บทที่ 17.1 จุดจบและคลื่นถาโถม
ร้อน...ร้อนจนแทบระเบิด
ความร้อนโลดแล่นไปทั่วร่าง หัวใจพองโตเต้นตึกตักรัวเร็วราวบรรเลงกลองศึก ไป๋เซ่อหลุดคำพูดประหลาดที่แม้แต่ตนเองก็มิรู้ตัว พร้อมกันนั้นฝีมือที่ใช้ออกก็เริ่มมั่วซั่วไม่เป็นตัวของตัวเอง
“หยุดมือ หยุดมือให้ข้าก่อน”
ไม่นานร่างเล็กก็ต้องโพล่งบอกให้หยุด ส่งผลให้ทุกคนชะงักงันสงสัย กระทั่งซวนหยวนหมิงไท่ที่ถูกควบคุมกายยังต้องดึงกระบวนท่ากลับ
พริบตานั้นงูน้อยที่กำลังงุนงงได้ที่ก็ถูกคว้าหมับออกจากรอบคอ ไป๋เซ่อหันหลัง มือกุมลำตัวนิ่มยาวไว้ ก่อนจะฟาดแปะบนใบหน้าตัวเองอย่างสะเปะสะปะ
หงลิ่วดิ้นขลุกขลัก หน้าท้องถูกถูไถจนจักกะจี้ มันเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “พะ พี่ชายไป๋ ท่านจะทำอะไร”
“หงลิ่ว เจ้าปิดใบหน้าข้าไว้เร็ว” ไป๋เซ่อไม่สนใจฟังเสียง ยังคงจับลำตัวนุ่มนิ่มให้วุ่นวาย
“อ่ะ เอ๋ อื้อๆ” ด้วยน้ำเสียงเร่งรัดส่งผลให้หงลิ่วที่ตกใจต้องรีบอือออให้ความร่วมมือแต่โดยดี จนแล้วเสร็จเรียบร้อย ไป๋เซ่อก็ถอนหายใจ เปล่งเสียงด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย” สัมผัสเย็นสบายช่วยทำให้ใบหน้าที่ร้อนฉ่าสงบลง ไป๋เซ่อฉีกยิ้มแฉ่ง ก้มหยิบกระบี่ซึ่งตกอยู่ใกล้ปลายเท้า แล้วหันกลับไปขึ้นน้ำเสียงจริงจัง “มา ข้าพร้อมแล้ว”
“พรืด” ชั่วขณะที่ได้เห็นเต็มตา องค์รัชทายาทเช่นเขาก็เสียกิริยาหลุดขำพรืด นี่เป็นเพราะดวงหน้าเล็กเผยให้เขาเห็นเพียงดวงตาสีฟ้าอมเขียวและริมฝีปากเล็กๆ ทว่าส่วนกึ่งกลางของใบหน้ากลับพันรอบไว้ด้วยร่างสีดำของหงลิ่ว ทำให้ไป๋เซ่อในตอนนี้ ช่าง...
ดูน่ารักและน่าขบขันในเวลาเดียวกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าทั้งสองจะรวมร่างแล้วกลายเป็นเช่นนี้
อีกด้านหนึ่งคิ้วน้อยๆของไป๋เซ่อต้องมีอันย่นลง กระทั่งหงลิ่วซึ่งเกยศีรษะเล็กๆไว้บนบริเวณกระหม่อม พลันรู้สึกว่าไม่เข้าท่าบ้างแล้ว
“เจ้าลูกเต่ามีอันใดน่าหัวเราะกัน” ไป๋เซ่อตบฉาดที่หน้าขา ส่งเสียงตวาดด้วยรู้สึกอับอาย ส่งผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องใช้มือปิดปาก เพื่อกันมิให้เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมา แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจห้ามหัวไหล่ที่ยังคงสั่นไหวได้อยู่ดี
ท่าทีสนิทสนมทั้งหมดทั้งมวลนี้ตกอยู่ภายใต้สายตาอันสับสนของเย่วเซียง แท้จริงแล้วบุรุษน้อยก็มีใจให้กับชายหนุ่ม ถ้าเช่นนั้นมิใช่ว่าพวกเขาต่างหลงรักซึ่งกันและกันหรอกหรือ
แล้วตัวนางเล่า?
ฉับพลันนั้นไร้เรี่ยวแรงกลับหายไปเสียดื้อๆ ราวกับโลกทั้งใบดับวูบลง ดูว่าความรักของนางเปรียบเสมือนดั่งพายุ ทั้งรวดเร็วทั้งโหมกระหน่ำ มิให้นางได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ต่อเมื่อกระแสวายุสงบลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็อันตรธารว่างเปล่า แม้กระทั่งหัวใจของนางเองก็มิหลงเหลือ
ชมดูคู่บุรุษหยอกล่อต่อกระซิกอยู่นาน ดวงตาของตวนผิงซางอ๋องก็ฉายแววชิงชัง “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง วันนี้ข้าจะให้คู่ยวนยางอย่างพวกเจ้าตกตายกันไปข้างหนึ่ง” พูดจบก็หยักยิ้ม ปล่อยให้เกิดบรรยากาศนิ่งเงียบกดดันในอึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงเปล่งเสียงที่ไร้ความปราณี
“ฆ่ามันซะ”
สิ้นคำสั่งสังหาร ร่างของซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดเข้าฟาดฟันไป๋เซ่ออย่างหนักหน่วง บังเกิดเป็นประกายไฟยามเมื่ออาวุธต่างกระทบกระทั่งกันดูน่าหวาดกลัว
ร่างเล็กใช้กระบี่ต้านการโจมตีในแต่ละครั้ง แรงสั่นสะเทือนที่ได้รับก็ถึงกับทำให้ปลายนิ้วชาดิก แม้เพลงกระบี่ที่ชายหนุ่มใช้จะเป็นเพลงเดียวกับที่เคยเคียงคู่ต่อสู้ หากแต่พลานุภาพของมันขณะนี้กลับมิสามารถทำให้เขาโต้กลับได้แม้แต่ครั้งเดียว
บัดนี้กำไลสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำ ราวกับว่ามันเคยถูกย้อมด้วยโลหิตมาก่อน ใคร่ครวญดูแล้วของวิเศษชิ้นนี้ ตอบสนองต่อความต้องการฆ่าของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี
ซวนหยวนหมิงไท่ตีสีหน้าเคร่งเครียด ด้วยกายที่มิเป็นตัวของตัวเอง หากยังคงชักช้ามิอาจหาทางออก เกรงว่าอีกไม่นานคงได้พลาดพลั้งทำร้ายคนรักในที่สุด
นึกถึงตรงนี้หัวใจก็ต้องร้อนรนเช่นเกาทัณฑ์ที่แล่นปราดจากคันศร จวบจนร่างเล็กพลิกตัวหลบหลีกไปรอบๆตัว สมองก็พลันขบคิดวิธีหนึ่งขึ้นได้ ซึ่งแม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะดีร้าย ทว่าตอนนี้พวกเขาได้แต่ลองเสี่ยง
ดวงตาสีดำกวาดมองลึกในดวงตาสีฟ้าอมเขียวอย่างมีความนัย ไป๋เซ่อจ้องมองเพียงแวบเดียวก็ทำความเข้าใจได้
มือเรียวเก็บกระบี่คืน ถีบปลายเท้าทีหนึ่งก็พุ่งทะยานห่างจากชายหนุ่มไปหลายก้าว ฝ่ายรัชทายาทหนุ่มมิปล่อยให้ร่างเล็กไปได้ไกล สองเท้าโผทะยานติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
เมื่อเห็นว่าเป็นไปตามที่คิด อ๋องเลือดเย็นก็ยิ้มเยาะอย่างย่ามใจ คิดจะหนี ย่อมมิง่ายดายนัก... แต่แล้วไม่นานสถานการณ์เบื้องหน้าก็ทำให้เขาต้องหุบยิ้ม หากประเมินมองไม่ผิดทั้งสองกำลังม้วนตัวตรงมาทางเขา
ราวกับนัดแนะไว้ ไป๋เซ่อลอยตัวข้ามไปที่ด้านหลัง ซวนหยวนหมิงไท่หยุดลงตรงหน้า บีบให้บุรุษในชุดแดงอยู่ตรงกลางมิอาจขยับได้อีก พริบตาต่อมากระบี่ยาวหนึ่งจั้งทั้งสองเล่มก็เสือกแทงซ้ายขวา
ตวนผิงซางอ๋องไหวตัวทันจึงเบี่ยงร่างขนาบเข้ากับตัวกระบี่ ความเยียบเย็นของโลหะแนบติดหน้าอกและแผ่นหลัง ยังผลให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น แลในจังหวะนั้นเองเจ้าของกระบี่พลันพลิกข้อมือลง จากนั้นอาศัยความรวดเร็วชักกระบี่กลับคืน ***************************************************
ทันทีที่พู่กระบี่ไหววูบ หยาดหยดโลหิตก็ฉีดพุ่งเป็นสาย กระจายตัวเป็นละอองสีแดงท่ามกลางสายลมแผ่วเบา เสียงงูขู่ฟ่อๆร้องคลออย่างชื่นชม แม้แต่เย่วเซียงเองก็ยังอดที่จะตะลึงมองมิได้
“ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ” ยอดเยี่ยมไปเลย พี่ชายไป๋
“น่าตายนัก คิดใช้ข้าเป็นเกราะกำบัง” ตวนผิงซางอ๋องระเบิดโทสะเป็นเสียงคำรามลั่น คาดคิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเจ้าความคิดขนาดนี้ เขาเกร็งกำลังเท้านำพาตนเองถอยปราดออกไป แต่มาตรว่าเป็นเช่นนั้นเงากระบี่กลับยังคงไล่ล่าตามเขาไม่ห่าง
ซวนหยวนหมิงไท่กับไป๋เซ่อยังคงหันหน้าฟาดฟันกระบี่ ฝีเท้ารุกคืบไปยังบุรุษองอาจในชุดสีแดงอย่างไม่ลดละ ยามเมื่อสองเท้าหยุดยืนได้มั่นคง ตวนผิงซางอ๋องก็ตกอยู่ในวงล้อมไว้อีกครั้ง พลางรับการจู่โจมทั้งสองด้านซึ่งสอดประสานฝีมือกันอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งสามประมือกันไปแล้วกว่าสามสิบกระบวนท่า ผ่านไปสักพัก อ๋องแห่งเหลียวตงก็เล็งเห็นจุดอ่อน จู่ๆรอยยิ้มเหี้ยมก็ผุดขึ้นกะทันหัน ให้รัชทายาทหนุ่มสังหรณ์ใจไม่ดี ครั้นส่งสัญญาณให้ร่างเล็กล่าถอย ตวนผิงซางอ๋องกลับชิงโคจรลมปราณหมุนฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังวัตรสูงส่งออกมาแล้ว
ไป๋เซ่อกำลังถลันตัวเข้าไป พริบตานั้นขุมพลังหนึ่งก็ตรงเข้าทักทายในระยะประชิด ส่งผลให้ร่างต้องลอยละลิ่วไป ก่อนไถลกับพื้นอยู่หลายตลบ หงลิ่วซึ่งยังคงเกาะอยู่บนใบหน้าเจ้าตัวก็ยังกระเด็นหายเข้าไปในพุ่มไม้ที่มมืดมิด
“ไป๋เซ่อ” รัชทายาทหนุ่มใจหายวูบ สบโอกาสให้ตวนผิงซางอ๋องวาดฝ่ามือกระแทกเข้าที่หน้าอก ทันใดนั้นความแสบร้อนก็โลดแล่นจากอกไปถึงลำคอ ให้ต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว
“คุณชายหมิง” ถึงเพลานี้เย่วเซียงจึงร้องลั่น วิ่งเข้าไปประคองชายหนุ่มที่บาดเจ็บเอาไว้ แต่ฝ่ามือนี้นับว่าสร้างความสาหัสให้แก่ร่างสูงเพรียว ถึงขนาดต้องทรุดนั่งลงกระอักเลือดคั่งออกมาคำใหญ่
“คุณชายหมิงพอเถิด อย่าสู้อีกเลย ตราบใดที่ท่านถูกกำไลวิเศษพันธนาการไว้ จะอย่างไรก็มิอาจเอาชนะเขาได้” เย่วเซียงได้แต่กล่าววิงวอน หยาดน้ำรื้นในดวงตาสุกใส อานุภาพของวิเศษชิ้นนี้ นางรู้ดีกว่าใคร จึงมิอาจทนเห็นเขาถูกทำร้ายไปมากกว่านี้อีก
คิ้วย่นลงด้วยความเจ็บปวด เห็นทีว่าซี่โครงหักราวสองถึงสามซี่ มาตรแม้นเป็นเช่นนั้นก็มิอาจถอดใจ หากยอมรับชะตากรรมแล้วไซร้ ไป๋เซ่อเล่า...จะมีทางรอดได้เช่นไร ดังนั้นได้แต่ฝืนหยัดยืน แต่แล้วดวงตาสีดำก็ต้องเบิกกว้าง
บัดนี้ลำคอระหงถูกมือใหญ่กำรอบ ใบหน้าเย้ายวนบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ปลายเท้าเหยียดตรงสัมผัสพื้นเพียงผิวเผิน ดวงตาสีฟ้าอมเขียวหรี่มอง หายใจเข้าออกอย่างยากลำบาก
ขอเพียงออกแรงอีกนิด คอเล็กๆนี้ก็จะหักได้ในพริบตา ทว่าทำเช่นนั้นยังไม่ดีพอ ตวนผิงซางอ๋องจึงยิ้ม “เอาล่ะ ถึงเวลาท่านปลิดชีวิตอันน่าสมเพชของเขาแล้ว”
