บทที่ 18
หลังจากที่ต้นตะวันเปิดใจเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเขาในวัยเด็กให้วิทยาฟังก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ไปในทิศทางที่ดีขึ้น ต้นตะวันจึงเริ่มเล่าถึงผลที่ตามมาจากเหตุการ์ณในครั้งนั้นให้วิทยาได้ฟังซึ่งมันนับเป็นครั้งแรกของต้นตะวันเช่นกันที่เล่าเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นฟัง เพราะแม้กระทั่งพี่หว่าพี่ที่รู้เรื่องของเขาก็ยังคงไม่ได้รู้เรื่องมากขนาดนี้
"วันนี้ไปกินซิลเล่อร์กันได้ไหม ? เราอยากกินมากเลย"
วิทยาคิดมาตลอดตั้งแต่วันนั้นว่าเขาสมควรจะช่วยต้นตะวันอย่างไรและพอยิ่งได้ฟังมากเท่าไหร่ วิทยาก็ยิ่งอยากจะหาทางช่วยต้นตะวันมากเท่านั้น
วิทยาคิดอยู่หลากหลายวิธีและก็คิดได้ว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือ ต้องให้ต้นตะวันได้เห็นด้วยตัวเองว่าก็ยังมีสังคมที่ไม่ได้มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเลวร้าย
"ได้สิให้ผมไปรับไหมหรือว่ายังไงดี?"
"ย้อนไปย้อนมา เดี๋ยวไปเจอกันที่ห้างเลยแล้วกัน"
"โอเคครับ"
วิทยาตั้งใจมาถึงก่อนต้นตะวันเพราะเขาต้องการเป็นคนเลือกที่นั่ง ที่วิทยาเลือกร้านนี้เพราะวิทยามั่นใจว่าพนักงานของร้านจะไม่มายุ่งที่โต๊ะมากเหมือนร้านอื่นๆ แค่เอาจานหลักกับน้ำมาเสริ์ฟให้นอกนั้นก็เป็นลูกค้าที่ต้องเป็นคนเดินไปตักมากินเอง
วิทยาเลือกโต๊ะที่เข้าไปทางด้านในของร้านไม่ติดกระจกและไม่ติดกับตรงสลัดบาร์มากนัก เพราะแม้วิทยาจะอยากเปลี่ยนแปลงต้นตะวันแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็อยากใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป
"ตะวันเดินไปตักสลัดให้เราหน่อยได้ไหม? เราปวดขามาก วันนี้ลูกค้าเยอะมากเดินเหมือนวิ่ง"
"อื้ม"
"ตะวันมันมีอะไรบ้างที่สลัดบาร์? เราจำไม่ได้"
แม้ว่าแรกๆ ต้นตะวันจะรู้สึกไม่สะดวกใจที่ต้องคอยเดินไปถ่ายรูปที่บาร์มาให้ว่ามีอะไรบ้างเพื่อให้วิทยาได้เลือก แต่จะให้ต้นตะวันปฎิเสธวิทยาต้นตะวันก็ทำไม่ได้ ก็เลยต้องยอมเดินไปที่สลัดบาร์เพื่อไปถ่ายรูปแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อให้วิทยาเลือก แถมพอหมดรอบแรกก็ต้องมีรอบสองและรอบสามเพิ่มขึ้น
แรกๆ ต้นตะวันก็วางมือถือเอาไว้ที่โต๊ะเพื่อให้วิทยามองดูภาพถ่ายเอง แต่พอเดินหลายรอบเข้า ก็กลับกลายเป็นว่าต้นตะวันเป็นคนที่ถือมือถือเอาไว้แล้วให้วิทยาเป็นคนจิ้มเลือกจากหน้าจอโทรศัพท์ของเขาเอง
"ขอบคุณนะ"
วิทยายิ้มขอบคุณตอนที่ต้นตะวันยื่นชุดสลัดบาร์ลงมาวางที่ตรงหน้าของเขา และเพราะรอยยิ้มที่ต้นตะวันได้รับ ที่ทำให้ต้นตะวันรู้สึกคุ้มค่าที่เขาต้องฝืนตัวเองมาตลอดเกือบ 15 นาทีที่ผ่านมา
"อิ่มยัง?"
ตลอดเวลาของมื้ออาหารวิทยาพยายามชวนต้นตะวันคุยไม่คอยนั่งเงียบเหมือนที่ผ่านมา วิทยาพยายามเลือกหัวข้อการคุยที่ให้ต้นตะวันสามารถใช้คำตอบเพียงแค่คำสั้นๆ อย่างเช่น วันนี้ประชุมเหนื่อยไหม กินข้าวกลางวันกับอะไร และวิทยาเองก็พยายามควบคุมโทนเสียงการคุยให้เบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน
"อิ่มแล้วครับ"
"วันนี้ตะวันต้องรีบกลับไหม?"
"ไม่ครับ"
"เราอยากซื้อเสื้อใหม่สักตัวสองตัว ไหนๆ ก็มาห้างแล้วไม่อยากกลับบ้านมือเปล่า"
"เอาสิ"
แต่ที่ผิดคาดคือวิทยาไม่ได้เดินตรงไปที่แผนกเสื้อในตัวห้าง แต่กลับพาต้นตะวันเดินข้ามไปอีกฝั่งของห้างที่เป็นลานกว้างๆ และมีร้านเสื้อหลายๆ ร้านเปิดรวมตัวกันอยู่
"ตัวนี้สวยไหม?"
"อื้ม"
วิทยาพาต้นตะวันเดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ พยายามให้ต้นตะวันมีส่วนเลือกในการเลือกเสื้อ ช่วงร้านแรกๆ ต้นตะวันก็ไม่ยอมเดินเข้ามาในร้านด้วยกันบอกขอรออยู่ที่หน้าร้าน แต่อาจจะด้วยยิ่งเดินนานก็ยิ่งร้อนและบางร้านวิทยาก็ใช้เวลาอยู่ในร้านนาน ทำให้ต้นตะวันต้องเดินเข้ามาตามแล้วก็จบที่เลือกเสื้อให้กับวิทยา
"ขับรถกลับดีๆ นะ"
"ครับ พักผ่อนนะแล้วก่อนนอนวิทก็เอาขาขึ้นพาดกับกำแพงสิจะได้ดีขึ้น"
"โอเคครับ"
วิทยาเอื้อมมือไปหยิกแก้มต้นตะวันเล่นและกำลังจะหันตัวกลับไปเปิดประตูรถแต่แล้วต้นตะวันก็ดึงให้วิทยาหันกลับมา
"จุ้บ" เป็นเพียงการแตะริมฝีปากลงเบาๆ บนริมฝีปากของเขาเพียงเท่านั้นแต่วิทยากลับรู้สึกเขินเหมือนกับต้นตะวันกำลังจูบเขาอย่างลึกซึ้ง
"ฝันดีครับ"
"อื้ม ฝันดี"
วิทยาพยายามชวนต้นตะวันออกไปข้างนอกกับเขาบ่อยขึ้น จากชีวิตของเขาสองคนที่เจอกันอยู่แค่ที่ร้านของวิทยาหรือที่บ้านของเขาทั้งสอง ก็เริ่มมีห้าง ร้านอาหาร และก็สวนสาธารณะ
"วันนี้ก่อนกลับบ้านแวะซุปเปอร์ได้ไหมมันมีของที่ร้านหมดแล้วเราลืมสั่ง"
"ได้สิครับ"
ซุปเปอร์ที่ต้นตะวันกับวิทยามาเป็นซุปเปอร์ที่ไม่ได้ใหญ่มากและด้วยมันเป็นเวลาที่ค่อนข้างจะมืดแล้วก็เลยยิ่งทำให้คนบางตา
"ไปโซนผลไม้กัน"
วิทยาแตะที่หลังของต้นตะวันเพื่อที่จะบอกว่าเขาต้องการเดินไปที่มุมไหน ทันทีที่มือของวิทยาโดนที่หลังของต้นตะวัน ต้นตะวันก็เกร็งตัวทันที ต้นตะวันหันกลับไปมองหน้าของวิทยาแต่ก็ดูเหมือนว่าวิทยาจะลืมตัวต้นตะวันเลยไม่ได้พูดอะไร
"มะม่วงลูกไหนจะหวานกว่ากัน?"
"ผมเลือกไม่เป็น"
มันเป็นคำตอบที่วิทยาก็คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะได้รับ เขาก็ไม่ได้หวังให้คนไม่เคยเข้าครัวมาช่วยเลือกสักหน่อย เขาก็แค่อยากจะให้มีการพูดคุย แต่พอเขากลับไปเห็นหน้าตาเคร่งเครียดของต้นตะวันที่กำลังมองดูกลุ่มมะม่วงอย่างจริงจังว่าลูกไหนจะหวาน วิทยาก็เลยหลุดยิ้มออกมา
"ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้" วิทยาตบลงที่บ่าของต้นตะวันเพียงเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
"ผมไปรอที่รถนะ"
แต่แล้วต้นตะวันกลับเบี่ยงตัวออกแล้วรีบเดินออกมาจากตรงนั้น ในตอนแรกต้นตะวันไม่เข้าใจว่าวิทยากำลังจะทำอะไรเขาได้บอกเรื่องราวไปหมดแล้วแต่ทำไมวิทยากำลังทำตัวเหมือนไม่เคยได้ฟังอะไรจากเขา ก่อนหน้าที่เขาจะเล่าวิทยายังเหมือนเข้าใจเขามากกว่านี้เสียอีก
ต้นตะวันเดินมารอวิทยาที่รถ ส่วนนึงเขาต้องการที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้เย็นลงและเพื่อคิดทบทวนให้มากกว่านี้ และต้นตะวันก็คิดได้ว่าการที่เขาเบี่ยงตัวออกจากมือของวิทยา มันต้องไม่ใช่เขาฝ่ายเดียวแน่ที่รู้สึกไม่ดีวิทยาเองก็ต้องรู้สึกไม่ดีเช่นกัน ยิ่งคิดต้นตะวันก็ยิ่งโมโหตัวเอง ทำไมเขาต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วย
"ตะวัน"
วิทยาเปิดประตูรถเข้ามานั่งที่ฝั่งคนขับเป็นที่เรียบร้อย เขากำลังจะเอ่ยปากขอโทษกับต้นตะวันที่เขาทำอะไรแบบนั้นลงไป แต่เป็นต้นตะวันที่พูดขัดขึ้นมาก่อน
"ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเหมือนรังเกียจกัน"
"อื้ม"
วิทยาเอื้อมมือไปจับมือกับต้นตะวันบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจและก็ยิ้มให้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้โกรธต้นตะวันจริงๆ
"ตะวัน ตะวันโกรธไหมที่เราทำแบบนี้"
"ไม่โกรธครับ แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าวิททำแบบนี้ทำไมวิทก็รู้ว่า.."
"ใช่เรารู้" วิทยาสูดลมหายใจเข้าก่อนที่จะพูดต่อ
"เรารู้และเราก็อยากทำให้มันดีขึ้น"
"แต่.."
"ฟังเราให้จบก่อน เราอยากมีความสุขกับตะวันในทุกๆ ที่ที่เราไป เราไม่อยากมีความสุขแค่ที่บ้านหรือที่หลังร้าน"
"ตะวันหลายวันที่ผ่านมาตะวันไม่รู้สึกดีเหรอเวลาที่เราได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน ได้เลือกเสื้อผ้าได้เลือกของให้อีกฝ่ายได้ใช้"
"ผมรู้สึกดี"
"และเราก็ต้องการให้เราทั้งสองคนรู้สึกดีแบบนั้นตลอดไป ตะวันไม่มีใครสนใจเราสองคนหรอก และเราสองคนก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าเกลียดด้วยจริงไหม?"
"......."
วิทยาไม่ได้เร่งเอาคำตอบเขาต้องการให้ต้นตะวันได้คิด แล้วถ้าเกิดต้นตะวันได้คิดแล้วและคิดว่ามันไม่ดีและไม่อยากทำ วิทยาคิดว่าเขาเองก็อาจจะหยุด เพราะไม่ว่าต้นตะวันจะเป็นยังไงเขาก็ยังรักต้นตะวัน ถ้าเกิดต้นตะวันเปลี่ยนไม่ได้เขาก็จะไม่บังคับ
"ผมอยากพยายามดู"
"หื้ม?"
"หลายวันที่ผ่านมาผมมีความสุข ผมชอบที่ได้กินข้าวนอกบ้านได้คุยกัน แม้จะไม่ชินแต่ผมก็อยากลอง"
มันไม่ใช่เพราะว่าเขาอยากลองหรือไม่ แต่สิ่งที่ต้นตะวันคิดเขาแค่อยากเห็นวิทยามีความสุข เขาอยากเห็นรอยยิ้มของวิทยาที่มีให้กับเขา และรอยยิ้มนี้เขาก็อยากให้วิทยายิ้มให้เขาในทุกที่ไม่ใช่แค่ที่บ้านเพียงเท่านั้น
"งั้นเรามาพยายามด้วยกันเนอะ"
"ครับ"
วันนี้มีตลาดนัดตอนเย็นแถวร้านของวิทยา ก่อนกลับบ้านวิทยาเลยชวนต้นตะวันไปเดินตลาดเล่น อาจจะเป็นเพราะว่าตลาดนั้นตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยทำให้มีคนเดินตลาดเยอะเป็นพิเศษ วิทยาเกือบถอดใจกลับไม่เดินแต่กลายเป็นต้นตะวันเสียเองที่บอกให้เดินเข้าไป
"เดี๋ยวหยุดร้านนนั้นแป้ปนะผมอยากกินมันเชื่อม"
"โอเค"
ยิ่งเย็นคนยิ่งเยอะด้วยที่นักศึกษาเริ่มเดินลงมาจากหอพักเพื่อมาหาของทานกัน วิทยาเลยเอื้อมมือไปจับที่ข้อมือของต้นตะวันเอาไว้แล้วพาเดินออกไปอีกฝั่งของตลาด เพราะท่าจะเดินตามคนไปเรื่อยๆ จนจบท้ายตลาด วันนี้พวกเขาทั้งสองคนคงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงอย่างแน่นอน
"ผมโอเค"
เพราะการเกร็งที่ข้อมือของต้นตะวันทำให้วิทยารู้ตัวว่าเขาอาจจะข้ามขั้นไป แต่พอเขาหันขึ้นไปมองหน้าของต้นตะวันที่เหงื่อออกเพราะไม่รู้ว่าร้อนหรือเพราะว่าเกร็ง วิทยาก็ต้องหลุดยิ้มออกมา
ต้นตะวันกำลังยิ้มฝืดๆ ให้เขา 1 ที พร้อมขยับปากบอกวิทยาว่าผมโอเค
วิทยาพยักหน้ารับแล้วก็กุมข้อมือของต้นตะวันออกมาจากตลาด จากตลาดจนมาถึงหน้าร้านเป็นระยะทางที่ไม่ใกล้แต่ตลอดทางนั้นต้นตะวันก็ไม่ได้กระชากมือออกจากการกุมของวิทยาเลย
"เก่งมากตะวัน" ถ้าไม่ติดว่านี่คือกลางถนนวิทยาก็อยากจะสวมกอดต้นตะวัน
"ชมผมซะเหมือนหมาเลยครับ"
"คิดมากนะ ฮ่าๆๆๆๆ"
และต้นตะวันก็ต้องการให้วิทยาเห็นว่าเขาเก่งมากกว่านี้อีก ต้นตะวันเลยยกมือขึ้นโอบไหล่ของวิทยาเพื่อเดินมาขึ้นรถ อาจจะแค่สิบเก้าในการเดิน ท่าโอบอาจจะเป็นท่าที่เก้กังที่สุด แต่นั่นก็ทำให้วิทยายิ้มจนแก้มแถมปริไปถึงใบหู
"คืนนี้อย่าลืมให้รางวัลผมเยอะๆ นะ"
"หื่น"
และแน่นอนคนทำดีก็ต้องได้รางวัลเป็นการตอบแทน คืนนั้นวิทยาเลยไม่กลับบ้านเพราะเขาก็เต็มใจจะให้รางวัลกับต้นตะวันเช่นกัน คืนนั้นไม่ว่าต้นตะวันจะสั่งให้วิทยาทำยังไงเอาแต่ใจตัวเองแค่ไหน วิทยาก็ไม่ขัดใจต้นตะวันสักนิด และเสียงแห่งความพึ่งพอใจของวิทยา เลยเป็นรางวัลอย่างดีให้แก่ต้นตะวัน
"สวัสดีครับพ่อ"
"นั่งสิตาวิท กินด้วยกาแฟด้วยกันก่อน"
"เดี๋ยวผมจะเข้าไปปิ้งขนมปังให้ตะวันด้วยพ่ออยากได้อะไรเพิ่มไหมครับ?"
"งั้นพ่อขอสักแผ่นแล้วกัน"
"ได้เลยครับ"
"หวัดดีครับพ่อ"
"เรานี่ไม่ได้เรื่องเลยใช้วิทลงมาปิ้งขนมปังได้ไง?"
"มาแล้วครับ"
เป็นประจำอยู่แล้วที่ทุกเช้าพ่อกับต้นตะวันจะต้องทานข้าวเช้าพร้อมกันเพราะฉะนั้นพอคืนไหนวิทยามาค้างตื่นเช้าเลยร่วมโต๊ะด้วย สมัยก่อนตอนที่วิทยาเจอกับพ่อของต้นตะวันวิทยาก็มีอาการกลัวอยู่บ้าง แต่พอเจอกันบ่อยเข้าวิทยาก็รู้สึกสนิทกับพ่อของต้นตะวันมากขึ้น
"ผมเอาแผ่นเดียวนะครับวิท"
"ของพ่อด้วยนะ พ่อทาอะไรดีครับ?"
"พ่อขอน้ำพริกเผาแล้วกัน"
"อ้าวพ่อ ว่าผมแล้วทำไม ทำเองละครับ?"
"เราขอทำให้พ่อเอง"
"ตาวิท เดี๋ยวคืนนี้แวะมากินข้าวที่บ้านสิ เมื่อคืนเห็นว่ากินกันแล้ว พ่อเลยต้องกินคนเดียวเลย"
"ได้ครับ งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ผมจะแวะมาครับ"
ตกเย็นวิทยาไปที่บ้านของต้นตะวันเองเพราะสะดวกกว่า เข้าไปในบ้านวิทยาไม่รู้สึกเกร็งเลยเพราะพ่อของต้นตะวันแนะนำกับคนในบ้านไว้ว่าเขาคือลูกของที่บ้านอีกคน เพราะฉะนั้นสามารถเข้าออกบ้านนี้ได้ตามใจชอบ คนดูแลบ้านเลยไม่ได้เข้ามาวุ่นวายแค่เอาน้ำมาให้แล้วก็ปล่อยให้วิทยาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
"มานานยัง?"
"ไม่นานมากครับ"
"งั้นเดี๋ยวพ่อขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ"
"ครับ"
"งั้นเดี๋ยวผมลงมานะ"
คนในครัวเริ่มยกอาหารเย็นออกมา ทุกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นกับข้าวของโปรดของวิทยาทั้งนั้น แถมของหวานก็ยังเป็นของที่วิทยาชอบอีก
"เป็นไงอาหารถูกปากไหม? พ่อสั่งให้คนในครัวทำแต่ของที่เราชอบ แต่พ่อไม่แน่ใจในรสชาติ"
"อร่อยครับพ่อ ตอนนี้ผมอิ่มมากเลยครับจะขยับตัวไม่ไหวอยู่แล้ว ขอบคุณมากครับ"
"อร่อยวันหลังก็มาอีกบ่อยๆ สิ มากินข้าวเย็นด้วยกัน"
"โอ๊ย อะไรกันครับ พอมีลูกคนใหม่ ลูกคนเก่าอย่างผมก็ตกกระป๋องแล้วเหรอครับ?"
"ตะวันพูดอะไรแบบนั้นละ"
"ก็จริงนิวันนี้มีของผมชอบอยู่อย่างเดียว นอกนั้นเป็นของวิทหมดเลย"
"ตาวิทก็ลูกพ่อนิ พ่อผิดตรงไหน?"
"ฟึดๆ พ่อกับตะวันได้กลิ่นอะไรไหมไหมครับ?"
"กลิ่นอะไรผมไม่ได้นะ พ่อได้ไหม?"
"กลิ่นหมาหัวเน่านะ"
"ฮ่าๆๆๆๆๆๆ มันต้องอย่างนี้สิ ตาวิท"
มื้อเย็นมื้อนั้นจบด้วยรอยยิ้มและความอิ่มเอมใจและเสียงหัวเราะ วิทยาดีใจที่พ่อของต้นตะวันยอมรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวโดยที่ไม่คิดรังเกียจที่เขาเป็นผู้ชายอีกหนึ่งคนเหมือนกับต้นตะวัน
"เมื่อคืนก็ไปนอนบ้านเขามาอีกแล้วที่บ้านเขาไม่ว่าเอาเหรอลูก?"
"ไม่หรอกครับแม่ วิทกับพ่อของตะวันสนิทกัน"
"เหรอ ก็แปลกนะ เราก็ไปสนิทกับตะวันได้ยังไงไม่รู้ไปเจอกันมาปีเดียวเองไม่ใช่เหรอ?"
แม่ของวิทยาเริ่มรู้สึกเอะใจอะไรบางอย่างที่พอรู้ว่าลูกชายของเธอยังคงสนิทชิดเชื้อกับต้นตะวันเพื่อนที่ไปบังเอิญเจอกันที่ออสเตรเลีย มันจะไม่แปลกอะไรถ้าทั้งสองคนเรียนที่เดียวกันหรืออยู่เมืองเดียวกัน
แต่นี่ทั้งสองคนก็อยู่กันละเมืองเรียนกันคนละที่ มันก็น่าแปลกไม่ใช่เหรอที่กลับมาจนถึงป่านนี้แล้วทั้งสองคนยังคงสนิทกันมากอยู่ แถมดูจะสนิทกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ
"ก็ ..."
วิทยาเองก็คิดมาหลายครั้งแล้วว่าเขาอยากที่จะบอกแม่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับต้นตะวันให้แม่ของเขาได้รู้ เพราะตั้งแต่ยังเด็กเขาก็ไม่มีใครยกเว้นแม่ของเขา
แม่หย่ากับพ่อไปตั้งแต่เขายังเด็ก วิทยาเลยรักแม่ของเขามากและถ้าเขารักใครวิทยาก็อยากให้แม่ได้รู้ และที่สำคัญเขาเองก็ไม่อยากมีความลับกับแม่
"ก็ตะวันนิสัยดีนะแม่จะเลิกคบคนดีๆ ก็น่าเสียดายนะแม่"
"จ๊ะ" คำตอบของวิทยายิ่งทำให้แม่ของเขารู้สึกว่าลูกของเธอกับเด็กที่ชื่อต้นตะวันจะต้องมีอะไรที่มากกว่าที่เธอเห็น
หลังจากการคุยกันครั้งนั้นกลายเป็นว่าแม่ของวิทยาจะไม่ยอมขึ้นห้องนอนก่อนถ้าเกิดวิทยายังกลับไม่ถึงบ้าน น่าแปลกที่เธอเพิ่งสังเกตุเห็นว่าในหนึ่งอาทิตย์เพื่อนที่ชื่อต้นตะวันคนนี้จะเป็นคนมาส่งอยู่หลายวันทีเดียว น้อยครั้งมากที่วิทยาจะเป็นคนกลับบ้านเอง
"วันนี้ใครมาส่งเหรอลูก?"
"ก็ตะวันนั้นแหละครับแม่จะมีใครอีก"
"เพื่อนคนอื่นๆ แม่ไม่เห็นเลยไปไหนกันหมดแล้วละ"
"โธ่แม่ ต่างคนก็ต่างทำงานทำการใครเขาจะว่างมาเจอวิทกันเล่า"
นั้นสิก็เพราะต่างคนก็ต่างทำงานและก็ไม่ใช่ว่าต้นตะวันเองจะไม่มีงานทำ เป็นถึงลูกเจ้าของบริษัท ทำไมยังมีเวลาว่างพาลูกของเธอไปไหนมาไหน แถมลูกของเธอยังไปค้างที่บ้านของต้นตะวันบ่อยๆ
"งั้นวิทขึ้นไปพักก่อนนะแม่"
และก็เหมือนวิทยาจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรออกไป วิทยานอนคิดอยู่ทั้งคืนว่าเขาควรทำยังไงต่อไปดีจะให้ปิดต่อไปมันคงพอได้ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะเลือกทางนั้นเพราะลึกๆ แล้ววิทยาก็เชื่อมั่นว่าแม่จะต้องรับเขาได้
"วันศุกร์นี้มากินข้าวเย็นบ้านเราไหม?"
เป็นเหมือนปกติทุกวันที่พอวิทยาปิดร้านเรียบร้อยตอนเดินทางกลับบ้านเขาจะต้องโทรหาต้นตะวันในวันที่ต้นตะวันไม่ได้มารับเขา วันไหนรถไม่ติดถึงบ้านเร็วก็เลิกคุยกันเร็วหน่อยแต่ถ้าวันไหนรถติดบางทีก็ลากคุยกันยาวจนแบตหมดกลางทางยังไม่ถึงบ้านเลยก็มี
"วิทจะลงมือทำกับข้าวให้ผมกินอีกแล้วใช่ไหมครับ?"
"ใช่ ตะวันอยากกินอะไรจดมาได้เลยเราพร้อม แต่อย่ายากมากนะ"
"อ่อ แล้วก็เตรียมเสื้อผ้ามาด้วยเลยสิจะได้นอนค้างกับเราที่บ้านเลย"
"วิทมีอะไรจะเซอร์ไพล์ผมรึเปล่าครับเนี่ย?"
"เราว่าเราจะบอกเรื่องของเรากับตะวันกับแม่"
"วิท แน่ใจแล้วเหรอ?"
"อื้ม เราว่าเราแน่ใจเราอยากบอกให้แม่ได้รู้เหมือนที่พ่อของตะวันได้รู้ไง"
"แต่ผมกลัวว่า.."
"เราก็กลัว"
"แต่วิทอยากบอกใช่ไหมครับ?"
