พวกเรานอนด้วยกัน แต่ไม่ได้กอดกันเพราะนายยังยุกยิกไม่เป็นสุก เลยแค่แตะนิ้วเหมือนตอนป่วย ให้อารมณ์เหมือนเด็กวัยรุ่นมากกว่าคนยี่สิบตอนปลายกับคนแก่สี่สิบต้นๆ
พวกเราไม่ได้พูดเรื่องความสัมพันธ์ว่าตกลงจะคบ หรือไม่คบ ผมกับนายพอใจกับสถานะในตอนนี้และต่างรู้ดีแก่ใจเกินกว่าจะเอ่ยออกมาซึ่งหน้า เพราะจะให้เรียกว่าแฟนเหมือนวัยรุ่นก็คงไม่ใช่ เรียกผัวเมียยิ่งแล้วใหญ่ ผมกับเขาอายุรวมกันปาไปเกือบแปดสิบปี ไม่มีอารมณ์มาจำกัดความแบบนั้นหรอก
แค่เขาเปิดใจให้ผมก็พอแล้ว
“ก่อนอื่นก็เรื่องคีย์การ์ด...แกมีอะไรจะสารภาพมั้ย” นายในชุดคลุมอาบน้ำนั่งไขว่ห้างถามบนโซฟา มือหนึ่งถือแก้วไวน์ที่ผมช่วยรินให้อย่างรู้ใจ
“ผมแค่อยากเข้าไปในเขตของคุณ” ผมพูดพลางวางขวดไวน์ในถังน้ำแข็ง ถ้าเป็นปกติคงหาที่ทางให้ตัวเองไม่ขัดตานาย แต่ในตอนนี้...ผมถือแก้วไวน์อีกแก้ว แล้วนั่งลงข้างๆ เขา “คุณก็รู้...ผมไม่ใช่คนใสซื่อที่จะทำตามคำสั่ง ผมเองก็มีสิทธิ์มีความต้องการที่อยากจะครอบครองและเข้าหาคุณเหมือนกัน”
ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
เพราะนายคงไม่พอใจนักหากผมทำตัวไม่รู้ไม่ชี้อีก
“แกมันไอ้บ้า”
“ผมบ้าแต่ก็รู้จักขอบแขต ไม่คิดสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ ผมคิดได้ว่าต้องวางตัวยังไง” ผมเสริมต่อ ฟังจากเสียงครางในลำคอของนายแล้ว คาดว่าเขาเองก็ยอมรับในความจริงข้อนี้ที่หาไม่ได้จากคู่นอนคนอื่น
“มีอะไรที่แกแอบทำอะไรลับหลังฉันอีกมั้ย”
“เรื่องพัทร”
ผมสารภาพ ยังไงนายก็รู้อยู่แล้วว่าผมกับพัทรร่วมมือกัน
“แล้วก็...” ผมลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมาดีกว่าผิดใจกันภายหลัง “เรื่องนี้”
ผมหยิบคีย์การ์ดใบที่สามจากกระเป๋ากางเกงส่งให้นาย แน่นอนว่าวูบแรกเขาแทบจะพ่นไฟใส่ผมผ่านแววตา แก้วไวน์ยกสูงคล้ายจะสาดใส่ ผมเตรียมหลับตา แต่รอแล้วรอเล่าเขาก็ไม่ทำ
“แกมันยิ่งกว่าบ้า”
เขาคล้ายจะปลงกับนิสัยพิลึกๆ ของผมแล้ว
นายกระดกไวน์ขึ้นดับอารมณ์ร้อนๆ ให้สงบลง เห็นอย่างนั้นผมก็รีบเอาใจ สลับแก้วของตัวเองที่ยกดื่มเพียงจิบเดียวแลกกับแก้วที่ว่างเปล่าของเขา
เขาชะงักไปวูบหนึ่ง นายไม่ชอบใช้ของร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะกับที่ใช้งานไปแล้ว แต่พอเห็นผมเลิกคิ้วท้าทาย เขาก็รับไปถือเอาไว้และยกจรดปากซ้ำรอยเดิมอย่างไม่ลังเล แถมยังแลบลิ้นเลียริมฝีปากอีกต่างหาก
ท่าทางนั้นเซ็กซี่อย่างร้ายกาจจนใจกระตุก
“ผมอยากเข้าหาคุณ และเป็นห่วงคุณ นี่เป็นวิธีเดียวที่นึกออกว่าจะเจอคุณได้ยังไง” ผมสารภาพเสียงอ่อน จ้องนายตาไม่กะพริบ “ผมยอมให้คุณด่าดีกว่าไม่ได้พบคุณอีก”
ช่างเป็นประโยคหวานเลี่ยนอะไรขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากของนายเอกภพ ขนาดนายยังขยับตัวเหมือนขนลุกเฮือกๆ แต่ก็เหมือนเดิม เขาชินซะแล้ว ต่อให้ผมทำอะไรแผลงๆ ลุกขึ้นมาร้องเพลงโดยไม่สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจจนเกินไป นายก็พร้อมจะรับฟัง
“จัดการซะ”
ผมรับคีย์การ์ดจากนายแล้วหักทิ้งทันที
เสียงดัง ‘เปาะ’ นั้นชวนให้วูบโหวงในท้องอยู่ไม่น้อย แต่ผมไม่มีอะไรต้องกลัวในเมื่อพวกเราตกลงกันแล้วว่าจะสานสัมพันธ์ต่อแม้จะไม่มีเรื่องควีนเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม
ผมอยากถามเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ทันเอ่ย นายก็โยนของสิ่งหนึ่งให้ผม
เป็นคีย์การ์ดใบที่สองที่ควรจะโดนทิ้งถังขยะไปแล้ว
“เก็บเอาไว้”
“นาย...” ผมมองเขาอึ้งๆ ที่มั่นใจว่าใช่ใบเจ้าปัญหาก็เพราะว่ามันยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจางๆ อยู่เลย ถึงว่าสินายรีบโยนให้ผมนัก แถมยังหันไปเช็ดมือกับกระดาษทิชชูอีกต่างหาก
“ฉันไม่อยากเสี่ยงกับวิธีการบ้าๆ บอๆ ของแกอีก เก็บไว้ซะ” นายเอ่ยเสียงดุ พูดรัวเร็วราวกับกลัวว่าผมแย้งขึ้นมา “แต่แกห้ามเข้าห้องโดยพละการ ถ้าจะทำอะไรต้องบอกล่วงหน้า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉันก็อย่าคิดว่าจะใช้มันเด็ดขาด”
ผมแทบจะหูทวนลมไปแล้ว คาดไม่ถึงว่านายจะยอมให้ถึงขนาดนี้
แต่อันที่จริง...เขาก็ยอมผมตั้งแต่ในห้องน้ำแล้วนี่หว่า
ในลำคอรู้สึกกระหายอย่างบอกไม่ถูก ผมเหลือบมองนายด้วยสายตาต้องการ ชั่งใจคิดว่าผมกลายเป็นคนหื่นกามตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่เพิ่งมีเซ็กซ์กันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนแท้ๆ แต่ดูเหมือนน้องชายผมจะตื่นตัวเร็วซะเหลือเกิน
ใจเย็นๆ ไว้...เรายังเคลียร์กันไม่จบ
“เรื่องของพัทร...”
“ฉันไม่เคยพิศวาสเด็กนั่นอยู่แล้ว” นายจิบไวน์อย่างสบายอกสบายใจ แต่เขาจับประเด็นผิดไป ผมไม่ได้หมายถึงพัทรคนเดียว แต่หมายถึงคู่นอนของเขาทุกคนต่างหาก
“คุณมีผมแล้ว คุณจะหาคนอื่นมานอนด้วยอีกมั้ย”
สายตาของผมเข้มขึ้นเมื่อเห็นนายชะงัก คล้ายยังไม่ทันฉุกคิดเรื่องนี้
“นาย...” ผมลากเสียงเรียบ ถึงสถานะของเราจะไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ก้าวข้ามไปยังเส้นแบ่งระหว่างคู่รักแล้ว และการจะเป็นคนรักกัน ก็ควรจะซื่อสัตย์ไม่นอกใจหรือนอกกายกันไม่ใช่รึไง