“ท่านทำเช่นนี้แล้วได้กระไรขึ้นมา” ซวนหยวนหมิงไท่กล่าวเสียงพร่า ในที่สุดสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่อยากให้เกิด ก็บังเกิดขึ้นแล้ว
“อย่างน้อยพวกเจ้าตระกูลซวนหยวนจะได้รู้จักรสชาติคนตายที่ยังมีลมหายใจ”
บทสนทนาจบลง มือที่กำไว้อาวุธอันแหลมคมก็ต้องสั่นสะท้าน ซวนหยวนหมิงไท่ย่างก้าวไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะพรรณนา หัวใจบีบคั้นเสมือนถูกทุบครั้งแล้วครั้งเล่าแทบไม่เหลือชิ้นดี จวบจนสองขาหยุดลง เขาก็เงยหน้ามองไป๋เซ่อด้วยสายตาที่เจ็บปวด
แต่แล้วไป๋เซ่อกลับยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ในส่วนลึกแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาเช่นนี้ “เฮอะ เอาเถอะเห็นแก่สีหน้านี้ของเจ้า ข้าจะยอมรับสักดาบ คงจะไม่เจ็บเท่าไหร่กระมัง” เขาสบถกล่าว แต่ท้ายประโยคยังคงลังเลอยู่บ้าง
ไม่ ให้ข้าฆ่าเจ้า ไม่ ไม่มีทาง
ในอกพลันตะโกนอย่างรวดร้าว แม้จะฝืนตัวเองอย่างไร ร่างกายกลับสวนทางมิฟังคำสั่ง กระบี่ในมือเงื้อขึ้นสูงเรื่อยๆ เขาหลับตาลงอีกครั้ง
หากต้องเสียไป๋เซ่อไป แขนข้างนี้เขาก็ไม่ต้องการมันอีก
คิดได้เช่นนั้นดวงตาก็สว่างวาบ คล้ายบรรลุข้อเท็จจริงบางประการ เขาชำเลืองมองมือข้างที่ถือกระบี่ มันเกร็งข้อเขียวจนเส้นเลือดปูดโปน ทันใดนั้นก็ฝืนยกมืออีกข้างขึ้นเล็งจุดๆหนึ่งจนท่อนแขนสั่นระริก
ต่อให้ต้องพิการ ร่างกายพังพินาศ...เขาก็มิสน
“เฮ้ๆ อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดจะตัดแขนตัวเอง” เห็นสายตาดื้อรั้นที่เด็ดเดี่ยวผิดปกติคู่นั้น ไป๋เซ่อก็หรี่ตามองก็ต้องร่ำร้องออกมา
“ก็ข้ามันรัชทายาทงี่เง่านี่นา” ซวนหยวนหมิงไท่กลั้วหัวเราะ เหงื่อหลั่งไหลแนบข้างแก้ม เพลานี้ไม่ว่าใครก็มิอาจห้ามจิตใจอันแน่วแน่นี้ได้ ทว่าเย่วเซียงกลับรับฟังจนตะลึงลาน
“ไม่” นางถลันเข้ารั้งแขนเขาไว้ ช้อนดวงตาสุกใสซึ่งคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำขึ้นจ้องดวงหน้าสง่างาม เอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณชายหมิง ท่านทำเช่นนี้มันคุ้มค่าแล้วหรือ”
“คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”
ซวนหยวนหมิงไท่สวนตอบแทบมิต้องคิด น้ำหนักเสียงทำให้เย่วเซียงต้องผงะถอยหลัง สองมือบอบบางตกลงจากแขนแกร่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ใจเยียบเย็นราวกับแช่แข็งในพริบตา
เช่นเดียวกับไป๋เซ่อที่ฟังแล้วก็ต้องสะท้านใจ เขาเอ่ยเสียงอู้อี้ “โฮ ซวนหยวนหมิงไท่ หากจบเรื่องนี้ ข้าจะไปขอรากบัวจากตาแก่อาวุโสเทพหวางจื้อมาต่อแขนเจ้า รับรองมันต้องยอดเยี่ยมกว่าของเก่าเป็นแน่”
ฟังแล้วซวนหยวนหมิงไท่ก็เลิกคิ้วหัวเราะ “ขออย่าได้พิสดารมากนักเป็นพอ”
“องค์รัชทายาท ท่านมันโง่งม กำไลวิเศษอาบเลือดข้าถึงสี่สิบเก้าวัน ท่านมิอาจหลุดพ้นจากมนตร์ควบคุมนี้ไปได้” ตวนผิงซางอ๋องกล่าวด้วยความมั่นใจ แต่แล้วกลับมีแว่วเสียงประชดดังออกมาจากทางด้านหนึ่ง
“แค่มนตร์กระจอกๆ หาใช่ของวิเศษแต่อย่างใด”
สิ้นเสียงก็บังเกิดเป็นลำแสงสว่างจ้าพุ่งวาบ ตรงเข้าทำลายกำไลเงินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยวิถีพลังสะท้อนร่างรัชทายาทหนุ่มให้เสียหลักหงายหลังล้มลง กระบี่ในมือกระเด็นออกไปทิศทางใดก็ไม่ทราบได้
“เป็นท่าน?” เย่วเซียงหลุดน้ำเสียงแปลกใจ
ด้านซวนหยวนหมิงไท่มิได้หันกลับไปมองผู้มาใหม่ แม้มิค่อยชอบหน้าคนผู้นี้สักเท่าใด แต่ในเพลานี้มีแต่ต้องยอมรับนับถือ เพียงบุรุษผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น สถานการณ์ที่กำลังเลวร้ายพลันคลายลงอย่างน่าประหลาด ****************************************************
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
อ๋องผู้ปกครองดินแดนเหลียวตงกล่าวถาม ทว่าบุรุษสูงใหญ่ในชุดสีม่วงอมดำมิคิดตอบคำ กลับเป็นเด็กชายที่มีเค้าใบหน้าน่ารัก ผมรวบเป็นหางม้า อ้าปากพูดจาฉะฉานขึ้นแทน
“พี่ใหญ่ ขุนนางผู้นี้นับว่าโฉดชั่วโดยแท้ เขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ เป็นตัวการช่วงชิงจิตวิญญาณผู้อื่น ควบคุมร่างของแม่นางน้อยกับพี่ชายหมิง ที่สำคัญเขาทำร้ายข้ากับพี่ชายไป๋ด้วย ถ้าข้ากัดเขา จะถือว่าผิดกฎตระกูลหรือไม่” ได้ทีหงลิ่วก็ฟ้องใหญ่ ทั้งยังไม่ลืมถามเพื่อให้มั่นใจ
เดิมทีตระกูลหงตรากฎมิให้ทำร้ายฆ่าฟันมนุษย์ เว้นเพียงบุคคลชั่วช้ามิต่างกับเดรัจฉาน
ทันใดนั้นดวงตาสีม่วงอมดำก็ทอประกายวาบ ทอดมองคนที่กำรอบคอเล็กอย่างกินเลือดกินเนื้อ หงเว่ยกดเสียงต่ำ “แค่แตะต้องไป่ไป๋ก็สมควรมิได้ผุดได้เกิดแล้ว”
รังสีสังหารแผ่ขยาย กลิ่นอายความตายปกคลุมไปทั่วบริเวณ ตวนผิงซางอ๋องขมวดคิ้วมุ่น ลงความเห็นว่าบุรุษผู้นี้หาใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างที่ตาเห็น ดังนั้นจึงลองหยั่งเชิง “ดูจากที่เจ้าปรากฏตัว เห็นทีวั่นอู่หงจะมิได้เรื่องจริงๆ”
“แค่ปีศาจชั้นปลายแถว มิคู่ควรเป็นคู่มือข้า” เขาพูดพลางเล่นปลายนิ้วของตนเองอย่างไม่ยี่หระ
มิต่างไปจากที่คิด ปีศาจนกยูงช่างเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์ ตวนอ๋องขบกรามกรอดๆ เรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ เขามิยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฉะนั้นมิสู้ลงมือเสียก่อน “ข้ามิเชื่อว่าจะสู้ปีศาจอย่างเจ้ามิได้”
มือปละปล่อยจากลำคอระหง สะกิดเท้าพุ่งปราดทะยานตัวไปข้างหน้า เขากราดฝ่ามือซึ่งแฝงพลังแยบคายเข้าใส่ผู้มาใหม่ ด้านหงเว่ยยังคงยืนอยู่กับที่ มีเพียงเหยียดแขนออกไปแลกฝ่ามือโดยตรง
รอจนสองมือประกบ ขุมพลังทั้งสองก็ต่างผลักดันซึ่งกันและกัน ทว่าไม่ช้าไม่นานผู้เป็นอ๋องก็ต้องผละตัวออก เนื่องเพราะกระแสพลังร้อนแผดเผาที่หลั่งไหลเข้าสู่กาย กดดันให้เขาต้องซวนเซถอยหลังไปราวสามก้าว ครั้นก้มลงมองก็พบรอยไหม้บนฝ่ามือ
“ถึงทีข้าบ้าง” เมื่อสบโอกาสเด็กน้อยข้างกายหงเว่ยก็กระโจนออกไป หงลิ่วค่อยๆเปลี่ยนรูปเป็นอสรพิษตัวสีดำเงา ดีดตัวเข้าพัวพันบุรุษชุดแดงด้วยท่วงท่ารวดเร็ว
ฝ่ายตวนผิงซางอ๋อง เขาสูญสิ้นพลังไปกว่าครึ่งจากการแลกฝ่ามือเมื่อครู่ ยามเหตุการณ์แปรเปลี่ยนฉุกละหุก จึงมิอาจปัดป้องอสรพิษที่ตรงดิ่งเข้ามาได้ทันการณ์ เพียงได้ยินเสียงขู่ฟ่ออย่างดุร้ายคราหนึ่ง ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บริเวณต้นคอ
