ้มแป้นอยู่
“หูยยย ลงทุนนะเฮียมาแต่เช้าจะชวนไปวิ่งหรอไง” ผมถามไป หาวไปพลางๆ
“เออดิ รีบๆลงมา” มันบอกผมเสร็จ แล้วผมก็จัดแจงแต่งเนื้อแต่งตัว กินน้ำกินท่า แล้วก็ลงไปหามัน
“ไงเมื่อคืนดึกหรอ” มันถามผมแล้วเอาแขนมาโอบไหล่ เห็นทีผมต้องตอบรับทางกายโดยการกอดเอวมันกลับ
“มึงแหละ กูบอกให้วางสายตั้งนานละ ไม่ยอมวางจะอยากฟังเสียงอะไรหนักหนา” ผมพูดไปชักเขินไปแหะผู้ชม
“ก็มึงไม่ยอมเปิดกล้องอ่ะ ทีหลังก็เปิดกล้องดิ” มันบอกผมเสร็จก็เกี่ยวคอผมไปใกล้ ทำไมไม่รู้
“ไม่เอาอ่ะ ปัน หน้ากูบานๆ ยังไงไม่รู้ไม่เหมือนตัวจริง” มันรู้สึกเสียเซลฟ์นิดๆเนอะ
“บานพ่อมึงสิจิ ผอมจะตายห่ากินข้าวสะบ้าง มึงดูกูนี่ซิกแพคมาเต็ม” มันพูดไม่เท่าไหร่มีการเปิดให้ดูเป็นบุญตา ขาวจริงอะไรจริงผู้ชม และแล้วเพลงนี้ก็ดังขึ้นในหัวผม” วงแขนกล้ามเป็นมัดๆอุ๊ยย น่าจะกัดแขนเล่นเบาๆ”
“อย่าเปิดบ่อยกูใจไม่ดี” ผมบอกมันตรง
แต่แทนที่มันจะสำนึก เอามือผมไปลูบน่าอกมัน
“ชอบป่ะ” มันยักคิ้วหลิ่วตา
“จังไร” ผมได้แต่ด่าเพียงวาจา :hao7:แต่การกระทำมิได้สอดคล้อง ผมยังคงลูบต่อไป จนมันมองหน้านิ่งๆ ผมเลยเอามือออก
“รักกูสิ จิ กูจะให้จับทุกอย่างเลย” :pighaun:คำพูดทีเล่นทีจริงแต่แฝงไปด้วยความจริงใจจนผมสัมผัสได้
“ไปเดินกันเถอะ อากาศกำลังดี” ผมรีบตัดบท เพราะไม่ค่อยอยากจะพูดถึงเรื่องรักๆใคร่แต่เช้า
“ปากแข็งว่ะ”
มันพูดเสร็จก็จูงมือผมออกเดิน ( ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ผู้ชม)
เช้านี้อากาศดี๊ดี เป็นช่วงที่เข้าหน้าหนาวพอดิบพอดี ลมแรงพร้อมกับความเย็นปะทะเข้ากับตัวจังๆ
“หนาวไหม” มึงไม่น่าถามกูเลยนะปัน
“รู้ได้ไง” ผมถาม
“มือเย็นเฉียบขนาดนี้ มานี่มาอยู่ใกล้ๆกูมา จะเดินห่างอะไรหนักหนา” ตัวผมถลาไปตามแรงดึงของมัน มันกอดผมด้วยสองแขนที่ตอนนี้รัดแน่นจนไม่มีช่องว่าง ไอ่อุ่นจากหน้าอกมันแผ่ซ่านปะทะแก้มของผม
“วันนี้ไม่วิ่งนะปัน กูเพลียๆวะ ตั้งแต่เมื่อคืนละ” ผมบอกด้วยเสียงอู้อี้ๆ จากอกของมัน”
“โอเค” มันตอบกลับมาสั้นๆ แต่แรงรัดกอดกลับมากยิ่งขึ้น
“จิ”มันเรียกผม
“ว่า” ผมถาม
“เย็นนี้ว่างไหม”
“ว่างมั้ง เดี๊ยวดูก่อน ทำไมอ่ะ” ผมถามมันกลับ
“จะชวนไปนั่งรถเล่น”
“โอเค” ผมก็ตอบกลับสั้น
ผมผละออกจากตัวมันเพราะเห็นว่าเริ่มมีคนมาวิ่งบ้างแล้ว ก็เลยชวนมันกลับไปอาบน้ำเตรียมไปโรงเรียน วันนั้นผมไปโรงเรียนพร้อมกับมัน พอดีไปช่วงเช้าคนยังไม่ค่อยมากเท่าไหร่ โรงอาหารจึงโล่งผิดวิสัย ผมกลับมันจัดแจงเลือกที่นั่งได้ก็วางของไปซื้อข้าวเช้ากิน
“นั่งตรงนี้แหละเดี๊ยวกูไปซื้อมาให้” มันบอกผมจากด้านหลังพร้อมกับกดไหล่ผมเบาๆ
“หูยยยยยยยย สายเป ก็มา”
ผมแซวมันนิดนึง มันก็หันมายิ้มหวานๆให้ แล้วเดินไปร้านข้าว ระหว่างรอผมก็ท่องโลกอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ เสพข่าวสารปะจำวันดูนู่นดูนี่ ไม่นานนักกลิ่นก๋วยเตี๊ยวหอมกรุ่นยั่วน้ำลายก็ลอยมาเตะจมูก
“ดูอะไรอยู่” มันถามผม
“ดูอะไรเรื่อยเปื่อยอะ มาๆอันไหนของกูอ่ะ อ้าวทำไมสั่งเหมือนกันหล่ะ” ผมถามมัน ตาของผมก็เลือกดูว่าชามไหนให้เครื่องเยอะสุด
“มึงกินอะไร กูก็กินอย่างนั้นแหละ” มันพูดเสร็จก็เลื่อนชามมาให้ตรงหน้า
“พวกไอ้ดิวนี่ กูว่านะปันป่านี้คงยังเฝ้าพระอินทร์ไม่เสร็จหรอก” ผมพูด
“เออ พวกแม่งก็สายตลอดแหละ” พูดจบพวกเราก็จัดแจงบรรเลง อาหารเช้า พอกินเสร็จก็นั่งรอพวกไอ้ดิว ต่อกว่ามันจะมากันก็เกือบๆสายอยู่เหมือนกัน
>>>>>>>>>>>>>>
เรียนๆ วันนี้ก็หนักเข้าท่าเหมือนกันครับ เพราะเนื้อหายากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกหมดพลังชีวิตเลยทีเดียวไปกับวิชาในช่วงเช้า
“ได้ข่าวว่า โรงเรียนเราจะมีเด็กแลกเปลี่ยนมาว่ะ” ไอ้โบทพูดขึ้น ระหว่างรอข้าวกลางวัน
“จะมาตอนไหนว่ะ แล้วมาจากที่ไหน” ผมถามมัน
“เห็นอาจารย์เค้าบอกกูว่า มาจากอเมริกานะ ถ้ากูจำไม่ผิด ไม่กี่วันนี้แหละ” มันบอกผม
“กินข้าวๆๆๆๆๆ ไอ้โบท ไอ้จิ” ไอ้ปัน ไอ้ดิว ไอ้ภูมิ ถือข้าวถือน้ำมา
“นั่งสบายกันเลยนะพวกมึง ไอ้ห่า ไอ้จิกูยังเข้าใจ มึงนี่สิไอ้โบท ผัวก็ไม่มี ต้องให้พวกกูดูแล” ไอ้ดิวบ่นงึมงำๆยังกะคนแก่
“แดกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ไอ้ภูมิพูดเสร็จ พวกเราทุกคนก็ลงมือกินข้าวกลางวันกัน
“เช็ดปากหน่อยจิ เลอะเทอะ หมดละมึง” ไอ้ปันยื่นกระดาษทิชชู่ให้
“ปากกูก็เลอะนะปัน”ไอ้โบทที่นั่งอยู่ใกล้ผม ยื่นหน้าเข้าไปทำปากจุ๊ดจู๋
“กูเห็นละสมเพช นึกถึงยีราฟที่เขาเขียวเลยไอ้เหี้ยโบท” ไอ้ภูมิบอก
“ยีราฟพ่อมึงสิ จะน่ารักขนาดนี้ใช่ไหมปัน”ไอ้โบทยังเล่นไม่เลิก
“กู ไม่ ให้ เช็ด” ผมพูดเน้นๆใส่มัน
“เบื่อพวกหวงผัว”มันทำปากเบะใส่
“ผัวใครใครก็หวง” ผมบอกมันไป
“เกลียดดด พวกมั่นหน้า มั่นผัว” ไอ้ดิวกระแนะกระแหน
ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจ เสียงนกเสียงกาไปมากกว่ารอยยิ้มที่อยู่ตรงหน้านี้หรอกครับรอยยิ้มปัน หวานหยดย้อยจริงๆ
ผมได้แต่หลบสายตาคู่นั้นที่มีอิทธิพลเหลือเกิน
ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกตอนนี้พวกมันจะยังคงเถียงกันเรื่องผัวๆเมียๆไม่เลิกก็ตามแต่ราวกับว่าผมถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาคู่นั้นและรอยยิ้มของมัน ผมเขินจนต้องเอาเท้าไปสะกิดขามันบอกว่าอย่ามอง
มันก็ขำๆก้มหน้าก้มตากินต่อไป กว่าจะกินข้าวและเพื่อนพ้องของผมที่พูดถึงเรื่องผัวๆเมียๆกว่าจะเสร็จนี่ปาเข้าไปนานกว่าทุกวัน อยู่ดีๆไปโผล่เรื่องเมียตายามหน้าโรงเรียนยังไงไม่ทราบลามปามไปเรื่อย
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
หลังเลิกเรียนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมกับไอ้ปันก็กลับหอ ผมกลับแฟลต มันบอกผมว่าทำอะไรเสร็จแล้วออกมารอมันข้างล่างเลยเดี๊ยวมันจะมารับ ผมจัดแจงวางกระเป๋าจัดนู้นจัดนี่ ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วผมก็ลงไปรอปันข้างล่าง
ไม่นานนักมันก็ขี่รถมอเตอร์ไซต์มาจอดรับผม ผมไม่รอช้าขึ้นซ้อนท้าย
“เกาะแน่นๆนะน้อง” ไอ้ปันหันมาบอกผมพร้อมกับดึงมือผมไปโอบเอวมัน
“เดี๊ยวพ่อเห็น นี่?????” :angry2:ผมรีบขักมือกลับพร้อมกับฟาดแขนมันไปทีนึง
“เออว่ะจริงกูลืมเลย 5555555555555555555” มันขำเสร็จก็ขับรถมุ่งหน้าออกไปจากโรงเรียน โดยที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะพาไปไหน เออว่ะคุณผู้ชมแล้วทำไมผมไม่ถามมันล่ะ
“เออปันจะพาไปไหนเนี่ย” ผมถามมันกึ่งพูดกึ่งตะโกนต้องสู้กับเสียงลม
“เออน่าไว้ถึงก่อนละกัน” มันบอกแค่นี้แล้วขับรถต่อไป
ขับเข้าตัวเมืองไม่นานนัก มันก็เลี้ยวเข้าหมู่บ้านจัดสรร แล้วขี่ต่อไปอีกสักระยะแล้วมันก็จอดรถ
“ลงดิ”มันบอกพร้อมกับถอดหมวกกันน็อคออก
“บ้านใครว่ะปัน มาหาใคร”ผมถามมัน
มันไม่พูดอะไรดึงมือผมเข้าไปในบ้านหลังนั้น ตัวบ้านสองชั้น เข้าไปจะเจอกับโซนโซฟา มุมทีวี ผมเดินสำรวจไปมา
“แล้วเจ้าของบ้านหล่ะปันอยู่ไหน” ผมถามมัน
“กูไงเจ้าของบ้าน”
มันบอกพร้อมกับหย่อนนตัวลงกับโซฟา
ผมยังคง งง อยู่นิดๆ
“แม่ปัน บอกว่าอยู่ในหอมันอึดอัดเกินไปทำอะไรไม่ค่อยจะสะดวก เลยเช่าบ้านให้ ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง โหใหญ่โตนะมึงสำหรับมึงคนเดียวเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับมองไปรอบๆบ้าน
“แล้วใครว่ากูจะอยู่คนเดียวห๊ะจิ กูต้องให้มึงมาอยู่ด้วยสิ” มันพูดกับผมหน้าตาเฉยๆ
“ไม่อ่ะ เดี๊ยวพ่อด่า อีกอย่างกูเกรงใจแม่มึงอ่ะ มาอยู่มากิน” ผมบอกกลับไป
“กูขอพ่อมึงแล้วจิ”
“ห๊ะ อะไรนะ”
“กูบอกว่ากูบอกพ่อของมึงแล้วว่า ของมึงมาอยู่ด้วย”มันพูดช้าๆชัดๆ
“แล้วพ่อกูให้หรอไง”
“อืม กูก็บอกเค้าว่าช่วยๆกันติว อีกอย่างมึงอ่อนคณิตเดี๊ยวกูสอน” มันบอกผม
‘’แต่ว่ากูมาไม่ได้ตลอดหรอกนะ”
“อืมเรื่องนั้นกูรู้จิ ”
“ขอแค่ได้อยู่ด้วยกันก็พอ” มันพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ทำถึงขนาดนี้ละ ยังไงก็ต้องอยู่”ผมบอกมัน
“แล้วกูนอนห้องไหนพาไปดูหน่อย” ผมพูดเสร็จมันก็พาขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้าน เปิดประตูเข้าไปพบกับห้องนอนห้องหนึ่งที่มีเตียงกว้างๆสีน้ำตาล ในห้องมีเฟอร์นิเจอร์ครบถ้วน
“หูวววว ห้องกูจำเป็นต้องใหญ่ขนาดนี้เลยหรอไง”
“ใครว่ามึงจะนอนคนเดียว ” มันเริ่มยิ้มที่มุมปาก
“เห้ยยย ปันมันจะดีหรอ”
“มันจะดีสิ”
“ห้องก็เหลืออีกหนิ”ผมถามมัน
“ถ้าอย่างนั้นกูจะให้มึงมาอยู่ด้วยทำไมหล่ะ มึงก็ต้องนอนกับกูสิจิ”
“แต่ว่ากูไม่เคยนอนกับมึงสักครั้งเลยหนิ”ผมบอกมัน
“ก็นี่ไงฝีกๆไว้ หรือมึงกลัวกูห๊ะจิกูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลย” มันพูดน้ำเสียงน้อยใจนิดๆ
“แล้วมึงจะทำไหมหล่ะ”ผมถามมัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ทำดิ โอกาสทั้งที หึหึ”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เขกหัวมันไปทีนึง ข้อหาคิดไม่ซื่อ ลามกจกเปรต
วันรุ่งขึ้นผมก็ขนสิ่งที่จำเป็นเท่านั้นไป เพราะปันบอกว่าเอาแต่จำเป็นๆที่บ้านมันมีครบทุกอย่างแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป