ตอนที่ 8 : ความแตก
เกือบไปแล้วผมคิดระหว่างปล่อยให้คุณหมอเย็บแผลกรีดยาวอย่างน่ากลัวบนมือขวาข้างถนัด อันที่จริงในสถานการณ์นั้นจับข้อมือสมยศแล้วแย่งมาก็ยังได้ แต่ผมกลับเลือกที่จะใช้มือไปรับ โดนนายด่าว่าโง่ก็สมควรแล้ว
“เอ่อ...เจ็บเหรอคะ”
ผมหันมาโบกมืออย่างไม่ถือสากับคุณหมอที่มองผมด้วยสายตาแปลกๆ คงเพราะเปลี่ยนสีหน้าไปมาละมั้ง ไอ้เจ็บน่ะเจ็บอยู่หรอก แต่พอโดนยาชาเข้าไปก็แทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว ผมยังจำได้เลยว่าหลังขึ้นรถตำรวจมาพร้อมกับนายเพื่อมุ่งตรงมาโรงพยาบาล เขามองแผลที่มือผมแล้วทำหน้าแหยงขนาดไหน
ถ้าแค่จับคงไม่ลึกขนาดนี้ แต่ผมดันกระชากมีดออกจากสมยศตรงๆ ก็เลยยิ่งกรีดขวางจนหมอบอกว่าถ้ากำแรงกว่านี้นิ้วอาจจะขาดได้
อืม...ไม่หรอกน่า ผมกะแรงไว้แล้วนี่
ครับ คนถนัดใช้กำลังอย่างผมจะทำอะไรที่หวานเลี่ยนอย่างกับละครน้ำเน่าด้วยการเอามือไปกันให้นายโดยไม่หวังผลได้ยังไง แม้แผลจะลึกกว่าที่คิด แต่ก็ไม่นับว่านักหนา ผู้ชายไม่กลัวเรื่องแผลเป็นน่าเกลียด และยิ่งไปกว่านั้น...การหาข้ออ้างดีๆ ในการลาหยุดที่คลับก็เห็นจะมีแต่การทำให้ตัวเองเจ็บตัว ตอนนี้น่ะเป็นช่วงเวลากอบโกยล้วนๆ ผมจะปล่อยนายให้หนีหายจนต้องเสนอหน้ามาหาเองอย่างก่อนหน้านี้ได้ยังไง
ถึงจะรู้สึกผิดกับบอสนิดหน่อยที่ต้องอู้งาน แต่คลับก็ไม่ถึงกับทำอะไรไม่ได้หากขาดอัศวินไปสักสองสามวัน
ผมน่ะทำเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว ขอทำตามใจตัวเองบ้างก็แล้วกัน
“เสร็จแล้วค่ะ เอ่อ จะให้อธิบายการดูแลแผลเลยมั้ยคะ”
คงเพราะผมเอาแต่มองออกไปนอกห้อง คุณหมอก็เลยถามขึ้นมา
“เดี๋ยวผมเข้ามาฟังได้มั้ย”
“เอ่อ...ตามสบายเลยค่ะ ถ้าไม่สะดวกถามกับพยาบาลเอาก็ได้”
“ขอบคุณครับ”
ผมยกมือข้างที่ถูกพันแผลแน่นหนาแล้วลอบยิ้มจนคุณหมอแอบลูบไหล่เหมือนขนลุกวาบๆ สงสัยจะแสดงสีหน้ามากไปหน่อย แต่พอออกไปหานายที่ถูกตำรวจสอบปากคำอยู่ที่ห้องถัดไป ผมก็แสร้งทำเป็นห่วงเป็นใยเหมือนคนที่รักเขาจนยอมทิ้งแม้กระทั่งชีวิตตัวเอง
ใช่ ผมรักเขา แต่ก็ไม่ขนาดเอาชีวิตไปทิ้งอย่างไร้ค่าหรอกนะ
นายเองก็มองผมพลางคิ้วขมวด คงจะนึกสยองกับท่าทางเกินจริงของผม แต่ก็ปฏิเสธไม่ออกเมื่อผมถือวิสาสะนั่งข้างๆ
“สอบปากคำเสร็จแล้วเหรอครับ”
ผมหันไปถามนายตำรวจที่พอคุ้นหน้าด้วยรอยยิ้มใสซื่อเหมือนพลเมืองดีคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ทั้งที่ความจริงแล้ว...ผมเป็นคนรวบรวมตำรวจกลุ่มนี้บุกไปช่วยนาย
แม้จะทำงานที่คลับ แต่แท้จริงแล้วผมมีเส้นสายกับตำรวจ ไม่ถึงกับติดต่อได้เองโดยตรงหรอก ผมเพียงโทรศัพท์หาคนรู้จักท่านหนึ่ง และท่านผู้นั้นก็โทรศัพท์หาตำรวจในพื้นที่ จากนั้นทุกอย่างก็ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย
“อ่า...เสร็จแล้วครับ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมอย่าลืมมาให้ข้อมูลที่สถานีนะครับคุณนราธิป”
นายพยักหน้าส่งๆ ขณะที่ตำรวจคนนั้นรีบเก็บสมุดจดและเดินจากไปราวรู้ตัวว่าถูกผมไล่อ้อมๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใคร ใหญ่โตจากไหนหรอก แต่คำสั่งจากเบื้องบนที่ให้คอยช่วยเหลือผมนั้นทำให้ตำรวจชั้นน้อยไม่กล้าขัดผมสักเท่าไหร่ ยิ่งเห็นคนบ้าคนหนึ่งกระโจนเข้าไปอย่างไม่กลัวตายทั้งที่ช่วยยิงสกัดสมยศจนเสียจังหวะด้วยแล้ว
...ก็ใครจะยอมให้เขาเอาความดีความชอบไปกันล่ะถ้าสมยศโดนยิงตายก่อนที่ผมจะกระโดดเข้าไปช่วย นายคงไม่หันมามองผมด้วยสายตาที่เป็นห่วงแต่ไม่แสดงออกอย่างนี้หรอก
อะไรนะ แล้วทำไมถึงกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้?
อย่าลืมสิ ผมเป็นอัศวินแห่งคิงส์คลับนะ ปืนผาหน้าไม้ก็เคยเจอมาหมดแล้ว กับอีแค่คนถือมีดเล็กๆ อันเดียว ผมจะกลัวทำไม
“แกมาได้ยังไง”
“คุณไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมสามวันแล้วนี่ครับ” ผมยิ้มบาง “ผมเป็นห่วงกลัวคุณจะเกิดเรื่อง ก็เลยขอลางานกับบอสและนั่งรถตู้มาถึงเมื่อเช้า ทันเห็นคุณชนะคดีด้วยนะ”
นายมองผมเหวอๆ เขาคงไม่สังเกตเห็นผม แน่ล่ะ จะไปเห็นได้ยังไงในเมื่อผมแอบมองจากตึกอีกฝาก
“ตอนเย็นผมตั้งใจจะชวนคุณไปดื่ม คุณก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก ผมเลยไปหาคุณที่ห้อง แต่เคาะเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดจนต้องเรียกพนักงานขึ้นมาดู พอเห็นคุณทิ้งโทรศัพท์ไว้ไม่ยอมกลับมาสักที ผมจึงตัดสินใจแจ้งความ”
“ทั้งที่ฉันหายไม่ถึงสองชั่วโมงเนี่ยนะ”
“ผมมีเส้นสายนิดหน่อย” แม้อยากจะปิด แต่ในเมื่อทุกอย่างส่อพิรุธขนาดนี้ ผมก็ไม่คิดจะโกหกคนหัวไวอย่างนาย “อาศัยเส้นจากคนรู้จัก ถามหาคุณตามบาร์ใกล้ๆ โรงแรมเลยเจอเบาะแสได้ไม่ยาก”
นิสัยชอบควงคู่นอนของนายเป็นที่รู้กันทั่วโดยไม่ต้องเดาเลย
“ยังดีที่ตามมาทัน” ผมมองนายด้วยสายตาลึกซึ้ง ในใจนึกเป็นห่วงจริงๆ “วันหลังคุณก็อย่าใจร้ายกับผมนักเลย”
พูดจบผมก็หยิบโทรศัพท์ของนายที่เอาติดตัวมาด้วยวางบนมือของเขา จะบอกว่าครั้งนี้หวุดหวิดก็ไม่เชิง เพราะที่ผมตามเจอเร็วขนาดนี้ก็เพราะ...ข้อมูลของสมยศน่ะถูกผมสืบมาหมดก่อนจะเดินทางมาหานายที่เพชรบูรณ์ซะอีก!
เรื่องบ้านเก่าของนายที่ถูกซื้อต่อไปก็ไม่มีทางยกเว้น ฉะนั้นพอนายหายไป ที่แรกที่ผมตามหาจึงเป็นบริษัทเก่าของเขา ส่วนที่ที่สองก็คือบ้านหลังนั้นนั่นเอง
นายรับโทรศัพท์คืนไปโดยไม่พูดตอบอะไร แต่การที่คนถือทิฐิอย่างเขายอมสงบปาก ก็ไม่ต่างกับการตกลงกรายๆ
นับจากนี้หากเขาจะเมินสายจากผมก็คงต้องคิดหนักซะแล้วล่ะ
“กลับโรงแรมกันเถอะครับนาย คืนนี้เจออะไรมาเยอะแล้ว”
ผมลุกขึ้น พร้อมกับส่งมือซ้ายให้เขา
“แล้วแกพักที่ไหน”
นายคิ้วขมวดเมื่อเห็นผมทำท่าเหมือนว่าจะกลับไปพร้อมกัน
“ความจริงผมจองโรงแรมเล็กๆ เอาไว้ เอ่อ...ควรเรียกว่าเป็นห้องพักชั่วคราวแบบราคาถูกจะดีกว่า”
“งั้น...”
“แต่ในสถานการณ์แบบนี้คุณคงจะหาคู่นอนที่ทำตัวว่าง่ายไม่ทัน ผมเลยจะสละตัวเอง” ผมพูดด้วยรอยยิ้มกึ่งขบขัน “ไม่ต้องห่วงหรอกครับนาย ผมเองก็บาดเจ็บ จะนอนนิ่งหลับเป็นตายข้างๆ คุณอย่างดีเลย”
เป็นข้อเสนอที่น่าฟังและได้เปรียบทั้งสองฝ่าย
จึงไม่แปลกที่นายจะจับมือซ้ายผม ไปจัดการค่ารักษา และพากันออกไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้าเพื่อกลับโรงแรม
พอกลับมาถึงนายยังไม่วายรักสะอาด แทนที่จะนอนหลับพักผ่อน กลับเดินเข้าห้องน้ำก่อนซะอย่างนั้น
“แกเองก็ด้วย”
เขาไม่มีวันกอดหมอนข้างสกปรกที่เลอะคราบเลือดแน่ๆ
ผมได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ จะอ้อนให้นายช่วยอาบเพราะเจ็บมือก็ทำไม่ได้ ในเมื่อเขาดันนั่งรอตาจะปิดอย่างน่าสงสารจนตีเนียนไม่ลง
ผมรีบอาบน้ำอย่างทุลักทุเล ใส่แต่กางเกงสามส่วนตัวในเดินเปลือยอก พอออกมาอีกทีนายก็นอนหลับปุ๋ยบนเตียงไปแล้ว
ถึงจะไม่มีคู่นอน แต่ความตึงเครียดและความอ่อนล้าก็จู่โจมนายอย่างอยู่หมัด
ผมจัดท่าทางของเขาให้อยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะแนบฝีปากเบาๆ ตรงรอยข่วนเล็กๆ บนหน้าอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
“ราตรีสวัสดิ์ครับนาย”
ตื่นเช้ามาก็อย่างที่คาด นายอารมณ์เสียฟึดฟัด ปัดแขนผมทิ้ง
แต่วันนี้ต่างจากทุกวัน
“โอ๊ย!”
เพราะผมมีแผลที่มือ แถมยังเป็นแผลที่แลกมาจากการช่วยชีวิตเขาซะด้วยสิ
นายที่อ้าปากไปแล้วเปลี่ยนมาเม้มปาก มองผมที่สะดุ้งตื่นมากุมมือขวาด้วยท่าทางไปไม่เป็น คนรักแต่ตัวเองอย่างนายคงจะทำตัวไม่ค่อยถูกกับการเป็นห่วงคนอื่นนัก โดยเฉพาะกับคนที่มีสถานะไม่ค่อยชัดเจนอย่างผม
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ” ผมรีบทำกลบเกลื่อนแม้จะกุมมือขวาไว้ พยายามทำให้เขาที่ตีหน้าเครียดสบายใจ “หิวแล้วใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทา...ไม่สิ ตอนนี้เราอยู่ในโรงแรมนี่นา”
ผมหัวเราะแห้งๆ ตีมึน ก่อนจะถามในเรื่องที่อยากรู้อย่างแนบเนียน
“คุณจะกลับกรุงเทพวันไหน”
“วันนี้” นายตอบ “แกล่ะ”
“ผมมาเพราะคุณ คุณกลับ ผมก็ไม่มีความจำเป็นต่ออยู่ต่อ” พูดจบผมก็ลุกจากเตียง “คุณมีเสื้อให้ยืมมั้ย ผมไม่ได้เตรียมชุดมาด้วย จะให้นั่งรถตู้กลับโดยใส่เสื้อตัวเมื่อวานคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“งั้นก็กลับกับฉันสิ”
“ครับ?”
“ฉันบอกให้แกกลับกับฉัน จะไปไม่ไป?”
“ไปครับไป” ผมรีบพยักหน้ารับ “ผมไม่ความจำเป็นต้องปฏิเสธคุณนี่นา”
นายสะบัดหน้าหนี ไม่ยอมมองท่าทางดีใจของผมแล้วชิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อน
ผมหัวเราะเบาๆ บนเตียงขณะเอนหลังพิงหมอนอย่างสบายใจ
กลทรมานตนนี่เข้าท่ากว่าที่คิดแฮะ
ก่อนกลับนายพาผมมาล้างแผลที่โรงพยาบาลก่อนเพราะกลัวติดเชื้อ เขาคงเพิ่งได้ว่าเมื่อปล่อยให้ผมอาบน้ำทั้งที่ไม่ควรให้แผลโดนน้ำ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดเขาเป็นคนออกอย่างใจป้ำ และผมก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ให้เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบก็ดีแล้ว
ก่อนกลับผมจงใจบอกให้คุณหมอพูดเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาแผลให้นายฟังไปพร้อมๆ กัน แม้นายจะทำหน้ายู่เหมือนไม่สนใจ แต่ก็คงจะจดจำได้ทั้งหมด
จากนั้นผมก็เป็นตุ๊กตาหน้ารถที่ดี นั่งเจ็บมือข้างๆ นายจนถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
ตอนแรกนายจะไล่ผมกลับบ้านตัวเอง แต่พอเห็นผมทำเป็นหลับอย่างอ่อนเพลียตอนมาถึงคอนโดของเขา ก็เลยอนุญาตให้ขึ้นมานอนพักบนห้องชั่วคราว
“แกตัวร้อน”
แผลที่มือคงอักเสบจนไข้ขึ้น มิน่าล่ะรู้สึกสมองเฉื่อยกว่าเดิมชอบกล
ผมเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดคลุมอาบน้ำขณะที่นายเดินวนรอบห้องแล้วสบถพึมพำ
“ถ้าหายาแก้ไข้ละก็...ผมย้ายที่เก็บไว้ที่ห้องครัว ไว้ในที่ชื้นอย่างในห้องน้ำมันไม่ดีนะคุณ”
นายเงยหน้ามองผมอย่างหงุดหงิดที่ย้ายของโดยไม่บอก แถมยังรู้ทันว่าเขากำลังทำอะไรอีกต่างหาก
“งั้นก็ไปจัดการเอาเองแล้วกัน”
นายเดินหนีไปเปิดโน๊ตบุ๊คเพื่อเช็คงาน ดูจากที่เปลี่ยนเป็นชุดลำลองสบายๆ แล้ววันนี้คงตั้งใจพักผ่อนกับห้อง คนทิฐิสูงอย่างนาย...ไม่มีวันบากหน้าเอาศีรษะที่มีผ้าพันแผล และรอยข่วนที่ข้างแก้มเหมือนโดนฟาดไปให้ใครเห็นแล้วซุบซิบนินทาหรอก
เข้าทางผมอีกครั้ง
ผมกินยาแก้ไข้พร้อมยาฆ่าเชื้อ ความจริงไม่ต้องให้นายเดินหาหมอก็ให้ยาพวกนี้กับผมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่นายคงไม่ทันสังเกต เขาโยนเงินให้โครมเดียวก็ถือว่าจบเรื่องจบราว ส่วนเรื่องตัดไหมหมอบอกว่าต้องใช้เวลาสักสัปดาห์ แต่เพราะถูกเย็บที่ฝ่ามือซึ่งต้องขยับอยู่บ่อยๆ อาจต้องเว้นสักสิบวันเพื่อให้แผลสนิทกันดี
วันนี้คงต้องเข้าคลับไปลางานกับบอสสักอาทิตย์...
ตอนนี้เพิ่งจะบ่ายโมงเท่านั้น ก่อนเข้ามาที่คอนโดพวกเราแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อน ผมตัดสินใจใช้ความปรารถนาดีของนายในการเดินเข้าไปนอนในห้องของเขาตามคำเชิญ เพราะชักรู้สึกง่วงซึมขึ้นมาจริงๆ
ก่อนปิดประตูผมมองนายที่ก้มหน้าก้มตาคุยโทรศัพท์โดยที่สายตาไม่ละไปจากจอโน๊ตบุ๊คด้วยความรู้สึกเสียดาย อยากจะใช้เวลานี้สานสัมพันธ์เพิ่มขึ้นสักหน่อย แต่สุดท้ายก็หันไปทิ้งตัวนอน สูดกลิ่นหอมบนหมอนของนาย
แล้วก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ปกติแล้วเวลาอยู่ในห้องของนาย ผมมักจะตื่นตัวทุกครั้ง
หากเขาขยับตัวผมจะรู้ เวลาตื่นนอนสบถอะไรก็รู้หมด เผลอละเมอเรียกชื่อคู่นอนผมยังรู้เลย แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมหลับสนิทเหมือนตาย
ฉะนั้นตอนตื่นมาแล้วเห็นนายนั่งทำงานอยู่ข้างๆ ผมเลยตกใจมากจนเผลอสะดุ้งเฮือก
“อะไรของแก” นายหันมาขมวดคิ้วใส่ คงประหลาดใจพอกันที่จู่ๆ ผมก็ทำหน้าตกอกตกใจอย่างกับเห็นผี...ต้องเข้าใจกันหน่อยว่าเวลาอยู่กับเขาสมองผมจะทำงานไม่หยุด คอยระวังตัวเองไม่ให้หลุดมาดแสนเชื่อง แต่โดนฤทธิ์ยาเข้าไปอะไรๆ ก็เหมือนจะไม่ค่อยเป็นไปตามต้องการสักเท่าไหร่
ผมรีบตีหน้ายิ้มเป็นปกติ แซวนายแก้เก้อ
“ทำไมถึงมาอยู่ในห้องละคุณ”
“เปลืองแอร์”
...คนที่ใช้เงินเป็นน้ำอย่างไม่เสียดายแบบนายเนี่ยนะคิดประหยัดไฟ?
ผมมองนายที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์โต้ตอบแชทในโน๊ตบุ๊คแล้วนึกขัน เขายังคงปากแข็งไม่เปลี่ยน
“จะไปไหน”
แถมยังถามโดยไม่มองอีกต่างหาก
“คืนนี้ผมต้องเข้าคลับไปขอลาป่วยกับบอส”
“โทรไปลาไม่ได้รึไง” คราวนี้นายหันมาจ้องตาอย่างสงสัยจริงๆ แต่ก็เป็นฝ่ายหลบตาหนีไปซะก่อน...เห็นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้ๆ รู้สึกว่าวันนี้ไม่ใช่แค่ผมที่ควบคุมตัวไม่ได้ดีอย่างเคย นายเองก็มีบางอย่างที่แปลกไป
หรือว่าไอ้การยอมบาดเจ็บของผมครั้งนี้จะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีให้นายติดเบ็ดเข้าอย่างจัง!?
บอกตามตรงว่าผมไม่ได้หวังสูงขนาดนั้น อย่างน้อยแค่ให้เขายอมอ่อนกับผมสักอาทิตย์ก็พอใจแล้ว
“ครั้งนี้ผมต้องลาหลายวัน...อาจจะเป็นอาทิตย์ ผมเลยอยากเข้าไปฝากงานลูกน้องก่อน ไม่งั้นคงไม่วางใจ” พูดจบผมก็หยุดชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา “และผมต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้านก่อนด้วย...ที่นี่ไม่มีชุดให้เปลี่ยน ผมคงใส่แต่เสื้อคลุมอยู่อย่างนี้ทั้งวันไม่ได้”
“งั้นก็ตามใจ”
...ไม่ติดกับแฮะ ตอนแรกผมคิดว่าถ้านายรู้สึกอะไรกับผมจริงๆ จะต้องบอกให้เอาเสื้อมาติดไว้ในห้องสักสองสามชุดตามจุดประสงค์หลักซะอีก
แต่กลายเป็นว่าผมหงายไพ่เร็วเกินไป นอกจากจะผิดหวัง ยังหาจังหวะพูดขออีกครั้งยากกว่าเดิม
เอาเถอะ...ไว้ค่อยคิดวิธีอื่นแล้วกัน
ผมรู้สึกปวดหัวหนึบๆ เลยใช้สมองได้ไม่ฉับไวเหมือนเคย พอเห็นนายไร้เยื่อใยก็รีบเปลี่ยนเป็นเสื้อเปื้อนเลือดตั้งใจเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ตอนออกมาเขาไม่แม้แต่จะอาสาไปส่งซะด้วยซ้ำ
ผมไม่เซ้าซี้ เพราะก่อนจะมาถึงกรุงเทพผมก็เล่นกลทรมานตนไปมากแล้ว หากใช้มุกซ้ำๆ จะกลายเป็นน่ารำคาญซะมากกว่า ทางที่ดีก็คือปล่อยนายไว้สักพัก...ยิ่งฝืนรุกเข้าหามีแต่จะทำให้แผนเสียเหมือนเมื่อครู่
ครั้งก่อนนายหายไปหลายวัน แต่ครั้งนี้...
ผมมองผ้าพันแผลที่มือตัวเอง
...ครั้งนี้เขาจะไม่ติดต่อผมได้นานแค่ไหนกันนะ
...อยากจะรู้จริงๆหลังกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องเช่าของตัวเอง ผมก็โบกแท็กซี่ไปที่คลับเพราะขับมอเตอร์ไซค์ไม่ไหว
กว่ามาถึงหน้าผับก็ปาไปเกือบหกโมงกว่าๆ แล้ว แอบได้ยินเสียงท้องร้องประท้วงเบาๆ แต่ยังไม่อยากกินข้าวเพราะกลัวกินยาแล้วจะรู้สึกง่วงอีก ก็เลยยอมอดอาหารมาสะสางเรื่องราวที่คลับให้เรียบร้อย แล้วค่อยกลับไปนอนพักผ่อนเป็นตายสักคืน
“อ้าว พี่เอก”
กร บิชอปที่อายุน้อยที่สุดของคลับวิ่งออกมาหาระหว่างที่ผมกำลังเกาหัวยุ่งๆ เพราะนับเงินถอนแล้วไม่ครบ สงสัยแท็กซี่คันเมื่อกี้จะหยิบสลับระหว่างแบงค์ยี่สิบกับแบงค์ห้าสิบ ไม่ก็จงใจโกง เฮ้อ...วันนี้ดวงไม่ค่อยดีเอาซะเลย เสียไต๋ให้นายไปก็แล้ว ยังต้องเสียเงินอีก หวังว่าจะไม่มีอะไรให้ตั้งตัวไม่ติดอีกหรอกนะ
“ทำไมเข้าทางหน้าร้านละครั...” กรเงียบเพราะเห็นผ้าพันแผลที่มือของผม เป็นอันตอบคำถามทั้งหมดทั้งหมดว่าทำไมถึงไม่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดที่หลังร้านเหมือนเคย “บอสเข้าร้านแล้วนะพี่ จะไปพบเลยมั้ย”
สมเป็นบิชอป แค่มองก็รู้ว่าวันนี้ผมมีธุระกับบอส
“อืม” ผมพยักหน้ารับ ไหนๆ ก็ลงหน้าร้านแล้วเลยตัดสินใจเดินเข้าจากทางผับไปพร้อมๆ กับกร เพราะที่ชั้นสองของผับซึ่งเป็นโซนส่วนตัวแยกสัดส่วนด้วยโซฟารูปตัวแอลนั้นยังไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไหร่ และด้านในสุดจะเป็นประตูเชื่อมไปออฟฟิศของบอส เหมือนกับที่ชั้นสองของคลับซึ่งสามารถเดินทะลุไปมาได้
“บอสครับ ผมเอก สะดวกมั้ยครับ”
“เข้ามา” เสียงตวัดห้วนดุของบอสทำให้ผมกับกรมองหน้ากันอย่างสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี แต่พอเปิดเข้าไปก็พบสาเหตุที่บอสนั่งกุมขมับอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เพราะข้างๆ นั้นว่างเปล่าไร้วี่แววของควีน...เนื่องจากคนรักเอาแต่จ้อกับเรืออีกคนของคลับอย่างสนุกปากไม่ยอมเว้นจังหวะให้ใครพูดแทรกสักนิด
“แล้วก็นะพี่หมอบ จากนั้นก็...อ้าว พี่เอก! ผมกำลังพูดถึงพี่พอดีเลย!”
คิ้วกระตุกยิกๆ
“มีอะไรเหรอครับควีน” ผม ‘จำใจ’ เดินเข้าไปหาควีนที่กวักมือเรียกด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างน่าขนลุกตรงโซฟาสำหรับนั่งเล่น ห่างจากโต๊ะทำงานหลายสิบก้าว บอสถอนหายใจเฮือก คงนึกระอากับท่าทางระริกระรี้ของควีนไม่ต่างกัน แต่ก็ห้ามไม่ไหว
แล้วผม...จะรอดมั้ย
เอกภพถึงคราต้องเหงื่อตกจริงๆ ซะแล้วสิ
“เอกบาดเจ็บมานี่ นั่งก่อนเถอะ หน้าซีดเชียว”
“ขอบคุณครับ” ผมนั่งลงตามคำเชิญของหมอบ...เรือหรือหุ้นส่วนสำคัญของคิงส์คลับซึ่งมีหน้าที่ดูแลฝั่งผับโดยเฉพาะ ภายนอกเขาดูเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเขาก็...ก็ไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ แต่ความจืดจางก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ทำให้ทุกคนเห็นแล้วรู้สึกสบายใจ
“อ้าวเบอร์หนึ่ง มาทำหน้าเป็นอะไรตรงนี้ ชิ้วๆ เกะกะจริง” ควีนหันไปโบกมือไล่กรที่เดินตามมานั่งข้างๆ ผมได้เนียนสุดๆ
“ให้ผมร่วมด้วยสิครับควีน” รอยยิ้มพริ้มเพราไร้พิษภัยของกรบ่งบอกว่าแม้จะไม่ถาม แต่อันที่จริงแล้วเจ้าตัวน่ะอยากรู้เรื่องผมแบบสุดๆ เห็นแล้วผมก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ บิชอปประกบหมากตัวควีนอย่างกร...มีนิสัยสอดรู้สอดเห็นเหมือนเจ้าของจริงๆ
“งั้นก็ได้”
ควีน...ไล่ไปหน่อยก็ดีนะครับ
“นี่ๆ พี่เอก เล่าหน่อยสิว่าวีรกรรมเมื่อคืนที่พี่ไปก่อน่ะเป็นยังไง ผมรู้แค่นายโดนจับ แล้วพี่ก็เอาตำรวจไปบุก ตอนนี้สมยศติดคุกหัวโตรอขึ้นศาลตัดสินโทษ ทั้งพี่ทั้งนายเข้าโรงพยาบาลทั้งคู่แล้วก็กลับกรุงเทพตอนเช้า เล่าให้ผมฟังหน่อยสิพี่!”
...ควีนก็เล่าแต่ต้นจนจบไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ!ผมแสนจะอ่อนอกอ่อนใจ พอมองไปทางบอสอย่างขอความช่วยเหลือ บอสก็...ก็แสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องส่วนตัวใดๆ ของสมาชิก แตกต่างกับควีนที่ยังจ้อไม่หยุดอย่างลิบลับ
“พี่เอกนะพี่เอก ทำเป็นบอกว่าไม่เคยเจอนาย แต่เล่นลางานไปฟังคดีของนายแต่หัววันแล้วยังทำวีรกรรมเป็นฮีโร่ช่วยตัวประกันอย่างนี้มันตลบหลังผมชัดๆ ผมโกรธมากนะพี่ ถ้าไม่อยากให้ผมโมโหกว่านี้พี่ต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมด ห้ามอิดออดเด็ดขาด! ผมนั่งจินตนาการว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่หมอบจนเหนื่อยแล้วเนี่ย!”
ซวย ซวยจริงๆลืมได้ยังไงนะว่าคุณน้าของควีนก็มาดูผลตัดสินของนายในตอนเช้า ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นก็คงจะรู้ทั่วไปทั้งจังหวัด ตำรวจเล่นขับรถไปเป็นฝูงอย่างเอิกเกริกซะขนาดนี้
“ก็ตามที่ควีนรู้มานั่นแหละครั...”
“อย่าทำไก๋นะพี่!” ควีนชี้หน้าผมอย่างรู้ทันว่าจะโดนตัดบท “ถ้าไม่เล่า...เบอร์หนึ่ง จับตัวพี่เอก!”
กรเหวอ ผมเองก็เหวอ แต่บิชอปคนสนิทของควีนก็ทำตามคำสั่งโดยสัญชาตญาณ ถ้าไม่ติดว่ายังมึนงงด้วยฤทธิ์ไข้ผมคงไม่พลาดท่าขนาดนี้ เพราะขณะที่หันไปต่อกรกับบิชอป ควีนก็แอบเอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ผมไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าไม่เล่า...ผมจะโทรหานายตอนนี้ล่ะ!”
ดูจากสีหน้ายิ้มเยาะอย่างเหนือกว่า เชื่อว่าควีนคงรู้หมดแล้วว่าผมกับนายแอบติดต่อกัน ไม่งั้นผมจะตามไปช่วยเขาทำไม แถมยังลางานไปด้วย ฉะนั้นพอควีนทำท่าจะกดเปิดโทรศัพท์ ผมก็ร้อนตัวจนรีบสารภาพออกมาหมดเปลือก
ติดกับดักควีนอีกแล้ว
ควีนและบอสรู้อยู่แล้วว่าผมมีเส้นสายกับตำรวจ ตอนเล่าว่าติดต่อขอกำลังเสริมไปช่วยนายจึงไม่ค่อยแปลกใจนัก มีแต่หมอบกับกรที่ยังไม่รู้เรื่องซึ่งทำหน้านิ่งแม้ความจริงอยากรู้ใจจะขาด แต่ในเมื่อควีนไม่ถาม เลยไม่กล้าซักผมจนหนักเกินไป
“ผมจับมีดที่กำลังจะแทงนาย แล้วเขวี้ยงทิ้ง ตำรวจเลยเข้ามารวบตัวสมยศ ส่วนผมกับนายก็ไปโรงพยาบาลกัน อย่างที่ควีนได้ยินได้ฟังนั่นแหละครับ”
เล่าจบผมก็รู้สึกเหนื่อยใจชอบกล สู้อุตส่าห์เหวี่ยงแหดักนายทุกทาง ดันมาตายม้าตื้นที่ควีนซะนี่ โดนล้วงไปขนาดนี้แม้จะข้ามเรื่องความสัมพันธ์ แต่จากสายตาล้อเลียนตอนผมเล่าว่าบาดเจ็บเพราะนาย ควีนก็คงเดาได้แล้วว่าทำไมผมต้องปิดบังเรื่องนี้กับเขา
“พี่เอก พี่ชอบนายเหรอ”
ผมให้ความเงียบเป็นคำตอบ ส่วนควีนอ้าปากค้าง
“พี่ชอบนายจริงๆ เหรอ!”
ผมเงียบอีก
“แล้ว...นายล่ะ ชอบพี่รึเปล่า” ควีนถามเสียงสั่นอย่างลุ้นระทึก ไม่รู้ว่าลุ้นให้ผมสมหวังหรือผิดหวังกันแน่ เพราะเขากับนายก็ใช่ว่าจะมีความทรงจำที่ดี
ผมยิ้มขื่นให้คาดเดาเอาเอง
“ไม่เป็นไรนะพี่ นายก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ เอาแต่ใจจะตาย” ควีนตบไหล่ผมด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ “งั้นที่พี่ไม่ยอมติดต่อนายให้ผมก็เพราะว่ากำลังหาข้ออ้างจีบนายอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ครับ...”
“ไม่ต้องห่วงพี่เอก”
ไอ้บอกว่าไม่ต้องห่วงนี่ล่ะน่าเป็นห่วงที่สุด!
“ผมจะช่วยพี่เอง!”
“ควีน” ผมถอนหายใจเฮือก เหลือบมองบอสอีกครั้ง เมื่อเห็นบอสไม่มีท่าทีจะเข้ามายุ่งจริงๆ ผมก็หันมาพูดอย่างจริงจังกับควีนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ผมขอละ...ให้ผมจัดการเองเถอะครับ”
“แต่...”
“นะครับควีน” ผมจ้องแบบไม่ยอมกะพริบตา ตั้งใจว่าไม่ให้เขาปฏิเสธเด็ดขาด
อาจจะเสียมารบาทไปบ้าง แต่ไม่ว่ายังไง...
ผมก็ไม่มีวันยอมให้คิวปิดนิลกาฬคนนี้เข้ามาป่วนแน่นอน!
----------
พี่เอกนี่แพ้ทางน้องนิลจริงๆ แพ้หนักมากด้วย แต่จะโทษพี่แกก็ไม่ได้ เพราะในคลับถ้าไม่นับคิงภาคองค์บอสเข้าสิงจนโหดเกินจะรับ ควีนก็เป็นคนทรงอำนาจที่สุดแล้ว 555
ปล.อันนี้ท่านที่อ่านคิงส์คลับคงรู้กันอยู่แล้ว พี่เอกเป็นสายตำรวจที่แฝงมาในคลับ ถูกน้องนิลเปิดโปงไปครั้งหนึ่งด้วยความผิดแผนแบบกลับตาลปัตรมาก พี่แกเลยหวั่นๆ น้องตั้งแต่ตอนนั้นยันตอนนี้ (ฮา) และนี่เป็นอีกสาเหตุว่าทำไมพี่เอกถึงเนียนได้เนียนดี ก็พี่แกเล่นหลอกคนทั้งคลับมาแล้ว!
เพจนักเขียนที่สงสารพี่เอกแต่ก็รักนิลกาฬที่สุด!