คุณเคยฝันร้ายไหม
ในฝันร้าย เรามักจะร้องไห้หรือเครียดจนส่งผลให้พอตื่นขึ้นมาเรารู้สึกเหนื่อยตกค้าง แต่ก็มักจะมีความโล่งใจมหาศาลตามมา เมื่อพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน
แต่ถ้าเรื่องเลวร้ายนั้นไม่ใช่ฝัน แล้วกลับกลายมาเป็นความกลัวที่สุดในจิตใจของคุณแทน คุณจะทำอย่างไร...
คุณจะทำอย่างไร... ถ้ามันเป็นความจริง
หาญศักดิ์หยิบเสื้อเชิ้ตของตัวเองมาสวมทับร่างลวกๆ แล้ววิ่งถลาออกไปกดลิฟต์ กระดุมเสื้อถูกติดผิดๆ ถูกๆ โย้ไปเย้มา หัวใจของเขาตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เฉียนย่าถลาตามออกมาด้วยกัน ทั้งคู่เข้าไปในลิฟต์แล้วรีบลงไปชั้นล็อบบี้
หาญศักดิ์หน้าซีดเผือด รู้สึกหนาวยะเยือกไปหมดทั้งตัว ขาแข้งของเขาอ่อนแรง มันร่ำร่ำจะล้มลงเสียให้ได้ ยิ่งตอนที่ต้องก้าวขาเดินไปหาเฉินกับชาญชัยและคุณฟ้าลดาที่อยู่กันตรงหน้าล็อบบี้ มันสั่นเสียจนแทบเหมือนไม่ใช่ขาของเขา น่าประหลาดใจนักที่เขายังยืนอย่างมั่นคงอย่างนี้ได้
“ฮือ...คุณหาน...คุณหาน...”
หญิงสาวงดงามที่มีอายุร้องห่มร้องไห้หนักกว่าเดิมทันทีที่เห็นใบหน้าของเจ้าพ่อเงินกู้ เธอไม่สนใจว่าหาญศักดิ์จะอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยราวกับเพิ่งเผด็จศึกใครมา เสียงวิงวอนของเธอระส่ำระส่าย
“ชะ...ช่วย...ช่วยโซดา...ดะ...อึก...”
“คุณฟ้าลดา...ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” หาญศักดิ์พยายามเอ่ยปลอบอีกฝ่ายที่สะอื้นตัวอ่อนตัวโยนอยู่บนโซฟา โดยมีเฉินกับชาญชัยที่สีหน้าร้อนรนยืนค้ำหัว เขาหันไปถามทั้งคู่แทน “เกิดอะไรขึ้นวะ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
“คุณฟ้าลดาเล่าว่าธรรมดาโซดาไม่เคยเถลไถล ปกติแค่สามโมงครึ่งก็ถึงบ้านแล้ว” ชาญชัยเป็นคนเอ่ยปาก หาญศักดิ์พยักหน้า นั่นเป็นเรื่องถูกต้อง โซดาไม่เคยทำตัวเหลวไหล สมัยอยู่ด้วยกันถ้าไม่มีซ้อมหรือไม่มีทำกิจกรรมชมรม พอเลิกเรียนปุ๊บก็กลับมาหาเขาทันที “แต่วันนี้รอจนกระทั่งสองทุ่มกว่าก็ยังไม่ถึงบ้าน โทรไปหาก็ปิดเครื่อง แล้วพอไปถามที่โรงเรียน เขาก็บอกกันว่าไอ้เสือกลับไปตั้งนานแล้ว...”
“...บางทีโซดาอาจจะไปเที่ยว ไปดูหนังกับเพื่อนๆ ก็เลยปิดมือถือก็ได้นะคะ”
เฉียนย่าพยายามเสนอความคิดในแง่ดีพลางกุมมือหญิงสาวผู้เป็นมารดาของเด็กหนุ่มอย่างให้กำลังใจ
“ไม่ใช่ค่ะ ฮือ... ไม่ใช่เลย...” คุณฟ้าลดาแย้งเสียงสั่น “ดิฉันไปที่สวนสาธารณะที่อยู่ระหว่างบ้านกับโรงเรียนที่โซดาชอบไปเดินเล่นบ่อยๆ เอารูปถามคนนั้นคนนี้ว่าเห็นไหม แต่ก็ไม่มีใครเจอ ละ...แล้ว...ดิฉันกลับเจอนี่...”
เธอชูไอโฟนเครื่องสีดำหน้าจอแตกขึ้นมาให้ทุกคนดู หาญศักดิ์แทบจะล้มทั้งยืน ทั้งเคสที่ใส่...ทั้งร่องรอยทุกอย่าง...มันคือไอโฟนของโซดาไม่ผิดแน่
“ดิฉันจึงไปขอตำรวจดูกะ...กล้องวงจรปิด...ที่...ที่ติดไว้ที่สวน เพราะมันเป็นทางผ่านกลับบ้านเรา...”
เสียงของเธอสั่นสะท้าน ดวงตาดำมืดอย่างหวาดกลัวสุดหัวใจ ก่อนเธอจะยกสองมือปิดหน้าจนไอโฟนกลิ้งหล่นไปบนพรม เล่าต่อไม่ไหวอีกต่อไป
“...แล้วภาพที่คุณฟ้าลดาเห็นก็คือ ไอ้เสือถูกคนดักตีท้ายทอยลากเข้าไปในรถตู้ไม่มีป้ายทะเบียน ตั้งแต่ตอนประมาณสี่โมงเย็น”
“...!!!”
หาญศักดิ์ตัวชาวาบกับเสียงบอกเล่าของเพื่อนรัก รู้สึกเหมือนถูกธรณีสูบ ซวนเซจนต้องเอื้อมมือไปจับพนักเก้าอี้เพื่อทรงตัว
“ไม่จริง...ไม่...”
“ฮือ...ช่วย...ช่วยลูกชายดิฉันด้วย...ได้โปรดเถอะค่ะ” คุณฟ้าลดาร้องห่มร้องไห้ ยกมือไหว้ทุกคนอย่างสิ้นหนทาง “โซดาไม่เคยมีศัตรูที่ไหน อย่าหาว่าดิฉันคิดแง่ร้ายหรือโยนความผิดมาให้พวกคุณเลยนะคะ...”
ทุกคนเข้าใจดี มันไม่ผิดที่คุณฟ้าลดาจะคิดว่าเป็นศัตรูของแก๊งพยัคฆ์ที่เป็นคนทำเรื่องนี้ เพราะแม้แต่พวกเขาเองก็คิด มันไม่มีทางจะเป็นใครอื่นไปได้ แต่ศัตรูของพวกเขา...ก็ใช่ว่าจะมีเพียงคนสองคนเสียที่ไหน
“ตะ...แต่...เซ...โซดา...” เสียงของหาญศักดิ์ตะกุกตะกัก ยังคงใจไม่กลับเข้าเนื้อเข้าตัว และไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง “คนอย่างโซดา... จะถูกจับตัวไปง่ายๆ แบบนั้น...ได้ยังไง...”
โซดามีวิชาแม่ไม้มวยไทยติดตัว ใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ ทักษะการป้องกันตัวและโจมตีเป็นเลิศ
แค่มีใครเดินผ่านเฉียดๆ หรือแอบโผล่มาหวังจะเล่นจ๊ะเอ๋ โซดาเป็นจัดการตลบคาที่จนหมดเพราะหูตาไวยิ่งกว่าสัตว์บางประเภท เหมือนอย่างที่เขาเคยโดนตอนแอบสะกดรอยตามโซดาที่ค่ายนั่นปะไร
แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ถูกลักพาตัวไปง่ายๆ อย่างนี้
นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม
“ช่วงนี้โซดาเขาเหม่อมาก ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ค่อยมีกะจิตกะใจทำอะไรเลย” เสียงของหญิงวัยกลางคนอู้อี้ ตอบคำถามของหาญศักดิ์ได้ตรงประเด็น “เขากำลังเสียใจ...” เธอเงยหน้าขึ้นสบสายตาหาญศักดิ์ ดวงตาสวยแดงก่ำ “คุณหาน...คงทราบดีว่าเพราะอะไร”
“...”
หาญศักดิ์กัดริมฝีปาก จากแววตาและน้ำเสียงนั่น คุณฟ้าลดารับรู้ความสัมพันธ์ของเขากับโซดาไม่ผิดแน่... ชายหนุ่มยกสองมือขยุ้มศีรษะด้วยอารมณ์หลากหลายที่ประเดประดังเข้ามา เจียนจะเป็นบ้าอยู่ร่อมร่อ
นับตั้งแต่สี่โมงเย็น ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว... เป็นเวลากว่าเจ็ดชั่วโมงที่โซดาถูกจับตัวไป ...ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร...
“เสี่ยหาน มึงใจเย็นก่อน กูรู้มึงกำลังเครียด มึงยังทำใจรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้”
“เพราะกู... เพราะกูคนเดียวเลย...” คนพูดประสาทแตก ดวงตาแห้งผากเหม่อลอย เตรียมจะน็อตหลุดได้ทุกเมื่อ
“หาน มันไม่ใช่เพราะหานนะ” เฉียนย่าสอดขึ้นทันที “หานโวยวายโทษตัวเองไปก็ไม่เกิดประโยชน์”
“เฉียนย่าพูดถูกต้อง” ชาญชัยสนับสนุน “สิ่งที่มึงต้องทำตอนนี้คือตั้งสติ แล้วเราจะกระจายกำลังกันหา ทุกคนในพรรคนั่นแหละ ไอ้เสือคือพี่น้องของทุกคน”
“...โซดา” หาญศักดิ์เสียงแตก อยากจะโวยวายทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์ที่ปะทุในอกยิ่งนักแต่ก็ทำไม่ได้ คุณฟ้าลดายังสะอึกสะอื้นราวกับจะตายอยู่ตรงนั้น และเขาต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“...หาน ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อนนะ เรียกสติกลับมาให้ได้” เฉียนย่าลุกขึ้น เดินเข้าไปเขย่าตัวอดีตคนรักจนหาญศักดิ์ที่ทำท่าจะสติแตกหัวสั่นหัวคลอนไปกับแรงผู้หญิง “เฉิน ช่วยพาหานไปล้างหน้าที คุยแบบนี้หานไม่รู้เรื่องแน่”
เฉินรีบทำตามที่เฉียนย่าบอก เขาพาเจ้านายหนุ่มไปห้องน้ำ หาญศักดิ์เปิดก๊อก วักน้ำสาดหน้าอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายเที่ยวจนเสื้อกับผมเปียกชุ่ม ก่อนจะเอาหลังแขนเสื้อเชิ้ตเช็ดใบหน้าแล้วเดินกลับไปหากลุ่ม พยายามควบคุมอารมณ์เท่าที่จะทำได้
“โอเค เราจะกระจายกันหา คุณฟ้าลดารออยู่ที่นี่นะครับ ผมสัญญา ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะเอาตัวโซดากลับมาให้ได้” ดวงตาของชายหนุ่มเปล่งแสงแรงกล้า สะกดใจที่สั่นระรัวเพราะความหวาดกลัวของตัวเองให้สงบลง อย่างน้อย...ก็ให้มันไม่หวิวจนเหมือนจะเดินไม่ไหวแบบเมื่อกี้
“เราไปช่วยด้วยนะ”
“แต่เฉียนย่าขับรถไม่เป็นนะ” หาญศักดิ์แย้งทันที
“เรานั่งแท็กซี่ช่วยตามหาเอาก็ได้ เราอยากช่วยจริงๆ” หญิงสาวพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“เฮียคิดว่าเฉียนย่าอยู่เป็นเพื่อนคุณฟ้าลดาจะเหมาะกว่า คุณฟ้าลดาไม่พร้อมอยู่คนเดียวตอนนี้ สันติก็อยู่ระหว่างไปดูเรื่องงานที่ต่างประเทศ ควรเป็นเฉียนย่านั่นแหละที่อยู่กับคุณฟ้าลดา”
ชาญชัยสรุปอย่างมีเหตุมีผลทำเอาเฉียนย่าต้องยอมจำนนทำตามคำพูดนั้นโดยโต้แย้งไม่ได้ พรรคพยัคฆ์เรียกประชุมเร่งด่วนทันทีกลางดึก เป็นการประชุมที่สั้นและเคร่งเครียดที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ บรีฟงานกันอยู่เพียงครู่เดียวทุกคนก็กระจายกำลังพลออกตามหาศาสดาทันทีตามคำสั่ง หาญศักดิ์ขับรถตามหาโซดาทั่วทุกที่ บุกไปหาคนนู่นคนนี่ที่คิดว่าน่าจะมีความแค้นต่อกันจนแทบจะก่อคดีใหม่อีกเป็นเบือ แต่ก็ไม่พบวี่แววโซดาเลย และก็ไม่มีใครที่ดูมีพิรุธด้วย
หาญศักดิ์หมุนพวงมาลัยจอดรถแอบตรงไหล่ทางเมื่อเหนื่อยล้าจนไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไป ตอนนี้เขาเป็นห่วงโซดาจนแทบบ้า ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรอีกแล้ว หาญศักดิ์ซบหน้าผากลงกับพวงมาลัยตึงใหญ่จนเสียงแตรดังออกมา พยายามค้นหัวสมองคิดหารายชื่อคนที่มีความแค้นกับตัวเอง แต่มันก็มากมายจนไม่รู้จะต้องต่อที่ใคร
Rrrrrr! Rrrrr!
“ฮัลโหล...”
(เฮ้อ พวกแมลงเม่าบินว่อนกันเต็มกรุงเทพฯ เชียว มีใครหายตัวไปอย่างนั้นหรือเสี่ยหาน”
“...!!!”
หาญศักดิ์ดีดตัวขึ้นมาจากพวงมาลัยทันที เขาตื่นตัวเต็มที่ รีบหงายหน้าจอไอโฟนดูว่าเป็นใครที่โทรมา แต่มันกลับเป็นเบอร์แปลกเหมือนกับโทรมาจากต่างประเทศ เห็นได้ชัดว่าต้องการป้องกันไม่ให้มีใครตามแกะรอยได้
“มึงเป็นใครวะ!”
(อ้าว ไม่ได้เจอกันแค่แป๊บเดียว ลืมกันแล้วหรือนี่ น่าเสียใจนะ)
“ไอ้เหี้ย! กูไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับมึงหรอกนะ! ถ้าไม่คุยก็หุบปากแล้ววางสายไป!” เจ้าพ่อเงินกู้ส่งเสียงเกรี้ยวกราดอย่างประสาทแตก
(แหมๆ) เสียงแก่ๆ กวนอารมณ์ลอดมาตามสาย (ไล่ให้ผมวางสายแบบนี้ ไม่ห่วงเมียตุ๊ดแล้วเหรอเสี่ยหาน)
“...!!! มึง...”
หาญศักดิ์ตัวชาวาบ มือไม้เย็นเฉียบกะทันหัน
“มึง...มึงจับตัวโซดาไปใช่ไหม!! มึงอยู่ที่ไหน มึงต้องการอะไรฮะ!!”
(ช่างหยาบคายกับคนแก่คราวพ่อเสียจริง พูดจากันดีๆ ไม่ดีกว่าหรือ)
“กู...กูรู้แล้วว่ามึงเป็นใคร!” หาญศักดิ์ละล่ำละลัก วาจาวกวนกวนอารมณ์แบบนี้ไม่ผิดแน่ “...ไอ้พิชิต!!”
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเสี่ยพิชิตนี่แหละที่เป็นศัตรูตัวฉกาจหมายเลขหนึ่งของเขา มันหายหน้าหายตาไปจากวงสังคม ตามเท่าไรก็ไม่เจอจนเขาลืมมันไปจากใจเสียสนิท ที่แท้มันก็ยังคงจับตาดูเขาทุกฝีก้าว แล้วกลับมาตลบหลังกันอย่างเจ็บแสบ
(ฮ่าๆ ความรู้สึกช้าจริงนะ...)
“มึงต้องการอะไรวะ!” เจ้าพ่อเงินกู้ตะเบ็งเสียงสุดเสียง ถูกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ปั่นหัวจนติดกับอย่างง่ายดาย
(ก็ดี ตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม) มันหัวเราะในลำคอ สนุกสนานที่เห็นหาญศักดิ์หัวหมุนเป็นหนูติดจั่น (ป่านนี้หมาต๋าคงรู้กันหมดแล้วสินะ ก็แม่ไอ้เด็กนี่เล่นไปแจ้งความไว้แบบนั้น เอิกเริกจริงเชียว น่าจะฆ่าทิ้งแม่งทั้งแม่ทั้งลูก)
“มึง...!!” หาญศักดิ์พูดไม่ออก ความกลัวแล่นขึ้นมาจนถึงขั้วหัวใจ
(ผมต้องการให้เสี่ยมาพบผมคนเดียวที่...) พิชิตบอกที่อยู่ชัดเจนครบถ้วน (แล้วอย่าให้รู้ว่ามีพรรคพวกหรือหมาต๋าตามมาแม้แต่ตัวเดียวล่ะ) เสียงขู่ของเสี่ยเฒ่าเด็ดขาด (ไม่อย่างนั้น ผมไม่รับประกันความปลอดภัยของไอ้กะเทยนี่)
“มึงต้องให้กูฟังเสียงเด็กก่อน!!” หาญศักดิ์เสียงแตกพร่า “ถ้าไม่มีอะไรยืนยันว่าโซดายังปลอดภัย กูไม่มีวันย้ายก้นไปหามึงแน่!!”
หาญศักดิ์พยายามใส่สามัญสำนึกทั้งหมดลงไปในเรื่องราว บางทีพิชิตอาจจะแค่หลอกเขา...บางที...อาจจะไม่ใช่มันที่เป็นคนจับตัวโซดาไป แต่แค่เกาะกระแสหวังใช้โอกาสนี้จัดการเขาก็เป็นได้...
และถ้าเขาไม่ได้รับการยืนยันว่าโซดายังอยู่ดี เขาไม่มีวันลงมือทำอะไรเด็ดขาด
(ก็ได้...) พิชิตพูดอย่างสบายอารมณ์และไม่อนาทรร้อนใจ (อ้าวเฮ้ย มันอยากฟังเสียงลื้อแน่ะ ไหนพูดให้ผัวฟังซิ)
หานศักดิ์ใจเต้นระรัวจนหูอื้อ ยกมือหนึ่งขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นไม่ให้เสียงครางแห่งความหวาดกลัวของตัวเองเล็ดรอดไปถึงหูศัตรู หากแต่ผ่านไปนานนับนาที มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น
(...เฮ้ย อั๊วบอกให้พูดไงวะ!! ผัววะ!)
“อย่า...!!!”
หาญศักดิ์ร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเสียงเหมือนเนื้อคนถูกของแข็งฟาดเต็มรัก ในที่สุดเสียงหอบหายใจขาดช่วงก็ดังขึ้นให้ได้ยินในกระบอกเสียงโทรศัพท์
(เอ้าพูด!!!) เสียงคำรามอย่างหัวเสียของพิชิตลอยมาจากที่ๆ ไกลขึ้น เห็นได้ชัดว่าชายแก่ถอยห่างจากโทรศัพท์
เสียงช่วงจังหวะลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอเพราะสภาพเจ้าของร่างกายไม่ดีดังติดๆ กันมาตามสาย หาญศักดิ์กัดริมฝีปากจนเนื้อเยื่อแทบขาดออกจากกัน โพรงอกร้อนเหมือนถูกไฟเผา
“...”
(...พี่หาน)
“...!”
เสียงแหบแห้งของเด็กหนุ่มทำให้หาญศักดิ์น้ำตาผุดคลอขึ้นมาทันทีราวกับสั่งได้ หัวใจหล่นวูบหายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความกลัวที่เป็นที่สุดของชีวิตแล่นพล่านไปทั่วร่างจนตัวเย็นไม่ผิดกับน้ำแข็ง มือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์อุดปากตัวเองแน่นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดรอดออกจากปากไปได้เด็ดขาด
“...โซดา มึงเป็นยังไงบ้าง” เสียงที่ออกไปราวกับไม่ใช่เสียงของเขาเลย มันเป็นเสียงโหยหวนที่ผสมกับเสียงแห่งความหวาดกลัวจนน่าขัน ราวกับคนพูดกำลังจะขาดใจตาย
(เอ้า ตอบผัวไปสิว่ามีสภาพเป็นยังไง ฮ่าๆ!)
พิชิตสะใจยิ่งนักที่ได้เยาะเย้ยศัตรูคู่อาฆาต
(...พี่หาน ฟังผมนะครับ ผมสบายดี) โซดาที่เสียงแหบแตกพูดรัวเร็ว (ไม่ต้องมา ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้ตำรวจจัดการ มันเป็นกับดัก มันเป็นแผ -- !! ผัวะ!! เพียะ! -- อ๊ากก!)
“โซดา!! โซดา!!!”
(ผมให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นนะเสี่ยหาน! ไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือน!!) พิชิตตะโกนกร้าว
“กูจะไป!! กูจะไป!!” หาญศักดิ์ร้องทันที “แต่มึงห้ามทำอะไรโซดา!! ได้ยินไหม!! ถ้าโซดาเป็นอะไรแม้แต่ปลายก้อย พวกมึงตายแน่!”
(ฮ่าๆ แล้วทำไมผมต้องสนด้วยเล่าหือ? อ้าวเฮ้ย เกินไปแล้วเว้ย พวกลื้อหยุดมือได้แล้ว! ได้ยินเสียงอั๊วไหม! -- ตี๊ดดดด)
หาญศักดิ์แผดร้องอย่างสติแตกเมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของโซดาและเสียงทำร้ายร่างกายดังติดๆ มาในสายอย่างชุลมุน ก่อนสายจะตัดไปท่ามกลางความโกลาหลนั่น หาญศักดิ์แผดร้องสุดเสียงในรถแบบไร้สติ สองมือทุบตีพวงมาลัยระบายอารมณ์ประสาทแตก กรีดร้องโหยหวนอย่างไร้หนทาง ก่อนเสี่ยหนุ่มจะซบหน้าเข้ากับพวงมาลัยแล้วปล่อยโฮอย่างสุดจะกลั้น
“ตัวเอง... ไม่มีตัวเอง... แล้วเค้าจะทำยังไง...”
ทุกวินาทีที่เขาอยู่ตรงนี้โซดากำลังถูกทรมาน...ถูกทำร้าย...ถูกเหยียบย่ำ
หาญศักดิ์ร้องไห้จนตาแทบหลุด สะอื้นสะอื้นเสียงแหบเสียงแห้งเพราะหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขากลัวเหลือเกิน...เขาทำใจไม่ได้...และไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อไปจริงๆ
เสี่ยหนุ่มยกสองมือขึ้นตบใบหน้าตัวเองซ้ำๆ ก่อนจะปาดน้ำตา แล้วเงยหน้าขึ้นมาขับรถมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางตามที่พิชิตบอกทันที ไม่ต้องถามหาเหตุผลว่าอยู่ที่ไหน เพราะถ้าใช้สมองกลั่นกรอง เขารู้ว่าดีว่าเขาไม่ควรไปอย่างที่โซดาพูด ควรจะปล่อยให้ตำรวจเป็นคนจัดการและแจ้งเรื่องนี้กับคนอื่นเสีย แต่ถ้าถามหัวใจ...เขาต้องไปช่วยโซดาเดี๋ยวนี้ เขาไม่มีวันที่จะนั่งปลอดภัยแต่ต้องไปร้องไห้ใส่ร่างไร้วิญญาณของโซดาทีหลังเด็ดขาดแน่
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับโซดา ...เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
หาญศักดิ์แวะร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นแล้วซื้อ m150 สตรองมาดื่มจนหมดขวดในรวดเดียวเพื่อเรียกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว เขาเอาขวดแก้วว่างเปล่าที่มีไอน้ำเกาะเพราะความเย็นจากตู้เย็นแนบหน้าผาก
“ม้า...ป๊า...อั๊วคิดถึงพวกลื้อ” เสียงของหาญศักดิ์เบาหวิว นั่งพึมพำคล้ายสวดภาวนาอยู่คนเดียวหลังพวงมาลัยรถ “...อั๊วขอโทษที่ทำอะไรโง่ๆ...แต่อั๊วไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว...โดยเฉพาะคนคนนี้...”
เขาเปิดกระจก เขวี้ยงมันทิ้งข้างทางแล้วบึ่งรถไปยังที่นัดหมายทันทีโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไป อย่าเรียกว่าขับรถมันเรียกว่าเหาะ... เพราะไม่ถึงสิบห้านาที หาญศักดิ์ก็มาถึงโกดังร้างตรงชานเมืองอันเป็นจุดนัดพบ
แอ๊ด...
สายลมยามดึกพัดลอดเข้าไปในโกดังร้าง ส่งผลให้แผ่นสังกะสีที่เปิดเผยอลั่นเสียงเอียดอาด กลิ่นสนิมชื้นฟุ้งกระจายเตะจมูกทันทีที่ย่างก้าวแรกเข้าไป ชายหนุ่มก้าวเท้าต่ออย่างเชื่องช้า สายตากวาดสำรวจไปทั่ว มือขวาคลำตรวจปืนพกอันเก่งว่ายังอยู่กับตัวให้อุ่นใจ แล้วก็ค่อยๆ เดินต่อกับหัวใจที่เต้นโครมครามจนปวดซี่โครง...
:::METAL TERMINAL:::