The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The Water's Pure Heart ดวงใจของสายน้ำ (บอกกล่าวการกลับมาของจุ้ย 02/08/16)  (อ่าน 18135 ครั้ง)

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 57 : พักหัวใจ
พออาราอิอ่านจบก็รีบลุกขึ้น
“ขอตัวนะ  มีธุระ” 
ทั้งหมดมองหน้ากัน
 
เครื่องบินพาอาราอิมาถึงภูเก็ตในเวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ  พอมาถึงเขาก็เช่ารถขับไปสถานที่หนึ่ง
ในแสงแดดยามเย็น  อาราอิเดินขึ้นไปตามเสียงที่ได้ยิน  แซกโซโฟนเทนเนอร์เสียงกังวาน เป็นเพลง Autumn Leaves
เขานั่งลงใกล้ๆกับคนเป่ามองที่หันหน้าออกไปยังพระอาทิตย์ยามใกล้อัสดง
มีนักท่องเที่ยวหลายคนหยุดถ่ายภาพ บางคนถ่ายคลิป จนกระทั้งเพลงจบ เสียงปรบมือก็เกรียวกราว
“ไปเอาแซกมาจากไหน” อาราอิถาม
เขาปลดมันจากการสะพาย  นั่งลงข้างๆ
“พอดีเจอกับฝรั่งคนหนึ่งมันต้องการค่าเครื่องบินกลับบ้าน เลยเอามาเร่ขายแถวหน้าสถานีบขส. ฉันก็เลยซื้อเอาไว้”
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” อาราอิถาม
เขาพยักหน้า
“แซกตัวนี้หล่ะ  ฉันถึงได้รู้สึกดีขึ้น”
“ยังไงนายก็ตัดขาดดนตรีไม่ได้สินะ” อาราอิถอนหายใจ
“ขนาดฉันนายยังไม่อยากเจอ  ก็คงมีแต่ดนตรีนั้นหล่ะที่เข้าถึงนาย ใช่ไหมจุ๊ย”
เงียบไปสักพัก  แล้วก็เอามือมาจับที่แขน
“ไม่ นะ  แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี  เพราะถ้านายรู้คนอื่นก็ต้องรู้  ฉันไม่อยากเจอหน้าใครเลยตอนนั้น  นอกจากนาย  แต่ก็กลัวคนอื่นจะรู้เรื่อง”
อาราอิเห็นผมจุ๊ยมีเหมือนดอกไม้เล็กๆติดอยู่ก็เลยเอาออกให้
“แล้วอยากเจอผู้เจอคนหรือยังล่ะตอนนี้” อาราอิถาม
จุ๊ยก้มหน้า
“อีกสองวันได้ไหม”  จุ๊ยบอก แล้วก็มองไปที่ทะเล
“นายพาฉันไปเที่ยวหน่อยสิ  ฉันอยากไปเที่ยว  เงินหมดแล้วหล่ะ ซื้อแซกไปหมดเลย”
อาราอิหัวเราะหึ
“เห็นฉันเป็นกระเป๋าเงินรึไง”
จุ๊ยหันมามองหน้ากำลังจะพูดแก้ตัว  แต่อาราอิเอามือจับแก้มเขาไว้
“แต่แค่นั้นก็ยังดี  อยากไปไหนล่ะ จะพาไป”
 
เดฟนั่งเงียบไปตลอดทางจนกระทั้งอัศวะจอดรถลงหน้าบ้าน
“พรุ่งนี้เอาไงหล่ะ  จะไปตามที่ไหนกันต่อ” อัศวะถาม
“ไม่ต้องแล้วหละ  ฉันว่านะ” เดฟกล่าวออกมา
“อัสคิดว่าที่อาราอิอยู่ดีๆก็ลุกออกไปเพราะอะไรหล่ะ  มีเหตุผลเดียวเท่านั้นล่ะ คือจุ๊ยติดต่อมา”
อัศวะเอานิ้วเคาะพวกมาลัยเบาๆ เขาเองก็สงสัยเช่นนั้น
“ยังรู้สึกใช่ไหมหล่ะ  ที่เห็นจุ๊ยให้ความสำคัญกับอาราอิมากขนาดนี้”
เดฟเงียบไป  ก่อนเอามือของอัศวะมากุม
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะหนักกว่านี้  แต่ตอนนี้  ผมพอรับได้นะ  แต่จะให้เฉยๆไปเลยคงยังไม่ไหว”
อัศวะถอนหายใจ  แล้วก็ดึงเดฟมากอด
“ฉันจะรอ  แต่แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วหล่ะ  อย่างน้อยนายก็อยู่กับฉัน”
 
อ๊อดกำลังทำขึ้นสายไวโอลีนใหม่อยุ่ตอนที่เมืองฟ้ากำลังนั่งตรวจสอบข่าวจากโซเชียลมิเดีย
“อ้าวนี่ไงเฟสจุ๊ยอัพแล้ว” เมืองฟ้าร้องอย่างยินดี
อ๊อดไม่แปลกใจเดินมายืนข้างเมืองฟ้า
ที่อัพเดตเป็นรูปอาราอิกำลังยืนอยู่ข้างรถใต้แสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน
 
ตี้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้เห็นว่าเฟสบุ๊คของน้องชายมีการอัพเดท  และมีการเช็คอินตามมาอีกที่เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต
เขาเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง  ถ้าไม่ใช่เพราะความรักของเขากับแก้ว  เรื่องราวในอดีตนี้จะไม่ถูกขุดคุ้ยขึ้นมา ทุกคนจะลืมไปหมดแล้วว่าจุ๊ยไม่ใช่ลูกของป๊า  เพราะตลอดเวลานับจากม๊าเสียไปจุ๊ยคือหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของบ้าน เขาเองต่างหากที่เสวยสุขแทบไม่เคยแตะต้องงานอะไรในบ้าน เพราะป๊าอยากให้เขาเรียนให้เต็มที่ 
แต่กระนั้นจุ๊ยก็ทำหน้าที่ได้ดี  แม้ตัวเองจะต้องซ้อมดนตรี  และไปแข่งขันที่นั้นที่นี่ก็ตาม
ตี้เริ่มลังเลต่อจุดยืนตัวเอง 
หรือเขาควรตัดใจและสละความรักครั้งนี้เพื่อจุ๊ย  น้องชายต่างบิดา ที่เขารัก...
 
ตอนที่อาราอิออกจากห้องน้ำ  จุ๊ยกำลังนั่งดูละครที่อาราอิเป็นพระเอก แถมเป็นฉากที่พระเอกกับตัวอิจฉาขึ้นเตียงเสียด้วย
เขาเลยอยากรู้ว่าจุ๊ยจะทำหน้าอย่างไรก็เลยแกล้งไปทำโน่นทำนี่อยู่แต่เหลือบมา
แต่จุ๊ยก็นั่งดูไปเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร  จนพักเบรกโฆษณา
“น้อยใจจัง” อาราอิกล่าวขึ้น
“ทำไมนายไม่แสดงออกอะไรบ้าง”
จุ๊ยหันมามองหน้า
“แสดงออกอะไร”
“อ้าว... ก็นายนั่งดูฉันจูบกับคนอื่น  กอดกับคนอื่นนี่นายไม่มีปฏิกิริยาอะไรบ้างเหรอ” อาราอิตอบ มองหน้าจุ๊ยจากกระจก
นิ่งไปครู่ก่อนจุ๊ยก็หัวเราะออกมา
“อ้าวนี่นึกว่านายแสดงเฉยๆ  ตกลงฉากนี้นายคิดอะไรกับดาราคนนี้จริงๆเหรอ” จุ๊ยถามกลับ หันมาส่งสายตาระแวง

“เฮ้ย เปล่านะ” อาราอิหันมาทำหน้าเหวอ
“ฉันไม่ได้บอกอย่างนั้นเสียหน่อย”
จุ๊ยก็โยนหมอนที่กอดไว้ไปข้างๆ
“แล้วจะให้ทำยังไง” จุ๊ยถามกลับ
“แบบ... อาราอิเธอนอกใจฉัน  แล้วก็เดินไปทุบหัวไหล่ โป๊กๆน่ะเหรอ”
จุ๊ยไม่ได้พูดเฉยๆ แต่ทำท่าประกอบด้วย
อาราอิขำ
“ทำไม่เป็นวะ” จุ๊ยส่ายหัว  แล้วก็กดรีโมทเปลี่ยนช่อง
“แต่ละครเรื่องนี้มันน้ำเน่าเป็นบ้าเลยนะ  นายก็รับเล่นไปได้”
อาราอิเดินมานั่งกอดจุ๊ยจากด้านหลัง
“ก็เขาติดต่อมา  ละครรีเมคมันก็อย่างนี้หล่ะบางเรื่องก็น้ำเน่า”
แล้วเขาก็หอมบนหลังคอจุ๊ย
“สามวันมานี่แอบนอกใจฉันบ้างรึเปล่า แอบไปควงสาว ควงหนุ่มที่ไหนบ้างไหมเนี่ย”
“โอ้โห... สามวันเนี่ยนะ  ทั้งเกาะยังรู้จักคนไม่ถึงสิบคน จะเอาที่ไหนไปควง” จุ๊ยท้วงก่อนจะเปลี่ยนช่องอีก เป็นรายการถ่ายทอดฟุตบอลต่างประเทศ ก็เลยหยุดดู
“รู้สึกแย่ขนาดนั้น  ไปยืนเล่นแซกแก้เซ็งตั้งแต่เช้าจรดเย็น ดูนี่ ดำเลยเห็นไหม” ว่าแล้วก็ถลกแขนเสื้อให้ดู
จุ๊ยเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะถาม
“ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง”
อาราอิเอาหอมผมจุ๊ยก่อนจะตอบ
“เขา ก็ตามหาคุณชายกันแทบพลิกแผ่นดินน่ะสิ  อ๊อด ฮ้อย เดฟ อัศ พี่กับน้องของนาย แล้วก็เพื่อนๆนายที่คณะกระจายตัวไปตามที่นั่นที่นี่  ไปถามตามโรงพยาบาล  ไปยันมูลนิธิกู้ภัย  แต่ก็ไม่มีวี่แววของนาย นี่ก็แจ้งความไปแล้วด้วย”
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“เห็นไหมใครๆก็รักฉัน  ก็อย่างนี้ล่ะนะ  คนมันน่ารักนี่หน่า”
อาราอิยิ้มจางๆ
“แต่อย่าทำบ่อยๆนะ  ฉันจะตายเอา... ใจมันร้อนเป็นไฟ  นอนก็นอนไม่ได้  เป็นห่วง กังวล คิดไปสารพัดเลย”
จุ๊ยเม้มปากนิ่ง ก่อนจะตอบ
“ไม่แล้วหล่ะ  หลังจากเหตุการณ์นี้ ฉันคงจะเข้มแข็งมากขึ้นเลยล่ะ”
แล้วทั้งคู่ก็นิ่งกันไป
“ว่าแต่นายเหอะ... ถ้าฉันไม่อยู่ก็ว่าวบ้างเหอะ... นี่อยากมากเลยเหรอ เอามาดุนหลังฉันอยู่ได้”
อาราอิหน้าแดง  เอาศอกฟันหัวไปทีหนึ่ง
“นายนี่... ไม่โรแมนติกเลยวะ กะจะกอดบิวอารมณ์สักหน่อย”
“โอ้โห... ดุนซะขนาดนั้น... ไม่ต้องบิวแล้วมั้ง” แล้วจุ๊ยก็ดิ้นจะหนี
แต่อาราอิกลับดังจุ๊ยกลับมา  แถมรวบตัวลงไปนอนก่อนจะพลิกมาอยู่เหนือร่างนั้น
“ฉันห่วงนายมากเลยนะจุ๊ย  กลัวนายเป็นอะไรไป นายห้ามทำอะไรอย่างนี้อีกนะ”
ดวงตาอาราอิบอกความหมายตามคำพูด
จุ๊ยยิ้มยีวน
“ก็จะพยายาม”
แล้วสองสายตาก็ประสานกันนิ่ง 
อาราอิจุมพิตลงบนริมผีปากของจุ๊ยอย่างอ่อนโยน
ในโทรทัศน์คู่แข่งขันฟุตบอลกำลังขับเคี่ยวกันเข้มข้น  แฟนบอลก็ส่งเสียงกันสนั่น 
ทว่าในห้วงแห่งอารมณ์ของอาราอิและจุ๊ยบทเพลง  Nocturne no. 6 F Major ของ John Field กำลังบรรเลงท่วงทำนองเปียโนอันแว่วหวาน สอดคล้องการเคลื่อนไหวตอบสนองต่อกันของคนทั้งคู่

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 58 : โรงแรมนี้ชื่อรักสายน้ำ
โรงแรมนี้เป็นบูติกโฮเตลขนาดเล็ก  ดังนั้น อาราอิกับจุ๊ยต้องยืนรออยู่นานพอสมควรเมื่อมาเช็คเอาท์  ระหว่างนั้นจุ๊ยก็เหลือบเห็นเปียโนแนวตั้งอยู่หลังหนึ่ง เขาก็เลยนั่งลงหันมองซ้ายมองขวา
“เฮ้ยเดี่ยวเขาก็ว่าหรอก” อาราอิเดินมา
“นิดเดียวน่า ไม่ได้เล่นนานละ” จุ๊ยว่าแล้วเปิดฝาครอบคีย์
แล้วก็บรรเลงเพลง Piano Sonata No 2 in B flat minor ของ โชแปง
สักครู่ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาตามเสียงนั้น  แล้วได้เห็นจุ๊ยนั่งเล่นเปียโนอยู่
เธอรอกระทั้งเพลงจบ  แล้วจึงกล่าวทัก
“จุ๊ยใช่ไหม”
จุ๊ยหันไป
“ครับน้าเก๋”
ภายในห้องทำงาน น้าเก๋รอให้เด็กเอาเครื่องดื่มมาเสริพแล้วถอยออกไป
“นี่ไม่รู้นะว่าจุ๊ยมาพัก  ไม่อย่างนั้นจะให้พักห้องใหญ่สุดเลย"
“ผมก็ไม่ทราบหรอกครับว่าที่นี่เป็นของน้าเก๋” จุ๊ยตอบแล้วมองหน้าอาราอิ
“พอดีผมกับเพื่อนขับรถผ่านเห็นโรงแรมสวยเลยเข้ามาเลย”
“ไม่ เจอกันนานมากเลยนะ  ตั้งแต่งานศพของไตร” เธอยิ้มแล้วก็มองไปบนผนัง  รูปของเด็กหนุ่มผิวสองสีสวมหมวกเบสบอลกลับหลัง ยืนกอดประคองแซกโซโฟนอยู่โดยมีรอยยิ้มละไม
จุ๊ยก็หันมองภาพนั้น  เขาก็ยิ้มออกมา
“มิน่าผมถึงได้รู้สึกเหมือนคุ้นเคยแปลกๆ”
“ก็ น่าจะเป็นอย่างนั้นหล่ะจ๊ะ  เพราะที่นี่สร้างขึ้นตามความฝันของไตรเลยนะ  เขาเคยบอกว่าอยากจะสร้างโรงแรมสักแห่ง  แล้วเขาจะได้มาใช้ชีวิตที่ภูเก็ต” น้าเก๋กล่าวในรอยยิ้มเมื่อนึกถึงอดีต
“ยังเล่นดนตรีอยู่ใช่ไหม” น้าเก๋ถาม
“ครับ  ยังเล่นอยู่” จุ๊ยตอบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ  เพราะไตรเขาก็อยากให้จุ๊ยเดินทางนี้ไปตลอด เขาบอกว่าจุ๊ยมีพรสวรรค์ จะต้องไปได้ไกลกว่าใครแน่นอน” น้าเก๋กล่าว
 
พูดคุยสักครู่ส่วนใหญ่คือถามไถ่ถึงเพื่อนเก่าๆของไตรเช่นฐา  ส่วนจุ๊ยก็ถามถึงสุขภาพและการงานของครอบครัวของไตรที่เขารู้จัก  แล้วก็ต้องลากัน
น้าเก๋เดินมาส่งจุ๊ยกับอาราอิที่รถ
“ถ้าไตรรู้ว่าจุ๊ยมาที่นี่คงจะดีใจมาก  หรือไม่แน่จะเขาอาจดลใจให้จุ๊ยผ่านมาก็ได้”
“ผมจะไปบอกเพื่อนพี่ไตรคนอื่นๆ  เรื่องโรงแรม  พวกเขาจะได้มาเยี่ยมคุณน้าบ้าง” จุ๊ยบอก
น้าเก๋ยิ้ม
“ดีแล้วหละ  นึกว่าจุ๊ยจะลืมพี่ไตรไปแล้วซะอีกนะ”
จุ๊ยยิ้ม
“ไม่ลืมหรอกครับ  เพราะผมเก็บพี่ไตรไว้ในอดีตที่แสนดีเสมอ  แต่เพราะชีวิตของเราต้องก้าวไปข้างหน้าตลอด ตอนนี้และอนาคต  ผมก็มีคนที่จะสร้างความทรงจำใหม่ๆต่อไปครับ แต่พี่ไตรจะอยู่ในอดีตของผมตลอดไป”
ประโยคนี้จุ๊ยพูดแล้วหันไปสบตากับอาราอิ 
น้าเก๋เห็นแววตาของสองคนแล้วก็ยิ้มออกมา
 
พอกลับรถเรียบร้อย  น้าเก๋ก็ยังยืนอยู่แถมทำท่าเหมือนจะบอกอะไร  อาราอิเลยเปิดกระจกลง
“เดี่ยวเลี้ยงขวาออกไปจะง่ายกว่า  มันจะมีถนนตัดไปเจอกับถนนเส้นหลักเลย  แล้วถ้าหิวจะมีร้านขนมจีนอร่อยๆอยู่ข้างทาง  แวะทานกันก็ได้นะ  บอกเจ้าของร้านว่าเป็นหลานของน้า เราเป็นญาติกัน  เขาจะให้จุ๊ยเป็นพิเศษ จะได้อิ่มๆ” น้าเก๋บอก
จากนั้นก็บอกกับอาราอิ
“เป็นดารา  ต้องระวังเรื่องภาพลักษณ์  เรื่องที่เรามาพักที่นี่น้าจะไม่บอกใครก็แล้วกันนะ  น้าจะกำชับไม่ให้เด็กเอาไปพูดต่อ แล้ววันหลังอยากมาพักภูเก็ตสองคนแบบไม่มีใครรบกวนก็บอกนะ”
อาราอิกล่าวขอบคุณ
จุ๊ยยกมือไหว้อีกครั้ง
 
รถเลี้ยวออกไปแล้ว  เก๋สูดลมหายใจลึกๆ
“จุ๊ยเป็นคนน่ารักเนอะ ไตร  อยู่กับใครก็อดรักเขาไม่ได้หรอกจริงไหม  แต่ถ้าวันนั้นไตรบอกแม่สักคำว่าคนที่ไตรรักคือจุ๊ย  ไม่แน่นะตอนนี้คนที่ขับรถอยู่อาจเป็นไตรก็ได้”
แล้วเธอก็มองป้ายชื่อโรงแรมที่ลูกชายเป็นคนตั้งตอนที่เล่าความตั้งใจให้ฟัง
รักสายน้ำ..
“เอหรือไตรบอกแม่แล้วแต่แม่ไม่สังเกตเองก็ไม่รู้”
 
 
กลับกรุงเทพมาได้หลายวันแล้ว จุ๊ยก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ  เขายังคงทำความทำงานตามหน้าที่ไปอย่างเดิม  แต่ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็มีให้เห็น นั่นมาจากท่าที่ของป๊าต่อเขา  เหมือนป๊าจะอยากพูดอะไรกับเขา
แต่จุ๊ยก็รู้ว่าป๊าปากหนักเกินกว่าจะเอ่ยปากเอง  แล้วจุ๊ยเองก็ไม่อยากจะพูดถึงด้วย
ระหว่างที่จุ๊ยกำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่นั้นเอง  อ็อดก็โทรเข้ามา
“ว่างไหม” อ๊อดถาม
“อืม ก็ว่างนะ  แต่ตอนนี้กำลังทำกับข้าว”
“เดี่ยวออกมาเจอกันหน่อยสิ  พี่สรรค์จะคุยเรื่องวงดนตรีใหม่  ไอ้ฮ้อยมันตกลงแล้ว”
จุ๊ยพยักหน้าพลางฟังพลาง มือก็ผัดผักบุ้งไปด้วย
 
พี่สรรค์เป็นออแกนไนเซอร์ที่เชียวชาญเรื่องดนตรี  ในอดีตเคยเป็นนักร้องสมัยเป็นวัยรุ่น  ตอนนี้เรียนจบแล้วก็ผันตัวมาเป็นคนจัดหาวงดนตรีให้กับงานอีเว้นท์ต่างๆ
พี่สรรค์มีบุคลิกแสดงออกชัดว่าเป็นคนชอบเพศเดียวกัน  แม้จะไม่ได้สาวแต่ก็มักจะเผลอปรายหางตาเวลาคุย
“เล่นเป็น Trio ก็ดีเหมือนกัน  พี่ชอบมากเลย” พี่สรรค์กล่าวสรุปในตอนท้าย
“รับงานเลยก็ได้มั๊ง พี่มีงานอาทิตย์หน้าพอดี เป็นงานของพี่เองหล่ะ  “
จุ๊ยกับฮ้อยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พอโดนถามก็เลยตอบตกลงไป
 
พี่สรรค์อาสามาส่งพวกจุ๊ย  แต่น่าแปลกว่าเขากับไปส่งจุ๊ยก่อนทั้งจากจุดนัดพบ  จะต้องถึงที่พักของอ๊อดก่อนจุ๊ย  แต่อ๊อดก็ไม่ได้สอบถามอะไร  เพราะจริงๆแล้วเขารู้ดีแก่ใจ
พอถึงหน้าอาคาร  สรรค์ก็วางมือบนตักของอ๊อด
“แน่ใจนะว่าไม่อยากไปต่อกับพี่  เดี่ยวมาส่งก็ได้”
อ๊อดมองมือของสรรค์ ที่ว่างลงมาตำแหน่งจุดอ่อนทางอารมณ์ของเขาพอดีคือตรงขาด้านใน
“เอ่อไม่ดีกว่าครับ มีแต่เพื่อนพี่ ผมไม่รู้จัก”  อ๊อดตอบ แล้วทำท่าจะปลดเข็มขัดออก
“แต่วันเกิดเดือนหน้าพี่ อ๊อดต้องสัญญานะว่าจะอยู่กับพี่จนงานเลิก  ไม่ใช่หนีกลับก่อน” สรรค์กล่าวแล้วเอามือออก
“ครับ” อ๊อดตอบรับ
พออ๊อดลงจากรถเขาถึงกับต้องสูดลมหายใจแรงๆ  แปลกเหลือเกินที่พี่สรรค์แตะต้องเขาที่ไร  ก็ต้องสร้างความรู้สึกให้ได้ทุกครั้ง  มันเหมือนกับเขารู้จุดอ่อนในตัวของอ๊อดหมด
แถมเหมือนพี่สรรค์จะล่วงรู้ความชอบของเขาเกือบทั้งหมด  ไม่ว่าซื้อของอะไรให้ ก็จะต้องตรงกับความชอบของอ๊อดทุกครั้ง
เขาไม่ใช่ไม่หวั่นไหว  แต่เขาต้องเข้มแข็ง  เพราะยังไรเสีย  เขาก็มีเมืองฟ้าอยู่ทั้งคน
อ๊อดขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่เขาพักอยู่ พอเดินเลี้ยวก็เห็นสิ่งหนึ่ง  ที่หน้าห้องของเขากับเมืองฟ้า  มีหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งยืนอยู่ในลักษณะเห็นได้ชัดว่าพึ่งออกมา
“ขอบคุณมากเลยนะครับพี่” หนุ่มรุ่นน้องกล่าวแค่เมืองฟ้า  เขาชื่อสิทธิ เป็นน้องรหัสของเมืองฟ้า  ผิวสองสีหน้าตาคมคายใช้ได้
“อืมไม่เป็นไรหรอก  ไม่เข้าใจก็ถามพี่อีกได้นะ” เมืองฟ้าตอบ
สิทธิกำลังจะตอบ  แต่อ๊อดก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน
“ดึกแล้ว” อ๊อดมาถึงก็ดันเมืองฟ้าเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าสิทธิ
 
อ๊อดไม่ได้พูดอะไรแต่กิริยาวางของบอกเลยว่าไม่พอใจ
เมืองฟ้าก็ยังไม่พูดอะไร  เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์
พออ๊อดได้น้ำเย็นๆไปสักแก้วก็เริ่มแน่ใจว่าตนเองใจเย็นลง
“มันมาทำไม” อ๊อดถาม
“ก็มาติวไง  อาทิตย์หน้าสอบมิดเทอมแล้วนี่” เมืองฟ้าตอบแต่ไม่หันหน้ามา
อ๊อดนิ่งเงียบ
“อย่านึกว่าอ๊อดไม่รู้นะเมืองไอ้หมอนั้นมันชอบเมืองใช่ไหมหล่ะ  คนเขาพูดกันให้หึ่งว่ามันคอยประกบเมืองอยู่ตลอด”
เมืองฟ้าก็ยังไม่หันมา
“อ๊อดคิดมากไปรึเปล่า  เขาเป็นน้องรหัสเมือง  ก็ต้องสนิทกันเป็นธรรมดา”
อ๊อดถอนหายใจดัง  แต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่าตัวเองแสดงอาการไม่เหมาะสมออกไปตั้งแต่มาถึง
เขาก็เลยเข้าไปง้อด้วยการกอดเมืองฟ้าจากข้างหลัง
“วันนี้เราฟอร์มวงเสร็จแล้วนะ วงของเราชื่อ The Trio Tenders”
เมืองฟ้าก็เหงนหน้าขึ้นมามองหน้าอ๊อด
“เหรอ..ดีจัง  อ๊อดจะได้เล่นกับจุ๊ยกับฮ้อยด้วย” 
อ๊อดเห็นรอยยิ้มของเมืองฟ้าก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก  เขาก็เลยจับเก้าอี้เมืองฟ้าหมุมมา
“เอาไว้อ๊อดจะเล่นให้เมืองฟังเป็นคนแรกเลย  ถ้าเราซ้อมกันลงตัวแล้ว”
เมืองฟ้าก็พยักหน้า
อ๊อดจึงขยับเข้าไปจูบที่หน้าผาก
“ไปอาบน้ำแล้วเรามาหาอะไรทำกันฉลองวงใหม่ดีกว่า”
แล้วอ๊อดก็ลุกขึ้นเต้นยั่วยวน
“บ้าแล้ว” เมืองฟ้าหยิบปลอกปากกาปาใส่

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 59 : ปัญหาซ้อนปัญหา
รู้จากเพื่อนๆว่านายนทีธารอยู่ในห้องซ้อมดนตรี  ปกรณ์จึงเดินไป  ตอนที่เขาเข้าไปเห็นจุ๊ยกำลังตีกลองเป็นจังหวะแต่เหมือนจะแค่เล่นๆเฉยๆ มากกว่าซ้อมจริงจัง
แต่เพราะการเข้ามาของปกรณ์ทำให้เด็กๆหยุดเล่นกันหมด
“นทีธาร  ผมอยากจะคุยด้วยหน่อยหนึ่ง”
จุ๊ยหันไปมองหน้าฮ้อยที่เมื่อสักครู่ยืนให้คำแนะนำจุ๊ยอยู่  เขาส่งไม้กลองให้แล้วเดินตามอาจารย์ออกไป
 
“ผมรู้ว่าคุณปฏิเสธมาหลายที่  แต่ที่นี่ผมอยากให้คุณไปเข้าทดสอบดู” ปกรณ์ส่งเอกสารให้จุ๊ย
“รู้จักอยู่แล้วสินะ  เป็นวงที่ได้รับการอุปถัมภ์จากสมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษด้วย  เขาต้องการมาเลือกนักดนตรีไปเข้า    อเคเดมี่ แถมมีทุนให้ด้วย  ถ้าเรียนจบเขาก็จะให้เป็นนักดนตรีของเขาเลย”
จุ๊ยอ่านเอกสารคราวๆ  เห็นกำหนดการเป็นปีหน้า
“คุณมีเวลาคิดอีกหนึ่งปีเศษๆเลยนะ  โอกาสอย่างนี้อย่าให้หลุดลอยไป  ผมบอกตามตรง  ถ้าคุณมาดักดานอยู่ในประเทศนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร  คุณควรไปเปิดหูเปิดตากับโลกกว้าง ได้เจอนักดนตรีที่มีความสามารถใกล้เคียงกับคุณมากกว่า  แบบนั้นคุณถึงจะพัฒนาตัวเองได้” ปกรณ์มองหน้าหนุ่มน้อย ก่อนจะตบบ่า
“คุณรักดนตรี  ผมก็รักเหมือนกัน  ผมถึงอยากให้คุณไปช่วยทำให้วงการดนตรีมีสีสันมากขึ้นอีก  โลกของดนตรีต้องการคนอย่างคุณนะ นทีธาร อย่าให้สิ่งที่คุณตัดใจไม่ลงรั้งคุณไว้อย่างนี้  เพราะนี่คืออนาคตของคุณเอง”
 
หลังจากทุ่มเทให้การถ่ายละครหลายวัน  ที่สุดอาราอิก็หมดคิวเพราะละครปิดกล้องไปแล้ว  อาราอิก็ใช้เหตุผลว่าจะสอบแล้วเป็นข้ออ้างให้ตัวเองได้พักรับงานกับผู้ จัดการก้อง
“เอ้อ โยชิพี่ว่าจะพูดหลายทีแล้ว” ก้องกล่าวน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง
“เรื่องเธอกับเด็กชื่อจุ๊ยน่ะ  พี่ว่าเราทำอะไรก็ระวังตัวไว้บ้างก็ดีนะ  ตอนนี้เรากำลังมาแรง  เดี่ยวจะมีคนเอาไปตีข่าว จะกลายเป็นผลเสียกับตัวเราเอง  แล้วก็น้องเขาด้วย”
อาราอิพยักหน้าช้าๆรับคำ
 
ตลอดทางมานี่จุ๊ยทำท่าเหมือนกำลังตีกลองอยู่ตลอดอาราอิก็เลยถามตอนรถติด
“นี่จะเล่นกลองเหรอ” อาราอิถาม
จุ๊ยหยุดมือ
“ก็ อยากจะได้วิชาเพิ่มนี่น่า  จุ๊ยเคยตีสมัยเด็กๆ ตอนนี้ลืมเกือบหมดแล้ว  ตีได้แต่กลองวงโย  แต่กลองชุดนี่ลงกรุไปหมดแล้ว  ก็เลยให้ฮ้อยมันสอน”
“จุ๊ยเล่นกีตาร์เป็นไหม” อาราอิถาม
“ก็พอจับได้หลายคอร์ด  เล่นได้แต่เพลงง่ายๆ” จุ๊ยตอบ
“แล้วมีอะไรที่จุ๊ยเล่นไม่ได้บ้าง” อาราอิถามต่อ
“หลายอย่าง... ฉันก็ไม่เป็นเทวดานี่หว่า  จะได้เล่นได้ทุกอย่าง  ไม่ได้เทพขนาดนั้น” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าเคาะต่อไป
“วันนี้ฉันเห็นเฮียตี้ด้วยนะ  พอดีขับรถผ่าน แถวๆโรงพยาบาล เห็นเขาออกมากับแฟนเขา” อาราอิบอกเล่า
จุ๊ยก็หยุดมืออีก  แต่แค่เดี่ยวเดียว
“แล้วนี่เขาได้เข้าบ้านบ้างไหมเนี่ย” อาราอิถามต่อ
“ไม่เลย” จุ๊ยส่ายหน้า แต่มือยังทำท่าเคาะต่อไป
“ไม่ มีการคุย ไม่พูดถึงเลยด้วยซ้ำ ขนาดฉันกับป๊าอยุ่บ้านเดียวกันก็ไม่ได้พูดกันเท่าไหร่  ยังดีมีไอ้ซัวอยู่ด้วยไม่งั้นเป็นบ้ากันพอดี”
“งั้นฉันขอไปค้างที่บ้านนะ  นายจะได้มีเพื่อนคุย” อาราอิว่าแล้วหันไปไปมองกระเป๋าเป้ที่เบาะตอนหลัง
จุ๊ยหันไปมอง
“โอ้โหขนมาเยอะขนาดนี้ จะหนีตามฉันหรือไง  กะจะสิงอยู่บ้านฉันเลยว่างั้น” จุ๊ยหันไปมองแล้วก็ร้องออกมา
 
วันนี้ วันอาทิตย์  ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดร้าน  จุ๊ยทำความสะอาดที่นั่นที่นี่ไปตามที่เคยทำตามปกติ โดยมีอาราอิเป็นลูกมือ  แต่บางครั้งก็ต้องใช้ส่วนสูง 189 ของอาราอิให้เป็นประโยชน์
“เฮ้ยๆ” จุ๊ยร้องตอนที่อาราอิกำลังปีนเช็ดหลังตู้
อาราอิตกใจรีบเกาะขอบตู้เพราะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่จุ๊ยกลับหัวเราะร่วน
“ไอ้จุ๊ย” อาราอิทำเสียงเขียว
“ขวัญอ่อนว่ะ” จุ๊ยยิ้มเย้ย
อาราอิก็เลยหมั่นไส้ปัดผงให้ลงไปบนหัวจุ๊ย
“ไอ้ญี่ปุ่นชั่ว” จุ๊ยร้องขณะปัดฝุ่นออกจากหัว
“ดูสิหัวพึ่งสระ เลอะหมดเลย”
อาราอิหัวเราะกิ๊กกั๊ก
ซัวลงมาจากชั้นบนในตอนเกือบเที่ยง  ได้กลิ่นปลาทอดหอมกรุ่นก็เดินเลี้ยวเข้าครัว
เห็น อาราอิใช้ฝาหม้อต่างโล่ในการป้องกันน้ำมันกระเด็น  ในขณะที่จุ๊ยก็แกล้งด้วยการปลาไปโยนในลักษณะตั้งใจให้กระเด็น แล้ววิ่งหนีออกมาหัวเราะเยาะ
“เอ้า จะไหม้แล้วกลับสิกลับ”
ตอนนั้นน้ำมันในกระทะกำลังพลุ่งพล่านเหมือนกระทะทองแดง
ซัวก็หันไปหยิบร้องเท้าหนังสีดำมาสวม มองพี่ชายหยอกกับอาราอิ
“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ”จุ๊ยถาม
“ไม่ทันแล้วมั๊งเฮีย เดียวผมไปกินแถวร้านก็ได้” ซัวตอบ
อาราอิพลิกปลาเสร็จแล้ว  เขามองตามเด็กหนุ่มร่างเล็กไป
 
เมื่อทอดปลาเสร็จ จุ๊ยก็หันไปต้มน้ำแกง  อาราอิที่ยืนมองจุ๊ยอยู่ก็กล่าวในสิ่งที่เขาเก็บไว้ในใจ
“จุ๊ย... จุ๊ยไม่ได้เห็นซัวแต่งชุดนักเรียนนานเท่าไหร่แล้ว”
จุ๊ยปิดไฟในเตา
“ก็นานแล้ว  แต่ซัวมันเรียนอาชีวะ  บางทีมันก็ต้องซ่อนเสื้อช๊อป  เพราะกลัวเด็กโรงเรียนตีเอา”
“แต่อย่างน้อยก็ต้องแต่ตัวเหมือนจะไปเรียนบ้างใช่ไหมหล่ะ” อาราอิตั้งข้อสังเกต
“เท่าที่ฉันจำได้  ฉันว่าหลายเดือนแล้วนะที่ไม่ได้เห็นซัวแต่งตัวแบบนั้น  แต่แต่งตัวเหมือนจะไปทำงานมากกว่า”
จุ๊ยเลยนิ่งไป 
จริง อย่างอาราอิว่า  ซัวไม่ได้แต่งตัวเหมือนจะไปเรียนมานานแล้ว  ทุกวันที่จุ๊ยเห็นคือเขาแต่งตัวเหมือนจะไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อที่ซัว บอกว่าทำงานพิเศษอยู่มากกว่า
“อย่าพึ่งบอกอะไรป๊านะ” จุ๊ยกล่าวกับอาราอิ
“เราต้องเช็คดูก่อน”

วันนี้เป็นวันจันทร์แต่จุ๊ยไม่มีเรียน อาราอิก็เหมือนกัน  ดังนั้นสถานศึกษาที่จุ๊ยกับอาราอิไปไม่ใช่มหาวิทยาลัยแต่เป็นโรงเรียนของซัว
“นายปุลินะ ลาออกไปแล้วนี่ครับ  เขาเอาเอกสารลาออกมายื่นตั้งแต่ต้นเทอม  ก็เห็นเขาบอกว่าพ่อไม่ให้เรียน”  ครูประจำห้องทะเบียนกล่าว 
*ปุลินะ แปลว่าทราย*
จุ๊ยยืนนิ่งไป  จนอาราอิต้องเรียกสติด้วยการตีเบาๆที่มือ
“ครับ... ขอบคุณครับ” จุ๊ยกล่าวแล้วยกมือไหว้
 
ออกจากโรงเรียนมาจุ๊ยก็นั่งเงียบมองออกไปนอกตัวรถ
“เราไปที่ร้านที่ซัวทำงานกัน” จุ๊ยกล่าวแต่ไม่ได้หันมา
“ไม่ไป  ฉันอยากไปบ้านมากกว่า”
“เฮ้ย อาราอิ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ  ฉันจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง” จุ๊ยหันกลับมาโวย
“ไม่ไป” อาราอิยืนยันคำเดิม
“นายทำบ้าอะไรวะ  ถ้าไม่ไปก็จอด  ฉันไปเองได้” จุ๊ยขยับตัวอย่างหงุดหงิด
“ฉันจะไม่ไป  เพราะถ้านายไปตอนนี้  ทุกอย่างมันจะยิ่งแย่” อาราอิกล่าวต่อไป  เลี้ยวรถแล้วขับไปสู่ด่านทางด่วน
“นี่นายจะไปไหน” จุ๊ยถาม
“ไปไหนก็ได้ จนกว่าจุ๊ยจะอารมณ์ดีขึ้น” อาราอิตอบ ก่อนจะหันไปชำระค่าทางด่วน
“ตอน นี้ถ้าจุ๊ยไป  ไม่ใช่แก้ปัญหา  แต่จะไปสร้างปัญหา  อารมณ์จุ๊ยตอนนี้เหมือนไฟ  ส่วนซัวก็เหมือนน้ำมัน  เจอกันก็พินาศอย่างเดียว ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้”
จุ๊ยได้ฟังก็เริ่มควบคุมตัวเองได้ ถอนหายใจยาวเหยียด

“ฉัน ไม่เข้าใจอาราอิ  มันลาออกทำไม  ในเมื่อมันเป็นคนอยากจะเรียนที่นี่เอง  จุ๊ยก็อุตส่าห์ไปขอป๊าจนมันได้เรียน  แล้วนี่มันกลับลาออก  มันบ้าหรือเปล่า”
อาราอิมองหน้าจุ๊ยจากกระจกมองหลัง
“แต่เขาก็ยังไม่ได้นอกลู่นอกทางใช่ไหมล่ะ  เขาก็ไปทำงานร้านสะดวกซื้อ  มีรายได้  ไม่ใช่ไปเหลวไหลที่ไหน”
จุ๊ยเอาหัวกระแทกกับพนักรองหัว
“โอ๊ยๆ  นี่มันอะไรนักหนา... แล้วจุ๊ยจะทำยังไงดี  เรื่องเฮีย เรื่องซัว...โอ้ยจะบ้าแล้วเนี่ย”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 60 : ทิฐิสลาย
จุ๊ยทำตามที่อาราอิบอกคือพยายามทำใจให้เย็นก่อน  ดังนั้นเขาจึงยังไม่คุยกับซัวในเรื่องลาออกจากโรงเรียน
ประกอบกับมีการสอบ  จุ๊ยหันเหสมาธิมาสนใจการสอบ  เมื่อผ่านไปหลายวันก็เลยยังไม่ได้คุยกัน
จนกระทั้งการสอบผ่านไปแล้ว     
                                                                 
อาราอิกำลังขายอุปกรณ์การก่อสร้างให้กับลูกค้าชายอย่างคล่องแคล่ว 
“ตะปูสี่หุน  แล้วก็สีสองกระป๋อง” อาราอิกดเครื่องคิดเลขแล้วก็บอกราคาไป
พอรับเงินเรียบร้อยก็เดินไปให้ป๊าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี
“เดี่ยวนี้ขายเก่งนะเรา” ป๊ากล่าว
อาราอิยิ้มตอบ
จุ๊ยมองกิริยาของป๊าต่ออาราอิ  ยังดูสนิทกว่าเขากับป๊าตอนนี้เสียอีก  เพราะตั้งแต่เหตุการณ์นั้นป๊าก็พูดกับจุ๊ยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“แต่อย่าไปนั่งหน้าร้านบ่อยๆ เดี่ยวคนก็จำได้แห่กันมา อั๊วไม่ต้องค้าขายกัน”
อาราอิก็ตอบว่าครับ  แล้วก็ขยับแว่นกับหมวกที่สวมให้กระชับ
 
อาราอิกำลังให้จุ๊ยดูภาพจากTwitter แล้วก็วิจารณ์สิ่งที่กำลังดูกันอยู่  แต่เพราะเสียงคนเดินเข้าร้านมา  ทำให้สองคนเงยหน้า
จุ๊ยลุกขึ้นแต่ไม่พูดสักคำ  ก่อนจะเดินเข้าไปข้างหลังบ้าน
อาราอิสบตากับตี้แล้วก็เดินตามเข้าไป
แม้ จะไม่ได้อยากมามีส่วนกับการเผชิญหน้านี้มากนัก  แต่จุ๊ยก็ต้องทำหน้าที่ของต้วเอง  เขาเอาน้ำมาเสริพให้พ๊งหัว ตี้ และแหวน รวมั้งป๊าด้วย  ตอนนี้ทั้งหมดนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ที่โต๊ะอาหารในครัว  โดยตี้นั่งฝั่งเดี่ยวกับป๊า ส่วนแหวนก็นั่งฝั่งเดียวกับบิดาของเธอ
เสริฟเสร็จ จุ๊ยก็เดินเงียบๆจะออกไป
“จุ๊ยไปเก็บร้านแล้วปิดประตู” ป๊ากล่าว  แต่ตาจับอยุ่ที่พ๊งหัว
จุ๊ยรับคำว่าครับ  แล้วก็เดินออกไป
"เดี่ยวลื้อก็เข้ามาฟังอยู่นี่ด้วย  ไม่ต้องไปไหน" ป็าสั่งอีกคำ

เพราะได้สองแรง  ก็เลยใช้เวลาไม่มากในการเก็บและปิดประตูหน้า
พอเดินเข้ามาเหมือนทุกอย่างจะไม่ได้คืบหน้าไปไหน  ทั้งหมดยังนั่งเผชิญหน้ากัน เหมือนอยากจะให้จุ๊ยเข้ามารับรู้
อาราอิที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไป ก็ถูกจุ๊ยดึงเอาไว้  แล้วพาเดินมายืนฟังอยู่ด้วยกันภายในครัว
 
“เอาหล่ะ  ว่าไป  จะเอายังไง” ไฮ้จุ๊งเห็นคนเริ่มก่อน
พ๊งหัวส่งเสียหึในลำคอ
“ฉันควรจะพูดอย่างนั้นมากกว่า  เพราะลูกชายลื้อมาติดพันลูกสาวอั๊ว ไม่ใช่เหรอ”
ตี้กับแหวนมองหน้ากันอย่างอึดอัด
แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนพ๊งหัวจะเป็นเริ่มพูด
“เอาล่ะ  เอาเป็นว่าถ้าลื้อต้องการให้ขอโทษลื้อ อั๊วก็ยินดีจะทำ  แต่ถ้าต้องการให้เด็กมันเลิกกัน  ลื้อก็เอามีดมาแทงอั๊วให้ตายไปซะจะดีกว่า  เด็กสองคนนี้รักกันจริงๆ  อั๊วไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นอุปสรรค์ความรักของเด็ก”
จุ๊ยมองหน้าผู้ชายที่ตัวเองควรเรียกว่าพ่อ 
“อั๊วขอรับผิดเอาไว้ด้วยตัวเอง  แต่ขอร้องลื้ออย่าทำแบบนี้  ลื้อต้องการจะให้ลูกของลื้อช้ำใจจนตายหรือยังไง” พ๊งหัวกล่าวต่อไป
“ลื้อจะเอายังไง  เงื่อนไขอะไร อั๊วจะทำตามทุกอย่าง  ขออย่างเดียวอย่ากีดกัน”
ไฮ้จุ๊งมองหน้าเพื่อนเก่า  แล้วก็มองหน้าลูกชายตัวเอง และแหวน
“ความผิดของลื้อ อั๊วจะไม่ลืม”
ตี้ถึงกับหน้าสลดลง  ต้องเบือนหน้าหนีไป
จุ๊ยก็ต้องสบตากับอาราอิเพื่อขอกำลังใจ อาราอิเลยเอามือวางบนไว้ไหล่ของเขา
“เราสองคนจะไม่มีวันมาญาติดีได้เหมือนเดิม  เพราะอั๊วคงทำเสแสร้งแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอก” ไฮ้จุ๊งกล่าวต่อไป
“แล้วลื้อจะเอายังไง” พ๊งหัวถามแล้วก็ถอนหายใจ
ความเงียบสร้างความอึดอัดแม้กระทั้งอาราอิที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร  แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันภายในบรรยายกาศ
ไฮ้จุ๊งนิ่งเงียบมองต่ำลง ก่อนจะกล่าวในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่างไฮ้จุ๊งจะพูดออกมา

“อั๊ว เสียอาฮัวไปแล้วหนึ่งคน  ตอนนี้นับไปนับมาถ้าไม่นับจุ๊ย อั๊วก็เหลือลูกแค่สองคน  ทั้งที่อั๊วรับปากเหม่ยว่าจะดูแลให้ทุกคนเติบโตเป็นผุ้ใหญ่ที่ดี  แต่อั๊วก็ทำไม่ได้”
ตี้หันกลับมามองหน้าบิดา
“อั๊วไม่ต้องการผิดคำพูดกับเหม่ยอีก  เพราะที่ผ่านมาอั๊วก็ทำผิดกับอีไว้มาก” ไฮ้จุ๊งถอนหายใจก่อนจะกล่าวออกมา
“ตกลง  อั๊วจะไม่ขัดขวาง  ถ้าสองคนรักกันจริงๆ  อั๊วจะไม่ขัดขวาง”
ตี้ยังรู้สึกมึนงง  แต่พอหันไปเห็นหน้าแหวนที่ยิ้มแป้นออกมาทั้งมีน้ำตาซึมๆก็ตื่นตัว
“ป๊าครับ” เขาเรียกออกมา แล้วเอามือจับที่แขนบิดา

ไฮ้จุ๊งเอามือวางมือบนไหล่ลูกชาย
“ลื้อ สองคนยังเด็ก  แม้จะใกล้เรียนจบแล้ว  อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้อยู่ด้วยกันสองต่อสองบ่อยๆ  ลื้อต้องกลับบ้าน  แล้วเวลาไปเที่ยวกันก็ต้องมาขอมาบอกด้วย  แล้วถ้าไม่ไปไหนก็มาที่บ้านมาช่วยงานอั๊วบ้าง  ไม่อายรึ ที่อาราอิเขาต้องมาทำงานแทนลื้อ  ลื้อต้องให้แหวนเขามาหัดทำงานในร้านบ้าง”
“ป๊าครับ” ตี้รับคำ
แล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงกับพื้นครัว  ก่อนจะกราบลงไปที่เท้าของไฮ้จุ๊ง
“ป๊าครับผมขอโทษ ผมอกตัญญูกับป๊า ผมขอโทษครับ”
ไฮ้จุ๊งก็ดึงลูกชายคนโตขึ้น
“อั๊วก็ต้องขอโทษลื้อเหมือนกันนะ  แล้วก็ขอบใจที่ลื้อเป็นหมออย่างที่อั๊วอยากให้ลื้อเป็น  มันคงลำบากมาเลยใช่ไหม”
ตี้ส่ายหน้ายิ้มออกมาทั้งน้ำตาอาบแก้ม
“ไม่เอาไม่ร้อง  ลื้อไม่อายแฟนหรือไง เป็นผู้ชายอะไรร้องไห้  เดี่ยวคนอื่นจะว่าป๊าลื้อสอนลูกชายให้เข้มแข็งไม่ได้” ไฮ้จุ๊งลูบหัวลูกชายเหมือนที่เคยทำตอนที่ตี้อายุน้อยกว่านี้
ตี้หันมองหน้าแหวนที่มีน้ำตาปิติอาบแก้ม
“ทำเป็นพูด  อั๊วก็ไม่ยอมให้ลูกลื้อเอาเปรียบลูกอั๊วได้เหมือนกัน  มันต้องมาสู่ขอตามประเพณี  ไม่งั้นลื้ออย่าหวังว่าอั๊วจะยอม”
พ๊งหัวกล่าวโดยหันเลี่ยงไปทางอื่น
“ก็ว่ามาเลย อั๊วจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ  ลื้อหาฤกษ์มาเลยก็ได้  แล้วอยากจะได้อะไรก็ว่ามา” ไฮ้จุ๊งตอบแต่มองไปอีกทาง
พ๊งหัวหัวเราะทำท่าแสดงความรวยด้วยการยกนิ้วอวดแหวนเพชร
“อาจุ๊ง... ตอนนี้อั๊วไม่ใช่ไอ้พ๊งคนเดิมแล้ว  อั๊วไม่ใช่กระจอกกระจอก  คิดว่าอยากได้สินสอดจากลื้อมากนักหรือไง... ทองหยองจัดมาตามประเพณีก็ว่ากันไป นิดหน่อยก็พอ อั๊วมีเยอะแยะแล้ว  แต่ยังไม่ใช่ว่าหมั้นแล้วแต่งเลยนะ  ต้องให้เรียนจบทั้งคู่ก่อน”
จุ๊ยกับอาราอิหันมองตากัน  อาราอิเห็นจุ๊ยก็มีน้ำตาเลยขยี้หัวจุ๊ยเบาๆ
 
จุ๊ยพาพ๊งหัวขึ้นมาชั้นสองตามคำร้องขอ  เขาจุดธูปแล้วส่งให้พ๊งหัว
พ๊งหัวก็ประนมไหว้แต่ไม่ได้คุกเข่า  จากนั้นก็ส่งธูปให้จุ๊ยเพื่อไปปัก
“ลื้อโตขึ้นมาเลยนะ  ถ้าไปเจอกันข้างนอกอั๊วคงจำไม่ได้” พ๊งหัวกล่าว
จุ๊ยปักธูปเสร็จแล้ว ก็หันมา
พ๊งหัวมองหน้าจุ๊ย
“แต่ลื้อนี่เหมือนอาเหม่ยไม่ผิด  ทั้งตาและโครงหน้า”
จุ๊ยหันไปมองรูปถ่ายของแม่ ก่อนจะหันกลับมามองหน้าพ๊งหัว
“อั๊ว รู้ว่าอั๊วไม่มีคุณสมบัติ  แต่หัวใจคนเป็นพ่อน่ะ  ก็อยากให้ลูกเรียกสักคำว่าพ่อ  แต่ถ้าลื้อไม่เรียก อั๊วก็ไม่ว่า  เป็นเจ๊กพ๊งอย่างเดิมก็ดี  คนอื่นจะได้ไม่สงสัย”  แล้วเขาก็ถอนหายใจอีก 
“ถ้ามีอะไรขาดเหลือ  ก็ไปบอกอั๊วได้นะ  อั๊วอยากจะชดเชยให้ลื้อบ้าง  อย่ารังเกียจเลยนะ”
แล้วเขาก็หันหลังกลับ
“ครับป๊า”
เสียงของจุ๊ยทำให้พ๊งหัวเหมือนโดนไฟฟ้ากระตุกร่าง  เขาหันมา
จุ๊ยยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“วัน นี้ป๊าแสดงให้เห็นแล้วว่าจริงๆแล้วป๊าเป็นคนมีจิตใจยังไง  ผมอาจยังทำใจไม่ได้เต็มที่  แต่ผมก็ยินดีจะเรียกป๊า ว่าป๊าเหมือนกันครับ”
พ๊งหัวน้ำตาไหล เดินเข้ามาหาลูกชายที่ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้ดูแล
แล้วก็กอดเด็กหนุ่มไว้
“ขอบใจมาก  ขอบใจลื้อมาก”

อาราอินั่งท้าวคางมองจุ๊ยเอาแซกโซโฟนจรดริมผีปาก
เมื่อเขาเป่า  เสียงเพลง Autumn Leaves ถ่ายทอดออกมาด้วยท่วงทำนองที่เหมือนจะแว่วหวานกว่าที่เคยได้ยิน 
เสียง ของมันแทรกไปในอณูอากาศ  และคงจะผ่านไปในสายลม  แล้วสายลมก็คงจะหอบมันไปบอกกล่าวแต่ผู้อยู่แดนไกลเพื่อเล่าเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในวันนี้ ที่เธอไม่มีโอกาสได้เห็น...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 61 : เราเลิกกัน การติดสินใจของเดฟ
อัศวะเดินลงจากห้องนอน  แล้วเดินเลี้ยวไปหยิบกุณแจในห้องรับแขกแล้วกำลังจะออกจากบ้าน
“อัศ มานี่ก่อน” เสียงพ่อดังขึ้น
อัศวะจึงจำต้องถอยหลังกลับเข้ามาในห้องรับแขก
“แกจะไปไหน” บิดาของอัศวะ สินธุพับหนังสือพิมพ์แล้วมองหน้าลูกชาย
“ไปหาเพื่อนครับ” อัศวะตอบ
“เพื่อนที่ว่านี่ใคร” สินธุถามลึก
“ใช่ไอ้ดาราเกย์นั้นหรือเปล่า”
สินธุถอนหายใจยาวเหยียด

“ตอน แรกฉันก็นึกว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ  แต่ดูแกตอนนี้สิ  มันเหมือนเพื่อนกันหรือเปล่า... ถ้าแกไม่เห็นแก่หน้าฉันก็เห็นแก่วงตระกูลเราด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นเชื้อเป็นสายตระกูลใหญ่ ตระกูลขุนนางเก่า  ตระกูลเราไม่มีใครเป็นเกย์ ไม่มีใครเป็นตุ๊ด" สินธุกล่าว "แล้วยังจะงานของแกอีก  แกคิดบ้างไหมว่ามันจะเป็นยังไงถ้านักข่าวรู้แล้วมันเอาไปตีข่าวกันสนุกสนาน  มันไม่สนหรอกว่าจะเป็นยังไง  มันสนใจแต่ข่าว”
อัศวะนิ่งเงียบ  มองหน้าบิดา  นั้นยิ่งทำให้สินธุโกรธ
“ตกลงแกจะไม่เลิกใช่ไหม ไอ้นิสัยตุ๊ดของแกนั่นน่ะ” บิดาพูดไม่พูดเปล่าเอาหนังสือพิมพ์ปาใส่ด้วย
ไม่โดนอัศวะหรอก  แต่มันทำร้ายจิตใจของเขาโดยตรง
“ฉันไม่คิดจริงๆว่าจะมีลูกผิดเพศแบบนี้” สินธุลุกขึ้นยืน
“แกต้องเลิกติดต่อกับมัน  ถ้าไม่เลิกเราต้องเห็นดีกัน”
อัศวะไม่ได้ตอบโต้ไม่แม้แต่มองตามหลังพ่อที่เดินออกไปจากห้อง
เขาสูดลมหายใจลึกๆ  แล้วเดินลงฉับๆออกจากบ้านไป
 
เดฟสังเกตเห็นความผิดปกติของอัศวะ  เพราะตั้งแต่เข้ามาภายในร้านอัศวะก็นั่งเงียบ
ร้านนี้เป็นของเพื่อนรุ่นพี่ของเดฟ  เดฟมักจะใช้เป็นที่นัดพบกับอัศวะ เพราะที่นี่ปลอดภัยจากสายตาการสอดส่องของพวกนักข่าวบันเทิงที่จ้องจะเอา เรื่องของดาราไปตีแผ่  แถมตอนนี้อัศวะกำลังมีงานเพลง  และกำลังเริ่มเป็นที่นิยม เริ่มมีคนจำได้
“มีอะไรรึเปล่า” เดฟถามแล้วเลื่อนแก้วเครื่องดื่มไปให้
“หงุดหงิดนิดหน่อย” อัศวะตอบ  แล้วก็จิบเครื่องดื่ม  แต่เป็นการจับพรวดเดียวครึ่งแก้ว
 
“ร้านนี้เหรอ” จุ๊ยมองร้านอาหารกึ่งผับที่ซุกซ่อนตัวเองในย่านถนนสุขุมวิท
“เห็นเดฟบอกว่ามาบ่อยๆเพราะเจ้าของสนิทกัน  ที่นี่เขารักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า  ขนาดมีป้ายบอกว่าห้ามถ่ายรูปดาราหรือเซเลปที่มานั่งที่นี่” อาราอิตอบ  แล้วก็เดินนำเข้าไปก่อน
จุ๊ยจึงเดินตามหลังเข้าไป
 
เข้ามาภายในร้าน บรรยากาศค่อนข้างมืด แต่ก็ไม่ทึบอับแต่อย่างไร  แต่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามและแต่ละที่นั่งจะมีเฟอร์นิเจอร์เช่นชั้นวางของหรือ ม่านบังตากั่นทำให้ดูเป็นสัดเป็นส่วน
“หน้าตาเหมือน.. บาร์โฮสที่ญี่ปุ่น” อาราอิกล่าวตอนนั่งลง
สักครู่บริกรก็เดินมาพร้อมเมนู
“ข้าวมันไก่ไม่มีนะจุ๊ย ไม่ต้องสั่ง” อาราอิดักคอเสียก่อน
“เฮ้ยฉันรู้” จุ๊ยตอบ  แล้วเปิดเมนูดู
“พี่ครับมีข้าวขาหมูไหมครับ”
บริกรทำหน้าเหมือนจะอึ้ง
อาราอิหัวเราะ
“มันพูดเล่น  ที่นี่อะไรอร่อย”
บริกรก็สาธยาย เป็นอาหารต่างชาติเสียส่วนมาก
จุ๊ยทำหน้าเหมือนตั้งใจฟังมาก
“ครับ” จุ๊ยกล่าวรับคำตอนบริกรเล่าจบ
“มีข้าวขาหมูด้วยใช่ไหมครับ”
บริกรเริ่มรู้ว่าจุ๊ยหยอกเลยหัวเราะเบาๆ
อาราอิโคลงหัว
“เดี่ยวก็ได้กินข้าวตีนบ๋อยแทนหรอก” เขากล่าวก่อนจะสั่งอาหารโดยเลือกจากเมนูที่ได้รับการแนะนำเมื่อสักครู่
 
อัศวะเล่าเรื่องพ่อให้เดฟฟังจนจบ  เดฟก็เงียบไปอยู่นาน
จนกระทั้งสักครู่หนึ่ง  เขาก็กล่าวขึ้น
“อัส... เราเลิกกันเถอะ” เดฟกล่าวเสียงเหมือนระเบิดโพล่งออกจากความอัดอั้น
อัศวะได้ยินเต็มสองหู แต่เขากลับไม่เข้าใจความหมาย
“นี่เดฟหมายความว่าไง”
เดฟต้องเอามือที่ซุกอยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่นเพื่อเรียกกำลังใจ
“เรา ไปด้วยกันไม่ได้หรอกอัส  ฉันไม่อยากเป็นคนทำลายอนาคตของนาย  ในเมื่อพ่อของอัศรับไม่ได้  และอัสเองก็กำลังมีงานเพลง  เริ่มต้นใหม่ๆ มันยากนะอัส  นายอย่าเอาอนาคตตัวเองมาจมกับฉันเลยอัส”
อัศวะมองหน้าเดฟนิ่งๆ  แต่แววตากร้าวขึ้นเรื่อยๆ
“นี่มันแค่ข้ออ้างใช่ไหม  จริงๆแล้วเดฟยังลืมจุ๊ยไม่ได้ใช่ไหม”
เดฟแปลกใจที่อยู่ดีๆ อัศวะก็แปลความหมายไปพาดพิงถึงจุ๊ย
“นี่มันไม่เกี่ยวกับจุ๊ยเลยนะอัส  มันเป็นเรื่องของเราสองคน”
อัศวะหลับตาลงแล้วหันไปด้านข้าง
“เดฟ  ถ้าไม่ใช่เพราะอะไรหล่ะ  ทำไมนายถึงยอมแพ้ง่ายๆ  ทำไมนายไม่พยายามสู้เหมือนกับตอนที่ตามตื้อจุ๊ย  ที่จริงเรื่องของเรา ปัญหามันยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ  แต่นายก็ถอดใจแล้ว  แล้วจะให้คิดยังไง  ก็คงคิดแต่ว่าเพราะนายไม่สามารถรักฉันได้เหมือนจุ๊ย นายก็เลยพูดออกมาแบบนั้น”
เดฟถอนหายใจออกมาในที่สุด หลังจากเงียบไปนาน
“ถ้านายคิดอย่างนั้นก็ตามใจนายเถอะ  เอาเป็นว่าเป็นไปตามนั้น  แต่เราก็เลิกกันเถอะ  อย่าเจอกันอีกเลย”
แล้วเดฟก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินออกไป
อัศวะหลับตาลง ก่อนจะทิ้งกายกับพนักที่นั่งอย่างไร้เรียวแรง
 
เดฟเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย  นั่งเงียบอยู่อย่างนั้น 
“ฉันทำไปเพราะรักนายนะอัส... นายจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของนาย  แต่นี่หล่ะความรักของฉัน” แล้วเขาก็บิดกุญแจสตาร์ทรถ
 
เพราะอยู่ในร้านเดียวกัน  จุ๊ยกับอาราอิก็เลยได้รับฟังการสนทนาทั้งหมด 
จุ๊ยจะลุกไปหาอัศวะ  อาราอิจับมือเขาไว้
“ทำไมล่ะ ฉันจะไปอธิบายให้ไอ้อัสมันเช้าใจ”
อาราอิมองตาจุ๊ย
“ทำไมล่ะหรือว่า นายก็หึง”
“เปล่า” อาราอิส่ายหน้า
“นายไม่เข้าใจเดฟหรือไง  สิ่งที่เดฟทำก็คือการ... เสียสละไงหล่ะ”
จุ๊ยนั่งลงเหมือนเดิม เขาเริ่มเข้าใจ
“เพราะรักมากไงหล่ะ  รักจนสามารถเชือดตัวเองให้เจ็บได้เพื่อคนที่ตัวเองรัก  นี่ไม่ใช่นิสัยของเดฟอย่างนั้นเหรอจุ๊ย” อาราอิถาม

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 62 : อัศวะ หรือเราต้องเลิกกันจริงๆ
จุ๊ยกำลังล้างจานตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิด
เขาเดาว่าคงเป็นซัว
จะว่าไปเขากับซัวก็ยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่ซัวไปลาออกจากโรงเรียนโดยพละการ
“กินข้าวรึยัง  มีเป็ดย่างนะจะกินไหม” จุ๊ยถาม
แต่ซัวไม่ตอบเดินขึ้นบันไดไป  จุ๊ยเลยสงสัย พอดีเขาล้างจานเสร็จ ก็เลยตามขึ้นไป  และก็ไปทันตรงชั้นลอย ตรงหน้าห้องนอนของป๊า

“เป็นอะไรอีกหล่ะ หรือว่าเหนื่อย”
ซัวส่ายหัวแต่ไม่ตอบ  แต่จุ๊ยสังเกตเห็นว่าเสื้อของซัวมีรอยเปื้อนก็เลยเดินเข้าใกล้ๆ  พอมองดีๆมันเป็นรอยเลือด
“นี่มันเลือดอะไรซัว” จุ๊ยถาม
“ไม่มีอะไร” ซัวตอบ แล้วรีบเดิน
แต่จุ๊ยคว้าตัวไว้ และใช้ความสูงใหญ่กว่าดึงตัวน้องชายให้หันกลับ
“เฮ้ยหน้าเอ็งไปโดนอะไรมา” จุ๊ยถามเพราะซัวมีรอยฟกช้ำที่ตาและมุมปากอย่างชัดเจน
“ไปต่อยกับใครมาไอ้ซัว”
ซัวทำผลุบตาลงต่ำ 
“บอกเฮียมาซัว” จุ๊ยคาดคั่น
“ไม่มีอะไรเฮียผมหกล้ม” ซัวหันหลังกลับ
“มึงจะปิดบังกูอีกเท่าไหร่ซัว” จุ๊ยโพล่งออกไป
ซัวหยุดเท้า
“มึง ไปลาออกจากโรงเรียนแล้วใช่ไหม  ทำไมมึงไม่บอกกู... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นมึงก็ยังไม่บอกกูอีก  มึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอีกเปล่าซัว ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ซัว”
แต่ซัวไม่ตอบแล้วเดินขึ้นบันไดไป
จุ๊ยใจร้อนจะตามไป  แต่ก็หยุดไว้เพราะนึกถึงคำพูดอาราอิ
ตอนนี้เขาร้อนเป็นไฟ  ถ้าไปคุยกับซัวตอนนี้ก็มีแต่จะทะเลาะกัน
 
อาราอิวางมือบนมือของจุ๊ย  อย่างแผ่วเบาตอนที่ฟังจุ๊ยเล่าจบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ อย่างน้อยนายพยายามไม่ทำให้ทะเลาะกัน”
จุ๊ยถอนหายใจมองออกไปนอกรถ 
“แต่ ฉันก็อยากจะรู้อยู่ดีว่ามันไปต่อยกับใครมา  แต่ไหนแต่ไรไอ้ซัวมันใจปลาซิวจะตาย  นิดหน่อยก็หนี นิดหน่อยก็ถอยไม่เคยสู้ใครสักที  ตอนมันเข้าเรียนอาขีวะฉันยังห่วงมันจะโดนรังแก”
“วันนี้ซัวทำงานรึเปล่า” อาราอิถาม
“ไม่รู้สิ.. ลองโทรถามป๊าดู” จุ๊ยตอบ แต่มานึกได้ ก็สงสัย
“นายถามทำไม”
“ก็ถ้านายอยากรู้ก็ไปถามที่ร้านดูสิ  พนักงานในร้านน่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
 
“หนู ก็ลาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เข้ากะเช้าก็เลยกลับไปก่อนจะเกิดเรื่อง ที่เหลือก็พนักงานฝึกงานไม่รู้อะไรอยู่แล้ว” พนักงานสาวอธิบายหลังจากคิดเงินให้ลูกค้ารายหนึ่งเสร็จแล้ว
“แต่เดี่ยวผู้จัดการก็มาแล้ว  จะรอไหมหล่ะค่ะ”
จุ๊ยเอาโทรศัพท์มามองนาฬิกา
“ก็ได้ครับ” แล้วเขาก็หันไปสบตากับอาราอิที่พรางตัวด้วยแว่นตาดำและหมวก
 
ซัวเดินมาอย่างหมดอะไรตายอยาก  เขารู้สึกแย่มากๆ ที่หันหลังให้พี่ชายไปอย่างนั้นเมื่อคืน
ไม่ใช่ไม่อยากจะเล่า  แต่เฮียจะเข้าใจเขาง่ายๆอย่างนั้นเหรอ  แล้วเฮียจะเชื่อเหตุผลของเขาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ซัวเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านสะดวกซื้อ...
“ไอ้ซัว” เสียงเรียกจากข้างหลัง
ทว่าซัวไม่ได้ทันได้หันไป ก็โดนไม้หวดลงไปกลางหลังจนล้มไป
ซัวตั้งหลักโดยสัญชาตฌานเอาตัวรอด รีบพลิกตัวกลับไปมอง
“ไอ้น้อย” เขาร้องออกมา
“มึงทำชีวิตกูพัง” น้อยคำรามโยนไม้ทิ้งแล้วก็ชักปืนออกมา
 
จุ๊ยมายืนอ่านนิตยสารอยู่ตรงใกล้กับประตูร้าน  แล้วเสียงวุ่นวายด้านนอกก็เรียกเขาให้หันไป

“ซัว” เสียงจุ๊ยร้องเสียงดัง แล้วถลันออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เปรี้ยง” เสียงปืนแผดสนั่น
“เฮีย” ซัวร้องเสียงหลง  เพราะจุ๊ยเข้ากอดร่างเขาไว้เสียก่อนเสียงปืนจะดัง

จุ๊ยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในครั้งแรก  กำลังจะถามน้องชายว่าเป็นอะไรไหม  แต่พอจะอ้าปากพูด เลือดมันก็ทะลักออกมาจนเต็มปาก

แล้วความรู้สึกเจ็บแน่นก็โถมเข้ามา

"เฮีย" ซัวร้องผวากอดร่างพี่ชายไว้แน่น

 
น้อยเห็นท่าไม่ดีแต่ก็ยังจะยิงซ้ำ เขาจ่อปืนไปเลือกที่หัวของซัว
ฉับ พลัน กลับมีร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกปืนในมือจนหลุดกระเด็น ด้วยการเตะ  จากนั้นก็จับล็อกแขนแล้วกระแทกหมัดใส่หน้าไปหลายครั้งจนน้อยสงบไปคามือ
“จุ๊ย”อา ราอิปล่อยร่างที่สิ้นฤทธิไปแล้ว  เข้าไปหาจุ๊ยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของซัว  เขาถอดเสื้อตัวเองออก กดลงไปบนบาดแผลที่อยู่กลางหลัง
“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลที” เขาตะโกน กอดร่างของจุ๊ยไว้มือกดไว้ที่บาดแผล

"อาราอิ.." จุ๊ยเรียก

"มืดจังเลย..ฉันมองไม่เห็นแล้ว"

ใน อ้อมกอดของอาราอิแม้จุ๊ยจะรู้สึกอบอุ่น  แต่เขาก็รู้สึกง่วงเกินกว่าจะลืมตา  จากนั้นก็เขาก็ดิ่งสู่ห้วงดำมืด โดยมีเสียงอาราอิเรียกเขาซ้ำๆติดตามมาด้วย

"จุ๊ย จุ๊ยเข้มแข็งไว้นะ  หมอมาแล้ว  จุ๊ย จุ๊ย"

หน้าห้องพยาบาลอาราอิยืนพิงกับพนังที่ข้างประตูที่ทีมแพทย์พึงจะเข็นร่างของจุ๊ยเข้าไป
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ทำให้เขาขยับล้วงมันออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน  เข้าไปนานแล้ว” เขาตอบคำถามของฮ้อยที่น่ากำลังเร่งเดินทางมาโรงพยาบาล

“หมอกำลังช่วยกันเต็มที่”
ซัวที่นั่งอยู่กับตี้กับแหวนที่พึ่งมาถึงไม่นานก็ร้องไห้ออกมาอีก
จนตี้ต้องเอาตัวน้องมากอด
“ไม่เป็นไรหรอก เฮียของมึงดวงแข็ง  หมอกำลังช่วยเต็มที่แล้ว”
อาราอิกดโทรศัพท์ทิ้ง พิงตัวลงอย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะหลับตาลง
“เข้มแข็งนะจุ๊ย  เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าทิ้งฉันไป”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
จุ๊ยนั้งเช็ดแซกโซโฟนแล้วกำลังจะเก็บ  อ๊อดก็ตรวจสอบสายไวโอลีนอยู่เหมือนกัน

“เป็นยังไงบ้าง” สรรค์เดินเข้ามาทั้งวางมือบนไหล่ของอ๊อด

“ก็ดีครับ” อ๊อดเงยหน้าขึ้นไปมอง

สรรค์นั่งลงข้างๆอ๊อด

“เดือนหน้าหลังสงกรานต์ พี่มีปาร์ตี้วันเกิด อยากจะให้เธอสามคนไปเล่นให้พี่หน่อยจะได้ไหม”

ฮ้อยกลับจากเข้าห้องน้ำก็เดินมายืนข้างจุ๊ย

“ก็ได้ครับ  เล่นให้ฟรียังได้” อ๊อดเสนอตัว

สรรค์วางมือบนไล่อ๊อด นิ้วแตะเบาๆตรงต้นคอ

“ขอบ ใจนะ  แต่พี่ไม่ให้เราเล่นฟรีๆหรอก  ค่าจ้างมีแน่นอน  โดยเฉพาะจุ๊ย  มีเพื่อนเป็นคอแจ๊ส เขาอยากฟังเพลงระดับตำนานจากจุ๊ย  พี่เอาไปโม้ไว้เยอะเลย อย่าให้พี่เสียหน้านะ”

ตอนนั้นนิ้วของสรรค์ไล่ไปบนหลังคอของอ๊อด  สร้างความรู้สึกกับระบบประสาทของอ๊อดอย่างจัง

ฮ้อยที่ช่างสังเกตถึงกับขมวดคิ้วกับกิริยาเพียงเล็กน้อยของคนทั้งคู่

 

ส่งอ๊ฮดเรียบร้อยก็ขับต่อมาส่งจุ๊ย  ก่อนจุ๊ยจะลงจากรถ ฮ้อยก็กล่าวขึ้น

“มึงว่าพี่สรรค์แม่งจะกินไอ้อ๊อดรึเปล่าวะ”

จุ๊ยหันมา

“ทำไมมึงคิดอย่างนั้น” จุ๊ยถาม

“ก็.. เมื่อกี้..” ฮ้อยจะอธิบาย  แต่ก็รู้สึกว่าเขาอาจคิดไปเอง

“เออ.. ช่างเหอะ กูอาจคิดมากไปเอง”

จุ๊ยนิ่งไปนิดหนึ่ง  แต่ก็ตอบออกมาเป็นเรื่องสนุก

“ห่ามึงก็อย่าคิดมาก เห็นอะไรนิดๆหน่อยก็จินตนาการไปไกล  หาแฟนซะนะมึง  จะได้ไม่มีเวลาจินตนาการ จะได้เงี่ยนน้อยๆหน่อย”

ฮ้อยเลยเขกกระบาลจุ๊ยไปสักทีก่อนจะไล่

“ไปเลยมึง ป่านนี้แฟนมึงเตรียมลับอีไต้ไว้ตอนมึงแล้วมั๊ง”

“กูไม่กลัว...” จุ๊ยทำท่ายั่วโมโห

“เพราะมันไม่อยู่ไปถ่ายละคร  มันทำอะไรกูไม่ได้”

 

เดฟนั่งอยู่คนเดียวท่ามบนสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ของโรงแรมที่พัก  เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ประดับด้วยดวงดาว

เขา ดวงดาวแต่ละดวงเขารู้จักดี  ความชอบดูดาวของเขาทำให้เขาเคยคิดว่าสักวันจะเป็นนักดาราศาสตร์  แต่จังหวะชีวิตก็พัดพาเขาออกจากเส้นทางของนักดาราศาสตร์ คงเหลือแต่ความชมชอบในแสงสว่างระยิบระยับพรายที่แต่งแต้มท้องฟ้ายามราตรี

แม้จะมีดวงดาวอยู่ต่อหน้าตอนนี้  แต่เขาก็ไม่อาจสลัดดวงหน้าคมคายของอัศวะในตอนที่สนทนากันครั้งสุดท้ายได้เลย

เขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้  กระทั้งมีใครคนหนึ่งนั่งลงข้างๆ

หันไปก็เห็นอาราอิ

“ดูดาวเหรอ” อาราอิถาม

“อืม” เดฟตอบ

“นายกับอัส  ตกลงจะให้มันจบไปอย่างนี้จริงๆรึ” อาราอิถามต่อ

เดฟเงียบไป  แล้วก็กวาดตามจนทั่วท้องฟ้า

“ฉันยังมีทางอื่นอีกเหรอ โยชิ” เดฟกล่าว

“เรื่อง ของฉันกับอัส ยังไงก็ต้องเป็นแบบนี้  ตอนนี้เขาพึ่งจะเข้าวงการ  นายก็รู้วงการนี้มันโหดร้าย  ถ้าเขามีปัญหาเพราะเรื่องของฉัน  ก็อาจดับเอาง่ายๆ  แล้วยิ่งมีปัญหากับพ่อของเขา ก็ยิ่งไม่ควรไม่ใช่เหรอ”

อาราอิเงยมองดูดาวบ้าง

“นาย นี่ท่าทางจะซาดิสต์ ชอบความเจ็บปวด  เมื่อก่อนก็รักไอ้จุ๊ยจนยอมเจ็บซ้ำซากๆ  ตอนนี้ก็มาเจอคนที่รักตัวเอง  แต่ก็ดันยอมเชือดเนื้อตัวเองเพื่อคนที่รักอีก”

เดฟยิ้มเหมือนเย้ยตัวเอง

“ก็ คงจะจริง  แต่มันก็จำเป็นไม่ใช่เหรอ  จริงๆแล้วตั้งแต่ฉันเลือกจะเปิดตัวเอง  ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าสักวันคงจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น  แต่จะให้ทำยังไงได้  ในเมื่อเส้นทางของเรามันไม่เหมือนชาวบ้าน  จะให้ทุกคนยอมรับหมดก็คงไม่ได้ใช่ไหมหล่ะ”

“ไอ้เรื่องงานก็เรื่องหนึ่งนะ  แต่ไอ้เรื่องครอบครัวนี่เรื่องใหญ่เลยหล่ะ  ฉันไม่อยากให้ใครมาแตกแยกกับครอบครัวเพราะฉันหรอกนะโยชิ”

อาราอิพยักหน้าช้าๆ แล้วก็ตบบ่าเดฟสองที

“บาง ที่เราก็ต้องทำใจในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้  แล้วก็ปล่อยให้เรื่องของพรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้  โดยหวังว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้”

เดฟนิ่งไป  มองลงต่ำแล้วหัวเราะหึๆในลำคอ

“นายนี่ท่าจะอยู่กับจุ๊ยมากไปนะ  พูดอะไรเหมือนเขาไม่มีผิด”

 

วันนี้ จุ๊ยออกจากบ้านพร้อมกับเฮี้ยตี้  ทำให้เขาเข้ามามหาวิทยาลัยด้วยประตูอีกด้านที่ต้องผ่านตึกเรียนของคณะที่เด ฟและ  อัศวะเรียนอยู่

จุ๊ย รู้สึกสองจิตสองใจ ที่จะเข้าไป ใจหนึ่งก็อยากจะเจอกับอัศ   แต่อีกใจก็กลัวอัศวะจะยังไม่เลิกคิดว่า  เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้   เดฟบอกเลิกกับอัศวะ

“เอาวะ” จุ๊ยตัดสินใจแน่วแน่แล้วจะเดินเข้าไป

“จุ๊ย” เสียงเรียกจากด้านหลัง

จุ๊ยหยุดหันมา

อัศวะยืนอยู่ในชุดนักศึกษา

“มาทำอะไร”

ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้ว  แต่จุ๊ยกลับโดนความคาดไม่ถึงที่เจออัศวะแบบกระทันหันเล่นงานจนใจฟ่อไป

“เอออ  กูปวดขึ้  มาเข้าห้องน้ำ” จุ๊ยตอบออกไป กลบเกลือนแบบไม่ค่อยเนียน จนเขารู้ตัวเอง

อัศวะเดินมายืนตรงหน้า

“ตึกคณะมึงไม่มีส้วมงั้นสิ  ถึงต้องมาขี้ถึงคณะกู”

“ก็กูเข้าประตูนี้มา  ปวดพอดีก็ต้องมาขี้ตึกนี้สิวะ เพราะมันใกล้ที่สุด” แล้วจุ๊ยก็ทำท่ากุมท้อง

“ไปก่อนนะเดี่ยวราด”

อัศวะดึงจุ๊ยเอาไว้

“เดี่ยวอย่ามาฟอร์ม  กูรู้ทันมึงไอ้จุ๊ย”

“รู้ทันเหี้ยอะไร” จุ๊ยย้อน ดิ้นรนให้พ้นการจับไว้ของอัศวะ

“อย่าดึงประเดี่ยวกูก็ราดตรงนี้”

“ก็ให้มันราด” อัศวะว่าแล้วล็อกคอจุ๊ย  ก่อนจะลากจุ๊ยไปเดินไป

“เฮ้ยไอ้อัส  นี่กูปวดจริงๆนะมึง”

“ตัวก็เย็น ขนก็ไม่ลุก  ปวดขี้เหี้ยอะไรของมึง  ไม่ต้องมาอ้าง  มาเลยมากับกู”

“ไอ้อัส  ก็บอกว่ากูปวดขี้”

“ไม่ต้องเลย กูหิวข้าว ไปกินข้าวกับกูก่อน”

“ไอ้เหี้ยกูปวดขึ้ เสือกจะไปแดกข้าว...ไอ้อัสมึง”

“เออ ไม่ต้องพูดมา มานี่มา”

 

“แปลว่ามึงได้ยินหมดแล้ว” อัศวะกล่าวแล้วก็ใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ แล้วก็วางกลับลงไป

“เออ  ก็ได้ยินสิ... กูก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นพวกมึง  แต่ฟังไปฟังอ้าวมีชื่อกูด้วย เลยแอบฟัง” จุ๊ยตอบแล้วก็ตักข้าวมันไก่กิน

อัศวะถอนหายใจ

“กู พูดไม่ได้คิดน่ะจุ๊ย กูขอโทษ  กูกำลังเสียใจ  ตกใจด้วย คิดอะไรไม่ออกเลยโทษมึงไปก่อน  ก็มึงอะ เป็นที่รักของเดฟซะขนาดนั้น  กูก็คิดได้เป็นอย่างแรกเลยสิวะ”

จุ๊ยมองหน้าอัศวะ  ก่อนจะเอาช้อนตักเกี้ยวปลามาจากชามอัศวะ

“เฮ้ยนั่น” อัศวะท้วง

“ทำไม ก็มึงขอโทษ  แต่กูก็ต้องเรียกค่าปรับค่าเสียหายด้วยสิวะ” แล้วจุ๊ยก็เอาเกี้ยวปลาใส่ปากเคี้ยว

“ตอน นี้กูเข้าใจแล้วว่าเดฟมันต้องการอะไร  แต่เดฟมันก็ไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดหลายวันกว่าจะกลับ  กูเลยไม่รู้ทำยังไง  โทรไปมันก็ไม่รับ” อัศวะถอนหายใจอีก

“นี่มันจะจบตรงนี้จริงๆเหรอวะ”

จุ๊ยก็ถอนหายใจบ้าง

“ก็ ไม่รู้สิ... แต่กูว่าตอนนี้พวกมึงก็อาจต้องเป็นอย่างนี้กันไปก่อน  อย่างน้อยก็จนกว่ามึงจะหาวิธีคุยกับพ่อ  แล้วก็เคลียร์เรื่องงาน  ไม่อย่างนั้น... มึงก็รู้จักไอ้เดฟไม่น้อยกว่ากู  มันอมความทุกข์ได้มากอย่างเหลือเชื่อ  มันไม่มีทางยอมกลับมาคบกับมึงแน่ๆ แม้มันจะเจ็บปวดก็ตามเหอะ..”

มองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจออกมาพร้อมๆกันอีกรอบ

“เป็นเกย์นี่แม่งยากชิบหาย” อัศวะส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอาตะเกียบแทงๆแทงลงในชาม

“เอากันก็ว่ายากแล้วนะ  จะอยู่ด้วยกันยิ่งยากยิ่งกว่าอีก  โอ้ย... ชิบหาย... ทำมันยากเย็นแบบนี้วะ”

“ไอ้อัศ” จุ๊ยกล่าวเสียงเย็นเหี้ยม

“ความยากของมึงน่ะ  เต็มหน้ากูเลย”

อัศวะยิ้มแหย่ๆ มองหน้าจุ๊ยที่มีน้ำแกงเปื้อนเป็นหย่อมๆ

“ขอโทษมันอิน”

“อินพ่อมึง... ดูดิ แม่งเผ็ดก็เผ็ด”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 63 : วิกฤติ จุ๊ยอย่าตายนะ
จุ๊ยกำลังล้างจานตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิด
เขาเดาว่าคงเป็นซัว
จะว่าไปเขากับซัวก็ยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่ซัวไปลาออกจากโรงเรียนโดยพละการ
“กินข้าวรึยัง  มีเป็ดย่างนะจะกินไหม” จุ๊ยถาม
แต่ซัวไม่ตอบเดินขึ้นบันไดไป  จุ๊ยเลยสงสัย พอดีเขาล้างจานเสร็จ ก็เลยตามขึ้นไป  และก็ไปทันตรงชั้นลอย ตรงหน้าห้องนอนของป๊า

“เป็นอะไรอีกหล่ะ หรือว่าเหนื่อย”
ซัวส่ายหัวแต่ไม่ตอบ  แต่จุ๊ยสังเกตเห็นว่าเสื้อของซัวมีรอยเปื้อนก็เลยเดินเข้าใกล้ๆ  พอมองดีๆมันเป็นรอยเลือด
“นี่มันเลือดอะไรซัว” จุ๊ยถาม
“ไม่มีอะไร” ซัวตอบ แล้วรีบเดิน
แต่จุ๊ยคว้าตัวไว้ และใช้ความสูงใหญ่กว่าดึงตัวน้องชายให้หันกลับ
“เฮ้ยหน้าเอ็งไปโดนอะไรมา” จุ๊ยถามเพราะซัวมีรอยฟกช้ำที่ตาและมุมปากอย่างชัดเจน
“ไปต่อยกับใครมาไอ้ซัว”
ซัวทำผลุบตาลงต่ำ 
“บอกเฮียมาซัว” จุ๊ยคาดคั่น
“ไม่มีอะไรเฮียผมหกล้ม” ซัวหันหลังกลับ
“มึงจะปิดบังกูอีกเท่าไหร่ซัว” จุ๊ยโพล่งออกไป
ซัวหยุดเท้า
“มึง ไปลาออกจากโรงเรียนแล้วใช่ไหม  ทำไมมึงไม่บอกกู... แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นมึงก็ยังไม่บอกกูอีก  มึงยังเห็นกูเป็นพี่มึงอีกเปล่าซัว ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ซัว”
แต่ซัวไม่ตอบแล้วเดินขึ้นบันไดไป
จุ๊ยใจร้อนจะตามไป  แต่ก็หยุดไว้เพราะนึกถึงคำพูดอาราอิ
ตอนนี้เขาร้อนเป็นไฟ  ถ้าไปคุยกับซัวตอนนี้ก็มีแต่จะทะเลาะกัน
 
อาราอิวางมือบนมือของจุ๊ย  อย่างแผ่วเบาตอนที่ฟังจุ๊ยเล่าจบ
“ก็ดีแล้วหล่ะ อย่างน้อยนายพยายามไม่ทำให้ทะเลาะกัน”
จุ๊ยถอนหายใจมองออกไปนอกรถ 
“แต่ ฉันก็อยากจะรู้อยู่ดีว่ามันไปต่อยกับใครมา  แต่ไหนแต่ไรไอ้ซัวมันใจปลาซิวจะตาย  นิดหน่อยก็หนี นิดหน่อยก็ถอยไม่เคยสู้ใครสักที  ตอนมันเข้าเรียนอาขีวะฉันยังห่วงมันจะโดนรังแก”
“วันนี้ซัวทำงานรึเปล่า” อาราอิถาม
“ไม่รู้สิ.. ลองโทรถามป๊าดู” จุ๊ยตอบ แต่มานึกได้ ก็สงสัย
“นายถามทำไม”
“ก็ถ้านายอยากรู้ก็ไปถามที่ร้านดูสิ  พนักงานในร้านน่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
 
“หนู ก็ลาไปเป็นอาทิตย์ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เข้ากะเช้าก็เลยกลับไปก่อนจะเกิดเรื่อง ที่เหลือก็พนักงานฝึกงานไม่รู้อะไรอยู่แล้ว” พนักงานสาวอธิบายหลังจากคิดเงินให้ลูกค้ารายหนึ่งเสร็จแล้ว
“แต่เดี่ยวผู้จัดการก็มาแล้ว  จะรอไหมหล่ะค่ะ”
จุ๊ยเอาโทรศัพท์มามองนาฬิกา
“ก็ได้ครับ” แล้วเขาก็หันไปสบตากับอาราอิที่พรางตัวด้วยแว่นตาดำและหมวก
 
ซัวเดินมาอย่างหมดอะไรตายอยาก  เขารู้สึกแย่มากๆ ที่หันหลังให้พี่ชายไปอย่างนั้นเมื่อคืน
ไม่ใช่ไม่อยากจะเล่า  แต่เฮียจะเข้าใจเขาง่ายๆอย่างนั้นเหรอ  แล้วเฮียจะเชื่อเหตุผลของเขาหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ซัวเงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านสะดวกซื้อ...
“ไอ้ซัว” เสียงเรียกจากข้างหลัง
ทว่าซัวไม่ได้ทันได้หันไป ก็โดนไม้หวดลงไปกลางหลังจนล้มไป
ซัวตั้งหลักโดยสัญชาตฌานเอาตัวรอด รีบพลิกตัวกลับไปมอง
“ไอ้น้อย” เขาร้องออกมา
“มึงทำชีวิตกูพัง” น้อยคำรามโยนไม้ทิ้งแล้วก็ชักปืนออกมา
 
จุ๊ยมายืนอ่านนิตยสารอยู่ตรงใกล้กับประตูร้าน  แล้วเสียงวุ่นวายด้านนอกก็เรียกเขาให้หันไป

“ซัว” เสียงจุ๊ยร้องเสียงดัง แล้วถลันออกไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เปรี้ยง” เสียงปืนแผดสนั่น
“เฮีย” ซัวร้องเสียงหลง  เพราะจุ๊ยเข้ากอดร่างเขาไว้เสียก่อนเสียงปืนจะดัง

จุ๊ยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดในครั้งแรก  กำลังจะถามน้องชายว่าเป็นอะไรไหม  แต่พอจะอ้าปากพูด เลือดมันก็ทะลักออกมาจนเต็มปาก

แล้วความรู้สึกเจ็บแน่นก็โถมเข้ามา

"เฮีย" ซัวร้องผวากอดร่างพี่ชายไว้แน่น

 
น้อยเห็นท่าไม่ดีแต่ก็ยังจะยิงซ้ำ เขาจ่อปืนไปเลือกที่หัวของซัว
ฉับ พลัน กลับมีร่างสูงใหญ่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วกระแทกปืนในมือจนหลุดกระเด็น ด้วยการเตะ  จากนั้นก็จับล็อกแขนแล้วกระแทกหมัดใส่หน้าไปหลายครั้งจนน้อยสงบไปคามือ
“จุ๊ย”อา ราอิปล่อยร่างที่สิ้นฤทธิไปแล้ว  เข้าไปหาจุ๊ยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของซัว  เขาถอดเสื้อตัวเองออก กดลงไปบนบาดแผลที่อยู่กลางหลัง
“รถพยาบาล เรียกรถพยาบาลที” เขาตะโกน กอดร่างของจุ๊ยไว้มือกดไว้ที่บาดแผล

"อาราอิ.." จุ๊ยเรียก

"มืดจังเลย..ฉันมองไม่เห็นแล้ว"

ใน อ้อมกอดของอาราอิแม้จุ๊ยจะรู้สึกอบอุ่น  แต่เขาก็รู้สึกง่วงเกินกว่าจะลืมตา  จากนั้นก็เขาก็ดิ่งสู่ห้วงดำมืด โดยมีเสียงอาราอิเรียกเขาซ้ำๆติดตามมาด้วย

"จุ๊ย จุ๊ยเข้มแข็งไว้นะ  หมอมาแล้ว  จุ๊ย จุ๊ย"

 
หน้าห้องพยาบาลอาราอิยืนพิงกับพนังที่ข้างประตูที่ทีมแพทย์พึงจะเข็นร่างของจุ๊ยเข้าไป
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ทำให้เขาขยับล้วงมันออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน  เข้าไปนานแล้ว” เขาตอบคำถามของฮ้อยที่น่ากำลังเร่งเดินทางมาโรงพยาบาล

“หมอกำลังช่วยกันเต็มที่”
ซัวที่นั่งอยู่กับตี้กับแหวนที่พึ่งมาถึงไม่นานก็ร้องไห้ออกมาอีก
จนตี้ต้องเอาตัวน้องมากอด
“ไม่เป็นไรหรอก เฮียของมึงดวงแข็ง  หมอกำลังช่วยเต็มที่แล้ว”
อาราอิกดโทรศัพท์ทิ้ง พิงตัวลงอย่างเดิมเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะหลับตาลง
“เข้มแข็งนะจุ๊ย  เข้มแข็งเข้าไว้ อย่าทิ้งฉันไป”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 64 : จุ๊ยรอดตาย อ็อดกับความปรารถนาที่หยุดยังไม่ได้
ตี้สนทนากับแพทย์เจ้าของไข้เรียบร้อยก็เดินกลับเข้ามาภายในห้อง
อาราอินั้งอยู่ชิดเตียงโดยกุมมือจุ๊ยเอาไว้ด้วยตาก็มองที่ใบหน้าที่กำลังอยู่ในอาการสลบอยู่
“หมอบอกว่าผ่ากระสุนออกเรียบร้อย  กระสุนไม่แตก  ไม่โดนอวัยวะสำคัญ ถือว่าดีมาก” ตี้ตบบ่าอาราอิเบาๆ
 
ในความืดมิดนั้น  จุ๊ยรู้สึกเหมือนตัวเองยังเดินไปเรื่อยๆ  แล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู

"พี่ไตร"..

 
จุ๊ยรู้สึกคอมันแห้งจนเป็นผง  เขาจึงพยายามลืมตา  แล้วออกเสียงเรียก
“อาราอิ... ฉันหิวน้ำจัง”  เขาออกเสียงอย่าอยากลำบาก  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกชื่อนั้นออกไป
เสียงเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน  แล้วก็วิ่งมา  ดวงหน้าอาราอิมาอยู่ต่อหน้าจุ๊ย
“น้ำเหรอจุ๊ย รอเดี่ยวนะ” อาราอิรีบหันไปรินน้ำใส่แก้ว  แล้วก็หยิบหลอดที่เตรียมเอาดึงน้ำมาครึ่งหลอด
“ค่อยๆนะ” อาราอิกล่าวมือหนึ่งช้อนหัวจุ๊ยขึ้น แล้วค่อยๆหยดน้ำใส่ปากจุ๊ยที่ละหยดจนหมด  แล้วก็หันไปทำซ้ำอีกครั้ง
“เป็นไงดีขึ้นไหม” เขาถาม
จุ๊ยมองไปรอบๆ
“โรงพยาบาลเหรอ.. “ จุ๊ยถาม
“ใช่สิ  นายสลบไปวันกับคืนเลยนะ” อาราอิตอบ
จุ๊ยค่อยๆลำดับเหตุการณ์
“แล้วซัวหละ” จุ๊ยถาม
“ไม่เป็นไร พึ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง  เดี่ยวฉันโทรตามให้นะ” อาราอิกล่าว
แต่จุ๊ยกลับจับมือเขาไว้
“ไม่ต้องหรอก เดี่ยวค่อยคุยกันก็ได้”
แล้วจุ๊ยก็เงียบไป เขามองเพดานนิ่ง
“อาราอิ  ฉันฝันเห็นพี่ไตรด้วยหล่ะ”
อาราอิวางโทรศัพท์ที่หยิบออกมาวางไว้บนโต๊ะ
“พี่ไตรถามว่าฉันเป็นยังไงบ้าง  คิดถึงพี่เขาบ้างไหม” จุ๊ยไอออกมา อาราอิเลยเอาน้ำให้ดื่ม
“แล้วนายตอบว่ายังไง” อาราอิถาม
“ก็บอกว่าสบายดี  แล้วพี่เขาก็บอกว่า ให้ฉันกลับไปได้แล้ว  นายกำลังรอฉันอยู่” แล้วจุ๊ยก็หันมา
“พี่เขาบอกว่านายเป็นห่วงฉันมากเลย  ให้ฉันรีบกลับ นายจะรอนาน”
อาราอิจึงลุกไปยืนชิดเตียง
“ฉันก็ห่วงนายจริงๆนี่น่า... ฉันกลัวมากเลยนะตอนที่นายโดนยิง  นายชอบทำให้ฉันเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย” อาราอิเอามือจับแก้มจุ๊ย
จุ๊ยยิ้มจางๆ  แล้วเขาก็จับมืออาราอิไว้
“ฉันก็กลัวอาราอิ... กลัวว่าจะตาย  แล้วฉันจะไม่ได้เห็นายอีกเลย”
 
เรื่อง ของซัวก็คือซัวตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนอาชีวะเพราะไม่ต้องการเรียนหนังสือ อีกแล้ว  เขาคิดว่าหัวอย่างเขาเรียนไปก็เปล่าประโยชน์  เขาก็เลยตัดสินใจออกมาทำงาน เพื่อจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จะได้หาลู่ทางทำการค้าเอง ทดแทนธุรกิจของป๊าที่เริ่มมาถึงทางตัน
 ส่วน เรื่องของน้อย  ก็คือน้อยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาก่อน  และมาทำงานด้วยกัน  แต่น้อยแอบขโมยสินค้าในร้านออกไปบ่อยๆ แถมยังเป็นสายให้โจรเข้าปล้นร้านเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งซัวไม่ได้ไปทำงานพอดี  ซัวรู้เรื่องก็เลยไปแจ้งกับผู้จัดการ  ทำให้ผู้จัดการไล่น้อยออก แถมจะเรียกตำรวจมาจับ  น้อยจะหลบหนีซัวก็พยายามขัดขวางแต่ก็ไม่สำเร็จ
แล้วน้อยก็ย้อนกลับมาพร้อมอาวุธเพิ่อจะล้างแค้นซัว  ก็เลยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
“ผมขอโทษเฮีย เพราะผมแท้ๆ เฮียถึงได้เจ็บตัว” ซัวก้มหน้าลง
จุ๊ยถอนหายใจ ตอนนี้เขากำลังนอนกึ่งนั่ง  จึงสามารถจับหัวของน้องชายได้ถนัด
“มึงไม่เป็นไรกูก็ดีใจมากแล้ว”
ซัวก็เลยโผเข้ากอดจุ๊ย  แต่จุ๊ยร้อง
“เจ็บๆ อย่าพึ่งกอด”
ซัวตกใจรีบถอยออกมา
เฮียตี้เดินมาข้างๆซัวเอามือวางบนไหล่ของเขา
“เอาหล่ะ  ในเมื่อมันไม่ได้ร้ายแรงอะไรแล้ว ก็ถือว่าโอเค”
อาราอิหันไปมองไฮ้จุ๊งที่นั้งไขว้ห้างมองลูกชาย  ปกติไฮ้จุ๊งจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์  แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ายิ้มออกมา
แต่จู่ประตูก็เปิดพรวดออกมา
“จุ๊ยเป็นยังไงบ้าง” พ๊งหัวเดินฉับๆมาจับแขนจุ๊ย แล้วก็พิจารณาตัวจุ๊ย
“ป๊าพึ่งกลับจากประขุม รู้ก็รีบมาเลย”
จุ๊ยมองหน้าไฮ้จุ๊งก่อนจะตอบ
“ไม่เป็นไรแล้วครับ”
พ๊งหัวพยักหน้าอย่างคลายใจ แต่ไม่วายหันไปเล่นงานไฮ้จุ๊ง
“ลื้อดูแลลูกยังไงให้มันไปโดนยิง เป็นพ่อภาษาอะไร”
ไฮ้จุ๊งหัวเราะหึๆ
“อั๊วก็เลี้ยงให้มันได้พจญภัยบ้าง  เป็นผู้ชายก็ต้องโลดโผนบ้างเป็นธรรมดา”
“เฮ้ยลื้อพูดไม่ถูก  นี่มันเสี่ยงตายแล้วไม่ใช่โลดโผน  เกิดลูกของอั๊วตาย  อั๊วจะเอาเรื่องลื้อ”
“อ้าว ก็ลื้อไม่มาดูแลมันเอง  อั๊วก็ดูแลไปตามกำลังอั๊ว ลื้อจะมาบ่นอะไร”
จุ๊ยทำหน้าแหย่ๆตอนมองสองบิดาเถียงกันไปเถียงกันมา
ส่วนตี้กับซัวก็ถอยออกมานั่งที่โซฟากับอาราอิ
“ป๊า กับ ป๊าเลิกทะเลาะได้แล้วครับ นี่มันโรงพยาบาล” จุ๊ยกล่าวออกมาในที่สุด
 
เพราะจุ๊ยบาดเจ็บกะทันหันทำให้งานที่รับไว้แล้วต้องยกเลิกไป  หนึ่งในงานนั้นก็คืองานวันเกิดของสรรค์
แต่อ้อดก็ยังได้รับเชิญให้ไปงาน  ฮ้อยก็ไม่ว่างเขาเลยต้องไปคนเดียว
แม้ กระนั้น เพื่อนของสรรค์ที่เป็นสาวประเภทสองบ้าง และเกย์บ้าง ชายแท้หญิงแท้บ้างก็ดูเป็นมิตรดี  ดังนั้นเขาจึงเพลิดเพลินไปกับงานพอสมควร
จนกระทั้งงานเลิก  อ๊อดก็รู้ว่าหัวมึนตึงๆ  แต่ไม่ถึงขนาดเมา 
สรรค์ อาสามาส่งที่บ้าน  แต่พอไปถึงครึ่งทาง  ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ล่วงหน้ามาในเส้นทางเดียวกันว่ามีด่านตรวจแอลกอ ลฮอลล์ อยู่ข้างหน้า
สรรค์ก็เลยต้องจอดรถ
“ไม่เป็นไรผมกลับแท็กซี่ก็ได้” อ๊อดบอก
สรรค์หันมามองหน้า ก่อนจะยิ้มจางๆ  บีบไปบนไหล่ของอ๊อด
“หรือว่าอ๊อดจะไปที่อื่นก่อนไหม รอให้เลิกด่านหรือไม่รอพี่แอลกอลฮอลล์ลดก่อน”
สัมผัสของสรรค์สร้างความตื่นตัวให้อ๊อด  เขาจะขยับเบี่ยงแต่มือของสรรค์ปล่อยก่อน  ทว่ากลับมาบนตักของอ๊อด
“พี่ชอบอ๊อดมากเลยนะ  ตั้งแต่ได้เห็นรูปในเฟสบุ๊ค”
อ๊อดหันมาสบตาด้วย  แววตาของสรรค์จ้องลึกในตาของอ๊อด
มือของสรรค์สัมผัสอย่างแผ่วๆ  แต่สร้างความเสียวซ่าน แล้วกืเลื่อนไปบนเป้ากางเกง  สัมผัสนั้นยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้อ๊อด เขาถึงก้บสะท้านกาย

“ไปต่อที่ห้องพี่ไหม” สรรค์กล่าวแล้วขยับมาจูบข้างหู อ้อยอิงที่ติ่งหูของอ๊อดหลับตาลงครางฮืมออกมา
 
บ้านของสรรค์เป็นห้องชุดสุดหรูบนคอมโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยา  พอเข้าไปในห้อง  สรรค์ไม่ได้เปิดไฟด้วยซ้ำไป  แต่ดึงตัวอ๊อดมาแล้วระดมจูบไล่บนซอกคออย่างเร้าร้อน
เขาดันให้อ๊อดพิงกับประตูห้อง
มือข้างหนึ่งจับล้วงเข้าไปในเสื้อแล้วไล่นิ้วบนยอดอกของอ๊อด  อีกมือลูบบนเป้ากางเกงที่คับแน่นเต็มที่
จุบต่ำลงเรื่อยๆ  มือสองข้างก็ช่วยกันปลดกางเกงยีนต์ของอ๊ฮดเพื่อปลดปล่อย
อ๊อดเกร็งตัวอย่างเต็มที่เมื่อถูกสัมผัสที่จุดสำคัญ
เขาครางออกมาทั้งมือบีบหัวไหล่ของพี่สรรค์  เขาส่งเสียงครางสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของพี่สรรค์
เหมือนบทเพลงชื่อดัง Need You Tonight ของ  INXS จังหวะสม่ำเสมอ  และราบรื่น  ทว่าเร้าใจด้วยจังหวะด้วยกลอง และเบสสะเทือนกระตุ้นอารมณ์

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 65 : ความแตก
อ๊อดนั่งแท็กซี่กลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ในตอนเช้า เพราะพี่สรรค์มีงานด่วนต้องรีบไป ซึ่งที่จริงพี่เขาก็อาสามาส่งแต่อ๊อดเห็นว่างานที่ว่าเป็นงานเร่งด่วนจึง ปฏิเสธ
พี่สรรค์ใจดีกับเขามาโดยตลอด  และเหมือนรู้ใจไปซะทุกอย่างเหมือนกับคนที่รู้จักเขามานาน  แล้วยังเหตุการณ์เมื่อคืน  ที่อ๊อดไม่สามารถต้านท้านการโจมตีของสรรค์ได้โดยสิ้นเชิง  แล้วมันก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากเสียด้วย 
แต่พอเขามองขึ้นไปบนตึกที่พักตอนที่ลงจากแท็กซี่  ใจที่กำลังพองโตกลับห่อเหี่ยวลงกะทันหัน
พอเปิดประตูเข้าไป  เมืองฟ้าไม่อยู่  อ๊อดมองนาฬิกาเห็นเป็นเวลาแค่หกโมง  เมืองฟ้าคงจะไปเรียนแล้ว
ก็ยังดี เพราะเขาก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง  ที่หายทั้งคืนโดยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า
ถอนหายใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่งแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น
แต่เมื่อเปิดตู้เย็นแล้ว  เขาก็ยืนค้างอยู่อย่างนั้น
ในตู้เย็นมีเค็กช๊อกโกแล็ตก้อนใหญ่วางไว้  มันไม่สวยงามมากนัก เพราะเป็นเค้กทำมือ  มีกระดาษแผ่นหนึ่งพับเหน็บอยู่ใต้นั้น
 
อ๊อดเอาเค้กมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่น ที่กางทิ้งไว้แล้ว  เขาเริ่มต้นกินเค้ก
“วันนี้ วันครบรอบของเราจำได้ไหม... เมืองรออ๊อดจนดึกเลย  ถ้ากลับมาแล้วเมืองหลับอยู่ ก็กินเค้กให้หมดเลยนะ  เมืองตั้งใจทำไว้ให้เพื่อฉลองเล็กๆ  ในวันที่เราได้คุยกันเป็นครั้งแรกไง  กินให้อร่อยนะอ๊อด  รักอ๊อดจัง... เมือง”
ตอนนั้นอ๊อดต้องกินๆไปปาดน้ำตาไป.. ความรู้สึกผิดกำลังท่วมท้นจิตใจ

 
จุ๊ยบาดแผลของจุ๊ยสมานดีไม่มีอุปสรรค์ใดๆ ที่สุดเขาก็สามารถมาเรียนได้ตามปกติ
“หายดีแล้วเรอะ” หน่องถามตอนจุ๊ยยกจานข้าวมันไก่มาวางแล้วนั่งลง
“ก็ยังไม่ตาย กูก็ต้องหาย  ผิดหวังละซี  แผนกำจัดคนหล่อๆอย่างกูไม่สำเร็จ” จุ๊ยตอบแบบไม่วายกวนตีน
หน่องทำหน้าเซ๊ง
“เหี้ยทำไมแม่งไม่ยิงกรอกปากไปเลยวะ  จะได้ตายๆห่าไปซะ”
“เป่าแซกได้แล้วรึยัง” ฮ้อยถาม
“ก็ได้นะ  แต่เพลงเบาๆ  ไม่แรงมาก  ถ้าแรงมันยังรู้สึกปวดนิดๆ” จุ๊ยตอบ ตามองไปที่จานของฮ้อย
“อย่าๆไม่ต้องเลย อันนี้กูเก็บไว้กินที่หลัง” ฮ้อยรู้จุดประสงค์
เพราะเขาเหลือหมูติดมันไว้สามชิ้นในขณะที่กินอย่างอื่นไปเกือบหมดแล้ว
“งกเหรอวะ... นี่เพื่อนมึงป่วยเกือบตาย  มึงยังงกกับเพื่อน “ จุ๊ยทำเสียงเหมือนโลกจะสลาย  ก็แสร้งทำหน้าผิดหวังอย่างโอเวอร์แอ๊คติ้ง
“กู เสียใจได้ หน่องมึงดูเพื่อนกูสิ  เรานะ  เราคบกันมาตั้งแต่ ม.หนึ่ง... แล้วดูมันทำกับกู กูเสียจายย” แล้วก็สบกับไหล่หน่อง หน่องก็รับมุกโอบประคอง
“ไอ้ฮ้อยกูไม่คิดเลยนะว่ามึงเป็นคนแบบนี้  มึงทำร้ายจิตใจเพื่อนมึงได้ยังงายย”
ฮ้อยถอนหายใจดังเฮือก  ว่าแล้วก็ตักหมูสามชิ้นใส่ปากเคี้ยวในคราวเดียว
“แดกแม่งซะ จะได้เลิกดราม่า”
“โหดร้าย” จุ๊ยผละออกมาทำท่าสะดีดสะดิ้ง
“ใช่..ที่สุดอะ” หน่องก็ทำท่าเดียวกันหันมามองหน้ากัน
จุ๊ยทำตาซึ้ง จับมือหน่อง
“โอปป้า” จุ๊ยส่งเสียงหวาน
“ทงแซง” หน่องก็เรียกกลับ
“โอปป้า”
“ทงแซง”
“ซาราเฮโย”
แล้วก็ทำท่าจะเข้าจูบกัน ทำปากเผยอ ขมุบขมิบจุ๊บๆ
ฮ้อยทำท่าเวียนหัว
“นี่มันคนพึ่งหายเจ็บแน่เหรอวะ”
 
ตอน ที่อ๊อดมาถึงหน้ามันง่วงมากๆ  จุ๊ยก็ไม่ได้แปลกใจเพราะไอ้อ๊อดไม่เคยมาด้วยอาการแจ่มใสอยุ่แล้ว  เพียงแต่วันนี้เพื่อนดูเพื่อนออกจะหงุดหงิด
“เป็นไรวะ  หนักหรือไง.. เมืองสะกิดตลอดคืนเลยดิ” จุ๊ยกระซิบถามตอนที่อ๊อดนั้งลงโต๊ะยาวใต้ตึกคณะ
“สะกิดพ่อมึง กูไม่ได้เจอหน้าเขาเป็นอาทิตย์แล้ว “
“อ้าว” จุ๊ยแปลกใจ
“ก็มึงอยู่ด้วยกัน  ไม่เจอกันได้ไง”
“เขา กลับบ้านไป  บอกว่ามีเรื่องด่วน แซตมาทางไลน์  โทรไปก็ไม่คุยด้วย  บอกว่าไม่ค่อยสะดวกคุย นี่ก็จะสอบแล้วด้วย  ก็ยังไม่กลับมาสักที” อ๊อดตอบหน้าตาบอกว่าไม่สบอารมณ์
"แล้วนี่ไม่รู้ลงไปยังไง  ตัวเองก็มีโรคประจำตัว เดินทางไกลคนเดียวก็ไม่ค่อยปลอดภัย  ยังทำซ่าอีก"

 
 
สรรค์เดินเข้ามาด้านหลังทำให้อ๊อดสะดุ้ง  เขากำลังกดโทรศัพท์หาเมืองฟ้าอยู่  แต่ไม่มีการตอบรับ
“โทรหาใครดูหงุดหงิดเชียว” สรรค์ถามแล้วกอดเบียดร่างเกือบเปลือยของอ๊อด  เขาหอมที่ต้นคอ
“อ้อเพื่อนครับ  ผมเห็นเขาไม่มาเรียนหลายวันเลยจะโทรศัพท์ถามว่าเป็นยังไงบ้างเพราะอีกสองวันก็สอบแล้วด้วย”
สรรค์ปล่อยจากการกอด หันไปรินน้ำจากเหยีอกข้างเตียงมาดื่ม
“พูด ถึงเพื่อน พี่ก็ไม่ได้ไปเยี่ยมญาติพี่คนหนึ่งเลย  เขาป่วยอยู่โรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว  เขาเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เกิด  นี่อาการกำเริบ  ให้ผ่าตัดก็ไม่ยอมผ่า  ดื้อมากเลย” สรรค์กล่าว
“เขา เป็นเด็กนิสัยดีมากเลยนะ  จริงๆอ๊อดก็รู้จัก  เพราะเขาเป็นเพื่อนที่โรงเรียน  จะว่าไปเขานี่หล่ะเอาProfile มาให้พี่ดูตอนพี่หานักดนตรี  เราถึงได้รู้จักกันยังไง"
"ใครครับ” อ๊อดขมวดคิ้ว
“ก็..” สรรค์กำลังจะตอบ  แต่โทรศัพท์ของเขาดังขัดเสียก่อน ก็เลยรีบไปรับ
“ครับ... ใช่”
แล้วก็นิ่งรับฟัง
“อ้อได้ครับ...”
“งั้นส่งรายละเอียดมาเลย  ผมจะดูจากเมลล์”
แล้วสรรค์ก็เดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์
อ๊อดก็หันมาส่งไลน์ไปหาเมืองฟ้า
 
อาราอิบอกว่าต้องเขาของที่พ่อส่งมาให้ทางบริษัทขนส่งมาให้น้าทิพย์  เขาก็เลยพาจุ๊ยมาที่พักของน้าทิพย์ที่อยู่ในคอนโดมิเนียมหรู
จุ๊ยมองภาพทิวทัศน์ที่เห็นไปได้ไกลอย่างตื่นตา
“สวยไหม” น้าทิพย์ออกมาจากส่วนที่เป็นครัวพร้อมขนม
“ก็ให้อาราอิซื้อสักห้องสิ  เดี่ยวน้าถามให้เผื่อจะมีคนอยากขาย”
จุ๊ยได้ยินประโยคนี้ก็หันมาทำตาโต ด้วยความแปลก แล้วมองหน้าอาราอิ
“ไม่ ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก  น้าดูออก สองคนไปไหนด้วยกันตลอดขนาดนี้  ยังจะบอกไม่มีอะไรกันน้าคงไม่เชื่อหรอก” น้าทิพย์กล่าวแล้วรินน้ำหวานใส่แก้วแล้วเดินมาให้จุ๊ย
จุ๊ยกล่าวขอบคุณแต่ยังมองหน้าเธอแปลกๆ
“สมัยนี้มันเป็นยุคใหม่แล้วละ  พ่อของอาราอิก็รู้เรื่องนานแล้ว  ท่านยังบอกว่าจุ๊ยน่ารักดี”
“แต่ อย่างหนึ่ง ก็คือ อาราอิเขาเป็นคนดัง  จะมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ผลกระทบมันจะรุนแรงมาก  ไม่ใช่ตัวเขา แต่จะเป็นตัวจุ๊ยเองด้วย  เพราะอย่างที่บอกแฟนคลับน่ะ  ด้านบวกก็ดีหรอก แต่ถ้าเป็นด้านลบนี่น่ากลัวสุดๆ ยังไงก็ระวังตัวกันบ้าง  น้าก็จะพยายามบล็อกพวกสื่อให้อยุ่  แต่ก็ไม่รู้จะทำได้แค่ไหนนะ”
“ขอบคุณครับน้าทิพย์” อาราอิกล่าวแทน เพราะตอนนี้จุ๊ยไม่รู้จะพูดอะไร  แล้วเขาก็เดินมากอดคอจุ๊ย
“ถ้า เกิดอะไรขึ้นเอาไอ้จุ๊ยไปเล่นตลกให้แฟนคลับดู  ขี้คร้านจะติดใจมันกัน  น้าไม่รู้อะไร  มันป๊อบมากๆ  มีแฟนเพจของตัวเองด้วย  มีคนไลก์จะห้าหมื่นแล้วนะครับ  กว่าผมจะได้มันมานี่ ต้องรบกับเดฟ รบกับน้องวา รบกับแก็งค์เกย์สาวอีกทั้งแก๊งค์เลยนะครับ”
“เวอร์ละ” จุ๊ยกระทุ้งศอกไปที
“เล่นตลก.. จุ๊ยเล่นตลกเป็นด้วยเหรอ” น้าทิพย์ถาม
จุ๊ยจะตอบ
“โอ้ ยน้า... มันน่ะเห็นอะไรเป็นเรื่องเล่นหมดนั้นล่ะ  นี่มันเกรงใจ ลองเป็นเด็กรุ่นเดียวกันสิครับ  ไม่หัวเราะมันท้องแข็งผมให้เตะ  มันกวนตีนจะตาย”  ว่าแล้วก็ดึงหน้าผากจุ๊ยจนหน้าเหงน
“โอ้ยอะไรเล่า..” จุ๊ยสะบัด หัวหนี
“สนใจ เล่นละครไหม... ตอนนั้นก็เล่นได้ดีนี่  ผู้กำกับเขายังบอกเลยว่าเล่นเป็นธรรมชาติ  โดยเฉพาะตอนโดนต่อย” น้าทิพย์กล่าวกลั๊วหัวเราะ
“อันนั้นมันไม่ใช่การแสดงครับ” จุ๊ยตอบ
“แต่มันต่อยจุ๊ยจริงๆ  ไม่ต้องแกล้งเลย  เปรี้ยงเดียว  หงายเงิบ ปากแตก  แอนตาซินแจกสองพันทันที” พูดจบก็ชูสองนิ้วประกอบด้วย
น้าทิพย์เลยหัวเราะร่วน
 
ทิพย์เดินลงมาส่งทั้งสองคนข้างล่างเพื่อไม่ให้ใครมาเห็นแล้วจะจินตนาการไปว่าอาราอิกับจุ๊ยมาทำอะไรกันที่คอนโดมิเนียมนี้
“ขอบ ใจนะอาราอิ อุตส่าห์มาให้  แล้วบทเรื่องใหม่ที่เอาให้ไปถ้าสนใจก็บอกน้านะ  น้าจะได้เรียกมาแคสให้ผู้กำกับดู” น้าทิพย์ยิ้มอย่างสดใส
จุ๊ย เริ่มเข้าใจว่าทำไมอากิระ บิดาของอาราอิถึงได้ชมชอบผู้หญิงคนนี้  เธอสวยนิสัยดี  และบุคลิกต่างจากมารดาของอาราอิในเรื่องของความมีน้ำใสใจจริง
แต่ระหว่างที่ทั้งสองจะออกไป  พอดีมีชายหนุ่มสองคนเดินออกมาจากทางลิฟต์
“อ้าวสรรค์” น้าทิพย์เรียก
สรรค์หันมา  แต่เขามีท่าทีตกใจนิดหน่อยที่ได้เห็นจุ๊ยกับอาราอิ  แต่ก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
“แหม่มีหนุ่มๆมาควงตลอดเลยนะ” น้าทิพย์แซวสรรค์  แล้วหันมองมองหน้าเด็กหนุ่มผิวขาวทีเ่ดินมาด้วยกันกับสรรค์ 
แต่เธอก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผิวขาวกำลังสบตากับจุ๊ยอยุ่ด้วยแววตาแปลกประหลาด ประหลาดใจระคนตกใจระคนด้วยความรู้สึกกระดากอาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 66 : สับสน
วันนี้เป็นวันสอบแต่อ๊อดก็ยังมาสายจนเกือบไม่ได้เข้าสอบ
พอสอบเสร็จเขาก็เดินเอื้อยๆลงมาจากตึกแล้วตรวจดูข้อความทางไลน์
เมืองฟ้าหายไปไหนกันแน่
เขาชักรู้สึกใจคอไม่ดี
 
“ไอ้อ๊อด” จุ๊ยปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้เขาตกใจ
“มานี่ก่อนสิ”
 
จุ๊ยลากอ๊อดออกมาไกลจากกลุ่มเพื่อน  อ็อดก็รู้อยู่แล้วจุ๊ยจะถามอะไร  ก็คงไม่พ้นเรื่องของเขากับพี่สรรค์
“เออกูยอมรับ กูนอกใจเมือง” อ๊อดสรุปตอนท้ายที่เล่าจบ
“แต่มึงต้องเข้าใจกูบ้าง พี่เขาแสนดีกับกู  รู้ใจกูหมดทุกอย่าง  กูก็เลยหวั่นไหว  เลยเผลอใจไปบ้าง..มึงเข้าใจกูหน่อย”
จุ๊ยถอนหายใจ  มองลงไปในสระน้ำ
“ก็เข้าใจ  แต่มึงไม่คิดบ้าง ว่าเมืองจะเสียใจ ถ้ารู้”
“ก็ถ้ามึงไม่พูด  เขาจะรู้ไหม” อ๊อดแย้ง
“มึงก็เงียบไว้  เขาก็ไม่รู้จักกัน จะรู้ได้ยังไง”
จุ๊ยล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาขนมห่อเล็กที่ได้รับแจกมา แกะห่อ แล้วโยนให้เต่าสองตัวที่โผล่มามอง
“มึงแน่ใจได้ยังไง” จุ๊ยถาม
“กูไม่แน่ใจหรอก” อ๊อดมองเต่างับขนมกรอบแล้วก็ถอนหายใจ
“แต่กูไม่รู้จะทำยังไง...กูสับสน”
จุ๊ยก็เลยกอดคออ๊อด
“เอาวะ  ก็ทำไงได้ เกิดขึ้นแล้ว  ก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงไปแล้วกันนะ”
 
อ๊อดกลับมาถึงห้องพัก เปิดประตูออกมาก็เห็นเมืองฟ้านั่งหันหลังให้ เพรากำลังใช้คอมพิวเตอร์
“เมือง” อ๊อดรีบเดินเข้ามาโดยไม่ได้ถอดรองเท้า
“โอยอ๊อด... ทำไมย่ำเข้ามาอย่างนี้หล่ะ ห้องพึ่งจะถูเสร็จ” เมืองฟ้าตำหนิ
อ๊อดเลยก้าวถอยหลังไปถอดรองเท้า
“เมืองไปไหนมา” อ๊อดถาม  ถอดรองเท้าเสร็จก็เดินมาหมุนเก้าอี้หันมา เขาจับมือเมืองฟ้าแล้วย่อตัวลง
“กลับบ้าน พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ” เมืองฟ้าตอบ
“กลับมาเมื่อเช้าก็รีบไปสอบแล้วกลับมานี่หล่ะ”
อ๊อดถอนหายใจดังเฮือกอย่างโล่งอก
“อย่าหายไปอย่างนี้นะ  อ๊อดเป็นห่วง  บอกมาแค่ว่าจะไปธุระสี่ห้าวัน  แต่นั้นมันไม่พอนะ เมือง  อ๊อดโทรไปก็ไม่รับ”
“ก็โทรศัพท์เมืองมันเป็นอะไรไม่รู้รับสายไม่ได้โทรออกก็ไม่ได้” เมืองฟ้าตอบ

อ๊อดพิจารณาใบหน้าเมืองฟ้า
“ทำไมเมืองดูซีดๆไปนะ  ดูเหมือนจะผอมลงไปด้วย”
“เมืองก็ซีดอยู่แล้วนี่น่า  อ๊อดอย่าลืมสิว่าเมืองมีโรคประจำตัว” เมืองฟ้าดูที่แขนของตัวเอง
“กินข้าวแล้วรึยัง  เมืองซื้อมาเผื่อ  เดี่ยวอุ่นให้กินนะ”
แล้วเมืองฟ้าก็ลุกไป
อ๊อดมองตาม  เขารู้สึกระคนกันระหว่างความโล่งใจที่ได้เห็นเมืองฟ้า กับความรู้สึกผิดต่อเมืองฟ้า 
เมืองฟ้าเอาแกงเทใส่ชามแก้วแล้วใส่เขาไมโครเวฟ
เขายืนมองชามหมุนไปเรื่อยๆภายใจเตา
“เมืองโกรธอ๊อดรึเปล่าที่ไม่ได้อยู่ในวันนั้น” อ๊อดกอดเมืองฟ้าไว้
“เปล่านี่... เมืองก็ไม่ได้บอกอ๊อดด้วยหล่ะ  แล้วได้กินเค้กแล้วใช่ไหม” เมืองฟ้าถาม
“อร่อยมากเลย  อร่อยที่สุดในโลกเลย” แล้วอ๊อดก็หอมที่เรือนผมของเมืองฟ้า
“อย่าหายไปอย่างนี้อีกนะ อ๊อดเป็นห่วง”
เมืองฟ้านิ่งไป
“อ๊อดถ้าวันหนึ่งเมืองหายไปจริงๆ  อ๊อดสัญญาได้ไหมว่าจะไม่เสียใจมาก”
อ๊อดแปลกหูกับคำพูดนั้น
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถาม เตาไมโครเวฟก็ร้องดังปี๊บยาวๆ แล้วเมืองฟ้าก็หันไปคุยเรื่องแกงแทน
 
เมืองฟ้าหลับไปแล้วด้วยการซุกอกอ๊อดที่นอนตะแคงข้าง  แต่อ๊อดยังคงตาแข็งมองหน้าของเมืองฟ้า
เมืองฟ้าเหมือนดอกไม้บอบบางในอ้อมอกของเขา  กลีบใบช่างบางเบาและสวยงาม  น่าทะนุถนอม  การได้อยู่กับเมืองฟ้ามันคนละความรู้สึกกับที่อยู่กับพี่สรรค์โดยสิ้นเชิง 
อ๊อดค่อยสอดหมอนให้เมืองฟ้าหนุนแทนแขนของเขา  แล้วก็ลุกอย่างช้าๆ ไปหยิบโทรศัพท์แล้วออกมายืนที่ระเบียง
ตรวจดูข้อความจากอ็อดตรวจเปลี่ยนแอคเคาร์ทเฟสบุ๊ค จึงได้เห็นว่ามีข้อความมาจากพี่สรรค์หลายข้อความในเชิงให้กำลังใจกับการสอบ
อยู่กับพี่สรรค์เมืองฟ้าก็รู้สึกอบอุ่น เพราะพี่สรรค์เป็นผู้ใหญ่กว่า  เหมือนเป็นการเติมเต็มในส่วนที่เมืองฟ้าขาดคือการดูแลจากพ่อและแม่ 
แสงฟ้าแลบที่ปลายฟ้า  อ๊อดหวังว่าพรุ่งนี้จะมีคำตอบหรือไม่ก็ทางออกสำหรับเรื่องของเขา..
 
จุ๊ยกดคีย์หนึ่งบนแซกโซโฟนซ้ำๆ  เพราะรู้สึกเหมือนกับมันจะกดไม่ค่อยลง  เขาก็พยายามตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบอีก
“มันเป็นอะไรเหรอครับจุ๊ย “ เดฟนั่งลงข้างๆ
“อ้าว นี่ก็มาเหมือนกันเหรอ” จุ๊ยถาม
“ไฟต์บังคับ  เพราะผมกำลังจะมีงานละครเรื่องใหม่ แล้วดาราที่เล่นคู่กับผมในเรื่องนี้เขามาเป็นพิธีกร ผมก็เลยต้องมางานนี้ด้วย” เดฟตอบ
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ แล้วก็กลับมาตรวจสอบคีย์ของแซกโซโฟนตัวโปรด
“คีย์มันกดไม่ค่อยลง น่ะ แต่ยังเป่าได้  สงสัยได้เวลาต้องพาไปหาหมอ”
“ก็หาหมอตี้สิครับ” เดฟกล่าวหน้าตาเฉย
จุ๊ยชะงักหันมายิ้มเย็นๆ
“เหรอ...”
“อ้าวก็จุ๊ยพูดเอง  ก็จุ๊ยบอกเองว่าต้องพาไปหมอ ไปหาหมอตี้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ไง”
จุ๊ยเลยเขกหัวเดฟด้วยแซกโซโฟนไปทีหนึ่ง
พอเอาเคาะปรากฏว่าคีย์กลับไปเป็นปกติ
“เออเฮ้ย  หายเฉยเลย  รู้งี้ฟาดหนักๆไปเลยดีกว่า”
เดฟเอามือคลำหัวป่อยๆ 
“ว่าแต่...”เดฟกล่าวแล้วเอามือลง
“ผมสงสัยน่ะ  ผมเห็นอ๊อดสนิทกับพี่สรรค์มาเลย... มันมีอะไรแปลกๆรึเปล่าครับ เพราะผมเห็นเขาแอบหอมแก้มกันด้วย”
จุ๊ยนิ่งไป มองหน้าเดฟ
เดฟเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง แถมก็ยังกว้างขวาง  จะมีประโยชน์อะไรจะปิดบัง
“แปลกยังไง  กูกับมึงยังเป็นเกย์ได้  ไอ้อัศก็เป็น  แล้วไอ้อ๊อดเป็นบ้างจะไม่ได้หรือ”
“แล้วเมืองฟ้าล่ะครับ” เดฟย้อนถาม
จุ๊ยถึงกับสะอึก
“นี่มึงรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ”
เดฟพยักหน้า
“เขา อาจปิดบังเพื่อนๆ  แต่กับคนอื่นเขาก็ไม่ได้ปิดนี่  ผมเห็นเขาไปหาเมืองบ่อยๆ  เคยแอบเห็นเดินจูงมือกันด้วยซ้ำ  แล้วผมว่าตอนนี้เมืองกับอ๊ฮดอยู่ด้วยกันด้วย”
จุ๊ยมองหน้าเดฟนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“มึง ก็อย่าไปยุ่งเรื่องของมันเลยว่ะเดฟ.. ปัญหาของมันก็ต้องปล่อยให้มันจัดการกันเอง  เอาไว้มันจัดการไม่ไหว พวกเราค่อยเข้าไปช่วยดีกว่านะเดฟ”
เดฟพยักหน้าช้า
“ผมก็ยังไม่เคยคุยกับใคร  อย่างนี้ผมต้องช่วยมันปิดบังใช่ไหมครับ”
จุ๊ยเอามือลูบหัวเดฟ
“เออ...ดีๆ  ฉลาดๆ  แสนรู้มากเลยนะเดฟฟี่”
“อันนี้พูดกับผมเหรอ” เดฟเอี้ยวหัวหนีมองหน้าจุ๊ย
“ใช่สิเดฟฟี่” จุ๊ยตอบ
“อ้อ..” แล้วเดฟก็ลุกขึ้น
“นึกว่าคุยกับหมาในปากจุ๊ยเสียอีก”
“ไอ้เดฟ” จ๊ยลุกพรวด  แต่ไม่ทันเดฟผละหนีไปซะก่อน
จุ๊ย มองตามร่างสูงๆ เท่ห์ๆไป มันหันกลับมาทำมือไอเลิฟยู  นึกถึงวันคืนเก่าๆ  มันก็น่าใจหายไม่น้อยที่เวลาเหล่านั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
“จุ๊ย” เสียงเรียกที่ Absolute Pitch บอกเขาว่าเป็นใคร จุ๊ยทำหน้าเหย่เก... ไอ้อัส...
“อัส.. กูไม่ได้” จุ๊ยจะหันมาแก้ตัว
“ไม่ได้อะไร” อัศวะทำหน้างง
“กูจะมาตามมึงแทนพี่เขา  คิวหน้าคิวมึง  ไอ้อ๊อดไอ้ฮ้อยก็ไปรอกันอยู่ข้างเวทีอยู่แล้ว”
จุ๊ยอ้าปากหวอ เพราะเมื่อสักครู่กำลังจะพูดแก้ตัวแต่โดนอัศวะขัดเสียก่อน
“อ้อเหรอ..” จุ๊ยทำหน้าเก้อๆ
“จะรีบไป  ขอบใจ”
จุ๊ยเดินไปแล้ว
แต่อัศวะยืนมองไปทางที่เดฟไป  แววตาหม่นลงแล้วก็หันหลังเดินตามจุ๊ยไป

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 67 : อ๊อดกับเมืองฟ้า เลิกลา
นิ้วที่ชำนาญของฮ้อยกรีดไปบนคีย์เปียโน  เสียงเพลงIntro ของเพลง Unforgetable ที่เขียนโดยIrving Gordon  ต่อมาจุ๊ยก็จรดเป่าแซกโซโฟนส่งเสียงหวานหู ทั้งปลายเสียงก็เล่นไหวพลิ้วราวกับลูกคอของ Nat King Cole ผุ้ขับร้องเพลงนี้ในเวอร์ชั่นที่โด่งดังที่สุด  และยิ่งแทรกเป็นช่วงด้วยไวโอลีนของอ๊อด  บทเพลงนั้นก็สะกดใจคนดูหน้าเวทีทั้งสิ้น
“ที่จริงไม่ต้องมาก็ได้ พี่ก็แค่มาเดินซื้อของ  ไม่ต้องกลัวหรอก คงไม่มาขาดใจตายที่นี่หรอก” หนุ่มผิวขาวกล่าวแก่หนุ่มผิวสองสีหน้าเข้ม
“แต่อาการของพึ่พึ่งดีขึ้นได้ไม่เท่าไหร่  ผมก็เป็นห่วง  เดี่ยวกำเริบแบบวันนั้น  ไม่มีคนช่วย  ก็แย่พอดี” ชายหนุ่มผิวสองสีแย้ง
แล้วเขาก็เงียบไป
“ตกลงพี่จะไม่บอกพี่เขาจริงๆเหรอ”
หนุ่มผิวขาวจัดเงียบไปก่อนจะถอนหายใจ
“มันต้องเป็นแบบนี้หล่ะ  พี่ตัดสินใจไปแล้ว”
แต่เขาหยุดเท้าลง  เพราะได้ยินเสียงเพลง
“นี่มันเสียงแซกของจุ๊ยนี่หน่า”
แล้วทั้งคู่ก็เดินตรงไปยังจุดที่มีคนยืนมุงกันจำนวนมาก
 
อ๊อดเก็บไวโอลีนเรียบร้อยกำลังจะเตรียมตัวจะออกเดินทาง  แต่รู้สึกปวดฉี่ก็เลยบอกฝากไวโอลีนกับจุ๊ยแล้วไปทำธุระ เรียบร้อยก็เดินกลับมา  แต่เจอกับสรรค์ก่อน
“พักนี้ไม่ว่างเหรอ เราไม่ได้ไปเที่ยวกันหลายวันแล้วนะ” สรรค์ว่าแล้วก็เข้ามาโอบเอว
อ๊อดยิ้มจางๆ
“คือผมพึ่งสอบเสร็จ  ยังรู้สึกเหนื่อยๆน่ะครับ”
“งั่นคืนนี้ว่างไหม  พี่จะพาไปปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน  แล้วอ๊อดก็ไปค้างที่คอนโดพี่” สรรค์กล่าวบนรอยยิ้มที่กรุมกริม
อ๊อดมองแล้วก็พยักหน้าช้าๆ
“ก็ได้ครับ”
“ดีมาก” สรรค์หยิกแก้มแล้วเดินไป
อ๊อดยังยิ้มค้าง แล้วจะเดินต่อไปทว่าเจอกับจุ๊ยที่ยืนถือกล่องไวโอลีนข้างหนึ่ง กับแซกโซโฟนข้างหนึ่ง
อ๊อดคิดจะกล่าวแก้  แต่จุ๊ยเม้มปากส่ายหน้า แล้วก็ส่งสัญญาณให้มองกลับหลัง
อ๊อดจึงหันหลังมา 
เขารู้สึกราวโลกกำลังทะลายลงตรงหน้า
ไม่ห่างไปเท่าไหร่  และอยู่ในระยะที่จะได้ยินการสนทนาของเขากับสรรค์
หนุ่มผิวขาวจัดยืนอยู่  แววตาที่ปวดร้าวจับมาที่เขา 
“เมือง” อ๊อดเดินเข้าไป  จะจับมือ
“เรากลับไปคุยกันที่ห้องอ๊อด... ตรงนี้คนเยอะ” เมืองฟ้ากล่าวออกมา เสียงระคนความเจ็บปวดไว้ขัดเจน
อ๊อดหยี่ตาลงก่อนจะตอบ
“แต่อ๊อดมีงานต่ออีกที่นะ  เมืองใจเย็นๆ อ๊อดจะอธิบายให้ฟัง” เขาจับที่แขนของเมืองฟ้า
แต่เมืองฟ้าปลดแขนเขาออก
“ก็ไปสิ  แล้วกลับไปห้องเราค่อยคุยกันก็ได้  เมืองรอได้”
แล้วเมืองฟ้าก็เดินไป  อีอดคิดจะตามทว่ามีหนุ่มผิวสองสีมายืนขวางไว้
“พี่ไปดีกว่า  อย่าทำให้มันเป็นเรื่องที่นี่”
อ๊อดอารมณ์ขึ้น แต่จุ๊ยตามมาดึงเขาไว้
“ไปอ๊อด  เดี่ยวค่อยว่ากัน”
 
คน อื่นฟังไม่รู้แต่หูของจุ๊ยบอกได้ว่าอ๊อดเล่นพลาดไปหลายโน้ตมากเพราะเรื่อง ที่รบกวนจิตใจ  ฮ้อยเองแม้จะไม่ได้หูดีอย่างจุ๊ยแต่ก็รู้ว่าเสียงไวโอลีนของอ๊ฮดผิดปกติไป
“กูกลับแล้วนะ” อ๊ฮดกล่าวแล้วรีบออกไป
“มันเป็นอะไรวะ” ฮ้อยถาม
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่เก็บเม้าท์พิชเข้าที่
อย่าให้มันรุนแรงไปนะอ๊อด เมืองฟ้า ก็ใจเย็นๆ   เขาได้แต่บอกไปอย่างนั้นในใจ
ตอน ที่อ็ฮดกลับถึงอพาร์ทเม้นท์ เขาพบว่าเมืองฟ้านั่งรอเขาอยู่ในห้อง  สภาพห้องเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากข้าวของส่วนตัวของเมืองฟ้าหายไป หมด  ตัวเมืองฟ้าเองก็อยู่ในชุดที่เหมือนจะเตียมออกไปข้างนอก
“นี่มันอะไรกัน” อ๊อดถาม
เมืองฟ้าหยิบกุญแจของตัวเองมาส่งให้
“เมืองจะย้ายออกไป  แต่อ๊ฮดไม่ต้องกลัวนะ  เมืองจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับเดือนนี้ให้แล้ว”
อ๊อดมองกุญแจ  แล้วขบกรามจนเป็นสันนูนนัยต์ตากร้าว ปัดกุญแจออกจากเมื่อเมืองฟ้า
“มันบ้าอะไรเมือง.. นี่อ๊อดผิดมากจนเมืองรังเกียจจนไม่อยากอยู่ด้วยเลยเหรอ”
เมืองฟ้าสูดลมหายใจลึกๆ สั่นน้อยๆ
“ใช่  อ๊อด  อ๊อดทรยศความไว้วางใจของเมือง  ตลอดมาเมืองทุ่มเทให้อ๊อดทุกอย่าง  อ๊อดไม่มีเงินเมืองถึงได้มาอยู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยเหลือ  แม้แต่ค่าเทอมอ๊อดเมืองก็ออกให้ก่อน  แต่เมืองทำอย่างนี้กับเมือง” เมืองฟ้าตอบเสียงดัง
“ใช่สินะ ตอนนี้มีที่พึ่งใหม่แล้วนี่  รวยอยู่คอนโดหรู เมืองก็แค่ลูกพ่อค้าบ้านนอกจะไปพอเลี้ยงดูไลฟ์สไตร์หรูหราของอ๊อดได้เหรอ”
“เมือง” อ๊อดตวาด
“หรือไม่จริง...”เมืองฟ้าเสียงดังสู้
“ตอน นี้อ๊อดมีพี่สรรค์แล้วเมืองก็หมดความหมาย  แล้วเมืองจะอยู่ไปทำไม  ไอ้ห้องโทรมๆนี่  อ๊อดจะอยู่ก็อยู่ไป แต่เมืองไม่อยู่ เมืองไม่อยากเห็นหน้าอ๊อดอีก” แล้วเมืองฟ้าก็เดินไปที่ประตู
อ็อดคว้าแขนเมืองฟ้าไว้
“เดี่ยวสิเมืองเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” อ๊อดรั้ง  เขาสูดลมหายใจเพื่อสงบอารมณ์  ดึงเมืองฟ้ามากอด
“อ๊อด ขอโทษ  เมืองอย่าไปเลยนะ  อ๊อดรักเมืองฟ้ามากเลยนะ  อ๊อดสัญญา อ๊อดจะเลิกกับพี่สรรค์  อ๊อดจะไม่นอกใจเมืองอีก แต่เมืองอย่าไปเลยนะ  เพราะอ๊อดรักเมืองจริงๆ”
เมืองฟ้าถอนหายใจยาว
“อย่า สัญญาในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้อ๊อด  อ๊อดจะเลิกกับเขายังไง ในเมื่ออ๊อดต้องพึ่งพาเขา  ถ้าไม่มีรายได้จากดนตรี  เมืองเองก็ไม่ปัญญาสนับสนุนอ๊อดเรื่องเงินเหมือนกัน “
อ๊อดตะบะแตก  กระชากตัวเมืองฟ้าหันมาแล้วเขย่า
“หยุดดูถูกอ๊อดได้แล้วนะเมือง อ๊อดไม่ใช่คนหิวเงิน”
เมืองฟ้าสะบัดตัวออกไป
“ไม่ได้หิวเงิน แล้วผู้ชายอย่างอ๊อดจะมายุ่งกับเมืองทำไม  ถ้าใช่เพราะเมืองสนับสนุนอ๊อดได้  ไม่เอาน่าอ๊อดอย่าโกหกตัวเอง  อ๊อดก็แค่ต้องการให้เมืองช่วยเหลือจนเรียนจบ พอเรียนจบอ๊อดก็คง..”
“เมือง” อ๊อดตวาดลั่น  แล้วเขาก็ระเบิดอารมณ์กระชากคอเสื้อเมืองฟ้ามา กำหนัดแน่น  ทว่าจะพอต่อยเขาก็กลับไม่หยุดไป
“เอาสิอ๊อด ต่อยเมืองเลย  อยากจะทำอะไรก็ทำ  แต่จะให้เมืองรักอ๊อดเหมือนเดิมมันไม่มีวัน  ความรักของเมืองมันจบไปแล้ว” เมืองฟ้าท้าทาย
คำพูดนั้นทำให้ใจของอ๊อดสะท้าน  เขาปล่อยมือจากเมืองฟ้า
แววตาแสนเจ็บปวดที่มองเมืองฟ้า  เขาต้องมองผ่านม่านน้ำตา  แต่เมืองฟ้ากลับมองเขาอย่างสิ้นเยื้อใย
“แค่นี่นะอ๊อด  เราอย่าเจอกันอีกเลย”  แล้วเมืองฟ้าก็เดินออกไป
อ๊อดยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น  สักครู่จึงวิ่งออกไป
 
