chapter 6
วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ตั้งแต่เช้าจนเย็น ก็มีเพียงผม และคุณหมอเหมือนเดิม….
“เคียวววว!!!”
ซะที่ไหน
เสียงลิงทโมนสี่ห้าตัวแผดลั่นก่อนจะกรูกันเข้ามาล้อมเตียงผมด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปถามคุณหมอว่ากอดผมได้หรือเปล่า แต่คำตอบคือไม่ เพราะกลัวว่ายังมีบางแผลที่ผมยังไม่หายอาจทำให้ผมเจ็บได้จึงหงอยลงไปนิดหนึ่ง แต่ความระรื่นยังคงมีมากกว่า
“เคียว แกได้ยินที่พวกเราพูดใช่ไหม” ผมกระพริบตาช้าๆเป็นคำตอบให้กับคำถามของยางลบ พวกนั้นยิ่งตาประกายกันยกใหญ่
“ดีจังงง อีกเดี๋ยวแกก็ได้กลับบ้านแล้วใช่ไหมอ่ะ” ดาด้าถาม
“ครับ อย่างเร็วคงประมาณ3-4เดือน อย่างช้าที่สุดคงประมาณหนึ่งปีกว่าๆน่ะครับ” เป็นคุณหมอที่ตอบแทน เพราะคงทนเห็นสภาพอันทุกลักทุเลในการตอบของผมไม่ไหว
“อ่า เออใช่ คือเราเรียนเสร็จแล้วรีบมาเลยอ่ะ ลืมซื้อของมาเยี่ยม คุณหมอครับ เคียวกินอะไรได้บ้างฮะ”
แม้ประโยคแรก ยางลบจะพูดกับผม แต่ประโยคหลังกลับหันไปถามคุณหมอ ถ้าดูไม่ผิด ผมว่างานนี้มีอ่อยนะครับ แน่นอนว่ามีตาขวางๆของดินสอมองตามเช่นกัน
“ทานได้ทุกอย่างยกเว้นของทอดของมัน อาหารรสจัดและสิ่งที่ทำให้ระคายเคืองคอครับ อ้อ ไก่คงไม่ดีต่อแผลเท่าไหร่ด้วยครับ ”
คุณหมอตอบด้วยรอยยิ้มบางเบาฉบับคุณหมอผู้อ่อนโยน ก่อนจะชวนให้พวกนี้มาป้อนผลไม้ให้ผมก่อนที่ตัวเองจะกลับไปทำงานที่ค้างอยู่
แน่นอนว่าหลังจากที่คุณหมออกจากห้องพวกนี้ก็โม้แหลก ไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องใครนอกใจใคร(ยางลบ&ดินสอ) แม้กระทั่งเรื่องดาวมหาลัยคนดังเลิกกับแฟนคนที่10ในรอบเดือน จนกระทั่งคุณหมอกลับมาพร้อมกับคุณพยาบาลที่นำอาหารเย็นมาให้นั่นล่ะครับ พวกนี้ถึงจะยอมกลับกัน
“กลับแล้วน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ สัญญาว่าจะเอาแตงโมมาด้วย ฮ่าๆๆ” ดาด้าพูดพลางโบกมือบ้ายบาย ส่วนวินก็หันมายิ้มกว้างแล้วโบกมืออย่างอลังการ จนด้าต้องแอบตีแขนเบาๆ คงเพราะมีคนมอง
“ไม่ต้องทำหน้าหมาหงอยนะ เดี๋ยวพวกเราจะมาให้เบื่อหน้าเลย ไปแล้วนะฮะคุณหมอ” ยางลบหันมาพูดประชดผมนิดหน่อยก่อนออกไปยังไม่วายอ่อยคุณหมอจนดินสอที่โบกมือลาผมอย่างอารมณ์ดีเปลี่ยนมาทำหน้าบึ้งแล้วลากแขนออกไป
บางทีผมก็แอบคิดนะว่า ที่ยางลบมาบ่อยๆนี่ มาเยี่ยมผมหรือมาหาคุณหมอกันแน่ ลำบากใจแทนดินสอกับคุณหมอเลย
“เพื่อนๆน่ารักเหมือนเดิมนะครับ”
น่ารัก? อืม ก็จริงอย่างน้อยพวกนี้ก็มาเยี่ยมบ่อยๆ พอคิดแบบนั้นผมก็อดยิ้มไม่ได้แหะ
“ทานข้าวกันนะคะ เดี๋ยวพี่ป้อน” เพราะมัวแต่คิดเรื่องพวกลิงทโมนเลยไม่ทันสังเกตว่าพี่พยาบาลปรับเบาะนอนและจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว แถมตอนนี้กำลังคนข้าวต้มอยู่ด้วย
“นี่ค่ะ” พี่พยาบาลเป่าข้าวต้มที่ร้อนอยู่ให้ผม แล้วยกมันจ่อปากผม ด้วยความที่ผมไม่ค่อยซีเรียสเรื่องรสชาติอาหารอยู่แล้ว ขอแค่ไม่ถึงขึ้นที่กินไม่ได้จริงๆ ผมก็กินได้ทั้งนั้น ตอนอยู่บ้าน(สถานเด็กกำพร้า)อาหารรสชาติแย่กว่านี้ก็กินกันทุกวันมาแล้ว
ระหว่างทานข้าว พี่หมอก็วัดนู่นวัดนี่ไปเรื่อย พอทานเสร็จก็ตรวจเสร็จพอดี โคตรทำงานเป็นทีม
“วันนี้ทานหมดเลยนะคะ วันหลังเพิ่มอาหารไหมคะ?” ผมส่ายหัวช้าๆ(คือมันส่ายได้แค่นี้)เพราะวันนี้ที่กินหมด มันก็มาจุกตรงคอหอยหมดแล้วล่ะ ผมเสียดายอาหารน่ะ ไม่ใช่ว่าพี่พยาบาลน่ารักนะ เวลาที่เธอป้อนผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะ ขอตัวนะคะคุณหมอ” เธอเก็บของเก็บเตียงเสร็จก็หันมายิ้มให้ผมและโค้งตัวให้คุณหมอเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ เดี๋ยวอีก15นาทีพี่จะให้ทานยานะครับ อ่า อ้าปากหน่อยครับพี่จะเช็คคอ”
อ่ะอ้าปาก
“คอแดงน้อยลงแล้วนะครับ แต่ระหว่างนี้อย่าเพิ่งส่งเสียงก่อนนะเดี๋ยวอาการจะแย่ลง”
แล้วพี่หมอก็จดยุกยิกๆ
“ลองส่ายหัวดูนะครับ”
ผมส่ายหัว พี่หมอจด
“พยักหน้าครับ”
พยักหน้า พี่หมอจด
“ยิ้มครับ”
อ่ะยิ้ม พี่หมอไม่จด?
“น่ารักมากครับ ขอบคุณ”
ห้ะ...
พี่หมอจด ผมเขิน
“15นาทีแล้ว ทานยากันครับ”
เดี๋ยวๆ ยังไม่หายเขิน แต่ก็อ้าปากไปกินยา พยายามที่จะไม่สบตา แต่เหลือบไปนิดเดียว แค่นิดเดียวจริงๆ รอยยิ้มพี่หมอก็ทำดาเมจกระจายแล้วฮะ ลาก่อนโลกนี้
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกรำคาญร่างกายช้าๆนี่แบบจริงจัง มันทำให้หลบสายตาพี่หมอไม่ทันจริงๆ ตั้งสติไว้ เห้ยยยยยย จับมือผมทำไม!
“ลองขยับนิ้วดูได้ไหมครับ” อ๋อ เช็คร่างกายนะ ตกใจหมด ผมพยายามขยับนิ้ว สิ่งที่ได้คือนิ้วชี้กับนิ้วกลางขยับขึ้นมานิดหน่อย
“คราวนี้ลองบีบมือดูนะครับ” ผมพยายามแบบให้แรงที่สุดเท่าที่จะเท่าได้ผลคือ มือผมกำมือพี่หมอได้แค่นั้นแหละ แล้วพี่หมอก็วางมือผมลงแล้วไปจับอีกข้างแทน แต่ข้างนี้มีนิ้วชี้ที่ขยับได้อย่างเดียว ส่วนการบีบมือนี่แทบไม่ขยับ
“ลองขยับแขนได้ไหมครับ” ผมเม้มปาก พยายามเค้นแรงเพื่อที่จะขยับมันให้ได้มากที่สุด แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่ พี่หมอพยักหน้า เป็นเชิงว่าพอแล้ว ก่อนจะเลิกผ้าห่มที่เท้าขึ้น ก่อนจะบอกให้ผมลองขยับเท้าดู แน่น่อนว่าไม่มีอะไรขยับเลย พี่หมอเลยเอาผ้าห่มคลุมไว้เหมือนเดิม แล้วหันไปหยิบอะไรบางอย่างรูปร่างกลมๆรีๆผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูแล้วน่าจะทำจากพลาสติกไม่ก็ยาง
“ลองบีบอันนี้ไปเรื่อยๆนะครับ บีบแล้วปล่อยเหมือนปั้มลมใส่ลูกโป่งน่ะครับ ครับแบบนั้นล่ะครับ ไม่ต้องพยายามมากก็ได้ครับ เอาเท่าที่ได้เลย” นุ่มจัง
“โอเคครับ เดี๋ยวเรามาวัดแรงบีบกัน” หลังจากที่ผมบีบไปจนเริ่มเมื่อย พี่หมอก็เอาสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นเครื่องวัดแรงบีบมาให้ผมกำดู แล้วก็จด จากนั้นก็ให้ผมสลับข้าง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มมืด และผมเองก็เริ่มง่วง
“ง่วงแล้วเหรอครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน” พี่หมอปิดสมุดบันทึกลงแล้วเก็บของ พาผมเข้าห้องน้ำและส่งผมเข้านอน แต่กลับมาใครบางคนเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
ใคร?
“สวัสดีจ้ะ ขอโทษที่มาช้านะจ้ะ วันนี้งานยุ่งจริงๆ” เธอเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้ม อ่าคุณป้านี่เอง เปล่านะผมไม่ได้คิดว่าเป้นใครสักหน่อย….
ผมยิ้ม(เท่าที่ยิ้มได้)ให้เธอ ก่อนที่คุณหมอจะรายงานอาการของผมให้เธอฟัง เธอพยักหน้าในบางครั้ง ก่อนที่จะเดินมานั่งข้างๆผมแทนที่คุณหมอ
“ ขอโทษที่มาตอนจะนอนแล้วนะจ้ะ เลยไม่ได้คุยกันมากเลย นอนเถอะจ้ะ พักผ่อนเยอะๆนะจะได้หายไวๆ”
เธอลูบหัวผมเบาๆ เป็นเชิงกล่อมให้หลับ แน่นอนว่าฝ่ามืออุ่นๆนั้นได้ผลเป็นอย่างดี ทำให้ผมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับอาการของผมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ผมสามารถพูดได้เป็นปกติแล้ว แถมยังสามารถนั่งรถเข็นออกมาชมบรรยากาศข้างนอกได้แล้วด้วย แสงแดดยามเช้า ที่ไม่ได้สัมผัสมานาน
แต่คนที่พาผมออกมาวันนี้ไม่ใช่พี่หมอนะครับ แต่เป็นฝูงลิงทโมนต่างหาก เจ้าพวกนี้ก็ยังขยันมาเยี่ยมผมทุกวัน แถมยังมีการมาช่วยทำกายภาพบำบัดด้วย เจ้าพวกนี้ปิดเทอมแล้วฮะ เลยมากันได้ตั้งแต่เช้า เที่ยงๆออกไปเที่ยว กลับมาอีกทีคือตอนเย็น เพื่อมาช่วยทำกายภาพบำบัด
ส่วนช่วงเที่ยงๆ ก็มีคุณป้า กับคุณลุงที่แอบโดดงานมาเยี่ยม หรือบางครั้งก็เป็นคุณป้าที่ โยนงานให้คุณลุงแล้วแอบโดดออกมาคนเดียว(เธอบอกมาแบบนั้นน่ะ)
ตั้งแต่ที่เริ่มทำกายภาพบำบัดมาตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบ3เดือนแล้วครับ ผมพูดได้เป็นปกติตั้งแต่2เดือนที่แล้ว แล้วก็ขยับแขนขาได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ส่วนเดือนนี้เราเริ่มฝึกเดินกันแล้วครับ พี่หมอถึงยอมให้เจ้าพวกนี้มาช่วยฝึกแทนในช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงที่พี่หมอค่อนข้างยุ่ง
ในเรื่องของแผลก็หายเกือบหมดแล้วครับ เหลือพวกแผลใหญ่ๆที่สะเก็ดแผลยังลอกออกไม่หมด แผลผ่าตัดยังหายเร็วกว่าอีก ตอนนี้เลยรักษาในเรื่องของรอยแผลเป็นมากกว่า ระหว่างการฝึกกายภาพบำบัดพวกเราก็มาแอบนั่งอู้เพื่อที่จะคุยกัน
“เออแก อีก2เดือนไอเอกมันจะไปเมกาอ่ะ มีสโมสรดังทาบทามมันไปอ่ะ แก จะไปส่งมันป้ะวะ” ด้าพูดด้วยเสียงที่เหมือนกับไม่มั่นใจว่าจะพูดหรือเปล่า คงกลัวว่าผมจะกับการที่พูดถึงเอกสินะ
“ถ้าหาย ก็ไปแหละ” ผมตอบยิ้มๆ ไม่รู้สิ มันไม่ค่อบเจ็บเท่าไหร่แล้ว
เวลาเนี่ย เยียวยาทุกสิ่งได้จริงๆ นะ ไม่ใช่แค่แผลที่ร่างกาย แต่แผลที่ใจก็เหมือนกัน
“เออ แก… เอ่อไม่มีไร โทษที” ในตอนแรก เหมือนยางลบจะถามอะไรซักอย่าง แต่พอถูกสายตาทั้งสี่คู่จ้องเขากลับไม่กล้าถามมันออกมา
“ ถามมาเถอะ ไม่ว่าหรอกรู้ว่าพวกแกขี้เสือก” ผมยิ้มบางๆเอามือเท้าคาง
“โอ้ย แรงอ่ะ แต่ยอมรับ” ยางลบตีผมเบาๆก่อนจะเอามือกุมหน้า
“ถามแล้วนะ อันนี้คือสงสัยมานานแล้วอ่ะ คือ แกอ่ะ ไม่รู้สิ ฉันว่าแกเหมือนชอบเอกเลยอ่ะ”
“เออใช่ เมื่อก่อนพวกแกตัวติดกันจนคนทั้งมหาลัยนึกว่าเป็นแฟนกันเลยนะเว้ย แถมมีกอดมีหอมแก้มกันแบบไม่ปิดบังเลยอ่ะ” ด้าเสริม
“อื้อ แต่ว่าพอเห็นว่าเอกมีแฟนอ่ะ พวกเราตกใจกันมากเลยนะ เลยคิดว่าพวกแกเลิกกัน แต่ว่าพวกแกก็เหมือนเดิมอ่ะ แบบ ตีหัวกันกอดคอหอมแก้มเหมือนเดิม แกก็ ดูไม่เหมือนคนอกหักเท่าไหร่ด้วย” ยางลบเสริมต่อ
“เดี๋ยวๆ ตกลงว่าพวกนายจะถามอะไรกันแน่วะ งง” เป็นดินสอที่ขัดขึ้นมา และมีวินทำหน้าหมางงเป็นกำลังเสริม
“ก็จะถามว่าความสำพันธ์ของเคียวกะเอกเป็นอย่างไรกันน่ะสิ” ยางลบแหวใส่ดินที่พูดขัด
“แล้วทำไมไม่ถามตรงๆวะ ร่ายซะกูงงเลย” วินที่ยังทำหน้างงไม่หายเกาหัวแกรกๆแล้วมองมาทางผม
“แล้วตกลงว่ายังไงเหรอ”
ผมยิ้มแล้วส่ายหัวให้กับความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อน แต่จะสงสัยก็ไม่แปลก ขนาดผมยังสงสัยเลย
“แปลว่าเราเล่นละครเก่ง”
แน่นอนวาจบประโยคของผม ก็เหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะอยู่บนหน้าของทุกคน จนกระทั่งผ่านไปประมาณหนึ่งนาที คนที่สามารถประมวลคำตอบของผมออกคนแรกอย่างยางลบก็โพล่งออกมา
“เข้าใจแล้ว แกอ่ะ ชอบเอกใช่มะ แต่แบบว่าไอเอกอ่ะมันคิดกับแกแค่เพื่อน….”
“เดี๋ยวๆ ถ้าคิดแค่เพื่อนแล้วทำไมมันยังกล้าสกินชิพวะ แบบนี้มันให้ความหวังกันชัดๆ กูว่าไอเอกก้ต้องชอบไอเคียวแน่เลย แต่แบบไม่เข้าใจตัวเองไรงี้” เป็นด้าที่ขัดทัพของยางลบ
“เออว่ะ แล้วทำไมถึงคบกับลีนล่ะ บังหน้าเหรอ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ยังสกินชิพไอ้เคียวอยู่เลยนะเว้ย”
“อืม ไอ้เอกอาจจะ อยากเก็บไว้ทั้งสองมั้ง” วินเสนอความคิดเห็น
“แบบนั้นนี่โคตรเหี้ยเลยนะ” สองสาว(?) ประสานเสียง
ระหว่างที่ฟังสามคนนั้นวิเคราะห์ไป คนที่เงียบมาตลอดอย่างดินสอก็พูดอะไรบางอย่างออกมา เป็นคำตอบที่โดนใจผมเลยทีเดีย
“กูว่า เอกมันไม่ได้อยากเก็บไว้ทั้งสองคนหรอก มันอาจจะแค่ยังไม่รู้ใจตัวเองก็ได้ คนที่สนิทกันอ่ะ กว่าจะรู้ตัวว่ารักมันนานนะเว้ย เพราะคิดว่าก้แค่สนิทกันไม่มีไรมาก ไม่ได้รัก ไอเอกเลยเลือกคบกับลีนไป แต่ก็อย่างที่เห็น ลีนก็เป็นผู้หญิงที่ดีไม่แปลกที่ไอเอกจะรัก และคิดว่าความสัมพันธ์ของมันกับเคียวเป็นแค่เพื่อนสนิท กูคิดถูกป้ะวะ”
ในตอนสุดท้ายมันหันมาถามผม ผมปรบมือให้กับทักษะการวิเคราะห์ของมันแล้วพยักหน้าก่อนจะชูนิ้วให้และถามต่อ
“ทำไมถึงรู้ล่ะ”
“กูผ่านจุดนั้นมาแล้วเว้ย” ดินพูดก่อนจะหันไปมองยางลบ
“อ๋อ ช่วงที่มึงคบกะอีชะนีก่อนที่จะมาขอคบกับกูช้ะ”
“อื้อ แต่เพราะเราอ่ะต้องอยู่ด้วยกันตลอดเลยทำให้ได้คิดว่าที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของกูกะยางลบอ่ะไม่ใช่แค่ฝาแฝด แต่เป็นแบบคนรักจริงๆ แต่ว่าไอเอกอ่ะ มันไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเคียว เพราะเคียวดันมาโดนรถชน มันเลยเลือกตัดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับเคียวทิ้งไป แล้วเลือกที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับลีนแทน”
“เชี่ย โคตรเศร้า แล้วแกก็ต้องทนเห็นมันหวานกับลีนมาตลอดเนี่ยนะ ไม่บอกความรู้สึกไปวะแกอาจจะได้คบกันก็ได้นะเว้ย” ยางลบพูดแล้วปาดน้ำตา เดี๋ยวๆ คนที่เศร้ามันฉันรึเปล่า
“เห็นมันมีความสุขแล้วเราไม่กล้าว่ะ แบบ เค้าก็ดูมีความสุขกันทั้งคู่ กูเลยขอเฟดตัวออกมาดีกว่า”
“แต่แบบนั้นก็ดีไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นมแกก็ไม่ได้มาเจอพี่หมอสุดหล่อของแกไงงงงงง” ด้าพูดขึ้นแบบเปลี่ยนบรรยากาศสุดๆแล้วมากอดคอผม
“เออจริงด้วย แล้วแกกับพี่หมอเป็นไงบ้างอ่ะ” ยางลบที่เปลี่ยนจากหน้านองน้ำตามาเป็นดวงตาประกายวิบวับพร้อมกับระดับความอยากรู้อยากเห็นที่พุ่งสูง เปลี่ยนอารมณ์เร็วมากเลยที่รัก…
“ก็เป็น…..” ผมแกล้งลากเสียงยาวๆกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าพวกนั้น เห็นแล้วตลกดี
“เป็น….”
“เป็นคนไข้กับหมอธรรมดานี่แหละครับเพื่อน ฮ่าๆๆ”
“โอ้ยยยย หลอกให้ฟังตั้งนาน” ยางลบทำท่าหัวเสีย ผมเลยอดที่จะเอื้อมมือไปลุปหัวทุยๆของมันไม่ได้ แต่กลับมีมือของใครบางคนจับแขนผมเอาไว้ก่อน
“ตอบมา ตามความจริงซะ” ด้ากดเสียงเข้ม แผ่จิตสังหารดำทะมึนออกมา อื้ม เพื่อนผมน่าจะมีพลังลี้ลับนะ
“ก็จริงๆไง แค่นี้แหละ จริงๆ” ผมตอบตามความจริง
“เค้าดูแลแกขนาดนั้นอ่ะนะ” ด้าปล่อยมือแต่ยังคงเค้นถาม
“ก็นั่นหน้าที่เค้าไหมล่ะ” ผมขยี้หัวยางลบที่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“ก็ได้ๆ กะจะให้แกควงพี่หมอไปตอกหน้าไอ้เอกกับลีนซักหน่อย ชิ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่หรอกแกอ่ะคิดมาก”
“โอเคพอเถอะ วันนี้เสือกกันมาเยอะ มีสาระกันหน่อยกลับไปฝึกเดินกัน”
ว่าจบพวกเราก็หัวเราะกันเกรียวกราว แต่ก็ไม่ดังมากเพราะถึงจะอยู่ในสวนแต่นี่ก็โรงพยาบาลทำให้เราไม่กล้าส่งเสียงดังมาก เราคุยกันไปเรื่อยๆระหว่างการทำกายภาพบำบัด ก่อนที่จะหลบเข้าร่มเมื่อเห็นว่าแดดเริ่มมา ซึ่งก็เป็นสัญญา บอกว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกนั้นพาผมไปส่งที่ห้องแล้วค่อยกลับ ผมนั่งดูทีวีไม่นานนักก็มีผู้มาเยือนคนใหม่
“อู้กันสนุกสนานเลยนะครับ” พี่หมอนั่นแหละ แต่โดนจับได้ว่าอู้ซะแล้วสิ
“นิดหน่อยครับ แต่วันนี้ผมก็เดินได้เร็วขึ้นนะครับ”
“ครับๆ เห็นแล้วล่ะ อีกหน่อยก็จะเริ่มฝึกเดินแบบไม่ใช้ราวแล้วนะครับ นี่เสื้อผ้าครับเดี๋ยวอาบน้ำแล้วมานอนพักนะ”
เขาพาผมมาส่งที่ห้องน้ำแล้วยื่นเสื้อผ้าให้ ช่วงนี้ผมอาบน้ำเองได้แล้วครับ แต่ก่อนหน้านั้นเป็นพี่หมอที่อาบให้ ช่วงนั้นแหละที่ผมเกลียดการอาบน้ำที่สุดเลย
พออาบน้ำแต่ตัวเสร็จก็เคาะประตูเรียกให้เขามารับไปส่งที่เตียง ที่จริงคือผมใช้ที่หมอเป็นหลักยึดในการเดินน่ะนะ แล้วกลับมาดูทีวีต่อ ส่วนพี่หมอก็นั่งเซ็นเอกสารกองเท่าบ้านต่อไป ที่จริงห้องผมตอนนี้กลายเป็นห้องทำงานของพี่หมอไปเรียบร้อยแล้วครับ เพราะเอกสารอะไรต่อมิอะไรมาอยู่ในห้องผมเต็มไปหมด บางทีผมก็สงสัยนะ
“หมอเนี่ย มีงานเอกสารเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“อืม… สำหรับผมก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะครับ” พี่เขาตอบพลางส่งยิ้มให้ แต่ขอโทษด้วย ผมน่ะมีภูมิต้านทานรอยยิ้มทำลายล้างนั้นแล้วล่ะครับ ก็เห็นมั นทุกวัน
ผมเลยยู่หน้าใส่พี่หมอแล้วหันมาดูทีวีต่อ เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้เป็นอย่างดี อะไรวะหัวเราะยังหล่อ อิจาจริง
เรานั่งกันแบบนั้นไปเรื่อยๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้อึดอัด คงเพราะชินกันแล้วล่ะมั้ง
“เพื่อนคนนั้น ไม่มาเลยนะครับ” เขาพูดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าจากเอกสารที่กำลังอ่าน
“เขาคงยุ่งๆมั้งฮะ” ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ทำไมวันนี้มีแต่คนพูดเรื่องเอกนะ
“คิดถึง เขาหรือเปล่าครับ”
“ก็คิดถึงนะ เป็นเพื่อนกันนี่ แต่ว่า เจ้าพวกนั้นมาเยี่ยมทุกวันเลยไม่ค่อยคิดถึงมากเท่าไหร่ ถึงจุดประสงค์หลักของใครบางคนในกลุ่มนั้นจะเป็นพี่หมอก็เถอะนะ”
“ผมเหรอ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นแฟนกันหรอกเหรอครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองแบบงงๆ
“อาหารตาล่ะมั้งครับ พี่หมอหล่อนี่” ผมพูดพลางยักไหล่
“แล้วเคียวคิดแบบนั้นไหมล่ะ”
“แน่นอน หล่อจนอิจฉาเลยด้วย” ผมแอบเบ้ปากเล็กน้อย เขาเริ่มเรียกชื่อเล่นผมมาสักพักแล้วครับ แต่ผมก็ยังเรียกเขาว่าพี่หมออยู่ดี ก็ผมไม่รู้จักชื่อเล่นเขานี่ แล้วเขาก็ไม่บอกด้วย
“กับเพื่อนคนนั้นของคุณล่ะครับ ใครหล่อกว่า”
“อืม บอกยากนะผมว่า เอกมันหล่อแบบบ้านๆลุยๆ แต่พี่หมอออกแนวคุณชาย เทพบุตรอะไรแบบนั้น”
“หึๆ ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ ผมไม่กวนแล้วครับ ดูทีวีต่อเถอะครับ ถึงเวลาทานข้าวแล้วเดี๋ยวเรียก”
หลังจากนั้นชีวิตผมก็ผ่านไปเหมือนเดิม เหมือนกับทุกๆวัน กินข้าว ดูทีวี นั่งคุยกับพี่หมอ ทำกายภาพบำบัดช่วงเย็น อาบน้ำ ทานข้าว แล้วก็นอน
แต่วันนี้มันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างได้ ว่า
ช่วงนี้ ผมเหมือนจะไม่ค่อยคิดถึงเรื่องของเอกเลย…
************************************************************
หื้ออออ กลับมาแล้วจ้า ขอโทษที่หายไปนานนะ คือ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวอ่ะ 5555 คือเราไม่ได้เป็นอะไรนะ หายไปเฉยๆนี่แหละ ขอโทษษษษ พอดีเราหันไปทุ่มกับการเรียนมาน่ะค่ะ ทำให้ไม่มีเวลา แล้วก็พอไม่ได้แต่งนานเราจะลืมความรู้สึกนั้นไป ทำให้บรรยากาศในเรื่องมันไม่เศร้าเท่าที่ควรขอโทษจริงๆนะ ฮือออ ในเรื่องภาษาอาจเปลี่ยนไปบ้างนะมันมีผลมาจากหลายๆปัจจัยยยยยย เราขอโทษษษษษษษษษษษษษ
ปล. สัญญาจะปั่นตอนต่อไปเร็วๆ มีคำผิดช่วยแจ้งด้วยนะ ตาลายมากอาจจะมีตกหล่นบ้างโดยเฉพาะตัวที่ต้องกดชิพอ่ะจ้ะ คือบางทีมือมันไปไวกว่าคอม55555
ปล2. ที่จริงเราจะกะทิ้งเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ แต่ว่าพอคิดว่าถ้านิยายที่เราอ่านอยู่ เค้าหายไปนานแล้วถ้าเขากลับมาต่อเราจะอ่านไหม คำตอบของเราคืออ่าน เราก็เลยคิดว่า เอาเถอะอาจจะมีคนอยากอ่านก็ได้ อาจจะมีคนที่รออยู่ มั้งงงงงง ฮ่าๆๆๆๆ อย่างน้อยก็คนสองคนล่ะนะ
ไปละ บรัยยส์
