บทที่ 21.2 พระสนม
“เจ้าพวกโง่ ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่มีทางจับข้าได้หรอก ว่ะฮ่ะฮ่า”
ไป๋เซ่อในร่างงูเผือกส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ระหว่างนั้นก็ใช้ศีรษะดุนดันโถเคลือบไปยังด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง รอให้มันผ่านเข้าพงหญ้าแล้วตัดผ่านทางสวนก่อนเถอะ มันจะโลดแล่นไปหลบซ่อนในตำหนักตัดเย็บโดยที่ใครก็คาดไม่ถึง
คลับคล้ายได้ยินเสียงขู่ฟ่อชวนน่าจับตีก้น ซวนหยวนหมิงไท่เดินไปดักทางงูน้อยไว้แล้วจึงกอดอกยิ้มกว้าง ซูฮกให้กับความซื่อจนเซ่อโดยไม่รู้ตัวของไป๋เซ่อ ด้านเซียวถิงฟงกลับยิ้มแหย เป็นเขาประเมินมองมันสูงไป น่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าสมองของงูเผือกตัวนี้มีปัญหา
จังหวะที่โถเคลือบค่อยๆคืบคลานเข้าสู่พงหญ้าอย่างแช่มช้า บนฟากฟ้านภาอากาศก็ปรากฏเงาร่างสีขาวบริสุทธิ์ของต้าเซียน ร่างน้อยทะยานตัวลงมาพร้อมกับผู้เฒ่าผมขาวในชุดสีไข่ไก่ มือหนึ่งถือด้วยไม้เท้า แลอีกมือหนึ่งอุ้มนกเป็ดน้ำตัวอ้วน เป็นที่สะดุดสายตาแก่สองบุรุษถึงขนาดมองหนึ่งคนหนึ่งเป็ดน้ำขึ้นลงอยู่หลายครั้ง
กระทั่งปลายเท้าของผู้มาใหม่สัมผัสพื้น ผู้เฒ่าคนดังกล่าวก็ระเบิดความเกรี้ยวกราด หมุนควงไม้เท้าก่อนวาดชี้ไปยังโถเคลือบมีชีวิต “เจ้าเด็กตัวแสบ คิดว่าจะหนีพ้นรึ”
สิ้นเสียงลำแสงก็แล่นปราดผลักโถสีขาวให้กระเด็นออกไป แลยังมิทันให้งูเผือกได้ตั้งตัว นกยวนยางก็กระโดดลงจากอ้อมแขนของผู้เฒ่า ตรงเข้าจิกตีจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“จ๊ากกก ก้นข้าๆ”
ไป๋เซ่อร้องลั่น หากแต่เจ้าเป็ดน้ำตัวอวบกลับมิได้เห็นใจ ยังคงไล่จิกไล่ต้อนจนงูเผือกเลื้อยหนีชุลมุน
“เป็นไงล่ะ รู้ฤทธิ์ข้าผู้เฒ่าจันทราบ้างรึยัง ฮ่า ฮ่า”
ผู้เฒ่าจันทราเปล่งเสียงหัวเราะสะใจ ด้านไป๋เซ่อน้ำตาซึมกระโดดผึงกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ หมดสภาพอสรพิษผู้เป็นดั่งมือขวามหาเทพแห่งพิภพสวรรค์ “เอ่อ ท่านผู้เฒ่าจันทรา ให้ยวนยางของท่านหยุดก่อนดีไหม” ต้าเซียนเกาแก้มเอ่ยขัดจังหวะ
“เฮอะ” ผู้เฒ่าจันทราแค่นเสียงใส่เจ้างูตัวดี สองมือเหี่ยวย่นจำใจอุ้มนกเป็ดน้ำกลับไป หากมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าของท่านมหาเทพ เขามิมีทางหยุดมือง่ายเช่นนี้เป็นแน่
ไป๋เซ่อมองหนึ่งเซียนกับอีกหนึ่งตัวอย่างหวาดๆ ฉับพลันนั้นก็จดจำฝันประหลาดเมื่อหลายคืนก่อนขึ้นได้ แน่ชัดว่าเจ้าเป็ดน้ำดุร้ายตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่ส่ายก้นอุ้ยอ้ายไปมาให้ตนดู ยังมีผู้เฒ่าหนวดเคราขาวร้องก่นด่าผู้คน เป็นเฒ่าจันทราที่ตนมิได้พบหน้าคร่าตาเป็นเวลานาน
“พวกเจ้ามีความแค้นกับข้าหรือไร จึงรุมทำร้ายข้าเช่นนี้” ไป๋เซ่อกอดคอซวนหยวนหมิงไท่ไว้แน่นพลางอ้าปากขู่ฝ่อประท้วง ส่งผลให้อารมณ์ของเฒ่าจันทราเดือดดาลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“น่ะ หนอย มิใช่เป็นเพราะเจ้าทำลายผลงานข้าก่อนหรือ”
ครั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่กำลังจะประทุขึ้นมาอีกหน ต้าเซียนก็รีบปรามผู้เฒ่า โดยกล่าวเข้าประเด็น “ไป๋เซ่อ เจ้าต้องแต่งให้กับซวนหยวนหมิงไท่”
“หือ” ไป๋เซ่อเลิกตาโต คำพูดเหล่านี้พลอยทำให้หัวใจเขาเต้นตึกตักอยู่ไม่สุข ทั้งยิ่งทำตัวไม่ถูก มันจึงคลายตัวจากคำชายหนุ่ม กระโดดลงสู่พื้น เปลี่ยนร่างเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวสดใส “ทะ ท่านมหาเทพจะให้ข้าแต่งกับเขา” ประโยคนี้พูดออกไป พลันรู้สึกตัวเองหน้าแดงอย่างห้ามมิอยู่ ครั้นเห็นซวนหยวนหมิงไท่กำลังจดๆจ้องๆตนเองด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาก็โพล่งแก้เขิน “เรื่องอะไรข้าจะต้องแต่งด้วย”
“หนอย ยังมีหน้ามาถามถึงเหตุใด เจ้า! เจ้า!เจ้า! จำได้รึไม่ว่าตอนที่เจ้าถูกลงโทษมาทำความสะอาดที่ตำหนักของข้า เจ้าก่อเรื่องอะไรไว้ ฮึ่ย!” หากทำได้ผู้เฒ่าจันทราคงเอานิ้วจิ้มหน้าผากเจ้าเด็กตัวดีให้จมติดดินไปแล้ว ทว่ายังคงควบคุมอารมณ์ แม้ในใจจวนเจียนจะระเบิดรอมร่ออยู่แล้ว
ฝ่ายไป๋เซ่อกลับยิ่งทำสีหน้างุนงงหนัก เรื่องราวผ่านมาตั้งหลายพันปี ใครมันจะไปจดจำได้ แต่กระนั้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นม้วนไม้ไผ่หมิ่นแหม่ในอกเสื้อสีไข่ไก่ของผู้เฒ่าโมโหร้าย ฉับพลันนั้นใจก็เย็นวาบ ข้อความที่ซุกซ่อนในส่วนลึกของความทรงจำก็เผยปรากฏ
เจ้าผู้ครองแผ่นดินซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่ ถือทศพิธราชธรรม เป็นที่รักใคร่ของไพร่ฟ้า ยึดถือน้ำใจเป็นหลัก วาสนารายล้อมไปด้วยผู้โดดเด่น ชะตาพันผูกคู่ชีวิต จะดีเลวเกื้อหนุนฉุดรั้ง ขึ้นอยู่กับผู้ที่เลือก...
กล่าวได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะน้ำชาถ้วยเดียว ทำให้เขาต้องเช็ดขัดถูม้วนไม้ไผ่อย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพในอดีตค่อยๆย้อนกลับมาทักทาย ราวกับเป็นเรื่องสดใหม่ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ว่าแล้วไป๋เซ่อก็เสมองเจ้าเป็ดน้ำตัวดีผู้ซึ่งเคยเป็นพันธมิตร แต่แล้วมันกลับทำมองไปทางอื่น
...เจ้านกสองหัว สักวันข้าจะจับเจ้าไปย่างกินให้ได้ หึ หึ
“แล้วอย่างไร ทำไมข้าจะต้องแต่งให้กับเจ้าลูกเต่านี่ด้วย” ไป๋เซ่อแย้ง ยังคงไม่เข้าใจว่าการลบเลือนนามของคนผู้หนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการที่เขาต้องแต่งให้ซวนหยวนหมิงไท่ตรงไหน
ครั้นเห็นผู้เฒ่าจันทรากำลังจะอาละวาดอีกระลอกหนึ่ง ต้าเซียนก็ชิงตอบแทน “นั่นเพราะซวนหยวนหมิงไท่ เป็นผู้ครองแคว้นราชวงศ์ซวนหยวนลำดับที่ยี่สิบสี่”
“หา” ไป๋เซ่ออ้าปากค้าง ดวงตาแทบถลนประดุจดั่งไข่ห่าน ก่อนจะเห็นซวนหยวนหมิงไท่กลับรีบพยักหน้าหงึกหงักพร้อมฉีกยิ้มเผยฟันขาว ดวงตาของท่านมหาเทพเองก็เปล่งประกายระยิบระยับ ก่อนกล่าวสืบต่อ
“ครั้งนั้นเจ้าเพียงเผลอลบชื่อ แต่หาได้ลบไปถึงแซ่ไม่ ข้าตรวจสอบกับผู้เฒ่าจันทราดูแล้ว เจ้าของรายนามที่ถูกลบนามไป บังเอิญใช้แซ่ที่เป็นอักษรตัวเดียวกับนามของเจ้าพอดิบพอดี”
แซ่ไป๋...ไป๋เซ่อถึงกับอ้าปากค้าง คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นแซ่ไป๋จริงๆ...นี่มันจะบังเอิญเกินไปแล้ว แลยังมิทันจะหายตกใจดี ท่านมหาเทพก็ปล่อยประโยคเด็ดที่ราวกับต่อยหน้าเขาในหมัดเดียว
“ดังนั้นข้าก็เลยเติมชื่อเจ้าลงไปแทนเรียบร้อย เพียงเท่านี้เรื่องก็จบจริงไหม ฮ่า ฮ่า” กล่าวจบต้าเซียนก็หัวเราะสดใส หากแต่คนฟังกลับสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว
...อ๊ากกก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ****************************************************
กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกเหมยอบอวลในห้องอบอุ่น พลอยทำให้คนที่พึ่งลืมตาตื่นจ้องมองหลังคาห้องด้วยความขี้เกียจ ครู่หนึ่งไป๋เซ่อก็กลับไปหลับตาพริ้ม ทั้งยังเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงอย่างสบายอารมณ์
อืม หมอนหนุนใบนี้ช่างเหมาะกับคอของข้าเป็นอย่างดี เห็นทีต้องสั่งให้เจ้าลูกเต่าซื้อมาเพิ่มอีกสักหลายๆใบ ระหว่างคิดมือก็ลูบไล้หมอนคู่ใจอย่างมันมือ ต้องแบบนี้สิจึงจะปลอบประโลมฝันร้ายของข้าเมื่อครู่ก่อน
“ฟื้นแล้วรึ”
ทว่ามีหมอนหนุนที่ไหนพูดภาษาคนได้กัน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวพลันลืมพรึ่บ ก่อนจะแลเห็นเค้าใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งเอนหลังใกล้ๆ
“เมื่อครู่เจ้าเป็นลมไป หากยังรู้สึกไม่ดีขึ้น ข้าจะตามหมอหลวงให้”
“ว๊ากกก ฝันร้ายนั่นเป็นเรื่องจริงหรอกหรือ” ไป๋เซ่อถึงกับผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับแหกปากร้องถาม
ซวนหยวนหมิงไท่ยิ้มกว้าง ตอบเสียงเรียบ “แน่นอนย่อมมิใช่ความฝัน” กล่าวพลางเล่นปอยผมสีดำเทาสลวยของเจ้าตัว
ครั้นได้รับคำตอบสีหน้าของไป๋เซ่อก็ยิ่งแตกตื่น หันซ้ายทีขวาที ราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดกระโดดออกมาแฉความผิดเขาอีก
“ต้าเซียนพาท่านผู้เฒ่าจันทรากลับไปแล้ว เจ้ามิต้องกังวลไป”
ได้ยินดังนั้นไป๋เซ่อก็ถอนหายใจโล่งอก กระนั้นซวนหยวนหมิงไท่ในยามนี้กลับตีสีหน้าจริงจัง ต่างจากเพลาที่อยู่ด้วยกัน
“ไป๋เซ่อ หากเจ้าลำบากใจที่จะแต่งกับข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า”
ลำบากใจหรือ...แม้น้ำเสียงของร่างสง่างามจะฟังดูเป็นปกติ ทว่าดวงตากลับมิเป็นเช่นนั้น มันดูหม่นแสงลงไปมาก ทั้งซ่อนความโดดเดี่ยวอ้างว้างไว้ภายใน ทำให้เขารู้สึกราวกับทำผิดกับอีกฝ่ายไป “ข้า...ข้า”
“หรือว่าเจ้าทนเห็นข้าอยู่กับสตรีอื่นได้?” ครั้นเห็นไป๋เซ่ออึกอัก ฝ่ายโอรสสวรรค์ก็สบโอกาสตีบทโศก จะว่าด้วยเล่ห์หรือด้วยกล เขาก็งัดขึ้นมาใช้ทั้งหมด
“ข้า” ก่อนหน้านี้ด้วยอารามตกใจทำอะไรไม่ถูก ตนจึงลืมนึกถึงข้อนั้นไปเสียสนิท แถมมานึกดูตอนนี้ พลันไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องหนีด้วย ร่างเล็กเกาศีรษะแกรกๆ
“เจ้านึกดูสิ หากข้าแต่งให้ผู้อื่น ข้าก็คงตามใจเจ้าเหมือนก่อนมิได้ แล้วยังมีที่ตรงนี้...” ซวนหยวนหมิงไท่ก้มลงมองหน้าท้องซึ่งมักถูกยึดครองด้วยศีรษะร่างเล็ก
“อา” ไป๋เซ่อหลุดเสียงด้วยเข้าใจความหมายของชายหนุ่ม ก่อนนึกโอดครวญในใจ...หน้าท้องหนุนนอนกำลังพอดีของข้า
สังเกตเห็นประกายตาแสนเสียดาย ร่างสง่างามก็รีบกล่าวเสริม “เจ้าจะยอมแบ่งปันมันให้สตรีอื่นแน่หรือ”
“เพ้ย นี่มันหมอนหนุนของข้าชัดๆ เจ้ากล้าแบ่งปันมันให้ผู้อื่นได้อย่างไร” แค่คิดว่าจะมีสตรีคนใดมาแทนที่เขา โทสะก็พลุ่งพล่านแล้ว
ถึงตอนนี้เจ้าของดวงตาสีดำขลับก็ผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมี “ใช่ มันจะของๆเจ้าเพียงคนเดียว หากเจ้ายินยอมแต่งให้กับข้า”
“มารดามันเถอะ เช่นนั้นข้าจะแต่ง” ไป๋เซ่อโพล่งออกมาโดยไม่ต้องคิด หากไม่มีหน้าท้องอันแน่นขนัดนี้แล้ว เขาจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร และอีกประการหนึ่งที่ยอมมิได้คือ...เขาหวง
ของๆข้า หากมิใช่ข้ายกให้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังกินเต้าหู้
“ดี ดีที่สุดเลย ข้ารักเจ้าไป๋เซ่อ”
ไม่ทันไรตัวก็ถูกรั้งเข้าไปกอด ริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงโดยไม่ทันตั้งตัว ซวนหยวนหมิงไท่จุมพิตเขาเบาๆทีหนึ่งก็ผละตัวออก ส่งยิ้มแก้มแทบปริ ดวงตาหยีโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ ความเบิกบานของชายหนุ่มทำให้สมองไป๋เซ่อถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ
“เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้านอนเล่นที่นี้ไปก่อน ข้าจะกลับไปร่างราชโองการแต่งตั้งเจ้าโดยเร็ว” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวโดยไม่หยุดพักหายใจ ราวกับกลัวว่าหากมิรีบจัดการ อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเสียก่อน รอจนเขาเหน็บผ้าห่มให้ร่างเล็กเสร็จก็รีบร้อนออกจากห้องบรรทมไปด้วยความยินดี
จวบจนพ้นไปเค่อหนึ่ง ในห้องกว้างก็พลันมีเสียงร่ำร้อง
“พับผ่าสิ ไฉนจึงถูกกินเต้าหู้อีกแล้ว ต้องเป็นข้ากินเต้าหู้เจ้าสิ คนหน้าด้าน” ไป๋เซ่อลูบปากที่ยังคงทิ้งไออุ่นไว้ กระทั่งฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “อ้ะ เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้ข้าบอกจะแต่งให้กับเจ้าลูกเต่าหรือ ว๊ากกก ข้าโดนหลอก โดนหลอกแน่แท้ ซวนหยวนหมิงไท่ เจ้ามันคนเจ้าเล่ห์สองหน้าชัดๆ”
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เข้าประชุมกันถ้วนหน้า หาได้มีใครลาป่วยหรือลาหยุดกะทันหัน อาจเป็นเพราะวันนี้เรื่องราวสำคัญบางประการจะถูกป่าวประกาศ
กระทั่งข้อราชการทั่วไปเสร็จสิ้น ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลี่เชียน ผู้เป็นตัวตั้งตัวในเรื่องแต่งตั้งพระสนมก็ก้าวออกมาด้านหน้า แลในชั่วพริบตาเดียวท้องพระโรงก็เป็นอันเงียบกริบ
“ฝ่าบาท เรื่องประมุขฝ่ายในเองก็เป็นเรื่องที่มิอาจมองข้าม ทั้งยิ่งมิอาจเพิกเฉยละเลยได้ ขอฝ่าบาท...” หลี่เชียนยังมิทันพูดจบก็พลันหยุดปาก เนื่องเพราะมือเรียวของเจ้าชีวิตยกขึ้นแล้ว
“เรื่องนี้เราตัดสินใจแล้ว เราเห็นพ้องกับพวกท่าน ประมุขฝ่ายใน มิอาจเว้นว่างได้แม้แต่วันเดียว ดังนั้นเราเห็นสมควรจัดพิธีแต่งตั้งพร้อมกับพิธีขึ้นครองราชย์ในอีกห้าวันที่จะถึงนี้”
สิ้นเสียงขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านก็มิอาจปิดซ่อนสีหน้ายินดีไว้ได้ ซวนหยวนหมิงไท่ในชุดมังกรส่งเสียงเรียก “ลู่กงกง”
“พะยะค่ะ” เสี่ยวลู่รับคำอย่างรู้ความ ก่อนจะหันไปทางเหล่าขุนนางทั้งหลาย คลี่พระราชโองการในมือแล้วเปล่งเสียงดังก้อง “ด้วยพระราชโองการ ฝ่าบาท โปรดแต่งตั้งให้บุตรสาวตระกูลหลี่ หลี่ซิ่วหลันและบุตรสาวตระกูลเจิน เจินเริ่นผิงเป็นพระสนม พร้อมทั้งเข้าพำนักที่ตำหนักจวี๋ฮวาและที่ตำหนักหลันฮวาได้ทันที”
ถึงตรงนี้หลี่เชียนยืดอกเชิดหน้าพึงพอใจกับการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ ผิดแผกกับขุนนางใหญ่เจินหยวนที่เพียงก้มหน้าสงบเสงี่ยม ไม่ถึงแสดงออกสีหน้าใดๆ
“นอกจากนี้ยังโปรดแต่งตั้งให้หลานชายตระกูลเซียว เซียวไป๋ เป็นพระสนม เข้าพำนักที่ตำหนักเฉียนชิงทันที จบพระราชโองการ”
จนกระทั่งหัวหน้าขันทีเสี่ยวลู่เอ่ยข้อความส่วนสุดท้าย ท้องพระโรงก็คล้ายเกิดระเบิดเป็นเสียง ความไม่พอใจระบายอยู่บนหน้าขุนนางแทบทุกคนขนานใหญ่
“ไม่ได้ ทำเช่นนี้ไม่ได้ฝ่าบาท” เป็นหลี่เชียนรีบทูลแย้ง
“ทำไมถึงมิได้ เราเองก็ทำตามเงื่อนไขของพวกท่านทุกประการ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสนมล้วนคัดเลือกมาจากม้วนภาพที่พวกท่านส่งถึงเรา” ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าตาย ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้เสี่ยวลู่แกะม้วนภาพร่างดังกล่าวออก
ครั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นรูปบุรุษด้านในสีหน้าก็ทะมึนไปทั้งแถบ ได้แต่หันขวับไปจ้องอัครเสนาบดีเซียวถิงหลี่และแม่ทัพใหญ่เซียวถิงฟงที่กำลังแสร้งทำหูหนวกอย่างเอาเรื่อง
“แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็ตัดสินพระทัยแบบนี้มิได้ การแต่งตั้งบุรุษเป็นพระสนมย่อมผิดประเวณี ขัดต่อหลักการทั้งปวง เบื้องบนจะพิโรธ แคว้นซวนหยวนอาจจะพบกับภัยพิบัติ” หลี่เชียนทูลกล่าวน้ำเสียงเครียด
“หือ เบื้องบน” ซวนหยวนหมิงไท่หัวเราะน้อยๆ เจ้าเฒ่าผู้นี้ช่างหลักแหลมยกอ้างสวรรค์มาบีบบังคับเขา แต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์นั่นแหละ เป็นคนส่งสนมคนนี้มาให้เขากับมือต่างหาก “เช่นนั้นในวันงานแต่งตั้ง เราจะให้กรมพระราชพิธีเพิ่มพิธีสำคัญอีกหนึ่งพิธี”
หลี่เชียนฟังแล้วก็งุงงนวูบ “พิธีอะไรหรือพะยะค่ะ”
“พิธีถามฟ้า” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวแล้วยิ้มขบขันให้กับใบหน้าที่โง่งมของขุนนางทั้งหลาย “ในเมื่อพวกท่านเป็นกังวลกับความสุขสงบของแคว้น เราเห็นควรให้สวรรค์เป็นผู้ตัดสิน”
อีกด้านหนึ่งผู้เฒ่าจันทรามองดูความวุ่นวายเบื้องล่างก็อดมิได้ที่จะเคร่งเครียดตาม “ท่านมหาเทพ ทำเช่นนี้ถูกต้องดีแล้วหรือ ความจริงสตรีที่ควรจะอยู่ที่นั่นควรจะเป็นไป๋เย่วเซียง”
ต้าเซียนยิ้มบางกล่าว “ท่านผู้เฒ่าอย่าพึ่งคิดมากไป เรื่องราวล้วนดำเนินถึงเพียงนี้ หากท่านยังฝืนให้นางกลับเข้าสู่วังวนโศกนาฏกรรม มิเท่ากับพวกเราพิภพสวรรค์ไม่ยุติธรรมกับนางเกินไปหรือ เรื่องนี้นางเป็นผู้เสียหาย ไป๋เซ่อเป็นผู้ก่อ จำเป็นต้องให้เขารับช่วงต่อแทน...แม้เรื่องราวจะมิได้ราบเรียบก็เถอะ ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่พวกเขาตัดสินใจ”
[1] กองซั่งสือหรือกองห้องเครื่อง (尚食局) มีหน้าที่ประกอบเครื่องเสวย จัดการดูแลเรื่องสุรา ฟืน และโอสถ แบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ แผนกเครื่องเสวย น้ำจัณฑ์ โอสถ ต้นเครื่อง
กินเต้าหู้ เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่า ลวนลาม ****************************************************************
- บทนี้อัพช้าหน่อยนะจ้ะ พอดีมาตันช่วงท้ายๆ ก่อนจะเขียนก็คิดอยู่นานว่าจะเฉลยปมเรื่องเด็กหนุ่มในบทนำเลยดีรึป่าว สุดท้ายก็เอาเลยล่ะกัน เก็บมานานล่ะ คันปาก 5555+
- หงเว่ยยังไม่มา เเต่บทหน้าเฮียเเกมาเเน่ พร้อมกับคนเเปลกหน้าอีกคนจ้า
- บทนี้เราไม่ได้เเบ่งลำดับขั้นของพระสนมนะคะ เลยเป็นเเบบเท่าเทียม กลัวเเบ่งเยอะ พออ่านล่ะสับสน