ก็บอกว่าไม่ชอบเด็กไง
ตอนที่ 39
' ความลับไม่มีในโลก '
ขบวนรถไฟที่อึดอัดในช่วงเช้า ผมกลืนน้ำลายกับความอึดอัดที่มีมากกว่าทุกครั้งอาจเพราะร่างสูงของหัวหน้าที่กำลังยืนช้อนหลังของผมอยู่ในตอนนี้ เราที่กำลังแนบชิดกันและกัน ลำตัวที่ค่อยๆส่ายไปมาเล็กน้อยเพราะทางเดินของรถไฟที่กำลังโยกย้ายไปมา อากาศเย็นๆแต่ภายในอกของผมกำลังร้อนรุ่ม เพราะรู้สึกถึงส่วนกลางของเค้าที่กำลังบดเบียดอยู่ที่ช่วงบั้นท้ายของตัวเอง ทั้งๆที่พยายามสงบจิตสงบใจกับความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้น ' ไม่มีอะไรหรอก คิดไปเอง ' แต่ส่วนกลางที่ดันผมอยู่ตอนนี้แถมยังโด่ขึ้นเรื่อยๆก็ไม่ได้ช่วยให้คิดอะไรให้แง่นั้นได้
“ ขอโทษนะคีย์ " ร่างสูงก้มลงมาบอกผมให้ตอนนั้นก็ได้แต่หน้าแดงแล้วก็ก้มหน้างุด ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง " ฉันเหมือนควบคุมมันไม่ได้อะ " ผมไม่ตอบอะไรอีกคน อยากบอกว่าเข้าใจแต่นั่นก็กระดากปากเหลือเกินที่จะพูดออกไป
“ เดี๋ยวอีกสองสถานีก็ถึงแล้วครับ " ตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นก่อนจะพยายามขยับตัวหนีเค้าแต่เหมือนว่าความอึดอัดในโบกี้จะไม่สามารถทำให้ผมหนีได้เท่าไหร่ หนำซ้ำเค้ายังเบียดเข้ามาใกล้กันอีกเป็นเท่าตัวตอนที่รถไฟจอดลงที่สถานีเหมือนย้ำสัมผัสของเราให้แนบชิดขึ้นไปอีก ผมหดเกร็งตัวเอง เม้มริมฝีปาก ก่อนจะเบิกตากว้างกับความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรมาถูตรงที่ช่วงก้นเบาๆมันไม่ใช่การสัมผัสแบบผิวๆแต่เป็นการสัมผัสที่เรียกว่า จงใจ ตอนที่หันขวับไปมองก็พบกับลุงแก่ๆคนนึงที่เหมือนกำลังยืนนิ่งแต่มือก็สัมผัสอยู่เค้าลูบก้มผม ตอนที่พยายามเอามือมาปัดออก เค้าก็นิ่งไปสักพักก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่แค่มือแล้ว แต่กลับเป็นอะไรแข็งๆที่น่าจะเป็นส่วนนั้นมากกว่า เค้าที่เอามันมาถูที่ก้นของผม หลับตาแน่นนึกถึงคำถามของฟานที่เคยถามผมเมื่อวาน
' ไม่กลัวเหรอครับ ถ้าโดนลวนลานในรถไฟ ' ตอนที่ตอบไปว่าไม่กลัว เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ อีกอย่างผมมองว่าใครจะมาโรคจิตทำอะไรแบบนั้นได้วะ แต่ว่าตอนนี้ก้นที่กำลังโดนคนแปลกหน้าสัมผัสอยู่ตอนนี้ ปากที่ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากห้ามออกไป ผมที่ได้แต่กอดตัวเองเพราะไม่รู้จะทำยังไงไม่กล้าแม้จะปัดออก เพราะถ้าปัดก็คงโดนส่วนนั้นของเค้า คนก็เบียดแน่นเกินไป ถ้าเกิดว่าเผลอพูดคงต้องเป็นข่าว แล้วต้องแพร่ไปทั่วในบริษัทแน่ๆ
“ ทำอะไรน่ะ " เสียงทุ้มนิ่งๆของหัวหน้าที่คว้ามือนั่นให้หยุดลงก่อนจะจ้องเขม็งไปที่ชายคนนั้น " มายุ่งอะไรกับคนของผม "
“ พี่ธีร์ " ผมหันไปมองเค้าที่กำลังขมวดคิ้วเอาเรื่องอีกคน ชายร่างเตี้ยหัวล้านๆที่เหมือนไอ้แก่ตันหากลับ เค้าสะบัดมือออก
“ ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย " คำพูดที่ประจวบเหมาะกับรถไฟที่ จอดลงที่สถานีอีกคนก็วิ่งออกไป ท่ามกลางผู้คนในโบกี้ที่กำลังสงสัยในตัวเค้า หัวหน้าก็ก้มลงมามองผม พร้อมทั้งสายตาของอีกหลายๆคน
“ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน " พูดออกไปแบบนั้นก่อนจะก้มหน้าลงกับหัวใจที่ก็ยังเต้นแรง สัมผัสที่โดนล่วงเกินนั้นทั้งน่ารังเกียจแถมยังน่าขยะแขยงผมทำได้แต่กอดตัวเองก่อนจะเงยมองหน้าอีกฝ่ายที่เอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้ เค้าที่ยิ้มให้ราวกับกำลังปลอบโยนผมด้วยแววตา ' ไม่เป็นไรหรอก ยังมีฉันอยู่ตรงนี้ '
สถานีที่ต้องลงถูกจอดป็นสถานีต่อมา ผมก้าวเดินลงจากรถไฟก่อนจะเบี่ยงตัวเองออกไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่สักครู่ ร่างสูงที่เดินตามมาเค้าย่อตัวคุกเข่าลงถามผม " โอเครึเปล่าคีย์ ไม่เป็นไรนะ "
“ ครับ ไม่เป็นไร " ผมบอก " แค่รู้สึกไม่ค่อยดีก็เท่านั้นครับ เหมือนจะอ้วกอยู่หน่อยๆ "
“ นั่งพักก่อนก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก " มือหนาเอื้อมมาจับมือผม เค้ากุมไว้แน่น " ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนายเอง " เสียงอบอุ่นกับความอุ่นของมืออีกคนที่ทำให้ผมผ่อนลมหายใจออกมา
ทุกอย่างเงียบอยู่ในขณะนั้นเป็นเวลานาน สัมผัสที่ชวนให้อยากกลับบ้านไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายของตัวเอง แม้จะไม่มากแต่การที่เราโดนสัมผัสที่ค่อยๆถูไถช้าๆ จากใครสักคนที่ไม่รู้จัก การสัมผัสด้วยความตั้งใจของเค้า ลมหายใจที่เข้าออกร้อนๆของเค้ายามที่สัมผัมเรา มันชวนให้อยากจะอาเจียนออกมาจนแทบจะกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
“ ลางานมั้ย ฉันจะอนุมัติตอนนี้เลย "
“ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะกลับไปบ้านด้วยรถไฟแล้ว " ไม่อยากจะขึ้นไปแล้วเบียดเสียดกับผู้คนแบบนั้นอีกแล้ว " ไม่เป็นไรหรอกครับ นั่งสักพัก ขอให้ผมได้นั่งสักพักก็พอ "
“ อื้ม " เค้าตอบรับ ฝ่ามือที่ยังกุมมือของผม ผมมองฝ่ามือนั้นไม่รู้ทำไมแต่มันต่างจากครั้งนั้นที่เค้าดึงมือผมไปจับ หนนี้มันทั้งอบอุ่นแล้วก็รู้สึกว่าเค้าปกป้องเราได้ ไม่เหมือนหนนั้นที่ดูเหมือนเป็นการล่วงเกินแล้วพยายามจะจับเสียมากกว่า " โทรบอกแฟนนายมั้ย " คำถามที่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคน " เผื่อนายจะรู้สึกดีขึ้น "
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ " ผมก้มหน้าลงบอกก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่า อีกไม่นานฟานก็ต้องออกจากบ้านแล้วมาทำงาน ถ้าผมมัวขืนช้านั่งรู้สึกแย่กับสัมผัสแบบนั้นอยู่ตรงนี้ กับหัวหน้าที่ยังจับมือผมอยู่ตอนนี้ คงได้มีเรื่องแน่ " เราไปทำงานกันเถอะครับ " ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง อีกคนก็รั้งมือไว้
“ ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปหรอก นายรู้สึกไม่ดีแบบนี้กลับไปพักที่บ้านก่อนก็ได้ "
“ ผมไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เชื่อเถอะครับ " บอกอีกคนแบบนั้นทั้งๆที่อยากจะกลับไปบ้านเต็มทน แต่เพราะถ้ากลับไปฟานก็ต้องสงสัย แล้วคนแบบหมอนั้นคงไม่ปล่อยให้ผมโกหกได้นานอยู่แล้ว แสนวิธีที่จะถูกบีบคั้นความจริงออกมา แล้วฟานที่ห่วงผมอยู่แล้วมีหวังต้องฝืนตัวเองมาส่งกันทุกวันแถมยังคอยดูคนไม่ให้เข้าใกล้ผมอีก แล้วถ้าเป็นแบบนั้นเค้าที่เหนื่อยอยู่แล้ว แถมยังต้องมาคอยห่วงผม นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“ แต่ว่า "
“ พี่ธีร์ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้วละ ไม่เป็นไรหรอก ไปทำงานกันเถอะครับ " หันไปพูดกับอีกคนแบบนั้น เค้าที่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มกว้างออกมา แล้วก้มหน้าลง " เป็นอะไรไปล่ะครับ "
“ เปล่าหรอก แต่นายนี่มัน..”
“ หื้ม ? “ เอียงหน้ามองเค้าอีกคนก็ยิ้มบอก
“ ไม่บอกหรอก "
“ อ้าว ไหงงั้นละครับ "
“ ไว้ไปกินข้าวด้วยกันเที่ยงนี้แล้วจะบอก " เค้าหันมาบอก เราที่เดินข้างกันออกไปจากสถานีรถไฟ เดินตรงสู่ตึกบริษัท
“ ต่อรองแบบนี้อีกแล้วนะครับ "
“ ก็ถ้านายไม่สนใจอยากจะรู้ก็ไม่ต้องมาสิ "
“ เหมือนกำลังโดนแกล้งเลย "
“ แค่รู้สึกดีน่ะ ฉันรู้สึกดีที่ทำให้นายรู้สึกดีขึ้นได้ในสถาวะแบบนั้น รู้สึกตัวเองสำคัญสำหรับนายขึ้นมานิดนึงแล้วละ " เค้าที่หันมายิ้มให้ " เพื่อไม่ให้มองว่าฉันต่อรองอะไรกับนาย ความรู้สึกในใจฉันมันเป็นเป็นแบบนั้นแหละ "
“ พี่ธีร์ ..”
“ ส่วนเที่ยงวันนี้ นายจะไปกินข้าวกับฉันมั้ยมันก็สุดแล้วแต่นายนะ " ใบหน้าคมที่จ้องหน้าผม ความอบอุ่นของเค้าชวนให้ผมประทับใจอีกแล้ว การช่วยเหลือหรือแม้แต่สองมือที่คอยโอบจับกันเอาไว้ " คีย์ "
“ ครับ "
“ โอเคจริงๆใช่มั้ย เรื่องนั้นน่ะ เรื่องในรถไฟเมื่อกี้ โอเคขึ้นแล้วใช่มั้ย " พยักหน้ารับอีกคนแบบนั้น มือหน้าก็เอื้อมมือลูบหัวผม " ฉันเป็นห่วงนะถ้ามีอะไรก็บอกกันก็แล้วกัน อยากจะกลับก็บอกฉันจะให้นายกลับเอง ฉันไปทำงานล่ะ เพื่อนนายที่เกลียดฉันเดินมานู้นละ " ผมหันไปมองตามสายตาคมที่มองไป ลิปที่กำลังเดินมาด้วยท่าทียิ้มๆ ผมหันกลับมามองเค้า ที่เหมือนมีคำพูดนึงที่ลังเลอยากจะพูดออกมา
“ มีอะไรเหรอครับ "
“ ฉันแค่อยากจะถามว่า พรุ่งนี้ ถ้าฉันขึ้นรถไฟมาทำงานกับนายอีกได้รึเปล่า นายจะรังเกียจมั้ย ถ้าฉันจะไปด้วย แต่ฉันเป็นห่วงนายไม่อยากจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก ฉันไม่ชอบเลยที่นายต้องทำหน้าวิตกแบบนั้น ไม่ชอบที่ใครมาทำแบบนั้นกับนาย ไม่อยากจะคิดว่าถ้าฉันไม่เห็นมันจะเกิดอะไรมากขึ้นกว่านั้นรึเปล่า กลัวว่าแค่มือที่ฉันจับ จะทำให้นายอุ่นใจไม่พอ "
“ อย่าคิดมากเรื่องของผมขนาดนั้นสิ "
“ ฉันชอบนาย ฉันไม่อยากให้จะให้ใครแตะต้องของของฉันทั้งนั้น คนที่นายไม่สมยอม เพราะแค่คนนั้นสำหรับฉันมันก็สุดจะกลืนแล้ว "
“ พี่ธีร์ ..” เค้าที่ก้มหน้าลงผ่อนหายใจออกมาเบาๆ ผมก็ทำได้แค่เม้มริมฝีปากแล้วก็พยักหน้ารับความห่วงใยที่แสนอบอุ่นของเค้าไปในที่สุด " ก็ได้ครับ ยังไงซะนั่นมันก็รถสาธารณะนี่ ใครจะขึ้นก็ได้ไม่ใช่รึไง "
“ ขอบใจนะ งั้นไว้เจอกัน " รอยยิ้มของอีกคนที่เดินจากผมไป แผ่นหลังหนาที่ค่อยๆห่างสายตาออกไปเรื่อยๆ ผมมองดูเค้าอย่างไม่ละสายตาเลยสักนิด ความห่วงใยและความอบอุ่นของเค้า ก้มลงมองฝ่ามือของตัวเองที่ถูกเค้ากุมไว้เมื่อครู่ ความรู้สึกดีๆที่เค้าคอยอยู่ข้างๆตอนนั้น นี่แหละมั้ง คนที่เราชอบ ผู้ใหญ่ที่อบอุ่นแบบนี้แหละ
“ คีย์ " หันไปหาเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อผม ลิปยิ้มจางๆ " ไปทำงานกันเถอะ "
“ อะ อื้ม " ผิดคาดไปหน่อยสำหรับคำทักทายธรรมดาๆของเค้าที่พูดแค่นั้นทั้งๆที่ปกติควรจะมีคำพูดประชดประชันหลุดออกมาจากปากเค้าแล้ว ผมที่ยืนนิ่งอยู่สักพัก อีกคนก็ขำ
“ ทำไมนิ่งแบบนั้น มีอะไร ฉันแปลกเหรอ "
“ ก็แปลกนิดหน่อย " ผมบอก ลิปก็หัวเราะ
“ แปลกยังไง "
“ ก็แปลก ที่ไม่ประชดทั้งๆที่เห็นฉันยืนคุยอยู่กับหัวหน้า "
“ ไม่เห็นต้องประชดเลยนี่น่า นายรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร จะ 30 แล้วนะเว้ยไม่ใช่เด็กเล็กๆที่ไม่รู้ประสีประสาสักหน่อย เราไม่ได้อยู่ในช่วงอายุที่ว่า สามารถพูดได้ว่า นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่นะเว้ย แต่สุดท้ายพอโดนทิ้งจริงๆโดนโกรธจริงๆก็บอกว่า ผิดไปแล้ว เราพูดแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะผู้ใหญ่เค้าไม่พูดกัน "
“ ที่พูดหมายความว่าไงกันแน่วะ " ทำไมถึงรู้สึกว่าคำพูดของลิปมันแปลกๆ เหมือนจะบอกไม่ใส่ใจ แต่ก็แอบประชดอยู่ ประชดแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ด้วย เปรียบเปรยจนงง
“ หมายความว่า ถ้าฟานจับติด แรกๆ นายคงพูดว่า ก็แค่สนิทกันเพราะงานมันก็เท่านั้น นี่เรื่องของผู้ใหญ่ แล้วหลังจากนั้นนานๆไปเค้าทนไม่ไหวจะเลิกกับนายขึ้นมานายคงพูดว่า นายผิดไปแล้วนายทำไปเพราะความไม่รู้ ไม่รู้ว่าฟานจะเสียใจถึงขนาดนี้ แล้วที่ฉันจะบอกคือ นายอ้างเหตุผลพวกนั้นไม่ได้หรอกนะ จะบอกว่าทำไปไม่รู้ไม่ได้หรอก เพราะนายเองก็รู้อยู่แก่ใจ จริงมั้ย " ลิปพูดจบก่อนจะเดินนำผมออกไปแต่ตอนนั้นผมก็พูดออกมาก่อน
“ นายไม่รู้อะไรหรอกลิป นายไม่รู้ว่าทุกวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง นายก็มองแค่ด้านเดียว คือเรื่องที่เกิดขึ้นฉันควรเลือกฟานเพื่อความถูกต้อง แต่ลิปถ้านายมาเป็นฉัน นายจะพูดแบบนั้นออกมาไม่ได้หรอก "
“ ใช่ เพราะมันไม่ใช่ฉันไง ฉันแค่พูดในสิ่งที่ฉันมองว่ามันถูกต้อง ฉันมองในแบบของคนไม่มีความรู้สึกอะไรมาทำให้ไขว้เขว มองอย่างเป็นกลาง แต่นายมองมันด้วยความความรู้สึก รัก แล้วก็ต้องการ"
“ วันนี้หัวหน้าช่วยฉันเอาไว้ จากผู้ชายที่กำลังลวนลามในรถไฟ เค้าที่กุมมือฉันไว้เพื่อปลอบใจฉัน ฉันคิดว่า เค้าไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวแบบที่นายว่าหรอก " อย่างน้อยสำหรับฉัน เค้าก็สารภาพความเห็นแก่ตัวนั้นออกมาตรงๆ
“ ละ..แล้วเป็นยังไงบ้าง นายโอเคมั้ย " มือที่เอื้อมมือมาจับที่ไหล่ สายตาห่วงใยที่มองผมมันเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ลิปที่มีท่าทางตกใจ " แล้วบอกฟานรึยัง เค้าน่าจะเป็นห่วงนายนะ "
“ ฉันคงไม่บอกเค้าหรอก "
“ อ้าว "
“ ฉันไม่อยากจะให้เค้าเป็นห่วง ถ้าฟานรู้มีหวังต้องคอยห่วงมากกว่านี้แน่ๆ ช่วงนี้ทำงานที่ร้านกาแฟเค้าเหนื่อยมากพออยู่แล้ว อีกอย่างถ้าต้องมาส่งฉันตอนเช้า เค้านั่นแหละที่จะไม่ไหวไปซะก่อน "
“ แล้วนายจะแจ้งตำรวจมั้ย ไปแจ้งรึยัง "
“ ฉันคงไม่แจ้งหรอก รถไฟคนเบียดขนาดนั้น กล้องคงจับไม่เห็นหรอก อีกอย่างนะ เวลาไปแจ้งตำรวจเค้าก็ต้องให้เราเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แบบนั้นก็เหมือนฉันโดนลวนลามซ้ำอีกทีนึงนั่นแหละ สู้ลืมๆมันไปไม่ได้กว่ารึไง "
“ คีย์ " ลิปเรียกชื่อผม ก่อนอีกคนจะถอนหายใจออกมามือของเค้าคว้ามือของผมจับก่อนจะบีบแน่น " ไม่ต้องพูดถึงแล้วล่ะ เลิกคิดถึงมันเถอะ ฉันจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ลืมมันซะเถอะนะ "
“ อื้ม "
“ พรุ่งนี้ฉันจะไปรับนายที่คอนโด เรามาทำงานด้วยกันนะ ดีมั้ย "
“ เอ่อ.. ลิปไม่ต้องก็ได้ "
“ ทำไมล่ะ ฉันเป็นห่วงนายนะ ไม่เป็นไรฉันเข้าใจว่าช่วงแรกๆนายต้องยังกลัวๆอยู่บ้าง ฉันจะไปรับนายก็ได้ "
“ คือพรุ่งนี้หัวหน้าจะมารับฉัน " ทุกอย่างเงียบไปตอนที่ผมพูดแบบนั้น คนตรงหน้าที่นิ่งไปก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ " เพราะว่าเค้าอยู่ในเหตุการณ์น่ะ แบบนั้นหัวหน้าเลยจะขึ้นรถไฟมากับฉันวันพรุ่งนี้ โทษทีนะ แต่ว่าฉันนัดกับเค้าไปแล้ว "
“ ไม่เป็นไรหรอก ก็ดีแล้วนี่นายจะมีใครสักคนมาเป็นเพื่อน นายจะได้อุ่นใจ แต่ว่านะ ดีแล้วเหรอที่ไม่บอกฟานไม่ให้เค้าเป็นห่วง แล้วให้คนอื่นที่นายไม่ควรหวั่นไหวด้วยมาเป็นห่วงแทน "
“ โทษทีนะ "
“ ขอโทษฉันทำไม ฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันมันแค่เพื่อน เก็บคำขอโทษของนายไปบอกฟานเถอะ เพราะคนนั้นแหละ คือคนที่นายควรขอโทษเค้ามากกว่าใคร "
เดินขึ้นตึกมาเงียบๆข้างๆลิปที่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีกหลังจากนั้น ผมเองก็ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่จะพูดจะแก้ตัวให้เค้ามองผมในแง่ดี ทุกอย่างดูโจ่งแจ้งไปหมดเหมือนเปิดไฟในห้องมืดๆ ทั้งความรู้สึกของหัวหน้า หรือความรู้สึกตอบรับของผมขยับเข้าไปสู่วังวนของการนอกใจอีกนิด
เปิดคอมทำงานของตัวเองเงียบๆ ก่อนอีเมล์ฉบับนึงจะถูกส่งเข้ามาหา อีเมล์ของหัวหน้าที่พอมองดูเวลาแล้วอีกชั่วโมงนึงก็ใกล้เวลาพักเที่ยงแล้ว
' ไปกินข้าวกันมั้ย ' ประโยคสั้นๆที่เค้าพิมพ์มา ผมเหลือบมองลิปที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกรงใจอีกคนเสียมากมายทั้งๆที่เรื่องนี้มันก็แค่เรื่องการตัดสินใจของเราคนเดียวเท่านั้น ว่าจะไปหรือไม่ไป ' วันนี้ฉันจะชวนนายไปกินสเต็ก '
“ ไปก็ได้ครับ เจอกันที่ไหนครับ "
' เดินออกไปพร้อมกันเลยก็ได้ ชวนลิปด้วยสิ '
“ เค้าคงไม่ไปหรอกครับ " บอกอีกคนสั้นๆแบบนั้น เพราะลิปก็บอกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่าเค้าจะไปกินข้าวกับผมแค่วันนั้นวันเดียว
' งั้นออกไปพร้อมกันเลยก็ได้ '
“ โอเคครับ " ตอบรับเค้าไปก่อนจะถอนหายใจออกมา ถ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไป ผมบอกกับตัวเองแบบนั้นกับสิ่งที่ตัดสินใจตอบตกลงเค้าไปทั้งๆที่ก็ปฎิเสธได้ เพราะพี่ธีร์ช่วยเหลือเค้าในยามที่ลำบากเสมอ ก็คิดซะว่านี่คือการตอบแทนในสิ่งที่ตัวเค้าจะทำได้ ก็แค่ไปกินข้าวด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรหรอก ถ้ายังควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อยู่แล้วละก็..
“ คีย์ "
“ ลิปเที่ยงนี้ฉันจะไปกินข้าวกับหัวหน้านะ " ผมพูดขัดอีกคนขึ้นมาก่อนที่เค้าจะชวน ลิปนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าลงเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกแบบยังคงงงๆอยู่
“ ไปเถอะตามสบาย "
“ โทษทีนะ "
“ ไม่เป็นไร " เค้าที่ส่ายหน้าไปมาก่อนจะหันไปทำงานต่อ ผมหันมองดูเวลาที่บอกเวลาพักเที่ยง เพื่อนร่วมงานที่เดินออกไปจากที่ทำงาน ผมเองในตอนนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกันกับพวกเค้า หัวหน้าเดินตามออกมาก่อนจะหันมายิ้มให้ผม
“ ไปกันเถอะครับ "
“ อื้ม " เสียงตอบตกลงที่ยังงงๆของเค้า คงไม่คิดว่าวันนี้ผมจะตอบตกลงไปกินข้าวกับเค้ามากกว่า เพราะเมื่อวานผมเองก็มีท่าทางบอกเค้าไปชัดๆว่าไม่ค่อยอยากจะมากินข้าวด้วย
“ ร้านที่จะไปกินกันเป็นร้านสเต็กสินะครับ " เอ่ยถามอีกคนที่ที่พยักหน้ารับ " อยู่ตรงไหนเหรอครับ "
“ ข้างหลังตึกที่เราทำงานน่ะ เป็นร้านเล็กๆ อร่อยดีนะ ฉันเคยพาหัวหน้าไปนั่งกิน "
“ ท่าทางจะอร่อยจริงๆ เพราะว่าขนาดพี่ธีร์ยังพาคนระดับหัวหน้าไปกินเลย "
“ แน่นอนมากินกับนายทั้งทีฉันต้องแนะนำที่มันอร่อยๆอยู่แล้ว "
“ เลี้ยงผมด้วยนะ " เอียงหน้ายิ้มๆบอกเค้าอีกคนก็ยิ้มตาม
“ แน่นอนเลี้ยงอยู่แล้ว เพราะเมื่อวานไม่ได้เลี้ยงนิ " เดินลัดออกไปตามซอยเล็กๆ ร้านสเต็กที่ยังมีคนไม่เยอะเป็นร้านที่แต่งด้วยโทนสว่างหัวหน้าเปิดประตูให้ผม ก้มหน้าขอบคุณเค้าตอนที่เดินเข้าไปข้างในโต๊ะสำหรับสองคนที่เราเลือกนั่งพนักงานก็เอาเมนูมาให้เลือก
“ พี่ธีร์มากินบ่อย มันมีเมนูพิเศษแนะนำรึเปล่า "
“ ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้กินบ่อยขนาดนั้นหรอก ฉันเป็นพวกชอบสั่งของที่ชอบกินก็เท่านั้นอะ "
“ งั้นเหรอครับ " ผมพยักหน้ารับก่อนมองไปตามเมนูต่างๆแล้วสะดุดกับสเต๊กปลาแซลม่อน ก่อนจะปรายตาไปมองอย่างอื่น " ผมสั่งสเต๊กสันคอหมูแล้วกันครับ "
“ โอเค งั้นฉันกินพอร์คชอปแล้วกัน " เค้าบอกก่อนจะเรียกพนักงานมารับเมนู ผมมองไปรอบๆร้านแต่ทว่าคนตรงหน้าที่กำลังจ้องหน้าผมก็ชวนให้เอ่ยถามออกไป
“ มองหน้าทำไมเหรอ "
“ วันนี้นายมาแปลก "
“ แปลก ? ผมแปลกเหรอ " ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอีกคนก็พยักหน้า
“ เมื่อวานนายยังไม่อยากจะมากินข้าวกับฉันเลย แล้วทำไมวันนี้ "
“ อยากให้ผม ทำท่าเหมือนไม่อยากจะมากินข้าวกับพี่งั้นเหรอ " ยิ้มจางๆให้อีกคนที่ก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะหลุดหัวเราะ
“ ไม่ใช่สิ แบบนี้มันก็ดี แค่รู้สึกว่านายเหมือนมีอะไรรึเปล่าถึงมานั่งกินข้าวกับฉัน "
“ จริงๆก็มีนิดหน่อยนะครับ " สารภาพบอกอีกคนก่อนจะก้มหน้าลงไม่มองตาอีกฝ่าย " คุณช่วยผมไว้ .. ผมก็มาตอบแทนที่คุณใจดีกับผม อีกอย่างถ้ามัวแต่แคร์เพื่อนที่พูดว่าไม่ดี ผมคงต้องรู้สึกแย่แน่ๆที่ไม่ได้กินข้าวกับคุณที่ช่วยผมไว้วันนี้ เลยคิดว่า ก็มาดีกว่าเพื่อนไม่มาก้มาเถอะ อย่างน้อยก็ตอบแทนที่คุณช่วยผมไว้ "
“ อย่างงั้นเหรอ " คนตรงหน้าของผมตอบรับยิ้มๆ ใบหน้าคมที่กำลังซับสีแดงเค้ามองไปทางอื่นก่อนจะพูดออกมาแบบที่ผมได้ยินไม่ชัดเท่าไหร่ " ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ "
“ เอ๊ะ ? ว่าอะไรนะครับ "
“ ถ้าฉันกับนายได้มากินข้าวด้วยกันสองคนแบบนี้ ทุกวันก็ดีสินะ อยากจะให้เป็นแบบนั้นทุกวันเลย " หลุดยิ้มออกมากับคำพูดของเค้า ผมก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่กำลังตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วอยู่ๆก็เผลอคิดเรื่องนั้นขึ้นมาอีก
“ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ ขอบคุณที่ปกป้องผม แล้วก็ขอบคุณที่อยู่ข้างๆผม "
“ มันเป็นสิ่งที่ฉันต้องทำอยู่แล้ว " มือหนาเอื้อมมือมาจับมือผมก่อนจะบีบเบาๆ " อย่าคิดถึงเรื่องนั้นเลยนะ ลืมมันไปได้แล้ว ยิ่งคิดนายเองนั่นแหละจะยิ่งเจ็บปวด "
“ ครับ " ตอบเค้าแบบนั้นสั้นๆ มือหนาที่กำลังปลอบก็ดึงออกไป เป็นจังหวะเดียวกันที่อาหารก็ถูกเอามาเสิร์ฟพอดี หน้าตาที่น่ากินของมันผมยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพนิดหน่อยอีกคนก็หัวเราะ
“ นายเป็นพวกชอบถ่ายภาพอาหารก่อนกินด้วยเหรอ "
“ ก็แค่ของที่ผมรู้สึกน่ากินมากๆก็เท่านั้นแหละครับ ชอบถ่ายเก็บไว้ "
“ งั้นเหรอ " อีกคนว่าในตอนนั้นกว่าที่ผมจะรู้ตัวก็เหมือนมีเสียงชัตเตอร์เบาๆดังขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่ก็ยิ้มกับผลงานภาพถ่ายในมือที่แอบถ่ายผมไว้ " งั้นฉันถ่ายบ้างแล้วกันของที่น่ากิน "
“ หมายความว่าไงน่ะครับ ลบเลยนะ " ผมบอกอีกคนยิ้มๆ หัวหน้าก็ส่ายหน้าไปมาทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร มือที่จะคว้ามือถือเค้ามาดูแต่อีกคนก็หลบก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าไป " หัวหน้า "
“ พูดใหม่ "
“ พี่ธีร์ ลบเลยนะครับ แอบถ่ายนิสัยไม่ดีเลย "
“ ภาพนายไม่น่าเกลียดหรอก ออกจะน่ารักให้ฉันเก็บไว้เถอะ กินกันได้แล้ว เดี๋ยวก็หมดเวลาพักพอดี "
“ จริงๆเลยนะ " หลุดพูดออกไปแบบนั้นก่อนจะขมวดคิ้วใส่อีกคนที่ก็ไม่สนใจหันสเต๊กในจานของตัวเองแล้วกินด้วยท่าทีอร่อยจนผมได้แต่ถอนหายใจปล่อยวาง ก้มหน้าลงหั่นสเต๊กในจานของตัวเองกินบ้าง รสชาติอร่อยอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ
“ อร่อยมั้ย "
“ อร่อยมากครับ ชิมมั้ย " ผมหั่นสเต๊กให้เค้าชิมคำนึงตอนที่วางในจานให้เค้าอีกคนก็ถาม
“ ป้อนไม่ได้เหรอ "
“ เดี๋ยวก็จิ้มตาบอดเลย " ยื่นมีดขู่อีกคนเค้าก็หัวเราะก่อนจะกินสเต๊กที่ผมตัดให้เข้าไป
“ อร่อยจัง แต่คนที่ให้ชิม ต้องอร่อยกว่านี้แน่ๆ "
“ เลิกพูดอะไรแบบนั้นเลยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มากินข้าวด้วยหรอก "
“ อุ้ย โดนขู่ว่ะ งั้นเลิกพูดๆเดี๋ยวพรุ่งนี้เค้าไม่มากินข้าวด้วย " หลุดยิ้มออกกับท่าทางเป็นเด็กของคนตรงหน้าอีกคนครั้ง ผมก้มตักสเต๊กขึ้นมากินก่อนจะเงยหน้ามองไปนอกร้านเพราะรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองตัวผมอยู่ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆมีคนจ้องผมอยู่ รอยยิ้มของผมค่อยๆหดลงช้าๆผู้ชายร่างสูงคุ้นตาที่กำลังจ้องมองผมอยู่ด้วยท่าทางนิ่งๆ ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารนั้นช้าลงเรื่อยๆผมวางอุปกรณ์ที่ตัวเองกำลังกินก่อนจะเผลอเรียกชื่อของคนนั้นออกมาด้วยเสียงเบาๆที่ไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าไหร่
“ ฟาน "
เพียงชั่วขณะที่เรามั่นใจว่า เราควบคุมความรู้สึกได้และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจ ชั่วขณะที่เราหาเหตุผลต่างๆมาให้ตัวเองพ้นผิด นั่นคือชั่วขณะที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุด ผมลัพธ์ที่จะทำให้เรารู้สึกดีกับคนที่ไม่ควรรู้สึกมากขึ้น และผลลัพธ์ที่ว่าความจริงเรากำลังนอกใจอีกคน แต่ทว่าเราอาจลืมไปว่า ' ความลับมันไม่มีในโลก '
.......................................................
ยิ้มอ่อน ...
มาดูกันสิว่า จะตอแหลฟานว่าอะไร ... #นี่นายเอกนะดูพูดจา
จริงๆหมั่นไส้นิดนึงแหละ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
เจอกันตอนหน้านะคะ
ฝากแท็ก #ฟานคีย์ ฝากแชร์ในเพจ fb ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ค่าาา
