❅❅❅❅❅❅❅❅❅❅
One More Chance
รอยยิ้มเล็กๆประดับบนใบหน้าจิ้มลิ้มน่าทะนุถนอม ดวงตาเรียวรียิบหยีหากแต่ดูหม่นหมองเมื่อมองออกไปภายนอกบานหน้าต่างใสที่ตอนนี้กำลังมีเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายอยู่
กลิ่นหอมของขนมอบที่คนตัวเล็กได้ทำเอาไว้ลอยมาเตะจมูก สองขาก้าวเดินไปยังตู้อบขนมที่อยู่ในครัวก่อนจะถือถาดคุกกี้ออกมาจากเตาแล้ววางไว้บนเคาท์เตอร์ นิ้วเรียวหยิบขนมชิ้นเล็กขึ้นมากัดหนึ่งคำ รสชาติของส่วนผสมต่างๆที่เข้ากันดีบวกกับความกรุบกรอบที่พอดีกันอย่างลงตัวเรียกรอยยิ้มถูกใจจากคนทำ
หวังว่าใครคนนั้นจะชอบด้วยเหมือนกันมือเรียวสวยค่อยๆบรรจงเก็บคุกกี้ที่ทำเอาไว้ใส่ในขวดโหลใสใบเล็กๆ พร้อมกับผูกโบว์สีขาวไว้รอบขวดโหลด้วย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูหน้าบ้านดึงความสนใจจากคุกกี้ในมือไป หัวใจดวงน้อยเต้นแรงขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
จะเป็นเขาหรือเปล่านะ?ไม่รอช้า สาวเท้าก้าวอย่างรวดเร็วไปที่หน้าประตู แล้วหมุนลูกบิดประตูเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นใบหน้าของคนที่มายืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมกับถือซองจดหมายไว้ในมือ
"ของคุณคิมหันต์ครับ"
บุรุษไปรษณีย์ยื่นซองจดหมายให้กับร่างบางพร้อมกับส่งยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่แอบทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
"ขอบคุณครับ"
ก้มหัวให้น้อยๆก่อนจะรับซองจดหมายเข้ามาภายในตัวบ้านอีกครั้ง ทิ้งกายลงบนโซฟาหนังสีขาวที่ตั้งอยู่ในมุมห้องนั่งเล่นแล้วพลิกดูเจ้าของชื่อคนส่งจดหมายนี่มาให้เขา
เหมันต์คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเพราะแปลกใจที่เห็นน้องชายตัวเล็กของเขาส่งจดหมายมาให้ภายในเดือนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ปกติแล้วเหมันต์หรือต้นหนาวมักจะส่งจดหมายมาถึงเขาเพียงหนึ่งฉบับในทุกๆเดือนเพื่อเขียนถามสารทุกข์สุขดิบและเล่าเรื่องต่างๆที่ได้เจอมา แม้ว่ายุคสมัยนี้จะไม่ค่อยมีใครเขียนจดหมายส่งหากันแบบนี้แล้วก็เถอะ แต่คิมหันต์กลับเห็นว่ามันก็เป็นสิ่งที่น่ารักและดูอบอุ่บซึ่งสามารถสัมผัสได้จากลายมือของคนที่เขียนมาให้จึงยังคงเขียนจดหมายตอบกลับไปให้น้องชายของตนที่อยู่ที่ไทยด้วย
มือเรียวใช้กรรไกรตัดด้านข้างของซองจดหมายออกอย่างระวังก่อนจะหยิบแผ่นกระดาษสีครีมที่มีกลิ่นหอมคล้ายๆกลิ่นกุหลาบพร้อมกับกระดาษสีขาวที่เต็มไปด้วยลายมือเรียบร้อยและอ่านง่ายของเจ้าของจดหมายออกมา คิมหันต์เลือกที่จะอ่านกระดาษสีครีมก่อนพลางจิบกาแฟลาเต้รสนุ่มละมุนที่แอบชงเอาไว้เมื่อกี้
ปรมินทร์ ♥ เหมันต์เมื่อไล่อ่านตามตัวอักษรทำให้ดวงตาเรียวต้องเบิกกว้าง
นี่มันการ์ดแต่งงาน!
ก๊อก ก๊อก
ก่อนที่คิมหันต์จะได้เปิดอ่านจดหมายที่น้องชายเขียนเพิ่มเติมมาอีกฉบับก็เป็นอันต้องพับเก็บไป แล้วเดินมาเปิดประตูด้วยความหวังอีกครา
"สวัสดีครับ"
ชายหนุ่มผู้ซึ่งสวมเสื้อโค้ทตัวหนาพร้อมมีหน้าตาอันหล่อเหลารับกับจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากอิ่มที่แย้มยิ้มให้กับคนตัวเล็ก ดวงตาคมสีสนิมสบกับดวงตาเรียวสีน้ำตาลเข้มที่เบิกกว้าง ริมฝีปากบางสีชมพูนมอ้าค้างไม่มากนักแต่ก็ทำให้ร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางน่าเอ็นดูของคนตัวเล็กนี่
พลันสายตาก็แอบเห็นฟองนมที่เปรอะอยู่เหนือริมฝีปากบางของคนที่ส่งยิ้มตอบกลับมา ใบหน้าคมหันกลับมามองที่มือของตัวเอง
มือข้างขวาถือร่มกางไว้เหนือศีรษะ มือข้างซ้ายก็ถือช่อดอกทิวลิปสีชมพูและสีม่วงเอาไว้
ไม่ต้องคิดมากให้เสียเวลา ใบหน้าหล่อเคลื่อนจนอยู่ในระดับเดียวกันกับคนตรงหน้าก่อนจะแนบริมฝีปากอิ่มลงบนเหนือริมฝีปากบางเล็กน้อยแล้วใช้ปลายลิ้นละเมียดชิมรสชาติของฟองนมที่เปรอะอยู่ ก้อนเนื้อในอกของคนตัวเล็กเต้นถี่รัวส่งผลให้พวงแก้มใสร้อนผ่าวขึ้นสีแดงเรื่อ
"กินเลอะเทอะจัง แต่ฟองนมที่นายทำยังอร่อยเหมือนเดิมเลยน้า"
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาหลังจากผละออกไปยืนเหมือนเดิมแล้ว
"มะ...มาร์ตี้"
นัยน์ตาเรียวรีสีเข้มสบเข้ากับดวงตาคมของร่างสูง แล้วก้มหน้างุดหลบสายตาแพรวพราวที่อีกคนส่งมาให้
"ออกมาแป๊บเดียวหนาวจนแก้มแดงเลยเหรอ ไปๆ เข้าบ้านกัน"
มือใหญ่วางร่มที่ถือไว้หน้าประตูบ้านก่อนจะโอบไหล่บางให้เดินเข้าไปในบ้านด้วยกัน
การกระทำที่อ่อนโยนและนุ่มนวลนั้นไม่ว่ากี่ครั้งก็เป็นอันตรายต่ออัตราการเต้นของหัวใจมากเหลือเกิน
"อ่ะ ให้"
มาร์ติเนซยื่นช่อดอกทิวลิปที่มีทั้งดอกสีม่วงและดอกสีชมพูอยู่ในช่อให้ร่างบางที่นั่งลงบนโซฟาข้างๆกัน
ดอกทิวลิปสีชมพู แทนความสุขสมหวัง ความรักที่ลึกซึ้ง และความคิดถึง
ดอกทิวลิปสีม่วง แทนความซื่อสัตย์และมั่นคงต่อความรู้สึก
ซื่อสัตย์และมั่นคงในความรักลึกซึ้งที่มีให้คนที่คิดถึงและรักจนหมดหัวใจคนนี้เพียงคนเดียว"ขอบคุณนะ"
คิมหันต์เอ่ยคำขอบคุณแล้ววางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะกระจกใสที่ตั้งอยู่ตรงหน้าโซฟา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าสวยประทับจุมพิตลงบนแก้มสากของคนรักแผ่วเบา
"แค่นี้เองเหรอ"
มาร์ติเนซกอดอกแล้วพองแก้มเหมือนเด็กชายตัวน้อยที่งอแงไม่พอใจเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
"จะเอาอะไรล่ะครับ หืม"
สองมือเรียวนาบลงบนแก้มของคนเอาแต่ใจให้หันมามองหน้ากันตรงๆ
"ตรงนี้"
นิ้วชี้ลงบนริมฝีปากอิ่มก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"นี่แน่ะ"
หัวเราะในลำคอก่อนที่ปลายนิ้วเรียวสวยจะตีเบาๆลงบนนั้นแทน
"อื้อ..."
