กล่าวกันกันว่านกนั้นเป็นสัตว์วิเศษ เสียงอันไพเราะของมันยามที่ขับขานอยู่บนท้องฟ้านับเป็นเรื่องอัศจรรย์คล้ายกับเป็นเพลงที่ตั้งใจสรรสร้างจากสวรรค์ แต่ก็มีอีกคำกล่าวเช่นกันที่พูดถึงนกเอาไว้
นกที่ไม่มีเสียงก็เป็นได้แค่สัตว์บินได้เท่านั้น
บ้านขนาดเล็กกะทะรัดมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ข้างๆ กันเป็นบ้านกึ่งร้านค้าเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว ผู้คนเดินกันขวักไขว่เพื่อจับจ่ายซื้อของในยามเช้า เสียงตะโกนเรียกลูกค้าดังขึ้นสลับกับเสียงดนตรีจากนักดนตรีพเนจร
ภายในบ้านหลังเล็กมีชายหนุ่มร่างโปร่งผมสีอ่อนเจือฟ้ากำลังใช้ดินสอที่ทำจากถ่านหินราคาถูกขีดเขียนบนแผ่นกระดาษ สัญลักษณ์ต่างๆ ทางดนตรีถูกวาดจนเต็มหน้ากระดาษซึ่งมันก็มีมากพอๆ กับรอยขีดฆ่า มืออีกข้างที่ว่างถูกเคาะบนโต๊ะเป็นจังหวะเมื่อเริ่มขบคิดเนื้อเพลงในตอนท้ายไม่ออก
โครม
ประตูไม้แก่ถูกกระชากให้เปิดแรงจนบานพับส่งเสียงครวญ คนที่กระชากมันออกเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีสีดำไว้ชายและมีกุหลาบประดับอยู่บนอก เขามีสีหน้าถมึงทึงเพราะความไม่สบอารมณ์ขั้นรุนแรง " ลัวร์ !! เจ้าแต่งเพลงเสร็จรึยัง นี่มันก็เกิดกำหนดมาหลายวันแล้ว พวกข้าจะผลัดวันแสดงไม่ได้แล้วนะ "
คนที่ถูกกล่าวถึงมีสีหน้าเจื่อนลงพยายามยิ้มประนีประนอม ชูกระดาษขึ้นให้เห็นว่าเหลือเพียงบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น
ผู้บุกรุกถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายลง " ท่อนสุดท้ายแล้ว เจ้าก็รีบคิดให้มันไวๆ สิ "
ลัวร์พยักหน้าหงึกหงักก้มหน้าก้มตาเขียนเนื้อเพลงต่อและร้องทวนเนื้อเพลงที่ตัวเองแต่งออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาสะดุดที่บรรทัดสุดท้ายอีกครั้ง
กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยฟุ้งใกล้ๆ จนคนที่กำลังแต่งเพลงขมวดคิ้วเพราะความฉุนจมูกและขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิมเมื่อกระดาษในมือถูกฉกไปอ่านอย่างไร้มารยาท
" ยอดเยี่ยมๆ เจ้านี่มันแต่งเพลงเก่งชะมัด ลัวร์ ถ้าไม่ติดที่เจ้าพูดไม่ได้ ข้าคงจะเอาเจ้าเข้าร่วมวงดนตรีของข้าแล้ว " พูดจบก็แค่นเสียงหึ ส่งมันคืนให้กับเจ้าของกระดาษ
นักแต่งเพลงเม้มปากด้วยสีหน้าเศร้าๆ รับกระดาษคืนและเขียนเนื้อเพลงท่อนจบ
รอยยิ้มพอใจปรากฎบนใบหน้าของชายฉกรรจ์เมื่อในมือมีเนื้อเพลงที่แต่งจบแล้วและพร้อมที่จะนำมันไปบรรเลงต่อหน้าสาธารณชน บทเพลงของลัวร์ขึ้นชื่อเรื่องความละมุนละไมในเนื้อร้องหากแต่สะท้านในใจคนฟังด้วยทำนองสนุก ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่คนจะสามารถจดจำเพลงของลัวร์ได้
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ประพันธ์เพลงไพเราะพวกนี้
พอบรรลุเป้าหมายผู้ที่บุกรุกก็สืบเท้าออกจากบ้านทันทีไม่สนใจจะพูดคุยอะไรกับลัวร์อีก พวกเขาต้องซักซ้อมเพลงของลัวร์สักครั้งสองครั้งก่อนจะขึ้นแสดงบนเวทีใหญ่หลังจากนั้นก็รอกอบโกยเงินที่มากพอจะจับจ่ายใช้สอยอยู่ได้เป็นเดือนโดยไม่ต้องทำอะไร
แต่ฝีเท้าของเขาก็ถูกชะงักเอาไว้ด้วยแรงดึงที่ชายเสื้อ
" มีอะไรอีก " พูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด
ลัวร์แบมือสั่นๆ ให้เห็น
" อ้อ เงินค่าจ้างสินะ " ชายฉกรรจ์ล้วงหยิบเหรียญทองที่พอเหลือๆ อยู่ในกระเป๋ากางเกงยัดมันใส่มือลัวร์และไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทักท้วงอะไรพาร่างของตัวเองออกจากบ้าน
นักแต่งเพลงนับเงินเหรียญทองในมือด้วยจิตใจหม่นหมอง
เก้า... สิบ
" สิบเหรียญ.. " พูดเสียงเบา
สิบเหรียญสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในเดือนนี้ มันไม่พอสำหรับอาทิตย์หนึ่งด้วยซ้ำไป นักแต่งเพลงถอนหายใจกับความขลาดกลัวของตัวเองที่ไม่กล้าทำอะไร ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพลงของเขามันทำเงินได้มากขนาดไหน สิ่งที่พวกมันให้เป็นแค่เศษเงินเท่านั้น
แต่รู้แล้วยังไงล่ะ ยังไงเขาก็ไม่อาจะไปเรียกร้องกับใครได้อยู่แล้ว สิ่งที่พอทำได้คือการปรับตัวกับเงินจำนวนเล็กๆ นี่หรือจนกว่าจะแต่งเพลงใหม่ได้อีกเพลงซึ่งนั่นก็เกือบเดือนเลยทีเดียว
ลัวร์หยิบกระดาษที่วางทับของในความทรงจำออกและกลิ้งมันเล่นในมือด้วยอารมณ์อาวรณ์
ไข่มุกสีดำเป็นประกายระยับเมื่อถูกแสงแดดยามเช้าโลมเลีย
เขาจากที่แห่งนั้นมานานแค่ไหนแล้วนะ ? ที่ๆ เต็มไปด้วยเสียงดนตรีและเพลงขับขานแห่งนั้น.. ทันทีที่นึกถึงมันก็ปรากฎภาพหาดทรายสีขาวสะอาดกับเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์กำลังร้องเพลงที่ตัวเองเพิ่งแต่งกันอย่างสนุกสนาน
ใช่.. เขาเป็นเงือก
และเป็นเงือกที่พิการด้วยสิ
นอกจากมีหางเงือกเวลาที่อยู่ในน้ำกับแต่งเพลงได้ เขาก็ไม่มีอะไรที่เป็นเงือกสักนิด ผมสีฟ้าอ่อนเกือบจะขาวต่างจากเงือกคนอื่นๆ ที่มีสีน้ำเงินจัดไม่ก็สีเขียวไปเลยนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนี้อีก นับได้ว่าเขาแทบจะเป็นแกะดำในเพื่อนๆ เลยก็ว่าได้
สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับเงือกพิการอย่างเขาคือการพูดคุยกับคนอื่นไม่ได้
แต่เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นใบ้ ในเวลาที่เขาพูดยังคงได้ยินเสียงตัวเองดังก้องในหัวหรือแม้แต่การตะโกนดังๆ ก็ยังได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา มันเป็นเสียงที่ฟังเพราะและนุ่มหูอย่างบอกไม่ถูก
แม่ของเขาเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นใบ้เช่นกัน แม่ของเขาบอกว่าเสียงของเขาอาจจะมีเพียงบางคนที่ได้ยินเท่านั้น
คำพูดของแม่ทำให้ลัวร์ตัดสินใจออกจากบ้านเกิดของตัวเอง คำหยอกล้อรุนแรงดังก้องในหูทั้งจากเพื่อนและผู้ใหญ่บางคนเป็นสิ่งที่ผลักดันเขาเช่นกัน
เขาอาจจะแตกต่างเมื่ออยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์ของตัวเอง สิ่งที่เขาต้องทำคือการออกจากที่แห่งนั้นและมาอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ซึ่งที่เขาเลือกก็คึอเมืองมนุษย์ที่อยู่ใกล้ๆ เขาปกปิดความลับเรื่องที่ตัวเองเป็นเงือกเพราะเผ่าพันธุ์เงือกเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหลือน้อยและมนุษย์ก็นิยมจับไปขังบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจ
กลุ่มนักดนตรีเป็นสิ่งที่แรกที่เขาสนใจเมื่อเข้ามาในเมืองได้ เขาเสนอที่จะขายเนื้อเพลงที่ตัวเองแต่งซึ่งก็ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างดีในช่วงแรกๆ เขาได้เงินมากจนสามารถซื้อบ้านหลังเล็กๆ ต่อจากชายชราที่ย้ายออกไปอยู่กับลูกอีกเมือง
แต่ในภายหลังผลตอบแทนกลับน้อยลงเรื่อยๆ เขาคิดว่ามันน่าจะแปรรูปไปเป็นเสื้อของกลุ่มนักดนตรีที่ดูหรูหราขึ้นทุกครั้งที่พบกัน พวกมันรู้ว่าเขาไม่กล้าขัดขืนอะไรจึงให้เงินตามที่พวกมันอยากจะให้และข่มขู่ไม่ให้เขาขายเพลงให้ใครอีกนอกจากพวกมัน ถ้าหากพวกมันรู้ว่าเขาขายก็จะเผาบ้านเล็กๆ หลังนี้ทันที
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงมีสถานะเช่นเดิมคือการตกเป็นรองคนอื่น แน่นอนว่าเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้สักนิด แต่มันเป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ เขาไม่อยากจะกลับไปและไม่อยากจะตกเป็นรองตลอดไปแบบนี้เช่นกัน
สิ่งที่เขารออยู่คือโอกาสดีๆ สักครั้ง
เขาจะทิ้งการแหวกว่ายในน้ำและโผบินขึ้นบนท้องฟ้า
เป็นนกตัวเล็กที่มีเสียงขับร้องให้ใครสักคนต้องหยุดฟังอย่างหลงใหล
เพียงแค่ก้าวขาออกจากบ้านลัวร์ก็ถูกดึงความสนใจไปทันที นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสะท้อนภาพทหารรูปร่างบึกบึนข้างกายมีม้าน้ำตาล
สะบัดหูไปมาและส่งเสียงฟืดฟาด
ทหารขององค์ราชายืดอกด้วยท่าทีน่าเกรงขามกระชับกระดาษในมือและอ่านมันด้วยเสียงดังก้อง " ประกาศ ! องค์ราชามีความประสงค์จัดการแข่งขันประกวดแต่งเพลงและขับร้องเพื่อนำมาใช้ในงานวันเกิดของท่านในปีนี้ หากพวกเจ้าสนใจขอให้พวกเจ้ามาพร้อมกับเนื้อเพลงในมือที่ไม่ได้คัดลอกมาจากใครและจงมาองค์ราชา ระยะเวลาที่กำหนดคือหนึ่งเดือนพวกเจ้าสามารถเข้าไปหาองค์ราชาในวันใดก็ได้ช่วงเย็น หากองค์ราชาเลือกเพลงของพวกเจ้าก็เท่ากับว่าเป็นอันสิ้นสุดการแข่งขัน เงินรางวัลสำหรับผู้ชนะคือหนึ่งหมื่นเหรียญทองกับเหยี่ยวหิมะ ! "
สิ้นเสียงก็เกิดเสียงฮือฮาลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ของรางวัลแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล อย่างเหยี่ยวหิมะที่ขึ้นชื่อด้านความหายากและความเย่อหยิ่งหากแต่เมื่อมันตัดสินใจเลือกใครเป็นนายมันจะซื่อสัตย์จนถวายชีวิตให้ได้
ลัวร์เลิกคิ้วอย่างสนใจ
นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เขากำลังตามหา !
ทันทีที่คิดจบก็หมุนตัวกลับเข้าในบ้านของตัวเองทันที ทิ้งความคิดที่ว่าจะออกไปซื้อปลามาทำเป็นอาหารดีๆ สักมื้อให้กับตัวเองและกลับไปกินอาหารใกล้บูดเหมือนเดิม
เก้าอี้ที่เพิ่งผละออกไปยังไม่ทันหายอุ่นก็ถูกนักแต่งเพลงนั่งอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าลัวร์มากกว่าปกติอย่างผิดวิสัยแม้ในเวลาปกติเขาจะยิ้มอยู่เสมอในเวลาที่แต่งเพลงแต่ในตอนนี้กลับต่างออกไป หากว่าเขาสามารถสร้างสรรค์เพลงครั้งนี้ได้ดีพอ เขาอาจจะชนะได้เงินรางวัลและหลุดออกจากวังวนงี่เง่านี่ !
ยิ่งคิดลัวร์ก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข
หยิบกระดาษเก่าที่ส่งเสียงกรอบแกรบวางบนโต๊ะ
ลัวร์หลับตาพยายามจินตนาการในหัวว่าสิ่งที่เกี่ยวกับวันเกิดมีอะไรบ้างเมื่อคิดได้พอสมควรก็เขียนมันลงบนกระดาษเป็นคำๆ อยู่ห่างกันและใช้เส้นโยงเข้าหากัน เขียนความสัมพันธ์ที่น่าจะเป็นไปได้ระหว่างคำเพื่อหาแรงบรรดาลใจของเพลง
โครม !!
ประตูถูกกระแทกเปิดอีกครั้ง ลัวร์รีบซ่อนสิ่งที่ตัวเองกำลังถืออยู่ทันที สายตาจับจ้องไปยังผู้บุกรุกเป็นประกายความหวาดกลัวและกังวล
เป็นชายฉกรรจ์คนเดิม เขาย่างสามขุมเข้าไปใกล้ลัวร์ มืออันสั่นเทาน่าจะเป็นสิ่งที่บอกถึงความหวาดกลัวของนักแต่งเพลงในตอนนี้ได้ดี
" ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ข่าวการประกวดแต่งเพลงแล้ว " เขาหัวเราะหึแสยะยิ้มนัยน์ตาเป็นประกายเมื่อเห็นภาพตัวเองกำลังยืนท่ามกลางเหรียญทองจำนวนมหาศาล " คงจะรู้นะว่าเจ้าต้องทำยังไง "
นักแต่งเพลงส่ายหน้าเป็นพัลวันชูมือที่สื่อถึงหนึ่งเดือนพยายามให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนเองไม่สามารถแต่งได้ภายในหนึ่งเดือนแน่นอน
ผู้บุกรุกขมวดคิ้วตะคอกด้วยอารมณ์โมโหร้าย " ข้าให้เวลาเจ้าสามอาทิตย์ หากเจ้าไม่มีปัญญาแต่งก็รอถูกเผาไปพร้อมกับบ้านโทรมๆ นี้เลย ! "
ลัวร์แสร้งสะดุ้งเฮือกหน้าซีดเผือดและพยักหน้ายอมรับข้อเสนอด้วยท่าทีหวาดกลัว
ความรู้สึกพอใจปราฎในอกของชายฉกรรจ์ เวลาที่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวมันทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเป็นราชายิ่งใหญ่ที่มีสามารถสั่งให้ไพร่พลไปตายแทนตัวเอง " ดี ถ้าหากว่าข้าชนะการประกวดข้าจะแบ่งให้เจ้าสักนิดแล้วกัน "
คนถูกข่มขู่ก้มหน้านิ่งเพื่อซ่อนสีหน้าโกรธขึ้งของตัวเองจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูกระแทกเสียงดังอีกครั้งก็ใช้มือทุบโต๊ะจนเจ็บมือ ในหัวเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงของอารมณ์
เขาโกรธมัน ที่มันกำลังจะแย่งสิ่งที่เป็นของเขาไป
เขากลัว กลัวว่าตัวเองจะถูกมันซ้อมเหมือนครั้งที่เขาปฏิเสธที่จะแต่งเพลงให้พวกมันต่อ
สองสิ่งนี้ประทุสลับกันในหัว
แต่สิ่งที่แจ่มชัดที่สุดคือความรู้สึกอยากเอาชนะของเขา
เขาจะแต่งเพลงให้เสร็จก่อนถึงนัดของมัน !
" เข้าไป " เสียงทุ้มต่ำขององค์รักษ์หน้าประตูเอ่ยบอกกับลัวร์
ลัวร์พยักหน้าหงึกสูดหายใจลึกเรียกขวัญกำลังใจตัวเอง
สิ่งที่เขาพยายามมาตลอดสองสัปดาห์จะสัมฤทธิ์ผลในตอนนี้ แต่สิ่งที่เขากังวลมากกว่าเนื้อเพลงก็คือการร้องเพลง เขาไม่รู้ว่าองค์ราชาจะได้ยินเสียงของเขารึเปล่า
เขากำลังจะเสี่ยงโชคกับคนที่ถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั่วไป เขาคิดว่าหากคนปกติไม่ได้ยินเสียงของเขาแล้วองค์ราชาที่เป็นเจ้าดินแดนล่ะจะได้ยินไหม ?
เขาไม่รู้และไม่มีทางรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
นักแต่งเพลงสืบเท้าเข้าไปในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา เสียงฝีเท้าที่ควรจะมีก็ถูกพรมสีแดงก่ำราคาแพงระยับเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ตรงปลายสุดของทางเดินมีชายร่างสูงนั่งหลังเหยียดตรงสีหน้าไร้อารมณ์ ผมสีทองคลอเคลียต้นคอเข้ากันดีใบหน้าคม ตาสีทองลุกวาวราวกับกำลังสำรวจผู้ที่เข้ามาใหม่ เขาสวมเสื้อสีแดงขลิบทองบนศีรษะมีมงกุฎประดับด้วยอัญมณีส่องประกายวาววับ
ข้างกายของเจ้าดินแดนมีองค์รักษ์ยืนนิ่งสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดียวกับผู้เป็นนายเพียงแต่ว่าองค์รักษ์ผู้นี้มีร่างกายที่บึกบึนยิ่งกว่าเพราะในเวลาปกติเขาจะรับหน้าที่เป็นแม่ทัพให้กับองค์ราชาแต่ในเวลานี้มีการประกวดจึงยอมปลีกตัวจากงาน มาคุ้มกันให้กับนายของตัวเอง การพบปะผู้คนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัยสำหรับคนเป็นราชา เขามีผมสีแดงเพลิงตัดสั้นรับกับใบหน้าคมคายและนัยน์ตาสีเพลิงที่บอกถึงสายเลือดแห่งไฟ
สายเลือดที่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้และปกปักษ์รักษาแผ่นดิน แต่ข้อเสียร้ายแรงของสายเลือดนี้คืออามณ์ที่แปรปรวนหากควบคุมไม่ดีพอก็แทบจะเผาผลาญคนอื่นจนเป็นจุล
ลัวร์กลืนน้ำลายดังเอื้อกค้อมตัวทำความเคารพด้วยท่วงท่าสง่างาม
" เริ่มร้องเลย ไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องพวกนี้หรอก " คนเป็นเจ้าแผ่นดินพูดด้วยรอยยิ้มจางทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อได้รับคำอนุญาตลัวร์ก็หลับตาลงเริ่มร้องเพลงที่ตัวเองแต่งอย่างตั้งใจ เนื้อเพลงถูกร้องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลในท่วงทำนอง
สนุกสนาน เนื้อเพลงที่ลัวร์แต่งนั้นกล่าวถึงชีวิตที่เกิดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอุปสรรคถ้าหากสามารถเอาชนะมันได้ก็จะประสบความสำเร็จไม่ว่าในเรื่องใดๆ
ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนที่เพลงจะจบลง ลัวร์ค้อมตัวทำเคารพอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังคงหลับตาและเงยหน้าขึ้นมาสบตาองค์ราชาด้วยนัยน์ตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
แต่คำพูดที่ตอบกลับมากลับทำให้หัวใจของนักแต่งเพลงแตกเป็นเสี่ยง
" ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมาดูเจ้าเล่นละครใบ้หรอกนะ " สีหน้าเย็นชามาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นเยือก
ไหล่ที่ปกติมักจะตั้งอย่างสง่าผ่าเผยทรุดลงทันที ลัวร์ก้มหน้านิ่งห่อไหล่รู้สึกหน้าชาวาบ ในอกรู้สึกคล้ายกับมีน้ำตาท่วมอยู่จนหายใจไม่ออก
ความพยายามตลอดสองอาทิตย์ของเขาสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง
และกระดาษแผ่นนี้ก็ต้องกลายเป็นของพวกนั้น
ลัวร์คิดด้วยสีหน้าเศร้าหมองค้อมตัวทำความเคารพอีกครั้งเพื่อเป็นการขอโทษและพยายามก้าวไวๆ ออกจากห้อง
" เขาไม่ได้เป็นใบ้ "
ขาที่เกือบจะก้าวออกจากห้องชะงักทันทีและค่อยๆ หันกลับมามองเจ้าของเสียงด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า น้ำตาที่ตอนแรกเกือบจะไหลเพราะความเจ็บใจแต่ตอนนี้กลับไหลเพราะความดีใจ
" ข้าได้ยินเสียงของเขา " แม่ทัพที่มีสายเลือดแห่งไฟพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิมแต่ตากลับเจ้านักแต่งเพลงไม่วางตา " เสียงของเขาเพราะมาก ข้าคิดว่าเขาควรจะได้เป็นผู้ชนะ "
ผู้เป็นนายเลิกคิ้วงุนงง " เจ้าได้ยินเสียง ? ทำไมข้าถึงไม่ได้ยินล่ะ "
" ข้าไม่อาจทราบได้ "
ลัวร์รู้สึกถึงตัวที่สั่นเทาด้วยความดีใจของตัวเอง " เจ้า เจ้าได้ยินเสียงของข้างั้นเหรอ.. " มองแม่ทัพด้วยสายตาคาดหวัง
" อืม " พยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ " ข้าชอบเสียงของเจ้า "
ความรู้สึกตื้นตันตีตื้นในอกของลัวร์ เขารู้สึกดีใจจนแทบบ้า เมื่อในการโผบินของเขาครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เขาปีกหักจนต้องกลับไปว่ายในน้ำ แต่เป็นการโผบินที่เจอกับสิ่งที่เขาตามหามาตลอด
คนที่ได้ยินเสียงของเขา
สุดท้ายเงือกหนุ่มก็ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้ไหลพรากออกมาทันที
เจ้าของดินแดนขมวดคิ้วมุ่นหันไปสั่งองค์รักษ์อีกนายที่ยืนเฝ้าประตูให้ยกเลิกการประกวดสำหรับวันนี้ และกลับมาพูดคุยกับลัวร์ " ข้าไม่ได้ให้เจ้าชนะหรอกนะ แต่ถ้าหากเจ้าเอาเนื้อเพลงที่เจ้าร้องให้ข้าอ่านแล้วข้าชอบนั่นก็อีกเรื่อง อ้อ ถ้าเจ้าจะส่งก็ส่งมาพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน ฝากไว้กับองค์รักษ์หน้าประตูของข้า ส่วนตอนนี้เจ้าจะคุยอะไรกับแม่ทัพฟารอสก็เชิญ ข้าไปล่ะ ! " พูดจบก็หัวเราะ
ฮ่าๆ สาวเท้าออกไปบ่งบอกถึงนิสัยขี้เล่นของเจ้าตัว
ลัวร์กระพริบตาปริบงุนงงพยายามใช้มือเช็ดน้ำตาตัวเองออก
ฟารอสก้าวเข้าไปใกล้และหยุดยืนตรงหน้าลัวร์ " เจ้าร้องไห้ทำไม ? "
เงือกหนุ่มยิ้มกว้าง " ข้าดีใจน่ะ เจ้าเป็นคนแรกที่ได้ยินเสียงของข้าทั้งๆ ที่คนอื่นคิดว่าข้าเป็นใบ้ด้วยซ้ำ "
แม่ทัพนิ่งเงียบไปสักพัก " น่าเสียดาย ถ้าหากคนอื่นได้ยินเสียงของเจ้าข้าคิดว่าพวกเขาคงต้องลุ่มหลงจนไม่อาจทำอะไรแน่ "
ทั้งๆ ที่กำลังชมคนอื่นแต่สีหน้าฟารอสก็ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
ลัวร์หน้าแดง
นี่ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เขาฝันหาเป็นจริงหมดเลยงั้นสิ
ทั้งมีคนได้ยินเสียงและลุ่มหลง
" ท่านลุ่มหลงเสียงข้า ? "
นัยน์ตาสีเพลิงจดจ้องนักแต่งเพลงนิ่งราวกับกำลังยืนยันคำพูดของตัวเองทางสายตาแล้วจึงตอบรับในลำคอ " อืม "
ยิ่งฟังคำตอบของแม่ทัพหนุ่มก็ยิ่งทำให้ลัวร์รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก
ลัวร์ไม่เคยถูกชมซึ่งๆ หน้ามาก่อน
" งะ งั้นข้าขอตัว "
ตัดสินใจพาตัวเองออกจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนที่มีเพียงคนเดียวที่รู้สึกประหม่าส่วนอีกคนสีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่ในน้อยตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในห้อง
" ตำแหน่งนักดนตรีประจำบ้านของข้ายังว่าง " ฟารอสยิ้มมุมปากเมื่อคำพูดลอยๆ ของตัวเองทำให้อีกคนชะงัก " คำตอบที่ข้าต้องการจากเจ้าคือตกลงเท่านั้น "
เงือกหนุ่มเบิกตากว้างไม่เชื่อหูตัวเองหันขวับกลับไปมองแม่ทัพ " ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม " พูดเสียงสั่น
เขากำลังจะหลุดจากวังวนบ้าๆ ของไอ้พวกนั้นแล้ว !
" พรุ่งนี้หลังจากที่เจ้าส่งเนื้อเพลงก็รอข้าแถวนั้น ข้าจะไปรับเจ้าเอง "
" ขอบคุณ ขอบคุณท่านมาก " ลัวร์พูดอย่างดีใจ " งั้นข้าขอตัวไปเก็บของก่อนนะ ! " วิ่งพรวดพราดออกจากห้อง ลืมความประหม่าไปหมดสิ้น เงือกหนุ่มกำลังรู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น
ต่อให้เขาไม่ได้รางวัลจากองค์ราชาแต่อย่างน้อยเขาก็มีบ้านหลังใหม่อยู่ ยิ่งคนเป็นเจ้าของบ้านเป็นแม่ทัพอีก เขาแทบจะไม่อยากคิดชีวิตหลังจากนี้ของตัวเองว่าจะดีขนาดไหน
มันต้องดีมากแน่ๆ
ลัวร์ยิ้มอย่างมีความสุข
ทันทีที่ถึงบ้านลัวร์ก็จัดการเก็บสัมภาระของตัวเองใส่กระเป๋า เสียงฮัมเพลงเบาๆ ดังคลอแว่วไปในอากาศ สิ่งของของเงือกหนุ่มมีไม่มากนักนอกจากพวกกระดาษดินสอเสื้อผ้าก็แทบไม่มีอะไรอีกเพราะจำนวนเงินที่มีอยู่ไม่อำนวยต่อการซื้อของฟุ่มเฟือยสักเท่าไหร่ สิ่งที่ดูจะราคาแพงที่สุดในบ้านคงจะเป็นกระเป๋าที่กำลังใส่ของอยู่นี้
ใช้เวลาไม่นานก็เก็บของจนเสร็จสิ่งที่พอเหลือในบ้านเป็นแค่ของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สามารถหาซื้อมาใหม่ได้ ลัวร์มองบ้านที่ตัวอยู่มาเกือบปีด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะขนไปด้วยได้และถ้าหากพวกมันรู้ว่าเขาไม่อยู่บ้านหลังนี้แล้วคงจะยึดบ้านนี้ไปแน่ๆ
สิ่งของของเขากำลังถูกฉกฉวยอีกครั้ง
ลัวร์ถอนหายใจสาวเท้าเข้าในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำและปลดเปลื้องเสื้อผ้าเก่าๆ ของตัวเองออก ผมสีฟ้าอ่อนที่ปิดใบหน้าไปเกือบครึ่งหน้าถูกมัดรวบสูงเผยให้เห็นใบหน้าน่ามอง เขาค่อยๆ จุ่มขาทั้งสองข้างลงในอ่างอาบน้ำที่ถูกเปิดน้ำไว้จนเต็ม เพียงชั่วพริบตาขาของของนักแต่งเพลงก็กลับกลายเป็นหางเงือกเช่นเดิม เงือกหนุ่มทิ้งตัวลงในน้ำเย็นเยียบและหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
เวลาที่อยู่ในน้ำทำให้เขารู้สึกคล้ายกับกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดอีกครั้ง
เพลงหลายๆ เพลงที่เขาแต่งต่อไม่ได้ก็มักจะนึกออกในเวลานี้
แต่เขาก็ไม่ได้คืนร่างบ่อยนักเพราะมันเสี่ยงเกินไปเขาอาจจะถูกบุกรุกในเวลาค่ำคืน
ปัง !!
ฉับพลันประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างวิสาสะ
" ลัวร์ ! เจ้าตอบข้ามาว่าทำไมเจ้าถึงไปเข้าเฝ้าองค์ราชาได้ !!! " คำรามเสียงดังลั่นนัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ชายฉกรรจ์พุ่งตัวเข้าไปคว้าคอลัวร์และยกขึ้นมาก่อนที่มันจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นช่วงล่างของลัวร์
ลัวร์หน้าซีดเผือดพยายามแกะมือที่กำลังบีบคอตัวเองแน่น ตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
มันรู้แล้วว่าเขาทรยศและยังรู้ความลับของเขาอีก
ผลั่ก
ร่างของลัวร์ถูกทุ่มลงไปบนพื้น ลัวร์คู้ตัวกอดตัวเองแน่นน้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่
มันจบแล้ว..
โอกาสของเขา
" เจ้าเป็นเงือกงั้นเหรอ ทำไมข้าไม่ยักรู้ไม่ก่อน " มันหัวเราะเสียงต่ำจดจ้องลัวร์ด้วยสีหน้าหื่นกระหาย " ข้าเคยได้ยินว่าเงือกเป็นสัตว์หายาก ไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้ครอบครอง " ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ลัวร์อย่างรวดเร็ว
" ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ฮือ " ลัวร์พร่ำพูดพยายามพูดทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงมันก็ไม่ได้ยินเสียงของเขา ตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิมเมื่อโดนมือหยาบลูบไล้ตามตัว " เอาไปเลย เจ้าจะเอาอะไรเอาไปเลย อย่าทำข้าเลย "
แต่สัตว์ร้ายก็ยังคงเป็นสัตว์ร้าย มันไม่ได้สนใจท่าทางหวาดกลัวของลัวร์แม้แต่น้อย
ลัวร์หลับตาแน่นสะอื้นฮักในหัวรู้สึกว่างเปล่า
หากว่ามันทำอะไรเขาจริงๆ
เขาคงไม่มีความคิดที่จะอยู่อีกต่อไป
ตึง !!
สัมผัสหยาบโลนบนตัวหายไปพร้อมกับเสียงของบางอย่างหนักๆ ลัวร์ลืมตาขึ้นจดจ้องด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนเข้ามาช่วย
แม่ทัพฟารอส
เสียงหมัดหนักๆ ดังลั่นห้องตามด้วยเสียงกระดูกหัก เจ้าของสายเลือดไฟกำลังโกรธจนคลุ้มคลั่ง นัยน์ตาเป็นประกายระริกราวกับมีพายุเพลิงแผดเผาข้างใน สีหน้าที่มักจะเย็นชาเป็นนิจกลับถมึงทึงผิดวิสัย
สติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของชายฉกรรจ์ใช้ไปกับการอ้อนวอนขอให้อีกฝ่ายไว้ชีวิตตัวเอง มันรู้สึกร้าวไปทั้งตัวจนขยับตัวไม่ได้แต่สิ่งที่ทำให้มันหลุดเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดคือเท้าที่กระทืบลงบนตัวมันครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บปวดเจียนตายทำให้มันสลบไปไม่รู้ตัว
เมื่อกระทืบจนความรู้สึกคลุ้มคลั่งเบาบางลง ฟารอสก็สาวเท้าไปหาลัวร์ " เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ? " ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ถามน้ำเสียงนุ่มนวลและเผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นช่วงล่างของลัวร์
" ข้าไม่เป็นไร " ลัวร์เช็ดน้ำตาของตัวเองออกยิ้มให้คนที่มาช่วยตัวเอง " ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้า "
" เจ้าเป็นเงือก ? " แม่ทัพถามอึ้งๆ
ราคาค่างวดของเงือกในเวลานี้สูงมาก แม้แต่องค์ราชาที่บ่นว่าอยากได้ก็ไม่อาจซื้อได้เพราะราคาของมันอีกทั้งเงือกยังเป็นสัตว์ที่เก็บตัวไม่สุงสิงกับมนุษย์สักเท่าไหร่
เงือกหนุ่มยิ้มบางและพยักหน้าตอบ " อืม ข้าเป็นเงือก หวังว่าท่านจะรับนักดนตรีที่เป็นเงือกนะ "
แม่ทัพหนุ่มยิ้มมุมปาก
" ไว้ข้าจะสร้างบ่อน้ำในห้องด้วยแล้วกัน "
--------------------------
อืมม มันก็ดูขาดๆ งงๆ จริงๆ นั่นแหละ