[เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]  (อ่าน 3853 ครั้ง)

ออฟไลน์ แมวสีส้ม.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


Dreaming Love รักที่ไม่อยากให้เป็นแค่ฝัน
By แมวสีส้ม
:hao3:


คุณเคยรู้มาก่อนหรือไม่ว่าคนเราสามารถควบคุมความฝันของตัวเองได้ ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเป็น เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันคือความมหัศจรรย์ของการฝัน หลายครั้งที่ผมรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ บางครั้งผมก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ แต่บางครั้งก็พบว่าผมสามารถควบคุมความฝันของตัวเองได้ อยากให้เรื่องราวมันเป็นในทิศทางใด อยากจะบิน อยากไปเที่ยวที่ไหน หรือแม้กระทั่งอยากเจอใคร ผมก็ทำให้มันเป็นจริงได้หมด



แต่อย่างไรมันก็เป็นแค่ความฝันอยู่ดี…



อย่าเข้าใจผิดนะ มันไม่ใช่อาการผิดปกติหรือผมเพ้อเจ้อบ้าบอไปคนเดียว แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน บางทีคุณอาจกำลังทำมันอยู่บ่อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้ มันต้องมีสักครั้งสิ ที่คุณสามารถควบคุมเรื่องราวความฝันของตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วพยายามนอนต่อโดยให้ฝันมันต่อเนื่องจากช่วงที่เพิ่งจะตื่นมา ผมเคยทำได้นะ แล้วคุณล่ะ ทำมันได้หรือเปล่า…



ในทุกๆ คืน ผมมักจะรีบนอนแต่หัวค่ำ เพื่อที่จะเริ่มต้นเรื่องราวของความฝันในแบบฉบับที่ตัวเองต้องการ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ และสามารถควบคุมความฝันได้ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว แต่เพิ่งจะได้ศึกษาอย่างจริงจังเมื่อไม่นานมานี้ว่ามันคือ ‘Lucid Dreaming’ และวิทยาศาสตร์ก็ยังสามารถอธิบายเกี่ยวกับมันได้



และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มฝึกการควบคุมความฝันของตัวเอง



เพราะผมมีบางสิ่งที่อยากจะทำ...มันไม่สามารถทำได้ในชีวิตจริง



แต่ในความฝันนั้น...ผมทำให้มันเป็นจริงได้




:hao3: :hao3:

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่แต่งจบไว้ได้สักพักแล้ว เลยลองมาลงให้ได้อ่านกันดูค่ะ ไม่แน่ใจว่ามันสั้นหรือเปล่า 5555 เพราะจำนวนหน้ามันเยอะที่สุดเท่าที่สนพ.เขากำหนดไว้ของหมวดเรื่องสั้น ลองอ่านดูเนอะ :hao6:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2016 18:44:46 โดย แมวสีส้ม. »

ออฟไลน์ แมวสีส้ม.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Dreaming Love
«ตอบ #1 เมื่อ13-03-2016 20:25:48 »

ภายในห้องเรียนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหล่าบรรดานักศึกษาซึ่งกำลังพากันจับกลุ่มพูดคุยโม้อะไรกันไปเรื่อยเปื่อย แต่กลับมีใครบางคนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ อยู่เพียงลำพัง เขาคนนั้นชื่อ ‘เมฆ’ จริงๆ แล้วเป็นคนที่โคตรป๊อปปูล่าชนิดที่หาตัวจับได้ยาก โอกาสเข้าถึงไม่ใช่ง่ายๆ เพราะใครๆ ต่างก็รุมล้อมเขาอยู่เสมอ



แต่นั่นมันเรื่องของโลกแห่งความจริงนี่



และนี่! มันคือฝันของผม



เมฆในฝันของผมจึงไม่ต้องป๊อปมากก็ได้ อย่างน้อยๆ ผมจะได้เข้าหาเขาง่ายหน่อย ผมพาตัวเองเดินเข้าไปหาแล้วสะกิดไหล่ของคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเบาๆ ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ กัน ซึ่งฝ่ายนั้นก็ละสายตาออกจากหนังสือตรงหน้าแล้วหันมาส่งยิ้มให้กับผมเป็นการทักทาย



เมฆเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง หุ่นดีแบบคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาใสกิ๊กไม่มีสิว หรือริ้วรอยจุดด่างดำสักนิดให้สะดุดสายตา ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเป็นทรงอย่างดูดีรับกับใบหน้าเรียวได้รูปของเขา ดูดีเป็นบ้าเลยให้ตายสิ คนอะไรก็ไม่รู้ ผมมักแอบมองอยู่บ่อยๆ จนจะกลายเป็นพวกโรคจิตอยู่แล้ว



“มาสายนะมึง”



“เออ กูไปซื้อนี่มาให้มึงไง เลยสายเลย เห็นมั้ยกูใส่ใจมึงขนาดไหน”



คิดๆ แล้วก็เสกน้ำเต้าหูขึ้นมาในมือ...ก็ฝันนี่นะ ผมทำได้ทุกอย่างแหละในฝันของตัวเอง



“มึงมันน่ารักว่ะ ขอบใจนะคิน”



เมฆรับถุงน้ำเต้าหู้ในมือของผมไป โดยที่มือของเขาแอบสัมผัสจับกับมือของผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยอย่างอ้อยอิ่ง การกระทำแบบนั้นทำเอาใจผมสั่นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกแก้มมันร้อนฉ่าขึ้นมาซะอย่างนั้น



เขินเว้ย!



“อือ กูเต็มใจ”



เลี่ยนชะมัดเลยให้ตายเถอะ แต่ผมก็ชอบ ยิ่งได้เห็นคนข้างกายยิ้มหวานกลับมามันยิ่งทำให้ผมอยากจะลงไปแดดิ้นอยู่ที่พื้นให้รู้แล้วรู้รอด



“เออเมฆ เย็นนี้ว่างมั้ยวะ ไปกินข้าวกัน”



“ได้ดิ แต่มึงเลี้ยงกูนะคิน”



“ได้ สบายมาก ให้เลี้ยงมากกว่านี้ก็ได้”



“หือ”



เมฆเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยหลังจากทำเสียงเหมือนสงสัยในคำพูดของผม



“กูหมายถึง ให้เลี้ยงทั้งชีวิตกูก็ทำได้”



เลี่ยนกว่านี้มีอีกมั้ยวะ ผมหลุดขำออกมากับท่าทางอายๆ ของคนฟัง เมฆทำหน้าเหมือนกลั้นยิ้มแล้วเบนหน้าไปทางอื่นราวกับไม่อยากให้ผมเห็น



“คนเยอะนะคิน มึงพูดอะไรเนี่ย”



“ทำไมวะ ก็อยากพูดนี่หว่า พูดกับแฟนไม่ได้เหรอ”



คนที่ถูกผมยกตำแหน่งแฟนให้เอามือขึ้นมาเกาต้นคอของตัวเองเบาๆ โดยที่สายตาทอดมองไปทางอื่น ราวกับกำลังอายอยู่ ท่าทางนี้คุ้นๆ เหมือนท่าประจำของใครสักคนที่ผมก็จำไม่ค่อยได้ แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาคิดเรื่องของคนอื่น ตอนนี้ผมทึกทักเอาเองว่าเขากำลังเขินผม แล้วยังมโนไปไกลว่าเราเป็นแฟนกัน



มั่นมั้ยล่ะผมเนี่ย!



ในเวลานี้ผมโคตรมีความสุขกับฝันที่เสมือนจริงแบบนี้เลย ผมฝันแบบนี้เกือบทุกวัน ทว่าในความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของพวกเรามันโคตรห่างไกลจากสิ่งที่ผมฝันเอาไว้มาก



“คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดน่ะ”



ก็จะไม่หายได้ยังไง ในเมื่อผมต้องการให้ทุกคนหายไป ผมหันไปคว้าเขามือของคนข้างกายมาจับไว้ โดยที่เมฆเองก็ไม่ได้ดึงมือออกแต่อย่างใด เขากลับบีบกระชับมือผมราวกับจะตอบรับความรู้สึกดีๆ ที่ผมมีให้ ซึ่งถ้าเป็นเมฆตัวจริงไม่อิงจินตนาการ ผมคงโดนกระโดดถีบขาคู่จนตกเก้าอี้ไปนานแล้ว



“ช่างคนอื่นเถอะน่า วันนี้กูอยากอยู่กับมึงสองคนอะ”



สองสายตาประสานกันราวกับต้องมนต์ วินาทีนั่นเหมือนหัวใจผมมันจะหยุดเต้นซะให้ได้ ดวงตากลมโตของเมฆเปล่งประกายแวววาวชวนให้มองจนไม่กล้าละสายตาหนีไปไหน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไล่สายตาลงมามองจมูกโด่งเป็นสันของอีกฝ่าย ไล่เรื่อยมาหยุดนิ่งลงที่ริมฝีปากสีอมชมพูน่าสัมผัส และไวเท่าความคิด ผมยื่นหน้าเข้าไปหา หวังจะได้สัมผัสมันดูสักครั้ง



แค่สักครั้งก็ยังดี…



แค่ในฝันก็ยังดี...



แต่แล้วภาพใบหน้าของคนที่ผมต้องการจะจูบก็หายไป แทนที่ด้วยใบหน้ามึนๆ ของเพื่อนสนิท ไอ้ ‘กล้า’ ไอ้สารเลววววววว ไอ้เพื่อนเวร! หน้ามันโผล่มาจากทางด้านหลัง แทรกกลางระหว่างผมกับเมฆ ไอ้กล้ามันทำหน้าซื่อตาใสตามแบบฉบับของมัน มองสบตากับผมอยู่นานโดยไม่พูดอะไร นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันโผล่เข้ามาในฝันของผม ร้อยวันพันปีผมแทบไม่เคยฝันถึงมันเลยด้วยซ้ำ



และเมื่อกำลังจะอ้าปากด่ามันไปสักที ไอ้เพื่อนเวรนี่ก็ดันรีบพูดแทรกขึ้นมาซะอย่างนั้น



“รับโทรศัพท์กูสิวะไอ้นาคิน!”

 









พรวด!!!



ผมสะดุ้งตื่นและลุกพรวดขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ หอบหายใจถี่รัวราวกับเพิ่งไปวิ่งสี่คูณร้อยมาอย่างไรอย่างนั้นเลย ทั้งที่แค่นอนฝันเท่านั้นเอง ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นครืดๆ อยู่ที่ข้างหมอน โชว์ชื่อ ‘ปอดแหก’ ซึ่งกำลังโทรเข้ามาให้ผมได้รับรู้ว่าเป็นใครที่ขัดจังหวะการนอนหลับฝันดีของผม มันคือ…



ไอ้เก่งกล้า...คนที่ทำตัวไม่เคยเก่งกล้าอย่างชื่อ ผมจึงตั้งชื่อมันใหม่ว่า ไอ้ปอดแหก



 “ไอ้กล้า โทรมาทำไม กูจะหลับจะนอน เคยบอกแล้วไงว่าอย่าโทรมาตอนกลางคืน”



เริ่มต้นบทสนทนาหลังกดรับสายด้วยการด่ามันไปแรงๆ ทีนึง แต่ฝ่ายนั้นคงไม่สะทกสะท้านเพราะมันคงจะชินแล้วกับคำด่าของผม ก็คบกันมาตั้งแต่มอปลายยันมหา’ลัย รู้ใจเห็นตับไตไส้พุงกันมาจนหมดแล้ว



“ก็กูมีเรื่องจะปรึกษา”



“...”



“กูไม่รู้จะคุยกับใคร”



เสียงของมันดูผิดปกติไปจากเดิม นั่นทำให้ผมใจเย็นลง และพอจะมองข้ามเรื่องที่มันได้ทำในฝันลงไปได้บ้าง



“ทำไมวะ มีอะไร เป็นไรเนี่ย”



“กูทะเลาะกับแม่ว่ะไอ้คิน”



เก่งกล้าบอกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ทำเอาผมที่ง่วงๆ มึนๆ ตาสว่างขึ้นมาทันที บอกแล้ว ไอ้นี่มันไม่เก่งเหมือนชื่อมัน มันง้องแง้งและอ่อนไหวง่ายไม่สมกับการเกิดเป็นชายชาตรีเอาซะเลย คบกันมานี่ผมเห็นมันเสียน้ำตามาหลายสิบครั้งแล้ว



“แล้วมึงอยู่ไหน”



รู้ได้เลยว่าเก่งกล้ามันจะต้องหนีออกมาจากบ้านแน่ๆ มันถึงได้โทรมาหาผมกลางดึกแบบนี้ ผมเอี้ยวตัวไปข้างเตียงก่อนจะยื่นมือไปกดเปิดโคมไฟ มองนาฬิกาดิจิตอลที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน ซึ่งมันบอกเวลาว่าตอนนี้เที่ยงคืนกว่าๆ ได้แล้ว



“อยู่ใต้หอมึงอะคิน ลงมารับหน่อยดิ”



“รอเดี๋ยวนะ กูกำลังจะลงไป”



 พอรู้ว่ามันอยู่ใกล้แค่นี้ ผมจึงเด้งตัวลงจากเตียง หยิบกุญแจห้องและคีย์การ์ด ก่อนออกมาจากห้องด้วยความรวดเร็ว ช่วงนี้อากาศเย็นอยู่ด้วย ผมกลัวมันจะเป็นหวัดตายซะก่อน เก่งกล้ามันยิ่งอ่อนแอขี้โรค ซึ่งผมด่ามันบ่อยๆ ว่าเป็นโรค ‘สำ’ ซึ่งก็คือสำออยนั่นแหละ เอะอะก็ป่วยตลอดเลยมันเนี่ย



พอลงมาถึงใต้หอ ได้เห็นหน้าเศร้าๆ ซึ่งมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่ในตาก็อดที่จะสงสารไม่ได้ ยกมือลูบหัวทุยๆ ของมันอย่างปลอบใจไปทีสองที



“ผู้หญิงป่ะเนี่ย ร้องไห้อีกละ”



“กูยังไม่ได้ร้องเลย มึงอย่าเว่อร์ไป”



ว่าแล้วมันก็ปาดน้ำตาที่หยดแหมะลงมาที่แก้มใสๆ ของมัน



“นี่น่ะเหรอไม่ได้ร้อง ทำเป็นเก่งนะไอ้กล้า”



 เก่งกล้าเป็นผู้ชายตัวเล็กกว่ามาตรฐานไปหน่อยในความคิดผม ขณะที่ผมสูงตั้งร้อยแปดสิบห้า มันกลับสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบสาม ซึ่งผมก็ชอบนะ เวลาอยู่ด้วยกันแล้วผมดูสูงดี ตัวมันก็ผอมบางกว่า ทำให้ผมดูเป็นคนมาดแมนหุ่นมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ไปเลย



ไอ้นี่โคตรเหยาะแหยะสิ้นดี เป็นคนในแบบฉบับที่ผมไม่ชอบเลย



แต่เก่งกล้าก็เป็นข้อยกเว้น ผมโอเคถ้ามันจะเป็นแบบนี้ เพราะมันคือเพื่อนที่ดีที่สุดซึ่งหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เวลาสุขมันก็อยู่ด้วย เวลาทุกข์มันก็ยังอยู่กับผมอีก ไม่เคยทิ้งกันไปไหนเลยจริงๆ มันเป็นเพื่อนที่ผมโคตรภูมิใจที่สุดเลย