“อย่าเข้าใจผิด ฉันยังมีอิสระตามที่ฉันต้องการ” นายชี้นิ้วปรามผมทันทีเมื่อเห็นบรรยากาศกดต่ำ “แกไม่มีส่วนมาทำให้ชีวิตของฉันถูกจำกัดหรือก้าวก่ายใดๆ ทั้งสิ้น”
ผมรับฟังเงียบๆ แต่แย่งแก้วไวน์ของเขามาถือไว้พลางเอื้อมจับต้นขานายพลางบีบเบาๆ
“แต่...” นายวางมือทาบกับผม “ถ้าฉันนอนหลับทุกคืน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาคู่นอนคนอื่น แกเข้าใจความหมายฉันใช่มั้ย”
ไม่รู้ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าวันนี้นายเสน่ห์แรงเป็นบ้า
ช่วงล่างปวดหนึบๆ อย่างน่าอดสู แต่ยังไม่เสร็จธุระเลยต้องทนต่อไป
“สรุปแล้ววันนี้คุณกับควีนพูดอะไรกัน”
“อย่าถามเหมือนฉันเป็นนักโทษของแก เอกภพ” นายบิดเนื้อหลังมือผมทันที เล่นเอาสะดุ้งถดตัวผละออกมาแทบไม่ทัน เขายกยิ้ม แย่งแก้วไวน์คืนพลางยกจิบ ดูอารมณ์ดีเมื่อเห็นผมสบถอุบ
โอเค ผมอาจจะได้ใจไปหน่อย งั้นเอาใหม่แล้วกัน
“คุณกับควีน...จบด้วยดีใช่มั้ย” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่คุกคามเท่าก่อนหน้านี้ นายหลุบตาต่ำ กัดปลายแก้วน้อยๆ เป็นท่าทางที่เขามักเผลอทำเวลาลำบากใจ
“ก็ถือว่าดี...”
“เล่าให้ผมฟังได้มั้ย” ผมตัดสินใจเอ่ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป คนอย่างนายคาดเค้นให้ตายก็ไม่มีวันได้ผลหรอก แต่ต้องคอยตะล่อมให้เขาวางใจต่างหาก
“แกรู้เรื่องแม่ของนิลกาฬสินะ”
ผมพยักหน้ารับ แม่ของควีนกำลังป่วยเลยอยากเจอลูกชายเพียงคนเดียวหลังทอดทิ้งมาหลายปี
“นิลกาฬบอกว่าเขาไม่ยกโทษให้แม่ แต่เขารักเธอ” นายเอ่ยพลางแค่นยิ้มหึ แต่ดวงตากลับแฝงความเศร้าหมอง เป็นอีกครั้งที่เขาเผยความอ่อนแอออกมา ซึ่งทุกครั้งล้วนเป็นเรื่องของควีน “ส่วนฉัน...เขาบอกว่าจะยกโทษให้ แต่ไม่มีวัน...รัก”
มือของนายสั่นน้อยๆ เขาคงกลั้นใจมากกว่าจะเอ่ยคำนั้นออกมา
ทั้งที่รู้อยู่แล้ว...ทั้งที่ไม่เคยคาดหวัง แต่พอหวนนึกก็อดจะปวดใจไม่ได้
ผมเข้าใจทันทีว่าทำไมนายถึงยอมผมง่ายขนาดนี้...เรื่องของเราเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ผมคิดซะด้วยซ้ำ ปัจจัยหลักไม่ใช่อะไรเลย ควีน...เป็นคนเร่งปฏิกิริยานั้น คำที่บอกว่าไม่รัก ทำให้นายเจ็บปวด แม้เขาจะหวั่นไหวกับผมอยู่แล้ว แต่การตกลงปลงใจในทันทีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนอย่างนาย นอกจากว่าจะถูกความจริงปาใส่หน้า และมีผมเพียงคนเดียวที่จะช่วยพยุงเขาให้ข้ามผ่านความร้าวรานนี้ไปได้
มีผมแค่คนเดียว...