เมื่อไม่ได้ดังใจ คนเอาแต่ใจเลยยื่นหน้าเข้าไปขโมยจูบอีกคนโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว เรียวปากอิ่มขบเม้มเบาๆลงบนริมฝีปากสีชมพูนมอย่างออดอ้อนให้ช่วยเปิดทางเพื่อจะได้เข้าไปฉกชิมความหวานจากทางด้านในแต่ทว่ามือเรียวกลับดันอกกว้างผละออกมาก่อนจะใช้สองแขนกอดเข้าที่เอวสอบของคนรักแล้วมุดหน้าซบลงบนอกกว้าง
"ยังหวานเหมือนเดิมเลยนะ คิดถึงจังครับ"
มาร์ติเนซเอ่ยยิ้มๆ จมูกโด่งสูดความหอมจากกลุ่มผมนุ่มของร่างบาง
"อื้อ คิดถึงเหมือนกัน ขอบคุณที่มานะ"
คิมหันต์ผละออกมาอีกครั้งแล้วฉีกยิ้มกว้างอย่างรู้สึกขอบคุณจากหัวใจให้มาร์ติเนซ หากแต่นัยน์ตาหวานกลับดูเศร้าลงเมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่เขาเรียกให้อีกคนมาหาแม้ว่าอีกคนจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการบินข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาหาเขาก็ตาม
"ได้หยุดพอดีก็เลยรีบมาหาเลย"
ร่างสูงนอนลงบนตักนิ่มของคิมหันต์ก่อนจะคว้ามือเรียวมากุมเอาไว้
"จะคริสต์มาสแล้วนี่นะ คุณแม่นายสบายดีหรือเปล่า"
เมื่อเอ่ยถามคำถามนี้แล้วต้องพยายามกดเก็บความรู้สึกเอาไว้ กลัวว่าเสียงที่เปล่งออกไปจะสั่นเพราะก้อนสะอื้นที่มันจ่ออยู่ในลำคอขาวนี้
"ก็สบายดี ช่างแม่ฉันเถอะ ฉันอุตส่าห์บินมาหานายเลยนะ เรามาพูดแต่เรื่องของเราดีกว่า"
"ถ้ามันลำบากขนาดนั้น นายไม่ต้องมาก็ได้นี่"
คิมหันต์พูดขึ้นทันทีที่มาร์ติเนซเปลี่ยนเรื่อง หากแต่มาร์ติเนซไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรกลับคิดเสียว่าคิมหันต์คงน้อยใจที่ตัวเองใช้คำว่าอุตส่าห์ล่ะมั้ง
"ไม่หรอก เพื่อคิมหันต์ที่รัก ต่อให้ต้องขึ้นรถลงเรือขี่เครื่องบินจับตั๊กแตน ยังไงก็ต้องมาให้ได้อยู่แล้ว"
"ฮ่าๆ ขี่เครื่องบินจับตั๊กแตนอะไรของนาย ลุกๆ ฉันจะเอาดอกไม้ไปใส่แจกันก่อนที่มันจะเหี่ยวเหมือนหน้าคนที่ให้เสียก่อน"
ร่างบางหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วลุกขึ้นทันทีที่พูดจบโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของมาร์ติเนซที่บอกว่าตัวเองไม่ได้เหี่ยวตามที่ว่า ก่อนจะหลบเข้าไปในครัวเพื่อเอาแจกันทรงสูงสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวก่อนจะทิ้งดอกไม้เหี่ยวๆที่อยู่ในนั้นลงในถังขยะ แล้วถือแจกันออกไปวางไว้บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาข้างๆกับช่อดอกทิวลิปสีชมพูและสีม่วง
"นายรู้ความหมายของมันใช่มั้ย"
มาร์ติเนซลุกขึ้นนั่งข้างๆคิมหันต์ที่หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาอีกครั้ง
"ไม่แน่ใจ"
คิมหันต์แอบอมยิ้ม จริงๆแล้วก็รู้นั่นแหละเพียงแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เพราะอยากจะฟังจากปากของคนให้มากกว่า
"ทิวลิปสีชมพูนี่ หมายถึงความสุขสมหวัง ความรักที่ลึกซึ้ง และความคิดถึง ส่วนสีม่วงเนี่ยหมายถึงความซื่อสัตย์และมั่นคงต่อความรู้สึกล่ะ"
มือใหญ่หยิบดอกไม้ต่างสีกันขึ้นมาชูต่อหน้าคนรักแล้วอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้มและสายตาที่สื่อว่ารู้สึกตามที่ได้พูดไปจริงๆ
"แหวะ เน่าชะมัด"
คิมหันต์ย่นจมูกพร้อมกับเอ่ยอย่างไม่จริงจังนักแค่พอแก้เขินเท่านั้น
"ไม่เน่านะ ดมดูได้"
มาร์ติเนซพองแก้มแล้วยื่นไปใกล้ปลายจมูกโด่งรั้นของร่างบางที่ง่วนอยู่กับการจัดดอกไม้ใส่แจกัน
"ทะลึ่งแล้ว นั่งดีๆ ก่อนที่ปลายกรรไกรมันจะเสียบอยู่ที่พุงของนาย"
คนตัวเล็กกว่าชูกรรไกรตัดแต่งกิ่งขึ้นขู่ร่างสูงที่คอยลักเล็กขโมยน้อยกับร่างกายของเขาอยู่เรื่อย
"โอเค ยอมแล้วครับ"
สองมือยกขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ ก่อนจะนั่งพิงโซฟาแล้วมองดูอีกคนจัดดอกไม้ด้วยความตั้งอกตั้งใจอย่างเงียบๆ รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาเพียงแค่ได้นั่งมองคนที่รักและคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
"นายไม่คิดจะกลับไปอยู่ไทยบ้างเหรอ ไปอยู่กับฉันไงที่รัก"
มาร์ติเนซเอ่ยถามคำถามนี้ทุกครั้งที่เขาได้มาหาคิมหันต์ที่นี่ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในหุบเขา Val Gardena ประเทศอิตาลี ตอนนี้หุบเขานั้นขาวโพลนเพราะถูกปกคลุมไปด้วยปุยหิมะเมื่อได้ย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ บ้านหลังนี้ของคิมหันต์เป็นบ้านเช่าชั้นเดียวหลังเล็กๆหากแต่ภายในถูกตกแต่งจนน่ารักเหมาะกับคนตัวเล็กและมีความอบอุ่นอบอวลอยู่เต็มไปหมด
"นายอยากกินคุ้กกี้หรือเปล่า เดี๋ยวฉันไปเอามาให้นะ"
คิมหันต์เสียบก้านดอกทิวลิปดอกสุดท้ายลงในแจกัน ก่อนจะทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเพราะยังไม่อยากคุยเรื่องนี้ในตอนนี้
"เอาสิ ขอโกโก้ร้อนๆด้วยนะครับ"
มาร์ติเนซลอบถอนหายใจออกมาเพราะร่างบางหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ของเขาอีกแล้ว เลยปล่อยเลยตามเลย คงมีสักครั้งที่คิมหันต์จะตัดสินใจได้เสียที
วันนี้เป็นวันคริสต์มาสอีฟแต่เหลือเพียงไม่กี่นาทีก็จะเข้าสู่วันคริสต์มาสแล้ว เจ้าของดวงตาคมสีสนิมนั่งมองคนรักที่กำลังจัดตกแต่งต้นสนต้นเล็กๆภายในบ้านเพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสในวันพรุ่งนี้ ทั้งต้นถูกประดับประดาไปด้วยตุ๊กตาตัวเล็กๆ ลูกบอลลูกกลมๆหลายสี และหลอดไฟหลอดเล็กๆ ใต้ต้นมีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวไม่ใหญ่มากอยู่สองตัว
"นายว่ามันโอเคมั้ย"
เมื่อตกแต่งจนพอใจแล้ว คิมหันต์จึงหันกลับมาถามความเห็นของร่างสูงที่นั่งคอยส่งของให้อยู่ข้างๆกัน
"โอเคมากครับ น่ารักมาก"
มาร์ติเนซยิ้มกว้างให้คิมหันต์พร้อมกับฉกฉวยหอมแก้มเนียนไปหนึ่งฟอด
"ตลอดเลย นี่ ออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านกันไหม"
คนตัวเล็กเอ่ยชวนพร้อมกับดึงแขนให้มาร์ติเนซลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อโค้ทสองตัวที่แขวนไว้ตรงที่แขวนเสื้อโค้ทข้างประตูหน้าบ้าน
"เตรียมให้พร้อมขนาดนี้ไม่ต้องถามก็ได้มั้ง ฮ่าๆ ล้อเล่น ไปครับๆ"
มาร์ติเนซรับเสื้อโค้ทที่คิมหันต์ส่งมาให้ก่อนจะเอ่ยแซวคนรัก ทำให้คิมหันต์ยกมือขึ้นตีไหล่กว้างไม่แรงนัก ร่างสูงเกรงว่าอีกคนจะโกรธตัวเองเสียก่อนเลยรีบสวมเสื้อโค้ทแล้วจับจูงมือบางให้เดินออกมานอกบ้านด้วยกันเพื่อไปยังกลางหมู่บ้าน
ทั้งสองเดินเคียงกันไปท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บบาดผิวกายจนปลายจมูกของทั้งสองขึ้นสีชมพูระเรื่อ หากแต่ไออุ่นจากฝ่ามือที่กอบกุมกันไว้ทำให้คลายความหนาวลงได้มาก
ยิ่งเดินเข้าใกล้จุดหมายเท่าไหร่ยิ่งได้ยินเสียงเพลงและเสียงคุยกันครึกครื้นมากเท่านั้น ข้างทางถูกประดับประดาไปด้วยหลอดไฟที่ส่องสว่างระยิบระยับไม่แพ้ดวงดาวที่ส่องแสงอยู่บนท้องนภายามราตรี เมื่อเดินมาถึงกลางหมู่บ้านทั้งสองยิ่งกระชับมือให้แน่นขึ้นเพราะคนที่มาท่องเที่ยวมีเยอะพอสมควร
ภายในบริเวณนั้นมีต้นสนต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางลานซึ่งถูกประดับประดาไปด้วยลูกบอลหลากสี ตุ๊กตาตัวเล็กๆมากมายและหลอดไฟกระพริบหลายดวงเปล่งประกายระยิบระยับ มีโคมไฟรูปดาวสีเหลืองติดไว้บนยอดสุดของต้น ใต้ต้นมีกล่องของขวัญขนาดเล็กใหญ่อยู่ประปรายหากแต่ดูก็รู้ว่าภายในคงไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเป็นแน่
มาร์ติเนซจูงมือคิมหันต์ไปยังหน้าต้นสนต้นนั้นแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูออกมาก่อนจะบังคับให้คิมหันต์ถ่ายรูปด้วยกันเพื่อเก็บภาพเป็นความทรงจำเอาไว้ เป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่ที่เขากับคนรักได้คบกันมาสี่ปีแล้ว และปีนี้ถือเป็นคริสต์มาสปีที่ห้าของทั้งสอง
"ไปเต้นรำกัน"
ร่างสูงชี้ไปยังบริเวณหนึ่งที่มีวงดนตรีบรรเลงเพลงเต้นรำจังหวะช้าๆและมีคู่รักจำนวนไม่น้อยที่เต้นรำอยู่ตรงนั้น คิมหันต์พยักหน้าก่อนจะพากันเดินไปยังบริเวณนั้น
สองแขนแกร่งสอดเข้าที่เอวคอดบางของคนรัก สองมือเรียวสวยวางลงบนบ่ากว้าง สายตาทั้งสองสบประสานกัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า เท้าของทั้งสองเคลื่อนไปตามจังหวะโดยที่มาร์ติเนซเป็นคนนำและคิมหันต์ก็ขยับตาม
ตึ๊ง... ตึ่ง...
เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาว่าได้เข้าสู่วันคริสต์มาสแล้ว
"จูบได้ไหม"
มาร์ติเนซกระซิบชิดใบหูของคนในอ้อมแขนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบางสิ่งบางอย่างที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของทั้งคู่
ต้นมิสเซิลโท...คิมหันต์พยักหน้าน้อยๆก่อนจะหลับตา ใบหน้าหล่อเคลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะประทับจุมพิตลงบนกลีบปากหยุ่นสีชมพูนมอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม
ตามความเชื่อที่ว่าหากคู่รักได้จุมพิตกันใต้กิ่งของต้นมิสเซิลโทจะทำให้ครองรักกันได้นานชั่วนิจนิรันดร์ ซึ่งทั้งสองได้ทำแบบนี้ในทุกๆปีที่คบกันเพื่อหวังว่าความรักของพวกเขาจะเป็นแบบนี้ไปตราบเท่าที่จะตายจากกันไป
หากแต่ความเชื่อนั้นเป็นแค่เพียงความเชื่อ...ในขณะที่กำลังรับจูบที่ดูดดื่มจากร่างสูงน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ค่อยๆไหลออกมาทางหางตา เมื่อปลายนิ้วของมาร์ติเนซที่ประคองได้สัมผัสกับหยดน้ำตาของคนรักจึงค่อยๆถอนจูบออกมาจากริมฝีปากก่อนจะจูบซับน้ำตาที่ยังคงไหลลงมาเรื่อยๆ ความรู้สึกที่อัดอั้นเอาไว้มานานแรมปีกำลังปะทุออกมาอย่างยากที่จะปิดมันเอาไว้ได้อีกแล้ว
"มาร์ตี้..."
คิมหันต์เอ่ยชื่อของคนรักออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"ครับที่รัก เป็นอะไรเนี่ย หืม"
มาร์ติเนซให้คิมหันต์ซุกหน้าไว้ที่ไหล่ของตนก่อนจะโอบพาคนรักออกมาให้ห่างจากบริเวณลานที่มีผู้คนพลุกพล่าน แล้วยืนกอดปลอบคนในอ้อมกอดที่เขาเป็นห่วงว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
"เรา...เราเลิกกันเถอะนะ"
ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา หากแต่ประโยคที่ร่างบางเอ่ยออกมานั้นทำให้หัวใจของทั้งสองแทบจะหยุดเต้นไป
"ล้อเล่นใช่มั้ย ฮ่าๆ ไม่เอาสิที่รัก อย่าล้อเล่นกันแบบนี้สิ"
มาร์ติเนซหัวเราะออกมาเสียงแห้ง แล้วปฏิเสธที่จะคิดว่าเรื่องที่คนตรงหน้าพูดออกมานั้นเป็นเรื่องจริง
"มาร์ตี้ฟังฉันนะ ที่ฉันให้นายรีบมาที่นี่ก่อนวันคริสต์มาสหลายๆวันเพื่อที่ฉันจะได้ยื้อเวลาที่จะได้อยู่กับนายให้นานออกไปอีกสักหน่อย แต่ว่ามันยิ่งกลับทำให้ฉันไม่อยากทำแบบนี้เลย ฉันรักนายนะมาร์ตี้ แต่ว่า..."
คิมหันต์พยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่หยาดน้ำตายังคงไหลออกมาเลอะใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้น
"ฉันลองคิดทบทวนมาตลอดว่าถ้าเราคบกันอยู่แบบนี้ไปนานกว่านี้เราจะทนได้หรือเปล่า เราต้องอยู่ห่างกันแบบนี้ นานๆทีถึงจะได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ฉันกลัว กลัวไปหมด กลัวว่านายจะมีคนอื่นหรือเปล่า กลัวว่ารักของเราจะจางหายไปหรือยัง เพราะฉันไปอยู่กับนายไม่ได้ แม่ของนายโทรมาหาฉันปีละหลายครั้ง เธอบอกว่าอยากให้นายมีครอบครัว อยากให้นายมีหลานให้เธออุ้ม เธอไม่ได้บังคับให้เราเลิกกันหรอกนะ แต่ว่าฉัน...ฉันคิดดีแล้วว่าเราควรเลิกกัน เผื่อนายจะได้ไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องเทียวบินไปบินมาอยู่แบบนี้ ไม่ต้องทนเหงา ไม่ต้องทนคิดถึงกันอีกแล้ว..."
คำพูดมากมายที่คนตรงหน้าพูดออกมาช่างทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน
"ถ้านายต้องการแบบนั้น...เอาแบบนั้นก็ได้ ถ้านายคิดว่าเวลาสี่ห้าปีที่เราคบกันมามันไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไร และมันไม่ได้พิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันรักนายมากแค่ไหน นายก็ไปเถอะ กลับไปที่บ้านของนายตอนนี้ได้เลย"
มาร์ติเนซก้มหน้าลงพร้อมกับกลั้นความรู้สึกเสียใจที่มันเริ่มตีตื้นขึ้นมา และตอนนี้มันกำลังจะกลั่นเป็นหยดน้ำตาออกมาแล้ว เขาไม่อยากให้คนตรงหน้าเห็นว่าเขาอ่อนแอเพียงเพราะคำพูดที่คล้ายว่าจะดูถูกความรักที่เขามีให้แก่ร่างบางจนทำให้หัวใจของเขารู้สึกเจ็บปวดได้มากมายขนาดนี้
ทั้งๆที่คิดว่ารักกันมากแต่จริงๆแล้วคงเป็นมาร์ติเนซคนเดียวที่รักคิมหันต์มากเกินไป
"ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่นายเคยทำให้ฉัน ฉันสัญญาว่าจะเก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป ขอโทษนะมาร์ติเนซ ฉันรักนาย"
ขาเรียวค่อยๆก้าวถอยหลังออกห่างจากชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก แม้ปากจะเอ่ยถ้อยคำทำร้ายจิตใจหากแต่ใครจะรู้ว่าข้างในคิมหันต์ก็รักมาร์ติเนซไม่ต่างจากที่มาร์ติเนซรักตนเลย
"ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ กลับไปได้แล้ว"
มาร์ติเนซเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง สายตาเย็นชาและว่างเปล่าถูกส่งให้คนตรงหน้า
สายตาของนาย เย็นยิ่งกว่าหิมะอีกนะมาร์ตี้ เย็นจนหนาวไปถึงขั้วหัวใจของฉันเลย ฉันขอโทษ ฉันรักนาย ฉันไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ทำได้เพียงแค่ร่ำร้องภายในใจ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป ปล่อยให้น้ำตาโง่ๆมันไหลออกมาเสียให้พอ ในเมื่อเป็นคนที่ตัดสินใจที่เลือกให้มันเป็นแบบนี้แล้ว จะให้หันหลังเดินกลับเข้าไปขอร้องอ้อนวอนเขาก็คงไม่รับฟังอีกแล้ว และก็คงไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว เพิ่งรู้ว่าแม้คราวก่อนมาร์ติเนซจะกลับไปแต่หัวใจไม่เคยหนาวขนาดนี้ หนาวจนทนแทบไม่ไหว เจ็บปวดเหลือเกิน
เมื่อร่างบางเดินลับสายตาไปแล้ว หมดเรี่ยวแรงที่จะยืนต่อไป น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมา มาร์ติเนซทรุดนั่งลงกอดเข่าบนพื้นก่อนจะปล่อยให้น้ำตามันชะล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการที่คนที่เขารักพูดจาทำร้ายกันขนาดนั้น ทำไมหรือ ความรักที่เขามีให้ไปมันยังไม่มากพออีกหรือไง เขาที่ต้องบินจากไทยมายังอิตาลีทุกครั้งที่มีโอกาสเพื่อมาหานี่ยังเป็นบทพิสูจน์ไม่เพียงพออีกงั้นหรือ จากที่เคยคิดว่าระยะทางไม่ใช่อุปสรรคของความรัก แต่เวลานี้มันคงจะใช่แล้วล่ะ
ทำไมไม่เคยเชื่อใจกันบ้างเลย แต่ถ้านายเลือกแบบนี้ถ้ามันทำให้นายมีความสุขฉันก็คงต้องยอม และในเมื่อหัวใจฉันมันเป็นของนายไปแล้ว ฉันจะไม่ขอคืนมันหรอกนะ ฉันรักนาย...คิมหันต์ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ หากแต่เมื่อมันถึงจุดที่อารมณ์อ่อนไหวมีมากกว่าความมั่นคงและเชื่อมั่นในความรักเมื่อใด ความสัมพันธ์และความรู้สึกที่เคยมีต่อกันอาจถูกสั่นคลอนจนทำให้เกิดความกลัวขึ้นในใจ กลัวว่าจะกลายเป็นคนที่ถูกทอดทิ้ง...
มนุษย์ก็เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว... ยอมละทิ้งจากสิ่งหนึ่งเพื่อไปหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากกว่า...
บางทีมันอาจเป็นความคิดที่ผิด... และเป็นเพียงความเขลาที่คิดว่าคนที่เราทิ้งไปแล้วจะยังรักยังรอเราอยู่เสมอ...
แต่ทว่าความจริงกับความคิดเป็นคนละสิ่งกัน...
จงเชื่อมั่นในความรัก ดูแลและรักษามันเอาไว้ ซื่อสัตย์ต่อกันและเชื่อใจกันให้มาก ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกแล้ว
โอกาสมันไม่ได้เป็นของเราเสมอไปหรอกนะ...
(มีต่อ)