‘แล้วพบกันใหม่นะ’
.
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ?
จะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ ?
.
เมื่อไหร่ ?
.
ร่างบอบบางอ้อนแอ้นเกินกว่าผู้ชายทั่วไปนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงสีขาวบริสุทธิ์โดยมีผ้าห่มคลุมถึงอกมือข้างซ้ายก่ายหน้าผากพลางถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน ทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดนั้นของชายผู้เป็นที่รัก เขามักจะเกิดคำถามภายในใจอยู่เสมอ
‘พบกันใหม่งั้นเหรอ....’
แล้วเมื่อไหร่กันล่ะ ? ...
หากคิดจะไม่มาหากันอีกจริง ๆ
จะมาพูดให้ความหวังทำไม ?
.
.
.
ทำไม ?
ทำไมถึงไม่นึกถึงคนที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ารออย่างผมบ้าง ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอไปวัน ๆ หวังว่าวันนี้คุณจะมาหาผม หวังว่าวันนี้จะได้พบคุณจริง ๆ
แต่สุดท้าย...
ก็ไม่...
วันแล้ว วันเล่า ได้แต่เฝ้ารอ....
รอ
รอ
รอ
และรอ สุดท้ายก็ไม่มา ทำไมถึงไม่มา ? ต้องให้ผมเสียน้ำตาไปเท่าไหร่ถึงจะพอใจคุณ หึ! คุณคงจะสะใจใช่ไหมที่เห็นผมเป็นแบบนี้ สะใจที่เห็นผมร้องไห้ฟูมฟายเพราะคิดถึงมากมายอย่างนี้ คุณคงตั้งใจทรมานผม เพื่อแก้แค้นผมล่ะสินะ ใช่สิผมมันชั่ว ผมมันเลวเป็นคนรักที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เป็นคนรักที่ให้ได้แค่ปัญหาและความลำบากใจ เป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องแถมเอาแต่ใจ เป็นคนรักที่ไม่สามารถทำให้คุณภูมิใจในตัวผมได้เลยสักครั้ง
ถึงกระนั้น...
ผมไม่เคยรักใครนอกจากคุณเลย
ไม่เคยเลยจริง ๆ
และแล้วน้ำตาชุดใหญ่ก็ไหลรินอาบแก้มผมมาอีกครั้ง ทำไมผมถึงต้องมารักคุณ ทั้งที่ตั้งใจจะไม่รักใครไปตลอดชีวิต ตั้งใจจะอยู่คนเดียว แก่คนเดียว และตายไปคนเดียวแท้ ๆ หากสุดท้ายต้องลงเอยด้วยความเจ็บระทมจะมาทำให้ผมรักคุณมากมายขนาดนี้ทำไม ?
เพื่ออะไร ?
ความรักที่มาทำให้หัวใจผมบอบช้ำ หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้คงไม่มีมันตั้งแต่แรก
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่เคยเจ็บปวดเพราะความรักต่างก็ต้องคิดแบบนี้
หากรู้ก็คงไม่รัก
แต่เพราะรักไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้
เริ่มรัก เริ่มแรก เริ่มจีบทุกอย่างก็ดีหมด ดูแลส่งข้าวส่งน้ำมาถึงที่ทำงานถึงบ้านผมทุกวัน โทรหาส่งข้อความมาไม่ขาด เป็นไข้ปวดหัวมีดบาดสะดุดล้มก็ห่วงอย่างกับจะเป็นจะตาย นิดหน่อยก็จะพาไปหาหมอ บังคับให้กินยาโน่นนี่นั่นวุ่นวายไปหมด น่ารำคาญแต่ยอมว่าผมรู้สึกดี แต่ก็แค่ ‘รู้สึกดี’ ไม่ใช่ ‘รู้สึกรัก’
เรื่องอย่างนี้ก็ยังไม่ทำให้ผมพิศวาสเขาได้หรอก ด้วยนิสัยผม ความคิดความอ่านไม่ค่อยจะเหมือนคนอื่นสักเท่าไหร่ เคยมีคนมาจีบอยู่หลายครั้ง แป๊ปเดียวพวกเขาก็ถอดใจออกไปกันหมด และเขาก็เช่นกันสักวันคงจะเบื่อและถอดใจไปเอง ผมเฝ้านับถอยหลัง นับวันว่าเมื่อไหร่เขาจะเบื่อผม เฝ้ามองจับผิดทุกการกระทำว่าเมื่อไหร่เขาจะเปลี่ยนไป
ผ่านไปหนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน ...
ผ่านไปครึ่งปี
สุดท้ายก็ผ่านไปปีนึง
ผมก็เป็นแบบเดิมของผม กับเขาที่ยังทำแบบเดิมทุกอย่าง หลายครั้งผมก็ทำตัวร้าย ๆ เอาแต่ใจ น่าแปลกที่เขาไม่ยักจะเบื่อผมสักกะที
เพราะเขาเป็นอย่างนี้จากที่เคยรู้สึกดีมันจึงพัฒนาเป็นความรู้สึก ‘ชอบ’
1 มกราคมปีที่แล้ว ที่เขาขอคบ ผมนับถือในความพยายามของเขาวันเดียวกันปีนั้น เราฉลองด้วยกันอยู่ในห้องของผมสองคน เราคุยเรื่องทั่วไปอย่างสนุกสนาน และจู่ ๆ ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าผมกำลังคิดอะไร อาจเป็นเพราะผมเริ่มชอบเขาขึ้นมาแล้วหรือเปล่า ถึงได้พูดขึ้นมาว่าเรื่องที่คุณเคยสารภาพมา...หากยังยืนยันคำเดิม..
ผม.... ‘ตกลง’
คุณเชื่อไหมว่าแค่สองพยางค์สั้น ๆ ที่เอ่ยไป ทำให้เขาซึ่งกำลังนั่งขัดสะหมาดมือหนึ่งเท้าพื้นเอนตัวไปด้านหลังหันหน้าเข้าทีวี อีกข้างกระดกแก้วน้ำหวานพลางดูข่าวนั้นชะงักค้าง สายตาเหล่มองผมอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าผมทำหน้าอย่างไร แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวแก้วในมือของเขาก็ได้หล่นลงมาหกใส่กางเกงจนเปียกไปหมด
เขามองผมนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ เห็นแบบนั้นมันทำให้ผมอายจนลนลาน ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงเลยบอกกับเขาไปว่าจะไปเอาผ้ามาเช็ดให้นะ สิ้นคำก็เตรียมตัวจะลุก แต่ไม่ทันได้ลุกไปไหน มือหนาได้ฉุดมือผม และดึงตัวไปซุกไว้ในอ้อมกอด
เขากระชับแน่นหน้าซุกลงบนบ่า กอดผมอยู่อย่างนั้นเป็นสิบกว่านาที เขาไม่ยอมพูดอะไรออกมาเช่นเดิม ถึงกระนั้นผมรู้สึกว่าเขากำลังดีใจอยู่มากแน่ ๆ สิ่งพิสูจน์ก็คือหยดน้ำตาซึ่งกำลังไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีเสียงสะอื้น
มีความอุ่น และความเปียกชื้นเท่านั้น
สุดท้ายเขาก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของผม เมื่อเห็นเช่นนั้นผมพยายามจะดันตัวเขาออก แต่พยายามเท่าไหร่ ก็ไร้ผล ตัวเขาที่ใหญ่กว่าผมพอสมควรบวกกับอ้อมแขนซึ่งกระชับแน่นทำเอาเกือบจะขยับตัวไปไหนไม่ได้ โชคดีที่คืนอากาศไม่หนาวมากเราจึงพากันนอนหน้าทีวีจนถึงเช้า
ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น
หากผมไม่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่ากำลังนอนอยู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง เข้ามาเมื่อไหร่ ถูกพามานอนตอนไหนผมเองก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้วกลิ่นหอมอบอวลของอาหารซึ่งลอยมากระทบจมูก
นั่นคือสิ่งที่ปลุกผม..
ผมเดินออกมาจากในห้องนอนโดยที่สภาพยังคงงัวเงีย ย่ำก้าวไปทางห้องครัว เห็นชายซึ่งกำลังทำอาหารอย่างสนุกสนานไปพร้อมกับการฮัมเพลงที่ผมชอบฟังอย่างมีความสุข หยิบอันโน่นอันนี้ใส่ในกระทะที ปรุงรสอันนั้นทีอันโน่นที บางครั้งก็โยกไปมาตามจังหวะของเพลง ผมยืนกอดอกอิงประตูอดที่จะอมยิ้มตามไม่ได้และเขาไม่รู้ถึงการมาของผม
กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อตอนที่ทำเสร็จจัดวางโต๊ะเรียบร้อย คงตั้งใจจะไปปลุกผมนั่นแหละ แต่หันกลับมาเห็นผมยืนอยู่ที่ประตูก็อายหน้าแดงเสียยกใหญ่ ระหว่างทานเขาไม่ถามอะไร ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืน ไม่ถามย้ำว่าผมพูดจริงหรือเปล่า หรือบอกว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะอะไรทำนองนี้ หากมองดูตามนิสัย ผมคิดว่าเขากลัว...กลัวว่าหากถามอีกรอบแล้ว..
ผมจะเปลี่ยนใจ..
จึงกลายเป็นว่าเราทั้งคู่รู้ด้วยบรรยากาศ รู้ด้วยคำพูดท่าทีของผมและเขาว่าตอนนี้
ความสัมพันธ์ของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว...
จากที่เขาไม่ค่อยกล้าจะเข้ามาสัมผัสร่างกายของผม ในเวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เริ่มแรกก็เกร็งนิดหน่อย แต่พอหลายครั้งเข้าก็กลายเป็นเรื่องปกติ บางทีอยู่ดี ๆ ก็เข้ามากอด มาจูบ เขาชอบมาสัมผัสตัวนัวเนียเหมือนลูกหมาลูกแมว แถมยังชอบให้ผมลูบหัวให้ในเวลาที่นอนหนุนตักผมอีกด้วย และผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมยังคิดว่าน่ารักดีเพราะในเมื่อเราคบกันเรื่องพวกนี้ก็ไม่เห็นจะแปลก
ผ่านไปสี่ปีไวเหมือนโกหก ผมก็ไม่คิดว่าจะคบกันมานานได้ขนาดนี้เ เหนือความคาดหมายในหลายอย่าง ๆ ในขณะผมก็เป็นแบบเดิม เขาก็ยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง ต่อให้ผมผิดเขาก็เป็นฝ่ายง้อ
จนทำให้ความรู้สึก ‘ชอบ’ ที่ผมมีกลายเป็นความรู้สึก ‘รัก’
จากที่ผมไม่เคยแคร์เขา ผมก็เริ่มแคร์เขามากขึ้น จากไม่เคยเป็นฝ่ายโทรก่อน ก็เริ่มโทรหาก่อน จากไม่มีของขวัญในวันเกิดหรือวันครบรอบของทุกเดือนที่คบกัน ก็เริ่มคิดบ้างแต่ไม่ได้ให้เป็นบางเดือน
‘Sex’ ก็มีบ้างเป็นครั้งคราว อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง หรือนาน ๆ ครั้ง เพราะเขาไม่อยากจะทำให้ผมเจ็บ ไปอยากเป็นภาระให้กับร่างกายของผม เขาบอกว่าแค่ได้อยู่ด้วยกันก็มีความสุข
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมเลยจัดให้... แค่อยู่ด้วยกันใช่ไหม...
ได้.. ผมก็เลยตอบเขาไปว่า....
งั้นมาอยู่ด้วยกันเลยซะสิ...
เหมือนกับวันแรกที่ผมตอบตกลง เขาหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจอีกครั้ง พูดพร้อมน้ำเสียงสะอึกสะอื้นในขณะที่ซุกหน้าลงว่าคำพูดของผมเหมือนกำลังขอเขา ‘แต่งงาน’ เลย
ผมขำเล็กน้อย ก่อนที่จะตอบ.. หากถ้าขอแต่งงานจริงมันก็ต้องมี ‘แหวน’ สิ
‘นั่นน่ะสินะ’ เขาเอ่ยพลางขำออกมาแกน ๆ
‘ปล่อยก่อน วันนี้วันเกิดคุณใช่ไหม ผมมีของขวัญมาให้’ ผมกล่าวในขณะที่ดันตัวเขาออกอย่างเบาแรง เขาผละตัวค่อย ๆ คายวงแขนทันที
เรานั่งกันหน้าทีวีเฉกเช่นวันนั้น ที่แปลกกว่าเดิมคือหน้าทีวีผมมีโซฟา เป็นของขวัญจากเขาเมื่อเดือนที่แล้ว ขนาดผมบ่นลอย ๆ อย่างไม่จริงจังว่าอยากได้โซฟาเอาไว้นอนเล่น พอวันที่หนึ่งของเดือนถัดไปเขาก็ซื้อให้ เขาบอกหากให้เฉย ๆ กลัวผมจะไม่รับเลยซื้อในวันครบรอบของเราแทน
เขาให้หลายสิ่งหลายอย่างกับผมมามากมาย กว่าจะรู้สึกตัวก็ตั้งผ่านมาตั้งห้าปีหากนับปีแรกที่เริ่มจากผมด้วย ว่าผมควรจะให้อะไรกับเขาบ้าง ไม่ให้ก็ยังไม่หนักเท่ากับทุกปีก่อนหน้านี้ที่ผมมักจะลืมวันเกิดของเขา เขาก็จะยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไรเพราะผมงานยุ่งเขาเข้าใจ การให้ความสำคัญระหว่างผมกับเขามันผิดกันอย่างเห็นได้ชัด..กับเขาที่จัดเซอร์ไพรส์ให้ผมทุกครั้งไม่ว่าจะวันครบรอบของทุกปี หรือวันสำคัญของเราก็ตาม
ผมยกมือขึ้นมาเข้าไปสัมผัสพลางให้หัวแม่มือปราดน้ำตาบนใบหน้าของเขา สีหน้าเขาดูแปลกใจเล็กน้อยเมื่อผมเอ่ยถึง คงไม่คิดว่าผมจะจำได้ล่ะสิ เพื่อให้เขาแปลกใจมากยิ่งขึ้นผมจึงบอกให้เขาหลับตาก่อน เขายอมทำตามอย่างงว่าง่าย ผมชักมือออกก่อนจะหันไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดกะทัดรัดออกมาจากในกระเป๋าสีดำที่อยู่ข้างโซฟา ผมมักใช้ใส่ของไปทำงานทุกวัน
เปิดกล่องหยิบสิ่งของที่อยู่ภายใน ซึ่งเป็นแหวนทองประดับเพชรสไตล์เรียบง่าย มีรูปหัวใจคั้นตรงกลางระหว่างชื่อผมและเขา โดยชื่อผมนำหน้าตามด้วยรูปหัวใจและชื่อเขาตามหลัง ในบรรยากาศซึ่งมีเพียงเสียงทีวีช่องอะไรสักอย่างคลอเบา ๆ ผมเอื้อมไปจับมือซ้ายของเขาก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสเพียงปลายนิ้วทั้งสี่
โน้มตัวแนบริมฝีปากทรงกระจับของตนลงบนหลังฝ่ามืออย่างละมุน เขาสะดุ้งเฮือกนิดหน่อย คงจะคาดไม่ถึงสินะ ว่าคนที่ไม่เคยแคร์เขา คนที่ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอย่างผมจะทำแบบนี้ ผมค้างไว้ประมาณสี่ถึงห้าวิ ก่อนจะถอนออกอย่างช้า ๆ และปล่อยนิ้วทั้งสามลง มีเพียงนิ้วเดียวที่เหลืออยู่
มือข้างหนึ่งประคองนิ้วนั้นไว้ มืออีกข้างค่อย ๆ สวมใส่สิ่งของวงกลมเข้าไปจนสุดนิ้วนางข้างซ้ายของเขา ในขณะที่ผมกำลังสวม เขาคงรู้ตัวว่าผมกำลังทำอะไร หยดน้ำจากดวงตาจึงไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ
ไหลทั้ง ๆ ที่เปลือกตายังคงหลับนิ่งสนิท เขาไม่ลืมจนกว่าผมจะอนุญาต เพราะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น ผมจึงบอกให้เขาลืมตาหลังจากนี้อีกสิบนาทีให้หลัง ผมเขินหากบอกให้ลืมในทันทีคงจะเห็นสภาพหน้าผมซึ่งแดงก่ำไปทั่วแน่ ผมจึงแอบไปล้างหน้า ยกเค้กซึ่งนำไปแอบซ้อนไว้อย่างมิดชิดออกมาจุดเทียน ก่อนจะปิดไฟหมดทุกดวงภายในบ้างชั้นเดียวใจกลางเมือง
ผมกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิมอีกครั้ง และบอกกับเขาว่าลืมตาได้ ผมเชื่อว่าเขาคงไม่แอบลืมตาเพื่อดูแหวนหรอก เปลือกที่เคยนิ่งสนิทค่อย ๆ ขยับและเปิดลืมขึ้นมาอย่างเชื่องช้ากับน้ำตาที่ยังไม่หยุดไหล
เมื่อตาลืมขึ้นมาพบกับเค้กที่อยู่ตรงหน้าและผมกำลังยิ้มร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ยิ่งทำให้เขาร้องไห้ไปกันใหญ่ จนต้องยกมือทั้งสองนำมาปิดหน้าเอาไว้ ครั้งแรกที่ผมเซอร์ไพรส์ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้ดีใจถึงขนาดนี้ เมื่อเพลงจบเขาจึงปล่อยมือลง เป่าเทียนในขณะที่หน้านั้นเละเทะไปหมด น้ำมงน้ำมูกไหล เห็นแล้วก็อดที่จะอดขำไม่ได้ ขำออกมาทั้งที่ก็ผมกำลังร้องไห้อยู่เหมือนกัน
ดีใจและมีความสุข เพราะความรู้สึกนี้ น้ำตาจึงได้ไหลอย่างไม่รู้ตัว
เขาเป่าเสร็จเรียบร้อยผมจึงใช้ไฟมือถือนำทางเพื่อไปเปิดไฟ พอเดินกลับมาก็เห็นเขาหมุนมือซ้ายของตัวเองไปมา พลิกไปพลิกมาอยู่หลายครั้ง จนผมกลับมานั่ง เขาก็ยังทำแบบเดิม จนผมถามเขาว่า ‘ชอบไหม’ เขาจึงหยุด ก่อนจะตอบโดยพยักหน้ารัว ๆ
ผมยื่นกล่องกำมะหยีไปให้เขาพร้อมกับพูดว่า..
‘สวมให้ผมบ้างสิ’
อีกข้างนึงยื่นกล่อง อีกข้างยกขึ้นมาให้เลยพร้อมสวม ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก ไม่ต้องนั่งคุกเข่าหรืออะไรทั้งนั้น ไม่ต้องมีคนมาแสดงความยินดีนับแสน ไม่ต้องบอกว่ารักผมรักผมเท่าฟ้า เท่าชีวิต ไม่ต้องทำอะไร เพราะที่ทำให้ผมตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยความคงเส้นคงว่า แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว เขาไม่รอช้าที่จะสวมให้แหวนคู่ที่เหมือนกัน ต่างก็แค่...สลับชื่อเขากับผม
พอสวมเรียบร้อยเขาไม่ได้พูดอะไร หลายอย่าง ๆ ในคืนนี้อาจจะทำให้จุกอกจนพูดไม่ออก เค้กยังวางอยู่ที่เดิม แต่ตัวผมกับเขาย้ายที่มาจบลงที่เตียง
เขาทำไป..พลางพูดว่ารักผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า รักมากแค่ไหน เรียกชื่อผมย้ำ ๆ กอดแน่นราวกับกลัวผมจะเลือนหายจนเราผล็อยหลับไปในที่สุด
กลิ่นอาหารเช้าปลุกผมอีกครั้ง แถมยังเป็นสิ่งที่ปลุกเกือบทุกวัน เหมือนเดิมผมหยิบเสื้อของเขาใส่มาเพียงตัวเดียว ก่อนจะเดินไปที่ครัว เขาตัวสูงกว่าผมค่อนข้างมาก เสื้อนอนของเขากลายเป็นชุดนอนยาวถึงน่องของผมไปโดยปริยาย และส่วนล่างไม่ได้ใส่อะไร เนื้อตัวผมสะอาด เขาคงเช็ดตัวแต่ไม่กล้าใส่เสื้อผ้าเพราะกลัวผมจะตื่นเมื่อคืนค่อนข้างหนักพอสมควร จึงอยากให้ผมได้พักอย่างเต็มที่ เมื่อมาถึงผมแอบดูเขาทำอาหารอีกตามเคย
แต่ที่ไม่เหมือนเคยคือในขณะที่เขาจะหยิบจับอะไรระวังตัวกว่าเดิมมาก แหวนบนนิ้วมือไปกระทบกับอะไรนิดหน่อย ยกขึ้นมาดูปัก ๆ เป่า ๆ เช็ด ๆ หมุนไปมา เมื่อเห็นชื่อบนแหวนก็เกิดอาการยิ้มกรุมกริมอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า
ทำให้ขำไม่ใช่น้อย เขาหันมาตามเสียง และหันกลับไปทันทีในสภาพหน้าที่แดงถึงคอ
ผมเดินเข้าไปสวมกอดเขาจากด้านหลัง ผมไม่เคยทำ เขาจึงยืนแข็งทื่อไปเลย
เห็นเช่นนั้นทำเอาผมขำออกมาอีกครั้ง...ก่อนจะผละออกและไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร เขาเดินตามมาพร้อมกับนมอุ่น ๆ ผสมโอวันติลซึ่งอยู่ในมือ พูดกับผมโดยที่ไม่มองหน้าผมว่ารอเดี๋ยวนะครับอีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว
จากวันนั้นสามวันของทุกของเขาก็มาอยู่ในบ้านผมแต่ก่อนก็มักจะมาค้างบ้านผมเป็นประจำอยู่แล้วจึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก ก็เปลี่ยนแค่จากที่เขาเคยไปกลับ ก็กลายมาเป็นอยู่ถาวร เราอยู่ช่วงข้าวใหม่ปลามัน จากที่เขาเคยดีอยู่แล้วกลายเป็นดีมาก
มาก
มาก
จนทำให้ความรู้สึก ‘รัก’ ของผมกลายเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รักมาก’
จนไม่เผื่อใจเอาไว้ ผมเปลี่ยนเป็นคนละคน จากเคยโทรหาแบบนานครั้ง กลายเป็นแทบจะโทรหาทุก ๆ สิบนาที จากที่ไม่เคยตื่นเช้าทำกับข้าวกลายเป็นทำ อาหารรสชาติจะแย่แค่ไหนเขาก็ยังชมว่าอร่อย
มีความสุขจริง ๆ
จากที่ไม่เคยมองเขาอย่างจริงจัง ก็กลายเป็นถลำลึกจนถอนตัวไม่ขึ้น
ผมเพิ่งสังเกตเมื่อไม่นานมานี้ ว่าเวลาที่เราไปไหนด้วยกันมักจะตกเป็นเป้าสายตาอยู่เสมอ
หงุดหงิดในเวลาที่เขาคุยกับคนอื่น หงุดหงิดที่มีคนโทรหาเขาในเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะคนจากที่ทำงาน หรือเพื่อนในบริษัท
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ แรก ๆ เราก็บอกน่ารัก พอนานไปผมเริ่มดูออกว่าเขารำคาญ
ไม่คิดเลยว่าผมจะกลายเป็นคนขี้หึงแบบนี้
เขางานยุ่งงานหนักผมก็รู้ ต้องมีสังคมของเขาบ้างผมก็รู้ เลื่อนตำแหน่งใหม่มันทำให้งานหนักกว่าเดิมผมก็รู้ บางวันเราแทบจะไม่เจอหน้าเลยสักครั้ง เขาเก็บเงินเพื่อผม เพื่อให้ผมได้กินอยู่สบาย ให้ออกจากงานเพื่อไม่อยากให้ผมต้องเหนื่อย กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว
ผ่านไปอีกสองปีเขาก็ยังดีอยู่ ยิ่งทำให้ผมเริ่มรักเขามากขึ้น ถึงไม่ค่อยมีเวลาแต่ก็ดูแลผมเหมือนเดิมทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังสำคัญ
และสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือตัวผมเอง...
ผมตามหึงทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา แค่ชมดาราก็ทำให้ผมงอนได้ กับเขาที่ได้ออกไปเจอผู้คน กับผมที่ไม่ได้ออกไปไหน จากที่เคยโทรทุก ๆ สิบนาทีกลายเป็นว่าหากโทรไปไม่รับ ผมโกรธ รับแล้วห้ามวาง ไม่งั้นผมโกรธ กลับบ้านช้าเกินหนึ่งนาทีผมโกรธ จะกลับช้าโดยที่ไม่ขอพร้อมบอกเหตุผลผมโกรธ ออกไปไหนโดยไม่มีผมไปด้วยต้องคอยรายงานโดยส่งรูปมาทุก ๆ ห้านาที ไม่งั้นผมโกรธ
ถึงผมเป็นแบบนี้เขาก็ยังทำตามเพื่อให้ผมสบายใจ ว่าเขาไม่คิดที่จะมีใครนอกจากผมจริง ๆ
ผิดกับผมที่เบื่อตัวเองในสภาพแบบนี้... ก็เลยลองออกไปเจอผู้คนบ้างเผื่อหยุดคิดเรื่องเขาได้ ไปนั่งร้านกาแฟ ไปเดินเที่ยวห้างคนเดียว เดินไปเดินมาโดยไม่ได้ซื้ออะไร แต่บางครั้งก็ซื้อ
จากไปนั่งร้านกาแฟบางวัน กลายเป็นนั่งทุกวัน และแหวนที่เคยสวมทุกวันแต่วันนั้นผมดันลืมใส่...
จนกลายจุดเริ่มต้นของหักแตกหัก
ด้วยเรื่องที่คล้ายกับสิ่งที่เรียกว่า...การนอกใจ..
และเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง…
คนเดียว...
-TBC-