เอาล่ะ เห็นแก่ว่าวันนี้มันกำลังทุกข์ใจ ผมจะไม่เอาเรื่องที่มันโทรมาขัดจังหวะก็แล้วกัน



“ขึ้นห้องเถอะ หนาวว่ะคิน”



ว่าแล้วคนที่บ่นหนาวก็เอื้อมมือมาดึงคีย์การ์ดและกุญแจห้องไปจากมือผม มันจัดการเปิดประตูเข้าหอพักเองเสร็จสรรพ และเดินนำขึ้นไปบนห้องโดยไม่รอเจ้าของห้องอย่างผมเลยสักนิด



“เข้ามาดิ”



หลังจากที่เก่งกล้าเดินนำผมขึ้นมาถึงหน้าห้อง มันก็ไขประตูแล้วเปิดอ้ารอ ก่อนจะเรียกผมให้เข้าไปข้างในราวกับเป็นเจ้าของห้องซะเอง



“เยอะไปๆ นี่ห้องกู”



มันยิ้ม อย่างน้อยๆ มันก็ยังยิ้มได้ทั้งที่ตาแดงก่ำแบบนั้น แต่รอยยิ้มของเพื่อนผมคนนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพียงครู่เดียวก่อนที่มันจะเลือนหายไป ผมได้แต่ยืนมองมันเดินไปนั่งลงบนปลายเตียงนอนด้วยสีหน้าเศร้าๆ



“มึงทะเลาะอะไรกับแม่ล่ะกล้า”



“แม่บังคับให้กูไปอยู่กับครอบครัวของเขาที่อเมริกา...กูไม่อยากไป”



แล้วคนพูดก็สะอื้นนิดๆ พ่อกับแม่ของเก่งกล้าแยกทางกันตั้งแต่มันอยู่มอปลาย ผมก็อยู่ในช่วงเวลานั้นของชีวิตมันเหมือนกัน ตอนนั้นทำได้แค่ปลอบใจ และตอนนี้ก็คงเหมือนกัน



ผมอยากปลอบใจ แต่ไม่อยากให้มันไปเลย



“แม่เขาห่วงมึงไง เห็นซื่อบื้อๆ แบบนี้ยิ่งไม่อยากทิ้งมึงไว้คนเดียว”



รู้แบบนี้แล้วผมก็ใจหายแปลกๆ ถ้าเก่งกล้าไปจริงๆ แล้วผมจะอยู่กับใคร...ผมไม่อยากเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป ผมจะบอกมันได้มั้ยนะ ว่าอย่าไปเลย



“กูอยู่นี่ได้”



ไอ้กล้ายืนยันด้วยเสียงหนักแน่น ขณะที่ผมก็รู้สึกดีใจลึกๆ ที่ใจจริงมันต้องการจะอยู่ที่นี่อยู่แล้ว



“แล้วพ่อมึงล่ะ”



มันไม่ได้เล่านานแล้ว เรื่องพ่อของมันที่แยกตัวออกไป จนผมเองก็ไม่เคยเห็นท่านอีกเลย



“ไม่ได้ติดต่อนานแล้ว”



ว่าจบเก่งกล้าก็ซื้ดจมูกสูดน้ำมูกกลับเข้าไป ผมเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะเดินไปหยิบกระดาษทิชชู แล้วเอามายื่นส่งไปให้มัน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ



“แล้วแม่มึงจะให้ไปเมื่อไหร่”



“คงสอบเสร็จเทอมนี้ก่อน แล้วก็อาจย้ายไปเรียนต่อที่นั่น…กูไม่อยากไปไอ้คิน ทำไงดี”



แม่ของเก่งกล้าคงเป็นห่วงถ้าจะปล่อยมันไว้ที่นี่คนเดียว ซึ่งไอ้นี่ก็ทั้งดื้อทั้งมึน ไม่ยอมทำตามง่ายๆ อีกอย่างผมก็เข้าใจ มันเคยเล่าถึงครอบครัวใหม่ของแม่มัน แต่ละคนดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับมันสักเท่าไหร่



“มึงก็อยู่สิ มาอยู่กับกูนี่ แล้วถ้าคิดถึงค่อยบินไปหา”



“แม่บอกจะไม่ส่งเงินให้กู แล้วจะขายบ้านทิ้งด้วย เขาไม่อยากให้กูอยู่”



แววตาของคนข้างกายผมดูเศร้าสร้อยซะจนผมต้องเอื้อมมือไปตบบ่ามันเป็นการปลอบใจ



“แล้วมึง...จะไปมั้ย”



เป็นคำถามที่ผมกลัวคำตอบมากจริงๆ ถ้ามันไป ผมคงรู้สึกเหมือนเสียเพื่อนที่ดีที่สุดคนนึงไปเลย



“กูไม่อยากไป แต่กูไม่รู้จะทำไงให้แม่เข้าใจ มึงช่วยกูหน่อยสิคิน ช่วยกูหน่อย”



“เออได้ เดี๋ยวกูไปช่วยพูดกับแม่มึง ถ้ายังไม่โอเคอีก กูจะให้แม่กูมาช่วยพูด”



แม่ผมกับแม่มันสนิทกัน เพราะบ้านเราอยู่ข้างๆ กัน ผมถึงได้รู้จักกับมันมานาน แต่โชคดีหน่อยที่เรียนมหา’ลัยแล้วผมสามารถมาอยู่หอได้ ขณะที่ไอ้กล้าแม่มันหวง ไม่ยอมให้อยู่ เลยต้องไปกลับบ้านเอา ซึ่งบ่อยครั้งมันก็มานอนที่ห้องผม และการที่มันหายมาแบบนี้ แม่ของมันก็คงเดาไม่ยากว่าลูกชายตัวเองจะหนีไปที่ไหนได้



“ขอบใจนะคิน”



เฮ้อ...ยิ้มเศร้าแบบนั้น ไม่ต้องฝืนยิ้มก็ได้เก่งกล้า



ผมทำเพียงเอื้อมมือไปขยี้หัวมันเบาๆ แบบที่ชอบทำ แล้วก็ไล่มันไปนอน เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดต่อก็แล้วกัน 







คืนนั้นผมฝันถึงเมฆเหมือนเดิม...ผมควบคุมทุกอย่างได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมทำอะไรกับมันไม่ได้เลย คือภาพของเก่งกล้าที่แทรกเข้ามาในฝันของผมตลอดทั้งคืน ซึ่งก็ให้เหตุผลกับตัวเองง่ายๆ ว่าเป็นเพราะผมห่วงและกังวลกับเรื่องของมันจนเก็บไปฝัน



เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นเพราะว่ามีอะไรแข็งๆ มาดุนๆ ที่หลัง อีกทั้งยังหนักเอวและต้นขาอีกด้วย พอได้สติลืมตามาดูถึงรู้ว่าเก่งกล้ามันใช้ร่างผมต่างหมอนข้าง นอนกอดก่ายผมอย่างสบายใจ กว่าจะแกะแขนขามันออกได้นี่เล่นเอาเหนื่อย เพราะกลัวทำมันตื่น ผมว่ามันควรนอนพัก เลยเลือกที่จะไม่ปลุกมัน



หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ทิ้งโน้ตแปะเอาไว้ตรงหัวเตียง บอกว่าผมจะออกไปเรียนก่อน แล้วผมก็มามหา’ลัยคนเดียวเหมือนทุกวัน



พอเข้าห้องเรียนมาปุ๊บ ทุกอย่างเหมือนฝันเลย ภายในห้องเรียนขนาดใหญ่ที่มีเหล่านักศึกษามากมาย ตอนนี้เมฆกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากลุ่มเพื่อนของเขาหายไปไหนหมด พอเห็นแบบนั้นผมเลยเข้าไปทักซะหน่อย



“ไงเมฆ ทำไมนั่งคนเดียววะ”



“อ้าวไอ้คิน มาสายนะมึง คนเขามาเต็มห้องละ...เพื่อนกูมันไปซื้อขนมกันว่ะ”



“แล้วมึงไปไม่ด้วยหรือไง”



“ไม่ว่ะ ขี้เกียจเดิน...นั่นไงมากันแล้ว”



ผมหันไปมองตามนิ้วเรียวยาวที่ชี้ไปยังประตูห้องเรียน ซึ่งกำลังมีนักศึกษาหลายคนเดินผ่านประตูเข้ามาทางนี้ พอคนเหล่านั้นมาถึงตัวของเมฆ ผมก็ไร้ตัวตนในสายตาเขาไปทันที พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ผมผละตัวเดินจากมาเงียบๆ คนเดียว มานั่งลงตรงที่ประจำของตัวเอง



เหงาเลยว่ะ ทำให้คิดถึงไอ้กล้าขึ้นมาทันที อย่างน้อยๆ ถ้ามีมันอยู่ข้างๆ ผมคงมีตัวตนมากกว่านี้



วันๆ ผมแทบไม่ได้คุยอะไรกับเมฆมากมาย แม้ใจอยากจะเข้าไปคุยบ่อยๆ ก็ตาม เพราะเพื่อนของเขามันรายล้อมเต็มไปหมด ที่สำคัญ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรผมมากมายด้วย ยังไงเพื่อนก็สำคัญกว่าคนนอกอยากผมอยู่แล้ว



หลังจากนั่งเรียนไปสักพักใหญ่ โทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นครืดเป็นเจ้าเข้าจนคนข้างๆ หันมามองหน้า เพราะเสียงที่มันสั่นสะเทือนอยู่บนโต๊ะเรียนค่อนข้างดังพอสมควร ผมรีบหยิบมันมาถือไว้ในมือก่อนพลิกดูหน้าจอ แล้วก็เป็นเก่งกล้าที่โทรเข้ามา มันคงจะตื่นแล้วนั่นแหละ ผมกดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็วเพราะขณะนี้อาจารย์ประจำวิชากำลังบรรยายอยู่ เลือกกดเข้าแอพไลน์เพื่อนส่งข้อความหามันแทน



‘ว่าไง กูเรียนอยู่’



‘ทำไมไม่ปลุกกู’



ผมยิ้มทันทีที่เห็นมันตอบกลับมา เชื่อได้ว่าตอนนี้ไอ้กล้าต้องทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่พอใจผมเป็นการใหญ่แน่ๆ



‘ก็มึงไม่ได้บอกให้ปลุก’



กวนมันกลับไปแล้วก็ต้องเลื่อนโทรศัพท์แอบอาจารย์ที่ดูจะเหล่ๆ มองมาทางนี้พอดี ดูโทรศัพท์อีกทีก็เห็นมันส่งสติ๊กเกอร์มาให้ เป็นลายที่ดูก็รู้ว่าโกรธหนักมาก



‘เออน่า เดี๋ยวเย็นนี้พาไปกินหมูกะทะปลอบใจที่มึงมาเรียนไม่ทัน’



...และปลอบใจเรื่องที่มันกำลังเศร้า



เมื่อเช้าแม่ของเก่งกล้าโทรมาหาผมและได้คุยกันเรียบร้อยแล้ว ท่านเป็นห่วงแต่ก็รู้ว่าอย่างมันไปไหนไม่ได้ไกล ไม่ไปบ้านญาติก็มาหาผม และผมก็ช่วยพูดเรื่องที่ขอให้มันอยู่ต่อไปแล้ว ท่านก็บอกว่าจะคิดดูอีกที ผมว่าคำนี้เหมือนเป็นการปฏิเสธกลายๆ ลูกใครใครก็รัก อยากเอาไปอยู่ให้ใกล้สายตาทั้งนั้นแหละ



รู้แบบนั้นแล้วผมเองก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไงเหมือนกัน



‘เลี้ยงกูด้วยนะ’



‘ได้เลย จัดไป ล้างท้องรอเลยมึง กินเต็มที่’



เห็นตัวมันผอมบางขนาดนี้แต่จริงๆ แล้วมันกินค่อนข้างเก่ง จนผมแซวมันบ่อยๆ ว่ามีพยาธิอยู่ในท้องเยอะ กินเท่าไหร่ก็ไม่เจออ้วนขึ้นเลย



ใจจริงผมอยากจะชวนใครอีกคนไปด้วย คนที่เป็นจุดสนใจของทุกคนอย่าง ‘เมฆ’ แต่เขาคงไม่สนใจและไม่อยากมาอะไรกับผมหรอก ได้แต่ถอนหายใจแล้วนั่งฟังการบรรยายไปเรื่อยๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งง่วง อยากจะหลับซะให้ได้เลยจริงๆ



หลังจากที่อาจารย์เลิกคลาส ผมก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า เตรียมตัวกลับห้องเพราะวันนี้มีเรียนแค่ครึ่งวัน แต่แล้วหางตาไปกระทบเข้ากับร่างสูงของเมฆที่กำลังเดินผ่านมาทางนี้พอดี ผมจึงเปลี่ยนใจกระทันทัน อยากจะเอ่ยปากชวนเขาไปกินข้าวกลางวันด้วยกันสักมื้อ แต่คิดไปคิดมาแล้วผมจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นมั้ยถ้าถูกปฏิเสธ



เพราะความชักช้าและลังเลไปมาจนทำให้โอกาสที่มีตรงหน้าเลือนหายวับไปกับตา เมื่อตอนนี้เมฆและกลุ่มเพื่อนของเขาได้เดินผ่านผมไปจนหมดแล้ว เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์ของผมมันสั่นครืดๆ เป็นไอ้กล้าคนเดิมที่โทรมา ผมจึงกดรับพร้อมก้าวขาเดินออกจากห้องไปด้วย



“มึงเลิกเรียนแล้วใช่มั้ยคิน”



“เออ มีอะไรวะ”



ปลายสายเงียบไปเล็กน้อยจนผมได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจ เสียงที่บ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่างในตัวของเก่งกล้า



“มีอะไรวะไอ้กล้า แล้วมึงเป็นหวัดเหรอ”



พูดจบก็ได้ยินเสียงมันซื้ดจมูก เดาไม่มีผิด มันเป็นหวัดแน่ๆ ก็เมื่อคืนเล่นไปตากน้ำค้างรอผมอยู่ใต้หอนานแค่ไหนก็ไม่รู้



“ใช่ น้ำมูกไหลนิดหน่อย...กูแค่จะถามว่ามึงจะกลับมากินข้าวพร้อมกูมั้ย”



“กลับสิวะ มึงจะกินอะไร เดี๋ยวกูซื้อไปให้เลย จะได้ไม่ต้องลงมาแพร่เชื้อใส่ชาวบ้านชาวช่องเขา”



ผมพูดติดตลก ซึ่งก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ มาจากคนในสาย ตามมาด้วยเสียงจามสองสามที ดูท่าอาการมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่แล้วล่ะ ผมเลยไล่ให้มันไปนอนพัก ซึ่งฝ่ายนั้นก็พูดอะไรไม่รู้เสียงอู้อี้คงเพราะคัดจมูก ผมก็ไม่ได้สนใจฟังเท่าไหร่ ได้แต่ไล่ให้มันไปนอน