หลังจมรอยเขี้ยวอันแหลมคมไว้ได้สำเร็จ หงลิ่วก็ดีดพุ่งตัวออกไป คืนรูปลักษณ์เป็นเด็กชายวิ่งกลับไปยืนอยู่ข้างกายหงเว่ยตามเดิม
เพลานี้สีหน้าของตวนผิงซางอ๋องเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ สองนิ้วรีบสกัดจุดเบื้องต้นบนกาย กระนั้นพิษส่วนหนึ่งกลับแล่นเข้าสู่หัวใจ ทำให้ดวงตาเขาเริ่มพร่ามัว ภาพเบื้องหน้าไหววูบราวกับพสุธากำลังสั่นคลอน เหงื่อกาฬหลั่งชโลมใบหน้า อาการแข็งทื่อด้านชาลามเลียไปทั่วร่างกาย
พริบตาเดียวบุรุษองอาจกล้าหาญกอปรไปด้วยสติปัญญา กระทั่งอริราชศัตรูยังต้องเบือนหน้าหนี ก็มิหลงเหลือความสง่างามที่เคยมีอีก ผมเผ้ากลับกลายเป็นขาวโพลน เส้นเลือดสีดำกระจายไปทั่วใบหน้าขาวซีด ดวงตาโหลลึกไร้ประกาย ปลายเล็บเป็นสีม่วงคล้ำ ไม่นานนักโลหิตดำคล้ำก็เริ่มไหลออกจากทางทวารทั้งเจ็ด
“ข้าขอสาปแช่งพวกเจ้า ตระกูลซวนหยวน”
ฉับพลันนั้นตวนผิงซางอ๋องก็ส่งเสียงด่าทอซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ดวงตาเบิกกว้างอย่างน่ากลัว สะกดให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“พิษของพวกเจ้าร้ายกาจยิ่ง”
กระทั่งไป๋เซ่อซึ่งได้รับการพยุงตัวจากซวนหยวนหมิงไท่เอ่ยขึ้น คนตรงหน้าก็เริ่มเห็นภาพหลอน
“ไป๋จวิ้น เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะฆ่าเจ้า” กล่าวไปก็เที่ยวออกกระบวนท่าไล่ฟาดฟันอากาศไปมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นไป๋จวิ้นในสภาพเลือดท่วมตัว ใช้สายตามองมาอย่างเหยียดหยาม
จวบจนคนเสียสติโงนเงนสะดุดล้มลง สองมือก็เอื้อมสัมผัสโดนปลายเท้าของคนผู้หนึ่ง “ซวนหยวนหมิงจง เป็นเจ้าผิดคำสัญญา ข้า...ขอพยาบาทเจ้า”
ซวนหยวนหมิงไท่ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยกล่าวอย่างหนักใจ “ท่านอ๋อง ท่านไม่เคยคิดจริงๆหรือ คดีของไป๋จวิ้นอุจฉกรรจ์ถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงปิดลงง่ายๆ ทั้งไม่มีผู้ใดกล่าวถึงอีก”
ตวนผิงซางอ๋องฟังแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมองผู้กล่าวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายสหายสนิท
“นี่เป็นเพราะเสด็จพ่อรู้...รู้ว่าเป็นฝีมือท่าน แต่เพราะท่านเป็นสหายของพระองค์ เสด็จพ่อจึงเลือกที่จะปกปิดมันไว้ มิให้ผู้ใดรื้อฟื้นมันอีก” ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ คงจะมีแต่พระบิดาเท่านั้นที่ให้คำตอบได้
“หมิงจง” ฟังแล้วสีหน้าของตวนผิงซางอ๋องก็คล้ายซีดขาวลงกว่าเดิม เขาพยายามหยัดยืนด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนเอ่ยถึงนามของคนอีกผู้หนึ่งด้วยความคะนึงถึง “จิ่นหลง”
สองเท้าลากเข้าไปหาสตรีที่มีดวงหน้าหวาน เย่วเซียงเห็นดังนั้นก็ผงะถอยออกไปก้าวหนึ่ง แต่มาตรว่าท่านอ๋องมาถึงตัว เขากลับเดินผ่านเลยไปคล้ายมองไม่เห็นตัวนาง
คนทั้งหมดจึงได้แต่มองส่งวาระสุดท้ายของบุรุษที่เป็นที่กล่าวขาน ซึ่งมุ่งหน้าไปทางเรือนอักษรด้วยแผ่นหลังที่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง โดยไม่มีใครคิดขัดขวางคนผู้นี้อีก *********************************************************
เรือนร่างบุรุษชุดแดงลับไป ฟากฟ้ากระจ่างตาขับไล่ความมืดมัวออกไปบางส่วน ดูว่าอีกไม่กี่ชั่วยามตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้า ส่องแสงนำทางให้ผู้คนเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง
หงลิ่ววิ่งเข้าไปกอดไป๋เซ่อยกใหญ่ เด็กน้อยกล่าวน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว“พี่ชายไป๋ เห็นข้าผดุงความยุติธรรมแล้วรึไม่ ดูเป็นเช่นไรบ้าง”
“ดีมาก หงลิ่ว เจ้าเดินตามรอยเท้าข้าได้ดียิ่ง” ไป๋เซ่อพูดจบก็ยืดอก ยังผลให้ซวนหยวนหมิงไท่ต้องกลอกตาไปมารอบหนึ่ง หงเว่ยผุดรอยยิ้มที่เสมือนมิมีออกมา
ทว่าในจังหวะที่ทุกคนคลายใจ เคราะห์กรรมอีกระลอกกลับคืบคลานมาเยือนพวกเขา ท้องฟ้าด้านหนึ่งเริ่มประกายเรืองรองเป็นสีอำพัน ทว่าอีกฟากฝั่งกลับทะมึนมัว แสงอสนีบาตวูบวาบเป็นระยะๆ ไม่นานนักเสียงสะเทือนเลือนลั่นราวปฐพีแยกก็บังเกิดขึ้น
“เสียงคลื่นน้ำ?” เย่วเซียงที่อยู่ใกล้สุดพลันเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
หงเว่ยได้ยินดังนั้นดวงตาที่ม่วงอมดำก็เลิกกว้าง ตะโกนออกมาพร้อมเหินทะยานตัวเหนือลม “ออกห่างจากที่นี่เร็ว หงลิ่ว ไป่ไป๋”
เจ้าของนามทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็งงงัน ไม่เว้นแม้แต่รัชทายาทและเย่วเซียงที่จับจ้องหงเว่ยที่ลอยตัว สองมือรวบรวมขุมพลังขนานใหญ่
อันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ปรากฏคลื่นน้ำที่ก่อตัวสูง มันตรงเข้าถาโถมทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่ไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ทว่าก่อนบังเกิดการปะทะ คลื่นมหาศาลกลับถูกสกัดกั้นด้วยกำแพงใสสีม่วงที่จับตัวเป็นชั้นหนา หงเว่ยปลดปล่อยพลังต้านรับคลื่นอาคมเต็มที่ สมาธิทั้งหมดถูกใช้ออกด้วยการนี้
หากแต่ไม่นานกำแพงดังกล่าวกลับบางลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยมิอาจทนทานต่อมวลคลื่นที่กระแทกมาไม่มีหยุดยั้ง ท้ายที่สุดมันก็แตกร้าว กลืนกินของร่างหงเว่ยเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นฉับไว ต่อจากนั้นคลื่นยักษ์ตรงหน้าก็เตรียมกระหน่ำใส่คนที่เหลือต่อ ซวนหยวนหมิงไท่รีบร้องบอกให้เย่วเซียงหาที่กำบังไว้ ส่วนตนเอื้อมไปคว้าจับมือที่เย็นเฉียบของไป๋เซ่อไว้ให้มั่น
แลไม่นานมวลน้ำโครมใหญ่ก็ปะทะถึงตัว สองมือที่จับกันไว้อย่างแน่นเหนียวพลันถูกคลื่นอันรุนแรงบีบบังคับให้เลื่อนหลุดออกจากกัน ไป๋เซ่อกับหงลิ่วพลอยม้วนตัวเข้าสู่กระแสน้ำไปต่อหน้าต่อตา
“ไป๋เซ่อ หงลิ่ว” ซวนหยวนหมิงไท่ร้องเรียกคราหนึ่งก็ตระหนักได้ถึงความผิดแผก
มาตรว่าคลื่นยักษ์ถาโถม หากแต่ตัวเขากลับยืนอยู่ที่เดิม มิได้รับผลกระทบใดๆจากคลื่นน้ำทั้งสิ้น ราวกับสิ่งที่เคลื่อนที่ผ่านเขาไปเป็นเพียงกระแสลมแรง กระทั่งเย่วเซียงที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ต้องเงยหน้ามองคลื่นผิดปกติที่รวมกันเป็นก้อนกลมอย่างไม่เข้าใจ
“นี่มันอะไรกัน”
ทันที่เย่วเซียงเอ่ยขึ้น นักพรตราวสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นในสภาพมอมแมม ตามร่างกายมีบาดแผลอยู่เล็กน้อย หนึ่งในนั้น ผู้มีเส้นผมสีขาว ดูมีอายุมากที่สุดก็เป็นฝ่ายตอบคำ
“พวกท่านปลอดภัยแล้ว มีคลื่นอาคมนี้อยู่ จ้าวอสรพิษเกร็ดดำมิอาจสร้างเภทภัยให้แก่มนุษย์ได้อีก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ได้ยินวาจาเช่นนั้น ซวนหยวนหมิงไท่ก็รุดตัวเข้าไปเค้นถาม มือกระชากคอเสื้อนักพรตเฒ่า
“นี่เจ้า” นักพรตเต้าเหยียนชี้หน้าอุทาน บุรุษผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่ทำร้ายเขาเมื่อครั้งจับปีศาจในเมืองตงหัวมิใช่หรือ
“ข้าถามว่าพวกเจ้าทำกระไรลงไป” เขายังคงไม่สนใจ หันไปถลึงตาใส่นักพรตหนวดเคราสีขาวอย่างกดดัน
นักพรตคนดังกล่าวสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารก็ต้องรีบอธิบายต่อ “คุณชาย ท่านอาจจะไม่รู้ เมืองเหลียวตงแห่งนี้ถูกครอบงำด้วยปีศาจชั่วร้าย ยังมีชายหนุ่มหลายรายหายตัวไปอย่างลึกลับ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจ้าวอสรพิษเกร็ดดำ ถึงแม้พวกเราทั้งสี่มิอาจต่อกรมารร้าย หากแต่บรรพชนรุ่นก่อนของสำนักเราได้ทิ้งอาคมเก่าแก่ชนิดหนึ่ง ดั่งที่ท่านเห็นอยู่ในขณะนี้ นี้เป็นคลื่นอาคมที่ใช้สำหรับขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะ”
ขจัดอสรพิษเช่นพวกมันโดยเฉพาะงั้นหรือ...
ซวนหยวนหมิงไท่รับฟังจนตัวสั่นเทิ้ม สองมือคลายออกจากเสื้อนักพรตเฒ่า สายตาเบิกค้างหันไปจ้องมองคลื่นน้ำที่รวมตัวเป็นหยดน้ำขนาดใหญ่ แม้ภายนอกดูใส หากแต่มิอาจเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้ เสมือนทุกชีวิตได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
ฉับพลันนั้นภาพของร่างน้อยที่ชอบฉีกยิ้มแฉ่งก็วนเวียนอยู่ตรงหน้า คำพูดที่ชอบประชดประชันก็ลอยเข้าสู่โสตประสาท ความเจ็บปวดร้าวเจียนแตกสลายกอบกุมให้จิตใจเขาคล้ายพังทลาย หยาดน้ำตาสายหนึ่งร่วงหล่นจากนัยน์ตา ริมฝีปากพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไป๋เซ่อ เจ้าอยู่ไหน”
เห็นชายหนุ่มก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย เย่วเซียงก็รู้สึกปวดใจไม่ต่างกัน “คุณชายหมิง” นางเอ่ยเสียงเบา ยื่นมือออกไปด้วยต้องการปลอบโยน ทว่ายังมิทันสัมผัสถึงไหล่ตรงหน้า ชายหนุ่มก็กู่ร้องไปทั่วบริเวณแล้ว
“ไป๋เซ่อ” **********************************************************
ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของตวนผิงซางอ๋อง รู้สึกวนเวียนกับเฮียมาหลายบท เอาเป็นว่าเฮียเเกก็มีมุมน่าสงสาร ถูกกาลเวลาช่วงชิงสตรีที่รักไปแบบงงๆในขณะที่ทุ่มเทให้กับชาติบ้านเมือง คือเฮียเเกผิดหวังเเละเเบบไม่รู้จะโทษใคร เลยพาลใส่คนที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น
บทนี้ใครรอความมุ้งมิ้ง ไรท์คงโดนตบ ก็สถานการณ์มันน่าสิ่วน่าขวาน ฟรุ้งฟริ้งมากไม่ได้ ขออภัยด้วยจ้า