{เรื่องสั้น} Feedlove - เลี้ยงหัวใจ แวมไพร์เย็นชา - Ch.1 up 30.12.58 2.18น.
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} Feedlove - เลี้ยงหัวใจ แวมไพร์เย็นชา - Ch.1 up 30.12.58 2.18น.  (อ่าน 2385 ครั้ง)

ออฟไลน์ desevbas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


____________________________________________________________________________________________

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2015 02:13:54 โดย desevbas »

ออฟไลน์ desevbas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

บลัด
ผมเกลียดมนุษย์ ผมเกลียดที่พวกเขาไม่ยอมรับพวกผม เพียงเพราะพวกผมเป็นแวมไพร์ ที่พวกเขาตราหน้าว่า "ผีดูดเลือด" ในโลกที่พวกผมต้องอยู่แบบหลบๆ ซ้อนๆ ไม่มีที่ยืน ผมต้องคอยแอบ ปิดบังตัว เพราะพวกมนุษย์กลัวผม กลัวว่าแวมไพร์อย่างพวกผมจะฆ่าพวกเขา ทำให้ผมเกิดมาต้องหลบซ้อนอยู่ใต้กฏบัญญัติของพวกมนุษย์ที่กีดกันพวกผม เพียงเพราะผมเป็น "แวมไพร์" จนเมื่อผมเจอกับเขา คนที่ทั้งพูดมาก น่ารำคาญ แต่ไม่รู้สิผมกลับ...มองเขาไม่ห่างสายตา


สกาย
ผมแค่ไม่ชอบการกดขี่ ผมไม่ใช่การข่มเหง การที่พวกเราอยู่ในโลกใบนี้มันจำเป็นหรอที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวที่จะครองโลก ผมว่าไม่ใช่ ผมคิดว่า เราสามารถอยู่ในโลกที่มีความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ได้ เหมือนที่ผมเจอกับเขา เขาบอกผมว่าเกลียดมนุษย์ เกลียดจนอยากฆ่า ผมก็ทำได้แค่ "อยากเปลี่ยนใจเขา" และทำให้มนุษย์ยอมรับใน "แวมไพร์" เพราะผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่อยากจะอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ


____________________________________________________________________________________________

"นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ"บลัด

"ถ้าไม่อยากรำคาญก็คุยกับฉันก่อนสิ"

"จะคุยอะไร"

"อย่าเกลียดมนุษย์ได้ไหม ?"

"เหตุผล ?"

"เพราะ...ฉันเอง ก็ไม่อยากเกลียดนาย"บลัดเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ลำคอขาวของผม...สมหายใจแผ่วเบาค่อยๆ สูดดมก่อนที่ผมจะปรายตามองเขาด้วยหางตา แววตาสีดำที่ถูกปกปิดแต่ผมก็รู้ว่าดวงตาสีเทาอ่อนๆ ของเขามันมีสเน่ห์มากล้น ก่อนที่เสียงใหญ่กว้างจะดังอย่างแผ่วเบา


"นายรู้ไหมสกาย...ว่าเลือดของนาย กลิ่นมันหวานมากแค่ไหน ฉันว่า...ฉันอยากจะลองชิมเลือดอันแสนหอมหวานของนายแล้วล่ะ"

ผมเบิกตากว้าง...แต่ก็ไม่ทันแล้ว

"บลัด !!!!".............

___________________________________________________________________________________________

สวัสดีครับทุกคนนนนนน ... เรื่องสั้น แฟนตาซี ที่ผมพยายามอย่างมาก ...
เกิดแรงบรรดาลใจเมื่อดู Twilight แต่ไม่เหมือนนะครับ ฮ่าๆๆๆๆ
ฝากติดตามด้วยนะครับ ผมอาจจะแต่งไม่เกิน 12 ตอนนะ สั้นๆ ฟินๆ


แล้วก็ ฝากเรื่องสั้นก่อนๆ ด้วยครับ

1


2

ออฟไลน์ desevbas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
*หมายเหตุ - เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาอ้างอิงถึงใครใดๆ ทั้งสิ้น

____________________________________________________________________________________________

Chapter.1


กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


   เสียงนาฬิกาปลุกที่ท่านแม่ประทานมาให้เสียงช่างหนวกแก้วหูเสียนี่กระไร ผมสะลึมสะลือควานหาก่อนจะปิดเสียงที่น่ารำคาญนั้นแล้วถอนหายใจออกมา


อ่า...ต้องไปเรียนอีกแล้วหรอเนี่ย


   การศึกษาไทยทำไมมันช่างน่าเบื่อมากขนาดนี้นะ แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าไม่เรียนก็โดนลดระดับเป็นประชาชนชั้นล่าง ผมเลยต้องเรียน ซึ่งการเรียนสัตวแพทย์ของผมนั้นมันก็...


ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก


“สกาย รีบๆ อาบน้ำแล้วลงมากินข้าวลูก”เสียงของคุณนายสายธารดึงขึ้นผมจึงต้องลุกอย่างงัวเงียแล้วก็ขยี้ผมก่อนจะลุกขึ้นเดิน
แบบเซๆ เพราะยังไม่ได้ปรับสายตา

“คร้าบบบ”ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ราวตากก่อนที่จะเดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ชำระร่างกายที่ทำเป็นประจำเป็นกิจวัตร
ออกจากห้องน้ำ แต่งตัวใส่เสื้อนักศึกษาที่รีดอย่างเนียบโดยท่านแม่พร้อมกับใส่เนคไทอย่างยากลำบากเพราะว่าผมเพิ่งหัดใส่ได้
แค่ไม่กี่วันเอง ก็ผมเพิ่งเข้าปีหนึ่งนี่ครับ โดนกดขี่จากอาจารย์ยังไม่พอ ยังต้องมาโดนกดขี่จากรุ่นพี่อีก


“ข่าวด่วน...เมื่อเวลาประมาณสี่นาฬิกาสามสิบห้านาที หน่วยปราบปราบแวมไพร์ได้ทำการวิสามัญฆาตกรรมแวมไพร์ตนหนึ่งซึ่ง
เข้าทำร้ายร่างกายหญิงสาวและดูดเลือดจนเสียชีวิต ผิดกฎบัญญัติของแวมไพร์ที่ห้ามดื่มเลือดมนุษย์ จึงได้ถูกวิสามัญ”



   ผมได้ยินเสียงข่าวที่หดหูเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างซึ่งพ่อผมกำลังนั่งดูอยู่ สายตาใต้กรอบแว่นนั้นสั่นระริกเหมือนโกรธอะไร
อยู่ นายพลตำรวจใหญ่นั่งในชุดข้าราชการเต็มยศอย่างสง่างาม ก่อนจะลุกขึ้นจนเต็มความสูง

“พวกนี้ต้องจับล้างเผ่าพันธุ์ให้หมด”เสียงผู้เป็นพ่อประกาศกร้าวอย่างเข็มแข็ง ใช่ครับ พวกผมอยู่ในโลกที่มนุษย์และแวมไพร์ต้อง
อยู่ร่วมกันในโลก ซึ่งเหล่าแวมไพร์ก็กระจายตัวอยู่ทั่วโลกรวมถึงในประเทศที่ผมอยู่คือไทยแลนด์แดนสยาม


   และคนที่ประกาศกร้าวเสียงแข็งนั้นเป็นพ่อผมซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยปราบปรามแวมไพร์ ซึ่งตำแหน่งสูงสุด พ่อเป็น
มนุษย์ที่เกลียดแวมไพร์มากถึงมากที่สุดเนื่องด้วย ย่าของผมซึ่งเป็นแม่ของพ่อถูกแวมไพร์กัดและดูดเลือดตาย ทำให้พ่อผมฝังใจ
กับการจากไปครั้งนั้นและเกลียดเหล่าแวมไพร์ถึงขั้นสุด


   ผิดกับผม


   ซึ่งผมไม่เห็นว่าการที่แวมไพร์จะอยู่ร่วมโลกเดียวกับเรามันจะน่ากลัวตรงไหน หากมองย้อนกลับไป ก็อาจจะจริงที่แวมไพร์
เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัว แต่ทำไมเราไม่ทำการเจรจาอย่างที่เป็นกลางกันที่สุด ผมไม่เห็นด้วยเลยสักนิดกับกฎบัญญัติแวมไพร์ที่
ประกาศขึ้นมา ผมไม่เห็นประโยชน์ของมันเลยสักนิด เหล่าคนที่มนุษย์เรียกว่าผีดูดเลือด เขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตหรือไง  ทำไมถึงต้อง
กดขี่อะไรพวกเขาขนาดนั้น

“ก็เพราะพวกเราตั้งกฎบ้าบอมาผูกขาดพวกเขาไงครับ...ก็เพราะเรากดขี่เขา เขาถึงต้องการที่ยืนในโลก”ผมบอกเสียงจริงจังแล้ว
ตักข้าวต้มเข้าปากแล้วไม่มองหน้าผู้เป็นใหญ่ในบ้าน แม่ผมสะกิดดึงแขนผมเพื่อปราม แต่ผมก็ไม่สนใจ

“แกมันสติไม่ดีไงกาย ถึงได้คิดจะญาติดีกับพวกนั้น วันหนึ่งแกโดนพวกนั้นกัด แกจะรู้สึก”พ่อผมบอก ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจ

“กัดซะก็ดี ผมจะได้รู้ว่า...”ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองหน้าผู้เป็นพ่อ “การโดนทำร้ายมันเป็นยังไง ? ผมอาจจะเข้าใจจิตใจพวกเขา
มากกว่านี้ก็ได้”ผมหันไปหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย “ผมไปเรียนก่อนนะครับแม่”ผมยกมือไหว้แม่และพ่ออย่างลวกๆ แล้วเดินหนีทันที


“ลูกไม่รักดี โดนกัดตายๆ ไปซะ”


   นั่นคือเสียงที่ผมได้ยินตามหลังออกมาหลังจากผมออกจากบ้าน ผมไม่สนใจอะไรพ่ออยู่แล้วครับ คนเป็นข้าราชการที่บ้า
อำนาจ ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่ผมต้องการให้ทุกสิ่งในโลก ทุกเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแค่นั้นเอง


   ผมเสียบหูฟังฟังเพลงที่ผมชอบระหว่างทางที่ไปมหาวิทยาลัย ผมไปแบบนี้ทุกวัน เป็นปกติ ฟังเพลงที่ชอบ มองผู้คนรอบ
กายตอนเช้าที่ควักไขว่ แล้วก็มองดูวิถีชีวิตของคนหลายๆ ชนชั้นที่มัน...ไม่ดีเอาซะเลย


   ด้วยระบบที่มีอยู่


   ผมเดินลงจากรถเมล์เดินเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเดินไปที่ตึกของคณะซึ่งอยู่ลึกพอสมควร ผมเดินฟังเพลงพร้อมกับก้มลงเล่น
มือถือ ตอบแชทต่างๆ นาๆ ไปเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้ผมไม่ได้ยินอะไร และเห็นอะไร ประสาทสัมผัสของผมอย่างเดียวที่ทำงานตอน
นี้คือ จมูก ทำให้ผมชนกับคนหนึ่งเข้าอย่างจัง กระเป๋าของผมลอยละลิ่วไปในสนามหญ้าข้างๆ ก่อนที่ผมจะล้มลงอย่างเจ็บปวด

“โอยยย”ผมร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะมองหาคู่กรณี ผมมองใบหน้าอันซีดเผือดของเขาและสัญลักษณ์รอยยิ้มมีเขี้ยวที่อยู่ต้นคอของเขา ก็รู้ทันทีว่าชายร่างสูงหน้าซีดคนนี้เป็น...แวมไพร์


   ผมมองภาพเขาพยายามควานหาของบางอย่าง อย่างร้อนรน มือที่สั่นเทาของเขาคลำหาไปเรื่อยๆ ใบหน้าซีดของเขา
ทำให้ผมรู้ทันทีว่าตอนนี้เขา...ขาดเลือด ผมจึงหันไปมองหาช่วยแล้วผมก็เจอถุงเลือดสังเคราะห์ที่เหล่าแวมไพร์และมนุษย์ได้
คิดค้นขึ้น ผมหยิบขึ้นมาแล้วยื่นให้เขาทันที

“นายหานี่อยู่ใช่ไหม ?”สายตาสีเทาอ่อนมองมาทางผมก่อนจะมองหน้าด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึก เขารับไป ก่อนจะเจาะแล้วดื่มอย่างกระหาย แน่นอน...อาหารอย่างเดียวของพวกเขาคือเลือด ถึงแม้ว่ามันจะสังเคราะห์ขึ้นมา แต่ว่าก็ไม่เทียบเท่าเลือดจริงแม้แต่น้อย มนุษย์ยังคงเจ้าเล่ห์เพราะว่าเลือดสังเคราะห์จะทำให้ความสามารถของแวมไพร์ลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่าพวกเขาจะถูกจำกัดความสามารถที่เคยมี

โดย...มนุษย์

   เมื่อเขาดื่มหมดร่างกายของเขาเริ่มกลับมาเป็นสีปกติ ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้น ความคิดว่าแวมไพร์จะต้องแสงแดดไม่ได้
ลืมมันไปได้เลยครับ แวมไพร์ในโลกของผมโดนได้แม้แสงจะแรงแค่ไหนก็ตาม


   แวมไพร์หน้าใสมองผมหลังจากที่ดื่มเลือดจนหมด สายตาเรียวดุตวัดมามองผมซึ่งสายตาของเขาช่างอ่านยากยิ่ง คิ้วเข้ม
รับกับรูปหน้า จมูกโด่งเป็นสันทำให้ผมจ้องเขานานเหมือนถูกมนตร์สะกด

   แวมไพร์หนุ่มเดินย่างกรายเข้ามาหาผมช้าๆ สายตาของเขาจ้องมาในแววตาของผมเช่นกัน เขาค่อยๆ ขยับกายเข้ามาใกล้
ก่อนที่หน้าของเขาจะแทรกไปอยู่ตรงซอกคอของผม ปลายจมูกโด่งนั้นห่างจากลำคอของผมไม่กี่เซนต์ ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบ
สามต้องย่อลงมาหาผม ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาวและรู้สึกหอมหวานแบบนั้น


   ผมไมผมถึงไม่หนีเขาล่ะ ?


“อ่ะ...เอ่อ...”ผมพูดติดขัด

“เฮ้ย...ไอ้กายจะโดนกัด !!!”เสียงร้องคุ้นหูของเพื่อนผมดังขึ้นทำให้แวมไพร์หนุ่มเด้งออกจากคอผมโดยอัตโนมัติ ก่อนที่นัยน์ตา
สีเทาจะมองไปยังเพื่อนของผม

“ออกไป ไอ้ผีดูดเลือดบ้า”เพื่อนของผมชูเครื่องช็อตพิเศษที่มนุษย์แทบทุกคนต้องมีติดตัวตั้งแต่เด็กๆ เอาไว้ป้องกันตัวสำหรับ
มนุษย์ต่อแวมไพร์หากโดนทำร้าย เครื่องมันจะช็อตที่ความแรงของไฟฟ้าสูงพอจะทำให้ต้นไม้ล้มได้ แต่ผมคิดว่า...


มันอำมหิตสิ้นดี


“เฮ้ย ใจเย็นๆ กูยังไม่ได้โดนอะไร”ผมยกมือห้ามเพื่อนผมที่ค่อยเดินเข้ามาใกล้อย่างเกรงๆ

“งั้นมึงก็เดินออกมาสิวะ จะไปอยู่ใกล้มันทำไม ?”เม่นเพื่อนในกลุ่มของผมบอกแล้วชูเครื่องขู่แวมไพร์ข้างๆ ผม ผมหันไปมองหน้า
แวมไพร์หนุ่มอย่างต้องมนตร์สะกดอีกครั้ง ริมฝีปากบางขยับออกเล็กน้อยเผยให้เห็นฟังเรียงสวยที่ซ้อนเขี้ยวเอาไว้


“พวกมนุษย์น่ารังเกียจ”เสียงนั้นเบาจนผมแทบไม่ได้ยิน แต่ผมจับใจความได้แบบนั้น แต่เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่
มันก็สมควร แวมไพร์หนุ่มหันหลังกลับไปแล้วเดินจากพวกผมทั้งสองคนไป ด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์โดยทั่วไป ก็นั่นแหละครับ
ความสามารถอย่างหนึ่งของแวมไพร์ หากต้องการเคลื่อนที่ด้วยความไวก็อาจจะเท่าความไวของเครื่องบินไอพ่นเลยก็เป็นได้ ว่า
แต่...


อ่าว...หนังสือในมือของผม เป็นของเจ้าของนัยน์ตาสีเทาคนนั้น


“ไอ้กาย มึงจะไปอยู่ใกล้พวกมันทำไมวะ ? เมื่อไรมึงจะทำตัวให้มันเหมือนมนุษย์คนอื่นที่เขาทำกันบ้าง”ไอ้เม่นเดินเข้ามาหาผม
แล้วก็บ่นกระปอดประแปดตามนิสัยของผม ผมหันมามองเพื่อนของตัวเองแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ แล้วหัวเราะเบาๆ

“แล้วกูไม่เหมือนคนปกติตรงไหน แค่กู...ไม่ได้กลัวพวกเขาอย่างคนอื่นแค่นั้นเอง”ผมพูดพร้อมกับยักไหล่

“ก็นั่นแหละ...มึงก็ทำเหมือนคนอื่นเขาหน่อยสิวะ หากเมื่อกี้มึงโดนกัดขึ้นมา พ่อมึงไม่เอากูตายหรอ ?”เม่นพูดยาวเยียดด้วยเสียง
ที่เหมือนเหนื่อยๆ ผมก็เป็นแบบนี้ประจำแหละครับ เวลาเจอแวมไพร์ที่ไหน ผมก็อยากจะรู้จักพวกเขาไปทั่ว


   ผมอยากศึกษาการใช้ชีวิตของพวกเขา
   ผมอยากจะเรียนรู้การอยู่กับพวกเขา
   ผมอยากจะรู้ทุกอย่างและ “เข้าใจ” พวกเขามากกว่านี้


“แล้วกูตายหรือยัง ?”ผมถาม

“ก็ยังไง”

“แล้วมึงจะบ่นหาเตี่ยมึงหรอ ?”

“เตี่ยกูตายแล้ว”

“กูถึงถามไงว่าจะบ่นหาเตี่ยมึงหรือไง ?”

“บ่นแล้วเตี่ยฟื้นก็ดีสิ”เม่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า เม่นเป็นอีกคนที่เสียคนรักไปจากการถูกแวมไพร์ทำร้าย ซึ่งนั่นก็อีก ทำให้
เม่นฝังใจและเกลียดแวมไพร์เข้ากระดูกดำ ว่าแต่ไอ้กระดูกดำมันคือส่วนไหนของร่างกายหรอครับ ผมเรียนกายวิภาคมันผมยังไม่
เคยเจอมันเลย


“กูขอโทษ”ผมบอกอย่างรู้สึกผิด เม่นยิ้มแล้วส่ายหน้า

“ไม่เป็นไร ไปเรียนเถอะ”เม่นชวนผมพร้อมกับกอดคอ ผมหันไปมองด้านหลัง ก่อนจะก้มลงมองหนังสือในมือที่หยิบมา


เดี๋ยวเอาไปคืนแล้วกันนะ


16.35

   ผมเดินลงจากตึกเรียนพร้อมกับเม่นซึ่งเดินมาข้างๆ ผม ก่อนที่เราจะเดินไปที่โต๊ะใต้อาคารเรียนรวมเพราะมันเป็นศูนย์รวมของนักศึกษาคณะผม

“มึงจะไปไหนต่อ ?”ผมหันไปถามเพื่อน

“ว่าจะไปหอสมุดว่ะ หาสรีรวิทยาอ่านหน่อย ที่อาจารย์สั่งงานอ่ะ”เม่นบอกผม “แล้วมึงอ่ะ ?”

“จะเอาหนังสือไปคืนเจ้าของ”ผมชูหนังสือให้เม่นดู

“ใครวะ ?”

“ก็แวมไพร์เมื่อเช้าไง”

“ไอ้สกาย มึงจะไปจริงๆ หรอ ไปฝากไว้ที่หอสมุดก็ได้ เดี๋ยวมันก็มาเอาเองแหละ”เม่นบอก

“รู้ใช่ไหมว่าห้ามกูไม่ได้”ผมถามเพื่อน

“เออ”มันกระแทกเสียง

“งั้นแยกกันตรงนี้ โชคดี”

“เออ ไปเลยนะ มึงโดนกัดตายกูไม่ช่วยจริงๆ ด้วย”มันบอกผม

“แล้วถ้ากูตาย มึงจะช่วยกูทันได้ยังไง ในเมื่อกูตายแล้ว”

“มึงห่วงชีวิตตัวเองบ้างสิวะกาย”เม่นบอกผมอย่างเหนื่อยอ่อน

“ห่วง”ผมบอก “แต่กูห่วงสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มากกว่า”ผมคิดว่ายังไงสักวันมันก็ต้องเกิด และผมก็ไม่อยากให้มันเกิด ผมรู้ว่า
มันอาจจะมีแวมไพร์หรือมนุษย์คนใดคนหนึ่งเตรียมตัวเพื่อเข้าสู้สงคราม เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาก็ต้องการอำนาจและอิสรภาพ
กันทั้งนั้น


   ผมบอกเพื่อนและเดินออกมาทันที ก่อนจะตรงไปที่ตึกสถาปัตย์ ถามว่าทำไมผมถึงรู้ ก็ไอ้หนังสือนี่สิครับมันเป็นหนังสือ
หลักสถาปัตย์เบื้องต้น ทำให้ผมเดาๆ เอาว่าเขาอาจจะเรียนสถาปัตย์ก็ได้ ผมจึงมาดักรออยู่ที่หน้าคณะ ซึ่งใช้เวลาพอสมควร
ก่อนที่ผมจะเห็นร่างสูงผิวขาวเดินสะพายกระเป๋าพาดไหล่ข้างเดียวลงมา ผมยิ้มทันที อย่างน้อยก็เดาถูก

“นาย !”ผมเรียก แวมไพร์หนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเทาหันมามองผมแล้วขมวดคิ้ว ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออกเช่นเดิม ผมเดินเข้าไปหา
พร้อมกับยื่นหนังสือให้

“นายทำตกเมื่อเช้า”ผมบอก ก่อนที่เขาจะรับไปแล้วหันหลังทันที “เดี๋ยวสิ ไม่พูดอะไรหน่อยหรอ ?”ผมเลิกคิ้ว เขาตวัดมองผม
ด้วยหางตาเหมือนรำคาญ

“ขอบคุณ”เสียงตอบสั้นๆ และห้วน ผมเพิ่งได้ยินเสียงเขาครั้งแรก มันนุ่มละมุนอยู่ในโสตประสาท เป็นแวมไพร์ที่เสียงนุ่มมากเท่า
ที่ผมเคยได้ยินมา ผมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปหา

“ว่าแต่...นายจะไปไหนหรอ”ผมถาม แต่ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา มีเพียงร่างสูงที่เดินออกไป แต่ผมก็เดินตามไปข้างๆ ส่วน
ใหญ่แล้วผมก็ไม่ค่อยกล้าจะทำความรู้จักกับพวกแวมไพร์มากเท่าไรหรอก เพราะว่าพวกเขาค่อนข้างอยากห่างจากมนุษย์ คนนี้ก็
เช่นกัน


“เอ...ว่าแต่นายชื่ออะไรอ่ะ ?”ผมถาม


“....”


“เสียมารยาทนะถามไม่ตอบอ่ะ”


“....”


“นี่...มนุษย์เขาไม่ทำกันหรอกนะ ถามชื่อแล้วไม่ตอบอ่ะ”ผมก็ยังเดินไปข้างๆ เขาแล้วถามนู่นนี่ พยายามชวนคุยต่างๆ นาๆ


“...”เขาก็ยังไม่ตอบและเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว


“นี่...อย่าหยิ่งเลยน่า มันไม่หล่อหรอก”


“...”



“นี่นายจะเสียมารยาทหรอ ?”ผมถาม


แล้วมนุษย์อย่างพวกนายเรียนรู้หรือเปล่าว่า...ที่เขาไม่ตอบเพราะเขาไม่อยากคุย”ร่างสูงหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผม ผมจ้อง
ตาเขาแล้วรู้สึกว่า


เป็นแววตาที่น่าหลงใหลอะไรได้เพียงนี้


“ไม่รู้สิ...ฉันมันพวก “ขี้ตื๊อ” นะ”ผมบอกแล้วยิ้มให้กับเขา ร่างสูงถอนหายใจ

“น่ารำคาญชะมัด”เขาพูดก่อนจะเดินออกไปทันที ผมต้องรีบเดินตาม ไม่รู้สิครับ ผมอยากจะทำอย่างที่ผมบอกไป และแวมไพร์
ข้างๆ ผม มีบางอย่างที่ผมอย่างอยู่ใกล้ด้วย

“หูย...นี่ นายจะใจร้ายไปแล้วนะ อ่อ หรือให้ฉันแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อสกาย เรียนสัตว์แพทย์ ปี 1”ผมบอกอย่างร่าเริงแล้วหันไป
ยื่นมือให้เขาจับ

“มนุษย์นี่นอกจากน่ารังเกียจแล้ว ยังน่ารำคาญอีก”เขาไม่แยแสอะไรไอ้สกายตรงหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เฮ้ย นี่มันจะมากไปแล้ว
นะไอ้แวมไพร์งี่เง่า แค่อยากรู้จักด้วยเท่านั้นเอง


   ผมสองคนเดินมาถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งมีผู้คนเยอะแยะ ผมไม่สามรถรู้ได้ว่า หนึ่งในนั้นมีมนุษย์หรือแวมไพร์อยู่ด้วย
กันหรือไม่ แต่ที่ผมรู้คือ พวกแวมไพร์ พยายามปิดสัญลักษณ์ที่ต้นคอของพวกเขา เพราะว่าถ้ามีใครรู้ว่าเป็นแวมไพร์ เขาก็จะโดน
ตีตัวออกห่างทันที แต่แปลกที่แวมไพร์ข้างๆ ผมไม่ยักกะอยากปิดสัญลักษณ์ของตัวเอง ทำให้มนุษย์ที่เดินผ่านไปมาเดินห่างเขา
เป็นหลายเมตร มีเพียงผมที่เดินอยู่ข้างๆ เขา

“เอ...นายไม่ชอบปิดบังตัวหรอ ?”ผมถามและก็สเต็ปเดิม


“....”


“เฮ้อ...สงสัยจะจริงอย่างที่นายว่า มนุษย์นี่น่ารำคาญจริงด้วย จะมองทำไมนักหนา”ผมหันไปมองรอบๆ ที่มีสายตานับสิบคู่มองมา
ที่ผมเป็นสายตาเดียว เพราะนอกจากแวมไพร์ข้างๆ ผมแล้วก็มีแค่ผมเท่านั้นที่ยืนอยู่ในป้ายรถเมล์นี้

“ก็มองนายที่เดินข้างฉันไง”เขาหันมามองด้วยสายตาเย็นชาอีกครั้ง แต่ทำไมผมถึงหลงใหลนะ

“ไม่เห็นจะแปลก”ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจ

“ก็นายแปลก

“แปลกยังไง”ผมหันไปถาม

“...”

“ฉันแปลกยังไง”ผมถามอย่างเซ้าซี้ แต่เป็นจังหวะที่รถเมล์มาพอดี เขาเลยเดินขึ้นไปแล้วก็เดินไปนั่งข้างหลังสุด เพราะเป็นที่
สำหรับแวมไพร์เท่านั้น แต่มีมนุษย์อย่างผมนี่แหละที่กล้านั่งกับเขา

“นายจะตามฉันไปถึงไหน ?”เขาพูดโดยไม่มองหน้าผม

“จนกว่านายจะบอกชื่อ”ผมบอกแล้วหันมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา

“ถ้าฉันไม่บอกล่ะ ?”เขาถาม

“ก็จะตาม”

“...”เขาหันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ยากจะอ่านอีกครั้ง ผมจ้องนัยน์ตาของเขา ก่อนที่เขาจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วเอียงไป
ที่ซอกคอผมอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ผมได้รับความรู้สึกถึงเสียงลมหายใจที่รดต้นคอของผม มันรู้สึกแปลกๆ แต่มันก็


รู้สึกดี


   เสียงสูดลมหายใจเข้าของเขาทำให้ผมให้ผมหวั่นๆ อยู่ในใจว่าเขาจะกัดคอผมหรือไม่ แต่ผมก็ปล่อยเลยตามเลย

“แวมไพร์จะกัดคน !!!”เสียงคนดังลั่นรถ ทำให้เขาสะดุ้งตัวออก พร้อมกับผมที่หันไปมอง

“ปละ...เปล่านะครับ”แต่ไม่ทันแล้วเหล่าผู้คนต่างปาข้างของมาที่แวมไพร์ข้างๆ ผม เขาได้แต่นั่งเอาแขนบังอยู่เฉยๆ ผมร้อนรน
แทน

“ใจเย็นๆ นะครับ เขาไม่ได้ทำอะไรผม”ผมบอก

“ไอ้หนู ออกมานี่ เดี๋ยวก็โดนกัดหรอก”ลุงคนหนึ่งพูดขึ้น ตอนนี้พนักงานขับรถหยุดรถแล้ว เพื่อมาดูสถานการณ์ในรถ

“หยุดปาของก่อนสิครับ”แต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนผมต้องเอาตัวเองไปยืนข้างหน้าแวมไพร์คนนั้น ผมรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกของ
สิ่งของมาทั่วร่างกาย

ผมบอกให้หยุด !!!”เสียงตะโกนลั่นรถของผมทำให้ทุกคนหยุดการกระทำทั้งหมดลง พร้อมกับเสียงหายใจหอบของผม ผมมอง
พวกเขาด้วยแววตาโกรธ ทำไม ทำไมกัน ทำไมถึงได้รุนแรงกันขนาดนี้


ทำไมถึงต้องทำกันแบบนี้ด้วย นี่หรอจิตใจของมนุษย์ เห็นแก่ตัวเกินไปไหม ผมแค่นั่งข้างๆ เขา และเขายังไม่ได้ทำอะไรผม พวกคุณก็พากันคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าเขาจะกัดผม ไม่คิดกันบ้างหรอครับว่าถ้าเขาจะกัดผม เขาทำไปตั้งนานแล้ว แล้วนี่อะไร นี่หรอที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ การกระทำพวกนี่มันหมาหมูชัดๆ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงโกรธ มันไม่สมควรเลยสักนิด

“เอ่อ...คุณเป็นอะไรไหมครับ ?”พนักงานขับรถเดินเข้ามาหาผม แล้วสอบถาม ผมส่ายหน้าโดยที่ยังยืนบังแวมไพร์หนุ่มอยู่

“ไม่เป็นไรครับ กลับไปทำหน้าที่ของคุณต่อเถอะ”ผมบอก “แล้วก็พวกคุณ กลับไปใช้ชีวิตมนุษย์ของพวกคุณเป็นปกติเถอะ ไม่
ต้องมาใส่ใจผม เพราะไม่ว่าจะมนุษย์กับแวมไพร์ หรือมนุษย์กับมนุษย์ พวกมนุษย์ก็เห็นแก่ตัวในสันดานอยู่แล้ว”ผมบอก เหล่า
ผู้คนบนรถมองหน้าผมเหมือนไม่เข้าใจและมีคำถาม

“ไอ้เด็กนี่นิ ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังกล้ามาพูด”ลุงคนหนึ่งพูดอีกครั้ง

“ผมบอกให้นั่งไง”เหมือนพวกลุงๆ จะปาของใส่อีกครั้ง


“ไป !!!!!”ผมตะคอกเสียงดังทำให้ทุกคนชะงัก รถกระตุกเล็กน้อยเพราะว่าพนักงายขับคงจะตกใจเสียงของผม ทุกคนกลับไปใช้
ชีวิตปกติ ใครจะว่าผมเป็นเด็กก้าวร้าวก็ไม่สน แต่ว่าสิ่งที่ผมพูดมันคือความจริงในโลกปัจจุบัน