หลังจากเดินออกมาจากมหา’ลัย ผมก็ไม่ลืมที่จะแวะร้านขายยาเพื่อซื้อยามาให้กับคนป่วย จากนั้นก็มาหาซื้อข้าวกล่องจากร้านอาหารตามสั่งข้างๆ หอ ผมก็รีบกลับขึ้นมาบนห้องที่มีคนป่วยนอนรออยู่ ในหัวผมคิดภาพเอาไว้ว่าเก่งกล้ามันจะต้องนอนซมทำหน้าป่วยๆ อยู่บนเตียง แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับกลายเป็นว่ามันกำลังนั่งกดเกมยิกๆ อยู่หน้าโน้ตบุ๊กของผม มีการหันมามองผมแวบนึงแล้วก็กลับไปเล่นต่ออย่างเมามัน



ไอ้นี่...น่าเอากล่องข้าวฟาดหน้าสักที



“หายแล้วหรือไง”



“กูก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”



เก่งกล้าพูดจบก็ยกหลังมือขึ้นมาปาดใต้จมูกลวกๆ เพราะน้ำมูกมันไหลออกมานั่นแหละ แต่มันก็ยังมีแก่จิตแก่ใจนั่งเล่นเกมต่อไป



“ขี้มูกไหลเข้าปากขนาดนี้เนี่ยนะ? เลิกเล่นแล้วมากินข้าวซะไอ้กล้า จะได้กินยา”



ผมบอกหลังจากวางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะคอมฯ ซึ่งไอ้กล้ามันก็ยังไม่ละความสนใจจากจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าอยู่ดี ผมเลยต้องเอื้อมมือไปกดพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง ทำเอาคนที่กำลังเล่นอยู่เพลินๆ รีบชักมือตัวเองออกจากแป้นพิมพ์ด้วยท่าทางตกใจ



“ทำอะไรของมึงเนี่ยไอ้คิน”



“กูบอกให้กินข้าว”



“กำลังสนุกเลย…”



“จะกินไม่กิน” เมื่อเห็นคนฟังทำหน้าหงิกงองี่เง่าใส่ในแบบที่ผมไม่ค่อยชอบ เลยต้องย้ำถามไปอีกครั้งด้วยเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “จะแดกไม่แดก...ไม่แดกจะเทให้หมามันกินละนะ”



“เออ แดกก็ได้”



แล้วในที่สุดมันก็ยอมหยิบกล่องข้าวมาเปิดออก ทำท่าเหมือนกับว่าจะนั่งกินมันตรงนั้นเลย ผมจึงต้องรีบฉวยเอากล่องข้าวมาไว้ในมือ พร้อมกับหยิบของตัวเองมาด้วย ก่อนจะเอามาวางลงบนพื้นใกล้ๆ กัน



“กินข้างล่างดิวะ โต๊ะนั่งได้คนเดียว มึงจะนั่งค้ำหัวกูได้ไง”



หลังจากหย่อนก้นนั่งลงนำมันแล้ว ผมก็ใช้มือตบลงบนพื้นที่ว่างข้างๆ เพื่อให้คนที่ยืนตัวโด่อยู่ได้นั่งลง ซึ่งเก่งกล้ามันก็ทำตามอย่างว่าง่าย



“กินเร็วๆ แล้วก็กินยาซะ อย่ามาตายในห้องกู ขอร้อง กูกลัวผีมึงก็รู้”



พอพูดไปแบบนั้นผมก็ต้องหัวเราะออกมา เมื่อเห็นว่ามันทำปากขมุบขมิบด่าผมอยู่ ด่าแบบไร้เสียงแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่อะไร เพราะชินชากับการด่ากันเล่นๆ แบบนี้แล้ว หลังจากนั่งกินข้าวด้วยกันจนหมดกล่อง ผมก็บังคับให้เพื่อนคนนี้กินยาให้เรียบร้อย ก่อนจะไล่มันให้ไปนอนพัก ส่วนตัวผมเองก็หยิบเอางานที่ค้างๆ ทั้งหลายขึ้นมาทำ



และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หันไปมองนาฬิกาอีกทีก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว เก่งกล้ายังคงนอนขลุกอยู่ที่เดิม ผมเลยเดินไปดู หน้ามันแดงแปลกๆ จนต้องเอื้อมมือไปวางบนหน้าผากของมัน ถึงได้รู้ว่าตัวมันร้อนมาก คราวนี้ก็ถึงคราวซวยของผมเมื่อต้องวิ่งวุ่นไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้มัน



ด้วยเพราะไม่เคยดูแลคนป่วย เลยต้องอาศัยเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพื่อความแน่ใจ จะได้ดูแลคนป่วยได้อย่างถูกวิธี อย่างน้อยๆ เก่งกล้ามันก็เป็นเพื่อนคนสำคัญที่ผมอยากดูแลมันให้ดีที่สุด



หลังจากเตรียมกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กแล้ว ผมก็จัดการถอดเสื้อของเก่งกล้าออกก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำที่บิดหมาดมาเช็ดตามผิวกายที่ร้อนระอุของคนเป็นเพื่อน เริ่มจากใบหน้า ซอกคอ ไล่ลงมาตามตัว เน้นซอกแขน ข้อพับต่างๆ เพื่อให้เกิดการระบายความร้อนได้ดี จากนั้นก็หาเสื้อตัวใหม่ใส่ให้มันไป



ก่อนจะเปลี่ยนมาเช็ดส่วนล่างของร่างกาย ซึ่งผมก็จัดการถอดทั้งกางเกงของมันออก เหลือชั้นในสีเข้มกันอายให้มันสักตัว เผื่อตื่นขึ้นมาจะได้ไม่ดูน่าเกลียดเกินไป เดี๋ยวจะหาว่าผมวิปริตทำไม่ดีไม่ร้ายมันซะก่อน



“อือ…”



ไม่รู้มันครางอืออาทำไม แต่เห็นมันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ผมก็ได้แต่ลูบหัวปลอบไป แล้วรีบใส่กางเกงให้ ก่อนเอาผ้าห่มคลุมทับอีกทีเป็นอันเสร็จพิธีดูแลคนป่วย ไม่สิ! ลืมยา นี่ก็เลยเวลาสี่ชั่วโมงมาแล้วคงต้องให้กินยาลดไข้ใหม่ แล้วการที่มันหลับอยู่แบบนี้ ผมคงไม่บ้าจับป้อนยาแบบในหนังในละครหรอกนะ ต้องปลุกมันสิ ให้ตื่นขึ้นมากินดีๆ



“เฮ้ย กล้า”



“...”



“ไอ้กล้า ตื่นก่อน กินยาเว้ย”



“...ยา”



“เออ กินยาก่อนแล้วค่อยนอน มึงตัวร้อนจี๋เลย”



“อืม”



เสียงของคนป่วยนั้นแหบพร่าซะจนน่าสงสาร มันหยัดตัวลุกขึ้นนั่งช้าๆ แบมือออกมาตรงหน้าผม ผมเลยส่งยากับขวดน้ำไปให้ ซึ่งเก่งกล้าก็จัดการกินเองแต่โดยดี เสร็จแล้วมันก็ส่งทุกอย่างคืนมาให้ แล้วล้มตัวนอนต่อ



เอาล่ะ ได้ยาแล้วก็คงไม่เป็นไรมาก ผมเลยไปจัดการตัวเอง อาบน้ำให้เรียบร้อยแล้วเตรียมเข้านอน เปิดไฟนานๆ ก็เกรงใจคนป่วย รีบๆ นอนไปเลยน่าจะดีกว่า อีกอย่างจะได้รีบไปฝันถึงใครบางคนด้วย




ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว แล้วโดดขึ้นเตียงนอนลงที่ว่างข้างๆ คนที่นอนอยู่ก่อนหน้า ตัวผมที่ค่อยข้างเย็นเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาทำให้รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากคนข้างกายได้เป็นอย่างดี ยิ่งมันขยับตัวมาใกล้ก็ยิ่งรู้สึก แต่คงไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงดีขึ้น ไอ้กล้าคงไม่เป็นไร...



:katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ฝากติดตามเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วยนะคะ แต่งจบเรียบร้อยแล้วววว เรื่องราวของเพื่อนสนิทค่ะ ฝากติดตามนะจ๊ะ :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2016 20:49:48 โดย แมวสีส้ม. »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: [เรื่องสั้น] Dreaming Love 3/13/59
«ตอบ #2 เมื่อ13-03-2016 23:38:25 »

น้องกล้าไม่อยากไป สาเหตุเพราะคนข้างๆนี้หรือเปล่านะ??

ปิลิง เราก็ชอบคุมความฝันมากกกก ตื่นแล้วนอนฝันต่อก็มี 5555

ออฟไลน์ แมวสีส้ม.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Dreaming Love 3/13/59
«ตอบ #3 เมื่อ20-03-2016 10:12:00 »

หลงทาง…

นี่มันต้องบ้ามากแน่ๆ ที่ผมกำลังหลงทางอยู่ในความฝันของตัวเอง ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แต่ผมก็เดินไปเรื่อยๆ แรกๆ สองข้างทางเป็นป่าเขียวขจีสวยงาม เดินมาสักระยะปรากฏว่าฝนตก ผมเลยต้องหาที่หลบฝนวุ่นเลย แม้จะรู้ว่ามันเป็นแค่ฝันก็ตามเถอะ แต่ในตอนนั้นมันก็เสมือนจริงไปซะทุกอย่างนั้นแหละ

ที่บ้ามากกว่านั้นคือการที่ผมเลือกเดินใต้ต้นไม้ไปเรื่อยๆ เพราะกิ่งก้านใบของมันช่วยรองรับไม่ให้น้ำฝนตกลงมาโดนตัวผมมากจนเกินไป แต่ขณะที่เดินไปอยู่เรื่อยๆ นั่นสิ จู่ๆ ขาที่ก้าวเดินก็ผลุบหายลงไปในพื้นดิน โดยที่ร่วงของผมก็จมหายลงไปในนั้นด้วย แล้วสิ่งที่ได้สัมผัสก็กลับกลายเป็นพิ้นน้ำใสสีครามสะอาดตา

และผม...ก็กำลังจะจมน้ำอยู่

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมว่ายน้ำไม่เป็น

และความกลัวในครั้งนี้มันทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองในฝันได้เลย ก็รู้นะว่ามันเป็นฝัน...แต่!

“ฮึก...แฮ่ก”

ความรู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำตายมันวนกลับมาอีกครั้ง เหมือนเมื่อสองปีก่อน ในตอนที่ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ ตอนนั้นผมก็เกือบตายมาแล้ว ว่ายน้ำไม่เป็นยังทำซ่าอยากเล่นเขตน้ำลึกกับเขา...เป็นประสบการณ์ที่ผมคงจดจำมันไปได้นานตลอดชีวิตของผมเลยนั่นแหละ

ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองสำลักน้ำไปมากน้อยแค่ไหน ความอึดอัดหายใจไม่ออกที่เสมือนจริงซะจนน่ากลัว ผมได้แต่ตะเกียดตะกายพยายามพาตัวเองโผล่ให้พ้นเหนือผิวน้ำ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน ยิ่งพยายามกลับพบว่ามันยิ่งเหมือนถูกอะไรบางอย่างดูดให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ

กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังว่ายเข้ามาทางนี้...สองมือแหวกว่ายผ่านสายน้ำเข้ามาใกล้...ใกล้เรื่อยๆ จนผมเห็นชัดเต็มสองตาว่าใครคนนั้นคือเมฆ ผมนึกดีใจจนอ้าปากพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว นั่นยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนขาดอากาศมากขึ้นไปอีก ความดีใจที่มันค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง เมื่อคนที่ว่ายเข้ามาหาทำเพียงว่ายผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจอะไรผมที่กำลังสำลักน้ำตาลีตาเหลือกอยู่ตรงนี้เลย

เมฆว่ายน้ำจากไปง่ายๆ ทั้งทีเห็นว่าผมกำลังจะตายอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้ผมคิดขึ้นมาได้วูบหนึ่งว่าจริงๆ แล้วเขาจะทำแบบนั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยแสดงออกว่าใส่ใจอะไรผมเป็นพิเศษเลย เมฆปฏิบัติกับผมเหมือนกับที่ปฏิบัติกับเพื่อนคนอื่นๆ ฝันนี่อาจแค่อยากให้ผมได้รู้และตัดใจเลยเพ้อเจ้อสักทีก็ได้

แต่ทำไมผมไม่หลุดออกจากท้องน้ำทะเลนี่สักที ผมยังคงรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอยู่ดี บังคับตัวเองให้หายใจยังไงมันก็ทำไม่ได้ จนกระทั่งจู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงสองมือของใครบางคนที่สอดเข้ามาใต้รักแร้จากทางด้านหลัง ก่อนที่ตัวผมจะค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้นด้านบน เกือบถึงผิวน้ำ หากแต่ยิ่งใกล้มันก็กลับเหมือนยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ

จะตายอยู่แล้วนะเว้ย! แค่ฝันก็เถอะ แต่โคตรเหนื่อยเลย ถ้าเป็นชีวิตจริงผมคงตายไปตั้งแต่นาทีแรกที่จมน้ำแล้ว แต่นี่ฝันมันแกล้งให้ผมทรมานนานๆ ยังไงล่ะ ไม่หลุดพ้นจากนรกตรงนี้สักที...หรือต้องรอให้มีฉลามมาคาบไปกินก่อน!

คราวนี้ไอ้คนที่เข้ามาช่วยก็ดันปล่อยตัวผมออก แล้วว่ายวนกลับมาทางด้านหน้า จึงทำให้ผมเห็นใบหน้าของมัน...จากที่หายใจไม่ออกก็ดันรู้สึกโล่งขึ้นมาดื้อๆ อาการอึดอัดนั่นค่อยๆ คลายลงไปแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะได้เห็นคนคนนี้ คนที่เป็นเพื่อนรักทั้งในชีวิตจริงและความฝัน

‘เก่งกล้า’

สีหน้าแววตาของมันแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเด่นชัด แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ผมก็รับรู้ได้ สิ่งแรกที่มันทำหลังจากเห็นหน้าของผมคือพุ่งเข้ามากอด แม้จะแน่นแต่ก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดแต่อย่างใด กลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยมากขึ้น

สองปีก่อนหน้าที่ผมเคยจมน้ำ ตอนนั้นก็ได้มันมาช่วยเอาไว้ จำได้ว่าผมหยุดหายใจไปด้วย และมันก็เป็นคนผายปอดปั๊มหัวใจช่วยชีวิตผมไว้ ลืมตาขึ้นมามองผมเห็นตามันแดงๆ ก็รู้เลยว่ามันต้องร้องไห้หนักพอสมควร

 ...และในครั้งนี้เก่งกล้าเข้ามาช่วยผมไว้อีกแล้ว

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ดีๆ สองมือของคนที่อยู่ตรงหน้าก็ยื่นเข้ามาประครองข้างแก้มผมเอาไว้ ก่อนที่มันจะโน้มหน้าเข้ามาหาแล้วแนบริมฝีปากชิดกับปากของผมแน่น เรียวลิ้นอุ่นของมันดุนดันให้ปากของผมเปิดอ้าออกโดยอัตโนมัติ ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงลมอุ่นๆ เป่ารดเข้ามาในโพรงปาก

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดสิ่งที่มันกำลังทำอยู่คือการแบ่งอากาศมาให้...แต่เผอิญว่าตอนนี้ผมสามารถหายใจในน้ำได้ตั้งแต่เห็นหน้ามันแล้ว อากาศอะไรนี่เลยไม่จำเป็นอีกต่อไป ผมออกแรงผลักเก่งกล้าให้ออกห่าง แต่ไม่รู้ทำไมเรี่ยวแรงกลับหายไป ปล่อยให้ริมฝีปากของเราแนบชิดกันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน…

การช่วยเหลือ...กลับกลายเป็นจูบเอาดื้อๆ

และไม่รู้เมื่อไหร่ที่ใจของผมมันเริ่มเต้นแรง เปลือกตาทั้งสองข้างปิดลงโดยอัตโนมัติ นี่น่าตกใจคือปากผมมันดันขยับจูบตอบอีกฝ่ายไป สองมือโอบรอบเอวของเก่งกล้าแล้วดึงเข้ามาแนบชิด

บ้าไปแล้ว...เป็นฝันที่ประหลาดและบ้าบอมากจริงๆ










“เมื่อคืนมึงเปลี่ยนชุดให้กูเหรอ”

มือที่กำลังติดกระดุมเสื้อของผมชะงักขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงคนป่วยถาม อาการของเก่งกล้ามันดีขึ้นมากพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังมีไข้อยู่นิดหน่อย และเช้าในวันนี้หลังจากผมตื่นขึ้นมา...ผมรู้สึกว่าสายตาที่ผมมองมันนั้นเปลี่ยนไป มัน...มันอธิบายไม่ถูกเลย อาจเป็นเพราะฝันเมื่อคืน ฝันบ้าๆ ที่ทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ เวลามองหน้ามัน

“อะ...เออ เช็ดตัวให้ไง เห็นตัวมึงร้อนมาก”

“เออ ขอบใจ ฝากจดเลคเชอร์ด้วย”

เก่งกล้าบอกแล้วยกมือเกาต้นคอโดยที่ไม่ได้มองมาทางผม...ท่าทางแบบนั้น อ่า! ใช่แล้ว มันเป็นท่าที่ไอ้กล้าใช้เวลารู้สึกเขินๆ หรือทำตัวไม่ถูก และที่ผมว่าคุ้นตอนที่เมฆทำในความฝันก็เพราะเคยเห็นเพื่อนสนิทคนนี้ทำอยู่บ่อยๆ นี่เอง

 แล้วมัน...ทำแบบนี้กับผมทำไม

เขินผมเหรอ…

“ได้ ถ้าหิวก็คุ้ยๆ หาไรกินในตู้ไปก่อน มีขนมเหลืออยู่บ้างแหละ แล้วเที่ยงๆ กูจะซื้อโจ๊กมาให้”

อีกฝ่ายทำเพียงส่งเสียงตอบรับในลำคอมาให้ แล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปอีกทาง ทำให้ผมไม่เห็นแล้วว่าตอนนี้มันมีสีหน้ายังไง แต่ช่างเถอะ ผมคงคิดมากไปหน่อยเพราะฝันเมื่อคืน ฝันยังไงก็เป็นแค่ฝันนั่นแหละ

แค่ฝัน...ที่ทำให้หัวใจเผลอเต้นแรงขึ้นได้ในชีวิตจริง









ผมนั่งเรียนอยู่ในห้องด้วยความเบื่อหน่าย แม้จะขี้เกียจเพียงใดก็ตาม แต่ก็นั่งจดเลคเชอร์ไปพลางๆ เพราะคนป่วยดันฝากฝังเอาไว้ ความจริงจะไปยืมของเพื่อนมาถ่ายเอกสารก็ได้นะ แต่ถ้าทำแบบนั้นผมคงจะโดนเก่งกล้ามันด่าเอาแน่ๆ ที่ไม่รู้จักจดเอง ไม่ตั้งใจเรียน

“อ่าวไอ้กล้า ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้วะ”

เสียงของเพื่อนคนอื่นที่ดังขึ้นทำให้ผมหันไปมองด้วยความสนใจ และอีกเหตุผลนึงก็คืออยากจะรู้ว่าพวกมันพูดชื่อเก่งกล้าทำไม

“ไอ้กล้า มาทำไม มึงลุกไหวแล้วเหรอ”

พลันเมื่อได้เห็นว่าแท้จริงแล้วตอนนี้คนที่คิดว่านอนป่วยซมอยู่บนเตียง กลับโผล่เข้ามาในห้องเรียนด้วยสภาพหน้าซีดๆ ผมจึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหามัน ช่วยหยิบกระเป๋าเป้มาวางบนโต๊ะให้ ก่อนจะเดินนำกลับมานั่งที่เดิม แล้วรีบเอ่ยถามคนที่เพิ่งนั่งลงข้างกาย

“มึงหายแล้วเหรอวะ เมื่อเช้ายังตัวร้อนๆ อยู่เลย”

“ก็ดีขึ้นแล้ว กูอยู่ห้องเอาแต่นอนมันน่าเบื่อ”

สีหน้าคนพูดดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ หน้าซีดปากซีดจนผมว่ามันคงยังไม่ดีขึ้นหรอก แต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไร เพราะมันอุตส่าห์ถ่อสังขารมาถึงที่นี่ก็คงอยากจะมาเรียนจริงๆ

“แม่กูโทรมาด้วย...บอกจะให้กูกลับบ้าน กูก็ไม่อยากกลับเลย”

“เหรอวะ เขาคงห่วงมึงแล้วล่ะ”

คนที่บ่นว่าไม่อยากกลับบ้านก้มหน้านิ่งมองมือตัวเอง มันเงียบอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองสบตาผม พร้อมกับเอ่ยถามในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอึ้งไป

“แล้วมึงล่ะ ห่วงกูบ้างมั้ย”

ปฏิกิริยาแรกหลังจากได้ยินอะไรแบบนั้นคือการที่ผมรีบยกมือตบหน้าตัวเอง ฝันแน่ ฝันแน่ๆ เก่งกล้ามันคงไม่มาทำหน้าแดงพูดเสียงอ่อยแบบนี้ใส่ผมหรอก ผมต้องบ้าฝันอยู่แน่ๆ เผลอหลับตอนเรียนใช่มั้ยไอ้คิน!

แปะ!

เจ็บฉิบหายวายวอดเลยว่ะ ไม่ได้ฝันเหรอวะ หรือต่อให้เป็นฝัน ผมก็คงเริ่มแยกแยะไม่ออกแล้วว่าอันไหนฝันอยู่ หรืออันไหนคือความจริง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพิ่งเริ่มเป็นก็ตอนที่ฝันเห็นเก่งกล้าเนี่ยแหละ

“มึงตบหน้าตัวเองทำไมไอ้คิน”

“ฮะ? อ้อ เปล่า ไม่มีอะไร”

“แล้วที่กูถามล่ะ มึงห่วงกูบ้างมั้ย”

“นี่มึงท่าจะอาการหนักมากนะ ถามอะไรเสี่ยวๆ แบบนี้วะ”

“กูแค่อยากรู้”

คำตอบของมันเบาหวิวซะจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาหาแล้วประครองใบหน้าผมไว้ รู้สึกได้ว่าตัวแข็งทื่อขึ้นมาดื้อๆ เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ กลับพบว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องเรียนหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงห้องที่ว่างเปล่า

...และนั่นมันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าฝันอยู่แน่ๆ ฝันแน่ๆ

“แล้วถ้ากูบอกว่าห่วงล่ะ”

ผมลองตอบหยั่งเชิงไปดู เมื่อได้เห็นเก่งกล้าหน้าแดงแล้วทำหน้าอมยิ้มนิดๆ มันทำให้ผมยิ่งโคตรมั่นใจเลยว่านี่คือความฝัน เพราะอย่างมันคงไม่มีวันมาทำอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ใส่ผมหรอก ยิ่งทำท่าเขินอายราวกับสาวน้อยด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งไม่มีทาง

แต่น่าแปลกที่ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจหรืออึดอัดในสิ่งที่ได้เห็น เพราะสำหรับหลายๆ คน การที่อยู่ดีๆ มีเพื่อนสนิทมาแสดงออกว่าชอบตัวเอง ก็คงรู้สึกแปลกๆ พิลึก คงอึดอัดน่าดู แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเอ็นดู อยากจะแกล้งให้มันหน้าแดงมากขึ้นไปอีกก็ไม่รู้สิ

ผมวางมือซ้อนทับมือที่ประครองหน้าตัวเองอยู่ แล้วดึงมากุมเอาไว้หลวมๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะชักมือกลับ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมรีบจับให้แน่นซะก่อน

“ที่กูฝันอยู่นี่ เพราะจริงๆ แล้วมึงเข้าฝันมาบอกกูว่าคิดอะไรกับกูมากเกินกว่าเพื่อน...หรือเป็นเพราะกูกำลังคิดกับมึงเกินเพื่อนกันแน่วะ”

“กูไม่รู้ นี่ฝันของมึง มึงก็หาคำตอบเองสิ”

“แล้วมึงคิดว่าไง มึงได้คิดอะไรกับกูบ้างหรือเปล่า”

หลังพูดจบก็เห็นเก่งกล้าหลบสายตาแล้วพยายามชักมือกลับ ก่อนที่จะพูดประโยคนึงออกมา ประโยคที่ผมทึกทักเอาเองว่ามันพูดแก้เขิน

“เพ้อเจ้ออะไรของมึง ตั้งใจเรียนดิวะ”

ว่าแล้วมันก็ชี้นิ้วไปยังไวท์บอร์ดด้านหน้า ซึ่งตอนนี้มีอาจารย์ยืนเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ไม่รู้โผล่มาได้ยังไง แต่นี่มันฝันของผม ผมควบคุมทุกอย่างได้สิ

คิดแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วดึงมือของคนข้างกายให้ลุกไปด้วยกัน ก่อนจะพากันวิ่งออกจากห้องเรียนไป หลังประตูนั้นเป็นอย่างที่ใจคิด...ทะเล แต่ครั้งนี้เราไม่ได้อยู่ในน้ำ ผมไม่ได้กำลังจะจมน้ำอยู่ หากแต่ทำเพียงแค่เดินจูงมือมันไปตามหาดทรายที่ทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

และแม้เก่งกล้าจะไม่ได้จับมือผมตอบ แต่มันก็ยอมเดินตามมาเงียบๆ
 
นี่ผมทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย ไอ้กล้ามันก็เพื่อนสนิทนะ จะมาคิดอะไรแบบนี้กับมันได้ยังไง ในเมื่อจริงๆ แล้วผมชอบเมฆไม่ใช่เหรอ แต่แล้วทำไมดันฝันถึงเมฆน้อยลงทุกที และมันเริ่มแทนที่ด้วยเพื่อนสนิทคนนี้แทน

บางทีผมอาจคิดมากเรื่องจูบในฝันเมื่อคืน มันคงแค่ความรู้สึกชั่ววูบที่ดันเก็บมาฝันซ้ำอีก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วรู้สึกดีมากอยู่เหมือนกัน ความฝันในครั้งก่อนมันทำให้ผมระลึกขึ้นได้ว่าใครที่คอยอยู่เคียงข้าง และคอยช่วยเหลือผมมาตลอด

คนที่อยู่ใกล้...ในฐานะเพื่อนคนนี้

เก่งกล้า

“มึงจะเดินไปถึงไหน กูเมื่อยแล้ว”

คนที่เดินตามมาชะงักฝีเท้าลงจนทำให้ผมต้องหยุดเดินบ้าง หันไปมองก็เห็นมันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่

“ไม่รู้สิ ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

ผมตอบไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้จุดหมายปลายทางคืออะไร แค่กำลังเดินไปเรื่อยๆ อยากเดินไปเรื่อยๆ ก็เท่านั้นเอง

“กูคงไปไม่ได้ว่ะคิน กูต้องกลับแล้ว”

เก่งกล้าทำสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด มันดึงมือของตัวเองออกจากมือผมแล้วก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะพูดซ้ำอีกครั้งด้วยประโยคเดิม

“กูต้องกลับแล้ว”

“กลับอะไรของมึง”

“ไปก่อนนะ”

“อ่าวเฮ้ย! เดี๋ยวไอ้กล้า ไอ้กล้า!”

ผมยืนมองร่างของเก่งกล้าที่หมุนตัวหันหลังให้แล้วค่อยๆ ก้าวขาเดินจากไป ทั้งที่ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด และอยากจะเดินตามมันไป หากแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างยุบยิบที่ปลายเท้า พอก้มหน้าลงไปมองเท่านั้นแหละ ก็เห็นว่าเท้าของผมกำลังจมหายไปในพื้นทราย และค่อยๆ จมลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไอ้กล้า กล้า!”

“...”

“ไอ้กล้า!”

“...”

“ช่วยกูด้วย…”

ผมยังคงแหกปากร้องเรียกเก่งกล้าที่เดินไกลออกไปทุกที แต่มันก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะหันมามองผมเลย ขณะที่ตอนนี้ร่างผมเริ่มจมหายไปในพื้นทรายเกินครึ่งตัวแล้ว ยิ่งดีดดิ้นก็ยิ่งจมลงเร็ว...แต่เฮ้ย! นี่ฝันของผมนะ ผมต้องควบคุมมันได้สิ

มันก็แค่ฝัน! พาตัวเองออกมาให้ได้สิวะ

แต่ให้ตายเถอะ ยิ่งพยายามเท่าไหร่มันก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เรื่องราวมันไม่เป็นไปตามที่ใจผมคิดเอาไว้เลย ผมไม่สามารถทำอะไรกับสถานการณ์ตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

สุดท้ายเลยได้แต่ปล่อยให้ร่างตัวเองจมลงมาในพื้นทราย...และมันก็เกิดความมืดทึบไปทั่วทั้งบริเวณ ผมมองไม่เห็นอะไรอีกเลย ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมันมืดไปหมด





+++++++++++++++++++++++++++++
กลับมาต่อแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะอัพเร็วๆ ให้จบไปเลย แต่ที่ผ่านมาติดงาน ทำงานยันตีสองตีสามทุกคืน เลยไม่มีเวลาเลย  :katai4: 

ออฟไลน์ แมวสีส้ม.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Dreaming Love [Up+ 20/3/59]
«ตอบ #4 เมื่อ20-03-2016 18:41:30 »

พรึ่บ!

ผมสะดุ้งตื่นท่ามกลางเสียงสนทนาของบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่ดังเจี๊ยวจ๊าว ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ความฝันที่เกิดขึ้นขณะหลับนั้นผมจำมันได้ดี

ฝันที่เริ่มต้นด้วยดี...แต่จบได้ห่วยแตกมาก

“เฮ้ยต้น แล้วอาจารย์ล่ะวะ”

หลังขยี้ตาไล่ความง่วงงุนแล้วก็หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ ซึ่งมันก็ตอบกลับมาสั้นๆ ว่า

“พักสิบนาทีเว้ยไอ้คิน”

ผมพยักหน้ารับแล้วก้มหน้ามองสมุดจดเลคเชอร์ของตัวเอง เห็นมันเป็นรอยปากกาลากยาวเป็นทาง สงสัยจะเกิดจากตอนที่กำลังเคลิ้บๆ แล้วก็หลับนั่นแหละ ปกติผมไม่ค่อยหลับในห้องเรียนหรอกนะ ครั้งนี้พลาดได้ไงก็ไม่รู้ ไม่ได้จดอะไรมาสักอย่างเลยด้วย แล้วแบบนี้จะเอาอะไรไปให้ไอ้กล้ามันลอกต่อ

“เฮ้ย เลิกเรียนแล้วยิมเลคเชอร์ไปถ่ายหน่อยดิ”

ผมก็ไปสะกิดถามเพื่อนคนเดิมนั่นแหละ แต่สิ่งที่มันทำคือการชูสมุดจดของมันให้ผมดู...ซึ่งก็ว่างเปล่าไม่แพ้กัน

“เออ ไม่เป็นไร”

เห็นทีคงต้องไปหายืมจากคนอื่นเอา ผมนั่งเรียนต่อหลังจากหมดเวลาพัก พยายามตั้งใจจดเท่าที่สมองและมือจะไวพอที่จะทำได้ ดีแค่ไหนที่อาจารย์ไม่โยนไมค์มาใส่หัวผมขณะที่ผมหลับ อาจารย์วิชานี้ก็ค่อนข้างจะโหดอยู่ด้วยสิ แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ผมอยากให้ถึงเวลาเลิกเรียนไวๆ เป็นห่วงคนป่วยที่นอนอยู่ที่ห้องแล้ว

...ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง




พักเที่ยงผมรีบกลับห้องอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมแวะซื้อโจ๊กที่โรงอาหารไปฝากคนป่วย แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องผิดหวังก็คือการที่กลับถึงห้องแล้วพบเพียงความว่างเปล่า

เก่งกล้าไม่ได้อยู่ที่นี่…

ในสภาพป่วยซมขนาดนั้นมันจะไปไหนได้ จะว่าออกไปหาซื้ออะไรกินเองก็ไม่น่าจะไปไหว หรือมันจะไปเป็นลมล้มพับอยู่ที่ไหนผมก็ไม่รู้ ได้แต่โทรติดต่อหามันอยู่นาน เพราะดันไม่ยอมรับสายผมสักที บอกตามตรงว่าใจผมมันอยู่ไม่สุขเลยแม้แต่น้อย

ทั้งห่วง...และกังวล กลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป

แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็เริ่มผ่อนคลายลง เมื่อรับรู้ได้ว่าคนปลายทางที่ผมกำลังติดต่ออยู่ได้รับสายผมแล้ว เสียงทักทายของมันแหบพร่าเสียยิ่งกว่าอะไรดี

“ว่าไง”

“มึงอยู่ไหนไอ้กล้า”

ผมรีบถามกลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลามาทักทายอะไรกันทั้งสิ้น เพราะตอนนี้อยากรู้จะแย่อยู่แล้วว่ามันหายไปไหนโดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อน

“อยู่บ้าน แม่มารับเมื่อเช้าหลังมึงไปเรียนนั่นแหละ”

คำอธิบายที่ทำให้ผมถึงกับร้องอ๋อออกมาเสียงดัง กระจ่างในสิ่งที่สงสัยทันที แต่ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมมันไม่โทรมาบอกผมก่อนวะ อยู่ๆ จะไปก็ไปแบบนี้เนี่ยนะ

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูก่อนวะ อุตส่าห์ซื้อโจ๊กมาฝาก”

หงุดหงิด! ผมกระแทกเสียงถามมันกลับไปด้วยความหงุดหงิด ซึ่งฝ่ายนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับมาด้วยเสียงแหบๆ ของมันเหมือนเดิม

“เออ กูมัวแต่เถียงกับแม่อยู่ก็เลยไม่ได้บอก กลับมาบ้านก็สลบเลย”

“ยังไม่ดีขึ้นหรือไง กินยาแล้วหายไวๆ นะมึง ไว้กูไปเยี่ยม”

แม้จะหงุดหงิดกับสิ่งที่มันทำ แต่ผมก็ยังห่วงมันมากกว่าอยู่ดี ความห่วงใยที่ไม่คิดจะปิดบังแม้แต่น้อย และแสดงออกทางน้ำเสียง...ซึ่งไอ้กล้ามันคงไม่โง่จนไม่รับรู้อะไรเลย

“ดีขึ้นแล้ว ขอบใจมากคิน”

“หายแล้วมาเลี้ยงข้าวกูคืนด้วย”

“รู้แล้ว...เออ มีอีกเรื่องนึงที่กูจะบอกมึง”

“เรื่อง?”

“สงสัยเร็วๆ นี้กูคงได้ย้ายไปอยู่กับแม่แล้วจริงๆ ว่ะ”

สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ภาพในความฝันเมื่อตอนอยู่ในห้องเรียนนั้นแทรกเข้ามา คำบอกลาของมันที่บอกว่าจะไป...บอกว่าไปกับผมไม่ได้แล้ว มันกำลังเป็นจริง

เก่งกล้าตัดสินใจจะย้ายไปอยู่กับแม่จริงๆ แบบที่ผมนึกกลัว ผมไม่อยากให้มันไปเลย มันเป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของผม ถ้ามันไปผมก็คงจะเสียใจ

ความเสียใจที่เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันคืออะไรกันแน่ เพราะผมรู้สึกเหมือนกำลังอกหัก เหมือนกำลังถูกทิ้ง ทั้งที่เพื่อนกำลังไปมีอนาคตที่ดี อยู่เมืองนอกเมืองนา ผมน่าจะดีใจไปกับมันด้วยสิ

“ตกลงมึงจะไปจริงๆ เหรอวะ”

“คงงั้นแหละ แม่ห่วงกู ไม่อยากให้กูอยู่คนเดียว”

“ก็อยู่กับกูนี่ไง มาอยู่หอกูก็ได้ บ้านกูก็มี แม่กูมึงก็สนิท”

“ไอ้คิน”

“...”

“กูตัดสินใจแล้วว่ะ”

คำพูดและน้ำเสียงที่หนักแน่นของมันทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก รู้สึกใจหายแปลกๆ เมื่อรู้ว่ามันตัดสินใจจะไปอยู่กับแม่ที่อเมริกาจริงๆ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น...ผมกับมันก็คงจะต้องห่างกัน ห่างในแบบที่ไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก

“ยังไงมึงก็จะไปใช่มั้ยวะ”

“อือ กูตกลงกับแม่แล้ว และคงไม่เปลี่ยนใจอีก...ไปอยู่โน้นคงเหงาแย่เลย ถ้าไม่เจอมึงแล้ว”

น้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่ากำลังเศร้านั้นทำให้ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตัวเก่งกล้าเองก็คงไม่ได้อยากจะไปนักหรอก แต่ติดตรงที่แม่มันอุตส่าห์ขอร้องทั้งคน จะให้มันทิ้งแม่และเอาความสบายใจของตัวเองเป็นหลักก็คงไม่ได้

สุดท้ายผมเลยได้แต่พยายามเข้าใจ…

“เออ ไม่มีกูมึงเหงาแน่ไอ้กล้า...กูก็เหมือนกัน คงคิดถึงมึงมากแน่ๆ”

ผมรีบกัดปากตัวเองทันทีที่ได้สติว่าเพิ่งจะพูดอะไรเลี่ยนๆ ออกไป ยิ่งเห็นว่าปลายสายเงียบนานกว่าปกติมันก็ทำให้รู้สึกใจเสีย กลัวมันจะรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของผม แม้การที่เพื่อนจะบอกคิดถึงเพื่อนมันคงไม่ได้แปลกอะไร แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องปกติของเราสองคนอยู่ดี ตั้งแต่คบกับมันมาหลายปี คำเลี่ยนๆ แบบนี้ไม่เคยหลุดออกมาจากปากเราทั้งคู่เลยสักครั้งเดียว

ไอ้กล้าไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก มันเปลี่ยนไปคุยเรื่องเรียนแทน สักพักก็วางสายไป ทิ้งผมให้ต้องกลุ้มใจอยู่เพียงลำพัง

คิดไม่ตกเลยจริงๆ ว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี

ขณะที่ผมเริ่มรู้สึกดีๆ กับมัน มันก็กำลังจะจากผมไป

ไอ้กล้าทำผมสับสนไปหมด…

คืนนั้นผมนอนคนเดียวเหมือนเคย แต่กลับคิดถึงช่วงที่มีมันนอนอยู่ข้างกาย ความฝันของผมเริ่มต้นขึ้นด้วยการที่ผมนั่งเรียนอย่างเหงาๆ โดยไร้เหงาของเก่งกล้า เพราะมันดันไปอเมริกาแล้ว เป็นฝันที่เหมือนจริงและคงอินมาจากตอนที่ได้คุยโทรศัพท์กับมันนั่นแหละ

แต่แล้วสิ่งที่ไม่ทันได้คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคนที่น่าจะไปอยู่อีกทวีปหนึ่งกลับโผล่หน้าโผล่ตามาให้เห็นในห้องเรียน มันเข้ามาทักแล้วนั่งลงข้างๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ขณะที่ผม...ได้แต่นั่งอึ้งมองมันอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี

“มึงไม่ได้ไปแล้วเหรอวะกล้า”

มันหันมามองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้มในแบบฉบับที่ชอบทำให้ผมเห็นอยู่บ่อยๆ สายตาที่มองมานั้นดูพิเศษกว่าปกติ มันลึกซึ้ง เหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

“กูไม่ได้ไปแล้วว่ะ กูอยากอยู่ที่นี่มากกว่า อยู่โน้นไม่มีมึงแล้วโคตรเหงาเลย”

“มึงพูดจริงเหรอวะ”

ผมรู้ว่ามันเป็นความฝัน ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้แค่กำลังฝันอยู่ แต่มันก็อดดีใจไม่ได้จริงๆ

“จริง กูอยากอยู่กับมึง...กู…”

ขณะที่เก่งกล้ากำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ภาพใบหน้าของมันก็หายไป แทนที่ด้วยใบหน้าของใครบางคนที่ผมแทบจะไม่ได้คิดถึงมาสักระยะแล้ว

‘เมฆ’

ภาพของเมฆที่ยื่นหน้าแทรกเข้ามาระหว่างกลางของผมกับไอ้กล้า ดูคุ้นๆ เหมือนตอนฝันครั้งก่อนๆ ที่กล้ามันเคยโผล่หัวเข้ามาขัดจังหวะความฝันของผมไม่มีผิดเพี้ยน…

อะไรอีกล่ะเนี่ย...จะเกิดอะไรขึ้นอีก

“คุยอะไรกันอยู่...ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะคิน”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะดีใจกับการถามไถ่ที่ดูเหมือนน้อยใจแบบนี้ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ความรู้สึกผมมันเปลี่ยนไป...ไม่สิ บางทีจริงๆ แล้วผมอาจจะไม่ได้ชอบเมฆมากถึงขั้นจริงจังจนถอนตัวตัดใจไม่ได้ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ใจเต้นแรงเวลาเห็นหน้าเมฆ หรือดีใจที่ได้เจอเขาอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกนั้นที่มีต่อเมฆมันค่อยๆ หมดไปตั้งแต่ผมเริ่มรู้จักดีๆ กับไอ้กล้าแทน

เมื่อคนที่มาใหม่ยืดตัวยืนตรงเต็มความสูง ผมจึงได้เห็นหน้าของคนที่นั่งข้างๆ อีกครั้ง ซึ่งเก่งกล้ามันทำหน้าซึมๆ ลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับตอนแรกที่ทำหน้าสดใสร่าเริงอย่างลิบลับ และผมก็เพิ่งนึกออกว่ามันเคยเป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ เวลาที่ผมพูดถึงเรื่องเมฆ หรือได้อยู่ใกล้ชิดกับเมฆ

แต่ผมไม่เคยใส่ใจ...ผมไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่เลย

เพราะแค่คิดว่าคงไม่มีอะไร...

“มีอะไรหรือเปล่าวะ”

“กูแค่จะมาชวนมึงไปกินข้าว เย็นนี้”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตื่นเต้นและดีใจกับสิ่งที่ได้ยินจนแทบจะลุกออกมากระโดดโลดเต้น หากแต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่มีแวบเข้ามาแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว

ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าเมฆมันจะชวนผมไปกินข้าว…

“มึงไปมั้ยกล้า”

แทนที่จะตอบคำถาม ผมกลับอยากถามคนที่นั่งข้างๆ กันก่อน ไอ้กล้ามันอุตส่าห์ไม่ไปเป็นเด็กนอก ยอมกลับมาอยู่ข้างๆ ผม แล้วจะให้ผมทิ้งมันไปง่ายๆ ได้ไง

ผมต้องใส่ใจความรู้สึกมันให้มากกว่านี้

“ไม่ล่ะ กู…”

“กูชวนแค่มึงนะคิน”

สองเสียงที่ดังขึ้นประสานกันทำเอาผมได้แต่นิ่งเงียบ เมื่อคนนึงปฏิเสธจะไม่ไป อีกคนก็รีบบอกว่าไม่ได้อยากจะให้ไป เป็นสถานการณ์ที่คนกลางอย่างผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆ และก็หงุดหงิดเมฆด้วยที่มันพูดชัดเจนเหมือนรังเกียจไอ้กล้า

ผมไม่ชอบเลยจริงๆ

“มึงไปเถอะ กูไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว”

เก่งกล้าว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตามองสมุดโน๊ตที่วางอยู่บนโต๊ะของตัวเอง สมุดโน๊ตเล่มสีเทาที่ค่อนข้างหนาพอสมควร คล้ายๆ กับไดอารี่อะไรทำนองนั้น มันสะดุดตาผมพอสมควรเมื่อปกติแล้วเพื่อนผมคนนี้มักจะใช้สมุดจดงานเล่มบางๆ ราคาเบาๆ มาใช้เลคเชอร์ในเวลาเรียนมากกว่า

“งั้นกูก็ไม่ไป”

“ทำไมวะ”

คนที่ถามกลับมาไม่ใช้ไอ้กล้า แต่เป็นเมฆ มันทำท่าเหมือนไม่พอใจผมมากพอสมควร จนผมต้องอธิบายไปตามสิ่งที่ใจคิด

“ไอ้กล้ามันไม่อยากไป กูก็ไม่อยากไป...”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับกล้าวะ ไม่ได้ตัวติดกันสักหน่อย”

“ตัวไม่ได้ติดกันก็จริง แต่ก็อยากอยู่กับมันมากกว่าใคร ขอบใจนะเมฆ แต่กูคงไม่ไปว่ะ”

ผมรู้ว่าเมฆคงไม่พอใจมาก เพราะมันแสดงสีหน้าชัดเจนจนเห็นแล้วต้องรู้สึกแย่ เลยได้แต่ยื่นมือไปทางมันแล้วโบกไปมาเพื่อไล่ให้ภาพของมันหายไป

คราวนี้ก็ต้องมาจัดการกับคนข้างกายที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรเลย มือของมันก็เอาแต่ลูบปกสมุดเล่มนั้นไปมาพร้อมกับการทำหน้าเหม่อลอย

“ไอ้กล้า เย็นนี้ไปกินไอติมกัน กูเลี้ยง”

“มึงไม่ชวนเมฆไปละ ดูเหมือนมันอยากจะไปกับมึงนะ”

คำพูดที่ฟังดูแล้วเหมือนจะน้อยใจนั่นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะรีบยื่นมือออกไปกดหัวของเก่งกล้าเบาๆ ซึ่งมันเองก็รีบเอนหัวหนีแล้วหันมาทำสีหน้าไม่พอใจใส่