“เอก?” นายอุทานเมื่อถูกผมแย่งแก้วไปถืออีกครั้ง ก่อนจะหุบปากฉับเมื่อเห็นผมยกไวน์ขึ้นกระดกจนหมดตัดโอกาสไม่ให้เขาแย่งคืนไปอีก ผมวางแก้วว่างเปล่าไว้ที่โต๊ะข้างโซฟา ก่อนจะเสยผมปรกตาขึ้นเพื่อมองนายให้ชัดๆ
พร้อมคลี่ยิ้มออกมา
“คุณมีอิสระตามต้องการ ผมเองก็เหมือนกัน ผมยังซื่อสัตย์ต่อคุณ อยากเอาใจคุณ แต่ก็แสดงความรู้สึกอย่างอื่นได้เหมือนกันสินะ”
“พล่ามอะไรของแก” นายมองรอยยิ้มของผมด้วยสายตาไม่วางใจ
ท่าทางนั้นยิ่งชวนให้ช่วงล่างปวดหนึบไปกันใหญ่ ผมโน้มตัวลงเพื่อจูบเขา แต่นายขืนตัวน้อยๆ เหมือนยังปรับอารมณ์ไม่ทัน ผมเลยผละออกมาเล็กน้อย เปลี่ยนไปกระซิบข้างหูเสียงเบา
“ผม ‘หึง’ คุณได้แล้วใช่มั้ย”
นายเบิกตากว้าง ไม่ทันตอบเขาก็โดนผมจูบอีกครั้ง พร้อมกับร่างที่ถูกดันจนแนบติดโซฟา
ผมค่อยๆ แหวกสาบเสื้อชุดคลุมอาบน้ำอย่างเชื่องช้า นายหลับตา จูบตอบอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน แต่ไม่ทันที่ผมจะสอดแทรกตัวเองเข้าไป เขาก็ใช้เท้าถีบยอดอกจนผมหงายหลังตึง ต้องสะบัดหัวเรียกสติอยู่สักพักกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถุงยางล่ะ”
“ใช้หมดตั้งแต่ที่โรงพยาบาลแล้ว”
นายฉีกยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คล้ายแสยะเย้ยหยันมากกว่า
“ฉันจะไปทำงาน”
“เดี๋ยวสิคุณ...”
ผมอ้าปากค้าง รีบคว้าแขนนายที่ลุกหนีอย่างรวดเร็ว
“เอก” นายหันมาดันอกผม ซ้ำรอยกับที่โดนถีบจนช้ำ “แกมีอิสระที่จะทำอะไรมากขึ้น อยากหึงก็ตามใจ แต่แกห้ามมีเซ็กซ์กับฉันโดยไม่ป้องกัน ฉันไม่อยากติดโรคตาย”
ผมเหวอมาก อยากจะสวนกลับเป็นบ้าว่าผมควรกลัวติดโรคจากเขามากกว่ามั้ย แต่เพื่อไม่ให้ทำร้ายจิตใจคนแก่ ผมเลยแตะข้อศอกนายเบาๆ พลางเอ่ยถามแกมชักชวน
“งั้นพรุ่งนี้ไปตรวจเลือดด้วยกันนะครับ”
นายตวัดตาค้อนขวับทันที
“แกไม่ไว้ใจฉัน”
เอ้า ขนาดคุณยังไม่ไว้ใจผมเลย แล้วผมจะไว้ใจคุณได้ยังไงล่ะผมได้แต่คิดในใจ
“นับจากนี้เราจะเท่าเทียมกัน...ไม่ถูกหรือครับ”
นายนิ่งไปครู่นิ่ง แต่ก็ยอมพยักหน้ารับอย่างหงุดหงิดแกมไม่พอใจ
เห็นแบบนั้นผมก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกับกอดเอวเขาไว้หลวมๆ อย่างที่ปกติไม่มีทางได้ทำเด็ดขาด
เพราะผมไม่ใช่หมาน้อยคอยเลียแข้งเลียขาเขาอีกแล้ว
และเขาเองก็ไม่ใช่เจ้านาย
แต่จะเป็นเพียง ‘นาย’ ของผมเพียงคนเดียว
---------
ขึ้นเอนด์เครดิต ขอบคุณทุกท่านที่ตามมาถึงตอนจบของเรื่องนี้...ซะที่ไหนล่ะ!
ยังไม่จบค่ะ พี่เอกกับนายเพิ่งคบกันเอง สถานะของทั้งคู่เป็นประเภทมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน มากกว่าแฟนแต่ไม่ใช่คนรัก แต่ก็ถือว่าพิเศษมากๆ สำหรับทั้งคู่ที่ยังไม่เคยมีคนจริงจังหรือคบหาโดยไม่ต้องไปบังคับใครที่ไหน
ว่าแต่จะไปรอดหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป...
ปล.หลังจากนั้นสมถุยก็ลาออกจากคลับเพราะไม่กล้าสู้หน้าพี่เอก //ขึ้นเครดิตนักแสดงรับเชิญพร้อมคำอำลา
‘ลาก่อนนะสมถุย พวกเราจะจดจำนายตลอดไป’
เพจนักเขียนที่สงสารความเปิ่นของนาย จำใครผิดไม่ว่าดันมาสลับกับสมถุย!