"ใช่"
"งั้นตกลงครับ งั้นผมก็เตรียมเสื้อผ้าไปถึงเช้าวันจันทร์เลยแล้วกัน 3 วัน 2 คืน เหมือนมาค่ายเลยใช่ไหม?.."
"ใช่"
"วิท..." เพราะวิทยาเงียบลลงต้นตะวันเลยเรียกชื่อวิทยาอีกครั้ง
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็จะยังอยู่นะ"
"ขอบคุณนะ"
"ขอบคุณทำไมครับ ผมก็แค่ทำในสิ่งที่วิททำให้ผมมามาตลอด อย่ากังวลไปเลยนะ"
เสียงพูดคุยยังคงต่อเนื่องจนวิทยามาถึงที่บ้าน โชคดีที่วันนี้การจราจรของกรุงเทพฯ ไม่ได้เลวร้ายทำให้แบตของวิทยายังคงเหลือจนมาถึงที่บ้านได้ วิทยาขอวางสายก่อนที่จะเข้าไปในบ้านเข้ามาถึงตัวบ้านเขาก็เห็นแม่ของเขารอเขาทานข้าวเหมือนในทุกๆ วัน
"แม่ แม่รักวิทมากไหม?"
บนโต๊ะอาหารหลังจากที่วิทยาเล่าเรื่องที่ร้านให้กับแม่ของเขาได้ฟัง วิทยาก็โพล่งถามออกมา เพราะว่าวันศุกร์นี้แล้วที่เขาตัดสินใจว่าเขาาจะไม่มีความลับกับแม่ของเขา
"รักสิจ๊ะ ถามอะไรแบบนี้ละ"
"เปล่า วิทก็แค่อยากรู้"
ในอีกด้านแม้ว่าต้นตะวันจะบอกให้วิทยาอย่ากังวลแต่เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปล่วงหน้า ว่าถ้าเกิดแม่ของวิทยารับไม่ได้ขึ้นมาเขาจะทำยังไง และวิทยาละจะยังคงอยู่กับเขาไปอย่างนี้รึเปล่า
"เป็นไรหน้าตาบูดบึ้งมาเชียว"
"หวัดดีครับพ่อ"
"งานหนักเหรอไง หรือว่าตีกับเจ้าวิทมาละ?"
"เปล่าครับพ่อ ผมเครียดเรื่องอื่น"
"เรื่อง"
"วิทจะบอกแม่"
มาถึงตอนนี้พ่อของวิทยาก็วางหนังสือรายงานที่อ่านอยู่ลง แล้วก็หันไปคุยกับลูกชายของเขาด้วยท่าทางที่จริงจัง ลูกของเขาตั้งแต่คบกับวิทยามามีแต่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
อย่างไปทำงานก็ไม่ทำหน้าตึงยอมพูดคุยเล่นกับคนอื่นได้มากขึ้นแล้ว ถ้าลูกเขาจะต้องมีปัญหากับวิทยาไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรเขาก็พร้อมที่จะช่วย และที่สำคัญวิทยาก็ถือว่าเป็นลูกของเขาอีกคนเช่นกัน
"มันจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี พ่อแม่ทุกคนรักลูก"
"ผมก็หวังไว้ว่าอย่างนั้น"
"มีอะไรให้ช่วยก็บอก พ่อพร้อมช่วย"
"ขอบคุณมากครับพ่อ"
แล้วความกังวลใจของต้นตะวันก็ลดน้อยลง ในตอนนี้เขามีคนที่รักเขาและเข้าใจเขาอยู่ถึงสองคน เขาไม่กลัวอะไรแล้ว เขาพร้อมที่จะสู้ไปกับวิทยา เขาจะไม่ให้วิทยาต้องสู้ไปเพียงลำพัง
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ
ถึง
คุณ wan_sugi อ้าวตะวันลงไปนั่งร้องไห้ทำไมมมมมมมม
คุณ iceman555 ผิดไปแล้วๆ แต่ก็ยังยืนยันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ
