ก็บอกว่าไม่ชอบเด็กไง
ตอนที่ 36
' คนที่ควรแคร์ '
“ กลับมาแล้วเหรอครับ " เสียงที่เอ่ยทักผมก่อนจะพยักหน้ารับอีกคนแบบชะงักเล็กน้อย มองหน้าฟานที่ยิ้มจางๆให้ผม เด็กผู้ชายที่กำลังดูการ์ตูนเรื่องโปรดของตัวเองอยู่ในตอนนั้น " ทำไมมองหน้าผมนานจัง " อาจเพราะเอาแต่จ้องอีกคนก็เลยถามออกมาแบบนั้น ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอีกคนก็หัวเราะออกมา ก่อนจะลุกจากโซฟาแล้วเดินมาหา สองแขนที่กอดผมเอาไว้ เค้าก้มหน้าลงหอมแก้มผม " เหนื่อยมั้ย " คำพูดห่วงใยของเค้า อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเฉยๆ อย่างไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น มึงกำลังทำอะไรอยู่ว่ะคีย์ มึงกำลังคิดอะไรอยู่ คิดที่จะทิ้งคนที่รักมึงขนาดนี้ไปหาคนที่เห็นแก่ตัวแบบนั้นนะเหรอ ไอ้โง่ โง่ซะเหลือเกิน
“ ไม่เหนื่อยหรอก " ผมบอกเค้าก่อนจะพิงร่างอีกคนอยู่แบบนั้น
“ เมาเหรอครับ "
“ ไม่ได้เมาสักหน่อย " เงยหน้ามองเค้าที่ก้มลงมาจูบผม ตอบรับเกลียวลิ้นนั้นอย่างไม่เกี่ยงงอนเราจูบกันเนิ่นนานจนฟานผละออกแล้วหอมแก้มผม
“ น่ารักจัง ไม่เมาด้วย "
“ ฟานเคยสั่งไว้ว่าห้ามเมา ถ้าฟานไม่อนุญาติ "
“ เด็กดีนะเนี้ย "
“ ใครกันแน่ที่เป็นเด็ก " อายุน้อยกว่าก็เท่านั้นยังมาหาว่าคนอื่นเค้าเป็นเด็กอีก
“ คุณอายุมากกว่าผมแต่ตัวแค่นี้เองเหรอออ ทำไมตัวแค่นี้อะ " หน้าตาล้อๆของเค้าทำเอาผมขมวดคิ้วก่อนจะผลักอีกคนให้ออกห่างตัว เสียงหัวเราะของฟานที่ยังดึงดันจะกอดผมไว้เค้าเอ่ยถาม " ไม่แกล้งก็ได้ แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างครับ ไปกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน " ชะงักนิดหน่อยตอนที่อีกคนถามออกมา เค้าที่ก้มหน้าลงมาถาม " คุณคีย์ครับ "
“ ก็ดีนี่ อร่อยดี "
“ กินอะไรกันละครับ "
“ ซูซิน่ะ "
“ เหรอครับ พอพูดถึงซูซิแล้วอยากจะกินข้าวหน้าปลาไหลมากเลย นี่คุณคีย์ครับ ผมมีร้านร้านนึงที่เคยไปกินมาเป็นร้านหรูสไตส์ญี่ปุ่นแท้ๆเลย ไว้วันไหนเราไปกินกันมั้ย "
“ ไม่ไป! " เผลอหลุดพูดออกไปแบบนั้น ผละตัวเองออกจากอ้อมกอดของฟาน ที่ก็เลิกคิ้วงงๆ ก่อนจะยิ้มจางๆสงสัย " คะ คือ คือฉันหมายถึงว่า กินร้านธรรมดาๆก็พอ ไม่ต้องถึงขั้นหรูหรานั้นหรอกน่า ฉันไม่ได้อินกับอาหารญี่ปุ่นอะไรขนาดนั้น "
“ อย่างงั้นเหรอครับ " ฟานพยักหน้าเข้าใจ
“ แต่ถ้านายชอบไว้เราหาร้านอร่อยๆไปกินกันมั้ย เอาร้านที่ไม่แพงมากแต่อร่อยไง มันก็มีเยอะแยะไม่ใช่เหรอ ฉันเคยเห็นรีวิวในเน็ต " ทำไมยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งงง ยิ่งสับสนกันนะ เหมือนพยายามเบี่ยงเบน แต่ก็เหมือนชวนเค้าพูดวกเข้าเรื่องนั้นอยู่ " ฉัน ขอตัวไปอาบน้ำก่อน เหมือนจะเหนื่อยๆ "
“ ครับ "
ถอนหายใจออกมาตอนที่เดินเข้ามาในห้องตัวเองแล้วปิดประตูลง ทำไมมันอึดอัดขนาดนี้ก็ไม่รู้ สมองที่เหมือนเอาแต่คิดเรื่องของหัวหน้าเสียจนวุ่นวายไปหมด คำพูดที่พูดออกมาพวกนั้น คำพูดที่ชวนให้เราหวั่นไหว ' เพราะนายที่หวั่นไหวนั่นคือจุดอ่อนที่บอกกับฉันว่า ฉันมีโอกาสจะชนะคนปัจจุบันของนายแน่นอนแม้มันจะแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ ฉันก็จะลองดู จะต้องทำให้นายกลับมารักฉันให้ได้ แม้ใครจะมองว่าเห็นแก่ตัวก็ตาม ' ทั้งที่ความเห็นแก่ตัวแบบนี้ เราน่าจะรังเกียจแล้วหนีไปให้พ้นๆ แต่ทำไมถึงแม้ปากจะพูดออกไปว่า อย่าทำ แต่ใจมันกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด ใจที่ร้อนรนอยากจะตอบรับเค้า เพราะรอเค้ามานานงั้นเหรอ เพราะว่านั่นคือคนที่แอบชอบมานานเหรอ แล้วฟานละ.. ตอนนี้ความรู้สึกที่เรามีต่อเด็กคนนั้นคืออะไรว่ะ
อาบน้ำเรียบร้อยตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำผมพบว่าคนที่ควรจะดูการ์ตูน หรือหนังอยู่ในเวลานี้กลับมานอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงเตรียมตัวจะนอนแล้ว ฟานหันมองผมก่อนจะขยับตัวไปนอนฝั่งตัวเอง มือที่ตบลงบนเตียงเหมือนเชื้อเชิญให้ไปนั่งตรงนั้น
“ ทำไมวันนี้นายนอนเร็วจัง "
“ พอดีผมสมัครงานไว้ได้น่ะครับ เริ่มทำวันพรุ่งนี้ วันนี้เลยจะรีบนอน " อีกคนบอกก่อนจะเลื่อนตัวเองมาหนุนตักผมที่นั่งอยู่บนเตียง
“ นี่ ถอยออกมาไปน่า มาหนุนตักฉันทำไมเล่า " ดันหัวไอ้เด็กดื้อออกแต่ฟานไม่ยอมแพ้กลับกอดเอวผมไว้แน่นแล้วซุกหน้าเข้ากับท้องก่อนจะถอนหายใจออกมา " เป็นอะไร เครียดเหรอจะได้ทำงาน ตื่นเต้นรึไง "
“ เปล่า แค่รู้สึกอยากจะกอดคุณคีย์เฉยๆ อยากอ้อนนะครับ "
“ อะไรของนาย อ้อนอะไรเล่า" หลุดยิ้มออกมาตอนที่หันหน้าไปมองทางอื่น เผลอถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ยังไงเค้าก็แพ้ทางไอ้เด็กคนนี้อยู่ดีสินะ ไอ้ท่าทางลูกหมาๆแบบนี้น่ะ
“ อ้อนแบบนี้ไง คุณคีย์ครับ คุณคีย์ของผม " ใบหน้าคมที่เงยหน้าขึ้นมามองส่งสายตาน่ารักมาให้ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมาหอมแก้มผม " คุณคีย์ครับ "
“ จะเอาอะไร เรียกอยู่ได้ "
“ ไม่เอาอะไรทั้งนั้น อยากจะแค่กอด " เค้ากอดผมแน่นขึ้น " อยากจะแค่หอมแก้ม " แล้วเค้าก็หอมแก้มผม " อยากจะแค่จูบ " ริมฝีปากที่จูบผม ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะหลุดยิ้ม ให้ตายสิ ทำไมต้องมาแพ้ลูกอ้อนของไอ้เด็กคนนี้ด้วยขนาดนี้ด้วย หัวใจเต้นแรงไปหมดแล้ว
“ ถ้าแบบนั้นก็ไม่ได้เรียกว่า ไม่เอาอะไรทั้งนั้นหรอก เรียกว่าอยากจะกอด อยากหอมแล้วก็อยากจะจูบแล้วละ "
“ เหรอ งั้นอยากให้คุณเป็นของผม คุณเป็นของผมได้มั้ยละครับ "
“ แล้วตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นของนายหรอกเหรอ " ก้มหน้าลงถามเค้า ฟานก็ลุกขึ้นจากตักของผมขึ้นมานั่งมองหน้ากัน สบสายตาคมของเค้าอยู่สักพักก่อนที่เค้าก้มลงมาจูบผม มือที่จับมือของผมไว้ยิ้มจางๆให้กัน
“ ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ เพราะงั้นช่วยทบทวนความจำให้หน่อยสิ "
“ ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์ " หลุดปากออกไปเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดการเข้าหาผมลง เค้าที่จูบริมฝีปากพร้อมกับอ้อมกอดที่กอดรัดแล้วดันให้ลงนอนราบกับพื้นเตียง ช่วงเวลาที่ไม่ต้องเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนี้คงต้องกลายร่างเป็นของเคี้ยวเล่นให้ไอ้ลูกหมาอีกแล้ว แค่ไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่สำหรับค่ำคืนนี้มันก็เท่านั้น แต่แบบนี้ก็ดีอย่างน้อยก็ได้ย้ำว่า ตัวเรานั้นเป็นของใครแล้วก็เลิกคิดสักสักทีสำหรับเรื่องของผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนั้น
เดินออกจากคอนโดพร้อมกันในช่วงเวลาเช้าของวันต่อมา ในรถไฟที่ค่อนข้างอึดอัดผมที่ยืนอยู่ในอ้อมกอดของเค้าที่พยายามกันไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ผม ทั้งๆที่นี่ก็เป็นรถสาธารณะในช่วงเวลานี้มันก็ต้องเบียดกันอยู่แล้ว ใบหน้าหงุดหงิดของเค้ามองซ้ายดูขวาเหมือนขู่ทุกคนที่พยายามเข้ามาใกล้
“ นี่ นายจะไปแยกเขี้ยวใส่คนอื่นทำไม "
“ ก็เค้าเข้ามาใกล้เกินไป " ฟานบอกผมก็ถอนหายใจ ร่างที่อยู่ติดผนังโบกี้โดนอีกคนกางแขนกั้นทุกคนที่เดินมายืนข้างๆ แต่มันก็ไม่ได้ผลหรอก ช่วงเวลานี้ใครๆก็อยากจะไปทำงานให้ทันกันทั้งนั้น ทุกคนก็พยายามดันตัวเองเข้ามานั่นแหละ
“ นายจะบ้ารึไง นี่มันรถไฟนะ ทุกคนเค้าก็รีบไปทำงานกันทั้งนั้นอะ "
“ ถ้าโดนจริงๆ คุณคีย์ไม่กลัวโดนเหรอ "
“ โดนอะไร " เอียงหน้ามองเค้าอีกคนก็เอื้อมมือมาจับตูดผมก่อนจะบีบเบาๆ " นี่ ไอ้ฟาน อยากตายรึไง " ถลึงตาใส่เค้าที่หัวเราะออกมา
“ โดนแบบนี้ไม่กลัวเหรอ "
“ ไม่กลัวเว้ย เพราะไม่มีใครเค้าคิดอัคกุศลเหมือนนายหรอก "
“ น้อยไปน่ะสิครับ " เค้าพูดแค่นั้น ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทาง " ถ้าผมเรียนจบเตรียมตัวออกจากงานได้เลยคุณน่ะ ผมจะไม่ให้คุณทำงานอะไรแบบนี้หรอก จะให้คุณทำแค่พรีแล็นซ์แล้วใช้ชีวิตอยู่กับผมทั้งวัน "
“ ตลก ฉันก็มีหนี้มีสินของฉันที่ต้องทำงานชดใช้เหมือนกันนะนาย "
“ ไม่เป็นไร เดี๋ยวทำงานจ่ายให้ก็ได้ หรือจะจ่ายตอนนี้เลยก็ได้ "
“ จ้าๆ พ่อคนรวย นายเขยิบหน่อยสถานีหน้าฉันจะลงแล้ว "
“ ผมก็ลงสถานีหน้าเหมือนกัน " ฟานบอกก่อนจะคว้ามือผมแล้วดึงให้ออกมาจากรถไฟตอนที่จอดลงที่สถานีใกล้ที่ทำงานของผม ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ยังไงก็ไม่ชอบเลยจริงๆไอ้ช่วงเวลาเบียดคนมาทำงานในตอนเช้านี่น่ะ ถ้าทำได้อยากจะมาทำงานสายสักหน่อยเพราะยังไงก็กลับช้าอยู่แล้ว
“ แล้วตกลงนายได้งานอะไร ยังไม่เห็นเล่าฉันเลย "
“ ไว้ตอนเย็นผมจะมาเล่านะ ตอนนี้ดูเหมือนผมเกือบจะสายแล้วละ " ท่าทางรีบร้อนของเค้า ตอนที่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วรีบวิ่งออกไปแต่ยังไม่ทันพ้นสายตาผมเท่าไหร่ เค้าก็วิ่งกลับมาก่อนจะหอมแก้มผมอย่างรวดเร็ว " วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีลืมทำตอนออกจากบ้าน "
“ ไอ้.. ไอ้บ้า ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้คนเยอะแยะ ไอ้เด็กนี่นิ " ตะโกนด่าเค้าไปแต่ถึงอย่างงั้นก็หลุดยิ้มออกมาอยู่ดี ฝ่ามือหนาที่โบกมือลาผม ผมเองที่โบกมือลาเค้าก่อนที่ฟานจะหายเข้าไปในห้างใกล้ๆ
“ หวานกันตั้งแต่เช้าเชียวน้าาา " หันไปหาต้นเสียงที่เอ่ยแซวกันอย่างไม่ให้สุ่มให้เสียงอะไร ตกใจกับใบหน้าของเพื่อนร่วมงานอย่างลิปที่ยืนอยู่ข้างหลังกับยิ้มล้อๆ
“ ตกใจหมดนายนี่ อยู่ๆก็เข้ามาทัก "
“ คิดว่าฉันเป็นหัวหน้ารึไง "
“ เปล่าสักหน่อย " เบือนหน้าหนีเค้าก่อนจะเดินเข้าไปในอาคาร ลิปก็หัวเราะ
“ แล้วฟานมาทำอะไรแถวนี้เหรอ กลัวนายนอกใจถึงขั้นมาส่งกันแล้วเหรอเดี๋ยวน่ะ "
“ นี่ ลิป " ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองอีกคนก็ยิ้มออกมาจางๆ เหมือนรู้ตัวแล้วละว่ากำลังทำให้ผมโกรธ " เลิกพูดแบบนั้นสักทีได้มั้ย ฉันไม่ได้นอกใจฟาน แล้วหยุดสักทีเถอะ ไอ้คำพูดประชดประชันแบบนั้นของนายน่ะ เอาตรงๆนะ มันไม่ใช่แล้วอะ แรกๆมันก็โอเคแต่ตอนนี้มันมากไปแล้ว " หลายครั้งแล้วกับคำพูดเชิงประชดที่ทำให้ผมต้องเจ็บปวด หลายครั้งแล้วที่คำพูดพวกนั้นทำให้ผมดูเป็นคนไม่ดี คนเลว คำพูดที่ทำให้ต้องจิตตก
“ ขอโทษ " อีกคนพูดเสียงเบาๆ
“ ฉันไม่ได้โกรธที่นายเตือนฉันเรื่องนั้น แต่ฉันแค่เหนื่อย บางทีนายที่ประชดประชันฉันมันทำให้ฉันคิด "
“ คิดว่า ตัวเองกำลังทำแบบนั้นจริงๆใช่มั้ย "
“ อื้ม "
" ฉันคงทำได้แค่เตือนนายคีย์ สิ่งที่ฉันคิดฉันยอมรับว่า เล่นบ้าง จริงบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็แค่อยากจะเตือนสตินาย ไม่ให้ลุ่มหลงไปกับคำพูดของหัวหน้า ฉันไม่อยากให้นายต้องมาเสียใจทีหลัง "
“ เสียใจทีหลัง ? “ ผมทวนคำพูดอีกคนก็ยกยิ้ม
“ ตอนที่รู้ว่าจริงๆแล้วหัวหน้าไม่ได้ดีอย่างที่นายคิด เป็นแค่ผู้ชายคนนึงที่ใส่หน้ากากน่ารังเกียจ แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เค้าต้องการ แต่ว่าตอนที่นายรู้ความจริงฉันกลัวว่ามันคงสายไปแล้ว เพราะตอนนั้นฟานอาจจะไม่ได้อยู่กับนายแล้วก็ได้ "
“ หัวหน้าน่ะนะ ไม่ใช่คนใส่หน้ากากอะไรหรอกลิป เมื่อวานเค้ายังพูดตรงๆกับฉันเลย " เถียงอีกคนไปแบบนั้น ลิปก็พยักหน้ารับ
“ อย่างงั้นเหรอ "
“ อย่างที่หัวหน้าบอกจริงๆ นายมองเค้าในแง่ร้าย "
“ นี่ฉันไปอยู่ในวงสนทนาของนายกับเค้าด้วยเหรอไง " ลิปหัวเราะ " แสดงว่าฉันก็เป็นคนสำคัญนะเนี้ย หรือว่าจะกีดกันความรักของเค้ากับนาย จนเค้าดูออกกัน "
“ ลิป "
“ ไม่ว่านายจะพูดยังไง ฉันก็มองเค้าเหมือนเดิมนั่นแหละ ฉันให้ความเคารพเค้าในฐานะของลูกน้องคนนึง เพราะเค้าเป็นคนเก่ง และเป็นหัวหน้า แต่ในฐานะที่เค้าเข้ามาจีบนายที่มีเจ้าของอยู่แล้วด้วยท่าทางด้านๆที่ทำให้รู้สึกเท่ห์ในสายตาของนาย ฉันก็มองเค้าเป็นแค่ คนน่ารังเกียจคนนึง ที่ยอมรับออกมาตรงๆว่ากำลังขโมยของของคนอื่นกินอย่างหน้าด้านๆก็เท่านั้น แต่ไม่สิ..ไม่น่าจะเรียกว่าขโมยของคนอื่นกินหรอก เพราะเรื่องแบบนี้ ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก "
“ ลิป ฉันไม่ได้ "
“ นายคงรู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรอยู่ ฉันคงเตือนนายได้แค่นี้ ระวังไว้ก็แล้วกัน ระวังความรู้สึกชอบของนาย มันจะระเบิดออกมานะ "
“ สวัสดีครับ คุณลิป คุณคีย์ คุยอะไรกันอยู่เหรอ หน้าตาเคร่งเครียด ไม่เข้าทำงานรึไง " เสียงทุ้มที่ทำให้เราหันไปมองต้นเสียงนั้นพร้อมๆกัน ผมก้มหน้าลงตอนที่เจอเค้าในตอนนั้น แต่ลิปกลับยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ หัวหน้าวันนี้ใส่สูทผูกไทค์อย่างดี เค้ายิ้มขึ้นมาก่อนจะชวนคุยต่อ " ทำไมทำหน้าตึงเครียดกันขนาดนั้น เงินเดือนไม่พอใช้เหรอไง "
“ เปล่าหรอกครับ แค่กำลังถามคีย์ว่าเมื่อวาน รสชาติอาหารเยี่ยมรึเปล่า "
“ อร่อยมากเลยแหละ ไว้วันไหนนายก็ไปด้วยกันสิลิป " หัวหน้าชวนอีกคนก็ส่ายหน้า
“ ไม่ดีกว่า เชิญไปกันสองคนเถอะครับ "
“ อย่างงั้นเหรอ เออ นี่คีย์ เที่ยงนี้ไปกินข้าวกัน " หัวหน้าหันมาบอกผมที่ก็เหลือบมองลิปน้อยๆ ก็ทุกวันกินข้าวกลางวันด้วยกันมาตลอด แล้วอีกอย่างผมว่า ผมเองไม่สมควรจะไปแล้ว ไม่สมควรจะใกล้ชิดกับหัวหน้าอีกแล้ว
“ คือว่า..”
“ นายบอกฉันเองนะว่า ถ้านัดนายก่อนคนอื่น นายจะไป "
“ คือ " ท่าทางเก้ๆกังๆของผมที่เหมือนกำลังจะปฎิเสธเค้า
“ ลิปก็ไปด้วยกันสิ ไปด้วยกันสองคนเลย "
“ แหม ฉลาดจัง พออีกคนเหมือนจะไม่ไปก็มาชวนเรา " เค้าพูดเบาๆแต่หัวหน้าก็คงได้ยินอยู่แล้ว ร่างสูงที่ยิ้มแห้งๆออกมาก่อนจะมองผม
“ เท่านี้คีย์ก็คงสบายใจที่จะไปกับฉันมากขึ้นแล้วใช่มั้ย "
“ ผมยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะ " ลิปหันไปถามหัวหน้าที่ยิ้มออกมา " ไปหน่อยเถอะน่า เดี๋ยวเลี้ยง "
“ ทำได้ทุกอย่างเลยนะครับ จะแย่งเมียชาวบ้านเนี้ย "
“ ลิป " ผมปรามอีกคนที่ก็หันมาจ้องหน้าผม
“ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เมียเค้าเล่นด้วย " ประโยคที่มาพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆของลิปที่เดินจากเราไป ผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่มองแผ่นหลังเพื่อนเดินออกไป หัวหน้าก็หันมาถาม
“ นายโอเครึเปล่า คีย์ "
“ โอเคครับ ผมไม่ได้คิดมากอะไรหรอก มันไม่จริงสักหน่อย " ตอบเค้าแบบนั้นก่อนจะก้มหน้าลง ขอตัวเดินเข้าไปในอาคารแต่ทว่าอีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของผมไว้
“ นี่ ฉันเป็นห่วงนายนะ "
“ ถ้าเป็นห่วงกันจริงๆ ก็ช่วยอยู่ห่างๆกันหน่อยได้มั้ยครับ "
“ คีย์ " เสียงทุ้มที่เรียก ผมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของเค้าก่อนจะเดินเข้าไปในบริษัทเข้าแถวขึ้นลิฟต์ หัวหน้าที่เดินมาต่อคิวอยู่หลังผม เราเข้าไปในลิฟต์ตัวเดียวกัน
ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่อัดแน่นผู้คนขึ้นไปส่งตามชั้นต่างๆของแต่ละแผนก ร่างสูงของหัวหน้าที่ยืนช้อนหลังของผม ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมออาจเพราะเค้าสูงกว่าผมมากก็เลยกลายเป็นว่าเค้าคือกำแพงที่กั้นผมออกจากใครๆ ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก พนักงานอีกชั้นที่ไหลเข้ามา ในตู้ก็ยิ่งอึดอัด ร่างของผมเบียดเข้ากับเค้ารับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเค้าในความใกล้ชิดของเรา จนกระทั่งถึงแผนก
“ อึดอัดชะมัดเลย " เค้าบ่นออกมา ผมก็หันไปยิ้มจางๆให้
“ วันนี้หัวหน้ามาเร็วนะครับ ปกติมาสายไม่ใช่เหรอ "
“ ทำไมถึงพูดแบบนั้นละ มันทำให้ฉันดูเป็นคนไม่ดีนะคีย์ " มือหนาเอื้อมมาเขกหัวผมเหมือนจะทำโทษ " ว่าฉัน เดี๋ยวเถอะ "
“ ก็มันจริงนี่น่า ปกติคุณมาสายจะตาย " ยิ้มล้อเค้าก่อนอีกคนจะเงียบไป สบสายตาเค้าที่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“ ถ้าลิปโกรธนายก็ไม่เป็นหรอกนะ ยังไงก็ยังมีฉันอยู่นะ " มือยกขึ้นลูบหัวผมเค้าที่กำลังจะเดินเข้าไปในแผนก " การที่เรารู้สึกดีต่อกันไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหรอก "
“ แม้ว่าทั้งคุณ ทั้งผม จะมีคนที่ตัวเองรักอยู่แล้วอย่างงั้นเหรอ "
“ ใช่ เพราะสำหรับฉันถ้าเลือกนายได้ตั้งแต่แรก ฉันคงเลือกนายไปแล้ว ไม่เลือกเธอหรอก ฉันแค่เจอนายช้าไปก็เท่านั้นแหละ" หันมองแผ่นหลังที่เดินเข้าไปในแผนก ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะตั้งคำถามนึงกับตัวเอง
' แล้วเราล่ะ ฟานไม่ใช่คนในแบบที่ชอบ มาทีหลังแต่แสนดี กับหัวหน้าที่เป็นคนในสเป็ค ชอบมานานแต่เค้าเห็นแก่ตัว เราจะเลือกใคร '
ผ่อนลมหายใจออกมากับความรู้สึกที่คิดไม่ออก ไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว มันเหนื่อยกับความรู้สึกทุกอย่างที่กำลังประดังประเดเข้ามาในชีิวิต ผิดรึเปล่าที่เรากำลังรู้สึกหวั่นไหวไปกับเค้า
ใช่ แน่นอนมันผิดอยู่แล้ว คนที่มีเจ้าของแล้วไม่ควรหวั่นไหวกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เป็นรักเก่า แต่ถึงอย่างงั้นที่เราต้องมาหวั่นไหวแบบนี้ มันเพราะอะไรวะ เพราะหัวหน้าทำดีกับเรา เพราะเราไม่ได้รักฟานมากพอ หรือที่ผ่านมาเพราะไม่เคยขาดเค้าไป เราแค่รู้สึกดีกับเค้าแต่ไม่ได้พิเศษอะไร เลยบอกคำว่า ชอบออกไปไม่ได้สักที แต่การที่ให้เค้าจับจองเป็นเจ้าของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ
ฟานเป็นคนพิเศษ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นแบบนี้ หรือเพราะไม่เคยเสียเค้าไป เพราะว่ารู้ว่ายังไงเค้าก็ยังอยู่ ฟานไม่ทิ้งเค้าหรอก ฟานรักเค้าจะตาย
' ความคิดที่เหมือนเห็นเค้าเป็นของตาย ' ทำไมความรู้สึกสับสนแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดของหัวหน้าที่หันมาบอกว่าชอบเราแบบจริงจังด้วยนะ .. ทำไมถึงรู้สึกว่า อยากจะตอบรับรักกับเค้าจัง อยากจะลองดูว่ามันจะเป็นยังไง จะต้องใช้ชีวิตแบบไหน ถ้าไม่ติดว่ามีฟานอยู่ ตอนนี้คงตอบรับรักไปแล้ว เพราะสำหรับผมเรื่องวันไนท์สแตนอะไรพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย พอคิดว่านี่คือความรู้สึกลึกๆของตัวเองก็รู้สึกว่าตัวเอง น่ารังเกียจที่สุดเลย
อยากจะเป็นเมียน้อยเค้าจนตัวสั่นไปหมดแล้วคีย์
น่ารังเกียจชะมัด แม้มันจะเป็นแค่ความคิดเลวๆที่มีความคิดดีๆคอยรั้งไว้ก็เถอะแต่นั่นก็น่ารังเกียจเหลือเกิน
“ ลิป " ผมหันไปเรียกคนข้างกายที่หันมายิ้มให้อย่างเช่นทุกที " มีอะไรเหรอ " เค้าถามออกมาเพราะเห็นว่าผมไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที
“ เปล่า แต่ฉันคิดว่า ฉันควรขอโทษนาย "
“ เรื่อง ? “
“ เรื่องที่บอกว่านายยุ่งวุ่นวายเรื่องของฉันมากเกินไป คือ หมายถึงที่นายชอบพูดประชด "
“ ไม่ต้องซีเรียส ฉันมองว่านั่นมันก็จริง ฉันชอบพูดประชดมากเกินไปจริงๆ " เค้าบอกก่อนจะยิ้ม " ฉันเองควรจะคิดได้ว่า ตัวเองก็มีแฟนเป็นโฮสที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเลิกกันเหมือนกัน ทั้งๆที่นายเองก็ห้ามฉันอยู่ว่าอย่าเล่นกับไฟ แต่ฉันก็ด้านที่จะเล่นมันอยู่ในตอนนี้ ฉันเลยมานั่งคิดๆว่า ชีวิตใครก็ชีวิตมันอะนะ ทำตามใจตัวเองเถอะ "
“ แต่ฉันคิดว่า ที่นายพูดมันก็ไม่ผิดหรอก แต่ที่ฉันบอกนายไปแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะว่า ช่วงนี้คำพูดประชดของนายมันโดนใจไปหน่อยก็เท่านั้น เหมือนคนกำลังหลอกตัวเองว่าไม่ใช่น่ะ พอนายพูดอะไรที่ตรงใจฉัน แม้จะประชดออกมาเล่นๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนของขึ้นน่ะ ขอโทษนะ "
“ ช่างมันเถอะ ฉันไม่ซีเรียสหรอก แต่ฉันคงทำได้แค่เตือนเท่าไหร่แหละ เพราะยังไงสุดท้ายแล้วมันก็แล้วแต่นายจะคิดละนะ " พยักหน้ารับเค้าอีกครั้ง ผมที่หันกลับมาทำงานของตัวเอง แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไรอยู่ๆก็มีเมล์ฉบับนึงส่งเข้ามา เมล์จากหัวหน้า
' เที่ยงนี้ไปกินข้าวกันเถอะ ร้านอาหารอิตาเลี่ยนใกล้ๆบริษัทอร่อยมากเลย ฉันอยากจะไปกินกับนายสองคน แต่ว่าถ้าไม่สะดวกใจจะชวนลิปไปด้วยก็ได้นะ ถ้าเค้าอยากจะไปละก็ ฉันตามใจนาย แล้วเจอกันครับ ' ถอนหายใจออกมาตอนที่อ่านอีเมล์ฉบับนั้น ผมเม้นริมฝีปากตัวเองกำลังคิดว่าจะตอบอะไรเค้าออกไปดี
' วันนี้คงไม่สะดวกที่จะไปด้วยหรอกครับ ไว้โอกาสนะครับ ' ผมกดตอบกลับไปหาเค้าสักพักอีเมล์ฉบับใหม่มันก็เด้งกลับขึ้นมาอีก
' แย่ชะมัด วันนี้ไม่มีใครไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันเลย ฉันที่อยู่ข้างๆนายมาตลอดตอนที่นายมีปัญหา ตอนนี้ฉันมีปัญหาไม่มีคนไปกินข้าวด้วย จะไม่ช่วยฉันหน่อยเหรอคีย์ ไม่อยากกินข้าวคนเดียวนี่น่า ' คำพูดติดอ้อนที่ส่งมาผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะผ่อนหายใจออกมาเบาๆ
“ ช่างอ้างให้จนมุมจริงๆ"
“ นายพูดกับฉันเหรอคีย์ " ลิปที่หันมาถาม ผมก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะยิ้มให้อีกคน
“ คือ.. ฉันพูดคนเดียวน่ะ "
“ อะ..หนักนะนาย พักผ่อนบ้าง " คนข้างๆที่แซวเค้าที่หันไปทำงานต่อ ผมก็ถามขึ้น
“ นี่ลิป.. จะเป็นอะไรมั้ยถ้าเที่ยงนี้ นายช่วยไปเป็นเพื่อนฉัน ไปกินข้าวกับหัวหน้าหน่อย "
“ ไม่ไปอะ นายไปเถอะ เผื่ออยากจะคุยเรื่องส่วนตัวฉัน มีฉันไปเป็นก้างมันคงไม่ดีหรอก " อีกคนที่ส่ายหน้าปฎิเสธผมก็ผ่อนลมหายใจออกมา เลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้เค้าอีกคนก็ถอนหายใจหนัก " นี่ ไม่ต้องคิดเข้ามาอ้อนฉันเลย ฉันไม่ไปหรอก นายไปเถอะ ฉันเกลียดหัวหน้าจะตาย นายก็รู้ ฉันไม่อยากจะทำให้ช่วงเวลาพักที่แสนมีค่าของฉันต้องเอาไปอยู่กับคนแบบหมอนั่นหรอก "
“ แต่หัวหน้าเลี้ยงนะ "
“ แล้วยังไงกันเล่า ฉันเองก็มีเงิน นายเถอะ ไม่รู้จักปฎิเสธเค้าละ ถ้าไม่อยากจะไปละก็ "
“ ฉันปฎิเสธไม่ได้ " เม้มริมฝีปากบอกอีกคนไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะปฎิเสธหรอก แต่พอเค้าอ้างเรื่องนั้นออกมามันก็ชวนให้น้ำท่วมปากแล้วก็ปฎิเสธไม่ออกเพราะรู้สึกผิดไปซะทุกที
“ ทำไมถึงปฎิเสธไม่ได้ นายปฎิเสธไม่ได้หรือไม่คิดจะทำมันมากกกว่า "
“ ฉันปฎิเสธเค้าไปแล้ว " ผมบอก " แต่เค้าก็ตอบกลับมาแล้วก็ อ้างเรื่องนั้น เรื่องที่บอกว่าเค้าช่วยฉันไว้แล้วก็ถามว่าพอทีเค้าไม่มีเพื่อนกินข้าวทำไมฉันไม่ช่วยเค้า "
“ ถามจริงๆเถอะคีย์ เค้าทำแบบนี้ เอาเรื่องนั้นมาคอยอ้างกับนาย นายยังมองว่าเค้าดีอยู่อีกเหรอ นี่มันทำบุญหวังผลชัดๆไม่ใช่รึไง เค้าน่ะ น่ารังเกียจแถมยังเห็นแก่ตัวขนาดนี้ นายยังรู้สึกว่าเค้าดีได้ยังไง "
“ ฉัน..”
“ นายกำลังเหมือนคนมีความรักที่กำลังมองแง่เหี้ยๆ เป็นแง่ดีไปหมด ฉันเตือนนายแล้วนะ ระวังจะเสียฟานไป ฉันเตือนนายแล้ว " สบตาอีกคนที่ถอนหายใจออกมา " ฉันจะไปเป็นเพื่อนแล้วกัน แต่แค่หนนี้นะ หนหน้าฉันจะไม่ไปเป็นเพื่อนนายแล้ว ถ้านายยังไม่รู้จักหัดปฎิเสธเค้าซะบ้าง "
“ แล้วนายจะพูดกับเค้าว่ายังไง ถ้าเป็นนาย นายก็จนมุม "
“ ถ้าเป็นฉัน ฉันจะพูดว่า หน้าที่ของหัวหน้าคือการช่วยลูกน้องอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของลูกน้องไม่ได้มีความจำเป็นต้องไปกินข้าวกับหัวหน้าสักหน่อย ถ้าไม่อยากจะไป "
“ ความเป็นจริงเราพูดไม่ได้หรอก คำพูดพวกนั้นน่ะ มันแรงเกินไป "
“ นายมีร้อยวิธีที่จะปฎิเสธ จำไว้ ยกเว้นที่จะไม่ปฎิเสธ แล้วใจอ่อนไปกับคำพูดอ้อนๆของเค้า " ลิปบอก " ช่างเถอะเลิกพูดถึงไอ้ผู้ชายคนนั้นน่าจะดีกว่า เอาเป็นว่าฉันจะไปกับนายก็แล้ว แต่ครั้งหน้าฉันจะไม่ไปแล้วนะ เพราะงั้นถ้านายไม่คิดจะหาคำปฎิเสธเค้า นายคงต้องไปคนเดียว "
“ อื้ม ขอบคุณนะ "
“ นายไม่จำเป็นต้องแคร์เค้าขนาดนั้นคีย์ คนที่นายควรแคร์ คือฟานตังหากจำไว้ "
คนที่ควรแคร์ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่ได้แคร์เค้าเลย
......................................................
ฉันไม่ชอบพี่คีย์เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ทำไมฉันต้องเขียนอะไรออกมาแบบนี้!!!!!!!!!!!!!!!!! #ทึ่งหัวตัวเองด้วยความก้าวร้าว
ยืมร่างพี่ลิป เข้าตัวเองเข้าสิงพี่ลิปไป
มันก็เป็นพล๊อตที่เราวางมาตั้งแต่แรกว่า นี่คือดราม่านะ
แต่ทำไมพอเขียนแล้วแบบ แบะปากไปมองไปวะ

แต่สัญญากับตัวเองแล้ว ว่าจะไปให้สุด จะไปให้สุดตามที่ตั้งไว้อย่างไม่ไหวหวั่น

ฝากแท็ก #ฟานคีย์ ด้วยนะคะ
หนมอยากจะเข้าไปรี จะให้เชิญชวนคนอื่นมาอ่านด้วยกัน เอิ้กกกกกก
ฝากแชร์ในเฟสด้วยนะคะ ขอบคุณค่าา
มันส์อย่างต่อเนื่อง หมั่นไส้ไม่มีสิ้นสุด รอวันถึงจุดจบ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
เจอกันตอนหน้าค่า