   
   ผมหันกลับไปมองแวมไพร์ที่ผมยืนกำบังให้อยู่ แววตาสีเทามองมาที่ผม ร่างกายเขาไม่สั่น ไม่มีความกลัว ผมนั่งลงข้างๆ
แล้วหันไปมองจับไหล่ของเขา

“นายเจ็บตรงไหนบ้างไหม ?”ผมถาม

“...”ไม่มีเสียงตอบรับอีกเช่นเคย

“ขอฉันดูหน่อย”ผมจับหน้าหันมามองและสำรวจหน้าตาของเขา ไม่มีรอยอะไรมากมาย คงเป็นเพราะของไม่ใช่ของหนักมาก “ไม่
เป็นไรมากก็ดีแล้ว”


   ให้ตายยังไงเขาคงไม่พูด ผมเลยต้องกลับมานั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม เป็นเวลานานที่รถวิ่งไปบนท้องถนนนกรุงเทพฯ เมืองที่แสนวุ่นวาย

“ขอบคุณ”เสียงหนึ่งดังข้างๆ ผม ทำให้ผมหันไปมอง

“เรื่องเล็กน้อย”ผมบอกแล้วยิ้มให้กับเขา แววตาสีเทา


   นั่งมาเกือบหนึ่งชั่วโมง (บ้านอยู่ไกลชะมัด) ร่างสูงข้างๆ ของผมก็ลุกขึ้น ทำให้ผมมองตาม เหมือนว่าเขาจะลง ผมจึงลุกขึ้นตาม

“นายนั่งไปเถอะ แค่นี้พอแล้ว”เขาพูด

“แต่...”

“อย่าดีกับพวกฉันมากนักเลย นายอาจจะต้องเจ็บตัวขึ้นมาก็ได้”เขาพูด

“ทำไมล่ะ ฉันแค่อยากจะเรียนรู้พวกนายแค่นั้นเอง”ผมบอก

“มนุษย์ก็คือมนุษย์ พวกเขาสร้างอะไรขึ้นมามากมายก็เพื่อพวกเขาเอง พวกเขาไม่สนใจความเป็นไปของโลกอื่นๆ หรอก”แวมไพร์หนุ่มหันกลับมามองหน้าผมด้วยสายตาเย็นชา

“แต่ฉันไม่เหมือนมนุษย์พวกนั้น”ผมบอก

“เหมือนกันทั้งหมด”เขาพูด “เหมือนตรงที่น่ารังเกียจเหมือนกันทั้งหมด”เขาพูดอีกครั้ง

“นายเกลียดมนุษย์ขนาดนั้นเลยหรอ ?”ผมถามเขา แต่เขาไม่ตอบ เขาเดินออกไป ผมลุกขึ้นเดินตามเขา แต่ว่าเขาหันกลับมา 

“บลัด”เขาพูดออกมา ทำให้ผมชะงัก “ฉันบอกชื่อฉันแล้ว นายก็เลิกตามฉันสักที”เขาพูดแค่นั้นก่อนที่ร่างสูงจะเดินลงจากรถเมล์
ไป ผมทำได้เพียงแค่มองร่างสูงผ่านกระจก ทำไมนะทุกอย่างของเขามันน่าหลงใหลขนาดนี้ ทำไมกัน ทั้งที่ผมกับเขา เจอกันแค่
ครั้งแรก และผมกับเขาต่างเผ่าพันธุ์กัน เขาเป็นแวมไพร์ ส่วนผมเป็นมนุษย์


กฎบัญญัติข้อแรกของแวมไพร์
“ห้ามมีความรักต่อมนุษย์”



TBC.

____________________________________________________________________________________________

เอาตอนที่หนึ่งมาส่งตอนดึกๆ ครับ
หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ ไม่เคยแตะแฟนตาซีผสมโรแมนติกเลย
ยังไงก็ช่วยแนะนำด้วยนะครับ น้อมรับทุกความคิดเห็น

ปล.ยังไม่ได้ตรวจคำผิด


ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
แวมไพร์น่าสงสารนะ แล้วกายกับบลัดจะรักกันยังไง อุปสรรคมาเต็ม ๆ เลย

ออฟไลน์ heroza

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
อยู่ยากกว่าต่างด้าวในประเทศเราอีก กฏหมายรุนแรงแล้วก็โหดแท้

ออฟไลน์ Nene promporn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 47
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สนุกมากเลยค่ะ ถือว่าโอเคมากเลย
โดยส่วนตัวชอบพระเอกบุคลิกเเบบนี้อยู่เเล้ว
มันดูน่าร๊ากกกก เเต่ถ้ามีเเวมไพร์เดินเร่ร่อนในไทย
คงช็อคตายอยู่เหมือนกัน 5555
เเนวเเฟนซีโรเเมนซ์นี่มัน อร้ายยย>///<
สู้ๆนะค่ะ อย่าลืมต่อนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด