ก็บอกว่าไม่ชอบเด็กไง
ตอนที่ 65
' โลกแคบ '
ผมเซฟงานหลังจากที่นั่งคิดงานไม่ออกอยู่นานจนมันถึงช่วงเวลากลับบ้าน ถอนหายใจออกมาในสมองของผมตอนนี้มีแต่ภาพของ ฟานที่เดินอยู่ข้างๆผู้หญิงคนนั้นที่ผมไม่รู้จัก ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไม ทำไมเค้าถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมเค้าถึงมากับเธอ เธอเป็นใคร แต่ผมก็คงถามอะไรออกไปไม่ได้ เพราะมันคงทำให้เค้ารู้สึกแย่ไปใหญ่ถ้ารู้ว่าที่ผมรู้สึกกังวลอยู่ตอนนี้ มันมีเหตุผลที่ว่า ' เพราะเคยนอกใจเค้ามาก่อนก็เลยกังวลว่า ตอนนี้ฟานกำลังนอกใจผมอยู่รึเปล่า '
“ คีย์กลับบ้านกันเถอะ "
“ อื้ม " ผมพยักหน้ารับ ปิดหน้าจอคอมของตัวเองคนที่ยืนข้างๆก็เอียงหน้ามองเหมือนรับรู้ถึงความไม่สบายใจของผม
“ ถ้านายอยากจะรู้ว่าเธอคนนั้นเป็นใครก็ถามเค้าออกไปตรงๆเลย จะได้ไม่ต้องมายืนทำหน้าเศร้าแบบนี้ แค่ถามออกไปตรงๆ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ "
“ แต่ถ้ามันมีละ " ผมถาม " ถ้าเค้าโกหกฉันละ ฉันจะทำยังไง " ถ้ารู้ว่าเค้านอกใจผมต้องทำยังไงต่อมันเป็นคำถามที่ผมตั้งขึ้นมาเล่นๆในใจ ถ้าฟานนอกใจผมจับได้แล้ว ผมจะบอกว่าเค้าให้เลิกกับผู้หญิงคนนั้นซะ ผมไม่ชอบอย่าไปยุ่ง แล้วถ้าเกิดขึ้นว่าฟานเถียงขึ้นมาว่าแค่เพื่อนในคณะเราทำงานกลุ่มด้วยกันไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมจะทำยังไงต่อ จะเชื่อเค้าอย่างที่เค้าเคยเชื่อผมมั้ย แล้วถ้าผมไม่เชื่อเค้าตอบผมว่าอะไร ' อย่าเอาอดีตของคุณมาตัดสินผมสิ ผมไม่ได้เป็นเหมือนคุณสักหน่อย ผมไม่ได้แอบนอกใจแฟนแล้วไปกินข้าวกับคนอื่นแบบคุณหรอก ' และถ้าฟานเถียงออกมาแบบนี้แล้วผมจะพูดอะไรกับเค้าต่อ
“ ถึงมันจะมี นายก็จะได้รู้ไปเลยว่ามันกำลังเอาคืนนายที่นายเคยนอกใจมัน ไม่ใช่ตอนนี้ที่นายไม่รู้อะไร แล้วก็กำลังเดาไปมั่วๆจากนั้นก็รู้สึกเครียดและคิดมากไปเอง เค้านอกใจฉัน เค้านอกใจ เค้าต้องชอบเด็กผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ เค้าอาจจะทะเลาะกันแล้วก็คืนดีกัน หรือไม่เค้าก็กำลังหวั่นไหว หวั่นไหวเหมือนที่ฉันทำกับเค้า " ผมถอนหายใจออกมาตอนที่ฟังอีกคนพูด " ถามคีย์ ถามออกไปตรงๆเลย วันนี้ฉันเห็นนาย ตอนเที่ยงกับผู้หญิงคนนึง ใครเหรอ จบ แล้วนายจะได้รู้ "
“ ในความเป็นจริง มันถามได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ เรื่องแบบนี้นะ " โดยเฉพาะคนแบบผมแล้ว สามารถถามได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ
“ งั้นก็กลับบ้านกันเถอะ " ลิปบอกก่อนจะตบไหล่ผม " เดี๋ยวนายอยากรู้มากๆ ก็คงถามเค้าออกไปเองละมั้ง "
เดินลงมาจากชั้นบนคนที่มารับก็รออยู่ที่หน้าบริษัท ผมถอนหายใจออกมาตอนที่เห็นหน้าเค้าที่ยังคงใส่ชุดเดิมในตอนเที่ยงยิ่งทำให้มั่นใจขึ้นไปอีกว่า นั่นคือเค้าแน่ๆ ผมไม่ได้จำคนผิดแต่อย่างใด ก้าวขาเดินเข้าไปใกล้ ลิปที่อยู่ข้างๆก็เอ่ยทักฟาน
“ ฉันพาแฟนนายมาส่งให้ละ "
“ ขอบคุณมากครับ " เค้าพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มให้อีกคนที่ก็หันมากระซิบผม
“ อย่าลืมถามซะละ ถามซะจะได้สบายใจ "