“แต่กูอยากไปกับมึง แค่มึงคนเดียว ไม่ได้อยากไปกับคนอื่น”

ผมเน้นเสียงคำว่า ‘คนอื่น’ อย่างชัดเจน เพื่อแสดงให้คนฟังได้รับรู้ว่ามันไม่ใช่คนอื่นสำหรับผมนะ ซึ่งสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือการมองมาด้วยสีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะรีบหันหน้าหนีแล้วแก้มขาวๆ ก็เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ

ไอ้กล้ากำลังเขิน…มันเขินผมอยู่

และไหนๆ มันก็เป็นแค่ฝันแล้ว ถ้าผมจะทำอะไรลงไปมันก็คงไม่ได้ส่งผลอะไรกับชีวิตจริง เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง สิ่งที่อยากลองทำมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“กล้า...กูรู้สึกดีกับมึงว่ะ กูก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กูรู้สึกดีจริงๆ ที่มีมึงอยู่ข้างๆ กูไม่รู้ว่าพูดไปแล้วมึงจะอึดอัดใจหรือเปล่า แต่กูแค่อยากให้มึงได้รู้ ว่ากูคงจะชอบมึง...ไอ้กล้า”









มันบ้ามากๆ กับการที่ฝันถึงเก่งกล้าติดต่อกันเกือบทุกคืน และมันบ้ายิ่งกว่าเมื่อผมรู้สึกอยากจะหลับอยู่แบบนั้นทั้งวันทั้งคืน ในความฝันผมยอมรับเลยว่าโคตรมีความสุข สุขยิ่งกว่าการฝันถึงเมฆอีก ผมนี่แทบจะไม่อยากหลุดออกจากความฝันเลย เพราะเมื่อในชีวิตจริงแล้ว…

“วันนี้กูโดดคาบบ่ายนะ จะรีบไปทำเอกสาร เดี๋ยวไม่มีเวลา”

เก่งกล้าบอกเสียงเรียบๆ ก่อนที่มันจะตั้งหน้าตั้งตาจดเลคเชอร์ต่อไป สิ่งที่มันแสดงออกกับผมยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ไม่มีท่าทีอะไรพิเศษเลย ทั้งที่ในฝัน…

‘คิน กูคิดถึงมึง’

‘คิน กูอยากไปที่นั่นอะ ไปด้วยกันหน่อยนะ’

‘กูชอบ..กูชอบมึงว่ะคิน’

เฮ้อ...ให้ตายสิ ทำไมผมต้องมโนอะไรขนาดนั้นให้รู้สึกดีด้วย เพราะในความจริงแล้วมันทำได้ยากยิ่งกว่า เมื่อไอ้กล้ามันใกล้จะย้ายไปอเมริกาเร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย ผมคงไม่กล้าไปพูดความในใจอะไรทั้งนั้นแหละ

ปกติที่ผ่านมาเก่งกล้ามันรู้เรื่องความฝันของผมดี มันรู้ว่าผมชอบเมฆ และชอบฝันถึงเมฆบ่อยๆ ฝันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่คนเดียว และผมก็ชอบเล่าให้มันฟัง และตั้งแต่ที่ผมเริ่มฝันถึงมัน ผมก็ไม่เคยเล่าอะไรให้มันฟังอีกเลย เพราะถ้าเล่าไปมีหวังมันไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมกับมันคงจะมองหน้ากันไม่ติด

“แล้วเที่ยงมึงจะกินข้าวกับกูก่อนมั้ย”

“คงไม่ว่ะ เดี๋ยวแม่มารับหลังเลิกคาบเช้าเลย มึงก็ไปกินกับคนอื่นก่อนนะ”

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามึงจะย้ายไปจริงๆ”

ผมไม่ได้ตอบรับอะไรกับคำพูดของไอ้กล้า แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน และผมสังเกตเห็นว่าเมื่อพูดจบ มือที่กำลังเขียนอะไรยุกยิกอยู่บนสมุดนั้นชะงักลง ก่อนที่มันจะหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเศร้าๆ ในแบบที่ผมสังเกตได้

“ทำไงได้วะ กูตัดสินใจไปแล้ว”

“แล้วมึงจะได้กลับมาอีกมั้ยวะ”

“ได้สิ กูคงไม่ไปแล้วไปลับอยู่ที่นั่นไปชั่วชีวิตหรอก ไว้กูจะกลับมาเจอมึง เอาขนมอร่อยๆ มาฝาก”

“นึกว่าจะมาแหม่มน่ารักๆ มาฝากซะอีก”

มันหัวเราะ เก่งกล้าหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบสมุดมาฟาดหัวผมเฉยเลย...อะไรของมันเนี่ย

“ไอ้นี่ มึงชอบผู้ชายแล้วจะให้กูหาผู้หญิงมาให้ทำไม ไว้กูเจอผู้ชายน่ารักๆ จะแนะนำให้รู้กันก็แล้วกัน”

ไอ้กล้านี่ช่างใจร้ายจริงๆ เลย มันพูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไง ถ้าผมบอกอะไรบางอย่างออกไปตรงๆ แล้วมันจะโกรธหรือเปล่า มันจะมองผมแปลกไปหรือเปล่า

“กูไม่ได้อยากได้ใคร แค่มีมึงก็พอ”

“...”

“มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลยไอ้กล้า”

พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง จากตอนแรกที่ตั้งใจจะบอกความในใจ แต่ไปๆ มากลับพูดเหมือนตอกย้ำว่ามันเป็นแค่ ‘เพื่อน’ แต่ไอ้กล้าก็ยิ้มรับแล้วบอกในสิ่งเดียวกันกับผม

“มึงก็เหมือนกัน มึงก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเหมือนกัน”

กูไม่ได้อยากให้มันจบลงแค่เพื่อนโว้ย!

แม้ใจอยากจะตะโกนออกไปแบบนั้น แต่ในความจริงแล้วผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่นั่งนิ่งๆ แล้วแอบมองดูคนข้างๆ นั่งจดสิ่งที่อาจารย์กำลังสอนอย่างตั้งใจ กระทั่งถึงเวลาพักเบรค ไอ้กล้ามันก็ชวนไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมก็ไม่ได้ตามมันไปแต่อย่างใด ได้แต่นอนฟุบหน้าลงบนโต๊ะเรียนอย่างเบื่อๆ

จนสายตาไปสะดุดเข้าให้กับสมุดเล่มหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าเป้ของเก่งกล้า เป็นเพราะมันเปิดกระเป๋าอ้าซ่าเอาไว้ ผมเลยเห็นแทบทุกสิ่งที่อยู่ข้างใน หนึ่งในนั้นก็คือสมุดโน๊ตปกหนังสีน้ำตาลเข้มเล่มหนา คล้ายๆ กับสมุดที่ผมเห็นในฝัน ต่างกันก็แค่สี

ด้วยความสงสัยผมจึงถือวิสาสะหยิบมันมาเปิดดู แรกๆ ก็เป็นเนื้อหาเลคเชอร์ธรรมดา แต่ต่อมากลางๆ เล่มกลับเป็นภาพสเก็ตซ์ของใครคนนึง...คนที่มีใบหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นผม เพื่อให้แน่ใจผมเลยเปิดดูไปหลายๆ หน้า ก็ได้เห็นภาพใบหน้าของผมในหลายๆ อิริยายถ

แม้กระทั่งภาพนั่งหลับในห้องเรียนก็ยังมี…

และภาพล่าสุดที่ยังวาดไม่เสร็จ มันเป็นภาพของผมนอนขดตัวอยู่บนเตียง สภาพแวดล้อมทุกอย่างเหมือนกับในห้องนอนผมไม่มีผิดเพี้ยนเลยจริงๆ

ไม่ได้มีตัวหนังสือใดๆ ที่บ่งบอกเรื่องราวของมัน แต่แค่รูปภาพเหล่านี้มันก็เหมือนจะอธิบายอะไรได้หลายอย่างแล้ว ตอนนี้หัวใจของผมมันกำลังเต้นรัวด้วยความดีใจ...และเริ่มมั่นใจในความรู้สึก เริ่มมั่นใจว่าเก่งกล้าเองก็อาจคิดไม่ต่างกัน ถึงมันจะไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ ก็ตาม

ถ้าแค่เพื่อนสนิท ใครมันจะไปบ้านั่งวาดรูปเป็นสิบๆ รูปแบบนี้ให้วะ

หลังจากที่เก่งกล้ากลับมานั่งที่อีกครั้ง ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเหมือนเดิม เก็บสมุดเล่มนั้นเอาไว้ในกระเป๋าเรียบร้อย โดยไม่ลืมแอบถ่ายรูปเอาไว้ซะก่อน อย่างน้อยๆ ก็เก็บเอาไว้ดูเอง ถ้ามันไม่คิดจะให้ผมเห็นจริงๆ และหลังเลิกเรียนในช่วงเช้า คนที่บอกจะโดดตอนบ่ายก็รีบปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

มันกำลังจะไปแล้ว ไอ้กล้ากำลังจะไปจากผมแล้วจริงๆ

ออฟไลน์ แมวสีส้ม.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: [เรื่องสั้น] Dreaming Love [Up+ 20/3/59]
«ตอบ #5 เมื่อ20-03-2016 18:43:45 »

ช่วงนี้ผมรู้สึกเอื่อยเฉื่อยมากจริงๆ จากในตอนแรกที่โทรชวนเก่งกล้ามันไปเที่ยวด้วย แต่ปรากฏว่ามันไม่ว่าง ต้องเตรียมเรื่องจะย้ายอยู่นั่นแหละ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเวลาท้ายๆ ที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่มันก็ยังไม่มีเวลามาหาผมเลย ผมเลยได้แต่รอ หวังว่าจะมีโอกาสได้เที่ยวละเลี้ยงอำลามันสักครั้ง เลยส่งข้อความไปชวน ว่าจะเลี้ยงส่งมัน

แต่สิ่งที่มันตอบกลับมาสิ กลายเป็นไฟท์บินที่มันได้จองเอาไว้ และบอกว่าให้ผมไปส่ง เก่งกล้าไม่ได้พูดเรื่องที่ผมอยากจะเลี้ยงส่งมันเลยด้วยซ้ำ มันห่างๆ หายๆ ไป และช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงเตรียมตัวสอบอีกด้วย ผมจึงได้แต่อยู่หน้าหนังสือทั้งวัน โดยที่ตอนกลางคืนนั้นเอาแต่หลับฝันถึงมัน ฝันว่าเรารักกันดีแค่ไหน

‘กูรักมึงคิน กูรักมึง’

คำบอกรักในฝันที่มาพร้อมกับรูปภาพสเก็ตซ์ที่ถูกจัดใส่กรอบรูปอย่างสวยงาม รูปที่มันวาดให้ผมนั่นแหละ แต่นี่มันในฝัน เพราะในความจริงแล้วมันยังไม่ยอมเอาให้ผมดูเลยสักนิด ทั้งๆ ที่มันใกล้จะไปแล้วแท้ๆ

ผมไปสอบอย่างคนไม่มีกำลังใจอะไรเลย เพราะรู้ว่าคืนนี้จะเป็นคืนที่ไอ้กล้าจะบินไปอเมริกาแล้ว สอบเสร็จก็ต้องไปส่งมัน แต่โชคยังดีหน่อยที่ช่วงเย็นๆ แม่มันจะพาไปกินข้าวด้วยกัน มื้อสุดท้ายก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานแสนนาน ใจนึงผมก็ไม่อยากไปเลยเพราะรู้สึกแย่กับการที่จะไม่ได้เจอมันอีก เรียกว่ายังทำใจไม่ได้ก็ได้

แต่อีกใจนึงก็บอกกับตัวเองว่าต้องไป เพราะถ้าไม่ไปผมอาจเสียใจไปตลอดชีวิต ผมตั้งใจแล้วว่าจะบอกความรู้สึกกับมัน บอกไปว่าผมรู้สึกดีกับมันมากแค่ไหน อย่างน้อยๆ ก็ให้มันได้รับรู้ แค่รับรู้ก็ยังดี

หลังจากที่สอบเสร็จเพื่อนๆ ก็พากันแยกย้าย มีหลายคนที่เข้ามาบอกลาไอ้กล้า ทำหน้าเศร้ากันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง ที่รู้สึกเศร้าใจไม่แพ้กัน แค่คิดก็ใจหายแล้ว วันนี้เก่งกล้ามันจะไปแล้วจริงๆ และผมคงไม่มีปัญญาไปรั้งหรือห้ามอะไรได้ แม้ใจจริงอยากจะให้มันอยู่ต่อมากแค่ไหนก็ตาม

“ไปไอ้คิน ไปกินข้าวกัน แล้วไปส่งกูที่สนามบินด้วย”

เก่งกล้าที่เดินเข้ามาหาพูดขึ้น มันหันไปโบกมือลาเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเดินนำผมออกจากห้องไป ระดับมันทำข้อสอบได้สบายๆ อยู่แล้ว ส่วนผมเนี่ยสิ ถึงแม้จะได้รับการติวมาบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ทำแค่พอถูๆ ไถๆ ไปได้ ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย ที่ผ่านๆ มาก็ได้ไอ้เพื่อนคนนี้แหละที่คอยช่วยเตือนสติผมให้ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด

“ใจหายเนอะ เผลอแป๊บเดียวมึงก็จะไปแล้ว”

ผมพูดขึ้นขณะที่เราสองคนกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดิน ไอ้กล้ามันก็ยิ้มน้อยๆ แววตามันดูเศร้าๆ อย่างเห็นได้ชัด

“มึงอย่าพูดดิ กูยิ่งไม่อยากไปอยู่”

พอได้ยินแบบนี้ผมก็ต้องรีบพูดกระตุ้นมันเข้าไปมากกว่าเดิม เพราะผมเองก็อยากให้มันอยู่ต่อเหมือนกัน
 
“ก็ไม่ต้องไปดิ”

“ตลกแล้วไอ้คิน จะไปคืนนี้อยู่แล้วนะ”

“แต่ก็ยังไม่ได้ไปนี่ มึงเปลี่ยนใจยังทันนะ”

ผมบอกด้วยท่าทีที่จริงจังขึ้น เร่งฝีเท้าเพื่อเดินไปดักหน้ามันแล้วก็ถามต่ออีก

“มึงไม่ไปไม่ได้เหรอวะ”

“...”

“กูไม่อยากให้มึงไปเลย”

“กูตัดสินใจแล้วว่ะ”

สุดท้ายคำตอบของมันก็เหมือนเดิม มันตัดสินใจและคงไม่เปลี่ยนใจอีกแล้ว ผมคงจะรั้งอะไรมันไม่ได้ เลยได้แต่ยิ้มรับแล้วพยักหน้าอย่างยอมแพ้

“แต่กูจะพยายามกลับมาบ่อยๆ”

ประโยคบอกเล่าธรรมดาที่เหมือนเป็นสัญญาใจระหว่างผมกับมัน อย่างน้อยมันก็คงอยากกลับมาเจอหน้าผมบ้าง ก็ยังดี

หลังจากพากันมากินข้าวที่ร้านอาหารร้านโปรดของแม่เก่งกล้า ก็ถึงเวลาไปส่งทุกคนที่สนามบิน แม่ผมเองก็ตามมาด้วยเหมือนกัน และก็มีเพื่อนบางคนที่ค่อนข้างสนิทกันมาส่งไอ้กล้าด้วย ทุกคนยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ผมได้แต่ยืนเงียบๆ อยู่คนเดียวด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว

เมื่อไอ้กล้าจะไปอยู่แล้ว แต่ผมยังไม่ได้บอกในสิ่งที่ต้องการจะบอกกับมันเลยแม้แต่น้อย และโชคอาจเข้าข้างตรงที่จู่ๆ ไอ้กล้าก็เดินมาหาแล้วชวนผมไปห้องน้ำ มันเลยมีช่วงเวลาสั้นๆ ให้เราได้พูดคุยกันต่อ

“เออไอ้คิน กูมีอะไรจะให้มึงด้วย”

เก่งกล้าหยุดเดิน เมื่อถอดกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่แล้วล้วงอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นซองกระดาษสีน้ำตาลขนาดเอสี่ ถูกปิดผนึกอย่างดีด้วยเทปกาวสีเดียวกัน มันยื่นสิ่งนั้นส่งมาตรงหน้าผม

“อะไรวะ”

“กลับไปบ้านแล้วค่อยเปิด”

“ทำไมวะ เปิดตอนนี้เลยไม่ได้หรือไง”

ผมบอกแล้วทำท่าจะลอกเทปกาวออก แต่ไอ้กล้าก็รีบห้ามเอาไว้จนผมต้องยอมหยุดการกระทำของตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

“ไว้ค่อยเปิดทีหลังเถอะ”

มันบอกแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ผมจึงได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอก ขณะลองชูซองสีน้ำตาลนั่นส่องกับแสงไฟดู เผื่อจะเห็นอะไรลางๆ โผล่มาบ้าง แต่ซองมันก็ค่อนข้างหนาเลยไม่เห็นง่ายๆ อย่างที่คิด

“ทำอะไรของมึง”

จู่ๆ ประตูห้องน้ำที่ถูกเปิดออกตอนไหนก็ไม่รู้ และเสียงเรียกของเก่งกล้ามันทำให้ผมตกใจสะดุ้ง รีบเอามือลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนไอ้กล้าจะถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะมันไม่ได้เซ้าซี้เอาความอะไร กลับเดินไปล้างไม้ล้างมือด้วยท่าทีสบายๆ

“เดี๋ยวกูจะไปแล้วนะ”

“อืม”

“มึง...มีอะไรอยากบอกกูอีกหรือเปล่า”

คำถามนี้เหมือนกำลังเปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรก็ได้ และในเมื่อผมตั้งใจแล้วก็ต้องทำมันให้สำเร็จ ผมพยักหน้ารับแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้มันมากขึ้น อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เลยจริงๆ

“กอดทีดิ”

“ในห้องน้ำเนี่ยนะ”

เก่งกล้าถามกลับแล้วหัวเราะ โชคยังดีหน่อยที่ตอนนี้ไม่มีคน เพราะไม่อย่างนั้นผมคงจะยิ่งโคตรๆ อายน่าดู

“เออ เร็วๆ เดี๋ยวมีคนเข้ามาเห็น”

“อะไรของมึงเนี่ย แค่กอดกันต้องทำลับๆ ล่อๆ”

ถึงมันจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็แอบเห็นใบหน้ามันเริ่มเปลี่ยนสี หูนี่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะท่าทางที่ยกมือขึ้นเกาต้นคออีกด้วยล่ะ อดที่จะเข้าข้างตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ ว่ามันกำลังเขินผมอยู่

ผมไม่พูดพร่ำอะไรให้เสียเวลาอีก เดินเข้าไปใกล้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหาแล้วรั้งตัวมันเข้ามาให้อ้อมแขน กอดมันแน่นๆ พร้อมตบหลังเบาๆ

“ทำตามสัญญาของมึงด้วย”

“สัญญา...สัญญาอะไรวะ”

แม้จะไม่เห็นหน้า แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคางของเก่งกล้ากำลังเกยไหล่ตัวเองอยู่ สองมือก็กอดผมกลับหลวมๆ และเสียงของมันก็สั่นเครือกว่าปกติ ให้ทายเลยว่าตอนนี้มันต้องกำลังกลั้นน้ำตาอยู่แน่ๆ คนขี้แยร้องไห้ง่ายแบบมันมีหรือที่จะไม่ร้องในเวลาแบบนี้

เวลาสุดท้ายของการได้อยู่ด้วยกัน

“ก็ที่บอกว่าจะกลับมาบ่อยๆ ไง”

“อ๋อ กูจะพยายาม มึงก็ไปหากูบ้างสิ”

เก่งกล้าว่าแล้วก็ดันตัวออกห่างจากผม มันเดินถอยหลังไปเอนตัวพิงกับขอบเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้เห็นสีหน้าของมันชัดๆ แม้จะไม่ได้เห็นน้ำตาของไอ้กล้า แต่แค่ขอบตาแดงๆ นั่นก็บ่งบอกอะไรได้ดี

“ได้ โอนเงินค่าตั๋วมาให้กูด้วย”

ผมพูดติดตลกแล้วเดินเข้าไปหามัน เอาซองสีน้ำตาลที่ถืออยู่ในมือวางลงที่ข้างอ่างล้างมือ แล้วใช้สองแขนกางคร่อมตัวมันเอาไว้ เท้ามือลงกับขอบเคาน์เตอร์ที่มันยืนพิงอยู่ ในท่าทางแบบนั้นมันทำให้เราอยู่ใกล้ชิดกันมาก ชนิดที่ว่าถ้าใครมาเห็นเราในตอนนี้คงได้เข้าใจผิดกันไปไหนต่อไหน

“ไอ้กล้า กูถามจริงนะ”

“ถะ...ถามอะไรวะ”

“มึงคิดยังไงกับกู”

“คิดอะไร ถามอะไรของมึงเนี่ย”

เมื่อคนถูกถามทำเป็นเฉไฉไม่ยอมตอบ อีกทั้งสองมือยังส่งมาดันหน้าอกผมให้ออกห่างจากมันมากขึ้น ผมเลยต้องแกล้งทำเป็นรวบตัวกอดมันเอาไว้ในอ้อมแขน...จริงๆ ผมพอมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเก่งกล้าคงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ผมเหมือนที่ผมมีให้มันบ้างนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่แสดงท่าทีแปลกๆ หรือแอบวาดรูปผมลงสมุดเล่มนั้นหรอก

ที่สำคัญ ผมคิดว่าผมรู้ สิ่งที่มันส่งมาให้ในซองสีน้ำตาลนั่นคงไม่พ้นรูปภาพพวกนั้น มันคงตั้งใจจะให้ผมเก็บไว้

“กูรู้สึกดีกับมึงไอ้กล้า กูคิดว่ากูชอบมึง”

หลังจากสังเกตปฏิติกิริยาของเก่งกล้าแล้ว เห็นว่ามันไม่ได้ผลักไสอะไรผมจริงจังมากนัก ก็เลยตัดสินใจพูดบอกสิ่งที่อยากจะบอกกับมันไปตรงๆ และไอ้กล้าก็ทำหน้าตาตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งส่วนบนของร่างกายเราที่ค่อนข้างแนบชิดกัน มันก็ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงแรงสะเทือนบริเวณอกของอีกฝ่ายที่แรงกว่าปกติ

“มึงจะบ้าเหรอ เป็นเพื่อนกันนะเว้ย”

เพื่อนกันก็ชอบกันได้นี่หว่าไอ้กล้า…

“แล้วมึงคิดยังไงกับกู รู้สึกเหมือนกันมั้ย”

“กู...กูไม่รู้ พอเถอะ กูต้องไปแล้ว”

“แต่กูอยากรู้คำตอบ กูคิดว่ามึงรู้นะว่าตัวมึงคิดยังไง ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ทำเป็นหงอยๆ เวลาที่กูไปอยู่กับเมฆหรอกใช่มั้ย”

“กูเป็นแบบนั้นตอนไหน ก็ปกตินี่”

มันยังคงดื้อด้านปฏิเสธ ทั้งๆ ที่ตอนนี้หน้าแดงเถือกแล้วยังทำหลบตาไม่ยอมมองผมตรงๆ อีกด้วย

“แล้วที่มึงแอบวาดรูปกูล่ะ แอบชอบกูอยู่เหรอ”

พอพูดจบไอ้กล้าก็รีบเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผมทันที แม้มันจะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมก็คิดว่ามันอยากจะถามอยู่ว่า ‘รู้ได้ไง’ ก่อนที่ผมจะถามย้ำกลับไปใหม่อีกครั้ง

“มึงชอบกูบ้างมั้ยกล้า”

คำถามที่ผมคิดว่าใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบสุดๆ แต่ไม่รู้ทำไมคนฟังกลับทำหน้าเหมือนกำลังโดนดุ ถูกตวาด มันกำลังทำตาแดงจะร้องไห้ใส่ผมขึ้นมาดื้อๆ

“แล้วมันสำคัญยังไง เดี๋ยวกูก็จะไปแล้ว”

“ไปก็ไปดิ ไม่เห็นเป็นไร แต่กูอยากรู้ว่ามึงคิดยังไงกันแน่ บอกหน่อยไม่ได้หรือไงวะ”

“รู้ไปก็เท่านั้นแหละไอ้คิน สุดท้ายเราก็แยกย้ายอยู่ดี เป็นเพื่อนกันแบบนี้แหละดีแล้ว”

แล้วไอ้กล้าก็ดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ในอ้อมกอดผม มันพยายามจะดันตัวให้ออกห่าง แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เพราะรู้สึกว่ายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ผมเข้าใจในสิ่งที่มันพูดขึ้นมาทันที ไอ้กล้าคงไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี

“มึงรู้อะไรมั้ย กูเคยเล่าให้มึงฟังว่ากูฝันถึงเมฆบ่อยๆ ใช่หรือเปล่า แต่มึงรู้มั้ย ช่วงที่ผ่านมานี่กูฝันเห็นแต่มึง แค่มึงคนเดียว กูจดจำความฝันเกี่ยวกับมึงได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ปกติกูไม่เคยฝันถึงมึงเลย...และมันก็ทำให้กูเริ่มมองมึงเปลี่ยนไป กูคิดว่ากูชอบมึงว่ะ”

“มึงอินกับฝันมากไปหรือเปล่า คนที่มึงชอบอาจเป็นกูในฝัน เหมือนที่มึงชอบเมฆในฝัน...แต่เอาเข้าจริงแล้วมึงอาจไม่ได้ชอบจริงๆ ก็ได้”

ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วกับการปฏิเสธของมัน ไอ้กล้าดูจะพยายามผลักไสผมอยู่ตลอดเวลา

“ทำไมมึงเข้าใจยากวะ ชอบก็คือชอบดิ กูรู้ตัวกูอยู่ กูรู้จักมึงมานานแค่ไหนแล้วไอ้กล้า ทำไมกูจะแยกไม่ออกว่ากูคิดยังไง”

“...”

“แล้วมึงล่ะคิดยังไง”

ยังไม่ทันที่ไอ้กล้าจะได้ตอบอะไร จู่ๆ ประตูทางเข้าห้องน้ำก็ถูกเปิดออก พร้อมๆ กับการที่มีกลุ่มเด็กผู้ชายพากันเดินเข้ามาด้านใน แต่ละคนมองพวกเราตาโตจนผมต้องรีบปล่อยตัวคนในอ้อมกอดออก แล้วไอ้กล้าก็ก้าวเท้าเดินหนีออกไปข้างนอกเลย ผมจึงรีบตามออกไปโดยไม่ลืมคว้าเอาซองสีน้ำตาลนั่นติดมือมาด้วย

ไอ้เด็กบ้าพวกนี้ หมดกัน แล้วจะไปหาเวลาคุยกันได้จากที่ไหนอีกวะ

“ไอ้กล้า สรุปมึงจะบอกกูมั้ยเนี่ย มึงจะไปอยู่แล้วนะ”

ผมร้องถามขณะเดินตามคนที่เดินนำอยู่ ไอ้กล้ารีบเดินมากจนผมเองก็แทบก้าวตามไม่ทัน

“กูจะรอมึงได้มั้ย”

คำถามของผมที่ถามออกไปนั่นทำให้เก่งกล้าชะงักฝีเท้าลง มันหยุดเดินแล้วหมุนตัวกลับมาหา บอกด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจัง

“กูไม่อยากให้มึงเสียเวลา”

“ถ้างั้นกูถามใหม่ มึงจะรอกูได้มั้ย”

ในเมื่อมันไม่อยากให้ผมรอ งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายให้มันรอผมก็แล้วกัน

“หมายความว่าไง”

“แล้วมึงจะรอกูมั้ยล่ะ กูจะกลับไปตั้งใจเรียน แล้วสอบไปเรียนต่อที่อเมริกาให้ได้”

“หะ? มึงเนี่ยนะ ไปท่องเอบีซีให้คล่องก่อนเถอะไอ้คิน”

ไอ้กล้าส่ายหน้าไปมาทั้งที่ปากมันยิ้ม...และตามันแดงๆ เหมือนกำลังจะร้องไห้ ขอบตาก็รื้นด้วยน้ำใสๆ แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาจะหยดลงมา มันก็รีบยกมือปาดทิ้งซะก่อน

“แล้วมึงจะรอกูมั้ยล่ะ”

เก่งกล้านิ่งไปสักครู่หนึ่ง มันจ้องมองผมมาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนที่จะพยักหน้าแล้วโผเข้ามากอดผมไว้แน่น

“ขอบคุณมากไอ้คิน ที่มาบอกกู เพราะกูคงไม่กล้าบอกมึงก่อน…”

“บอกอะไรวะ”

ผมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว สองมือกอดตอบมันกลับไป โดยไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นเราบ้าง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ที่สำคัญ พวกแม่และเพื่อนๆ ของพวกเราก็ยืนอยู่ค่อนข้างไกล อาจไม่มีใครสังเกตก็ได้

“...ว่ามึงชอบกู”

“อ๋อเหรอ แล้วอะไรที่มึงไม่กล้าจะบอกกูก่อน”

พอถามจบ ไอ้คนที่กอดผมอยู่มันก็ซุกหน้าลงกับซอกคอผมนิ่งเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไร รอจนกระทั่งมันจะยอมพูดออกมาเอง

“กูชอบมึง…ชอบมึงเหมือนกัน”

ความรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนมันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจมันกำลังพองโตคับอก มีความสุขแบบสุดๆ และก็รู้สึกเสียใจสุดๆ ในเวลาเดียวกัน มันอาจเป็นเรื่องดีที่ใจของผมกับไอ้กล้าคิดเหมือนๆ กัน แต่บางทีเราอาจจะบอกกันและกันช้าเกินไป

“นานแค่ไหนแล้ววะ มึง...ชอบกูนานแค่ไหนแล้ว”

“ก็นานแล้วล่ะ แต่มึงไม่เคยรู้เลย”

“เออ กูมันโง่เอง”

“ใช่ มึงโง่มาก”

นาทีนี้ไม่รู้ว่าที่มันพูดคือจะหลอกด่าหรืออะไร แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะอย่างน้อยๆ ภาระกิจวันนี้ของผมก็เสร็จสิ้นแล้วจริงๆ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ที่รู้ว่าอย่างน้อยความรู้สึกของพวกเราก็ตรงกัน

“แต่ถ้ามึงรู้ก่อนหน้านี้ บางทีวันนี้เราอาจไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้”

“ทำไมวะ ก็เป็นแฟนกันไปเลยไง”

พอผมพูดจบ ไอ้กล้าก็ผละตัวออกห่างแล้วทำหน้ามุ้ยใส่เฉยเลย

“ไม่ใช่แบบนั้น ถ้ามึงรู้ว่ากูชอบ แต่มึงคิดกับกูแค่เพื่อน มึงว่าเราจะยังคบกันเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจเหรอวะ”

ก็ถูกของมัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันคงอึดอัดไม่น้อยที่ต้องมองหน้ากันแต่ความรู้สึกที่มีต่อกันมันเปลี่ยนไป ถ้าในตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรกับไอ้กล้า ผมก็คงมองมันไม่เหมือนเดิมแบบที่มันว่านั้นแหละ

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องเป็นแค่เพื่อนแล้วสิตอนนี้ มึงกับกู ไม่ต้องเป็นเพื่อนกันแล้ว”

“ไอ้คิน...มึง…”

“มึงจะให้กูบอกชอบมึง มึงบอกชอบกู...แล้วก็โอเค เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แบบนี้เหรอวะ”

ผมรีบแทรกขึ้นเมื่อไอ้กล้าทำท่าเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง ต้องรีบทำให้มันคล้อยตามโดยเร็วที่สุด ถึงแม้ผมจะรู้ผลลัพธ์ของการตัดสินใจในครั้งนี้อยู่บ้างแล้วก็ตาม สุดท้ายยังไงผมกับมันก็ต้องแยกจากกัน โดยไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนจะได้กลับมาเจอกันอีก

“กูไม่อยากให้มึงรอ...”

“กูก็ไม่เคยบอกว่าจะรอ”

เก่งกล้าหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ผมพูดจบ ดังนั้นผมจึงเอื้อมมือไปจับมือของมันเอาไว้ บีบกระชับสร้างความมั่นใจให้กันและกัน

“หน้าซีดเชียวนะมึง เสียใจเหรอ”

“เปล่า...เปล่าซะหน่อย”

ไอ้กล้ารีบลนลานตอบกลับมา มันดึงมือกลับแล้วหันหน้าหนี ท่าทางที่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่ากำลังรู้สึกไม่ดี หรือกำลังเขินผมอยู่กันแน่ แต่ผมก็ไม่อยากเสียเวลาแกล้งมันนานนัก เพราะเรามีเวลาได้อยู่ด้วยกันอีกแค่นิดเดียว ผมไม่อยากให้เวลาที่มีอยู่มันเสียเปล่า

“ที่กูบอกว่าไม่รอ เพราะมึงต้องเป็นฝ่ายรอกูไงไอ้กล้า”

“...”

“รอกูก่อนนะ อย่าเพิ่งไปชอบใคร ให้โอกาสกูก่อน”

“...”

“มึง...จะรอใช่มั้ย”

ผมถามย้ำเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบ ซ้ำสีหน้าเรียบๆ ของมันก็ทำให้ใจหายแปลกๆ ราวกับบอกว่ามันกำลังลังเล และนั่นก็ทำให้ผมกังวลใจ แต่เมื่อเก่งกล้าทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา เสียงเรียกของแม่มันก็ดังขึ้นซะก่อน ซึ่งไอ้กล้าก็หันมามองสบตาผมแวบนึง ก่อนที่มันจะหมุนตัวเดินไปหาแม่มัน

“ไอ้บ้านี่ ยังไม่ตอบคำถามกูเลยนะ”

ผมได้แต่พูดกับตัวเองเบาๆ หลังจากออกเดินตามหลังไอ้กล้าไปห่างๆ อดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้จริงๆ เมื่อเห็นว่ามันทำท่าเหมือนไม่สนใจกันแบบนี้ มันบอกชอบผม แต่ก็ไม่ทำเรื่องของเราให้ชัดเจนสักที

แล้วตกลงมันจะรอ...หรือไม่รอกันแน่วะ

เมื่อเดินกลับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่ต่างก็มาส่งครอบครัวของเก่งกล้าแล้ว ผมก็ได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ หาจังหวะเข้าไปดึงตัวเก่งกล้าออกมาไม่ได้สักที แต่ผมต้องคุยกับมันให้รู้เรื่องให้ได้ จะได้ไม่ค้างคาใจอะไรอีก ให้รู้ๆ กันไปเลยตกลงจะทำยังไงกับสถานะความสัมพันธ์ของเราต่อไป

ไอ้กล้ายิ้ม หัวเราะให้เพื่อนคนอื่น ขณะที่เวลามันสบตากับผมก็มักจะรีบหลบสายตา แล้วทำเป็นพูดโน้นพูดนี่ไปเรื่อย พอเป็นแบบนี้ผมเลยหาโอกาสแทรกตัวเข้าไปใกล้ แล้วจ้องมองมันด้วยสายตาที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม อุตส่าห์อดทนไม่โวยวายไปก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะรู้ว่าประกาศโต้งๆ ตรงๆ มีหวังคนอื่นๆ ได้ตกใจ ไม่แม่มันก็แม่ผมคงได้เป็นลมล้มพับไปก่อนแน่

และในที่สุด ความอดทนของผมมันก็สิ้นสุดลง เมื่อเห็นว่าเก่งกล้าพยายามเลี่ยงการมองมาทางผมอยู่ตลอด มันกำลังหนี...ผมไม่เข้าใจว่าจะหนีทำไม ทั้งที่ใจเราก็ตรงกัน

“ไอ้...”

ยังไม่ทันที่จะได้เรียกเก่งกล้า จู่ๆ แม่ของมันก็เรียกชื่อมันซะก่อน พร้อมกับบอกลาทุกคน พวกเขากำลังจะไปกันแล้ว...ไปแล้วจริงๆ แต่ไอ้เพื่อนเวรนั่นยังนิ่ง ไม่มาเคลียร์เรื่องที่ยังติดค้างกับผมสักที มันทำท่าจะเดินจากไปโดยไม่หันมาสนใจผมอีก

และนั่นก็ทำให้ผมตัดสินใจหมุนตัวกลับ แล้วเดินออกมาท่ามกลางเสียงเรียกของเพื่อนๆ รวมถึงแม่ด้วย คงจะงงกันไปหมดว่าผมเป็นบ้าอะไร แต่ผมไม่ได้บ้า ผมคิดดีแล้วที่เดินออกมาแบบนี้ เพราะมั่นใจว่ามันต้องมา...ไอ้กล้าต้องตามมาแน่ๆ

ทำไมยังไม่มาอีกวะ

หรือผมจะเล่นตัวมากเกินไป นี่มันจะไม่สนใจผมขนาดนี้เลยเหรอวะ

ขาที่กำลังก้าวเดินมันค่อยๆ ช้าลง และหยุดโดยอัตโนมัติ เมื่อรับรู้แล้วว่าคนที่ผมรอคอยมันไม่มีทางตามมาอย่างที่คิดเอาไว้ ได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ กระทั่งจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ ก็มีร่างสูงของใครบางคนพุ่งเข้ามาชนหลังผมอย่างแรง จนเกือบจะหน้าคะมำ

คน...ที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเมื่อตอนนี้ไอ้กล้ามันพุ่งเข้ามากอดผมไว้จากทางด้านหลัง ใจผมมันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก แค่นี้ก็ดีมากแล้วสำหรับผม แค่รู้ว่ามันห่วงความรู้สึกของผม

“อะไรอีกล่ะ ไม่รีบไปแล้วหรือไง”

ผมยังคงสวมบทคนน้อยใจต่อไปด้วยการยืนนิ่งๆ ให้มันกอดอยู่แบบนั้น โดยไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ใครจะเห็นบ้าง คนอื่นๆ จะคิดอะไรก็ช่างกับการที่เห็นผู้ชายตัวโตสองคนกอดกัน

“รีบสิวะ แต่มึงเดินหนีมาทำไมล่ะ”

“ก็มึงลีลาไม่ให้คำตอบกู จะตอบกูชาติไหน กูอยากรู้ชาตินี้”

น้ำเสียงที่พูดออกไปมันเต็มไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกแบบนั้นอยู่จริงๆ ก็ไอ้กล้ามันลีลาเยอะ จะตอบก็ไม่ตอบ ในเมื่อจะไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว…

“เออ ตอบชาตินี้แหละ”

คนที่อยู่ข้างหลังตอบเสียงอ่อน ผิดกับน้ำเสียงของผมลิบลับ พอได้ยินแล้วก็รู้สึกใจหายแปลกๆ ไม่อยากให้มันเสียใจหรือเศร้าเลยจริงๆ บางทีผมอาจพูดแรงไป

“ก็ตอบสิ กูรอมึงอยู่”

ตอนนี้ไอ้กล้าปล่อยมือออกจากเอวของผมแล้ว ผมจึงหมุนตัวหันกลับมาหามัน แล้วก็แทบช็อกเมื่อเห็นว่าข้างหลังเก่งกล้ายังมีบรรดาเพื่อนๆ และแม่ๆ ของเรายืนอยู่ไม่ไกลอีกด้วย แน่นอนว่าทุกคนคงจะได้ยินประโยคที่เราคุยกันอย่าชัดเจน

เวรแล้ว…

“กูจะรอมึงคิน...รีบๆ มาหากูนะ”

เก่งกล้าทำหน้าเหมือนเด็กน้อยที่กำลังอ้อนวอนขอให้แม่ทำอะไรสักอย่างให้ แววตาอ้อนๆ แบบนั้นมันทำให้ผมใจอ่อน แต่ก็ขัดใจแปลกๆ เมื่อมองผ่านไหล่มันไปแล้วเห็นคนอื่นๆ มองมาเป็นตาเดียว หูผึ่งราวกับจะฟังต่อ บางคนก็เริ่มเอ่ยแซวให้ไอ้กล้ารีบหันขวับไปมองด้วยท่าทางที่ดูตกใจ เพราะดูเหมือนมันจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน

“ได้ กูจะรีบไปหามึง”

ผมดึงตัวมันให้หันกลับมาหาอีกครั้ง พยายามไม่สนใจคนอื่นที่มองมาอยู่ พูดด้วยท่าทางปกติให้ดูเหมือนเพื่อนกันทั่วไป แต่พอเห็นหน้าแดงๆ ของอีกฝ่าย ผมก็อยากจะก้มลงไปจูบมันแรงๆ สักที แต่ก็เกรงใจผู้ใหญ่และคนอื่นๆ ที่เดินผ่านกันไปมา สุดท้ายเลยได้แต่เอามือวางลงบนหัวของมันแล้วขยี้ผมเบาๆ

“ไปได้แล้วไป เดี๋ยวตกเครื่องกันพอดี…”

“อือ”

“อ่อ แล้วไอ้นี่ ขอบคุณนะ”

ผมชูซองในมือให้กับเจ้าของมันดู นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณมันเลย และไอ้กล้าก็พยักหน้ารับด้วยท่าทีอายๆ

เมื่อเห็นว่าทำมันเสียเวลามาพอสมควรแล้ว และตอนนี้สิ่งที่ติดค้างในใจก็ได้รับการปลดปล่อย ผมจึงดันไอ้กล้าให้หมุนตัวกลับไปแล้วบอกลากับแม่ของมันอีกครั้ง แค่มองตาก็รู้ว่าแม่มันอยากจะพูดอะไร แต่ด้วยเพราะต้องรีบ เลยเอ่ยขอตัวแล้วคว้าเอาแขนลูกชายตัวเองให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว

และพอสองคนนั้นเดินหายลับสายตาไป คนอื่นๆ ก็พากันกรูเข้ามาหาแล้วถามซักไซร้ผมเป็นการใหญ่ ซึ่งผมก็ทำเพียงยักไหล่โดยไม่พูดอะไรให้มากความ แม้แต่แม่ก็เถอะ ผมรู้ว่าแม่ดูออก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะแม่เองก็เอ็นดูไอ้กล้ามันพอสมควร

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความอะไรบางอย่าง แล้วส่งไปให้กับหมายเลขปลายทาง ซึ่งรอเพียงไม่นานก็มีข้อความจากอีกฝ่ายตอบกลับมา เป็นข้อความที่อ่านแล้วถึงกับหุบยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ วินาทีนี้ใครจะว่าบ้าก็ว่าเถอะ ผมไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังมีความสุข...กับคนที่เรียกว่า ‘แฟน’

คนที่ส่งข้อความมาย้ำหนักย้ำหนาว่าจะรอผม และห้ามให้ผมผิดสัญญาที่ว่าจะไปหามัน ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องทำตามที่ตัวเองพูดเอาไว้แล้วล่ะ

ระหว่างนี้ ผมได้แต่หวังว่าจะไม่ฝันถึงไอ้กล้าอีก ไม่อยากจะคิดถึงมันมากจนทรมานเกินไป...เพราะความฝันกับความจริงนั้นแตกต่างกันลิบลับ อะไรที่มันง่ายได้ดั่งใจคิดในความฝัน แต่ในโลกของความเป็นจริงแล้วมันไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว ต่อให้ผมควมคุมมันได้ยังไงก็ตาม สุดท้ายฝันก็คือฝัน แต่ก็ช่างมันเถอะ...เพราะในตอนนี้

ฝันของผม...ฝันของผมกับไอ้กล้า มันได้กลายเป็นจริงแล้ว

เรื่องของเรา...ไม่ได้เป็นแค่ฝันอีกต่อไปแล้ว


The End

++++++++++++++++++++++++++
จบค่ะ จุดจบที่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านจ้า ^^
:bye2:

-    ฝากติชมกันได้นะคะ จะได้นำไปพัฒนาปรับปรุงแก้ไขต่อไป
     อ่านทวนเอง กับคนอื่นอ่าน ความรู้สึกตอนอ่านมันก็ต่างกันไป
     แนะนำได้นะจ๊ะ อิอิ  :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2016 18:53:16 โดย แมวสีส้ม. »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #6 เมื่อ20-03-2016 22:51:36 »

ไว้กล้ากลับมาหาแฟนตัวเองนะ ;)


(ตอนแรกนึกว่าจะ sad ending แต่จบแบบนี้ก็ฟิน)


ขอบคุณมากนะค้า

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #7 เมื่อ20-03-2016 22:58:51 »

 :pig4:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #8 เมื่อ21-03-2016 18:44:48 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PingPong_Hunlay

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #9 เมื่อ22-03-2016 01:01:42 »

 :-[ :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
« ตอบ #9 เมื่อ: 22-03-2016 01:01:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #10 เมื่อ22-03-2016 10:10:03 »

 :ling2:ฟินมากมายก่ายกองง มีความสุข คินนี่ฝันปนความจริงเละเทะเลยนะเนี่ยย ฝันจนเพ้ออ่ะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่กล้าไม่อยู่จะมโนอะไรอีก

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #11 เมื่อ22-03-2016 12:31:36 »

ฝันที่เป็นจริง... o13

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #12 เมื่อ24-03-2016 23:30:51 »

กล้าน่ารักกกกกก  :mew1:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: [เรื่องสั้น] D r e a m i n g ❤ L o v e [END]
«ตอบ #13 เมื่อ02-04-2016 23:28:54 »

กล้าน่ารักอ่ะ หุๆๆๆ :impress2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด