‘นาย’ Part 1
ผมถูกกำหนดให้เป็นผู้แพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นศาล
ทุกคนต่างเฝ้าคอยรอให้จนมุม จำนนต่อหลักฐาน โดยเฉพาะเพื่อนสนิทที่ร่วมเปิดบริษัทด้วยกัน แลกเปลี่ยนความเชื่อใจกัน ก็ยังมองผมอย่างผู้ชนะ
แต่ในนาทีต่อมา...
เขาก็ต้องพึงสังวรว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ชนะ
ผมไม่เคยเชื่อใจใคร ยิ่งกับเพื่อนที่ตกลงร่วมทุนกันเปิดบริษัทเพื่อผลประโยชน์ หาวิธีโกงเงินจากลูกค้า แล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไม่มีทางหรอกที่ผมจะเชื่อใจคนแบบนี้ คนที่กับบริษัทในมือตัวเองยังโกงกินได้อย่างไม่อาย
พูดแล้วก็เหมือนเข้าตัวเอง แต่แล้วยังไงล่ะ ผมก็เป็นแบบนี้แต่แรก
...เป็นมาตั้งแต่แรก
“นราธิป!”
หลังจบศาล สมยศก็ปราดเข้ามาหาผมด้วยสายตาแค้นเคือง แต่ก็ถูกทนายรั้งเอาไว้เพราะจะโดนฟ้องข้อหาข่มขู่และทำร้ายร่างกายเอาได้ ตอนนี้ผมไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบ ถูกไล่ต้อนอีกแล้ว
แต่เป็นเขาต่างหาก
“โชคดีแล้วกันเพื่อน” ผมแค่นยิ้มเหยียด สมยศไม่เคยเรียกชื่อเล่นผม คงเพราะกลัวว่าจะเป็นการยกย่องเทิดทูนเป็นเจ้านาย แต่การที่เขาเรียกชื่อจริงผมทั้งที่คบกันมานาน ก็เป็นสิ่งยืนยันว่าคิดไม่ซื่อแต่แรก
แล้วคนที่ระวังตัวเองดีอย่างผม...จะพลาดท่ากับไอ้หมอนี่ได้ยังไง
ตอนเปิดบริษัท พวกเราตกลงแลกเปลี่ยนเอกสารหลักฐานการทุจริตไว้คนละชุด นอกนั้นก็ทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้มีใครหักหลังใคร ไม่รู้หรอกนะว่าสมยศไปได้ข่าวจากไหนว่าเอกสารที่ผมเก็บไว้หายไปแล้ว ถึงได้หยิบเอาส่วนของตัวเองที่ควรจะเก็บรักษาอย่างดีมาฟ้องร้องผม
และนั่นก็เป็นการกระทำที่ผิดมหันต์
ผมไม่เคยเชื่อใจใคร เปิดใจให้ใคร ย่อมไม่แปลกหากมีการเตรียมตัวไว้พร้อม แสร้งทำเป็นจนมุม แต่ลับหลังค่อยๆ ทำลายรากฐานของสมยศ ถึงจะน่าเสียดายอยู่บ้างเพราะบริษัทนี้ถึงเป็นการตั้งตัวแรกเริ่มของผม แต่เมื่อผมไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีใครได้ไป
ระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผมปฏิเสธข้อกล่าวหาของศาล โดยอ้างว่าเอกสารนั้นเป็นการปลอมแปลงเพื่อยื้อคดี คือช่วงเวลาที่ผมลอบปล่อยข่าวเสียๆ หายๆ กับบริษัท เมื่อมีประวัติครั้งหนึ่งลูกค้าย่อมไม่ไว้วางใจ ยิ่งเป็นประวัติการโกง...พวกเขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าสมยศนั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์? เจ้าของสองคน คนหนึ่งจะสะอาดสะอ้าน ขณะที่อีกคนอับเฉางั้นเหรอ
ไม่มีทางซะหรอก
แม้จะไม่มีหลักฐาน แต่การบอกข้อมูลทีละเล็กน้อยให้ลูกค้าได้ฉุกคิดและทบทวนการทำงานตลอดหลายปีก็ทำให้พวกเขาวิเคราะห์ได้เองว่าสมควรจะร่วมงานกับบริษัทนี้อีกหรือไม่ แล้วยังพวกพนักงาน...ที่ผมลอบจ่ายเงินชดเชยเป็นจำนวนมากเพื่อให้พวกเขาลาออก ผมถนัดใช้เงินแก้ปัญหาเสมอ และส่วนใหญ่ก็มักจะได้ผล
ความแตกต่างระหว่างสมยศกับผม คือเขาไม่กล้าได้กล้าเสีย ไม่ใจเด็ดพอ
สมยศเอาแต่มองหลักฐานในชั้นศาลว่าผมต้องเป็นล้ม โดยไม่มองรอบข้างว่าความจริงแล้วใครกันแน่ที่กำลังจะล้ม
ยังไงก็ตาม...คดีอาญาไม่อาจถอนฟ้อง แม้ว่าตัวบริษัทของสมยศนั้นแทบจะคงอยู่ด้วยตัวเองไม่ได้แล้วก็ตาม สมยศยังคงเกาะเกี่ยวความหวังแห่งชัยชนะ โดยเฉพาะในวันนี้ วันที่ผมยากจะปฏิเสธอีกครั้งหากไม่มีหลักฐานมาอ้างอิงในคำโต้เถียงบนชั้นศาล
...แล้วใครว่าผมไม่มีกันล่ะ?
วินาทีที่ผมนำเอกสารตัวจริงที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลบางส่วนจากผิดเป็นถูก เก็บซ่อนไว้ในตู้เซฟไม่เคยห่างจากตัวมาเปรียบเทียบกับเอกสารที่สมยศถือครอง สีหน้าของเขาก็คล้ายกับโลกพังทลายตรงนั้น
เป็นอะไรที่สาแก่ใจ
เขาใช้อะไรคิดว่าผมจะยอมยกจุดอ่อนให้คนอื่นถือครองตั้งหลายปี สิ่งที่ผมแลกเปลี่ยนกับเขาเป็นแค่การปลอมแปลงที่แนบเนียนมากๆ และทิ้งข้อตำหนิไว้ก็เท่านั้น ตอนนั้นสมยศคงไม่คิดว่าผมจะซ้อนแผนตั้งแต่แรก ถึงได้วางใจ และคิดว่าตนเป็นฝ่ายได้ชัยมาตลอด
ทั้งที่ความจริงแล้ว...เขาแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้ทันได้ยื่นฟ้องซะด้วยซ้ำ!
คดีอาญาไม่อาจถอนฟ้อง แต่หากหลักฐานที่นำมานั้นใช้ไม่ได้ ผมก็กลายเป็นฝ่ายฟ้องสมยศกลับ ด้วยข้อหาการปลอมแปลงเอกสารที่ไม่ว่ายังไงก็ดิ้นไม่หลุด ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายถือหลักฐานตัวปลอมให้ทุกคนเห็นเป็นเดือนๆ จะพลิกลิ้นยังไงก็ไม่มีใครเชื่อ
จึงไม่แปลกหากตอนเดินออกจากศาล เขาจะทำหน้าเหมือนอยากฆ่าผมมากขนาดนี้
บริษัทกำลังล้มละลาย หรือต่อให้เขาพยายามประคับประคอง ก็ไม่มีทางกลับมาเฟื่องฟูได้เหมือนเดิม ยิ่งเมื่อตัวเขาเองโดนผมฟ้องกลับ จะมีลูกค้าคนไหนเชื่อคำพกลมของเขาอีกล่ะ ถ้าจะโทษก็โทษที่ความประมาทซะเถอะ
คิดว่าตัวเองถือก้อนทอง แต่ความจริงเป็นแค่ก้อนหินที่ถ่วงแข้งขาต่างหาก!
ผมเดินขึ้นรถเฟอรารี่สีแดงอย่างอารมณ์ดีที่จบเรื่องคาราคาซังไร้สาระพรรค์นี้สักที ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ค่อนข้างคุ้นหน้าดี...คนที่อุปการะนิลกาฬ หนึ่งในผู้ให้ความช่วยเหลือตอนเขาหนีไปจากผมยืนรอผลตัดสินของศาลอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าเธอตั้งใจมาซ้ำเติม หรือคาดหวังอะไรกับคดีฉาวครั้งนี้ของผมกันแน่
แต่ถ้าเธอรู้...นิลกาฬก็ต้องรู้
ผมหรี่ตา ในใจสับสนและปั่นป่วน นิลกาฬคือรักครั้งแรก เป็นรักฝังใจ เข้าขั้นหลงใหลและบ้าคลั่ง ตัวผมนั้นไม่เคยเชื่อใจใคร ฉะนั้นการมีคนที่รักสักคนจึงมีแต่ความหวาดระแวงว่าเขาจะหลบหนี และตัดสินใจกักขังคนคนนั้นเอาไว้ในปราสาทที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด แต่ภายใต้รอยยิ้มยินดี กลับแอบซ่อนความเกลียดชังเอาไว้ จนตอนนี้ผมก็ยังไม่ลืมว่าช่วงเวลาที่เขาหลบหนีมาพึ่งพิงผู้หญิงคนนี้ ยืนประกาศกร้าวต่อหน้าผมว่าทุกอย่างเป็นเพียงการเสแสร้ง เขาทำหน้าโล่งใจขนาดไหน
นั่นคงเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ผมลิ้มรสความพ่ายแพ้
มันน่าอับอาย และไม่อยากนึกถึง ผมตัดสินใจถอยให้ห่างจากนิลกาฬ ปลุกปลอบใจตัวเองได้ด้วยเซ็กซ์ที่สามารถหาคู่นอนวัยเดียวกับเขาได้ไม่ยาก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน...ที่ผมไม่สามารถนอนหลับไปโดยปราศจากสิ่งเหล่านั้น เพียงพริบตาที่ต้องนอนเหงาคนเดียว ภาพตอนกลับมาแล้วพบว่านิลกาฬหายตัวไป มันจะย้อนกลับมาทำร้ายผม
ความรู้สึกของการถูกทิ้งที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากยอมรับ
มันทำให้ผมยิ่งกลัวการผูกมัด เปลี่ยนคู่นอนแทบไม่ซ้ำวันเพื่อจะได้ไม่เกิดการยึดติด คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเสมออย่างผม มองทุกสิ่งอย่างด้วยสายตาหยามเหยียด ไม่มีทางที่จะเป็นคนน่าสมเพชทั้งที่ตัวเองคิดดูถูกยิ่งกว่าใคร
ผมใช้ชีวิตอย่างนั้นอยู่หลายปี จนกระทั่งคิดว่าคงทำใจได้แล้ว ฟ้าก็ส่งให้ผมพบกับนิลกาฬอีกครั้ง
และนั่นก็ทำให้ผมสำนึกได้ว่าความจริงแล้วผมไม่เคยลืมเขาจากใจได้เลย
แต่ไม่ใช่ความรักหลงใหลอย่างเมื่อก่อน
‘ฉันเคยรักเขา’นั่นเป็นคำที่ผมเคยตอบออกไป
‘แล้วตอนนี้ล่ะ’
‘คงจะเป็น...ความรู้สึกผิด...’ ...ผมไม่สามารถอธิบายว่าสรุปแล้วต้องการอะไรกับการเจอกันอีกครั้งกับนิลกาฬ ผมรู้แค่ว่าไม่อยากให้เขาหายไปเสียเฉยๆ และทำเป็นไม่เคยรู้จักกันอีกก็เท่านั้น แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเขาคงจะรังเกียจ ไม่อยากเห็นหน้าผมที่เปรียบเสมือนช่วงเวลาแห่งฝันร้ายของเขา
แต่ผมก็ยัง...ดันทุรัง
นึกแล้วก็ขำชะมัด คนอย่างนราธิป...ผู้เป็นใหญ่เหนือหมู่คนกลับต้องตามง้องอนเด็กคนหนึ่ง
‘ถ้าเจอควีน คุณจะพูดอะไร’ เด็กที่ตอนนี้เป็นควีนของคิงส์คลับ มีคนรักปกป้องหวงแหน อยู่คนละโลกกับผมโดยสิ้นเชิง
‘ขอความเห็นใจหรือขอคืนดี’ขอความเห็นใจ? กับเรื่องอะไรล่ะ แล้วถ้าขอคืนดี...หึ พวกเราไม่เคยคบกันด้วยซ้ำ
ผมถึงตอบคำถามนั้นไม่ได้...ตอบคำถามกับ ‘เอก’ ไม่ได้!
รถเฟอรารี่เลี้ยวเข้าจอดในโรงแรมสี่ดาวซึ่งหรูที่สุดในจังหวัด เดิมทีผมมีบ้านที่นี่ เพราะบริษัทหลักที่เริ่มก่อตั้งอยู่ในจังหวัดนี้ แต่พอสมยศทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมา ผมก็ไม่เสียดายที่จะขายบ้านทิ้งแล้วย้ายไปอยู่ในกรุงเทพซึ่งสะดวกในการขยับขยายธุรกิจกว่ามาก ปล่อยให้สมยศคิดว่าเป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในจังหวัดไป หมอนั่นมันก็โลกแคบแบบนี้ ผมไม่มีวันเลือกคนที่ฉลาดกว่าตัวเองมาร่วมงานด้วยหรอก
หลังขึ้นห้องผมก็เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คที่พกมาด้วยเพื่อเช็คงานที่วางแผนลงทุนและเปิดใหม่ในเร็วๆ นี้ ถ้าเป็นอย่างที่คาดไว้ก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกับที่สมยศขึ้นศาลครั้งแรกในข้อหาปลอมแปลงเอกสารพอดิบพอดี ถือว่าเป็นช่วงมีโชคลาภโดยแท้
หลังตอบอีเมลเสร็จผมก็เหลือบมองโทรศัพท์ที่สั่นมาสักพัก ปลายสายคือเอก...อัศวินแห่งคิงส์คลับที่จนตอนนี้ก็ยังไม่วางใจเต็มร้อย เรื่องของเราเริ่มต้นจากความผิดพลาดยามอ่อนแอของผม...จะว่ายังไงดีล่ะ เรื่องของนิลกาฬเป็นเสมือนเรื่องต้องห้ามที่ไม่มีวันให้ใครล่วงรู้เป็นอันขาด แต่เมื่อมีคนขุดคุ้ยขึ้นมา แถมยังรู้ดีโดยไม่ต้องบอกกล่าว สิ่งที่เก็บกลั้นในใจมาเนิ่นนานก็คล้ายจะล้นทะลักจนต้องหาที่ระบาย และจะเป็นใครอื่นไปได้หากไม่ใช่คนคนนั้นที่ทำเป็นรู้ทันไปหมด
ผมไม่ชอบให้คนฉลาดอยู่ใกล้ตัว แต่เอกเป็นข้อยกเว้น และยิ่งเขาทำเหมือนชอบผม ยอมลงให้ผมทั้งที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด แล้วยังเอาใจ ตามใจ เอาใจใส่ จึงอดรู้สึกเหนือกว่าและชอบใจที่เห็นอีกฝ่ายยอมศิโรราบไม่ได้
แม้จะมาพร้อมกับระแวง
ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่อยู่กับเขา ผมถึงรู้สึกตงิดๆ ชอบกล โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ที่เหมือนโดนครอบงำแปลกๆ ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้ฝืนใจผม บังคับ หรือแสดงทีท่าเหนือกว่า
แต่ทำไมผมถึงเหมือนถูกควบคุมกันล่ะ!?
คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ แม้จะมองอย่างสงสัย เอกก็มักยิ้มซื่อให้ทุกที ฉะนั้นถ้าเลี่ยงได้ผมก็จะไม่เรียกเขา ยกเว้นก็แต่ตอนเขามาหาเอง ที่ไม่เคยจะปฏิเสธได้สักที
ผมตัดสินใจไม่รับโทรศัพท์ กดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเดินลงไปข้างล่างเพื่อหาคู่นอนในค่ำคืนนี้
ความจริงแล้วผมชอบที่จะเป็นฝ่ายรุก เพราะชอบที่จะชักนำ กดข่มคนอื่น จนถึงตอนนี้ก็ยังพอใจที่จะเป็นอย่างนั้น แต่พอพลาดท่าให้เอกครั้งหนึ่ง ผมกลับต้องเป็นฝ่ายรับให้เขามาโดยตลอด ความจริงผมก็อยากรุกใส่เขาหรอกนะ เสียแต่เอกไม่ใช่สเป็คผมโดยสิ้นเชิง ผมชอบผู้ชายตัวเล็กกว่าตัวเอง ผอมบาง ดูน่ารักน่าเอ็นดู ฉะนั้นพอเห็นเขาทีไรเลยหมดอารมณ์และต้องยอมให้เป็นฝ่ายนำทุกที ไม่งั้นพวกเราคงล่มกันตั้งแต่ปากอ่าว ยังดีที่เอกไม่ถึงกับทำให้ผมอับอายเวลาโดนกอด ไม่งั้นผมคงทนไม่ได้นานขนาดนี้
แล้วยิ่ง...
‘นาย...’
เสียงกระซิบข้างหู และรสสัมผัสที่นำไปถึงปลายทางที่ทั้งเร่าร้อนและสุขสม สามครั้งแล้วที่ผมมีอะไรกับเขา โดยไม่ตั้งใจ โดยไม่คาดหวัง แต่ทุกครั้งกลับยิ่งตอบสนองความพอใจได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาสังเกตผมโดยตลอด อย่างที่รู้ประวัติความเป็นมา อย่างที่รู้ว่าผมชอบอะไรไม่ชอบอะไร
ความขัดแย้งปรากฏขึ้นมาในใจ ส่วนหนึ่งคือความชอบพอเมื่อได้รับการตอบสนองอย่างดีเยี่ยม ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต และเรื่องของเซ็กซ์
แต่อีกส่วนหนึ่ง...นับวันที่ยิ่งรู้จัก คือช่วงเวลาที่ยิ่งถลำลึก เหมือนผมกำลังถูกเขาปอกลอกตัวตนออกมาช้าๆ โดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะตั้งหลักทัน ทุกสิ่งทุกอย่างของผมก็อยู่ในกำมือเขาทั้งหมดแล้ว
อีกส่วนหนึ่ง...คือความกลัวโชคดีที่มีเหตุจำเป็นมาต่างจังหวัด เพราะหากถูกคนคนนั้นเสนอหน้าเข้าหา ก็คงจะมีสารพัดเหตุผลข้ออ้างที่ปฏิเสธไม่ได้อีกตามเคย เอกทำตัวเหมือนข้ารับใช้ซื่อสัตย์ที่จมจ่อกับการรับใช้เจ้านายอย่างจงรักภักดี แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผมจะรู้สึกว่าเหนือกว่าเขาจริงๆ สักครั้ง ราวหลงละเมอในภาพฝันเลือนราง ที่พูดออกมาไม่ได้ว่าเป็นความจริงหรือคิดไปเองกันแน่
ทั้งที่เริ่มต้นจากเรื่องของนิลกาฬ แต่ช่วงหลังกลับแทบไม่พูดถึงรักเก่าที่ฝังใจ
ผมเริ่มมองไม่เห็นทางตันสำหรับความสัมพันธ์แปลกประหลาดครั้งนี้
เพราะผับอยู่ใกล้โรงแรมผมจึงขี้เกียจขับรถ แต่เลือกที่จะเรียกรถรับส่งของโรงแรมซึ่งต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มเพื่อความสะดวกรวดเร็ว เป้าหมายของผมเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีที่ดู ‘ง่าย’ เพราะผมไม่อยากจะเล่นบทข่มขืนหรือใช้กำลัง อายุก็ปูนนี้แล้ว จะให้เล่นอะไรแบบเด็กๆ ไม่ไหวหรอก
ผมต้องการแค่ใครสักคนที่ตอบสนองความคาดหวังโดยไม่เรื่องมาก แลกกับเงินสักก้อนโดยไม่ผูกพัน
ข้อตกลงนี้ระบุชัดและเข้าใจง่าย หลังหาคู่นอนได้แล้วผมจึงเดินออกไปขึ้นรถของโรงแรมที่ให้จอดรอเอาไว้ แต่พอขึ้นไปนั่งเบาะหลัง คนขับรถกลับไม่ใช่คนเดิม
“ฉันลืมของ เธอนั่งรอไปก่อน”
ผมชักรู้สึกว่าไม่เข้าท่า แต่พอจะรีบลงจากรถโดยไม่ให้เผยพิรุธ เด็กที่ควงมากลับกระชากแขนผมจนเสียการทรงตัวแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าโปะจมูก
“เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ แค่นั่งรอเฉยๆ คุณก็เดินเข้ามาติดกับแล้ว คิดว่าตัวเองฉลาด แต่ความจริงก็ไม่เห็นเท่าไหร่เลยนี่...คุณเจ้านาย”
เด็กนั่นพูดจาล้อเลียน ก่อนจะร้องจุ๊ๆ เมื่อผมพยายามขัดขืน อันที่จริงเรี่ยวแรงเด็กอายุสิบห้ากับคนแก่อายุสี่สิบเอ็ดแค่เห็นก็รู้แล้วว่าใครชนะ แต่ผมออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ใช่คนแก่ปวกเปียกสักหน่อย
ไม่นานผมก็บิดมือไอ้เด็กแก่แดดจนร้องโอดโอย ผ้าเช็ดหน้าหล่นกับเบาะรถ ผมรู้สึกมึนงงเล็กน้อยเพราะเผลอสูดเข้าไปนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับหมดสติ
น่าแปลก ไอ้คนขับรถไม่ยักจะทำอะไรทั้งที่เห็นอยู่ว่าผมปราบเด็กได้ง่ายๆ และไม่นานก็รู้คำตอบ เพราะประตูข้างหลังผมมีคนเปิดเข้ามา รวมกันแล้วเกือบสามคน ปิดทางหนีโดยสิ้นเชิง
“ราตรีสวัสดิ์”
หนึ่งในนั้นพูด ง้างหมัดขึ้นมา
แล้วผมก็หมดสติ
-------------
ตอนนี้มาสั้นไม่ใช่อะไรค่ะ เขียนไม่ได้สักที คือเขียนมุมพี่เอกแล้วมันอธิบายตามที่ต้องการไม่ได้ ลบๆ แก้ๆ หลายรอบมากแล้วยังติดๆ ตรงเรื่องคดีของนายด้วย เราเองก็ไม่ได้รู้กฏหมายเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าที่แต่งไปเข้าใจถูกรึเปล่า....แต่ลองๆ ถามจากเพื่อนที่พอรู้เรื่องนี้เขาบอกว่ายังพอแถได้ค่ะ
พอลองเปลี่ยนมาเเต่งพาร์ทนาย...เลยค่อยยังชั่ว แต่ก็เค้นได้เท่านี้ค่ะ ขอแปะโป้งลงก่อนนะ

ถือเป็นโบนัสเสริมด้วยว่านายรู้สึกยังไงกับพี่เอก พี่แกนี่...ทั้งเชื่องทั้งคุกคามจนนายแอบกลัวนะเห็นมั้ย 5555
พี่เอก : ฮะฮะฮะ ก็ดีแล้ว ผมจะได้เป็นคนพิเศษของเขาไง
คนแต่ง : จ้ะ!
เพจนักเขียนที่ขอเป็นฝ่ายคุกคามพี่เอกบ้างสักครั้งจะนอนหลับฝันดี