“ อื้ม " ผมตอบรับอีกคนก็เดินออกไป
“ ฉันกลับบ้านละ พรุ่งนี้เจอกัน "
“ เจอกัน "
“ เราไปหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านมั้ย " ฟานถามตอนที่ลิปเดินห่างจากเราออกไป " วันนี้ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย กินก็นิดนึงยังไม่ทันอิ่ม " เค้าบอกผมก็ขมวดคิ้วสงสัย ไม่ได้กินตั้งแต่เที่ยงกับผู้หญิงคนนั้นหรอกเหรอวะ
“ ได้สิ นายอยากจะกินอะไรละ "
“ วันนี้นายกินราเมงแล้วสินะ จริงๆฉันกินอาหารอิตาเลี่ยนไปนิดหน่อยอะนะวันนี้ " ฟานทำท่าคิดผมที่มองจ้องเค้า อยากจะถามออกไปว่าวันนี้ไปกินอาหารอิตาเลี่ยนที่ไหนมาละ ร้านตรงนั้นที่อยู่ใต้ห้างรึเปล่า แล้วมากับใคร ฉันเห็นนะผู้หญิงคนนั้น เพื่อนเหรอ
" คีย์ ? "
" หื้ม ? " ผมเอียงหน้าก่อนจะยิ้มให้เค้าที่เหมือนจะสงสัยในท่าทางเหม่อๆของผม " นายว่าอะไรนะ "
" ฉันถามว่าไปกินส้มตำกันมั้ย ไม่ได้ยินหรอกเหรอ "
" โทษทีฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย " ผมยิ้มแห้งๆ " เอาสิ ส้มตำก็ดีเหมือนกันฉันอยากจะกินอะไรที่มันแซ่บๆ " ผมบอกก่อนจะคว้ามือเค้าแล้วเดินเข้าไปในห้าง เพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้อีกคนจับพิรุธได้แม้ว่าเค้าจะกำลังสงสัยเรื่องของผมอยู่ก็ตาม
“ มีอะไรรึเปล่า " คำถามของคนที่จับมือผมให้หยุดเดินด้วยสีหน้าเป็นห่วง " ยังไม่สบายใจเรื่องที่ไม่ได้ไปงานศพของรุ่นน้องในแผนกอยู่เหรอ "
“ ปะ เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก " ผมส่ายหน้า
“ แล้วเรื่องอะไร นายดูเหม่อแปลกๆนะ "
“ คือฉันมีเรื่องงานให้คิดนิดหน่อยน่ะ " บอกเค้าไปแบบนั้น ฟานก็ขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าลงมามองเหมือนไม่เชื่อกันเท่าไหร่ แต่ก็ปล่อยผมผ่านไปไม่ได้ถามต่อ จะมีก็แค่อาการงอนนิดหน่อยที่หลุดออกมาจากปากของเค้า
“ ไม่อยากจะบอก ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ นายคงไม่อยากจะบอกฉัน " เค้าหันหน้าไปทางอื่นผมก็หลุดยิ้มออกมา
" ท่าทางแบบนี้ อย่าบอกนะว่างอนฉัน " ผมเอียงหน้ามองเค้า ฟานก็ส่ายหน้า
" ใช่ที่ไหน " ขนาดพูดคำว่าใช่ที่ไหนยังทำหน้าไม่พอใจเลย แล้วก็ยังจะมาบอกว่าไม่ได้งอนอีก
" ฉันเครียดเรื่องงานจริงๆ มันหลายเรื่องน่ะ ทั้งงานที่ทำ ชีวิตที่เป็นอยู่ สิ่งแวดล้อม " ผมบอกเค้าอีกคนก็เดินจูงมือผมเข้าห้างไม่ได้ถามอะไรอีก ราวกับว่าเข้าใจดีอยู่แล้วถึงความรู้สึกของผม ถ้าผมพูดออกมาแบบนั้นเค้าเองก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่า เรื่องที่ผมกังวลมันคือเรื่องอะไร
" งั้นก็ไปหาอะไรกินกัน ฉันหิวแล้ว "
" อื้ม " ผมพยักหน้ารับ มองแผ่นหลังที่เดินจูงมือผมไป ข้างในใจผมตอนนี้มันก็มีความรู้สึกหลายแบบ จะเป็นยังไงถ้าความจริงที่ผมอยากจะรู้มันเป็นอย่างที่ผมคิด ฟานกำลังนอกใจ เค้าที่แก้แค้นผมที่เคยนอกใจเค้าให้รู้สึกเหมือนกัน แบบนั้นถ้าเป็นแบบนั้น ตัวผมจะยอมรับได้รึเปล่า จะยอมเสียใจไปกับการกระทำของเค้าที่ครั้งนึงผมเคยทำมันมั้ย " นี่ไง ร้านนี้ ที่ฉันบอกว่าอร่อย "
เราเดินเข้าไปในร้านจับจองที่นั่งว่าง ก่อนจะรับเมนูอาหาร เราสั่งทุกอย่างที่อยากจะกินเมนูที่เหมาะกับการมาสามคนมากกว่าสองคน
“ ฉันว่าเราสั่งเยอะไปมั้ย " ผมถามฟานที่ก็ส่ายหน้าไปมา
“ ไม่นี่ ก็ฉันอยากจะกิน ของแบบนี้สั่งมาเยอะก็จริงแต่พอกินไปเรื่อยๆคุยไปเรื่อยๆมันก็หมดไม่ใช่เหรอ "
“ เหรอ ไม่รู้เหมือนกัน ขนาดขาเม้าส์อย่างลิปเวลากินกับฉันเรายังสั่งกันน้อยกว่านี้เลย "
“ ช่างมันเถอะน่า สั่งไปแล้ว กินไม่หมดเหลืออะไรเอากลับได้ก็ค่อยเอากลับ " ฟานบอกปัดเค้าพิงตัวเองกับที่นั่งก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่น
“ วันนี้นายมารับฉันเร็วจังนะ "
“ เหรอ ? ฉันว่ามันออกจากสายไปด้วยซ้ำ ฉันคำนวนเวลาดูหนังผิด "
“ นายไปดูหนังมาเหรอ "
“ อื้ม ตั้งสองเรื่อง " เค้าบอก " รอบตอนเที่ยงเรื่องนึง พอออกมายังเหลือเวลาอีก ก็เลยดูอีกเรื่อง "
“ นี่นาย..มาที่นี่ตั้งแต่เที่ยงแล้วสินะ " ฟานเงยหน้ามองผม " ละ แล้ว หนังเป็นไงสนุกมั้ย "
“ เรื่องแรกไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ เรื่องสองสนุกดี "
“ เหรอ แล้วตอนเที่ยง มาแวะกินอะไรละ นายบอกว่าอาหารอิลาเลี่ยนนี่ แล้วมันอร่อยมั้ย "
" ก็ไม่ค่อยอร่อยหรอก แดกแทบไม่ลง " เค้าบอกก่อนจะวางมือถือไว้ข้างตัวกอดอกแล้วมองหน้าผม " จะถามอะไรอีกมั้ย "
" ละ แล้วนายกินสปาเก็ตตี้อะไร "
" จะถามด้วยรึเปล่าว่ามากินกับใคร " อีกคนยิ้มตอนที่ยกน้ำขึ้นกินแล้วยักคิ้วให้ผม " เรื่องนี้สินะที่ทำให้นายเหม่อๆ แล้วถามฉันเป็นต่อยหอยแบบนี้ "
" เอ่อ..”
" เห็นละสิ ฉันกับผู้หญิงคนนั้นตอนเที่ยง " ผมผ่อนลมหายใจออกมา พยักหน้ารับอีกคนแบบว่าง่ายก่อนจะเหลือบมองอีกคนที่ก็ยังจ้องผมอยู่
" ฉันไม่ได้ ไม่เชื่อใจฟานหรอกนะ แต่ว่าตอนเที่ยงฉันดันเห็นนายกับผู้หญิงคนนั้น เหมือนกำลังทะเลาะกัน แล้วอยู่ๆนายก็เดินตามเค้าเข้าไปในห้าง " ก้มหน้าลงผมเม้นริมฝีปากตอนที่เงยหน้ามองเค้า ผมถามคำถามที่ผมอยากจะรู้ " ใครเหรอ "
“ ฮ่าๆ " ฟานที่หลุดขำออกมา เค้าก้มหน้าลงขำราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่ตลกเอามากๆ " ฮ่าๆ นาย นายน่าจะได้เห็นหน้าตัวเองตอนนี้นะ นายดูเครียดมากอะ ฉันจะบอกให้ ฮ่าๆ "
“ มันน่าตลกมากนักรึไงที่ฉันกลัวว่านายจะนอกใจฉันน่ะ!! " ผมถามด้วยแววตาและเสียงโกรธๆ เค้าก็หยุดหัวเราะก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ ถ้าฉันบอกว่า แฟนใหม่ นายจะทำยังไง " ผมเงียบ ฟานก็เลิกคิ้วมอง " ถ้าฉันบอกว่าฉันนอกใจนาย นายจะทำยังไง "
“ ฉัน.. “ ไม่รู้สิ แม้มันจะดูโง่แต่ตอนนี้ในสมองมันก็มีแค่คำพูดนี้ ไม่รู้สิ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ไม่อยากจะปล่อยไปแต่ถ้าทนอยู่ในสภาพที่ให้เค้านอกใจแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนของตายซึ่งก็เป็นความรู้สึกในอนาคตที่ผมเองก็คงไม่ชอบ แต่ถ้าบอกว่า รับไม่ได้และขอเลิกกันไป ผมเองก็ต้องเสียใจเหมือนกัน เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ประโยคที่จะตอบได้ตอนนี้ซะเมื่อไหร่
“ น้องสาวฉันนะ " เค้าบอก " ไม่ต้องคิดมากหรอก แค่น้องสาวฉัน "
“ แต่ว่าครอบครัวนาย เค้าไม่..”
“ ใช่ เค้าไม่ได้ติดต่อฉันมานานมากแล้ว ก็เพิ่งติดต่อกันมาวันนี้ละ " เท่าที่ผมรู้ ครอบครัวของฟานเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างแปลกแล้วดูแย่เอามากๆในความรู้สึกของผม พ่อแม่ทำธุรกิจใหญ่โตแต่กลับมีความเชื่อเรื่องดวง เชื่อคำพูดของคนที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้องเชื่อทั้งๆที่เค้าบอกว่าให้ทิ้งลูกชายตัวเองไป เชื่อทั้งๆที่เค้าบอกว่า ให้เอาลูกชายไปอยู่ที่อื่น ไม่ให้เอามาเป็นลูก ฟานที่ถูกทิ้งให้อยู่กับตากับยายตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้รับการเหลียวแลจากที่บ้านเลยเพราะพวกเค้าเชื่อว่า ถ้าเกิดมายุ่งเกี่ยวกับเด็กคนนี้จะทำให้ชีวิตต้องเกิดเรื่องไม่ดี
“ แล้วทำไมเค้าถึงติดต่อมาละ "
“ ถ้าพูดออกไป นายจะคิดมากมั้ยละ " ผมเลิกคิ้วตอนที่อีกคนพูดแบบนั้น อาหารที่ถูกทยอยมาเสิร์ฟฟานก็เล่าเรื่องที่เค้าเจอวันนี้ให้ผมฟัง เรื่องของน้องสาวตัวเองที่นัดมาเจอกัน เพื่อที่จะให้กลับไปเป็นครอบครัวเดียวกันและหมั้นหมายแต่งงานกับคู่ค้าของธุรกิจของพ่อแม่ ผมฟังเรื่องราวพวกนั้นด้วยความรู้สึกชา มองหน้าคนที่เล่ามันด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
ครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนาน ไม่เคยสนใจและเหลียวแล อยู่ๆก็ติดต่อมา เพราะเห็นว่าเค้ามีประโยชน์ทางการเงินและธุรกิจที่ต้องเติมโตขึ้นไป ทั้งๆที่ฟานเองก็ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวนั้นแล้วด้วยซ้ำ เงินทองที่เค้าใช้ตอนนี้เท่าที่ผมรู้คือสมบัติที่ตากับยายเค้าทิ้งไว้ให้ เป็นที่ทางมากมายที่ถูกเช่าทำสัญญาหลายสิบปี ทั้งๆที่เค้าไม่เคยถูกเรียกว่า คนในครอบครัวเลยแต่วันนี้กลับถูกเรียกว่าคนในครอบครัว เพียงเพราะตัวเองมีประโยชน์ก็เท่านั้น
" แล้วนายคิดว่ายังไงละ "
" คิดว่ายังไงน่ะเหรอ ก็ไม่ทำอยู่แล้ว ฉันบอกปัดไปแล้วก็ฝากข้อความไปบอก คนสองคนนั้นแล้วด้วย " เค้าถอนหายใจออกมา " ความรู้สึกที่อยากมีพ่อแม่น่ะก็เป็นแค่ตอนประถมที่โรงเรียนจัดงานวันพ่อวันแม่ก็เท่านั้นแหละ ส่วนตอนนี้ฉันไม่จำเป็นต้องมีหรอก เท่าที่ฉันมีมันก็พอแล้ว "
" ไม่เป็นไรหรอกนะ " ผมเอื้อมมือไปจับมือเค้าไว้ มาหวนคิดดูว่า เมื่อก่อนผมก็เป็นของสำคัญที่เค้าให้ความสำคัญมากๆ เป็นเหมือนคนคนเดียวในชีวิตของเค้า เป็นครอบครัวของเค้า แต่สิ่งที่ผมทำคือการนอกใจเค้าไปรู้สึกดีกับคนอื่น ทิ้งเค้าทำร้ายเค้าไม่ต่างอะไรกับพ่อแม่ที่เป็นครอบครัวเค้าที่ทิ้งและทำร้ายเค้าเลยสักนิด
“ ฉันไม่เป็นไรหรอก เรื่องของบ้านนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันแล้วก็ไม่ได้ทำให้ฉันเสียความรู้สึกอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกตลก ตลกความเห็นแก่ตัวของคนบ้านนั้น ตลกความหน้าด้าน ที่คิดว่าแค่มาหลอกฉันว่าจะให้กลับไปเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วฉันจะเชื่อ ตลกที่เค้ายังคิดว่า ฉันยังอยากจะกลับไปเป็นครอบครับเดียวกับเค้า ทั้งๆที่ตลอดมา ฉันไม่เคยคิด ความรู้สึกที่ฉันเป็นลูกของคนบ้านนั้น มันตายไปนานแล้ว " เค้าพูดก่อนจะยกยิ้ม " แต่ถ้านายรู้สึกว่าฉันยังเสียใจแล้วอยากจะปลอบฉันจริงๆละก็ นายจูบฉันสักครั้ง ฉันก็หายแล้วละ ความรู้สึกที่ไม่ดีพวกนั้นนะ "
" บ้า ใครจะทำ กลางร้านอาหารนะ " ผมดึงมือออกจากมือเค้าบ่นเสียงเบาๆก่อนจะหันมาสนใจอาหารในจานตรงหน้า " คนอุตส่าห์เป็นห่วงยังมาหื่นใส่อีก "
" เอ้า ! ก็ฉันเห็นหน้านายเศร้า ก็คิดว่าอยากจะปลอบใจ ฉันก็เลยบอกไง ว่าทางที่จะปลอบใจฉันน่ะ มันคือทางไหน "
" ใครจะทำ คนเยอะแยะ "
“ ถ้าอยู่กันสองคนจะทำงั้นสิ " ฟานบอกก่อนจะคิด " งั้นหลังจากกินข้าวเสร็จนายจูบฉันนะ "
“ จะให้ฉันจูบนายทั้งๆที่มื้ออาหารที่เรากินมันคือ ส้มตำนี่อะนะ.. นายคิดดีแล้วเหรอ คิดใหม่ได้นะฟาน " ผมถามอีกคนก็หัวเราะออกมาลั่นร้าน เรานั่งกินอาหารกันไปเรื่อยๆ ถามไถ่เรื่องต่างๆของงานในวันนี้
ความรู้สึกในใจของผมตอนนี้ มันเปลี่ยนจากหลายนาทีก่อนที่เอาแต่คิดวุ่นวายถึงผู้หญิงคนนั้นว่าเค้าเป็นใคร เหมือนยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก แต่การที่เค้ามาบอกว่า ต้องการให้ฟานกลับไปเป็นครอบครัวและอยากจะให้หมั้นหมายกับคู่ค้าของธุรกิจ แม้ฟานจะปฎิเสธไปแล้วแต่ผมไม่คิดว่าทุกอย่างจะลงง่ายแบบนั้นหรอก
เงินทองไม่ใช่บ้านสองบาท เป็นพันพันล้าน ถ้าฟานเป็นความหวังเดียวของเค้าแล้วละก็ เค้าคงไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ แล้วคนที่ไม่เคยเห็นค่าความความรู้สึกของคนอื่นเลย อย่างพ่อแม่ของเค้า คงไม่แคร์อะไรกับความรู้สึกของลูกชายของพวกเค้า ขนาดทิ้งลูกชายตัวเองยังทำได้ขอแค่ได้ตรงตามเป้าหมาย ไม่ว่าอะไรผมก็คิดว่า คนแบบนั้นคงไม่แคร์
“ พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนกันดี " ฟานหันมาถามผมหลังจากที่เรากินข้าวเสร็จแล้วเดินกลับมาขึ้นรถไฟเพื่อกลับบ้าน
“ พรุ่งนี้วันหยุดเหรอ " ลืมไปเลยว่าวันหยุดถ้าฟานไม่บอกผมคงออกไปทำงานเหมือนทุกวันเพราะลืมวันลืมคืนไปแล้ว ผมยกมือถือที่ถืออยู่ขึ้นมาดู " วันเสาร์เหรอ ปกตินายชอบชวนฉันไปเที่ยววันอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ "
“ ก็ใช่อยู่ แต่ว่าพรุ่งนี้อยากจะออกไปเดินซื้อของในห้างสักหน่อย ช่วยไปเป็นเพื่อนหน่อย "
“ ได้สิ "
“ ฉันอยากจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ แล้วก็ของใช้ส่วนตัวสักหน่อย ไปด้วยกันนะ "
..............................................................
ตื่นนอนในเช้าวันเสาร์ที่สายกว่าปกติบิดขี้เกียจน้อยๆ คนที่กอดผมไว้บนเตียงกว้างก็ดึงผมเข้าไปกอด ใบหน้าคมที่ยังคงหลับสนิท ผมเงยหน้ามองเค้า ก่อนจะคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่เราพูดกัน เรื่องของครอบครัวเค้าที่อยู่ๆก็ติดต่อมา คิดถึงแววตาเจ็บปวดแต่พอปลอบหน่อยเค้าก็บอกว่า เค้าไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น คำพูดหื่นๆกลบเกลื่อนของเค้าที่บอกว่า ช่วยจูบเค้าหน่อยถ้าอยากจะให้หายเศร้า ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่คิดถึงคำพูดนั้นเอื้อมมือกอดร่างสูงที่นอนอยู่ข้างกัน ผมรู้ดีว่าคนอย่างฟานคงไม่คิดจะยอมรับความรู้สึกเสียใจในใจลึกๆของตัวเองหรอก ไม่ยอมรับ และทำเป็นไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่คิดแบบนั้น ผมขยับตัวแล้วจูบเค้าที่ริมฝีปาก ก่อนจะหลับตาลงตอนที่อีกคนขยับตัวกอดผมไว้แน่น เสียงทุ้มที่กระซิบลงข้างหู " แอบจูบฉันตั้งแต่เช้าเลยนะคีย์ " ผมเงียบแสร้งทำเป็นว่าตัวเองกำลังหลับอยู่ อีกฝ่ายที่หัวเราะในลำคอคงรู้อยู่แล้วว่าผมแกล้งหลับ " ไม่ยอมรับสินะ ว่าจูบฉัน "
ร่างสูงเงียบไปก่อน มือที่กอดผมไว้จะย้ายมาสอดเข้าไปใต้เสื้อของผมที่ใส่อยู่ ผมที่หลับตาอยู่ในตอนนั้น สัมผัสมือที่เลื่อนขึ้นมาเลื่อนๆ ภาพความทรงจำเดิมมันก็ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง มือหยาบกร้านที่ทำให้ขวัญผวาอยู่ตลอดเวลา มือที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมา
“ อย่านะ!! “ ผมสะดุ้งตัวตื่นผลักร่างที่กำลังนอนกอดกันให้ออกห่างจากตัว ลมหายใจที่หายใจเข้าออกแรงๆ ผมกอดตัวเองไว้ก่อนที่ฟานจะลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ มือหนาที่เอื้อมมือจับไหล่ผมไว้
“ ฉันขอโทษ "
“ ไม่เป็นไร " บอกเค้าแบบนั้นผมเบือนหน้าหนีเค้าลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที ทั้งๆที่ทุกอย่างมันกำลังเป็นไปได้ดีแต่ไม่ว่ายังไง เรื่องราวพวกนั้นมันก็ยังคงฝังอยู่ในใจของผม และถูกปลุกขึ้นมาทุกครั้งที่หลับตาลง ถูกปลุกขึ้นมาทุกครั้งที่เริ่มทำเรื่องแบบนั้นแม้จะเป็นกับคนที่ผมรักอย่างฟานก็ตาม
เงยหน้ามองตัวเองในกระจก น้ำตาที่เริ่มไหลอาบแก้มผมเกลียดภาพพวกนั้น ภาพที่บางทีก็ฉายขึ้นมาในกระจกเงาตรงหน้าผม ภาพที่คนพวกนั้นกระทำกับร่างกายของผมด้วยความน่ารังเกียจ ขาของผมเริ่มถอยหลังด้วยความกลัว แววตาสั่นๆของผมมือเอื้อมคว้าเอาที่ใส่ของที่ตั้งอยู่หน้ากระจกไว้แน่น ง้างมือจะขว้างให้ภาพพวกนั้นมันหายไป แต่ทว่าในตอนนั้นเองฟานก็เดินเข้ามาในห้องน้ำนั้นเสียก่อน เค้าเดินมากอดผมไว้จากด้านหลัง ค้ำหน้าลงบนไหล่ก่อนจะหอมแก้ม ภาพตรงหน้ากระจกนั้นเปลี่ยนไป มันเป็นไปมีแค่เค้ากับผมเท่านั้น ฟานหยิบของออกจากมือ
“ คีย์ " เสียงทุ้มที่เอ่ยเรียก ผมก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“ ขอโทษที ฉัน ..”
“ ไม่ต้องพูดหรอก " ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกแล้วเค้าเองก็ต้องรู้สึก อย่าที่ผมเคยบอกเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของฟานไปตลอดเหมือนตราบาปของเค้าที่ทำไว้กับผม เป็นเรื่องที่ผมเองไม่ต้องทำอะไรเค้าก็เหมือนได้รับผลจากสิ่งที่เค้าทำอยู่แล้ว ยิ่งผมอยู่ใกล้ๆ ยิ่งเค้าอยากจะให้ผมกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่าไหร่เค้าก็ยิ่งเจ็บปวดเท่านั้น เจ็บโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย .. แต่ถึงอย่างงั้น ทั้งผมทั้งเค้าเราก็เจ็บมันไปด้วยกันทั้งคู่
เค้ามองผมผ่านทางกระจกบานที่กำลังฉายร่างของเราที่กำลังกอดกันอยู่ ผมยิ้มจางๆ " อาบน้ำแล้วไปข้างนอกกันดีกว่า วันนี้นายสัญญากับฉันแล้วนะว่าจะไปด้วยกัน "
“ อื้ม " ผมพยักหน้ารับฟานก็ปล่อยมือจากเอวของผม เค้าเอื้อมมือไปหยิบแปรงสีฟันแล้วบีบยาสีฟันส่งมาให้ผม ก่อนจะจัดการของตัวเอง เราแปรงฟันพร้อมๆกัน ตรงหน้ากระจกที่ตอนนี้ก็เห็นเพียงแค่เค้า
น้ำตาของผมไหลออกมา ไม่รู้ทำไม แต่หยุดน้ำตาของตัวเองให้ไหลไม่ได้เลยทั้งๆที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีแล้วแท้ๆแต่ผมกลับยังคงคิดถึงแต่เรื่องพวกนั้น เรื่องที่ไม่อยากจะคิดถึงอีก
“ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่ข้างๆนาย จนกว่านายจะลืมสิ่งที่ฉันทำ ฉันจะรับผิดชอบมัน ฉันจะอยู่กับนายจะไม่ทิ้งนายไม่ไหน " เค้าบอกก่อนจะเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผม ฟานก้มลงบ้วนปาก แล้วผมเองก็ป้วนตาม
“ ฉันรู้สึกว่าว่า ฉันมันสกปรก " ผมบอกแบบนั้นฟานก็มองก่อนจะเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดปากตัวเองก่อนจะเช็ดให้ผม เค้าที่ก้มลงมาจูบเบาๆก่อนจะผละริมฝีปากออก
“ อย่าพูดแบบนี้ นายไม่ได้สกปรกอะไร " เค้ายิ้ม " แค่เหม็นนิดหน่อย แต่ถ้าอาบน้ำแล้วก็คงหอมเหมือนเดิม " ผมหลุดยิ้มออกมาฟานยิ้มจางๆก่อนจะยกมือขึ้นทัดหูผม " ขอโทษนะคีย์ ขอโทษนะฉันทำมันอีกแล้ว ฉันไม่น่าเลย ทั้งๆที่ฉันต้องทำให้นายลืม แต่มันเป็นเพราะฉันทุกครั้งที่ทำให้นายต้องคิดขึ้นมา "
“ เราแค่ต้องผ่านมันไปด้วยกัน " มือของผมประคองหน้าเค้า ใบหน้าที่กำลังเศร้านั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าเราจะตกอยู่ในความรู้สึกแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เราทั้งคู่ก็อยากจะลืมมันไป และมีทางเดียวที่ทำได้คือการพยายามไม่พูดถึงและไม่ยืดเยื้อกับความรู้สึกเศร้าๆแบบนี้อีกต่อไป เมื่อคิดถึงก็คือคิดถึงแต่ก็ต้องพยายามลืมให้เร็วที่สุดเพื่อตัวผมเอง " นายออกไปข้างนอกก่อน ฉันจะได้อาบน้ำ จะได้หอมๆไง "
“ แล้วนายจะไม่..”
“ ฉันโอเค ฉันต้องพยายามที่จะลืมแล้วอยู่กับมันให้ได้สิ ต้องเผชิญหน้ากับมัน " ผมยิ้มให้เค้า ฟานที่เดินนิ่งอยู่สักพักเค้าที่ยังไม่เดินไปไหนเพราะคงยังกังวลเรื่องความรู้สึกของผม " นายออกไปได้แล้ว ฉันจะอาบน้ำเราจะได้ออกไปซื้อของกันไง " คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ฟานออกไปจากห้องน้ำแต่โดยดี ผมเองก็ผ่อนลมหายใจออกมาเหลือบมองกระจกเงาที่ก็มีแต่ตัวเองอยู่ในนั้น พยายามหลับตาไม่มองภาพที่ค่อยๆฉายความน่ากลัวนั่นออก พยายามลืมแล้วเบี่ยงเบนตัวเองให้คิดเรื่องอื่นและเริ่มอาบน้ำให้เร็วที่สุด
เราสองคนออกจากคอนโดตอนเกือบเที่ยงวัน ห้างใหญ่ใจกลางเมืองมีผู้คนเยอะแยะในวันหยุดอย่างที่ผมนึกจินตนาการเอาไว้ ร้านอาหารที่เต็มทุกร้านเพราะติดช่วงเที่ยง เราออกมาเดินซื้อของกันก่อนฆ่าเวลารอให้คนในร้านอาหารว่างกว่านี้เสียหน่อย ของที่ฟานพาผมมาซื้อวันนี้ผิดไปจากคาดที่คิดว่าน่าจะเป็นเสื้อผ้า แต่เปล่าเลย ฟานมาซื้อน้ำหอม น่าแปลก ผมคิดว่าฟานไม่่ใช้น้ำหอม คิดว่ากลิ่นตัวอุ่นๆที่ชอบกอดเป็นกลิ่นประจำตัวของอีกคนอยู่แล้วซะอีก
“ นายว่ากลิ่นไหนหอม "
“ ฉันไม่ค่อยมีความเห็นเรื่องกลิ่นของน้ำหอมหรอก " ผมบอก " ปกติฉันไม่ใช้ แล้วก็ไม่ชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆด้วย " ปกติเป็นคนไม่ใช่น้ำหอมอยู่แล้ว ได้กลิ่นน้ำหอมฉุนๆที่ไรก็รู้สึกหายใจไม่ออกทุกที " นายใช้น้ำหอมกลิ่นเดิมก็ดีนะ ฉันว่ามันก็หอมดี ไม่ฉุนมาก "
“ ก็คิดว่างั้นแค่อยากเปลี่ยนบ้าง นายไม่มีกลิ่นที่นายชอบบ้างรึไง "
“ นายใช้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันชอบละเนี้ย " ผมบอกก่อนจะยื่นมือไปรับเทสเตอร์ของพนักงานที่ยื่นน้ำหอมกลิ่นนึงมาให้ดม มันเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายๆกับกลิ่นที่ฟานใช้ " กลิ่นนี้หอมดี แต่คงคล้ายๆกับของนาย " ผมยื่นเทสเตอร์สะบัดไปมาตรงปลายจมูกอีกคนฟานซี่ก็ยกยิ้ม
“ ไม่คล้ายได้ไง นี่เป็นกลิ่นที่ฉันใช้ตอนนี้ " ขมวดคิ้วดมอีกทีเหมือนในมือมันจะหอมกว่าหน่อยๆ " น้ำหอมพอมันผสมกับกลิ่นตัวคนมันจะเป็นอีกกลิ่นนึง "
" เหรอ งั้นก็เป็นขวดเดิมก็ดีนะ ดมแล้วสบายใจดี " ผมยิ้มให้เค้าอีกคนก็หันไปสั่งพนักงานแล้วยื่นบัตรเครดิตไปให้ กลิ่นของฟานสำหรับผมมันเป็นกลิ่นที่ดมแล้วอบอุ่น อุ่นใจ เป็นความรู้สึกหลายๆอย่างที่อบอวลอยู่ในความรู้สึกเหมือนพอได้กลิ่นนี้จากเค้าตอนที่อยู่ใกล้ๆก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด แต่เป็นแบบนี้มานานแล้ว
" นายจะใช้สักขวดมั้ย ฉันซื้อให้ "
" ไม่เอาอะ ฉันไม่ชอใช้น้ำหอมเท่าไหร่ " ผมส่ายหน้าบอก แต่อีกคนก็ยังดึงดันให้เดินไปดูน้ำหอมเค้าเตอร์แบรนด์ของผู้หญิงข้างๆ ฟานกระซิบ " วันก่อนฉันได้ดมเทสเตอร์ของมัน หอมดี “ เทสเตอร์น้ำหอมตัวที่อีกคนชอบ ถูกส่งมาให้ผมที่ก็พอดมดูแล้วก็หอมดีนะ เหมือนขนมหวานผสมดอกไม้ที่หอมอ่อนๆ " หอมมั้ย "
" ก็หอมดี แต่ฉันไม่ใช่น้ำหอม ครีมอาบน้ำที่ใช้อยู่มันก็หอมติดผิวอยู่แล้ว "
" ฉันซื้อให้เอาเถอะน่า ขวดนึงครับ " ประโยคหลังเค้าบอกพนักงานที่ก็พนักหน้ารับ
" คะยั้นคะยอกันจริงๆเขียว "
" ฉันชอบ ฉันอยากจะให้กลิ่นแบบนี้มันติดอยู่ที่ตัวนาย " เค้าบอกก่อนจะหันมายิ้มให้ผม " รู้สึกน่ากินดี "
" น่าเกลียด " ผมเหลือบมองซ้ายขวาโชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ ฟานที่หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังเค้าเดินไปดูน้ำหอมขวดอื่น ผมเองก็หยิบนู้นนี่ทำเป็นไม่สนใจ ทำเป็นไม่รู้จักก่อนจะถูกดันไหล่แซวๆ รอยยิ้มของเราทั้งคู่ที่กำลังหัวเราะก่อนจะเสียงของผู้หญิงคนนึงจะเรียกฟานขึ้นมา เสียงที่ผมไม่คุ้น แต่พอหันไปมองดูก็ชวนให้รอยยิ้มที่เคยยิ้มกว้างกลับค่อยๆหดหายไปด้วยความตกใจไม่น้อยที่เจอ
" ฟาน.. " เธอเอ่ยคำพูดออกมา ร่างสูงที่ยืนข้างผมก็หดยิ้มลงพลางถอนหายใจออกมา
" พี่ฟิล์ม " ชื่อของคนคนนั้นหลุดออกมาจากปากเค้า " โลกเชี้ย ทำไมมันแคบจัง " เค้าบอกก่อนจะหันมาสนใจอย่างอื่น ผมในตอนนั้นถอยห่างออกไปจากเค้าไปดูของอย่างอื่นเพราะไม่อยากจะให้ผู้หญิงคนนั้นเห็น ผู้หญิงที่ผมยังคงจำได้ดี ผู้หญิงที่ครั้งนึงผมเคยอิจฉาเค้า อิจฉาที่เค้าทั้งสวย ดูดี และที่สำคัญเค้าเป็นเจ้าของคนที่ผมแอบชอบ ผู้หญิงที่เป็นภรรยาของหัวหน้า ' คุณฟิล์ม '
...............................................................
บางที จุดเริ่มต้นของบางอย่างก็เป็นจุดจบของบางสิ่ง
มีคนหลายคนถามว่า คีย์เป็นแบบนี้ไม่ไปหาหมอเหรอ
หมอรักษาไม่ได้ทุกโรคนะ การเยียวยาต้องใช้เวลา ถ้าความรู้สึกดีๆมันลบได้ง่ายๆ เหมือนดินสอที่มียางลบแล้วละก็
ตอนนี้คงไม่มีเรื่องเศร้าแล้วละ ใช่มั้ยละ
ฝากเรื่องนี้ไว้ในใจทุกคนด้วยนะคะ
ตอนนี้กำลังเร่งเขียนให้จบอยู่
ยังไงฝากแท็ก #ฟานคีย์ ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