ตอนที่อ๊อดตามมาทันเมืองฟ้า เขายิ่งต้องเจ็บปวด  เพราะเมืองฟ้านั่งอยู่ในรถของสิทธิที่มาจอดรออยุ่หน้าตึก
สิทธิกำลังจะออกรถ ทว่าต้องเบรกสุดแรงจนลั่นเอียด เพราะอ๊อดพุ่งพรวดมาขวางทาง
“ทำอะไรน่ะ” เมืองฟ้าเลือนกระจกออกมาตำหนิ
“อ๊อดจะบ้าหรือไง”
อ๊อดเดินฉับๆมา แต่เมืองฟ้ารีบปิดกระจก  แต่อ๊อดเขามือขัดเอาไว้ เขาก็เลยหยุดกระจกไว้
“นี่ใช่ไหม... เหตุผลที่แท้จริง... ไอ้เหี้ยนี่ใช่ไหมเมือง”
“ใช่” เมืองฟ้าตอบกลับ
“นึกว่าเมืองพึ่งรู้เรื่องพี่สรรค์หรือไง  เมืองรู้กระทั้งว่าวันแรกที่อ๊อดมีอะไรกับเขาคือวันครบรอบการเจอกันของเรา ตอนที่อ๊อดไปที่คอนโด เมืองก็รู้แล้วจากเพื่อนของเมืองที่อยู่ที่นั้น  แล้วเมืองผิดอะไรจะคบกับสิทธิ”
“เมือง..” อ๊อดไร้คำพูดจะตอบโต้
“เมืองพอแล้วอ๊อด  เมืองทุ่มเทให้อ๊อดเท่าไหร่  แล้วนี่คือการตอบแทนของอ๊อด... เมืองเจ็บพอแล้วอ๊อด” เมืองฟ้ากล่าวแล้วดันมืออ๊อดออกไป ก่อนจะปิดกระจกจนสนิท
แล้วสิทธิก็ออกรถไป
อ๊อดทำได้แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น  ต่อมาก็ทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นแรง ทว่ากลับมีคนเข้ามาช่วยประคองเขา
จุ๊ยกับฮ้อย
เขาเลยโผเข้ากอดทั้งสองแล้วร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 68 : ความสัมพันธ์ทีสลับซับซ้อน
อาราอิกลับมาจากถ่ายสารคดีชุดยาวที่ญี่ปุ่น ซึ่งต้องใช้เวลาในการถ่ายทำหนึ่งเดือนเต็มๆ  กลับมาไม่ทันได้พักก็รีบมาหาจุ๊ย 
จุ๊ยกำลังยืนขายของให้ชาวพม่าคนหนึ่งที่พูดแล้วก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
“ตะปู..” จุ๊ยบอก
“ใจ่ๆ ลาบุ” หนุ่มน้อยชาวต่างชาติบอก
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ตะปู” จุ๊ยก็แย้งอีก
“ตาปุ” เด็กหนุ่มก็หัวเราะ
“เออค่อยยังชั่ว” จุ๊ยยิ้ม ห่อตะปูที่ชั่งน้ำหนักแล้วก็เอาใส่ถุง
“แล้วเอาอะไรอีกไหม” เขาถาม เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ยี่สิบ”
“ยี่สิ” เขาทวนคำ แล้วก็หยิบเงินส่งให้
จุ๊ยมองหน้า
“หล่อนะเราน่ะ” จุ๊ยชมเพราะหนุ่มพม่ามีหน้าตาคมคาย
เด็กหนุ่มเขิน
“พี่ก็น่าล่อ” เด็กหนุ่มตอบ
ป๊าที่อยู่ใกล้หันมามองหน้า
ซัวที่กำลังจัดเรียงของอยู่ไม่ห่างก็หัวเราะก๊ากออกมา
“ไอ้ซัว” จุ๊ยหันไปปราม
“เสียมารยาท”
เด็กหนุ่มทำหน้างง แถมเขินเพราะคงรู้ว่าเขาพูดไม่ชัด และคงพูดอะไรผิดไปอย่างแรง
“หล่อ... ไม่ใช่ล่อ” จุ๊ยตอบแล้วก็ตบบ่าแน่นๆแบบผู้ใช้แรงงานไปสองที  ปรากฏว่าเด็กหนุ่มหน้าแดง
เขาหันหลังไป เจออาราอิที่ยืนถือถุงใบใหญ่  มองแล้วก็มองอีก
“ดารา” เด็กหนุ่มหันมาชี้ให้จุ๊ยดู
จุ๊ยหัวเราะ
“เออดารา  น่าล่อไหมล่ะ” จุ๊ยถาม
เด็กหนุ่มก็พยักหน้า
อาราอิไม่รู้จะทำหน้ายังไง  ก็เลยยิ้มออกมา  เด็กหนุ่มก็ยิ้มตอบอย่างใสซื่อ
“ดารา..ค้านเด่(หล่อ)” เขาว่า
อาราอิเลยวางของบนตู้กระจก  ยื่นมือไปจับด้วย
เด็กหนุ่มก็จับสองมือแถมเขย่าด้วย
สักครู่ก็เดินออกไปจากร้าน
“ไอ้นี่มันท่าจะชอบเฮีย  เวลามันมาถ้าไม่เจอมันก็จะถามหาด้วยนะ  พี่ใจดีไปไหน” ซัวกล่าวแล้วลุกขึ้น
อาราอิมองหน้าจุ๊ย
“มองอะไร” จุ๊ยถามแล้วเดินมาเปิดถุงดู
“เอาอะไรมา  นี่ขนมาหมดญี่ปุ่นรึเปล่าเนี่ย”
“ก็เกือบหมด”  แล้วเขาก็หันไปยกมือไหว้ป๊าก่อนจะเปิดถุงแยกไว้อย่างดี
“อันนี้เป็นขนมไว้กินกับน้ำชานะครับ  แล้วก็มีชาญี่ปุ่น  อันเป็นอย่างดี  ต้องชงพิเศษ เดี่ยวผมจะบอกวิธีกับจุ๊ยเอาไว้”
“โอ้โหเอาใจน่าดู” ซัวเข้ามาแซวใกล้ๆจุ๊ยเพื่อให้พอได้ยินสองคน
“ไหนดูสิมีอะไรบ้าง” ซัวทำท่าจะเปิดถุง
แต่จุ๊ยตีมือเสียก่อน
“มึงนี่ไม่มีมารยาท  รอเจ้าของเขาแบ่งก่อนสิวะ”
 
อาราอิลงจากเครื่องบินแล้วยังไม่ได้พัก  พอมาถึงห้องจุ๊ยก็หลับไปคาตักจุ๊ย ทั้งที่บอกว่าขอพักสายตา แต่พอตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นจุ๊ยแล้ว ที่หนุนเป็นหมอน
พอลงมาข้างล่างก็ได้กลิ่นหอมๆของน้ำแกง
เลี้ยวเข้าครัวก็เห็นจุ๊ยกำลังลวกเส้นราเม็งที่เขาเอามา
“ทำเป็นด้วย” อาราอิกล่าวแล้วมายืนข้างๆ
“ก็มันมีวิธีทำอยู่ข้างกล่อง” จุ๊ยตอบ
“แค่อุ่นน้ำลวกเส้น ใครๆก็ทำได้” จุ๊ยตอบ
“นี่เป็นร้านดัง ฉันซื้อมาจากพิพิธภัณฑ์ราเม็งที่ โยโกฮาม่า” อาราอิบอกแล้วก็หันไปเปิดตู้เพื่อหยิบขามมาเตรียมให้ตามจำนวนคนในบ้าน
“สี่ใบพอ เฮียไปประจำโรงพยาบาลที่สระแก้วแล้ว พึ่งไปได้สองอาทิตย์”
อาราอิก็เก็บชามเข้าไปหนึ่งใบ
“ป๊าครับ ไอ้ซัว กินราเม็งครับผม” จุ๊ยตะโกน
 
“แปลว่าอ๊อดกับเมืองฟ้าก็เลิกกันไปในที่สุดสินะ” อาราอิสรุปที่จุ๊ยเล่าตอนเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า
“น่าเสียดายนะ คบมาหลายปีเลยนี่”
จุ๊ยพยักหน้า  แล้วก็กด Reed ให้เข้าที่
“จุ๊ย ก็แปลกใจนะ กับท่าทีเมืองฟ้าที่อ๊อดเล่า.. ไม่รู้สิ ฉันว่าเมืองฟ้าเขาออกจะนุ่มนวล  ไม่น่าจะพูดออกมารุนแรงขนาดนั้น แถมพาแฟนใหม่มาเย้ยด้วย”
อาราอิยู่ปากเชิดจมูก พยักหน้า
“แล้ววันนี้จะฟังเพลงอะไรหล่ะ” จุ๊ยถาม
 “ขอหลายๆเพลงได้ไหม  คิดถึงเสียงแซกของจุ๊ยที่สุดเลย” อาราอิทำเสียงออดอ้อน
“ตามใจ  ก็เลือกมาสิ จะเล่นให้” จุ๊ยชี้แฟ้มที่อาราอิเป็นคนถือขึ้นมา
“แล้วขอหลายๆยกได้ไหม คิดถึงตัวจุ๊ยมากเลย  อยากมาก” อาราอิทำท่าเดิม
จุ๊ยยิ้มแล้วเขกหัวไปด้วยแซกโซโฟน
“ไอ้ลามก”
“อะไรอะ  แค่พม่ามาจีบจุ๊ยก็เปลี่ยนใจแล้วเหรอ..”
“เกี่ยวอะไรกับพม่า”
“อ้าวก็เห็นจุ๊ยชมว่าน่ารัก”
“จะบ้าแล้ว.. ยังเด็กอยู่เลยนะนั่น อายุน้อยกว่าจุ๊ยสองสามปีได้ น้อยกว่าซัวด้วยซ้ำ”
“แต่เขาบอกจุ๊ยน่าล่อนะ”
“ครับดารา... คานเด่  จะฟังไหมเพลงน่ะ เดี่ยวก็ไม่เล่นเสียเลย”
 
นี่ก็ราวๆเดือนกว่าๆแล้วอ๊อดกับเมืองฟ้าเลิกกัน  ในสายตาของฮ้อยที่อ๊อดขอไปพักอยู่ด้วยที่คอนโดมิเนียม เห็นอ๊อดดีขึ้นมากแล้ว จากอาทิตย์แรกที่ซึมกระทือ  ตอนนี้อ๊อดออกไปข้างนอกกับสรรค์ และกลับมาด้วยท่าทางอารมณ์ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วอ๊อดก็มาบอกกับฮ้อยว่าจะย้ายไปอยู่กับสรรค์
“แปลว่ามึงตกลงใจกับพี่เขาแล้ว” ฮ้อยถาม
อ๊อดนิ่งไป  แว่บหนึ่งนัยย์ตาลอย แล้วก็กลับมาเป็นปกติก่อนจะตอบ
“พี่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรนี่หว่า  แล้วพี่สรรค์ก็รักกูด้วย  อีกอย่างอยู่กับมึงนานๆกูก็เกรงใจ”
ฮ้อยพยักหน้า  แต่ใจอยากจะถามว่า  พี่สรรค์รักมึง แล้วมึงล่ะ รักใคร...  แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
 
จุ๊ย ต้องมามหาวิทยาลัยเพื่อลงทะเบียนเรียน ส่วนอาราอิก็ยังเหลือวิชาที่ดอร์ปไปสองตัวเพราะติดงาน ก็เลยต้องมาลงทะเบียนเรียนอีกเทอมหนึ่ง
พอลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็หาข้าวเที่ยงกินกันในโรงอาหารใกล้กับตึกทะเบียน
“เพื่อนจุ๊ย” เสียงเดฟดังมาแต่ไกล 
แต่พอมาถึงก็มากอดจุ๊ยจากด้านหลัง  แถมเอามือล้วงเข้าไปในเสื้ออีกต่างหาก
“เอามือออก” จุ๊ยเสียงเหี้ยม  แต่ยังไม่ตอบโต้เพราะมือข้างหนึ่งถือจานข้าวมันไก่ อีกข้างถือน้ำจิ้ม
“ไม่” เดฟปฏิเสธ แถมหันไปยิ้มท้าทายอาราอิด้วย
“อย่านะ  อย่าทำหึง  เดี่ยวคนเขาก็รู้หมดหรอก” แล้วก็ยิ่งลูบไล้จุ๊ย
อาราอิก็ส่ายหัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
จุ๊ยกรอกตาขึ้นบน ก่อนจะกระทืบลงไปเท้าของเดฟอย่างแรง
“โอ้ย” เดฟร้องลั่น ก่อนจะถอยออกไป
“โอ้โหอาวุธรอบตัวเลยนะ  สมแล้วที่เป็นเมียนักคาราเต้” เดฟว่าแล้วก็ยกเท้าที่โดนเหยียบมาลูบๆ
อาราอิทำหน้าเย้ย แล้วกล่าว
“ทักษะการต่อสู้บางทีมันก็ถ่ายทอดทางเพศสัมพันธ์นะ”
จุ๊ยเหล่มอง
“อยากโดนด้วยไหมอาราอิ”
 
“ก็เลยเป็นอันว่าตอนนี้อ๊อดก็คบกับพี่สรรค์ไป  ส่วนเมืองฟ้าก็ไปอยู่กับสิทธิ” เดฟสรุปความจากเรื่องที่จุ๊ยเล่าให้ฟัง
“ความเอย ความรัก  ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ใจขื่นขมระทมชั่วกาล”
จุ๊ยมองหน้าเดฟแล้วทำหน้าผะอืดผะอม
“ถุ๊ย” เขาทำท่าถมน้ำลาย
เดฟยักคิ้ว
“แต่... รู้รึเปล่าว่าจริงๆ แล้วสิทธิกับพี่สรรค์เป็นพี่น้องกัน” เดฟกล่าวให้ข้อมูลที่ทำให้จุ๊ยกับอาราอิมองหน้ากัน
“เฮ้ยจริงสิ” จุ๊ยกล่าวออกมา
“ครับ ผม... เป็นพี่น้องกัน  ท้องเดียวกัน  ผมยังแปลกใจว่าทำไมพี่สรรค์ถึงไม่รู้เรื่องอ๊อดกับเมืองฟ้า” เดฟกล่าว แล้วก็ตักกินน้ำแข็งใสคำหนึ่ง
“แล้วอีกอย่าง สิทธิกับเมืองฟ้าก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันตอนเรียนมัธยมต้น  เพราะสองคนเรียนที่เดียวกันมาก่อน  ตอนอยู่โรงเรียนเก่าสองคนนี้เขาสนิทกัน เหมือนจะกิ๊กกั๊กกัน  อันนี้ผมรู้มาจากเพื่อนคนหนึ่งของผมที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับเมืองฟ้ามาก่อน แต่พอขึ้นม.สี่เขาก็ย้ายมาที่โรงเรียนเรา"
"เพื่อนของผมตอนนี้อยู่คณะเดียวกับเมืองฟ้านั้นหล่ะ  เขาเล่าให้ฟังตอนผมผ่านไปที่ตึกวิทย์แล้วเจอเขา  แล้วบังเอิญเมืองฟ้ากับสิทธิกำลังติวกันอยู่สองคน  เขาก็เลยเล่าให้ฟัง”
“มันแปลกๆไหมเรื่องนี้” เดฟถาม
จุ๊ยขมวดคิ้วคิด 
“แปลก...มากเลยหล่ะ  กูจำได้ว่าอ๊อดเคยพูดถึงเรื่องที่พี่สรรค์บอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งของพวกเรา เรียนโรงเรียนเดียวกัน เป็นคนแนะนำอ๊อดให้พี่สรรค์รู้จักผ่านเฟสบุ๊ค" 
"แต่ ตอนหลังอ๊อดมันบอกว่าถามดู พี่เขาก็ไม่บอก บอกว่าเพื่อนคนนี้เขาไม่อยากจะให้อ๊อดรู้ เพราะเขาแอบชอบอ๊อดมาก่อน  เขาอายอะไรประมาณนี้”
อาราอิคีบเกี้ยวปลาจากชามตัวเองไปใส่จานจุ๊ย  ก่อนจะเขาจะแสดงความเห็น
“ถ้าจะโยงตัวละคร  ก็คืออ๊อดเป็นแฟนเมืองฟ้า  ต่อมานายXXX ก็ มาแนะนำอ๊อดให้รู้จักพี่สรรค์ ที่เป็นพี่ชายของสิทธิ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นของเมืองฟ้า  คือถ้าคิดตามแบบนี้ คนที่มีความสัมพันธ์กับตัวละครที่ทุกตัวคือ  เมืองฟ้า เพราะเมืองฟ้าคือคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างสิทธิกับอ๊อด  แล้วพี่สรรค์เป็นพี่ชายของสิทธิก็อาจรู้จักเมืองฟ้าด้วย”
จุ๊ยกินเกี๊ยวปลา  แต่เดี่ยวอาราอิก็คีบลูกชิ้นปลามาให้อีกสองลูก
“เป็นไปได้ไหม ว่านายXXX คือเมืองฟ้า” จุ๊ยบอกข้อสันนิษฐาน
เดฟยักหน้าเห็นด้วย
“เป็นไปได้มากเลย...”
“แต่เขาจะทำไปเพื่ออะไร” อาราอิทำหน้างง  มือก็คีบเลือดกับปลาหมึกให้จุ๊ย
“ก็ไม่รู้หรอก” จุ๊ยกล่าวก่อนจะ หันมองหน้าอาราอิ
“นี่นาย ถ้าไม่กินเครื่อง ที่หลังก็สั่งเย็นตาโฟไม่ใส่เครื่องนะ ฉันไม่ใช่ถังขยะ  ตักใส่ ตักใส่อยู่ได้”
อาราอิยิ้มแหย่ๆ
“จริงแล้วฉันไม่ชอบเย็นตาโฟ  แต่อยากลองกินดู  เอาไปเลยทั้งชามเลยแล้วกัน เดี่ยวจะได้ไปซื้อใหม่”
 
จุ๊ยกับอาราอิเดินออกจากโรงอาหารมาก่อน  แล้วก็เห็นอัศวะเดินมาแต่ไกล  ทั้งคู่เลยหยุดทักกับอัศวะตรงกลางบันไดของทางต่างประดับที่ลงจากมาจากโรงอาหาร
“เฮ้ยเป็นไง  เดี่ยวนี้ดังแล้วนี่  งานรุ่งเลยไม่ใช่เหรอ” จุ๊ยถาม เพราะได้ยินว่าอัศวะกำลังจะออกอัลบัมสองเร็วๆนี้
“ก็พอไปได้  มีแฟนกลุ่มใหญ่อยู่แต่ไม่มากเท่าของโยชิหรอก” อัศวะกล่าว
อาราอิเลิกคิ้วแต่ไม่ได้ตอบ
ระหว่างนั้นเดฟเดินมาที่หลังเพราะแวะซื้อขนม  เขาหยุดชะงักตอนที่เห็นหน้าอัศวะ 
เดฟสูดลมหายใจแล้วเบือนหน้าไปทางหนึ่ง ก่อนจะก้าวลงบันได  อัศวะก็หันไปทางอื่นเหมือนกัน
ในความหมางเมินนั้น  กลับมีสัมผัสที่อาลัยอาวรณ์อยู่ 
เดฟก้าวลงบันไดมา และกำลังจะผ่านตัวอัศวะ  ในระยะประชิด  อัศวะอยากจะจับแขนนั้นไว้เพื่อหยุด  แต่..
โครม
“โอ้ย” เดฟเหยียบพลาดขั้นบันได เลยร่วงตกไปอยู่ขั้นสุดท้าย
“เดฟ” อัศวะรีบลงไปดูอาการ และประคองให้เดฟลุกขึ้นนั่ง
“เป็นไงบ้าง  เจ็บไหม”
สายตาทั้งคู่ประสานกันนิ่งนาน
“ห่าเอ้ยอย่างกับหนังเกาหลี” จุ๊ยกล่าวแล้วเดินลงมาช่วยดู
“เป็นไรไหมอย่าพึ่งรีบลุก  เผื่อขาแพลง”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 69 : คำขอร้องสุดท้ายของเมืองฟ้า ความจริงที่เก็บเอาไว้
ปรากฏว่าเดฟปวดข้อเท้าอย่างหนักมาก  อาราอิก็เลยตัดสินใจดามขาชั่วคราว แล้วก็พาไปโรงพยาบาล
ระหว่างที่นั่งรอเดฟอยู่หน้าห้อง  จุ๊ยก็ถามอัศวะตามตรง
“ตกลงมึงจะเอายังไงกับเดฟ”
อัศวะถอนหายใจยาว
“ไม่รู้สิ  กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
จุ๊ยสบตากับอาราอิ
“แล้วมึงรักเดฟจริงๆรีเปล่าหละ”
อัศวะเงยหน้ามองแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล 
“กู หาทางออกกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆวะ ด้านหนึ่งก็พ่อกู อีกด้านหนึ่งก็คนที่กูรัก  มึงจะให้กูทำยังไง  ในเมื่อกูเป็นลูกก็ต้องรักพ่อ  เหมือนกันใช่ไหม”
ทั้งจุ๊ยกับอาราอิก็เงียบไปด้วยกันทั้งคู่
แต่ระหว่างนั้นจุ๊ยก็สังเกตเห็นใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในโรงพยาบาล
นั้นคือสิทธิ  แต่พอเขาพ้นประตูโรงพยาบาลเข้ามา  ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางกระวนกระวาย
“เมืองเป็นไงบ้างสิทธิ”
นั้นเป็นระยะไกลพอสมควร  แต่จุ๊ยได้ยินเบาๆและจับชื่อเมืองฟ้าได้จึงหันพูดกับอาราอิ
 
“เมื่อวานก็อยู่กินข้าวกันอยู่พี่เขาก็บอกแน่นหน้าอก  แล้วก็ล้มไปเลย  ผมก็รีบพามาโรงพยาบาล” สิทธิเล่า
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจแล้วจับบนมือลูกชาย  ตอนนี้ลูกชายผอมลงไปกว่าเดิม และซูบซีดกว่าเดิมมาก
“หมอบอกว่า  พี่เมืองอาจไม่ไหวแล้ว  จะผ่าตัดตอนนี้ก็คงไม่มีผลอะไร  เพราะร่างกายภายในของพี่เมืองแย่มากๆ”
มารดาทำใจมาตั้งแต่ที่เมืองฟ้าล้มเจ็บไปเมื่อราวเกือบสามเดือนก่อนแล้ว  เพราะจริงๆแล้วเมืองฟ้าก็เป็นคนอ่อนแอมาแต่เกิด  ที่ผ่านมาแม้จะใช้ทุกวิธีแล้ว  แต่เมืองฟ้าก็ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก  เพียงแต่ช่วงสองสามปีมานี้ดูเมืองฟ้ามีความสุขมาก  แต่กลับมาทรุดลงในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“แล้ว อ๊อดไปไหนหล่ะ  เขารู้รึยังว่าเพื่อนสนิทไม่สบาย” เธอถาม เพราะเธอทราบว่าเมืองฟ้าพักอยู่กับอ๊อด และแม้เธอจะรู้สึกแปลกกับความสัมพันธ์นี้  แต่ทว่าเมื่อได้เห็นความสุขของเมืองฟ้าแล้วเธอก็ต้องยอมให้สองคนสนิทสนมกัน ต่อไป
“พี่ อ๊อดเขามีแฟนแล้ว  ตอนนี้ก็ย้ายออกไปอยู่กับแฟน ผมยังไม่ได้บอก  เพราะติดต่อพี่เขาไม่ได้ แล้วพี่เมืองก็บอกว่าอย่าบอกพี่อ๊อด  เพราะกลัวพี่อ๊อดจะเป็นห่วง” สิทธิตอบ  แต่ใครจะรู้ว่านั้นเป็นคำโกหกเกินกว่าครึ่ง
ประตูเปิดออก
“คุณแม่ของน้องเมืองฟ้าใช่ไหมคะ คุณหมอเรียนเชิญที่ห้องค่ะ” พยาบาลสาวกล่าว
 
แต่พอออกมามารดาของเมืองฟ้าก็เห็นชายหนุ่มสองคนยืนอยู่  คนหนึ่งเธอจำได้เพราะดาราดัง โยชิ  แต่อีกคนก็รู้สึกคุ้นๆแต่นักไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
ทั้งคู่สวัสดีเธอ
“ผมเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับเมืองครับ  ผมขอเข้าไปเยี่ยมเมืองหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มน้อยหน้าตาจีนๆกล่าว
 
สิทธิตกใจกับการมาเข้ามาของจุ๊ยกับอาราอิ  เพราะแม้จะไม่รู้จักกันเป็นส่วนตัว  แต่ก็รู้ว่าจุ๊ยเป็นเพื่อนสนิทขของอ๊อด  ส่วนดาราโยชิ.. อันนี้ไม่รู้ว่ามาด้วยกันเพราะอะไร

“พี่เขาเป็นโรคหัวใจโดยกำเนิด  พี่อ๊อดก็รู้ แต่ไม่รู้ว่าพี่เมืองอาการแย่ลงมาก ร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว  เพราะพี่เมืองปิดบังอาการกับพี่อ๊อดมาโดยตลอด  ตอนที่อาการกำเริบเมื่อปีที่แล้วพี่เมืองเขาก็เริ่มวางแผนจะให้พี่อ๊อดไปคบ กับพี่สรรค์  เพื่อที่จะได้หาคนดูแลพี่อ๊อดต่อไป  พูดง่ายๆคือจริงๆ ที่พี่อ๊อดรู้จักกับพี่สรรค์ และพี่สรรค์สามารถเข้าถึงพี่อ๊อดได้ง่ายๆเพราะพี่เมืองนั้นหละครับ” สิทธิเล่าเสียงสลด
“แล้ว เธอเกี่ยวข้องอะไรกันแน่กับเมืองฟ้า” จุ๊ยถามตามตรง หันมาหน้าอาราอิที่นั่งประสานมืออยู่  ทั้งหมดสนทนาอยู่ที่ชุดพักผ่อนขนาดเล็กภายในห้องพักผู้ป่วย
“ผมเป็นญาติห่างๆของพี่เมืองครับ  เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กๆ  ผมเห็นพี่เมืองเป็นพี่ เพราะพี่เมืองเรียนเก่งและมักจะช่วยติวให้ผมเสมอๆ”
“แปลว่าเธอกับเมืองก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่อ๊อดมันเข้าใจ” จุ๊ยถาม
“ถ้าเรื่องร่างกายใช่ครับ” สิทธิตอบออกไปจากความจริง
“แต่ผมยอมรับว่าแอบชอบพี่เมืองมานานมาก  แต่ผมก็รู้ว่าพี่เมืองเห็นผมเป็นแค่น้อง”  สิทธิมองไปทางเมืองฟ้าที่นอนอยู่ด้วยแววตาเปี่ยมความอาทร
“พี่เมืองบอกให้ผมทำตัวให้พี่อ๊อดรู้สึกว่าผมจะมาชอบพี่เมือง  ผมก็ทำตามเพราะมันก็ไม่ได้ยากอะไรนี่ครับ  แค่ทำตามใจเรารู้สึก”
จุ๊ยต้องลอบถอนหายใจเบาๆอย่างสงสาร 
“พี่คิดว่าเราควรบอกความจริงกับอ๊อดนะ” จุ๊ยกล่าวออกมาในที่สุด
สิทธิหันมามอง
“ผมก็คิดอย่างนั้น  แต่พี่เมืองคงไม่ยอม”
“อย่านะจุ๊ย”
เสียงที่แหบแห้งกล่าวออกมา
 
“ฉันขอร้องจุ๊ย  อย่า.. เมืองอยากให้เมืองไปก่อนแล้วค่อยบอก  เมืองถ้าอ๊อดมาตอนนี้เมืองจะไม่สามารถทำใจกับความตายได้  มันเจ็บปวดเกินไป  เมืองตายไม่สงบแน่นอน  เมืองขอร้อง” เมืองฟ้าเอื้อมมาสัมผัสแขนของจุ๊ยที่มายืนอยู่ข้างเตียง
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ แล้วถอนอย่างยากลำบาก
“เมืองทำแบบนี้แล้วมันดีกับเมืองและอ๊อดแน่เหรอ  เมืองคิดบ้างรึเปล่าว่าอ๊อดอาจต้องการอยู่เคียงข้างเมืองในตอนนี้”
เมืองฟ้าหันมามองเพดานตรงๆ
“เมืองรู้  แต่ถ้าต้องทนเห็นอ๊อดเสียใจตอนเมืองตาย  เมืองคงแย่มากแน่ๆ  เมืองอยากให้เมืองไปก่อนแล้วค่อยบอกอ๊อด” เขากล่าว
“ที่ เมืองทำมันผิดเมืองรู้  แต่นี่เป็นทางเดียว  เมืองเป็นห่วงอ๊อด และรักอ๊อด แล้วก็แน่ใจว่าอ๊อดก็เหมือนกัน  แล้วถ้าเมืองตายโดยที่อ๊อดไม่มีใครดูแล แล้วยิ่งเห็นอ๊อตต้องมาร้องไห้เสียใจอยู่ข้างเตียง เมืองคงตายตาไม่หลับแน่นอน”
แล้วเมืองฟ้าก็มองหน้าจุ๊ย
“พี่ สรรค์อาจดูเหมือนเป็นคนเจ้าชู้ แต่จริงๆพี่สรรค์เขาเป็นคนจริงใจ  แล้วกรณีอ๊อด พี่สรรค์เขาชอบอ๊อดมากจริงๆ  เมืองแน่ใจว่าเมืองฝากอ๊อดไว้กับคนไม่ผิด “ แล้วเขาก็บีบแขนจุ๊ยด้วยกำลังที่อ่อนล้ามาก
"เมือง ขอร้องจุ๊ย  อย่าบอกอ๊อด อย่าเลย  ขอให้ความปรารถนาสุดท้ายของคนใกล้ตายเป็นจริงสักครั้งได้ไหมจุ๊ย  เมืองขอร้อง  รับปากเมืองได้ไหม”
จุ๊ย รู้สึกลำบากใจอย่างแสนสาหัส เพราะไม่เห็นด้วย  แต่แววตาของเมืองฟ้าที่หมองหม่นและเต็มไปด้วยน้ำตาก็เกินกว่าเขาจะทาน  จุ๊ยต้องหันมองหน้าอาราอิเพื่อขอกำลังใจ
อาราอิเข้าใจความหมายของจุ๊ย  จีงวางมือบนไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยน
จุ๊ยถอนหายใจ
“ตกลง จุ๊ยจะไม่บอก”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 70 : อะไรที่ถูก อะไรที่ผิด ความแตกต่างที่ไม่อาจแยกในสถานการณ์นี้
“หิวไหม” อัศวะถามตอนที่กลับมาจากห้องน้ำ  เดินไปที่เตียงซึ่งเดฟนอนอยู่โดยมีเผือกอ่อนห่อข้าข้างหนึ่งไว้

 เดฟไม่ได้ตอบ  แกล้งทำเป็นหลับ
เขาก็เลยแกล้งทำเป็นเงียบไปบ้าง

 เมื่ออัศวะเงียบไป เดฟเลยชักสงสัย  แต่พอลืมตาขึ้นมาหน้าอัศวะก็อยู่ห่างหน้าเขาแค่ฝ่ามือ
 “ทำอะไร” เดฟถาม
 “ก็จะจูบไง  ก็นายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ก็ต้องจูบให้ตื่นก่อน” อัศวะตอบ แล้วจะก้มลงมา
 “ฉันตื่นแล้วไม่ต้อง” เดฟเอามือมาปิดปากไว้
 อัศวะยิ้มแล้วก็เปลี่ยนเป็นจูบที่หน้าผาก
 หน้าคมได้สัดส่วนของเดฟแดงจนเขารู้สึกว่ามันร้อนฉ่า
 อัศวะถอยมานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง
 “พรุ่งนี้ฉันจะมารับ  หมอบอกว่านอนแค่คืนเดียวก็พอ”
 เดฟทำปากเจ่อๆ ลุกขึ้นนั่งมองเท้าตัวเอง
 “จะนอนทำไม ฉันแค่กระดูกร้าวไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย”
 “ก็ เขาคิดเงินไปแล้ว  นายคิดว่าจะรอดเหรอ โรงพยาบาลเอกชนระดับนี้  พอรู้ว่าเป็นนายเดวิด วูลดิ้งเบิร์ก เขาก็จับเปิดห้องเปิดเตียงทันที  ดาราชื่อดังแถมลูกเจ้าพ่ออสังหา  เหยื่อชั้นดีชัดๆ” อัศวะตอบ
 “เฮ้ย ก็ฉันไม่อยากนอนนี่  กลับดีกว่า  ไหนๆก็ไหนๆ นายช่วยบอกพยาบาลเอาไม้เท้าหรือไม้ค้ำยัน หรืออะไรก็ได้ให้หน่อย  ฉันจะได้กลับบ้าน” เดฟบอกแล้วทำท่าจะลงจากเตียง
 “เฮ้ยๆ “ อัศวะลุกขึ้นมาจับตัวไว้
 “ทำไมวะ  ก็แค่นอน  นอนเหอะ  แผลอย่างนี้ตอนกลางคืนมันจะอักเสบนะเว้ย  อยู่ใกล้ๆหมอเขาจะได้ช่วยได้” อัศวะกล่าว ก่อนจะจ้องตา
 “ทำไม หรือว่า กลัวผี”
 เดฟเปลี่ยนสีหน้าทันที
 “เปล่า.. โลกนี้มีผีที่ไหน"
 อัศวะยิ้มกระหยิ่ม
 “ก็ดี...” อัศวะตอบ แล้วก็หันไปคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง
 “งั้น ฉันกลับหละ  นายก็นอนพักนะ  ในโลกนี้ไม่มีผีหรอก  ฉันก็เคยนอนตั้งหลายคืนตอนเป็นไข้เลือดออก  มีแค่คุณน้าใจดีเข้ามานั่งปลายเตียงทุกคืน  แล้วก็คุณลุงแก่ๆ มาเดินไปเดินมาไอโคล่กๆ แล้วก็เด็กที่นั่งทำตาโตๆอยู่บนเพดานแค่นั้นหล่ะ”
 เดฟหน้าจืดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
 “ไปนะ  ถ้าเขามาก็บอกว่าเดี่ยวจะไปทำบุญให้  เดี่ยวเขาก็ไปกันเอง” แล้วก็เดินจะออกไป
 “เฮ้ยๆนี่นายใจร้ายไปรึเปล่าวะ  แล้วใครจะมาพาฉันเข้าห้องน้ำ” เดฟร้องห้าม
 “ก็พยาบาลไง  ไม่ต้องกลัวฉันจะกำชับให้หาบุรุษพยาบาลหล่อๆมาประจำการ” อัศวะตอบ
 เดฟทำหน้าบูดไปนิดหนึ่ง แต่ก็กลับยิ้มออกมาใหม่
 “ก็ได้ งั้นฉันจะจ้างพิเศษเลย  บุรุษพยาบาลหล่อๆ กล้ามใหญ่ๆ นายเน้นตรงนี้ด้วยนะ  เผื่อถูกใจจะรับเลี้ยงเลย”
 อัศวะหันมามองรอยยิ้มเย้ยๆของเดฟแล้วก็หมั่นเขี้ยว
 “งั้นจ้างฉันดีกว่า” เขาตอบแล้วเดินกลับมาในระยะประชิด
 “ใครจะรู้ใจนายเท่าฉัน  จริงไหม” 
 ทั้งคู่สบตากกันนิ่งนาน  จนกระทั้งเดฟอดใจไม่ไหว ดึงอัศวะเข้ามาแล้วโน้มคอลงแล้วจูบอย่างดูดดื่ม
 “ฉันคิดถึงนายมาเลยอัส” เดฟกล่าวหลังจากถอนจูบมาแล้ว
 
อัศวะนั้งลงข้างๆเดฟแล้วสวมกอด
 “ฉันยิ่งกว่านายอีก  เวลาร้องเพลงรักๆยิ่งเห็นหน้านาย  ยิ่งอยู่คนเดียวก็ยิ่งคิดถึงนาย”
 ที่หน้าประตูห้อง จุ๊ยที่ห้ามอาราอิไว้ก็หันมายักคิ้ว  อาราอิถอนหูจากที่แนบประตูไว้ แล้วหันมาถาม
 “จะเข้าไปไหม” เขาถามเสียงเบาๆ
 จุ๊ยส่ายหน้า
 “กลับเหอะ... ฉันอยากไปหาไอ้ฮ้อย”
 
“นี่มันบ้า” ฮ้อยร้องออกมาหลังจากฟังเรื่องจบ  แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง
 “บ้าชัดๆ ทำไมไม่คิดบ้างว่าอ๊อดมันจะรู้สึกยังไง”
 จุ๊ยมองไปรอบๆห้องที่เรียบร้อยดีของฮ้อยเพราะมีการจ้างคนทำความสะอาด
 “แล้วมันไปไหนแล้ว” จุ๊ยถาม
 “ย้ายไปอยู่กับพี่สรรค์” ฮ้อยตอบ
 จุ๊ยกับอาราอิมองหน้ากัน  แล้วก็เป็นอาราอิที่กล่าวออกมา
 “บาง ทีก็อาจไม่คิดอะไรก็ได้นะ  เมืองฟ้าเขาอาจคิดถูกต้องแล้วก็ได้  ถ้าอ๊อดมันไปอยู่กับพี่สรรค์  แสดงว่ามันก็อาจพร้อมเริ่มต้นใหม่กับพี่สรรค์”
 ฮ้อยถอนหายใจดังเฮือก
 “ก็หวังว่าเป็นอย่างนั้น  แต่ยังไง  ถ้ามันรู้  ไม่มีทางที่มันจะไม่เสียใจ”  แล้วเขาก็หันไปหาจุ๊ย
 “ตกลงมึงจะไม่บอกจริงๆใช่ไหม”
 จุ๊ยตอบด้วยการพยักหน้า
 “แต่กูก็ไม่ได้ห้ามมึงบอกนะเว้ย  มึงก็คิดดูเอาเองแล้วกัน”
 ฮ้อยทำท่าเหล่มองหน้าจุ๊ย
 “มึงมาโยนขี้ไว้ที่กูเลยเหรอ... ถ้ามึงไม่บอก กูก็ไม่บอกเหมือนกัน” ฮ้อยตอบ
 
 Killing Me Softly ที่บรรเลงหวานหูนั้นตรึงใจคนในงานอย่างมาก พอจบเพลงพิธีกรก็ประกาศ
 “ขอเสียงปรบมือให้ The Trio Tenders  ครับ”
 ทั้งสามหนุ่มก็โค้งแล้วลงจากเวที  สรรค์ที่ยืนอยู่ข้างเวทีก็เดินเข้าไปหลังเวที
 จุ๊ยนั่งลงแล้วเริ่มต้นถอดแซกโซโฟนออกเป็นชิ้นๆ
 ในขณะที่ฮ้อยก็เก็บชีทโน้ตใส่แฟ้มให้เรียบร้อย
 สรรค์เดินเข้ามาแล้วก็นั่งลงข้างสามหนุ่ม
 “พี่ มีงานใหญ่  วงร๊อกต่างประเทศเขาจะมาแสดงเมืองไทย เขาต้องการวงไปเล่นเปิดการแสดง  ตอนแรกพี่เขาก็เสนอไปหลายวง แต่เขารีเควสมาเองเลย  เขาบอกว่าอยากได้จุ๊ย เพราะอยากฟังจุ๊ยเล่นแซก  นักร้องเขาเคยมามาเมืองไทยเป็นการส่วนตัวแล้ว เขาบอกว่าเคยเห็นจุ๊ยเล่นในงานอีเวนท์สมัย เป็น The Quartet พี่เลยเอาเทปพวกเราให้เขาดู เขาเลยโอเคทันที”
 สามหนุ่มหันมองหน้ากัน
 “จริงเหรอพี่” ฮ้อยเสียงสูงทันใด
 “วงอะไรครับ” อ๊อดถาม
 พอบอกชื่อวงสามหนุ่มก็ร้องโอ้โห
 “งานหนักเลยนะนั่น” จุ๊ยบอกออกมา เพราะวงนี้เป็นวงดนตรีระดับตำนานวงหนึ่ง
 แต่ดูเหมือนสองเพื่อนกำลังดีใจจนเนื้อเต้น
 “ขอบคุณครับพี่” อ๊อดดีใจจนเผลอกอดเอวพี่สรรค์  สรรค์ก็โอบตอบ
 ฮ้อยหุบยิ้มเกือบทันที หันไปมองหน้าจุ๊ย  แต่จุ๊ยไม่ได้ว่าอะไรค่อยๆเก็บแซกโซโฟนของเขา พยายามจะไม่ใส่ใจกับภาพที่ได้เห็น

จุ๊ย กับอาราอิต้องวนรถหลายรอบกว่าจะหาที่จอดได้  เพราะเปิดเรียนวันแรก  มีนักศึกษาใหม่ที่พ่อแม่ยังเห่อมาส่งอยู่  ดังนั้นเขาจึงต้องเดินเข้ามหาวิทยาลัยฝั่ง  ใกล้กับคณะที่อาราอิเรียน
“หล่วส่งไลน์มาบอกว่าจะกลับมาช่วงคริสมาสต์” จุ๊ยบอกกับอาราอิตามตรง
อาราอิตอบแค่คำว่าอืมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร  จุ๊ยก็เลยไม่กล้าถามต่อ  แต่พอถึงหน้าตึก  อาราอิกลับพูดออกมาเอง
 “ทุกอย่างอยู่ ที่จุ๊ยตัดสินใจ  ถ้าหากจุ๊ยเลือกยังไง  ฉันก็ทำตามจุ๊ยบอก  สำหรับฉันเราสองคนเหมือนยังไม่มีทางออกจากปัญหาของเราทั้งคู่  ของฉันอาจเหมือนจะชัดเจนกว่าที่เราแต่งงานกัน  แต่ความสัมพันธ์ของเราก็ชัดเจนเช่นกัน  แต่จุ๊ยต่างหาก  ความสัมพันธ์กับเธอไม่ชัดเจน  ตรงนี้จุ๊ยต้องจัดการเอง  และเลือกเอง” อาราอิกล่าวมองสบตากับจุ๊ย
 “ถึง ยังไง ฉันก็ต้องฟังนาย เพราะนายเท่านั้นที่ตัดสินได้  ถ้าคำตอบคือใช่ ฉันก็จะดีใจ  แต่ถ้าไม่  ฉันก็อยากจะบอกว่า ฉันจะเสียใจมาเช่นกัน  แต่ฉันก็ไปแต่โดยดี  เพราะนี่คือการติดสินจากนาย  แต่ขออย่างเดียวอย่าให้มันยืดเยื้อ  เพราะมันจะทำร้ายฉันและนาย แล้วก็เธอด้วย”
 “อย่าฆ่าฉันด้วยความไม่ชัดเจน  ฉันยอมโดนฆ่าเพราะจุ๊ยชัดเจนกับเธอมากกว่า” อาราอิปิดประโยคสุดท้ายที่หนักแน่น

สิ่งที่จุ๊ยอยากทำตอนนี้คือสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต่อหน้าคนอื่น  ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้อาราอิเดินขึ้นตึกไป
 จุ๊ยอยากจะกอดอาราอิเหลือเกินในตอนนี้
 เขาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายออกก่อนจะหันเดินไปตึกเรียนของตัวเอง 
หากเดินไปไม่เท่าไหร่  ก็เห็นรถที่คุ้นตามาจอด
 “เอ้าค่อยๆ” อัศวะบอกตอนที่ลงจากฝั่งตัวเองแล้วมาเปิดประตูให้เดฟ
 “รู้แล้วคร๊าบพ่อ แหม่ทำอย่างเดฟเป็นเด็กเลยนะ” เดฟว่า  แล้วก็เกาะไหล่อัศวะเพื่อยืนขึ้น
แล้วอัศวะก็เดินกำกับเดฟที่ใช้ไม้คำยันมาจนถึงฟุตบาท แต่พอเห็นจุ๊ยมารับช่วงต่อเขาก็บอก
 “งั้นกูเอารถไปจอดก่อน  มึงช่วยพาเมียมึงไปหาที่นั่งก่อน เดี่ยวกูมา”แล้วก็เดินกลับไปที่รถ
 จุ๊ยทำหน้าผงะกับคำว่าเมีย
 “ไอ้สัตว์เมียมึงนั่นหละไอ้อัส  มายัดให้กู  กินตับกันป๊าบๆสองคน  แข้งขาหักก็ไม่ได้เว้น เสือกมายัดกูเป็นผัว” จุ๊ยบ่นไล่หลังไป

 “ไม่ใช่นะครับจุ๊ยผมเป็นผัวอัสต่างหาก” เดฟแย้ง
 แล้วก็กอดคอจุ๊ย ยิ้มอย่างเจ้าชู้

“แต่ถ้าเป็นจุ๊ยผมยอมเป็นเมียก็ได้นะครับ”
 “โหไอ้หอก” จุ๊ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้ 
 “ประเดี่ยวก็ปล่อยแม่งไว้ตรงนี้เลยนี่”
“ตกลงมึงสองคนก็กลับมาคบกัน” จุ๊ยกล่าวเมื่อเดฟนั่งลงที่ม้านั้งยาวในสวนหย่อมของตึกเรียน
เดฟเอาไม้เท้าพิงไว้
 “ก็คงต้องตามนั้น  ผมทำใจไม่ได้จริงน่ะจุ๊ย  ยังไงผมก็หลงไปรักเพื่อนของจุ๊ยเสียแล้ว”
 จุ๊ยพยักหน้าเงิ่ดๆ
 “แล้วมันจะเอายังไงเรื่องงานเพลง  เรื่องพ่อมันอีกล่ะ  พวกมึงได้คิดกันหรือยัง”
 เดฟส่ายหน้า  แววตาเศร้าลงนิดหน่อย
 “ก็คงต้องให้วันพรุ่งนี้ตัดสินครับ” เดฟยืมคำพูดของจุ๊ยตอบ
 “เราก็แค่รอให้มันมาถึง  แล้วเราค่อยคิดว่าเราจะทำยังไง  เพราะตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
 จุ๊ยมองหน้าเดฟก่อนจะตบบ่า
 “เอาเหอะวะ สู้ๆกูจะคอยเอาใจช่วย”
 แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างแจ่มใส  รอยยิ้มที่อย่างไรก็ตามยังทำให้เดฟใจเต้นแรงได้เสมอ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 71 : แซกโซโฟนตัวไหม่ ของขวัญจากอาจารย์ถนอม
จุ๊ย เดิมถึงตึกคณะ ก็เห็นสาวๆทั้งหญิงสาวและเกย์สาวกลุ่มใหญ่ทั้งปีสองและปีสามกำลังนั่งรุม เด็กหนุ่มผิวขาวจัดอยู่คนเดียว  ซึ่งพอคงจะโดนแซวหนักก็เลยเขินจนหน้าแดงระเรื่อเห็นแต่ไกล
จุ๊ยส่ายหัวแต่ก็อมยิ้ม  แล้วเดินเข้าทำท่าโบกไล่ทั้งสองมือ
“หุยๆหุย”
“อะไรไอ้จุ๊ย  ฉันไม่ใช่ควาย” เกย์สาว ร่วมคณะเรียนเอกดนตรีไทย ชื่อหนูหมิวลุกขึ้นท้าวสะเอว
จุ๊ยแทรกตัวลงมานั่งข้างวาทิต
“อ้าวก็ยังไม่ได้บอกสักคำ  แค่ร้อยหุยๆหุย”
“อีนี่” หนูหมิวชี้หน้า
“ทำเป็นหวงอีกละ  ตัวเองไม่ใช่น้องอู๊ดสักหน่อย  จะหวงอะไร” แหวนว่า
“ฉันก็เห็นว่าน้องเขาน่ารักดี  เลยมาแซวเล่นๆ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะเข้ามาหยิกแก้วนวลของวาทิต
จุ๊ยเอาหนังสือปัด
“เฮ้ย  เดี่ยวช้ำหมด... อยากได้เอาสินสอดทองหมั้นมาขอ  ไม่อย่างนั้นไม่ก็อย่ามาแตะ”
วาทิตมองหน้าจุ๊ย   เพราะตอนนี้จุ๊ยโอบไหล่เขาไว้อย่างกับแม่ไก่ปกป้องลูกเจี๊ยบ
“ฉันว่าแกไปขอจากไอ้ลูกศิษย์แกดีกว่า  นั่นมาโน่นแล้ว” หนูหมิวชี้

จุ๊ยหันไป เห็นอุ๊ดเดินฉับๆมาแต่ไกล หน้าตาบ่งบอกว่าไม่พอใจ
จุ๊ยก็เลยแกล้งโอบกระชับขึ้น  แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิรอรับการมาถึง  ในขณะที่สาวๆเริ่มทยอยถอยออกไป
“วามานี่” อู๊ดมาถึงก็จะดึงวาทิตลุกขึ้น  แต่จุ๊ยกอดแน่นรั้งเอาไว้
“เฮ้ยๆอะไร  มึงมาช้าเอง กูมาถึงก่อนก็ต้องได้ก่อนสิวะ”
อู๊ดยังจับมือวาทิตอยู่
“เฮ้ยพี่จุ๊ยอะไรว๊า  ไหนรับปากว่าจะเลิกหลีวา”
“กูก็ไม่ได้หลี  แต่กูกอด  น้องกู กูก็กอดได้” แล้วก็กอดสองมือเลย
“จะหอมยังได้” แล้วก็หอมจริงๆด้วย
สาวที่ยังลอบดูอยู่สงเสียงกรี๊ดกร๊าด
“ไอ้พี่จุ๊ย” อู๊ดเสียงเขียว
แต่จุ๊ยยังคงกอดไม่ปล่อย  ตอนนี้วาทิตหน้าแดงแจ๋ยิ่งกว่าตอนแรกอีก
“นายนทีธาร” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง  จุ๊ยจำได้ว่าเป็นอาจารย์จินไตรที่สอนวิชาดนตรีคลาสซิคจึงรีบปล่อยตัววาทิตแล้วลุกขึ้น
“ทำอะไรอยู่  มานี่กับอาจารย์หน่อยสิ” อาจารย์รับไหว้ของเหล่านักศึกษาก่อนจะพูด
แต่พอพูดจบก็หันหลังเดินไป
จุ๊ยหันมามองหน้าอู๊ดที่ลงไปนั่งกอดวาทิตแทนแล้วทำแล่บลิ้นหลอก  ส่วนวาทิตยังหน้าแดงอยู่มองจุ๊ยอย่างเขินๆ
“ฝากไว้ก่อนเหอะมึงอย่างเผลอนะ  กูจะดูดปากโชว์เลยคอยดู” จุ๊ยว่าแล้วก็รีบเดินตามอาจารย์ไป
อู๊ดทำลอยหน้าลอยตา  แต่พอจุ๊ยเดินพ้นไป ก็หันมาดุวาทิต
“นี่ไงพี่ก็บอกแล้วว่าให้รอพี่มาก่อน  แล้วเป็นไง  โดนสาวๆแกล้ง เราน่ะ น่าตาน่ารัก ใครเห็นก็อยากจะแกล้งทั้งนั้น”
“เฮ้ยๆน้องออสซี่  หวงก็บอกไปเลยว่าหวง” แหวนเดินเข้าแซวก่อนจะเดินไปกับพวกปีสาม
“ออสซี่นี่ใครครับ” วาทิตถาม
“อ้อเปล่า  ไม่มีอะไร” อู๊ดปัดพันละวัน  ก่อนจะเฉไฉเข้าเรื่องตัวเอง
“สาวๆไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พี่จุ๊ยนี่ไม่ได้เด็ดขาด  นี่หล่ะตัวอันตราย  ต่อไปพี่จะไปรับวาทุกวัน  แล้วเราก็มาพร้อมกันเข้าใจไหม”
“แต่ถ้าวันไหนพี่อู๊ดไม่มีเรียน  ผมก็ห้ามมาเรียนด้วยไหมครับ” วาทิตถามกลับ
อู๊ดนิ่ง.. ก่อนจะตีหัวเบาๆสั่งสอน
“นี่แนะ ยอกย้อนแล้วนะ”
อ๊อดเดินมาทันเห็นสองคนหยอกกันพอดี
“เอ้าๆหวานกันเข้าไป นี่มหาลัยไม่ใช่โรงแรมม่านรูด”
อู๊ดหันไปมองหน้า วาทิตก็ยกมือไหว้
“ไม่ต้องไหว้วา” อ๊อดกล่าวแล้วก็เอื้อมมือมากะจะตบไหล่วาทิต  แต่เห็นสายตาหวงก้างของอู๊ตก็ชักกลับ
“ไอ้จุ๊ยล่ะมายัง” อ๊อดถาม
“ไปกับอาจารย์...” วาทิตยกล่าวแล้วมองหน้าอู๊ด
“อาจารย์จินไตรพี่  เห็นบอกว่ามีธุระคุยด้วย” อู๊ดตอบแทน
 
“เมื่อ วานท่านอธิการบอกว่ามีโทรศัพท์จากราชเลขาบอกว่าเจ้าฟ้าท่านมีพระประสงค์ให้ จุ๊ยไปเล่นตอนพักเบรกงานสังสรรค์สมาคมในพระอุปถัมภ์ ให้คณะทูตจากต่างประเทศฟัง” อาจารย์จินไตรกล่าว
“อัน นี้เห็นราชเลขาว่า  ทรงได้จำเธอได้จากการประกวดดนตรี  แล้วมีรับสั่งถามถึงอีก เพราะมีคนไปเล่าถวายว่าเธอเล่นดีกว่าก่อนมาก ก็เลยทรงมีพระประสงค์จะให้เธอเข้าถวายงานรับใช้  ทรงให้คนสนิทไปบันทึกเทปตอนที่เธอไปเล่นในงานอีเว้นท์แล้วด้วย ทรงพอพระทัยมาก”
จุ๊ยรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเพราะดูจะเป็นงานใหญ่เกินตัว
“ทรง ให้เธอฝึกซ้อมเพลงพระราชนิพนต์สองเพลง แล้วเพลงสากลหนึ่งเพลง  เธอต้องส่งรายชื่อมาก่อน  แล้วอาจารย์จะส่งรายชื่อเพลงไปทางสำนักอธิการเพื่อทูลเกล้าถวาย”
อาจารย์จินไตรกล่าวปิด แล้วก็สังเกตหน้าตาลูกศิษย์
“เอาน่า อาจารย์ว่าเธอทำได้  ซ้อมเยอะๆแล้วกัน ทางในวังจะมีนักดนตรีมืออาชีพมาร่วมเล่นกับเธอแล้ว  ถึงเวลาก็ไปซ้อมกับเขาด้วย”
“ครับผม” จุ๊ยตอบเพราะไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านั้น
 
“ได้เล่นถวายตัว” อ๊อดทำเสียงสูง
“ถวายงาน” ฮ้อยแก้ให้
“เออนั้นหล่ะ” อ๊อดว่า
“กูไม่ค่อยมั่นใจเลยวะ งานใหญ่นะนี่  พลาดขึ้นมาทีอับอายไปทั่วโลก” จุ๊ยกล่าวแล้วนั่งชันเข่า
“มึงพูดอย่างนี้ทุกที  แต่มึงก็ทำได้กูเชื่อ” ฮ้อยกล่าวแล้วก็ตบบ่าจุ๊ย
“สู้ๆเว้ย”
 
อาร์ทขมวดคิ้วกับแซกโซโฟนของจุ๊ย
“คือ มันเก่ามากแล้วน่ะ  อันนี้จริงแล้วพ่อไปจับได้โดยบังเอิญ  ประมูลมาแพงมาก  แต่มันก็เก่ามากแล้วด้วยเหมือนกัน  คงซ่อมลำบากแล้วหล่ะ”
“แล้วทำยังไงดีหล่ะครับ  ผมต้องใช้เล่นต่อหน้าพระพักต์อีกสองอาทิตย์นี่แล้ว” จุ๊ยร้อนใจ
“จริงๆแล้วจุ๊ย” อาร์ทมองหน้าจุ๊ย
อาราอิก็มองหน้าจุ๊ย
“จุ๊ยจริงๆก็ถึงเวลานานแล้วล่ะ แต่พี่เห็นจุ๊ยยังมีความสุขดีกับแซกของอาเหม่ย... พี่ก็เลยไม่ได้เอามาให้ดู  รอเดี่ยวนะ”
 
จุ๊ยนั่งลงที่เปียโน  แล้วก็กรีดนิ้วบรรเลงเพลง Barcarolle Op. 60ของ Chopin เสียงของมันแว่วหวานและชวนอาราอิให้รู้สึกราวนั่งอยู่กลางสวนดอกไม้ที่มี ผีเสื้อบนวนเวียน และกลิ่นหอมยวนใจของฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็เหมือนจะไปสู่ความรื่นเริงของงานเทศกาลฤดูร้อนในญี่ปุ่น
แต่ ใจของจุ๊ยนึกไปถึง คำพูดของพ่อของเขาอีกคน  แม่เคยรักกับอาจารย์ถนอม... แล้วเขาก็นึกไปถึงใบหน้าของแม่ยามที่ได้ฟังอาจารย์ถนอมเล่นดนตรีให้ฟังเพื่อ เป็นตัวอย่างสำหรับเขาและพี่ไตร 
คงต้องใช่อย่างนั้นจริงๆ  เพราะแม่ดูมีความสุขทั้งจากเสียงดนตรี  และความสุขจากการได้เห็นอาจารย์ถนอมบรรเลงเพลง
อาร์ทเดินลงมานานแล้ว  พร้อมกับกล่องแซกโซโฟนสองตัว  แต่เขายังยืนรอจุ๊ยให้บรรเลงจนจบ
“ไม่ตกเลยนะ  ฝีมือเนี่ย”
จุ๊ยหันมาโค้งอย่างร่าเริง
“แน่นอนครับ”
 
“แซก สองตัวนี้  พ่อได้มาจากครอบครัวของเพื่อนของท่าน ที่เสียชีวิตลงกะทันหัน ด้วยอาการโรคมาลาเลียหลังจากเดินทางไปแสดงดนตรีที่แอฟริกา  สองตัวนี้ใช้น้อยมาก เพราะซื้อมาก่อนจะเสียไม่นาน  ก็เลยยังใหม่มาก  พ่อกำชับให้พี่ดูแลให้ดี” แล้วก็เปิดกล่องแซกตัวหนึ่ง ในขณะจุ๊ยเปิดอีกตัว
“Selmer Referance 54” จุ๊ยร้องออกมาเสียงหลง เพราะเป็นหนึ่งในสุดยอดแซกโซโฟนในฝันของนักแซกโซโฟนทั่วโลก
“ใช่... เทนเนอร์กับอัลโต้อย่างละตัว” อาร์ทกล่าวทั้งยกคิ้วสูง
จุ๊ยลูบคลำอย่างชื่นชม
“ผมลองดูได้ไหม” จุ๊ยถาม
“ได้สิ” อาร์ทว่า แล้วก็มองรูปของพ่อ
“งั้นพี่ขอเพลง A Whiter Shade of Pale”
 
 
อาร์ทลงกลอนประตูร้านแล้วก็ลากประตูเหล็กลงมาครึ่งหนึ่ง  จากนั้นก็เดินตามสองหนุ่นขึ้นไปบนชั้นสองที่มีห้องซ้อมดนตรี
ห้องนี้เป็นห้องที่จุ๊ยได้รับการถ่ายทอดวิชาดนตรีมาจากอาจารย์ถนอม

จุ๊ยเอาอัลโต้แซกโซโฟนประกอบ  เขาลูบมันอย่างร่าเริงเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่
แต่พอยืนนิ่งเพื่อเริ่มต้นเพลงเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูสงบนิ่งและตั้งใจ  จรดปากแล้วเป่า...
เสียงเสนาะจากแซกโซโฟนราคาเรือนแสน โลดเล่นเป็นบทเพลงยอดนิยมในอดีต ที่เคยถ่ายทอดโดยวง Procol Harum จุ๊ย เล่นด้วยแซกโซโฟนด้วยการเป่าที่พริ้วไหว เทียบได้กับคิง เคอร์ตีส ศิลปินชื่อดังเล่นไว้ที่เล่นอย่างสวยงาม  แล้วพอถึงช่วงสร้อยที่เป็นเสียงสูง แซกโซโฟนนั้นก็ราวจะส่งเสียงออกมาเหมือนกับการเปล่งเสียงจากนักร้องชื่อดัง
“จุ๊ย มีเอกลักษณ์ที่หางเสียงกับความต่อเนื่องในการเป่า  เขามีหางเสียงที่เพราะมากมันจะไหวได้แล้วบาดลึกในอารมณ์  แล้วก็การเป่าที่ไม่มีแทบเหมือนไม่ได้หายใจเลย  ซึ่งตรงนี้ยากมากถ้าเทียบกับอายุของเขา” อาร์ทอธิบาย
“แต่ ตอนนี้เขามีเทคนิคมามากกว่าตอนพี่ฟังเขาครั้งสุดท้ายเยอะมาก...  ตอนนี้พี่กล้าบอกว่าเขาไปไกลกว่าพ่อของพี่ที่เป็นอาจารย์ของเขาเสียอีก”
 “เด็ก คนนี้นับวันก็ยิ่งห่างจากคนอื่นๆไปทุกที  แต่เขาคงไม่รู้ตัวหรอก  เพราะเขาน่ะแค่อยากจะเล่น แล้วก็เล่นไปตามใจอยาก  เขาไม่เคยมีเป้าหมายว่าจะเป็นอะไรยังไง  ขอให้เขาได้เล่นดนตรีก็พอ”
อาราอิหันมองหน้าอาร์ทที่มองจุ๊ยด้วยความยินดี  เหมือนผู้ใหญ่ที่ได้เห็นเด็กที่ตัวเองรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีเติบโตไปอย่างงดงาม
 
“พี่ให้” อาร์ทบอกซ้ำครั้งที่สอง เพราะจุ๊ยทำหน้าไม่เชื่อ
“พี่ให้จริงๆ”
“ล้อเล่นน่าพี่ ผมไม่กล้ารับหรอก  สองตัวนี่ซื้อรถได้คันนึงเลยนะพี่” จุ๊ยสั่นหัวแล้ว  เอามือออกจากลูบคลำ
“นี่ คือคำสั่งเสียของอาจารย์ของจุ๊ย  เขาบอกว่าถ้าพี่จะเก็บไว้ ให้พี่เอาเล่นเก่งพอจะแข่งกับจุ๊ยให้ได้ก่อน  แต่พี่ไม่มีปัญญาอยู่แล้ว  ยังไงพี่ก็ต้องให้จุ๊ย” อาร์ทว่า
“จริงๆแล้วเขาจะให้จุ๊ยกับไตรคนละตัว  แต่บังเอิญไตรตายไปแล้ว ก็เหลือจุ๊ยเป็นคนรับมรดกคนเดียว”
“พ่อ น่ะ บอกว่าวันไหนถ้าจุ๊ยคู่ควรแล้วค่อยให้  แต่พี่เห็นว่าจุ๊ยน่ะคู่ควรมานานแล้ว  แต่พี่ก็ยังอยากดูจุ๊ยไปอีกระยะ  ตอนนี้พี่คงไม่มีข้ออ้างจะเก็บไว้แล้วล่ะนะ” แล้วพี่อาร์ทก็วางมือบนไหล่ของจุ๊ย
“จุ๊ย เป็นศิษย์เอกของพ่อ  ตอนที่จุ๊ยบอกชอบคุณพ่อออกทีวีตอนรับรางวัลชนะเลิศประเทศไทย  นั้นก็ครั้งหนึ่งแล้ว  แต่พี่อยากให้จุ๊ยเอาแซกสองตัวนี้ไป ทำให้ชื่อของพ่อกลับไปอยู่ในเวทีระดับโลกอีกครั้ง  อันนี้พี่แน่ใจว่าจ๊ยต้องทำได้แน่นอน”
จุ๊ยมองหน้าอาร์ทที่มองเขาอย่างมาดมั่น
“ครับผม  ผมจะทำให้ได้ครับ”
 
ปกรณ์กับจินไตรนั่งฟังจุ๊ยบรรเลงเพลงพระราชนิพนต์อย่างต่อเนื่องสองเพลงโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยด้วยเทนเนอร์แซกโซโฟน
“นี่มัน  Selmer Reference 54 ใช่ไหม” อาจารย์ปกรณ์สังเกตแซกโซโฟนของจุ๊ย
“ครับ  ผมเห็นตั้งแต่ตอนเอามาประกอบ  เขาบอกว่าอาจารย์ของเขา คุณถนอมเก็บไว้ให้เขา แล้วลูกชายพึ่งเอามาให้”   อาจารย์จินไตรตอบ
“อ้อนายอาร์ทน่ะเหรอ” ปกรณ์กล่าว
“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยเหรอครับ” จินไตรถามตามข้อสังเกต
“ครับ  เขาเป็นรุ่นพี่ผม  เขาเก่งมากเลย  ผมน่ะยอมแพ้เลย   แล้วยิ่งมาเจอนายจุ๊ย  ยิ่งรู้สึกเลยว่าตัวเองยังห่างไกลจากพี่ถนอมมาก” ปกรณ์ยอมรับความจริง
“แต่มันก็เกี่ยวกับตัวเด็กด้วยหล่ะครับ  เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ  ผมว่าเราเอาเขาไว้ไม่อยู่แล้วนะครับ  เขาไปไกลมาก”
จินไตรกล่าว
ปกรณ์ถอนหายใจ
“ก็ ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะเข้าทดสอบปลายปีนี้เท่านั้นล่ะครับ  เพราะถ้าไม่เข้าอีก  ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง  เสียดายมาก  ความสามารถระดับนี้  ผมเสียดายจริงๆถ้าเขาไม่ได้ไปยืนในระดับโลก”
 
วาทิต ได้ยินจากพวกเพื่อนๆว่าเฮียจุ๊ยกำลังซ้อมแซกโซโฟนกับพวกอาจารย์จึงรีบเข้าไป ชมในห้องซ้อมดนตรี  พอเปิดเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่นั่งอยู่ เพราะส่วนใหญ่ได้ยินชื่อของเฮียจุ๊ยมาจากที่ต่างๆ ก็เลยมาขอร้องให้ได้เข้าไปชม
“วาๆ” อ๊อดเรียก 
วาทิตเลยเดินก้มๆผ่านเพื่อนๆไปนั่งกับอ๊อดและฮ้อย
“มันกำลังจะเล่น  Adagio et Rondo” อ๊อดบอก
“ดูไว้นะ  แล้วพยายามจำเทคนิค  เพราะวาเป็นศิษย์เอกของจุ๊ย  น่าจะพอทำตามมันได้บ้างหละ”
“ศิษย์เอกคือพี่อู๊ดต่างหาก  เห็นอย่างนี้พี่เขาชอบเอาวีดีโอของเฮียมาดูแล้วลองเป่า” วาทิตตอบเสียงเบาๆ
จินไตรเก่งด้านเปียโน เขาจึงนั่งแท่นเป็นผู้บรรเลงคู่กับจุ๊ยในบทเพลงคลาสสิกระดับโลก Adagio et Rondo, Opus 63ที่ประพันธ์โดย Jean-Baptiste Singelée
จุ๊ยพอเห็นวาทิตเข้ามาก็หันมายิ้ม  แล้วยกแซกโซโฟนเชิงบอกให้ดูให้ดี
พอ อาจารย์จินไตรเริ่มบรรเลง  จุ๊ยก็รอ จนได้จังหวะแล้วก็เริ่มต้นเป่าออกไป  ที่จริงก็ไม่ใช่เพลงยากอะไร  แต่พอเป็นจุ๊ยเป่าแล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป  เสียงแซกโซโฟนของจุ๊ยทำให้เด็กปีหนึ่งถึงกับอ้าปากค้างไปหลายคน  มันลื่นไหลอย่างไม่น่าเชื่อ  แถมยังมีปลายเสียงที่กินใจอย่างประหลาด  ความต่อเนื่องความแม่นยำในตัวโน้ต  มันคือความลงตัวที่ทำให้คนฟังถูกสะกดไปอย่างช่วยไม่ได้ 
“พอจับเทคนิคไหวไหมวา” อ๊อดกระซิบ
วาทิตไม่ตอบในทีแรกเพราะกำลังตะลึง
ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ
“ไม่ไหวหรอกพี่  มันไม่รู้จะจับอะไรดี  มันดีเกินไปน่ะพี่ ตามไม่ทันจริงๆ”
 
อาราอิมารออยู่ใต้ตึกเพราะเขารู้สึกว่าไม่เหมาะจะขึ้นไปหาจุ๊ยด้วยตัวเอง
พอจุ๊ยถือกล่องแซกโซโฟนตัวใหม่เดินลงมา ก็ลุกขึ้นไปช่วยถือ
ฮ้อยก็แซว
“แหม่รีบมาเลยนะ กลัวเมียเหนื่อยหรือไง”
จุ๊ยจึงตบหัวผลั๊กไปทีหนึ่ง
อ๊อดเดินตามลงมาที่หลัง โดยคุยโทรศัพท์กับคนที่น่าจะเป็นสรรค์
เขาโบกมือให้ก่อนจะเดินไป
อาราอิมองตามไปแล้วก็หันหาจุ๊ยที่ก็มองตามไปเหมือนกัน
“ตกลงก็ไม่ได้บอกใช่ไหม”
จุ๊ยพยักหน้าช้าๆ
“พูดไม่ออกว่ะ” ฮ้อยกล่าว
“เห็นมันก็มีความสุขดีนี่ เผลอๆลืมแล้วมั๊งว่าเคยรู้สึกยังไงกับเมือง”
จุ๊ยสูดลมหายใจลึกๆ
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น  กูไม่อยากเห็นมันเสียใจ  เมืองเองคงไม่อยาก”
โทรศัพท์ที่จุ๊ยเปลี่ยนระบบสั่นไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหวจากช่องเก็บของด้านหน้าของกล่องแซกโซโฟน
อาราอิจึงยกสูงขึ้นให้จุ๊ยล้วงออกมารับ

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 72 : ไวโอลีนร้องไห้..
ในร้านอาหารราคาแพงในห้างกลางเมือง  อ๊อดมองอาหารนิ่งๆ จนสรรค์ต้องถามว่า
“ไม่หิวเหรอ” สรรค์กล่าว
“ของชอบทั้งนั้นเลยนี่”
อ๊อดจึงตื่นตัวแล้วก็ยิ้มออกมา เมื่อสักครู่ตอนได้เห็นอาหารเขาคิดไปถึงอาหารถุงง่ายๆที่เคยจัดเรียงบนโต๊ะในห้องอพาร์ทเม้นท์..

“อ้อไม่ใช่ครับ”  แล้วเขาก็ลงมือกิน
“เอ่อเดี่ยวกันเสร็จพี่ว่าจะไปเยี่ยมญาติของพี่หน่อย  เห็นว่าอาการหนักมาก  เดี่ยวอ๊อดก็ไปด้วยกันนะ”
อ๊อด จำได้ว่าคนที่ว่าคือคนที่สรรค์บอกว่าแนะนำอ๊อดให้กับสรรค์ได้รู้จัก  แต่จนป่านนี้ด้วยข้ออ้างที่ว่าเคยไม่ถูกกันอย่างรุนแรงทำให้สรรค์ยังไม่ยอม บอกว่าเป็นใคร
“พอเจอกันก็อโหสิต่อกันนะ  อย่าให้เรื่องเก่าๆมันค้างคาใจ” สรรค์กล่าว
 
พอไปถึงโรงพยาบาลสรรค์ก็ถามจากพยาบาลแต่ข้อมูลทำให้ตกใจ
“คนไข้เสียชีวิตแล้วค่ะ  ตอนนี้อยู่ที่ห้องดับจิตแล้ว”
ทั้ง คู่เลยมาที่ห้องดับจิต  อ๊อดรู้สึกแปลกๆในหัวใจ  เขากลัวอย่างไรพิกล  ไม่ใช่เพราะกลัวการไปห้องดับจิต  แต่ทุกก้าวที่ย่างไปเหมือนกับหัวใจมันกำลังจะบอกอะไรเขา  มันเต้นแรงอย่างผิดปกติ
ที่หน้าห้องมีจุ๊ย อ็อย และอาราอิ
“อ้าวทำไมมากันหมดเลย  แสดงว่าสนิทกันอย่างนั้นใช่ไหม” สรรค์หันมาถามกับอ๊อด
อ๊อดไม่ตอบ  เขาเดินไปยืนตรงหน้าจุ๊ย
“อ๊อดมึงควรจะเข้าไปดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย  แต่ถ้ามึงจะไม่เข้าไปกูก็ไม่ว่าหรอก” จุ๊ยกล่าวแต่ก็หลบสายตาอ๊อด
 
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงซูบซีด  ผิวที่ขาวอยู่แล้วจึงซีดเป็นกระดาษ  ใบหน้าซูบซีดนั้นสงบนิ่ง
อ๊อดยืนคู่กับสรรค์
“กล่าวอโหสิกรรมกันสิ  แล้วถ้าโกรธอะไรกันก็เลิกแล้วต่อกันนะ”
อ๊อดไม่พูดสักคำ  เขาหันหลังออกมาจากห้องนั้น
“ผมกลับก่อนนะพี่  ผมง่วงนอน”
 
งาน ศพเมืองฟ้าผ่านไปแล้วสามวัน  จุ๊ยเองแม้จะไปทุกวันแต่ก็ไม่ได้กล้าเอ่ยปากอะไรกับอ๊อดที่ไม่ได้ไปเลย  เขาเหมือนเป็นปกติและทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มันอะไรของมัน” ฮ้อยถามออกมาตอนมองอ๊อดกำลังสนทนากับพวกหน่องอย่างร่าเริง
“มันไม่เสียใจอะไรเลยหรือไงวะ”
“มึงเอาเทปที่เมืองเขาขอโทษ มัมไปหรือยัง”
“เปิดให้มันฟังเลย  บังคับด้วย  แต่มันไม่ได้พูดอะไร” จุ๊ยถอนหายใจชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง
“แต่ กูว่านะ  มันแปลกๆ  มันน่าจะพูดอะไรบ้าง มันน่าจะแสดงอาการอะไรบ้าง  นี่มันผ่านมาไม่เท่าไหร่เองนะ  แล้วมันจะไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆเหรอ  แต่ที่มันทำมันเย็นชาเกินไป  จะว่าโกรธก็ไม่ใช่  อะไรของมันกูก็งง”
แต่สักครู่ สิทธิก็เดินมาถึง  แต่เดินผ่านไปยังตรงที่อ๊อดนั่งอยู่
“พี่อ๊อดผมขอคุยด้วยหน่อยสิ”
 จุ๊ยกับฮ้อยมองหน้ากัน
 
“ผมขอร้อง  ผมแค่อยากให้พี่ไปเล่นไวโอลีนหน้าศพพี่เมืองเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง” สิทธิแทบจะคุกเข่าอยู่แล้วตอนที่พูดประโยคนั้น
“ก็ให้จุ๊ยมันเล่นสิ  ไวโอลีนของจุ๊ยมันก็ไม่ต่างกับฉันหรอก  มันเก่งนะ” อ๊อดตอบ แล้วหันไปมองทางอื่น
“พี่ใจร้ายมาก” สิทธิกล่าวออกมามองอ๊อดอย่างเจ็บปวดใจ
“พี่เมืองทำเพื่อพี่ทั้งนั้น  พี่จะคิดว่าพี่เขาโกหกพี่ หลอกพี่ หรืออะไรก็ตาม  แต่ผมอยากจะบอกว่าเพราะพี่เขารักพี่มากพี่เขาถึงได้ทำอย่างนั้น”
อ๊อดเงียบไปนาน
แล้วหันมา
“เขารักนายมากกว่า..” อ๊อดกล่าวเสียงที่ระคนด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“ถ้า เขารักฉัน ทำไมในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาไม่ให้ฉันดูแล  ทำไมเขาไม่บอกลาฉันด้วยตัวเอง  ทำไมเขาถึงทิ้งฉันไปอย่างนั้น  ทำไมเขาต้องทำอย่างนี้  ทำไมล่ะนายช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อย”
“ในเมื่อเขาต้องการแบบนี้  แปลว่าเขาก็อาจไม่ได้ต้องการให้ฉันไปเล่นจริงๆ  แล้วมีประโยชน์อะไรที่ฉันไป  ให้ไอ้จุ๊ยไปก็แล้วกัน”
แล้ว เขาก็เดินผ่านหน้าสิทธิที่ยืนนิ่งไร้คำตอบหรือเสียงท้วงติง  และผ่านจุ๊ยกับฮ้อยที่ตามมาดูเหตุการณ์  โดยเพื่อนทั้งสองก็ไม่กล้าจะหยุดยั้งเขาไว้
 
ในงานศพของเมืองฟ้า  มีญาติและเพื่อนของเมืองฟ้ามาหลายคนโดยเฉพาะแก๊งค์เกย์สาวที่เคยสนิทกันมา กันเกือบครบ เดฟก็ยังมาทั้งที่ขายังพันผ้าโดยมีอัศวะตามมาด้วย 
ฮ้อยจัดการจูนเสียงคีย์บอร์ด  แล้วก็หันไปมองจุ๊ยที่ไม่ได้ถือไวโอลีนแต่เป็นฟรุ๊ต
“ถ้ามันไม่มาล่ะจุ๊ย” ฮ้อยถาม
จุ๊ยไม่ได้ตอบ  แต่หันไปมองอาราอิที่ยืนอยู่ตรงแถวด้านนอกพื้นที่ฌาปนสถาน เขาส่ายหน้าแสดงว่ายังไม่มีวี่แวว
“มันต้องมากูเชื่อ  มันไม่ได้ใจแข็งขนาดนั้น”
สิทธิมองรูปเมืองฟ้า  แล้วหันไปหาสรรค์พี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ  สรรค์ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น 
มัคนายกเดินเขามาสอบถามกับมารดาและบิดาของเมืองฟ้า  เหมือนเธอจะตอบว่าพร้อมแล้ว
ตอนนั้นจุ๊ยชักใจแป๋ว เพราะแปลว่าเขากำลังต้องเล่น
แต่แล้วอาราอิก็แสดงอาการตื่นตัว  โบกมือบอกจุ๊ย
อ๊อดในชุดสีขาวล้วนเดินมาพร้อมกับไวโอลีนของเขา  เขาไม่ได้พูดกับอาราอิตอนเดินผ่านมายืนข้างๆจุ๊ย
เขาหันไปมองฮ้อย  ก่อนจะหันไปสบตาจุ๊ยแล้วก็ตั้งท่าพร้อม หนีบไวโอลีนตัวเอกเอาไว้ด้วยคาง หันไปหารูปของเมืองฟ้า
แล้วเขาก็เริ่มต้นสีเพลงที่ทำให้เขาได้พูดคุยกับเมืองฟ้าเป็นครั้งแรก
Sad Romance ของ Ji Pyeongkeyon..
เสียงไวโอลีนนั้นยิ่งทำให้บทเพลงที่ประพันธ์อย่างเศร้าสร้อยอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ มันเศร้าไปมากกว่าเดิม  เสียงของมันพริ้วไหวและคล้ายกับการครวญสะอื้นของสายลมที่อยู่รอบตัว
“เราพึ่งย้ายมาน่ะ”
“ทำไม อ๊อดเศร้าจังเลย คือเมืองอาจเล่นดนตรีสากลไม่เป็นนะ แต่ชอบฟังมากๆ  โดยเฉพาะไวโอลิน  แต่เสียงไวโอลินของอ๊อด เมืองว่ามันเศร้าจัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“โอ๊ยแล้วจะเสียใจทำไมเนี่ย... ได้ที่สองจากคนเป็นร้อยก็เก่งจะแย่แล้ว”
“อ๊อด บางอย่างมันไม่ต้องมีเหตุผลหรอก  เราก็แค่ทำตามหัวใจของเรา  เราอยากเป็นอะไร หรือไม่อยากเป็นอะไร  มันอยุ่ที่ตัวเราตัดสินใจไม่ใช่เหรอ... ในโลกของเมืองไม่มีพระเจ้ากำหนด  แม่บอกว่าเราเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด”
“สำหรับเมือง... เมืองไม่อยากรู้ว่ามันผิดหรือถูกแต่ เมืองแค่อยากจะอยู่ใกล้คนที่เรารักเท่านั้นเอง”
แล้วน้ำตาก็อาบลงมาอย่างห้ามไม่ได้  ในม่านน้ำตา อ๊อดคล้ายจะเห็นเทวดาตัวน้อยของเขา  เทวดาที่ยืนเคียงข้างเขาในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่อัดอั้นตันใจ  เทวดาดูแลเขาด้วยความรักตลอดมา และเทวดาที่โอบกอดเขาอย่างอ่อนโยนในคืนที่เหน็บหนาว
สรรค์เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาได้จากในระยะไกล  น้ำตานั้นมาจากความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้งแน่นอนที่สุด
“สิทธิ  เมืองไม่ใช่แค่เพื่อนของอ๊อดใช่ไหม...” เขาหันมาถามกับน้องชาย
เสียงไวโอลีนท่อนสุดท้ายหวีดขึ้นกรีดความรู้สึก  แล้วอ๊อดก็ทิ้งกายลงกับพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
จุ๊ยส่งฟรุ๊ตให้อาราอิ  แล้วก็นั่งลงพอเขาวางมือบนบ่า  อ๊อดก็กอดเขาไว้แน่น
“ทำไม จุ๊ย ทำไมเมืองทำแบบนี้กับกู  กูรักเขามากเลยมึงรู้ไหม  ทำไมเขาไม่ให้กูดูแลเขานาทีสุดท้าย  ทำไมเขาไม่ให้กูได้บอกลาเขา  ทำไมล่ะจุ๊ย  ทำไมเขาต้องทำกับกูแบบนี้  กูไม่ใช่สิ่งของจุ๊ย  กูเป็นคน คนที่รักเขา.. ทำไมเขาทำกับกูแบบนี้”
จุ๊ยมองหน้าฮ้อยที่ย่อเข่าลงมาข้างๆ ก่อนเขาจะตอบออกไป
“แล้ว ถ้ามึงได้อยู่จริงๆ  มึงทำได้ไหมล่ะที่จะส่งเขาด้วยรอยยิ้ม มึงทำได้ไหมที่จะปล่อยเขาโดยดีโดยไม่พยายามรั้งเขาไว้ทั้งที่รั้งไม่ได้  มึงทำได้หรือเปล่า” จุ๊ยกล่าว
“เมือง รักมึงมากอ๊อด  สิ่งที่เมืองทำอาจแปลกๆ  แต่เขารักมึงมากจนไม่รู้จะทำยังไง  แล้วเขาก็เป็นห่วงมึงมาก  ด้วยหัวใจที่อ่อนแอของเขา  แต่เขากลับกลั่นใจทำในสิ่งทีเขาเจ็บปวดที่สุด" 
"มึงคิดว่าเขาทำได้เพราะอะไรหล่ะ  นี่มันไม่ใช่ความใจร้ายนะอ๊อด  แต่เขาทำเพราะเขาเป็นห่วงมึง  และเขาทำเพราะเขาทนเห็นมึงเสียใจไม่ได้  เขาทนที่จะจากมึงไปทั้งที่มึงกำลังร้องไห้ครำครวญไม่ได้”
“ทั้งหมด มันคือะไร มันคือความรักที่เสียสละไม่ใช่เหรอ... ความรักของคนที่อยากให้มึงมีความสุขที่สุดในชีวิตของเขาไม่ใช่เหรออ๊อด”
อาราอิต้องเบือนหนีไปจากภาพนั้น  เขามองขึ้นฟ้าเพื่อไม่ให้น้ำตาตัวเองไหลออกมา
ความเสียสละอย่างนั้นหรือ  นี่คือรูปแบบหนึ่งของความรักที่เสียสละใช่หรือไม่...
เพราะ รู้ว่าไม่อาจเคียงข้าง  จึงทนเห็นเขาไปกับคนอื่น  เพราะรู้ว่าไม่อาจจากไปโดยต้องเห็นคนรักต้องเสียใจ  ก็เลยยอมทนจากไปอย่างเดียวดาย ตายไปในความเงียบงันที่เจ็บปวด...
อย่างนี้เรียกว่าอะไร...  ใช่ความรัก หรือไม่
ความรักมีคำจำกัดความหลากหลาย  หลากหลายเกินไปจริงๆ
 
หลังจากเหตุการณ์ในวันเผาศพเมืองฟ้า  อ๊อดก็ซึมเศร้าไปหลายวัน นานเกือบเป็นเดือน   
จากที่อ๊อดเล่า สรรค์เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด  แต่ก็ยังยืนยันว่าความรักของเขาไม่ได้เกิดอย่างฉาบฉวย  เขาก็รักอ๊อดจริงๆตั้งแต่แรกเห็น  แต่ก็เข้าใจอ๊อด  และยินดีจะปล่อยถอยออกมาให้อ๊อดได้ใช้เวลากับตัวเอง 
ฮ้อยก็เลยให้อ๊อดย้ายมาอยู่กับเขาเป็นการชั่วคราว  ซึ่งจะอยู่ไปเลยก็ได้  เพราะยังไงเขาก็อยู่คนเดียว  แต่ทั้งนี้ก็มอบให้เป็นการตัดสินจากอ๊อด ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต
และแม้สรรค์จะทิ้งระยะห่างกับอ๊อด  เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้ง The Trio Tenders แต่ยังส่งงานดีๆให้มากกว่าเดิม  จนจุ๊ยแอบได้ยินวงอื่นที่อยู่ในการดูแลของสรรค์เหมือนกันบ่นว่าน้อยใจ
ดังนั้นในความรู้สึกของจุ๊ย  บางทีเมืองฟ้าอาจไม่ได้คิดผิด  เขาเป็นญาติกับพี่สรรค์เขาคงเลือกแล้วว่าใครกันแน่ที่จะดูแลอ๊อดที่เขารัก ต่อไปได้

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 73 : เพื่อนบ้านใหม่ชื่อปาล์ม
ฮ้อยพึ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย และพึ่งจะจอดรถในช่องจอดประจำ  วันนี้เป็นวันที่เขากับสองสหายสนิทไม่ได้เรียนด้วยกัน เนื่องจากฮ้อยมุ่งจะไปสายจะเป็นนักแต่งเพลงมากกว่านักดนตรีของจุ๊ยกับฮ้อย ก็เลยเลือกวิชาเรียนที่แตกต่างกันไป
แต่ระหว่านั้น  เขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งลากกระเป๋าล้อเลื่อนมาด้วยมือข้างหนึ่งอีกข้าง ถือของพะรุงพะรัง  แล้วของชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงมา  เธอใส่กระโปรงแคบก็เลยลำบากกับการจะหยิบ แถมข้าวของก็มากพออยู่แล้ว  ฮ้อยก็เลยเดินเข้าไปหยิบให้
แม้แว่บแรกจะเห็นเป็นผู้หญิงแต่ถ้าพิจารณาดีๆ  เธอเป็นผู้หญิงข้ามเพศแน่นอนที่สุด
“ขอบคุณค่ะน้อง” เธอกล่าวแล้วก็ย่อตัวลงนิดหนึ่งให้ฮ้อยเอาของวางไว้บนสุด
หากเดินไปได้นิดหน่อยมันก็หล่นลงมาอีก
“ผมช่วยพี่ดีกว่า พี่อยู่ชั้นไหนครับ” ฮ้อยอาสา  ตอนที่มาหยิบของให้อีกครั้ง
 
ดวงหน้าของเธอเคยเป็นผู้ชายมาก่อน  จึงพอสังเกตได้นิดๆว่ามีเค้าผู้ชาย  แต่ร่างกายที่ผ่านการแปลงมาแล้วก็ดูเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เพียงแต่ฮ้อยมีประสบการณ์พบเจอกระเทยมาพอสมควรที่บ้านต่างจังหวัดเพราะ เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็แปลงจนเป็นผู้หญิงเต็มตัวเหมือนกับเธอคนนี้
พอไปถึงห้อง เธอก็เปิดประตูแล้วเอาของไปวางไว้โต๊ะที่ใกล้ที่สุดก่อนจะออกมารับ
“ขอบคุณนะคะ น้องนี่หล่อแล้วยังใจดีอีกนะเนี่ย” เธอกล่าวชมเชย ด้วยน้ำใจใจจริงมากกว่าเป็นการจีบแซว
“ไม่เป็นไรครับ” ฮ้อยตอบ
“พี่พึ่งย้ายมาหรือครับ เพราะห้องนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว”
เธอแปลกใจ
“คะ แต่น้องทราบได้ยังไงว่าเคยเป็นห้องว่าง”
ฮ้อยหัวเราน้อยๆ แล้วชี้ประตูห้องฝั่งตรงข้าม
“ผมอยู่ห้องนี้ครับ”
เธอร้องอ้อแล้วก็กล่าวขอตัวไปจัดข้าวของ
ฮ้อยก็หันไปเปิดประตูเข้าห้องไป
 
ฮ้อยกำลังดูทีวีอยู่ตอนที่อ๊อดกลับมาพร้อมอาหารเย็น
“กินข้าวยัง มากินกันกูซื้อพะแนง กับผัดฝักทองมาด้วย”
ฮ้อยหันมองหน้าเพื่อน
“มึงรู้ได้ไงว่ากูชอบกินผัดฝักทอง”
“ไอ้จุ๊ยมันบอก” อ๊อดว่า แล้วก็วางของไว้ที่เคาร์เตอร์ที่กั่นส่วนครัวแล้วก็เข้าห้องน้ำไป
ฮัอยหันมองบนกับข้าว แล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบจานมาเทกับข้าวใส่
อ๊อดออกมาแล้วก็เดินมาช่วยด้วยการเทข้าวใส่จาน
แต่เสียงกริ่งประตูดังขึ้น
อ๊อดก็เดินไปเปิด ปรากฏว่าเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดลำลอง
“น้องฮ้อยอยู่ไหมค่ะ”
ฮัอยได้ยินชื่อตัวเองเลยเดินมา
“อ้อ พี่นั้นเอง”
“ตอบแทนที่ช่วยพี่นะคะ” แล้วเธอก็ยื่นส่งถุงใบหนึ่งมาให้
“ช๊อกโกแล็ต  สองคนไปแบ่งกันนะคะ”
ฮ้อยเดินมารับ ส่วนอ๊อดถอยไปยืนข้างๆ
“ขอบคุณครับพี่ ไม่ต้องก็ได้เราเพื่อนบ้านกัน”
เธอยิ้มละไม
“ก็ถือเป็นการทักทายเพื่อนบ้านด้วยไงค่ะ”
แล้วเธอก็กล่าวขอตัว  แต่ฮ้อยก็นึกได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อ
“เดี่ยวครับพี่ พี่ชื่ออะไร”
“ปาล์มค่ะ” เธอตอบแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องตัวเอง
“ใครวะ” อ๊อดถาม
ตอนที่ฮ้อยเอาถุงขนมมาวางไว้บนโต๊ะชุดรับแขก แล้วเดินไปที่เคาร์เตอร์ชุดครัวลากเก้าอี้มานั่ง
“ดีเหมือนกันมีเพื่อนบ้านสาวๆสวยๆ” อ๊อดนั่งลงข้าง
ฮ้อยมองหน้า
“มึงดูไม่ออกหล่ะสิ”
อ๊อดตักพะแนงมาราดข้าว
“ออกอะไร”
“ก็พี่เขาเป็นผู้ชาย  คือกูหมายถึงเขาเป็นผู้หญิงข้ามเพศ” ฮ้อยเฉลย
“หา.. ผุ้ชาย” อ๊อดตาโต
“จริงอ่ะ สวยมากเลยนะนั่น”
“อืม กูดูออก มึงเห็นแว่บเดียวเลยไม่ได้สังเกตใช่ไหม” ฮ้อยกล่าว
อ๊อดทำหน้าทึ่งอยู่ครู่
“เออ...แล้วำทำไมมึงถึงถามชื่อเขา ก็รู้จักกันไม่ใช่เหรอ ก็เห็นเขาเรียกชื่อมึง”
พออ๊อดพูดอย่างนี้ ฮ้อยเลยฉุกคิด
“เออวะ เมื่อกี้พี่เขาเรียกชื่อกูด้วยนี่หว่า  แต่กูยังไม่ได้บอกชื่อพี่เขาเลยนี่หว่ากูจำได้”
“เออ... แล้วเมื่อกี้ยังบอกว่าแบ่งซ๊อกโกแล็ตมาให้สองคน  แล้วเขารู้ได้ไงว่ามึงอยู่กับกู” อ๊อดตั้งข้อสังเกตอีกประการ
 
อ๊อดไม่มีเรียนวันนี้  แต่ฮ้อยต้องไปเพราะกลุ่มเรียนของเขามีTestนอกรอบ เขาก็เลยต้องไป
ตอนกำลังจะเปิดประตู ได้ยินเสียงที่ด้านนอกเหมือนมีคนคุยกัน  แต่พอเปิดออกมา เจอเพื่อนบ้านใหม่กำลังหอมแก้มหนุ่มน้อยคนหนึ่งอยู่  ฮ้อยรีบปิดประตูคืนเพราะไม่อยากเป็นก้าง  แต่กลายเป็นหนุ่มคนนั้นที่เรียก
“ฮ้อย  เฮ้ยจะไปไหน”  อัศวะทัก แล้วเดินมาเอามือดึงประตูไว้
“อ้าว ไอ้อัส” ฮ้อยตอบ
หันไปมองหน้าเพื่อนบ้าน เห็นเธอยิ้มกริ่ม  เขาก็เลยดึงอัศวะเข้ามาในห้อง
“เฮ้ยนี่มึงนอกใจไอ้เดฟเหรอวะ” ฮ้อยถามเสียงเบา
“นอกใจอะไรนั่นพี่กู” อัศวะตอบ
“มึงจำพี่กูไม่ได้เหรอวะ”
ฮ้อยงง แต่พอลำดับเหตุการณ์ได้
“เดี่ยวนะ... มึงอย่าบอกนะว่านี่คือพี่ปัติ”
“เออ.. ทำไมงงล่ะสิ  นี่หละพี่ปัติ  ตอนนี้แกเปลี่ยนเป็นปาล์มแล้ว  เมื่อวานแกยังโทรมาถาม ว่าเพื่อนกูที่อยู่วงโยชื่ออะไร ก็คิดว่าน่าจะเป็นมึง เลยบอกพี่เขาไป”
 
“พอพี่ปัติไปเรียนมหาวิทยาลัย แกก็เริ่มเปลี่ยนไป  ตอนหลังพ่อจับพิรุธได้ก็คาดคั้น  เลยทะเลาะกันใหญ่โต  แล้วพี่เขาก็ออกจากบ้านไป ลาออกจากมหาวิทยาลัย ต่อมาแกก็ไปทำงานที่พัทยา กลายเป็นผู้หญิงเต็มตัว  แล้วก็ไปเจอแฟนของแกที่เป็นคนฝรั่งเศส ก็เลยย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ แต่แฟนแกพึ่งเสียไปได้สองเดือนกว่าๆ แกก็เลยกลับมาเมืองไทย”  อัศวะเล่าตอนที่ขับรถ
“เรื่องของพี่ปัติน่ะ  ไอ้จุ๊ยก็รู้ดี  เพราะตอนที่พี่ปัติกับพ่อทะเลาะกัน  ฉันก็เล่าให้จุ๊ยฟัง  มันก็เลยรู้เรื่องหมดแล้ว  แล้วก็เล่าให้มันฟังเป็นระยะ”
“ไม่เห็นมึงเล่าให้กูฟัง” ฮ้อยท้วง 
“อ้าวก็มันน่าเล่าไหมเล่า  มึงจะให้กูไปเที่ยวโพทะนาเรื่องครอบครัวให้คนอื่นฟังได้ยังไง  แค่นี่กูก็กลุ่มใจจะแย่แล้ว” อัศวะกล่าว
พอดีในช่วงนั้น  เพลงของอัศวะเองก็ดังจากวิทยุที่เปิดค้างไว้
“เสียงมึงก็ใช้ได้นะ  แล้วเป็นไงบ้าง แฟนเพลงมึงเยอะขนาดไหน” ฮ้อยถาม
“ก็มีพอสมควร  ก็มีแฟนคลับตามไปกรี๊ดทุกที่ ที่หลายร้อยเหมือนกัน” อัศวะตอบ 
“เหรอ” ฮ้อยกล่าว  อันนี้ต้องยอมรับตามตรงว่าเขาไม่ได้ติดตามงานเพลงของเพื่อน เพราะไม่ใช่กลุ่มงานเพลงที่เขาสนใจ
“แต่กูว่าจะไม่ต่อสัญญากับบริษัท” อัศวะพูดออกมา
“อ้าว” ฮ้อยหันมามองหน้า
“ทำไมหล่ะ”
“กูจะเลิกแล้ว  กูเบื่อจะต้องหลบซ่อนๆไปเวลาไปไหนกับเดฟ” อัศวะถอนหายใจ พอดีรถติดก็เลยหันมามองหน้าฮ้อย
ตอนนั้นแสงที่สะท้อนมาจากตึกที่เป็นอาคารกระจกตกลงบนหน้าของเขา  จริงแล้วฮ้อยเป็นหนุ่มหน้าหล่อคนหนึ่ง  เพียงแต่เพราะเขาไม่ได้มีความโดดเด่นด้านบุคลิกภาพ ทำให้อาจไม่ค่อยมีคนสนใจเขามากนัก  แต่เขาก็มีคิ้วเช้ม จมูกโด่งสัน  ริมผีปากบางและแดงจัดแบบคนไม่สูบบุหรี่ 
“ดูๆไปมึงก็หล่อนะ  ปากก็น่าจูบ ขอจูบที่ได้เปล่า”
“ไอ้เหี้ย...” ฮ้อยด่าแบบลากเสียง
“ไม่เอาอะ เดี่ยวเกิดมีคนเอาไปฟ้องได้เดฟ  แม่งตัวโตกว่ากูแถมล่ำด้วย  กูสู้มันไม่ไหวนะเว้ย”
“เฮ้ย ไอ้เดฟน่ะตัวดีเลย” อัศวะกล่าว
“มันบอกว่าบางทีมองไปก็อยากจะจูบมึงนะ  เคยคิดจะแอบจูบปากมึงตั้งหลายครั้ง  มันบอกว่าปากมึงน่าดูด”
“เออ.. ยังดีนะที่มันชอบไอ้จุ๊ย  ถ้าเป็นกู กูสู้แรงมันไม่ไหวนะเนี่ย  ไม่งั้นเสร็จ กูเป็นเมียมันไปแล้ว กูไม่ได้แข็งแรงอย่างไอ้จุ๊ย  ไอ้นั้นมันวิ่งวันละสามกิโล กูวิ่งไปครึ่งโลก็หอบละ” ฮ้อยส่ายหัว
“มี แฟนเพลงรุ่นเก่า ขอเพลงนี้  จริงเพลงนี้ก็ไม่ได้ล้าสมัยอะไร  เพราะจริงๆก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกขอช่วงวาเลนไทน์มาอย่างต่อเนื่อง  แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ  เป็นวันที่ศิลปินชื่อดังในอดีตคุณภูธนะ ที่เคยฝากผลงานเพลงสไตร์ร๊อกระดับตำนานไว้หลายเพลง ขับร้องเพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายบนเวทีคอนเสริ์ตครั้งสุดท้ายของเขา  บทเพลงนี้เพื่อคนที่เขารักมากที่สุด คุณนราชล”  ดีเจวรรค
“เพลงแสงสว่างในหัวใจ”
ทั้งสองเงียบไปเพื่อฟัง
“เสียงโคตรดี” อัศวะกล่าวออกมา
“กูนี่ยอมแพ้เลย  พี่เขามีพลังเสียงที่น่าอัศจรรย์จริงๆ  กูเคยพยายามร้องเพลงแกนะ  ตาย แป๊กสนิท ไม่ไหว”
ฮ้อยหันมามองหน้าอัศวะ
“มึงชอบพี่เขา  มึงเลยคิดจะออกจากวงการเหมือนพี่เขาใช่ไหมล่ะ”                 
อัศวะพยักหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดอีกรอบ
“มีส่วน.. แต่กูไม่โชคดีเหมือนพี่เขา ที่พี่เขามีครอบครัวสนับสนุน  ที่จริงก็มีสักกี่คนที่จะโชคดีแบบนั้น  กูก็เห็นแต่ครอบครัวไอ้จุ๊ย นี่ล่ะที่รับโยชิเป็นเป็นส่วนหนึ่งหน้าตาเฉย  ถ้ากูพาเดฟเข้าบ้านอย่างนั้นมีหวังพ่อกูเอาปืนไล่ยิงแหง่”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 74 : เริ่มต้นการต่อสู้เพื่อความรัก
จุ๊ยกำลังกวาดพื้นหน้าร้านอยุ่ตอนค่ำหลังจากปิดร้านแล้ว  พอดีเหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนที่คุ้นเคยเดินมา
เขายกมือไหว้
“พึ่งกลับเหรอครับซ้อ” จุ๊ยถาม
เธอคือมารดาของหลิว  เธอเป็นเภสัชกร
“อ้าว จุ๊ยไม่ค่อยได้เจอกันเลย  ตั้งแต่ปิดร้านไปก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยไม่ค่อยได้เห็นหน้าจุ๊ยเท่าไหร่” เธอกล่าวเพราะหลังจากหลิวไปเมืองนอกไม่นาน เธอกับสามีก็ตัดสินใจปิดร้านขายยา แล้วไปเช่าที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าแทน
เธอชื่นชมความเติบโตของจุ๊ยที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กอยู่ครู่
“เดือนธันวานี้หลิวจะกลับมาแล้วนะ คงปลายเดือนช่วงก่อนคริสมาสต์”
“ครับ”จุ๊ยรับคำ
“ผมทราบแล้ว หลิวบอกผมไว้เหมือนกัน”
เธอพยักหน้าช้าๆ
แล้วก็เงียบไป  ก่อนจะมองไปภายในบ้าน
ก่อนจะพูด
“เรื่องของเธอสองคนน่ะ” ซ้อกล่าว
“จริงๆซ้อก็ไม่อยากจะไปยุ่ง  แต่เพราะหลิวเป็นลูกสาว ซ้อก็อดไม่ได้”
จุ๊ยมองหน้าเธอ เพราะเธอวรรคไปนานพอสมควร
“ซ้ออยากจะให้จุ๊ยตัดสินใจให้เด็ดขาด  พูดกันไปเลยว่าจะยังไง  เพราะหลิวจะได้ไม่ต้องรอจุ๊ยต่อไปอีก  แล้วจุ๊ยก็จะได้คบกับ นายโยชิได้อย่างสะดวกใจมากขึ้นด้วย  ไม่ค้างๆคาๆกันอยู่อย่างนี้” เธอกล่าวออกมาในที่สุด
“คือ ซ้อก็เสียดายนะ ที่จุ๊ยไม่ได้คบกับหลิว  แต่ซ้อก็ไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องลำบากใจชองเธอเหมือนกัน  อีกอย่างเธอก็ไม่แน่ใจอีกแล้วใช่ไหมล่ะ  ที่ว่าเธอจะรักผู้หญิงได้หรือเปล่า”
“ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆแบบนี้นะ  คือซ้อเองก็ไม่ได้รังเกียจจุ๊ย  ความเอ็นดูของซ้อต่อจุ๊ยยังเหมือนเดิม  แต่ซ้อก็อยากให้จุ๊ยตัดสินใจให้ดี  จริงอยู่เธอสองคนโตมาด้วยกัน  แต่เมื่อวันหนึ่งเรารู้แล้วว่าเราเป็นอะไร  การพูดไปตรงๆบางที่ก็รักษาความเป็นเพื่อนของเธอสองคนไว้ได้นะ  อย่าลังเล   พูดไปให้เด็ดขาด  เพราะถ้าไม่เด็ดขาด  มันก็จะคาราคาซังแล้วกลายเป็นเจ็บกันไปหมดทุกคน”
 
เดฟนั่งโบกพัดด้วยปึกบทภาพยนตร์ มองฟ้ามันก็มีเมฆนะ  แต่เพราะฝนคงกำลังจะตก  มันก็เลยรู้สึกอบอ้าวดีเหลือเกิน
อาราอินั่งลงข้าง หันไปทางเดียวกันคือมองกองถ่ายกำลังถ่ายทำดาราคนอื่นอยู่
“เป็นไงบ้าง นายกับอัส  ตกลงจะเอายังไงกันดี  แอบคบกันไปแบบนี้เหมือนเดิมหรือยังไง”
เดฟหันมามองหน้าอาราอิ
“ก็คงต้องเหมือนนาย” เดฟตอบ
“นายกับจุ๊ยต้องคบกันไปอย่างนี้เรื่อยๆ  ของฉันก็คงจนกว่าพ่อของอัสเขาจะรู้แล้วก็อาละวาดอีกรอบ แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“มันไม่มีทางออกทางอื่นเลยเหรอ  อย่างเช่นคุยกันดีๆอะไรอย่างนั้น” อาราอิถาม
“ไม่ มีทาง  พ่อของอัสเขาเกลียดอะไรที่ต่างไปจากที่เขาคิด  อัสบอกว่าพ่อต่อต้านทุกอย่างที่ไม่ได้เป็นไปในสิ่งที่เขาเห็นด้วย  ประมาณว่าเผด็จการน่ะ” เดฟเล่าตามปากคำของอัศวะ
“แล้วแม่ล่ะ ไม่ลองเข้าใช้แม่เป็นสื่อ” อาราอิเสนออีกทาง
“ก็ยากอีก  แม่ของอัสเป็นแนวช้างเท้าหลังสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นจะอยู่กับพ่อของอัสได้เหรอ เพราะรายนี้ไม่ชอบให้เถียง ไม่ชอบให้โต้แย้ง” เดฟว่า
“แปลว่ายาก” อาราอิกล่าวสรุป  แล้วก็ตบบ่าเดฟ
“มันต้องมีหนทางสิวะอย่างพึ่งท้อ”
เดฟถอนหายใจ
“ไม่ได้ท้อ  แต่ทำใจแล้วล่ะ ฉันทำใจมาตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน  มันก็ต้องมีวิถีที่ผิดจากชาวบ้าน  แล้วก็ต้องมีชาวบ้านบางคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน... ฉันชินแล้วล่ะ”
 
วันนี้อ๊อดก็ทำเหมือนเดิมคือวันไหนตรงกับวันพุธที่เป็นวันเกิดของเมืองฟ้า เขาก็จะต้องลงมาใส่บาตรตอนเช้า
แต่วันนี้อยู่ดีๆฮ้อยก็บอกว่าจะลงไปใส่ด้วย
จริงๆแล้วเป็นเพราะฮ้อยมักจะเห็นเพื่อนบ้านใหม่ของเขาใส่บาตรวันละสามรูปทุกวัน เขาก็เลยนึกอยากจะทำบุญบ้าง
พอลงมาก็ได้เจอกันจริงๆ
“อ้าวสองหนุ่ม  ตื่นแต่เช้าเลยนะ”
อ๊อดยิ้มแทนคำตอบ  แล้วเดินไปซื้ออาหารใส่บาตรที่ร้านข้างแกงที่ตั้งอยุ่ริมถนนตรงหน้าคอนโดมิเนียมนั่นเอง
“สองชุดนะ” ฮ้อยหันไปบอก
แล้วเดินใกล้กับเธอ
“พี่ปัติ เอ้ยพี่ปาล์มใส่บาตรทุกเช้าเลยนะครับ”
ปติมายิ้ม 
“เรียก ปัติอย่างเดิมน่ะดีแล้ว.. พี่ก็กระแดะไปอย่างนั้นล่ะ  แต่พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่อหรอกนะ  ชื่อในบัตรก็ยังเป็น” แล้วก็ดัดเสียงให้แมน
“นายปติมา”
ฮ้อยหัวเราะเบาๆ
พอดีพระเดินข้ามา เธอก็ออกมาปากนิมนต์
“มาช่วยกันใส่หน่อยสิ” ปติมาออกปาก
ฮ้อ ยก็เลยถอดรองเท้าแล้วก็ยืนบนพื้น  เขารอให้ปติมาเอาข้าวใส่ลงไปก่อนตามด้วยอาหาร พอพระท่านปิดบาตร ยกยามขึ้น เขาก็เอาขนมกับน้ำใส่ลงในย่ามแล้วย่อตัวลงยกมือไหว้
พระให้พรแล้วก็กล่าว
“ขอให้อายุมั่นขวัญยืนรักกันยืนยาวนะโยม”
ปติมาอมยิ้มแต่ยังไม่พูดอะไร
พอพระเดินไปสักระยะ ก็หันไปมองหน้ากับฮ้อยก่อนจะหัวเราะออกมาทั้งคู่
“ท่านคงคิดว่าเราเป็นแฟนกัน” เธอกล่าว
ฮ้อยมีสีแดงๆแต้มที่แก้มขาวๆ  เกาหัวแกรกๆ
“พี่ไปก่อนนะ  เดี่ยวพี่จะไปธุระ”
แล้วเธอก็เดินไป
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูกคล้ายจะทิ้งร่องรอยให้อาวรณ์
“แหม่ๆ  หวานแหว่ว ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน” อ็อดส่งเสียงแซว
“พูดมาก” ฮ้อยรีบมาล็อกคอเพื่อไม่ให้เพื่อนพูดมาไปกว่านี้ เพราะปติมายังพ้นไปไม่นาน ได้ยินก็หันมามอง
ฮ้อยเขินจนต้องลากเพื่อนให้หันกลับ
“ไอ้สัตว์พี่เขาได้ยินเลยเห็นไหม”
อ๊ฮดที่โดนล๊อกอยุ่พยายามมองหน้าเพื่อน เพราะตอนนี้ฮ้อยหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ไม่เคยเป็นมาก่อน  ฮ้อยไม่เคยเขินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย  อย่างน้อยเท่าที่อ็อดจำได้
 
ที่ซึ่งปติมาบอกฮ้อยว่าจะไปคือบ้านของเธอเอง  พอรถแท็กซี่จอด ปติมาก็ชำระเงินแล้วลงจากรถ
เธอ กวาดตามดูบ้านหลังใหญ่ที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากบรรพบุรุษ  โดยยังคงส่วนที่เป็นเรือนไทยไว้บางส่วน แต่ก็มีการบูรณะต่อเดิมด้วยโครงสร้างสมัยใหม่
คนรับใช้เก่าแก่ที่บังเอิญกลับมาจากจ่ายตลาดก็เห็นเธอก็เริ่มพินิจ
“คุณ ปัติใช่ไหม  คุณปัติขา คุณปัติ” เธอเข้ามาเกาะแขนปติมา  เธอจำได้แม้ปติมาจะเปลี่ยนเป็นผุ้หญิงไม่ใช่เด็กหนุ่มคนเดิม นั้นเพราะเธอเคยเห็นรูปของปติมาจากที่อัศวะเปิดให้ดูจากโทรศัพท์มือถือ
“คุณแม่อยุ่ไหม” ปติมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อยู่ค่ะ  เร็วๆเข้ามา  คุณนายต้องดีใจมากแน่เลยค่ะ”
 
บัวแก้วดีใจจนร้องไห้  เมือได้เห็นลูกชายคนโต แม้ตอนนี้จะไม่เหลือเค้าของปติมาคนเดิม เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักกีฬาแบตมินตันของโรงเรียนคนนั้น  แต่เธอก็ยังกอดหอมลูกชายในร่างของลูกสาวอย่างรักใคร่
“อย่าร้องไห้สิค่ะแม่ เห็นแล้วปัติใจคอไม่ดีเลย” ปติมาแล้วหันไปหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าเช็ดรอบดวงตาให้มารดา
“ก็แม่คิดถึงปัติ  ปัติกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่มาอยู่บ้าน” แม่กล่าวอย่างยิ้ม
ปติมานิ่งไปนิดหนึ่ง
“อย่าเลยคะ แม่  ปัติอยู่ข้างนอกดีกว่า”
บัวแก้วถอนหายใจ
“แม่เข้าใจ  แต่ก็อยากให้ปัติเข้าใจพ่อด้วย  พ่อเขาหวังกับเราสองคนมาก  พ่อเขาเป็นพวกหัวเก่า  ปัติก็รู้”
“ค่ะ ปัติก็พยายามเข้าใจ  แต่พ่อต่างหากไม่พยายามเข้าใจคนอื่น นี่ก็มีปัญหากับน้องด้วย” ปติมาเผลอกล่าวออกไป พอรู้ตัวก็ตกใจ  แต่พอเห็นหน้าบัวแก้วไม่แปลกใจก็คลายใจลงนิดหน่อย
“เรื่องตาอัสน่ะ มันร้ายแรงสำหรับพ่อ  หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมแน่นอน  ตอนลูกชายคนงานนั้นก็ทีหนึ่งแล้ว  ตอนนี้หนักกว่าเก่าเสียอีก  แต่พ่อเขาทำอะไรไม่ได้  เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของคุณทัพ นักธุรกิจใหญ่  นี่ขนาดไปคุยกับคุณทัพ ก็หน้าแตกกลับมาเพราะคุณทัพเขาทำใจได้กับเรื่องลูกชายแล้ว  ก็เลยบอกมานิ่มๆว่าให้มาห้ามคนของเราดีกว่ากว่า เพราะเขาไม่มีธุระอะไรจะห้ามเดฟ  เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว” บัวแก้วเล่า
“นี่พ่อไปคุยกับพ่อของเดฟเลยเหรอคะ” ปติมาร้องเสียงสูง
มารดาพยักหน้า
“แล้วพ่อรู้แล้วหรือยังว่าสองคนกลับมาคบกันกันอีกแล้ว” ปติมาถาม
“รู้แล้ว  แต่ยังยุ่งๆอยู่เพราะหมู่นี่มีปัญหาในบริษัท เครื่องเสียงชุดใหญ่เสียหายตอนขนส่ง  ตอนนี้ก็หัวหมุนอยุ่แต่ไม่นานหรอก คงจะกลับมาเล่นงานนายอัสแน่นอน”
ปติมาถอนหายใจแล้วก็มองไปรอบบ้าน
“แล้วไปไหนคะนี่ เจ้าต้วแสบน่ะ”
“ไปเรียน  ออกไปตั้งแต่เข้าแล้วหล่ะ” มารดาบอก แล้วก็จับแขนลูกของเธอ
“เดี่ยวปัติอยู่กินข้าวเที่ยงกับแม่ก่อนนะ วันนี้พ่อไปต่างจังหวัดอีกสองสามวันถึงจะกลับ”
 
เดฟจุมพิตลงบนแผ่นหลังที่เปลือยเปล่าของอัศวะที่นอนหลับตาอยู่
“โดดเรียนทั้งคู่  จะจบไหมเนี่ย” อัศวะกล่าวออกมา
เดฟทิ้งกายลงเหนือร่างนั้นซุกไซร้ซอกคอก่อนจะกระซิบ
“ฉันก็บอกแล้วว่าอย่างยั่ว อย่ายั่ว... เป็นไงละ Absent ทั้งคู่  วิชานี้นับชั่วโมงเรียนเสียด้วยนะ”
“เดฟรู้จักพี่ปัติใช่ไหม” อัศวะถามแล้วพลิกตัว  ทำให้เดฟต้องขยับไปนอนตะแคงอยู่ข้างๆ
“อ๋อพี่ชายของอัสรีเปล่า ที่เป็นนักแบตของโรงเรียน” อัศวะตอตอนนี้หันตะแคงมองหน้าเดฟที่เอาแขนท้าวหนุนหัวให้สูงขึ้น
“ใช่... นี้พี่ปัติกลับมาแล้วนะ” อัศวะกล่าว
“แต่เอ.. เห็นอัสบอกว่าพี่เขาแปลงเพศแล้วนี่หน่า ถ้าพ่ออัสเห็นไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เหรอ” เดฟจำได้จากที่อัศวะเล่า
อัศวะถอนหายใจ
“ก็นี่ล่ะทำให้กลุ่มใจกำลังสองเลย.. ถ้าพี่ปัติเจอกับพ่อ พ่อต้องพาลมาถึงอัส  แล้ว...” อัศวะพูดได้แค่นั้น
เพราะเดฟจุบริมผีปากเข้า
“พรุ่งนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้...”เขากระซิบข้างหูแล้วก็ซุกไซ้ไปบนซอกคอ
อัศวะโดนดันเบาๆก็พลิกตัวหงาย
เดฟคล่อมร่างเขาไว้สบตาอย่างลึกซึ้ง
“พรุ่งนี้อาจดีกว่าวันนี้ก็ได้จริงไหมล่ะ”
ทั้งคู่ก็ดึงดูดเข้าหากันด้วยแรงปรารถนา  จุมพิตที่ดูดดื่มตรึงกันเอาไว้ ในขณะที่มือเดฟก็ลูบไล้ลงไปต่ำผ่านสะดือลงไป
อัศวะเกรงตัวต่อสัมผัสนั้นมือเดฟปล่อยการจูบแล้วโลมไล่ลงไปเรื่อยๆ เขาก็ครางฮือออกมา
บทเพลงที่เปิดดังแช่มช้าในท่วงทำนองอันนุ่มนวล เป็นไปในทิศทางเดียวกับการสัมผัสของเดฟ ทว่าเสียงเบสและกลองเป็นจังหวะกระตุ้นราวกับจังหวะจะโคนที่ช่ำชองของเดฟต่อ ร่างกายของอัศวะ เขาครางออกมาผสมกับเสียงเพลงอย่างคล้องจอง
Wicked games ของ The Morning
ในช่วงเวลานั้นโทรศัพท์ที่เปิดไว้เพียงระบบสั่นก็เคลื่อนไหวอยู่อย่างเดียวดาย บนโต๊ะที่อยุ่ห่างออกไป หมายเลขที่แสดงคือหมายเลขของสินธุ
 
สินธุหงุดหงิดจนเกือบปาโทรศัพท์ทิ้ง
“นี่มันบ้าอะไรของมัน พอจะใช้งานก็หายหัวไม่รับโทรศัพท์” สินธุบ่น  ใจก็อดคิดไม่ได้หรอกว่าคงอยู่กับไอ้ดาราหน้าหล่อแต่เป็นตุ๊ดคนนั้น
“กลับไปจะเล่นงานให้”
“นายครับ แล้วจะเอายังไงเรื่องเด็กที่ทำเครื่องเสียงเสียหาย” เลขาคนสนิทกล่าว
“ก็ไล่ออกให้หมดสิ” สินธุตอบอย่างหงุดหงิด
“แต่มันเป็นอุบัติเหตุนะครับ  จะโทษเด็กทั้งหมดก็ไม่ได้” เลขาแย้งด้วยความเห็นใจ มองไปยังบรรดาช่างหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่
“ก็ไม่รู้จักระวัง ข้าวของเสียหายหมด  ไล่ออกให้หมด  แล้วหักเงินเดือน เดือนนี้ของมันไว้ด้วยเอามาชดเชย” สินธุตอบ
“แต่มีคนหนึ่งเมียท้องแก่ใกล้คลอด นายไล่มันออกแล้วมันจะไปหางานจากไหน  ตอนนี้งานหายากนะครับ” เลขาแย้งด้วยใจเมตตา
“แล้วเขาก็อยู่กับพวกเรามานานแล้วด้วย”
“เรื่องของมัน  ไล่ออกไปให้หมด” สินธุตอบแล้วก็เดินฉับๆไป


ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 75 : สนามหลวงสอง ฮ้อยปลูกต้นรัก
ฮ้อยนึกเฮี้ยนขึ้นมาก็เลยอยากจะไปวิ่งตอนเช้ากับเขาบ้าง  แต่แค่วิ่งไปรอบๆอาคารที่พักอาศัยหอบแล้ว  เลยเลิกล้มความตั้งใจแล้วเดินมานั่งพักหน้าตึกซึ่งมีสวนขนาดเล็ก
มองไปเห็นปติมาเดินออกมาในชุดสวย   จะว่าไปปติมาแม้จะเป็นสาวข้ามเพศ  แต่เพราะจริตจะก้านที่พอดีไม่มากเกินไป  ทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงจริงๆ  เหลือแต่ก็ส่วนสูงที่สูงกว่าผุ้หญิงธรรมดาก็เลยอาจจะขัดตานิดๆ
“พี่ปัติครับ” หนุ่มน้อยลุกขึ้นแล้วเดินไปหา
“อ้าวฮ้อย  วิ่งออกกำลังเหรอ” เธอยิ้มละไม
“ครับ  แต่ไม่ไหววิ่งรอบตึกก็เหนื่อยแล้วพี่ ไม่เหมือนไอ้จุ๊ย  รายนั้นวิ่งได้เป็นกิโลๆ กะจะวิ่งแบบมันเผื่อจะได้เล่นแซกเก่งแบบมัน” ฮ้อยกล่าวตามตรง
“จุ๊ยเขาฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ  ม.หนึ่ง พี่ก็เห็นเขาวิ่งรอบสนามทุกวันก่อนไปซ้อมดนตรีอยู่แล้ว  เราน่ะต้องใช้เวลา” เธอกล่าวบนรอยยิ้ม
“พี่จะไปไหนครับ” ฮ้อยถาม
“ไปซื้อของที่สนามหลวงสองมาแต่งบ้านน่ะ” เธอตอบ
“แล้วจะไปยังไงครับ” ฮ้อยถามต่อ
“ก็คงแท็กซี่ “ เธอยิ้ม
ฮ้อยหันมองนาฬิกาภายใoตัวอาคาร
“รีบไหมครับ  เดี่ยวผมขับรถไป  เผื่อพี่ซื้อของเยอะจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ผมจะได้ช่วยพี่ถือด้วย” ฮ้อยเสนอตัว
 
จุ๊ยกำลังก้มๆเงยๆอยู่กับชั้นวางของไม้สัก  แต่พอเห็นราคาก็ถอยออกมา
“ทำไม” อาราอิถาม
“แพงเหรอ”
จุ๊ยทำปาแบะ ยักคิ้ว
“กะจะซื้อไปแทนตัวที่ป๊าใช้ในห้องมันหักลงมาแล้ว”
อาราอิก็เดินไปดูราคา
“อยากได้ไหมล่ะ เดี่ยวฉันซื้อให้ก็ได้นะ” อาราอิกล่าว
“เฮ้ย ไม่เอา  ไปดูที่เป็นไม้ยางก็ได้  ถูกกว่า” จุ๊ยตอบแล้วทำท่าจะเดินไป
“พี่ครับมีของใหม่ไหมครับ” อาราอิถามเข้าไปในร้าน
“เฮ้ยอาราอิ” จุ๊ยร้อง
“มีคะ” คนขายตอบ
“ส่งให้ด้วยไหม  ตัวใหญ่อย่างนี้ผมขนไปไม่ได้” อาราอิถามต่อไปโดยไม่ได้สนใจการทักท้วงของจุ๊ย
 
“น่ารักดีจัง” ปติมาย่อตัวลงมองปลาหมอสีครอสบริสตัวประมาณสองนิ้วว่ายไปว่ายมา  เธอหยอกมันด้วยการเอานิ้วลากมันก็ว่ายตามอย่างเชื่อง
ฮ้อยเห็นกิริยาที่เหมือนเด็กของปาติมาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้  เขาขยับเข้าใกล้ๆ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแตะจมูก  มองไปก็เห็นใบหน้าจากด้านข้าง  โครงหน้าของปติมาเป็นโครงหน้าที่สวยงามเหมือนกับอัศวะ ทว่าอ่อนโยนกว่า ทำให้เมื่อกลายเป็นใบหน้าผู้หญิงแล้วเธอก็ดูชวนมอง  ยิ่งตอนนี้แสงแดดผ่านลงมาอ่อนๆ  ยิ่งขับใบหน้าของเธอให้แจ่มใส 
“น่ารักเนอะ” เธอหันมากล่าว
“ผมซื้อให้เอาไหมครับ” ฮ้อยถาม
เธอยิ้มแล้วยืดตัว
“พี่เลี้ยงปลาไม่เป็นหรอก” เธอบอก
“เอาไปก็ตาย”
“ปลาเลี้ยงไม่ยากหรอกครับ  พี่เลือกเอาเลยอยากได้ตัวไหน  ผมช่วยเลี้ยง” ฮ้อยบอก
 
เดินไปเสียงหนึ่งที่ทำให้จุ๊ยหยุด  นั้นคือสิ่งที่อาราอิคาดหมายได้ไม่ยากเลย  เขาเดินตรงไปอย่างที่อาราอิคิดไม่ผิด
เขาเลยไปยืนข้างๆ
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนคนหนึ่ง ยืนเป่าแซกโซโฟนอย่างขมันขมี  เสียงดนตรีของเขาก็เรียกว่าพอใช้ได้  อย่างน้อยก็ทำให้จุ๊ยยิ้มจางๆ
พอจบเพลงเขาก็ปรบมือ  แล้วก็ล้วงเงินไปใส่กล่องบริจาค
“เล่นผิดไปหลายโน้ตเลยนะ” เขาบอกกับนักดนตรี
“พี่เล่นให้ฟังไหม  เพลงนี้มันมีวิธีเป่าอีกแบบ ไม่ต้องใช้ลมเยอะ”
เด็กหนุ่มมองหน้าจุ๊ยแบบพินิจ  เขาอาจเคยเห็นจุ๊ย หรืออะไรก็ตามแต่ แต่เขาก็ส่งแซกโซโฟนให้
จุ๊ยถอดเม้าท์พีชออกมาเช็ดความสะอาด ก่อนจะประกอบกลับอย่างรวดเร็วรวดเร็ว
“ดูนะ แล้วจำไว้  หากินได้หลายหลายเพลงเลยล่ะ ถ้าเล่นCover Pop”
แล้วจุ๊ยก็บรรเลงเพลงเดียวกับเด็กหนุ่ม Careless Whisper แต่ แตกต่างกับเสียงของเพลงของเด็กหนุ่ม  มันหวานแว่วและกังวานกระจ่างในบรรยากาศยามสายของตลาดสนามหลวงสอง  ยิ่งตอนเสียงสูงยิ่งสะท้านไปทั่วร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนฟังอยู่ 
เขากำลังเผชิญหน้ากับเสียงของแซกโซโฟนตัวเดียวกันกับที่เขาเป่า  ทว่ามันราวกับดังมาจากแซกโซโฟนคนละตัว  พลังที่แตกต่างนั้นแปลสภาพแซกโซโฟนแบรนด์จีนของเขาให้กลายเป็นของวิเศษไป เสียแล้ว
ไม่ห่างกันมีชายชาวต่างชาติคนหนึ่ง กับชายชาวไทยคนหนึ่งยืนฟังอยุ่ตั้งแต่ต้นเพลง 
“What?” ขายชาวไทยถามเพื่อนต่างชาติ เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว
“Disappointed? Or what?”(ไม่ถูกใจหรืออะไร)
“Not at all but, curious that how he make that sound... The Vibration... It is so impressive, I have never seen something like this” ชายชาวต่างประเทศกล่าว
(ไม่เลย แต่แค่สงสัย เสียงนั้น การสะเทือนไหว นั้นมันน่าประทับใจมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มากก่อน)

“You come ahead your team for searching, Rigth.. I think he migth be the one you looking for” หนุ่มไทยกล่าว
ชายชาวต่างประเทศยังทำหน้าขมวดคิ้ว
(คุณมาล่วงหน้าเพื่อค้นหาใช่ไหม  ผมว่านี่ล่ะ คนที่คุณค้นหา)

“No… If I am correct, he is the one who the academy come for, we never travel this far, but after one of our team had seen his performance in Japan and made a footage, the committee decided to come to Thailand”
(ถ้า ผมจำไม่ผิดนะ  นี่หละคนที่ทำให้อเคเดมีมา เราไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ แต่หลังจากคนหนึ่งในทีมได้เห็นเขาแสดงในญี่ปุ่น แล้วถ่ายวิดีโอมา คณะกรรมการก็มาประเทศไทย)

แล้วเขาก็ยกโทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ถ่ายรูป
“I will send to the team for confirmation”
(ผมจะส่งให้พวกเขาเพื่อยืนยัน)

จุ๊ยจบเพลงด้วยเสียงไพเราะแล้วก็ ส่งแซกโซโฟนคืนให้
เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองหน้าเขาอย่างตื่นตาตื่นใจ
“พี่ชื่อนทีธารรึเปล่าครับ” เขาถาม
จุ๊ยพยักหน้า
“รู้จักกันด้วยเหรอ” จุ๊ยถามงงๆ
“จริงๆด้วย ผมว่าแล้ว” เด็กหนุ่มแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า
“พี่เป็นแรงบันดาลใจของผมเลยนะครับ”
 
“ตายๆ “ ฮ้อยที่โดนเสียงแซกโซโฟนดึงดูดมากล่าว
“ถ้าเล่นอย่างนี้ผมเอามันไม่อยู่แน่ๆ ยังดีเวลาเล่นเป็นวงมันจะไม่ปล่อยออกมาขนาดนี้“
เสียงฮ้อยเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจ
“อย่าคิดมากน่า” ปติมาจับน้ำเสียงนั้นได้  เขาวางมือบนไหล่ของรุ่นน้องอย่างแผ่วเบาแล้วยิ้มจางๆเป็นกำลังใจ
“จุ๊ย เขาเก่งแต่ไหนแต่ไร  ตอนที่เข้าม.หนึ่ง ได้ยินเขาเล่นครั้งแรก พี่เคยคิดว่าไตรเล่นได้ดีมากแล้ว  จุ๊ยยังเล่นดีกว่าอีก ทั้งที่อายุน้อยกว่า”
ฮ้อยถอนหายใจ
“พ่อถึงว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญวาสนานี่แข่งไม่ได้ แข่งพรสวรรค์ก็คงไม่ได้เหมือนกัน”
 
จุ๊ยให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มอีกสองสามอย่างเรื่องการกดคีย์  และการระบายลม  จากนั้นก็บอกลาก่อนจะเดินมาหาอาราอิ 
ปรากฏว่าเห็นอาราอิยืนคุยกับฮ้อยอยู่  แล้วก็มีหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆยืนอยู่ข้างๆเขา
“แฟนไอ้ฮ้อยเหรอ... เอ.. หรือว่าไม่ใช่... นั้นมันพี่ปัตินี่หน่า”
“อ้าวจุ๊ย” ปติมาหันมาเพราะจุ๊ยบอกสวัสดี  เธอรับไหว้
“โอ้โห โตเป็นหนุ่มแล้วหล่อเหมือนกันนะเรา ตัวสูงกว่าเดิมตั้งเยอะ”
“พี่ไม่ได้เห็นผมตั้งกี่ปีแล้วครับ  ผมก็ต้องโตขึ้นเป็นธรรมดา  ไม่ได้เด็กดองในห้องวิทย์นี่พี่จะได้ตัวเท่าเดิม” จุ๊ยตอบบนรอยยิ้มทะเล้น
“ปากนะ ปาก... เหมือนเดิมเปี๊ยบ” ปติมาหัวเราะ
“แล้วนี่สองคนมาด้วยกันได้ไง” จุ๊ยถามแล้วมองหน้าฮ้อย
ฮ้อยทำหน้าเหรอหรา
“ทำไมกูกับพี่เขาอยู่คอนโดเดียวกัน  ทำไมจะมาด้วยกันไม่ได้”
จุ๊ยหัวเราะหึๆ
“ไอ้อ๊อดนอนห้องเดียวกับมึงพาทำไมไม่มาด้วย  แล้วคนทั้งคอนโดมีเป็นพัน มึงไม่ชวนเขามาด้วยเล่า  พาพี่เขามาเดทก็บอกมาเหอะ”
“ไอ้เลว” ฮ้อยหน้าแดงระเรื่อจนเห็นได้ชัด ชกไหล่จุ๊ยดังอึก แล้วหันหน้าหนีซ่อนความอาย

ปติมาก็เขินจนหันไปทางอื่นเหมือนกัน
อาราอิหันมาสบตาจุ๊ยอย่างรู้ใจกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 76 : แลกชีวิต
ไม่ห่างไปโดยสินธุไม่รู้ตัวมีสายตาหนึ่งลอบมองมาอย่างไม่เป็นมิตร  ตั้งแต่เห็นสินธุตอนที่เดินออกมาจากลานจอดรถเข้ามาภายในห้าง
เขาเป็นอดีตช่างเครื่องเสียงที่ถูกสินธุไล่ออก  เขาพึ่งจะเผชิญความทุกข์อย่างแสนสาหัจ  สามวันก่อนภรรยาที่ท้องแก่  ต้องเสียชีวิตไปเพราะการคลอดอย่างตามีตามเกิดในคลีนิกหมอเถื่อน  เขาเสียทั้งลูกและเมียไปพร้อมๆกัน
วันนี้แม้จะยังโศกเศร้าแต่เขาก็ต้องออกมาทำงานใหม่ที่เป็นพนักงานส่งเอกสาร และก็พอดีต้องมาที่ห้างนี้เพื่อส่งเอกสารให้ลูกค้า
เขารู้จักอัศวะดี  อัศวะเป็นคนหนึ่งที่มีน้ำใจแก่เขา และมักจะถามถึงอาการของภรรยาของเขาที่เคยเป็นพนักงานทำความสะอาดในบริษัทของ สินธุ 
พอเห็นสินธุดุด่าอัศวะ ความโกรธก็ทบทวี
“อายเขานักก็อย่าอยู่เลยโลกนี้  ตายไปเถอะจะได้หายอาย”
 
อีกด้านปติมาโกรธจนมือสั่น
แต่ก่อนเธอจะได้โต้ตอบ
“ไอ้ธุมึงดูถูกลูกกูเหรอวะ” เสียงพร้อมกับตัวที่เดินเข้ามา
ก้อนทองยืนกอดอกข้างลูกชาย
“ไอ้เด็กนี่มันลูกชายกู  มันไม่ได้เป็นเด็กบาร์ไหน  มันเป็นเพื่อนลูกชายเอ็งด้วยซ้ำไป  หัดมองโลกในแง่ดีบ้างนะมึง”
สินธุประหลาดใจกับการปรากฏตัวของเพื่อนเก่า  แต่เขายังไม่อยู่ในอารมณ์จะดีด้วย  ความที่เป็นคนที่ไม่ชอบถูกขัดใจจึงตอบโต้ไปด้วยโทสะ
“อ้อลูกมึง... มึงต่างหากเลี้ยงลูกยังไง  ปล่อยให้มันมาติดกระเทย  เสียชาติเกิดแท้ๆ “
ปติมาจะตอบแต่ฮ้อยดึงมือไว้
“ไอ้ธุ  นี่กูนึกว่าตอนที่ไอ้มิตร  อีตุ๊ดที่มึงเคยดูถูกมึงเอาไว้ เอาชีวิตตัวเองไปแลกให้มึงในวันนั้น  มึงจะมีโลกกว้างขึ้น  แต่มึงเนี่ยยังเหมือนเดิมไม่ผิด  ไม่อายใจหรือไงวะ  เกลียดตุ๊ด แต่ชีวิตมึงเนี่ย  ตุ๊ดอย่างมิตรช่วยเอาไว้” ก้อนทองโต้ออกไปด้วยการขุดความหลัง
สินธุสะอึก
“หรือว่ามึงอัลไซเมอร์ มากูจะลำดับความให้  มึงไปเที่ยวเขื่อนกับพวกกู  แล้วมึงตกแพ  มิตร อีตุ๊ดที่ชอบมึง ทั้งที่มึงด่ามึงเตะมันตลอด แต่มันกระโดดลงไปช่วยมึงก่อนใคร  คว้าตัวมึงได้ก่อนจมหายไป  พวกกูถึงได้ตามไปเอาตัวมึงมาได้  แต่มิตร...อีตุ๊ดที่มึงเกลียดหมดแรง เป็นตะคริวจมหายไปแทน  มึงบอกกูสิว่ามึงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว” ก้อนทองเค้นเสียงถาม
สินธุกัดฟันจนเป็นสันนูน
“ไอ้ก้อนมึงอย่ามาเสือก เรื่องมิตรก็เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ก็อีกเรื่อง"
“อีกเรื่องอะไร เรื่องเดียวกัน  ลูกมึงสองคนเป็นเกย์ไป  ก็อาจเพราะบาปที่มึงไม่เคยสำนึกบุญคุณคนที่ช่วยชีวิตมึงก็ได้นะ  กูแนะนำอะไรให้อย่างไอ้ธุมึงวางทิฐิซะบ้าง  แล้วโลกจะมีความสุข  ไอ้ห่านี่มึงจะมองโลกในมุมมึงอย่างเดียวแล้วก็เกลียดตุ๊ด เกลียดคนไปทั่ว  มึงนี่ไม่บ้าก็เพี้ยนแล้ววะกูว่า” ก้อนทองกอดอก
สินธุมือสั่นตอนที่ชี้หน้าก้อนทอง
“ฝากไว้ก่อนนะไอ้ก้อน  อัสกลับบ้าน  ไปคุยกันที่บ้าน”
อัศวะมองหน้าเดฟ  แล้วกำลังจะเดินไปตามบิตาไป
แต่ตอนนั้นนั่นเองเขาก็เห็นคนหน้าตาคุ้นเดินปรี่เข้ามา  มือถือมีดเล่มหนึ่งอย่างเปิดเผย
“ไอ้ชั่ว” หนุ่มร่างสูงแต่ผอมตะโกนแล้ววิ่งเข้ามา
สินธุตกใจผงะถอย  แต่ไม่อาจหลบหนีได้ทัน
คมมีดชำแรกเนื้อผ่านเข้าไปในช่องท้อง  แต่ไม่ใช่ของสินธุ   ร่างของอัศวะทรุดลง 
เดฟตกใจทว่าก็ถลันเขารับร่างนั้นไว้ได้
เขารีบถอดเสื้อตัวเองออกแล้วหุ้มรอบบาดแผลไว้โดยไม่ได้ดีงมีดออก
“อัส อัส” เขาเรียกไปด้วยตอนที่พยายามห้ามเลือด
ก้อนทองได้สติก่อนใคร รีบเข้ามาสมทบ
“เรียกรถพยาบาลสิ  ยืนงงอะไรอยู่ไอ้ฮ้อย”
 
บัวแก้วร้องห่มร้องไห้มาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาลพอเห็นหน้าลูกคนโตก็ผวาเขากอด
“เป็นยังไงบ้าง อัสเป็นยังไงบ้าง”
ปติมากอดปลอบโยนมารดา
“หมอกำลังช่วยอยู่ค่ะ แม่ใจเย็นนะคะ”
แล้วเขาก็หันไปหาสินธุที่ก่อนหน้านั่งก้มหน้าอยู่ เงยมามองภรรยา
บัวแก้วเหมือนจะรู้จึง ผละจากลูกคนโต
“ถ้า ลูกฉันเป็นอะไร ฉันจะเล่นงานคุณ  คุณมันใจร้าย  เห็นไหมลูกมันรักคุณแค่ไหน  คุณน่ะคิดแต่ตัวเอง  ไม่เคยคิดถึงลูก  พอกันทีฉันจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายลูกอีกแล้ว คอยดู  ถ้าลูกเป็นอะไร ฉันจะหย่ากับคุณ”
ฮ้อยหันมองหน้ากันกับพ่อ 
ก้อนทองเลยออกหน้า
“ใจเย็นน่าคุณนาย  อย่าพึ่งใจร้อน  หมอกำลังพยายามช่วยอยู่”
บัวแก้วสงบลงนิดหนึ่ง  เพราะจำก้อนทองได้
เห็นมีเลือดอยู่ที่เสื้อผ้าของก้อนทองด้วยก็เดาได้ว่าก้อนทองคงเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยปฐมพยาบาลลูก
เดฟนี่นั่งทรุดพิงเสาอยู่กับพื้นโดยสวมเสื้อของคอกลมสีขาวที่นางพยาบาลเอามาให้มองไปแล้วก็ก้มหน้ากลับมองพื้นหน้าสลดเหมือนเดิม
แต่ประเดี่ยวห้องก็เปิดออก เดฟอยู่ใกล้ที่สุดจึงถึงตัวหมอก่อน
“หมอครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
ตอนนี้ทุกคนกรูกันเข้ามามุง 
หมอมองไปรอบๆ
“ตอนนี้หมอช่วยไว้ได้ แต่ต้องดูด้วยว่าจะติดเชื้อไหม เพราะโดนอวัยวะสำคัญ”
 
จุ๊ยพึ่งจะเสร็จจากงานใหญ่เดินออกมาจากอาคารที่จัดงานมาก็เห็นอาราอิยืนรอเขาอยู่
“เป็นไงบ้าง” อาราอิถาม
“ก็ดีมั๊ง คนดูก็ปรบมือกันนี่” จุ๊ยตอบ  พอส่งกล่องแซกโซโฟนให้อาราอิแล้วก็เอามือเย็นๆจับที่แขนเขา
“ดูสิมือยังเย็นอยู่เลย  ตอนทอดพระเนตรมา หัวใจไปอยู่ตาตุ่มเลยหล่ะ”
ปกรณ์ทีเดินตามออกมาได้ยิน
“แต่ก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของเธอนั้นล่ะ  ทรงมีรับสั่งชมเชยด้วยไม่ใช่เหรอ นี่ก็ทรงให้เลยเอาเงินพิเศษมาฝากให้ด้วยนะ”
แล้วก็ส่งซองสีขาวให้
จุ๊ยหันไปยกมือไหว้เข้าไปในงานที่ยังดำเนินต่อไป
 
พออาราอิขับรถออกมา  และฟังเรื่องของจุ๊ยจบแล้ว
เขาจึงเริ่มต้นเรื่องสำคัญ
“เดี่ยวเราไปโรงพยาบาลกัน  อัสเขาถูกแทง”
จุ๊ยตกใจ
“เฮ้ย ทำไมหล่ะ  โดนแทงได้ไง แล้วเป็นไงบ้าง”
อาราอิไม่ได้หันมา แต่ตอบ
“ก็ เท่าที่ฟังจากฮ้อยเห็นว่าคนแทงเขาจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสเข้าไปรับมีดแทน  ก็เลยเจ็บ  ตอนนี้ยังโคม่าอยู่เลย เห็นว่าเสียเลือดมากแล้วก็โดนจุดสำคัญ”
 
อัศวะที่มีสายระโยงรยางค์นอนสลบในภาวะวิกฤติ  จุ๊ยอดไม่ได้ที่จะใจหายตอนที่ได้เห็นหน้าเพื่อน
“หมอบอกว่า โดนตับ กับกระเพาะอาหาร เลือดตกใน” ปติมาอธิบายอาการของน้องชาย
“รถ มันติดกว่าจะถึงโรงพยาบาลก็เสียเลือดไปมาก  แต่ยังดีที่มาทัน  ก็เลยกู้อาการได้ทัน ตอนนี้ก็ต้องดูอาการก่อน ถ้าผ่านคืนนี้ได้ก็ปลอดภัย”
จุ๊ยถอนหายใจเฮือก
หันไปมองเดฟที่นั่งเงียบแต่ตามมองที่หน้าของอัศวะตลอด
“นี่ก็ไม่ยอมกินอะไรเลย  แต่ยังดียอมกินน้ำบ้าง แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ” ปติมาบอก
อาราอิจึงเดินไปที่ส่วนของชุดพักพ่อน  แล้วนั่งลงข้างๆ  เอามือจับที่บ่าของเดฟเพื่อปลอบโยน
“เมื่อกี้ก็มีนักข่าวมา  เพราะนายอัสก็ดังพอสมควร พรุ่งนี้คงขึ้นหน้าหนึ่งแน่ๆ” ปติมาถอนหายใจบ้าง
 
เพราะโดนจุ๊ยกล่อมแกมบังคับ  เดฟก็ยอมตามออกมาที่ห้องอาหารเพื่อกินข้าวเย็น
ตอนที่เดฟกินเขากินอย่างซังกะตาย  จนอาราอิกับจุ๊ยต้องมองหน้ากัน
“เฮ้ยมึงอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิวะ  หมอก็บอกแล้วไงว่ามีโอกาสสูงมากๆ” จุ๊ยกล่าวแล้วจับที่แขนของเดฟ
เดฟมองหน้าจุ๊ยแล้วถอนหายใจออกมา
“ผมยอมแพ้จริงๆแล้ว  พูดไปผมก็มีส่วนรึเปล่า ที่ทำให้ครอบครัวเขาทะเลาะกัน”
อาราอิก็เอามือจับหัวไล่ของเดฟ
“แต่คราวนี้ไม่เกี่ยวกับนายนี่  คนแทงเขาตั้งใจจะแทงพ่อของอัส  แต่อัสมันมารับแทนพ่อ  มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย”
 
เดฟเดินกลับมาที่ส่วนไอซียู พยาบาลก็บอกว่ามีคนเอากระเป๋ามาฝากไว้ คงเป็นคนรับใช้ที่บ้านซึ่งเดฟโทรศัพท์ไปบอกให้เอาเสื้อผ้ากับของใช้มาส่งให้
แต่พอเข้าไปภายในห้อง ปรากฏว่าพบกับสินธุที่นั่งคุยอยู่กับปติมา
“นายเดฟ  ฉันขอคุยด้วยสักหน่อย” สินธุกล่าวแล้วลุกขึ้น

 
เดฟตามสินธุออกมาที่ส่วนพักพ่อนของโรงพยาบาล
“ขอบใจมากที่ช่วยปฐมพยาบาล  เพราะถ้าไม่มีใครมีสติตอนนั้น คงแย่” สินธุกล่าว
“แต่ยังไง ฉันก็ต้องบอกตามตรงว่าฉันยังทำใจเรื่องของเธอกับอัสไม่ได้”
เดฟถอนหายใจเบาก่อนจะตอบ
“ไม่ต้องห่วงครับ  ผมจะไปจากเขามันทีที่เขาพ้นขีดอันตราย  แล้วคุณลุงจะไม่ได้เห็นผมอีก”
สินธุเงียบไป
“แล้วอัสจะยอมเหรอ  ถ้าเธอทำอย่างนั้น เกิดนายอัสไม่ยอมขึ้นมา ทำอะไรโง่ๆ ฉันไม่ต้องเสียลูกไปตลอดกาลเหรอ” สินธุกล่าวออกมา
“ฉันยังไม่ได้ยอมรับพวกเธอ  แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้มีชีวิตอยู่ก็เพราะเพศเดียวกับพวกเธอกระโดดน้ำลงไปช่วยเอาไว้  จนเขาตายไปเสียเอง  แล้ววันนี้นายอัสก็ยังมาช่วยฉันไว้ทั้งที่ฉันขัดขวางเธอกับเขาซะขนาดนั้น  ฉันคงไม่สามารถอ้างความชอบธรรมอะไรมาบังคับลูกไปตามใจตัวเองได้อีก”
เขาสูดลมหายใจก่อนจะกล่าวต่อไปโดยมีความงุนงงจากแววตาของเดฟจับอยู่

“เธอ กับอัสจะคบกันหรือเลิกกัน  ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งอีก  แต่อย่าหวังว่าฉันจะยอมจนถึงขั้นแต่งการแต่งงาน เอกเริก  ฉันยอมไม่ได้หรอกนะแบบนั้น  ถ้าพวกเธอจะทำอย่างนั้น ฉันจะค้านจนตายกันไปข้างเลย  คอยดูสิ”
แล้วก็เงียบไปนาน  ก่อนเขามองหน้าเดฟอีกครั้งแล้วกล่าวออกมา
“ไปสิ.. จะนอนเฝ้าไข้ไม่ใช่เหรอ  ฉันมีเรื่องจะคุยกับปัติอีกเยอะ  ไปเปลี่ยนกับเขา เขาจะได้กลับบ้าน”
เดฟยังงง เขาก็เลยยกมือไหว้สินธุก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น โดยยังไม่สามารถประติดประต่ออะไรได้  แต่ก็รู้ว่าสินธุจะไม่ขัดขวางเขากับอัศวะอีก...  แต่ตอนนี้เดฟสับสนจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่

สินธุถอนหายใจยาวแล้วก็เดินออกไปบ้าง

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 77 : หลิว การกลับมาเช็คระยะครึ่งทาง/ อาราอิ เราแยกกันสักพักนะจุ๊ย /จุ๊ย...สับสน
ก้อนทองกับสินธุมองหน้ากันนานแล้ว จนกระทั้งก้อนทองพูดออกมาก่อน
“กูขอโทษ  กูพูดแรงไป  ไม่น่าจะรื้อฟื้นเรืองนั้นต่อหน้าลูกๆมึง”
สินธุถอนหายใจ แล้วยกกาแฟมาจิบก่อนตอบ
“กูก็เป็นอย่างมึงพูดจริงๆนี่หว่าไอ้ก้อน  แต่มึงจะหวังให้กูเปลี่ยนทันทีหลังจากเหตุการณ์นี้คงไม่ได้  ไม้แก่มันดัดยากเข้าใจใช่ไหม”
ก้อนทองถอนหายใจบ้าง
“ก็ไม่คิดหรอกว่ามึงจะเปลี่ยนทันที  อย่างน้อยก็คือเรื่องลูกๆ  อย่างน้อยบัวแก้วเขาก็พูดถูก  มึงไม่ควรจะทำแบบนั้นอีก  ไม่อย่างนั้นชีวิตครอบครัวของมึงคงพัง”
สินธุพยักหน้าช้าๆ
“แต่ มันทำใจยากนะ  มึงจะให้กูทำใจต้องเห็นลูกสองคนกลายเป็นแบบนี้ คนหนึ่งเคยเป็นนักกีฬาแต่โตมาเป็นกระเทย  อีกคนก็ดันรักกับดาราเกย์...” เขาส่ายหัว
“สงสัยจะเป็นกรรมของกูจริงๆนั้นล่ะวะ”
ก้อนทองมองหน้าเพื่อน
“เอาวะ  นี่กูก็เดือดร้อนไม่แพ้มึง  ลูกกูกับลูกมึงก็ทำท่าจะขอบกัน  แล้วนี่ถ้ามันเกิดคิดจะอยู่ด้วยกันจริงๆ มิต้องกลายกูเป็นญาติกับมึงไปอีกเหรอวะ”
“เป็นญาติกับกูแล้วไม่ดียังไง  ตระกูลกูเป็นตระกูลขุนนาง  มึงได้ดองด้วยก็บุญหัวแล้ว” สินธุกล่าวอย่างมีอารมณ์
“โถๆ ตระกูลกูก็นายฮ้อยเก่าเว้ย  มีเงินมีทองมากโขมาแต่บรรพบุรุษ  ถ้าวัดกันเฉพาะภาคอีสาน ขุนนางตกยุคมีหวังตกระป๋อง” ก้อนทองเถียง
หลังจากนั้นสองสหายเก่าก็เถียงกันไปอีกหลายคำก่อนจะประสานหัวเราะออกมา
 
อัศวะพื้นขึ้นหลังจากสลบยาวเป็นเวลาเกือบห้าวัน  แต่หลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
แล้วก็อีกหลายวันต่อมาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ 
อัศวะตัดสินใจลาออกจากบริษัทค่ายเพลง แล้วก็ตอบคำถามของนักข่าวอย่างชัดเจนว่าเรื่องข่าวลือของเขากับเดฟว่า
“ผมกับเดฟคบหากันอยู่ จริงๆ  ผมกับเขารักกัน  ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก”
จุ๊ยที่นั่งดูการสัมภาษณ์นั้นผ่านโทรทัศน์ภายในห้องนอนของอาราอิ เขายิ้มออกมา
อาราอิพึ่งออกจากห้องน้ำทันการสัมภาษณ์ก็เดินมานั่งข้างจุ๊ย
“ถ้าเป็นฉัน  นายว่าฉันควรจะตอบว่ายังไง”
จุ๊ยหันมองหน้าอาราอิ ตอนนี้เขายังไม่ได้มองหน้าจุ๊ย แต่มองโทรทัศน์

“ฉันก็จะบอกกับสื่ออย่างนั้น  และฉันก็ยอมออกจากวงการบันเทิงเหมือนกัน” อาราอิกล่าวแล้วหันมาสบตาจุ๊ย
“แต่ก่อนที่ฉันจะทำอย่างนั้น  ฉันต้องการให้นายค้นหาใจตัวเองให้เจอ  เพราะวันนี้คือวันที่ 22 ธันวาคม พรุ่งนี้หลิวก็จะมาแล้ว  ระหว่างนั้นฉันจะไม่ติดต่อกับนาย  ให้นายใช้เวลากับเธอให้เต็มที่ แล้วหาคำตอบให้ตัวเอง”
อาราอิกำลังจะลุกขึ้น 
แต่จุ๊ยดึงเขาไว้ ก่อนจะกอดแน่น
"ขอฉันกอดหน่อย" จุ๊ยกล่าว
อาราอิจุมพิตที่หน้าผากของจุ๊ย  หัวใจมันปรารถนาจะครอบครอง ทว่าเขาก็จำใจต้องปล่อยจุ๊ยไป  คืนนี้จะเป็นการกอดครั้งสุดท้ายหรือไม่  ก็ไม่แน่ 
ดังนั้นเขาจึงยิ่งกอดจุ๊ยแน่น เพื่อสัมผัสถึงความอบอุ่นจากกายที่เขารักที่สุดอย่างเต็มที่

 
ที่สนามบินจุ๊ยมองตารางขาเข้าของไฟท์ที่หลิวจะเดินทางมาซึ่งเป็นแสดงเป็นคำว่า Landed สีแดงมานานเกือบสามสิบนาที
“เดี่ยวก็คงมาแล้ว” ซ้อกล่าว แล้วหันไปมองหน้าสามี
แล้วเจ๊กฮั้วบิดาของหลิวทำหน้าตื่นเต้น
“นั่นไง”
จุ๊ย หันไป เห็นหญิงสาวในชุดขาวทั้งชุด เสื้อเชิ้ตมีระบายสีขาว กับกางเกงขายาวรัดรูปสีขาวล้วน  รองเท้าส้นสูงคู่งาม เธอเดินมากอดมารดาอย่างดีใจ แล้วก็หันไปกอดบิดา
“คิดถึงป๊าจังเลย”
“สวยขี้นเยอะเลยนะ” มารดากล่าวชมเชย
“ก็สวยเหมือนม๊าไงคะ” เธอกล่าวแล้วก็กอดอีกที
พอคลายการกอด เธอก็หันมาหาจุ๊ยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“จุ๊ยหล่อขึ้นเยอะเลยนะ  ดูแปลกไปจากนักเรียนหัวเกรียนตั้งเยอะ” แล้วเธอก็ยิ้มส่งใบหน้าให้สว่างสดใส  ใบหน้าแต้มสีสัน ทำให้ดูแปลกตาไป  เรือนผมที่เคยผูกไว้แบบเด็กนักเรียนก็ปล่อยสยายดัดเป็นรอนคลื่น
จุ๊ยยิ้มออกมา
“หลิวก็เหมือนกัน สวยมากเลย”
แล้วโดยที่ไม่คาดคิด หลิวก็เข้าควงแขนจุ๊ย
“ยังรักษาสัญญาของเรารึเปล่าจุ๊ย  หลิวกลับมานี่ก็จะมาเช็คระยะครึ่งทางนะ”
จุ๊ยไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
สองสามีภรรยาก็มองหน้ากัน โดยไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีกับสิ่งที่ลูกสาวแสดงออก
 
 
อาราอิพึ่งจะเสร็จจากงานถ่ายแบบ มีเวลาอีกมากกว่าจะไปงานต่อไปซึ่งเป็นช่วงค่ำ

เขาก็เลยขี้เกียจจะกลับบ้านแต่ไปนั่งเล่นที่ร้านกาแฟในศูนย์การค้าแทน
นี่ก็ห้าวันแล้วนับจากหลิวกลับมา  และเป็นห้าวันแล้วทีเขากับจุ๊ยไม่ได้พูดจากัน
เขาถอนหายใจ  แล้วก็บอกตัวเองให้เข้มแข็ง เพราะไม่แน่ว่า คืนทีเขานอนกอดจุ๊ยไว้นั้นอาจเป็นสัมผัสสุดท้ายที่เขาได้รับจากจุ๊ยก็ได้
“กาแฟไหมจุ๊ย” เสียงหญิงสาวกล่าวอย่างสดใส  เดินผ่านประตูเข้ามาภายในร้าน
เธอควงแขนชายหนุ่มหน้าจีนเอาไว้
“ไม่เอาหรอก  จุ๊ยกินแค่วันละแก้ว ขืนกินตอนนี้นอนไม่หลับพอดี”  เขาปฏิเสธ
“ทำไมหลิวเปลี่ยนไปเยอะจัง  นี่ก็กินกาแฟเก่งขึ้นนะเนี่ย”
“ยัง มีอะไรเปลี่ยนอีกเยอะ  แต่หัวใจหลิวไม่ได้เปลี่ยนด้วยนะจุ๊ย  หลิวยังรักจุ๊ยเหมือนเดิม” เธอกล่าวแล้วก็ควงจุ๊ยเดินไปที่เคาร์เตอร์
ในมุมที่ใกล้ประตูนั้น  อาราอิที่นั่งหันหลังอยู่ถึงกับต้องหลับตาลง
 
ได้เครื่องดื่มมาคนละแก้ว หลิวกับจุ๊ยก็มาเลือกที่นั่ง ทั้งสองเลือกนั่งที่โซฟาใกล้กับประตูตรงที่มีแนวต้นไม้เทียมประดับ
“ตกลง คืออ๊อดก็คบกับพี่สรรค์ ส่วนฮ้อยก็กำลังไปได้สวยกับพี่ปัติ  ส่วนเดฟกับอัศวะก็เปิดตัวคบกัน” หลิวกล่าวซึ่งเป็นเรื่องต่อจากที่จุ๊ยเล่าให้ฟังก่อนจะเข้าร้านกาแฟ
“น่าอิจฉาจังเลยเนอะ”
จุ๊ยยิ้มมุมปาก
ตอนนั้นหลิวตักครีมกิน  แล้วมีครีมเปื้อนที่ปาก  จุ๊ยก็หัวเราะน้อยๆ แล้วก็เอากระดาษทิชชู่ไปเช็ดให้
“โตแล้วนะ กินเป็นเด็กไปได้ ระวังหน่อยสิ” จุ๊ยกล่าวแบบเอ็ดๆ
หลิวทำจมูกเชิด
“ก็มีจุ๊ยคอยเช็ดให้นี่น่า”
จุ๊ยมองหน้าเธอแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
แม้หลิวจะเปลี่ยนไปมาก แต่รอยยิ้มของเธอก็ยังงดงาม
“แล้วโยชิ เอ่อมมม จุ๊ยเรียกว่าอาราอิสินะ  เป็นยังไงบ้าง” หลิวถามออกมาหลังจากกินครีมจนหมดแล้ว
ตอนนั้นจุ๊ยได้ยินเสียงคล้ายการขยับตัวอย่างเร็วแต่ก็แค่นิดเดียวจากด้านหลังของพุ่มไม้เทียม
“ก็เป็นดาราของเขาไป  ยังแสดงหนังกับละครหลายเรื่อง ถึงกระแสเริ่มซาลงแล้วแต่ก็ยังเรียกว่าดังอยู่” จุ๊ยตอบไปเรื่องงานแทน
“ไม่สิ” หลิวปฏิเสธออกมา
“หลิวหมายถึงเรื่องแฟน  เป็นยังไงบ้าง เขามีแฟนไหม”
จุ๊ยต้องเงียบไป เขากำลังหาคำตอบให้หลิว
แต่แล้วก็มีเสียงจากด้านหลังเหมือนมีคนหลายคนกำลังมุ่งมาโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆซึ่งคั่นไว้ด้วยพุ่มไม้เทียม  เขาเลยหันไปมอง
“พี่โยชิใช่ไหมค่ะ” เด็กสาวกล่าว
“ครับ” เสียงตอบออกมา  แล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน
“หนูขอเซลพี่กับพี่หน่อยนะค่ะ”
อาราอิพยักหน้า แล้วก็ปล่อยให้เด็กสาวหลายคนมายืนล้อมตัวเขาไว้  แล้วใช้กล้องจากมือถือบันทึกภาพอยู่หลายภาพ
“ขอบคุณนะคะ” แล้วเด็กสาวทั้งกลุ่มก็พากันออกไป
อาราอิมองตามไปแล้วก็หันมา  แต่ตอนนั้นเขาพบว่าสายตาของจุ๊ยจับอยู่กับเขา
“โยชิ” หลิวเป็นฝ่ายเรียกออกไปก่อน
อาราอิจึงเลี่ยงไม่ได้เดินอ้อมพุ่มไม้มาทักทาย
“สวัสดี  นี่หลิวใช่ไหม  จุ๊ยเล่าเรื่องหลิวให้ผมฟังเยอะมากเลย ตัวจริงสวยมาก สวยกว่ารูปที่จุ๊ยเอามาอวดอีกนะนี่”
หลิวยิ้มแก้มปริ
อาราอิชำเลืองมองจุ๊ย ตอนนี้แววตาของจุ๊ยพลุ่บลงมองแก้วเครื่องดื่มร้อนของเขา
“ไงจุ๊ยพาแฟนมาเดท  หน้าตาแจ่มใสหน่อยสิว้า” เขาตบบ่า
จุ๊ยเงยหน้ามอง  แล้วกลายเป็นว่าทั้งคู่เงียบไป
แต่อาราอิก็เป็นฝ่ายทำท่ามองนาฬิกาก่อน
“โอยแย่ล่ะ  ผมมีงาน  ผมไปก่อนนะ” อาราอิหันมาบอกแก่หลิว
แล้วเขาก็เดินออกไป  แต่ถอยกลับมา  หยิบกระดาษเคลือบมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตสีเข้มที่เขาสวม
“ผมมีตั๋วหนังอยู่สองใบ  ไปเลือกเรื่องทั่อยากดูหน้าโรงได้เลย  ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไปดูหนังกันก็ได้นะ”
หลิวรับตั๋วมาแล้วยิ้ม
“ขอบคุณมากเลย  โยชินี่ใจดีจัง”
อาราอิทิ้งรอยยิ้มแบบที่เรียกว่ายิ้มโปรยเสน่ห์แล้วก็เดินออกมา
พ้นมาได้สักระยะ ก็มองกลับไป  เห็นหลิวกำลังจับแสดงตั๋วหนังให้จุ๊ยดูอย่างร่าเริง จุ๊ยก็ยิ้มตอบแล้วคงจะถามว่าหลิวอยากดูเรื่องอะไร
ในใจของอาราอิช่างปวดร้าว  เขาเดินออกจากตรงนั้นไปเพื่อให้พ้นเสียจากภาพบาดตา
หลิวเอาตั๋วหนังเก็บใส่กระเป๋าสะพาย 
เป็นจังหวะให้จุ๊ยหันไป  เขาได้เห็นเพียงหลังของอาราอิที่เดินหลายลับไปในหมู่คน 
อยากจะกอดร่างนั้นเหลือเกิน.. แต่ได้แค่นิ่งเฉย  อยากพูดคุยกลับไม่ได้เอ่ยปากออกไป.. อยากจะจุมพิตแต่ทำได้แค่เม้นปากเอาไว้.. หัวใจของอาราอิจะเป็นเช่นนั้นเหมือนเขาบ้างไหม จุ๊ยอยากรู้

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 78 : บททดสอบสู่โลกแห่งดนตรี
จุ๊ยอ่านเอกสารที่อาจารย์ปกรณ์ให้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว  ซึ่งเขาก็สองจิตสองใจมาโดยตลอด 
แต่ หันไปมองบ้านซึ่งที่เขาห่วงใยในวันนี้  ตอนนี้เจ้าซัวกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้านแทนเขาไปแล้ว  ซัวกับป๊าดูจะมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  คงเพราะต้องอยู่ด้วยกันทั้งวัน  แล้วเจ้าซัวก็เหมือนจะไปได้ดีกับการค้าขาย  เพราะมันก็เป็นคนพูดเก่งและช่างประจบประแจงอยู่แล้ว  ก็เลยสนิทกับลูกค้าประจำได้อย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เหมือนกับว่าป๊าจะมีคนช่วยอย่างเต็มตัวแล้ว
ตอนนี้ข้ออ้างต่างๆของเขาหายไปเกือบหมดแล้ว..
“ยัง ไงพรุ่งนี้คุณก็ต้องไปให้ได้นะ  เพราะผมพึ่งได้รับโทรศัพท์จากทางสถาบันว่าถึงคุณจะไม่ได้ส่งใบตอบรับกับคืน มา พวกเขาก็ยินดีจะให้คุณเข้าทดสอบอย่างเต็มใจ” อาจารย์ปกรณ์บอกแก่เขาทางโทรศัพท์เมื่อตอนเย็นนี่เอง
จุ๊ยจึงเปิดตู้แล้วก็เอาแซกโซโฟนออกมา
จากนั้นก็เอาโทรศัพท์มากดหมายเลขที่กดมากที่สุด
 
อาราอิกำลังอาบน้ำ  พอเสียงโทรศัพท์ดังเขาก็รู้ว่าเป็นจุ๊ยโทรมาแน่นอน เพราะเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงจำเพาะของจุ๊ย
จิตใจก่ำกึ่งระหว่างจะรับหรือไม่รับ
จุ๊ยเริ่มต้องถอนหายใจเพราะ เสียงสัญญาณนั้นดังต่อเนื่องมานานมาก 
อา ราอิคงไม่อยากคุยกับเขาเป็นแน่  ถ้าเป็นเขาก็คงเหมือนกัน  ถ้าเขาต้องเจอกับเรื่องเมื่อกลางวันเหมือนอาราอิ  เขาอาจไม่สามารถทำหน้าระรื่นให้หลิวได้เหมือนกับที่อาราอิทำแน่นอน
เขาถอดใจและกำลังจะวางสาย
“จุ๊ย” เสียงนั้นเรียกผ่านสายมา
อาราอิคงไม่รู้ว่านั้นทำให้จุ๊ยถึงหัวใจพองโต
“มีอะไรรีเปล่าโทรมาซะดึกเลย” อาราอิถามไป
จุ๊ยเงียบไปก่อนจะตอบ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปทดสอบกับสถาบันต่างประเทศ  เขามาคัดเลือกคนไปเรียนต่อ  ฉันอยากให้นายไปดู..การทดสอบจะเริ่มตอนบ่ายโมงนะ”
อาราอิเงียบไป แล้วตอบ
“ไม่รู้สิว่าจะไปทันไหม  ฉันมีงานเยอะมากเลยวันพรุ่งนี้”
จุ๊ยเงียบแล้วถอนหายใจ
“นายโกรธฉันรึเปล่าวันนี้”
อาราอิเงียบไปนานจนจุ๊ยหวั่นใจ
“ไม่หรอก  ฉันทำใจไว้แล้วล่ะ  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจุ๊ย  อย่าห่วงฉัน  แต่ให้นายตัดสินใจให้เด็ดขาด  เพราะฉันต้องการความเด็ดขาดจุ๊ย”
 
อาร์ทเปิดห่อพัสดุจากDHL เพื่อตรวจสอบ  ภายในมีกล่องแซกโซโฟนโซบราโนใหม่เอี่ยม ราคาแพงระยับ
เขาเอามันตรวจสอบก่อนจะเพื่อจะส่งมอบให้ลูกค้าคนหนึ่งที่สั่งมันมาเพื่อให้คนสำคัญของเขา 
Selmer Paris Series III Model 53 Jubilee Edition โซปราโนแซกโซโฟนราคาแพงนี้  ดูจากตัวของมันก็เห็นถึงความหรูหรา ลำตัวสีรมดำ คีย์และส่วนประกอบอื่นเป็นสีทอง ทำให้น่ามองอย่างยิ่ง  แต่ที่ทำให้อาร์ทอดยิ้มไม่ได้  คือหากแม้ว่ามันไปอยู่กับเขาคนนั้น  พลังเสียงของมันจะน่าตื่นตะลึงขนาดไหนหนอ
 
จุ๊ย นั่งฟังการอธิบายของเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในห้องเล็กข้างหอประชุม ของมหาวิทยาลัย  หันมองไปก็เห็นผุ้เข้าทดสอบมากหน้าหลายตา  และหลากหลายชนิดเครื่องดนตรี  แต่จุ๊ยถูกจัดให้นั่งในหมู่ของผู้เข้าทดสอบประเภทWoodwind ซึ่ง เท่าที่เห็นก็มีมีราวยี่สิบคน  เท่าที่จุ๊ยรู้  คนที่มารวมตัวกันนี้ทั้งหมดเป็นคนที่ทางสถาบันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงออเคสต ร้าที่มีชื่อเสียงที่สุดวงหนึ่งของโลกที่อยู่ในอังกฤษ ได้ออกจดหมายเชิญให้มาทำการทดสอบทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะคนไทย แต่มีคนหลากหลายจากประเทศเอเชีย
“ครับ สำหรับขั้นตอนในการทดสอบก็จะเป็นอย่างที่อธิบายไป  ผมหวังว่าทุกๆคนจะใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อจะผ่านการทดสอบ  โดยจะมีเพียงห้าคนจากพวกคุณหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสนี้” เจ้าหน้าที่ซึ่งแนะนำตัวก่อนหน้าว่าเป็นหัวหน้าคณะกรรการสรรหาบุคลากรกล่าว
“แต่อย่างไรก็ดี  ผมต้องขอบอกว่าพวกคุณทุกคนเป็นคนเก่งมาก  แม้พวกคุณจะไม่ได้ไปกับเรา  แต่ขอให้อย่า ท้อถอย  เพราะยังมีโอกาสสำหรับพวกคุณเสมอในวงการดนตรีที่กว้างใหญ่นี้  สำหรับผม การตัดสินใจเดินทางมานี้  ผมก็หวังจะได้พบกับเพรชเม็ดงามที่ทางเราได้เล็งเห็นมาเฉิดฉายบนเวทีระดับ โลก  แม้เพชรเม็ดงามนั้น จะเคยปฏิเสธเรา  แต่เราก็ตื้อให้เขามาให้ได้  แล้วก็ดีใจที่เขามาร่วมอยู่กับพวกเราด้วย  ดังนั้นวันนี้พวกคุณนอกจากจะได้ทำการแข่งขันแล้ว พวกคุณก็ได้เปิดหูเปิดตากับความสามารถของคนอื่นด้วย  ผมขอให้คุณใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่  ขอบคุณครับ”
ประโยคนี้ทำให้จุ๊ยรู้สึกแปลกๆ  เหมือนกำลังถูกพูดถึงอย่างไรชอบกล
แม้จะมีหลายคนเลือกทำการซ้อม  แต่จุ๊ยแค่วอร์มแล้วก็ออกมายืนฟังการแสดงของผุ้เข้าทดสอบคนอื่นๆ จากด้านหลังเวทีของประชุม
เขา มีสีหน้าบันเทิง แล้วก็แอบตบมือกับทุกคนที่เข้าแข่งขัน  มันเป็นการแสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่  เขาตื่นเต้นมากกับโอกาสนี้  โลกนี้ยังมีนักดนตรีมากมายที่มากความสามารถ  มันทำให้จุ๊ยรู้สึกว่ายิ่งอยากจะเดินไปบนเส้นทางสายนี้อย่างที่สุด
“ทำไมไม่เข้าไปซ้อมล่ะ  รอบหน้าจะเป็น Woodwind แล้วนะ” ชายคนหนึ่งถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ
“ประเดี่ยวพลาดจะเสียดายเอานะ”
จุ๊ยหันมายิ้ม  เขาจำได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสถาบัน
“ผม ซ้อมมาแล้วครับ  ที่จริงก็อยากซ้อม แต่ผมอยากดูมากกว่า  มันน่าตื่นเต้นมากเลยที่ได้เห็น  ผมยอมไม่ผ่านดีกว่ายอมพลาดโอกาสที่จะได้ฟัง  มันยอดเยื่ยมมากเลย”
ชายหนุ่มวัยราวสี่สิบมองหน้าหนุ่มน้อย
“เธอชอบดนตรีมากเลยสินะ”
“ครับ... ผมชอบ  มันสนุกมากเลย  ผมชอบมาก” ชายหนุ่มตอบแล้วเขาก็เงียบเพราะเสียงเปียโนที่กังวานหูดังขึ้น
“โอ...เยื่ยม” เขาทำท่าปรบมือ 
ชายหนุ่มมองหนุ่มน้อยคนนี้ด้วยรอยยิ้ม
“เขา ไม่ได้มีแค่ความสามารถ  เขาคือคนที่หลงใหลในเสียงดนตรี  สำหรับนทีธาร  ดนตรีคือสิ่งที่ทำให้เขาบันเทิง  เขารักดนตรี มากกว่าอยากจะเป็นนักดนตรี  สำหรับผม  เวลาเขาเล่น  เขาไม่ได้สนใจว่าทำมันออกมาดีแค่ไหน  เขาแค่เล่นดนตรีที่เขารักก็แค่นั้น” สหายชาวไทยเคยบอกเอาไว้
มี นักดนตรีมากมายในโลกนี้  หลายคนตั้งเป้าหมายจะโด่งดัง หลายคนตั้งเป้าหมายจะสร้างผลงานชิ้นเอก  แต่มีกี่คนที่แค่รักดนตรีแล้วก็แค่อยากเดินทางสายดนตรีโดยไม่ใส่ใจว่าตัวเอง จะยืนอยุ่ตรงไหน
ขอ ให้คุณได้เดินบนเส้นทางนี้อย่างสนุกแล้วกันนะ  ผมอยากร่วมงานกับคุณมากจริงๆ เขากล่าวในใจ แล้วเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป กระนั้นก็ยังไม่วายจะหันมามองใบหน้าที่กำลังเพลินกับเสียงเพลง
 
รอบ ของWoodwindก็เริ่มต้นขึ้น  จุ๊ยรออยู่ด้านหลังเวที  แต่เขาก็ไม่ได้เบื่อเลย เพราะชื่นชมกับเสียงเพลงของผู้เข้าทดสอบคนอื่นจนลืมไปเลยว่าตัวเองก็คือผู้ เข้าทดสอบ
พอ ถึงตาตัวเอง จุ๊ยก็ถือแซกโซโฟนอัลโต้ออกมายืนหลังม่าน  เขาพยายามมองออกไปในหมู่คนที่เข้าฟังซึ่งมีทั้งนักเรียนดนตรี ญาติผู้เข้าทดสอบ  และคนภายนอกที่รู้ข่าวเดินทางมากันจนเต็มหอประชุม  เขาเห็นอ๊อด ฮ้อย อู๊ด วาทิต และเพื่อนร่วมคณะหลายคน  มองต่อไปอีก ก็มีป๊ากับซัวที่นั้งอยู่ใกล้กับหลิงในชุดสวยมองมาบนเวทีอย่างตื่นเต้น  แต่ไม่มีเขาคนนั้น...
“นายจะไม่มาจริงๆเหรอ..  นายเคยบอกว่ารักเสียงแซกของฉัน  แต่ทำไมนายไม่มา”
 
“The next  Musician Mr. Natheethan  Jang” พิธีกรประกาศ
อ๊อดเป็นต้นเสียงปรบมือแล้วร้องเชียร์  ไม่ใส่ใจว่าใครจะมองมาอย่างไร 
วาทิตหันมองหน้าพี่ๆที่กำลังส่งเสียงกันลั่นหอประชุม
จุ๊ยก้าวออกมายืนกลางเวที กวาดตามองไปรอบ  เขายกแซกโซโฟนให้สัญญากับเพื่อนๆ
“นี่ใช่ไหม นทีธาร..” คนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ที่เขาว่ากันว่าเก่งมาก”
 
จุ๊ยยังคงมองหาต่อไป ใจก็ภาวนาว่าให้มาทีเถอะ
แล้ว ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ จะตอบคำอธิฐานนั้น  ร่างสูงปรากฏตัวจากตรงประตูที่เปิดออก  ดวงหน้าที่คุ้นเคยแย้มรอยยิ้ม  เขาเข้ามาพร้อมกับกล่องแซกโซโฟนอันเล็ก
จุ๊ยยิ้มตอบรอยยิ้มที่เห็นได้ไกลๆ  แค่นี้เขาก็มีกำลังใจมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
หลิวเห็นสายตาของจุ๊ย  เธอจึงหันไปตามแนวสายตานั้น  ร่างสูงโปร่งนั่งลงแล้วเธอจึงได้เห็นแค่ชั่วขณะเดียว
“Aria for alto Saxophone”  พิธีกรประกาศชื่อเพลง
จุ๊ยเอาเมาท์พิชเข้าไปปากไปหนึ่งครั้งเพื่อเตรียม Reedให้ ชุ่มพอดี  จากนั้นก็สงบนิ่งเพื่อฟังเสียงเปียโน  พอถึงโน้ตของเขา  จุ๊ยก็เริ่มต้นเป่าโดยขยับออกจากแสตนท์โน๊ต  เพราะมันจะเกะกะสำหรับการเคลื่อนไหว
เสียง เพลงที่ดังในท้วงทำนองแช่มช้า  แซกโซโฟนของจุ๊ยเปล่งเสียงพลิ้วไหวและต่อเนื่องไปอย่างกับสายน้ำดังชื่อเขา  ทั้งความแม่นยำ ความไพเราะ และพลังที่ถ่ายทอดแม้จะเป็นเพลงช้า  ครั้งถึงเสียงสูงน้ำเสียงนั้นเปล่งออกมาได้อย่างพอดิบพอดีกับอารมณ์เพลง 
นี่คือบทเพลงของสายน้ำ  สายน้ำแห่งดนตรี..
คน กรรมการที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด  ไม่มีใครเริ่มต้นจด หรือทำอะไรกับกระดาษในมือ ทั้งหมดกำลังหลับตาลงปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงร่ายมนต์แห่งสายน้ำ ในบทเพลงคลาสสิกที่ประพันธ์โดย Eugène Bozza
“คุณเกินไปจากระดับที่เราจะเก็บเอาไว้แล้วนทีธาร  คุณจำเป็นต้องโบยบินไปสู่โลกที่กว้างใหญ่” ปกรณ์กล่าวออกมา
บทเพลงจบ  Standing operating กระทำเริ่มโดยคณะกรรมการท่านหนึ่ง  แล้วก็กลายเป็นทั้งหอประชุม  แม้แต่นักเปียโนที่บรรเลงร่วม 
จุ๊ยโค้งให้กับคนดู  แล้วหันไปหานักเปีนโนวัยหนุ่ม ยื่นมือออกไป
“I am looking forward to play with you again, See you soon” นักเปียโนหนุ่มกล่าวออกมา  เขาคือนักเปียโน Solo ตัวนำของวง

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 79 : ไปสู่ท้องนภาอันกว้างไกล จุ๊ยกับอาราอิ ต่างคนต่างไป..
บรรดาครอบครัวและเพื่อนของจุ๊ยรออยุ่ด้านนอก  เพื่อรอให้จุ๊ยออกมาจากหอประชุม
พอจุ๊ยเดินออกมาเขาก็ยิ้ม  แสดงว่าผลการทดสอบออกมาดี
“ได้ใช่ไหม” ฮ้อยถามด้วยความตื่นเต้น
“อืม.. มันแน่อยู่แล้วก็กูเก่ง” จุ๊ยแกล้งคุยอวด
เพื่อนก็เฮกันลั่นด้วยความดีใจ 
คนที่ยิ้มไม่หุบอีกคนตั้งแต่ในตอนที่มีคนลุกขึ้นปรบมือให้จุ๊ยคือป๊า
“ดีแล้วดีแล้ว” ป๊าพูดซ้ำๆตอนที่จุ๊ยมาบอกใกล้ๆ
“อาม๊าลื้อต้องดีใจมากแน่นอนเลย”
“หลิวรู้อยู่แล้วว่าต้องได้” หลิวกล่าว
จุ๊ยก็ตอบด้วยรอยยิ้ม
ระหว่างเดินๆไปที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย จุ๊ยก็หันไปหันมาตลอด  ซัวสังเกตเห็น
จึงเดินเข้ามาประกบ
“หาเฮียอาราอิใช่ไหม แกกลับไปแล้ว มาทักทายป๊าแล้วก็กลับไปเลย”
จุ๊ยหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าแทบทันที
แต่เดี่ยววาทิตก็เดินเข้ามาใกล้
“เฮียครับ  พี่โยชิฝากนี่ไว้ให้เฮียครับ  เขาบอกว่าเป็นรางวัลที่ได้รับทุน  แล้วก็ยินดีด้วย” เขาบอก
“ผมก็กลัวพี่สาวคนนั้นจะเห็นก็เลยไม่กล้าให้”
สิ่งวาทิตส่งให้เขาคือกระเป๋าใส่แซกโซโฟนโซบราโน่ไม่ผิดแน่
 
ค่ำคืนนี้ช่างเงียบงันแม้ดาวบนฟ้าก็ยังไม่สดใส  อาราอิถอนหายใจแล้วเดินกลับเข้ามาภายในห้อง ปิดประตูแล้วหันไปเปิดเครื่องปรับอากาศ
เขาเอาโทรศัพท์มากดดูภาพที่ถ่ายไว้กับจุ๊ย
ไม่มีสักรูปที่จุ๊ยจะไม่ทำท่าทางทะลึ่ง ทะเล้น  ทำไมหนอผู้ชายหน้าตาธรรมดา ตลก คะนองคนนี้ทำให้เขายิ้มได้แม้แต่แค่ภาพถ่าย
แต่ระหว่างนั้น โทรศัพท์ก็เปลี่ยนหน้าจอ เป็นหน้าสายเรียกเข้า
“ไฮท์นามิจัง” อาราอิกรอกเสียงพยายามให้สดใสที่สุด
แต่ทว่าเสียงที่ตอบมานั้นช่างเศร้าสร้อย  นามิจังเริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่ทำให้อาราอิต้องนั่งฟังเงียบๆโดยไม่ได้ตอบโต้ใดๆ
 
เนื่องจากใกล้จะปีใหม่ เธอจึงชวนจุ๊ยไปไหว้พระ และทำบุญ  จากนั้นก็พากันมานั่งพักในสวนแห่งหนึ่งกลางกรุง
หลิว นั่งมองเด็กหลายๆคนวิ่งเล่นกันในสนามเด็กเล่น  หลิวยิ้มออกมาตอนที่เห็นเด็กสามคน  หนึ่งชายสองหญิงกำลังเล่นกัน เดี่ยวหนึ่งเด็กหญิงคนหนึ่งก็ล้มแล้วร้องไห้จ้า เด็กชายก็รีบเข้ามาปลอบโยน  เด็กหญิงอีกคนก็ช่วยกันปลอบ  แต่ก็ดันร้องไห้ออกมาบ้าง เด็กชายเลยต้องปลอบทั้งสองคน
“เห็น แล้วนึกถึงตอนเราเป็นเด็ก  แต่ก่อนเราสามคน หลิว จุ๊ย แล้วก็ออยเคยเล่นกันแบบนี้เหมือนกัน” หลิวกล่าว เธอยิ้มให้กับเงาสะท้อนของอดีตกาล
จุ๊ยสะดุ้งนิดหน่อยกับชื่อของออย
หลิวยังไม่ได้หันมา เธอยังมองเด็กทั้งสามที่สองเด็กหญิงหยุดร้องไห้แล้ว เด็กชายจึงพาเดินออกไปจากสนามเด็กเล่น
“หลิวรู้แล้วหละจุ๊ย เรื่องของออยน่ะ”
จุ๊ยตกใจ  แต่ยังรักษาอาการมองหน้าเธอเงียบๆ
“หลิวรู้จากเพื่อนที่เรียนที่เดียวกับจุ๊ย และออยนั้นล่ะ  แต่ไม่นานออยก็โทรมาเคลียร์กับหลิวเอง  สารภาพตามตรงกับหลิว  แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้เขาเลิกกับจุ๊ยไปแล้ว” เธอกล่าวต่อไป
“ตอน นั้นหลิวบอกตามตรง ว่าโมโหจุ๊ยมากเลย  แต่พอออยอธิบายเรื่องทั้งหมด  กลับรู้สึกว่าจุ๊ยเป็นคนจิตใจดีมาก  ขนาดออยยังบอกว่าเธอเสียดายที่ลูกในท้องของเธอไม่ใช่ลูกของจุ๊ย  เพราะจุ๊ยดีกับเธอเหลือเกิน  แต่เธอก็รักคนที่เธออยู่ด้วยปัจจุบันนะ”
แล้วหลิวก็หยิบโทรศัพท์มาเข้าโปรแกรมไลน์ ซึ่งแสดงรูปของออย อุ้มเด็กน้อยวัยราวๆขวบเอาไว้ โดยมิเนติกอดประคองอยู่ข้าง
จะว่าไป  จุ๊ยก็ไม่เจอออยเลยตั้งแต่วันทีแยกกันหน้าคอนโดมิเนียมของเธอ 
“ออยยังบอกว่าที่จุ๊ยยอมคบกับเธอตอนแรกเพราะออยเอาหลิวมาขู่  ซึ่งตรงนี้หลิวดีใจมากเลยนะ “ หลิวหันมายิ้ม
จุ๊ยมองรอยยิ้มของเธอแล้วรู้สึกดี ทว่าเธอกลับหันไป เงียบไปนานก่อนจะกล่าว
“จุ๊ยจะไม่เล่าเรื่องของโยชิให้หลิวฟังจริงๆเหรอ”
จุ๊ยนึกอยู่แล้วว่าเธอต้องรู้ เพราะถ้าเธอรู้เรื่องของออยได้  ทำไมจะรู้เรื่องของอาราอิไม่ได้
“แล้วที่หลิวได้ยินมา มันเป็นยังไงล่ะ”
หลิวถอนหายใจแล้วมองไปไกลๆ
“จุ๊ยควรจะบอกหลิวด้วยตัวเองมากกว่า  เพราะหลิวอยากได้ยินจากปากจุ๊ย”
จุ๊ยถอนหายใจ
“ก่อนจะฟังเรื่องอาราอิ  หลิวควรจะรู้เรื่องของพี่ไตรก่อน  เพราะจริงเรื่องของพี่ไตรนั้นล่ะที่ทำให้จุ๊ยรู้ว่าจุ๊ยไม่ได้เหมือนผู้ชาย คนอื่นๆ  จุ๊ยชอบผู้ชายด้วยกัน”
หลิวหันมามองหน้าจุ๊ย  เธอยิ้มแต่มันขมขื่นอย่างไรชอบกล
“ก็รู้นั้นล่ะ  จุ๊ย.. หลิวไม่ได้โง่หรอกจะ  แต่หลิวพยายามคิดในแง่บวกเหมือนที่จุ๊ยเคยสอนหลิวเสมอ  แต่มันก็อดคิดไม่ไหวหรอก  เพราะตอนนั้นจุ๊ยกับพี่ไตรสนิทกันเกินเพือนจริงๆ  สายตาตอนที่จุ๊ยมองพี่ไตร มันลึกซึ้งมาก” หลิวบอกตามตรง
“แต่หลิวตอนนั้นก็ชอบจุ๊ยมาเสียจนไม่กล้าพูดอะไร  แล้วพอพี่ไตรตายจุ๊ยก็กลับมาเป็นปกติ หลิวก็เลยคิดว่าจุ๊ยน่าจะหาย”
จุ๊ยหัวเราะเบาๆกับคำว่าหาย
“จุ๊ยไม่เป็นโรคนะหลิว  จุ๊ยเป็นเกย์  มันหายกันไม่ได้หรอก มันมีแต่เก็บเอาไว้ได้  แต่ก็ไม่ได้ตลอด.. เพราะที่สุดจุ๊ยก็มีอาราอิอีก  เพราะอย่างนี้จุ๊ยถึงไม่กล้ารับเป็นแฟนกับหลิวไงหล่ะ”
หลิวถอนหายใจ
“แล้วถ้าไม่มีพี่ไตร ไม่มีอาราอิ  จุ๊ยจะรักหลิวไหม”
จุ๊ยหันมองหน้าเธอ แล้วก็หันไปมองเด็กๆวิ่งเล่น
“หลิว.. บอกตามตรง  ถ้าจุ๊ยไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน จุ๊ยก็จะชอบหลิวนะ  เพราะหลิวเป็นคนน่ารักมาก  รอยยิ้มของหลิวทำให้โลกสวยงามมากจริงๆ  แต่ปัญหาคือจุ๊ยเป็นเกย์  ต่อให้จุ๊ยเก็บกดไว้แล้วคบกับหลิวไป  สุดท้ายก็อาจมีสักวันที่จุ๊ยทำให้หลิวเสียใจ  ซึ่งจุ๊ยทำไมได้จริงๆ” เขาเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป
“สำหรับ จุ๊ย  หลิวคือคนที่จุ๊ยห่วงใย  หลิวมีความสำคัญกับจุ๊ย  จนจุ๊ยไม่อยากทำให้หลิวเสียใจ  ดังนั้นในเมื่อเลือกไม่ได้  จุ๊ยก็ต้องขอเป็นแค่เพื่อนกับหลิวเท่านั้น”
หลิวเงียบไปชั่วระยะ แล้วก็พยักหน้าช้า
“ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ อย่างน้อยจุ๊ยก็ยังชอบหลิว  แล้วก็แคร์ความรู้สึกของหลิว แค่นี้ก็พอแล้วล่ะจุ๊ย  แค่นี้เองที่หลิวต้องการ”
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป
“โยชินี่เขาเป็นคนน่ารักเนอะ  นี่เขาจะเป็นยังไงบ้างหนอ  ที่หลิวเอาแฟนเขามาควงอยู่ตั้งหลายวัน” หลิวกล่าวออกมา
“มิน่าหละจุ๊ยถึงรักเขา  เพราะเขาเป็นคนน่ารักแบบนี้นี่เอง”
จุ๊ยไม่ได้ตอบ แต่หลิวก็รู้ดีว่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้จุ๊ยเสียใจ
เธอจึงกล่าวต่อไป
“ในเมื่อจุ๊ยสารภาพแล้ว ตาหลิวสารภาพบ้างนะ” แล้วเธอก็เอาโทรศัพท์ รูปหนุ่มหน้ามนใส่แว่นตาให้ดู
“พี่วิน  เขามาจีบหลิวตอนที่อยู่ที่โน่น  พี่เขาเป็นคนน่ารักแล้วก็เรียนเก่งมาก  ช่วยเหลือหลิวทุกอย่างและดูแลหลิวตลอดเลย”
จุ๊ยมองเห็นแววตาที่หลิวกล่าวถึงพี่วินที่ว่า แล้วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมเธอถึงได้ทำใจกับเรื่องนี้ได้ง่ายนัก
“สรุปว่าเราหายกันนะ  หลิวนอกใจจุ๊ย  จุ๊ยนอกใจหลิว  สรุปเราก็เป็นเพื่อนกันต่อไป  เป็นเพื่อนกันตลอดกาล” หลิวยิ้มออกมา

แล้วเธอลุกขึ้นแล้วก็บิดตัวไปซ้ายไปขวา
“สบายใจจังได้คุยกับจุ๊ยแบบเปิดอกแล้ว เรากับบ้านกันเถอะเพื่อน”
“โอเคเพื่อน” จุ๊ยตอบแล้วลุกขึ้น ก่อนจะเดินคู่กันไปกับหลิวในแสงแดดยามเย็น..
 
จุ๊ยกดโทรศัพท์หาอาราอิมาหลายครั้งจนเหนื่อยใจ  เขาอยากจะบอกเรื่องราวที่ได้คุยกับหลิวในวันนี้  แต่ทำไมอาราอิไม่ยอมรับสาย
เขาก็เลยส่งข้อความไปแต่ระหว่างการพิมพ์ข้อความนั้นอาราอิก็โทรกลับมา
“ทำอะไรอยู่น่ะ ฉันโทรทั้งนาน”
“คุยกับนามิจังอยู่” อาราอิตอบ เสียงนั้นมีอารมณ์แปลกๆแฝงมาด้วย
จุ๊ยนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ฉันคุยกับหลิวเรียบร้อยแล้วนะวันนี้ ตอนนี้..”
“จุ๊ย..ฉันขอโทษ  แต่นายช่วยฟังเรื่องของฉันก่อนจะได้ไหม” อาราอิย้อนตอบกลับมา
“ฉันขอโทษ  แต่ฉันกับนามิจัง..”
จุ๊ยไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับตอนที่ฟังเรื่องราวของอาราอิ  เขาวางสายโดยไม่ได้ไปโดยไม่ได้เล่าอะไรให้อาราอิฟัง  เขาหันไปมองโซปราโนแซกโซโฟนที่ยังไม่ประกอบทดสอบเลยด้วยซ้ำ..
มันควรจะเป็นอย่างนี้จริงเหรอ อาราอิ  จุ๊ยอยากจะถามอย่างนั้น
 
บนเครื่องบินที่กำลังจะออกเดินทางไปสู่สนามบินคันไซ ประเทศญี่ปุ่น  อาราอิหันไปมองข้างตัว  ไม่ใช่จุ๊ยที่นั่งข้างๆแต่เป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น
อาราอิถอนหายใจเบาๆออกมาแล้วก้มมองกล่องแซกโซโฟนที่เขาได้รับคืนมา  หัวใจของเขากำลังร่ำร้องอย่างรุนแรงจนเขาต้องปลอบมันด้วยการหลับตาลง
“มัน จำเป็นนะจุ๊ย  แต่ฉันก็อยากจะบอกนายว่า ฉันรักนายที่สุด รักมากจริงๆ ถึงนายจะคิดยังไงก็ตาม  ฉันรักนาย..” อาราอิยังจำคำพูดตัวเองได้ดี.. นั้นคือคำพูดที่เขาพูดกับจุ๊ยเมื่อคืน

 
ผ่านมาหนึ่งเดือนจุ๊ยมัวแต่หัวหมุนกับการทำโน่นทำนี่  ทั้งเรื่องเอกสาร เรื่องวีซ่า และยังต้องเตรียมจัดหาเสื้อผ้าอีก 
เพื่อนๆก็แห่กันเอาข้าวของมาให้  โดยเฉพาะเดฟขนซื้อเสื้อหนาวมาหลายตัวล้วนแล้วแต่ราคาแพง  ส่วนคนอื่นก็หุนกันซื้อข้าวของเครื่องใช้จนสัมภาระของจุ๊ยแพ็คออกมาแล้วกลาย เป็นว่าเกินน้ำหนักจนต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม แล้วยังจะแซกโซโฟนสองตัวอีกต่าง
พอเช็คอินเรียบร้อย  จุ๊ยก็ออกมาหาครอบครัวและเพื่อนๆ ซึ่งก็รวมพ๊งหัวและพี่สาวต่างมารดาของเขาด้วย
“รักษาสุขภาพให้ดี  อย่าหักโหมจนเสียสุขภาพรู้ไหม” ไฮ้จุ๊งกล่าวแก่ลูกชาย
“เฮ้ย ไอ้จุ๊ง อั๊วกำลังจะพูดพอดี” พ๊งหัวขัดขึ้น  แล้วขยับเข้ามา
“ไปแล้วก็อย่าลืมเขียนจดหมายมาบ้างนะ  ไม่ใช่หายไปเลย”
“ป๊า ค่ะ เดี่ยวนี้ไม่ต้องเขียนจดหมายแล้วค่ะ โทรศัพท์ก็มี  โทรมาก็ได้  โซเชียลก็มี เดี่ยวหนูเปิดแอ็คเคาร์ทให้ป๊าคุยกับจุ๊ย” แหวนท้วง
“เออใช่ ลื้อนี่มันโง่จริงๆ” ไฮจุ๊งได้ทีซ้ำเติม
พ๊งหัวหันมองหน้าเพื่อนด้วยความหมั่นไส้
จุ๊ยส่ายหัวก่อนจะหันไปหาน้องชาย
“ดูแลป๊าให้ดีนะเว้ย  อย่าทำตัวเหลวไหล  มีอะไรก็ปรึกษากันก่อนอย่าทำอะไรโดยพละการอีก” จุ๊ยลูบหัวซัว 
ซัวยิ้ม
“ผมไม่กล้าแล้วเฮีย “ เขาตอบแล้วก็กอดพี่ชาย
“ผมต้องคิดถึงเฮียมากๆแน่เลย”
“กูก็เหมือนกัน” จุ๊ยกอดตอบ 
ตี้เห็นดังนั้นเลยเข้ามาโอบน้องทั้งสองเอาไว้
นั้น ทำให้บิดาทั้งสองของจุ๊ยมองด้วยความปิติ  แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ความรักของสามพี่น้องนั้นร้อยเปอร์เซนต์อย่างแน่นอนที่สุด
พออำลาครอบครัว จุ๊ยก็หันมาหาเหล่าเพื่อน
เขากับพวกเพื่อนไปเลี้ยงส่งกันมาแล้วคำพูดก็เลยไม่มากมาย  นอกจากกอดกันที่ละคน  แต่เดฟกอดนานสุดจนอัศวะต้องดึงแขน
“อะไรเล่า” เดฟทำหน้าไม่พอใจ ตอนปล่อยจุ๊ย
“อย่านาน อย่านาน ฉันหึง” อัศวะบอกแล้วควงแขนเดฟแนบแน่น
จุ๊ยหันไปส่งสัญญาญอย่างรู้กันกับฮ้อยและอ๊อด
ก่อนจุ๊ยจะหันไปหาวาทิต
เอามือวางบนไหล่วาทิต
“ตั้งใจฝึกนะ  วาก็เป็นคนมีความสามารถ  เฮียเชื่อว่าวาต้องมีโอกาสดีๆเหมือนเฮีย”
วาทิตยิ้มตอบ
“แล้วผมละ” อู๊ดท้วง
จุ๊ยก็เลยหันมากอดอกมองหน้ามัน
มันก็ทำหน้ายียวนกลับ
แต่จุ๊ยดึงมันเข้ามากอด
“มึง เป็นศิษย์เอกกูไอ้อู๊ด  แต่มึงอย่าลำพองเวลาเล่น  มึงต้องรู้จักผ่อนไปตามเพลง  ไม่อยากนั้นมึงจะทำเพลงเสียเพราะเพลงบางเพลงมันจะต้องใช้ความอ่อนโยน เข้าใจไหม”
อู๊ดน้ำตาซึม
“ครับ อาจารย์  ผมจะทำตามที่พี่สอน และจะทำให้ทุกคนเห็นว่าผมก็เก่งไม่แพ้ใคร เพราะผมเป็นศิษย์ของพี่จุ๊ย”
จุ๊ยปล่อยตัวอู๊ดแล้วเอามือเช็ดน้ำตาออกให้
“เฮ้ยขี้แยว่ะ  มึงนี่”
จุ๊ยหันมองนาฬิกาก็เห็นว่าได้เวลาแล้ว ก็หันไปยกมือไหว้พ่อทั้งสองคน แล้วก็โบกมือลาเพื่อนๆ
แล้วเขาก็เข็นสัมภาระเดินไปสู่ประตูผู้โดยสารขาออก
“เฮ้ยจุ๊ย” ฮ้อยวิ่งตามมาก่อนจุ๊ยจะพ้นประตูไป
ฮ้อยมองหน้าจุ๊ย
“นี่มึงกับอาราอิจะจบกันอย่างนี้จริงๆเหรอ”
จุ๊ยถอนหายใจ
“มันดีแล้วหละ  เขากับฉันก็จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ส่วนอนาคตก็ปล่อยเป็นเรื่องของอนาคต”
“มันดีแล้วจริงเหรอจุ๊ย” ฮ้อยถามเพื่อย้ำ
จุ๊ยพยักหน้า
“นี่หละดีแล้ว ดีสำหรับกู ดีสำหรับอาราอิ แล้วก็ดีสำหรับทุกคน”
 
 อากาศยานทะยานออกไปตามทางวิ่ง
จุ๊ยอยากจะได้มือของอาราอิมากุมมือเขาไว้ในตอนนี้  แต่ก็ทำได้แค่บีบมือตัวเองไว้  เมื่อเครื่องบินเริ่มยกตัวขึ้น
แอร์บัส A380 ทะยานสู่ฝากฟ้าเหมือนกับที่มันทำในทุกเที่ยวบิน  ทว่ามันจะรู้หรือว่ามันกำลังเป็นพาหนะที่นำพาหนุ่มที่จะกลายเป็นตำนานบทต่อไปของโลกแห่งดนตรีไปสู่ท้องนภาอันกว้างไกล

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 80 : Mr. Jerome Jang The Soul Waver Saxophone
The Concertgebouw โรงมหรสพอันยิ่งใหญ่ระดับโลกสำแดงความโอ่อ่าแก่ผู้ชมที่เดินทางมากันแน่นขนัด
ทั้งนี้เพราะพวกเขาทราบว่าจะมีรายการพิเศษที่น่าสนใจอย่างยิ่ง การแสดงพิเศษที่จะมีการเชิญนักดนตรีมีชื่อเสียงมาร่วมแสดง

ตอนนี้วงออเคสตร้าที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก The Royal Concertgebouw Orchestra อยู่ในภาวะพรั่งพร้อม เพื่อเตรียมตัวบรรเลงบทเพลงพิเศษของวัน
พิธีกรมองไปรอบๆตัว
คนดูต่างอยู่ในอารมณ์ที่ตื่นเต้นเนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าบุคคลที่จะเป็นตัวเอกของการแสดงชุดต่อไปนี้คือ เจ้าของราวัล Grammy สาขาดนตรีคลาสสิคประเภทเล่นเดียวและได้รับรางวัลสาขาศิลปินดนตรีคลาสซิกหน้าใหม่ในปีเดียวกัน
แล้วยังได้รับอีกหลากหลายรางวัลไปทั่วยุโรปทั้งที่พึ่งจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ และอยู่ในแวดวงดนตรีระดับโลกมาแค่เพียงสิบปีเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นแฟนเพลงแจ๊ส  เขาก็คือเจ้าของทั้งรางวัลดนตรีแจ๊สประเภทโซโล และอัลบัมแจ๊สประเภท Instrumental ยอดเยี่ยมของปี ทั้งของ Grammy และ MTV ยุโรป
รางวัลมากมายนี้สะท้อนออกมาในชื่อที่นิตยสารดนตรีเรียกขานกันว่า The Soul Waver หรือผู้โบกไหวจิตวิญญาณ
“ค่ำคืนที่พิเศษนี้ เราได้เกียรติจาก Mr. Jerome Jang หนึ่งในยอดแห่งนักแซกโซโฟนแห่งยุค มาบรรเลงเพลง Tableaux de Provence ร่วมกับ The Royal Concertgebouw Orchestra เชิญรับฟังครับ”
ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่ง แล้วโค้งแก่ผู้ชม คอนดักเตอร์ และวงดนตรี 
เมื่อคอนดักเตอร์หันมาถามเขาก็ตอบเป็นภาษาดัชต์ที่เตรียมตัวมาว่าพร้อมแล้ว 
แล้วเสียงเพลงจากวงออเครสต้าก็เริ่มสร้างอารมณ์ราวกำลังเดินทางไปสู่มณฑล Provence อัน งดงามในฝรั่งเศส  ครั้งเมื่อแซกโซโฟนเริ่มต้นบรรเลง  เสียงของมันกำจายคลื่นอันแปลกประหลาดวิ่งไปสู่ใจผุ้ชม  หลายคนถึงกับต้องหลับตาลงเพื่อตัดตัวเองจากโลก และเพลิดเพลินอยู่ในโลกแห่งดนตรีที่งดงามที่สร้างโดยวงดนตรีระดับโลก และนักแซกโซโฟนผู้ลือนาม The Soul Waver Mr. Jerome Jang
เสียง แซกโซโฟนที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน หางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ และพลังที่สอดแทรกอย่างพอเหมาะพอดี  ดวงใจของผู้ชมจึงสั่นสะเทือนเคลื่อนไปอย่างห้ามไม่ได้
กระทั้งเพลงจบ เหล่าคนดูก็ยังคงเงียบงัน  แต่สักครู่เดียวก็ค่อยๆลุกขึ้นแล้วสำแดงการปรบมือแบบ Standing Ovation ให้แก่บทเพลงที่ได้บรรเลงไปอย่างพร้อมเพรียงและกึกก้อง
ชาย หนุ่มก็โค้งให้แก่ผุ้ชม โค้งให้แก่นักดนตรี และเข้าจับมือกับคอนดักเตอร์ระดับโลกและสนทนากันอีกสองสามคำก่อนจะเดินออกไป โดยที่ผู้ชมปรบมือส่งเขาออกไปจนลับสายตา
 
ท่าอากาศยานสคิปโฮล อัมสเตอร์ดัม ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆมาเช็คอินที่เคาร์เตอร์ 
พนักงานชายมองหน้าเขา แล้วก็นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะอ่านชื่อในพาสปอร์ต 
แม้ จะไม่ตรงกับที่เขาคิด แต่เมื่อในเมื่อชายหนุ่มมีกล่องแซกโซโฟนราคาแพงติดตัวมา แถมจ่ายชื้อที่นั่งให้มันด้วยอย่างดี รวมทั้งการการอัปเกรตให้เป็นพิเศษจากสายการบินที่แสดงจากหน้าจอก็เป็น เครื่องยืนยันว่า บุคคลนี้คือบุคคลที่เขาคาดไว้อย่างแน่นอน

“Mr. Jang ผม ขออนุญาต  ขอลายเซ็นคุณจะได้ไหมครับ  ผมต้องการเอาไปให้ลูกชาย เขาต้องการเป็นนักแซกโซโฟน  เขาคงดีใจมาก” เจ้าหน้าที่กล่าว ทว่าก่อนจะส่งบอร์ดดิ้งพาสให้ เขาก็ส่งกระดาษกับปากกาให้เสียก่อน
Mr. Jang ยิ้มอย่างแจ่มใส รอยยิ้มที่ทำให้ผู้พบเห็นรุ้สึกเป็นกันเองและสดใสไปด้วย
“ลูกชายคุณชื่ออะไร” เขาถาม
“มาคัสครับ” เขาตอบ
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วก็บรรจงเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า 
“เพื่อมาคัส  ผมอยากให้คุณตั้งใจฝึกฝน เพราะดนตรีไม่มีทางลัด  มีแต่ทางตรงคือการฝึกฝนเท่านั้น  Jerome Jang”
ชายหนุ่มรับบอร์ดดิ้งพาสไปแล้ว  แล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะเดินออกเคาร์เตอร์ไป
“เขาน่ารักมากเลย” พนักงานสาวอีกคนที่ลอบมองอยู่กล่าว 
“ไม่หยิ่งเลยสักนิด  มิน่าใครต่อใครก็ชื่นชม”
 
Mr. Jerome Jang มองออกไปที่นอกหน้าต่าง เห็นอาคารสนามบินค่อยห่างออกไป
เมื่อเครื่องบินโดยสารตั้งลำ  เขาก็นึกไปถึงครั้งที่เขาเดินทางออกจากประเทศบ้านเกิด นกยักษ์ลำมหึมานั่นพาเขาออกมาพจญภัย 
ตอนนี้การผจญภัยได้สิ้นสุดลงช่วงหนึ่งแล้ว เขาได้พิสูจน์ตนเองและทำให้โลกมีความสุขด้วยเสียงเพลงของเขา 
วันนี้นกยักษ์อีกลำจะพาเขากลับไป  เพื่อไปมอบความสุขให้กับคนที่บ้านเกิด  ครอบครัวของเขาที่ไม่เจอกันนานและเพื่อนฝูงที่ห่างหายไป...
พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ..
กัปตันออกเสียงผ่านลำโพงให้แอร์โฮสเตสเตรียมตัว
ชาย หนุ่มก็เตรียมตัวเช่นกัน  กี่ครั้งที่เขาเดินทางด้วยเครื่องบินไปทั้วโลก แต่มือที่เคยจับกุมมือของเขาเมื่อครั้งแรกที่เขาได้เดินทางทางอากาศ ก็คงยังส่งสัมผัสนั้นมาให้อุ่นทุกครั้งไป
เครื่อง ยนต์เจ็ตครางสั่น ส่งกำลังขับดันไปด้านหลัง เจ้านกยักษ์ทะยานไปข้างหน้า แล้วเหินบินมุ่งสู่ฟากฟ้าเพื่อนำพาเสียงดนตรีที่เคยกล่อมโลกไปกลับกล่อม ประเทศที่เขาจากมาแสนนาน
ประเทศไทย...
 
หน้าโรงมหรสพที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในประเทศไทย  ชายหนุ่มวัยสามสิบต้องหันซ้ายแลขวาตลอดเพราะเขารอคอยคนที่นัดหมายไว้ 

สักครู่เขาก็มองเห็น

“เฮีย มาแล้ว” เขาหันไปหาหญิงสาวหน้าตาไม่ได้งดงามมากนัก ทว่าน่ารักน่าเอ็นดูในชุดสวยเต็มยศเพื่อมาชมคอนเสริ์ตระดับโลกของวงดนตรี ชั้นนำจากประเทศอังกฤษ
“ไอ้ซัว” ผู้ที่เข้าแต่งกายภูมิฐานสมกับอาชีพนายแพทย์ มีหญิงสาวใบหน้าสวยงามในชุดหรูไม่แพ้กัน
“โอ้โหหมวยเล็กสวยเชียวน๊า รัศมีเถ้าแก่เนี๊ยวใหญ่จับระยิบระยับเลยน๊า”
ซัวหันไปมองหน้าภริยา
“สวัสดีค่ะแปะตี้ สวัสดีค่ะซ้อแหวน” หมวยเล็กยกมือไหว้
“ป๊าไม่ยอมมาจริงๆใช่ไหม” นายแพทย์หนุ่มถาม
“อืม.. บอกว่าอีฟังไม่รู้เรื่อง  บอกว่ารอออกวีดีโอจะดูเฉพาะตอน ทีเฮียเขาเล่นอย่างเดียว” ซัวตอบ
“เหมือนป๊าของซ้อเลย” แหวนกล่าวบ้าง
“ก็บอกว่าให้รอมีเทป  จะดูเฉพาะตอนเล่นเดี่ยว  ไม่ยอมมาดูบอกว่าหูไม่ถึง”
“ผม เอาบัตรไปให้ที่โรงเรียน อาจารย์อติก็บอกว่าที่นี่ก็ได้  เขาส่งมาให้ตามจำนวนเด็กในวงโยเลย เห็นว่าเฮียออกค่าใช้จ่ายให้เองด้วย แกบอกว่าเฮียเขาอยากให้รุ่นน้องดูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”
พี่ใหญ่พยักหน้างึกๆ
แล้วก็มีเสียงประกาศเรียกให้ผู้เข้าชมเข้าสู่ห้องการแสดง
ทั้งสี่จึงชวนกันเดินเข้าไป
หนุ่มวัยสามสิบอีกคนผิวขาว จัดยืนละล้าละลัง 
เขาอยากจะเดินตามผู้ชมคนอื่นเข้าไป  แต่ก็เกรงจะคลาดกับคนที่รอคอย
สักครู่หนึ่ง ซึ่งหนุ่มผิวขาวกำลังจะตัดใจแล้วเดินเข้าไป
“วา” เสียงเรียกพร้อมวิ่งเข้ามา
“รอพี่นานไหม ขอโทษนะพี่ติดสอนเด็ก” ชายหนุ่มผิวขาวกล่าวปนหอบ  ก่อนจะควงแขนหนุ่มรุ่นน้อง
“ไปเข้าไปกัน”
วาทิตส่ายหัว
“พี่อ๊อดก็อย่างนี้ทุกทีเลยนะ”
อ๊อดมองหน้าขาวๆของหนุ่มตัวเล็กกว่า
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ.. เดี่ยวพี่ก็จูบซะตรงนี้เสียเลย” ว่าแล้วควงแขน

“อย่าบ้าน่า” วาทิตตอบแล้วก็เดินไปตามแรงดึงของอ๊อด
ทั้งคู่คบหากันมาได้ราวห้าปีแล้ว  หลังจากได้พบกันในงานแสดงคอนเสริ์ตที่ฮ่องกง 
“แฟนเก่าเราล่ะวา” อ๊อดถาม
“พี่อู๊ดแกติดงานคอนเสริ์ตที่อเมริกา แต่แกบอกว่าได้ฟังแล้ว ยิ่งฟังยิ่งท้อ  พี่เขาห่างจากเราไปทุกที ไล่ตามยังไงก็ไม่ทัน”
“ก็ ไม่ต้องไล่  พี่เลิกคิดจะไล่ตามมันแล้ว  เราก็ทำของเราให้ดีที่สุด  ไอ้หมอนั้นมันเกินมนุษย์ไป ก็ต้องให้มันไปอยู่ระดับของมัน  เราคนธรรมดาก็ต้องอยุ่ในระดับมนุษย์ของเราต่อไป” อ๊อดกล่าวเมื่อมายืนเข้าคิว
คนข้างหน้าได้ยินเสียงก็หันมา
“เฮ้ยอ็อด” หนุ่มคนที่ควงมากับหญิงสาวที่มองดีๆก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนคุ้นหน้า
“อ้าวไอ้ฮ้อย พี่ปัติ โอ้โหมาด้วยกัน ไหนว่าเลิกกันแล้วไง” อ๊อดแซว
ฮ้อยกับปติมาก็หันมองหน้ากัน
“ลิ้นกับฟันกระทบกันบ้าง ก็ไม่แปลกนี่  นายไม่เคยทะเลาะกับวาเลยหรือไง” ปติมาตอบ
 
การแสดงเริ่มไปแล้วนิดหนึ่ง  ตอนที่สองหนุ่มมาถึง เขาต้องขออภัยกับคนที่นั่งอยู่ต้นแถวเพื่อขอทางเข้า
“มาสายเชียวนะมึงไอ้อัส” อ๊อดหันมากระซิบ
“ก็ไอ้เดฟสิ  มันติดงาน  กว่าจะเลร็จก็เกือบจะหกโมง  นี่ก็รีบบึ่งมาเลยนะเนี่ย” อัศวะตอบ แล้วเหล่มองหน้าคู่ชีวิตของเขา
เดฟหันมายิ้มแห้งๆ
“แหม่มันก็นิดหน่อยเอง”
 
การแสดงดำเนินไปตามรายการในสูจิบัตร  จนกระทั้งถึงการแสดงที่คนในโรงมหรสพต่างรอคอย
“ลำตับต่อเป็นการแสดงของ Mr.Jerome Jang กับบทเพลง Concerto for Alto Saxophone and Orchestra, Op. 26ประพันธ์โดย Mr. Paul Creston “
คน ดูก็เริ่มปรบมือ  วงออเครสต้าที่สแตนบายรออยู่ก็ลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง  แล้วหนุ่มผิวขาวก็เดินมาบนเวทีพร้อมกับอัลโต้แซกโซโฟน  เขาตอบรับการโค้งของนักดนตรีทั้งหมด  เนื่องจากนี่คือการแสดงสุดท้ายของเขาแก่วงดนตรีที่เขาผูกพันมากว่าสิบปี  การแสดงนี้คือ การแสดงTestimonial ของเขา  นักดนตรีที่คัดมาเล่นในการแสดงแดงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่เล่นร่วมกันมายาวนาน
เขาโค้งให้แก่คนดู แล้วก็หันไปโค้งให้คอนดักเตอร์
ปกรณ์มองไปที่ชายหนุ่ม  ใจระทึกว่าเขาจะได้ยินเพลงจาก The Soul Waver   อยาก จะรู้จริงว่าวันนี้แซกโซโฟนของหนุ่มคนนี้จะทำให้เขาใจสั่นได้ขนาดไหม  และมันจะพัฒนาไปอย่างไรจากที่ฟังครั้งสุดท้ายเมือสิบปีก่อน
อติหันมองหน้าภรรยาทีเป็นอาจารย์ร่วมโรงเรียน วรรณา ทั้งคู่จับมือกัน
เขาหันไปมองหน้าบรรดาลูกศิษย์ที่มาจากวงโยธวาทิตทั้งหลายที่เริ่มมีการตื่นเด้น  เขาส่งสัญญาณให้เงียบ
หันกลับมา  จับตาที่หนุ่มที่ยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่เปลี่ยนไปเลย  อากัปกริยานั้นคือการเตรียมพร้อม...
นี่คือท่าทางเดียวกับที่เขาได้พบกันครั้งแรก 
แล้วงออเครสต้าก็เริ่มต้นบรรเลง  ชายหนุ่มหลับตาลงรอกระทั้งถึงโน้ตของตัวเอง 
เมื่อมาถึงแซกโซโฟน Selmer Reference 54 ส่งมนตราที่สะกดโลกมาแล้วออกมา 
มวลเสียงทีเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและการทิ้งหางเสียงไหวระริกทำให้มวลอากาศรอบๆราวจะปั่นป่วนไป 
อ๊อด รู้สึกตัวลอยขึ้น  เขาหลับตาลงเพื่อดื่มด่ำกับเสียงดนตรีที่เหมือนโอบเขาไว้อย่างทรงพลัง  มันพาเขาไปสู่แดนแห่งจินตนาการดังผุ้ประพันธ์คาดหมายว่าจะนำผู้ชมไป 
และโดยมวลเสียงอันทรงพลังนั้นแม้คนที่ไม่รู้จักดนตรีแนวนี้ก็คงจะไปสู่ดินแดนแห่งดนตรีนี้ได้อย่างง่ายดาย
จินไตรเคยบินไปชมการแสดงของเขาคนนี้มาแล้ว  แต่ครั้งนี้เหมือนเขาจะตั้งใจเป็นพิเศษ 
สิ่งที่ได้รับฟังจึงยิ่งกว่าคำว่ายอดเยี่ยม  กระแสดนตรีนั้นเกินกว่าที่จินไตรคาดหวังไว้  ทั้งที่เขาคาดหวังไว้สูงมากแล้ว
จากเด็กหนุ่มที่เล่น Concerto ในห้องเรียนคนนั้น  กลายเป็นนักดนตรีระดับโลกไม่ใช่สิ่งที่เกินความหมาย 
แต่ที่เกินไปกว่าคาดหมายคือ เขาจะกลายเป็นตำนานบทใหม่แห่งวงการดนตรีอย่างแน่นอนที่สุด
ซัวน้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้  เขาอยากจะให้มารดามานั่งตรงนี้  มาเห็นเฮียคนรองของเขากำลังแสดงมนตราสะกดคนดู 
“อาม๊าเห็นไหม.. เฮียเขามาไกลมาก เฮียเขาเก่งมากเลยใช่ไหม ม๊า”
 ยี่สิบนาทีกว่าๆ  ผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของผู้ชม  แล้วเมื่อมันจบลง ทั้งโรงมหรสพก็สนั่นไปอีกครั้งด้วยปรบมือ Standing Ovation เพื่อสำแดงความขอบคุณแก่บทเพลงอันยอดเยี่ยมนั้น  ยาวนาน ยาวนานมาก...

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 81 : กลับบ้าน
เตียงนอนเก่าแต่แทนที่ด้วยที่นอนใหม่ทำให้มันนุ่มและสบายกว่าเดิม  ห้องยังอยู่ในสภาพเดิมคล้ายกับตอนที่จากไป  ลุกขึ้นจากเตียงมองไปรอบกาย 
เหมือนกับน้องชายจะพยายามรักษาทุกอย่างเอาไว้ให้เหมือนเดิม
ชายหนุ่มเปิดตู้แล้วหยิบเอาแซกโซโฟนอัลโต้ตัวเก่าออกมาดู  แต่เพียงมองมันในกล่องไม่ได้ประกอบ  เนื่องจากคีย์ที่เสียแล้วนั้นไม่สามารถซ่อมแซมได้เหมือนเดิมอีก 
เขาปิดกล่อง  แล้วเดินกลับมองหมวกที่สวมไว้บนกล่องแซกโซโฟนโซปราโน่
“ผมกลับมาแล้วนะพี่  ตอนนี้ใครๆก็เรียกผมว่า The Soul Waver  ผมก็งงนะ  มันเหมือนเป็นผีหรืออะไรสักอย่างที่เขย่าประสาท สั่นวิญญาณคน.. ก็ตลกดีเนอะ... นี่ตกลงเขาชอบเพลงของผมหรือกลัวผมกันแน่”
 
ตอนนี้บ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไป น้องชายคนเล็กซื้อตึกแถวห้องข้างๆอีกสองห้องแล้วตีทะลุชั้นล่างเปิดเป็นร้าน สะดวกซื้อ โดยซื้อเฟรนไชด์ร้านที่เขาเคยทำงานอยู่ ดังนั้นชั้นสองที่คุ้นเคยก็ไม่ใช่ห้องนอนพี่ชายของเขาอีกต่อไป  แต่กลายเป็นโกดังสินค้า  ชั้นลอยไม่มีห้องนอนบิดาของเขาแต่กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนของพนักงาน
ดังนั้นตอนที่ชายหนุ่มเปิดประตูออกมาก็พบกับหนุ่มรุ่นคนหนึ่งกำลังกินบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป แถมเส้นยังคาปาก  ทั้งสองประสานสายตากันด้วยความแปลกใจ
“เฮียใช่ไหมครับ  ผมจาลูกเจ๊กน้อยไงครับ เฮียจำผมไม่ได้แน่เลย”
ชายหนุ่มเริ่มนึกออก  แต่ไม่สามารถประติดประต่อเด็กตัวอ้วนจ่ำม่ำกับภาพหนุ่มวัยสิบแปดที่เรือน ร่างสูงโปร่ง หน้าตาจีนทว่าคมคายคนนี้ได้เลย
“จาเหรอเนี่ย.. โอ้โหตัวโตกว่าเฮียแล้วนะเนี่ย” เขากล่าวบนรอยยิ้ม
 
จาสอนให้ชายหนุ่มใช้เครื่องแคชเชียร์  แต่เขาก็ยังเก้ๆกังๆอยู่ 

ดังนั้นตอนที่เด็กหนุ่มมัธยมที่กอดกล่องไคลิเนตไว้เดินมาชำระเงิน

เขาคงรำคาญ ซึ่งตอนแรกก็หันไปมองนอกร้าน  แต่พอเริ่มต้องรอนานก็มองหน้าชายหนุ่มอย่างขัดใจ
“ขอโทษด้วยนะ... อะได้ละ  สิบห้าบาทครับ” ชายหนุ่มบอก
“ต้องบอกว่ารับขนมปังด้วยไหม ลดราคาอยู่” จาเตือน
ชายหนุ่มก็กำลังจะกล่าว
“Mr.Jangใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มร้องอย่างตื่นเต้น
“ผมเป็นแฟนเพลงของพี่เลยนะครับ ดีใจจังเลยครับ”
 
Mr. Jerome Jang ยืนอยู่บนเวทีในขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังเล่าเรื่องราวระหว่างที่เขาศึกษาที่นี่ให้เด็กนักเรียนที่ยืนเข้าแถวฟัง
“ผมจึงอยากให้พวกคุณถือเป็นแบบอย่าง  และในโอกาสนี้รุ่นพี่ของพวกคุณคนนี้จะมาแสดงดนตรีที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้ฟัง”
นักเรียนก็ปรบมือกันเสียงดัง
ผู้อำนวยการหันมากล่าวและจับมือก่อนจะลงจากเวทีไป
Mr. Jang ก้าวมายืนแทนที แล้วรอให้นักเรียนที่ดูแลเครื่องเสียงจัดการเปลี่ยนชุดไมโครโฟนที่ดีกว่ามาแทนชุดที่ผุ้อำนวยการใช้
“เทสๆ” Mr.Jang กล่าว
“แหม่เดียวนี้ใช้ไมค์อย่างดี  สมัยพี่เล่นเพลงชาติทุกเช้า ไมค์นี่อย่างกับเสียงเป็ดเจ็บท้อง”
นักเรียนหัวเราะกัน
“เออมม ตอนแรกพี่ก็ว่าจะเล่นเพลงอย่าง Concerto แต่ อาจารย์บอกว่าหูพวกเธอคงไม่ถึง  พี่ก็กลัวว่าเธอจะลำบากเดี่ยวจะต้องปีนเสาธงฟังกัน  หรือไม่ก็ต้องวิ่งขึ้นไปฟังบนดาดฟ้า  ก็เลยเลือกเอาเพลงจากอัลบัมแจ๊สมาเล่นแทน” เขากล่าวต่อไปยังคงเรียกเสียงหัวเราะได้
“ถ้าฟังแล้วไม่ชอบใจ รองเท้าก็ไม่ต้องปาขึ้นมานะ  บ้านพี่มีแล้วหลายคู่  แต่ถ้าชอบใจ  ก็ขอแค่เสียงปรบมือก็พอ”
กลายเป็นว่านักเรียนปรบมือกันเกรียว
เขาส่ายหัว...
“ยังไม่ได้เล่นเลยปรบหาอะไรไม่ทราบ ปรบประชดเหรอครับน้องๆ”  พูดแล้วก็ทำตาเหลือกมอง
นักเรียนหัวเราะกันครื้นเคร้ง
หนึ่งในครูที่ยืนอยู่ นอกอตีและวรรณา ก็ยังมีฐาด้วย
“ไม่ฮาไม่ใช่มันจริงๆนะ”
“เอาหล่ะ ทนๆฟังกันไปนะ  ถ้าไม่เพราะก็คิดซะว่าใครเชือดควายให้ฟัง  ก็ฟังไปแก้เซ็งแล้วกัน”
ยังมีเสียงหัวเราะ  แต่ Mr. Jerome Jang ถอยออกจากไมค์มายืน เขาสูดลมหายใจลึกๆหนึ่งครั้ง จรดปากกับเมาท์พีช
ในบรรยากาศยามเช้า  เสียงจากโรงเรียนได้ยินไปไกลพอสมควร  ชาวบ้านแถวนั้นต่างหยุดเพื่อฟัง..  บทเพลงที่เปล่งออกจากแซกโซโฟน เทนเนอร์กำจายพลังของมันสร้างบรรยากาศอันรื่นรมย์ของบทเพลง Killing Me Softly
 
“ครูอติ ไม่ได้คุมวงแล้ว  ตอนนี้พี่ดูแทน" ฐากล่าวตอนที่เดินนำชายหนุ่มไปยังห้องซ้อมดนตรี
แต่พอทั้งสองเข้าไป  สมาชิกวงโยธวาทิตที่รออยู่ก็เริ่มต้นเล่น

บทเพลงที่บรรเลงนั้นคือบทเพลงเดียวกันกับที่ส่งให้วงภายใต้การดูแลชายหนุ่ม เป็นแชมป์ประเทศไทยสมัยที่สาม
ชายหนุ่มถูกดึงเข้าไปสู่บรรยากาศเก่าๆ 

เขายังจำได้ว่าตอนนั้นวาทิตยังเล่นไคลิเนต  แต่ตอนนี้วาทิตคือนักแซกโซโฟนระดับเอเชียที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการดนตรี 
อู๊ดเป่าฮอน แต่ตอนนี้อู๊ดกลายเป็นส่วนหนึ่งในวงดนตรีของเมืองบอสตันในอเมริกา และกำลังทำผลงานได้ดี 
อ๊อดกับฮ้อยตอนนั้นช่วยเขาดูแลวงโยธวาทิตร  ทั้งสองคนหนึ่งกลายเป็นนักไวโอลีนมีชื่อเสียง 
อีกคนกลายเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง ที่แต่งเพลงฮิตให้ศิลปินยุคใหม่ไว้หลากหลายแนวเพลง 
นายเดฟ ดรัมเมเยอร์ตกงานในตอนนั้น  ตอนนี้ก็ยังโลดแล่นในวงการบันเทิง ในฐานะพิธีกร และดาราสมทบมากฝีมือ 
อัศวะตอนนั้นเป็นแค่คนดูแลเครื่องเสียงของโรงเรียนในงานปัจฉิมนิเทศ ก็กลายเป็นผู้สืบทอดกิจการต่อจากบิดา และยังรับร้องเพลงเป็นครั้งคราว 
ตั้มหนุ่มใต้ร่างบึก กลายเป็นอาจารย์พละโรงเรียนดัง ในฐานะอดีกกองหลังทีมชาติ 
ส่วนปอไปได้ไกลว่า  เขาไปค้าแข้งในต่างแดน ก่อนจะกลับมาเป็นตัวหลักของทีมชาติไทยปัจจุบัน และสโมสรชื่อดังในไทยพรีเมียร์ลีก 
แต่น่าเสียดายที่ก้องภพหนึ่งในสหายสนิทในตอนนั้น ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน
เขามองหน้ารุ่นน้อง  มองคนเป่าไคลิเนต ที่ทักทายเขาเมื่อหลายวันก่อน 
ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้อาจคนที่สร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกคนหนึ่ง 
แม้น ว่าเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโต อาจจะไม่ได้เดินทางในเส้นสายดนตรี  แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่า... ความทรงจำในวงโยธวาทิตนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นไปเป็น ผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต
เขาเชื่อในพลังของเสียงดนตรี.. และหวังว่ามันจะนำทางพวกน้องๆเหล่านี้ไปพบเจออนาคตที่ดี...
อย่างที่เขาเคยประสบมาแล้วเช่นกัน...
 
“อะไรนี่มึงจะไปไหนอีกเนี่ย” อ๊อดถามเมื่อจุ๊ยบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเดินทาง
“ญี่ปุ่น” จุ๊ยตอบแล้วคนกาแฟโบราณที่สั่งมาดื่มภายในร้านที่ตกแต่งแบบย้อนยุค ร้านนี้เป็นของอ๊อดเอง  เขาเอาเงินที่สะสมได้จากการแสดงไวโอลีนไปทั่วเอเซียมาเปิดร้าน
“ใช่เฮีย แทนที่จะอยู่นานๆ  ผมกะจะเชิญเฮียไปแจมในคอนเสริ์ตอาทิตย์หน้าเสียหน่อย” วาทิตกล่าวบ้าง
“เฮียไม่อยากฟังผมเล่นบ้างเหรอ”
“เฮียฟังจากเทปหลายครั้งแล้ว  ถึงเฮียจะไม่อยู่แต่วาก็ยังอยู่ในสายตาเฮียอยู่เสมอนะ”  ว่าแล้วก็เอามือจับหัวเหมือนเคย 
รอยยิ้มของเขาก็ยังคงอบอุ่นสำหรับวาทิตเสมอ
“เฮ้ยๆ” อ๊อดท้วง ดึงมือจุ๊ยออก
“นี่แฟนกู เกรงใจกันบ้าง... มิน่าไอ้อู๊ดถึงได้ระแวงมึงนัก”
“มึงจะไปทำไมญี่ปุ่น” อ๊อดถาม
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา
“มันเป็นสัญญา  ต่อให้เกิดอะไรขึ้น กูก็ต้องกลับไปหาเขาให้ได้สักครั้ง”

ออฟไลน์ Andylover

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0
ตอนที่ 82 : ฉันคือจุ๊ยคนเดิมของนายเสมอ อาราอิ... บทอวสาน ดวงใจของสายน้ำ The Water's Pure Heart
 ชาย หนุ่มวัยสามสิบกลางๆยืนกอดอกฟังเสียงเพลงจากวงดนตรีนักศึกษาที่กำลังบรรเลง เพลงแจ็สชื่อดัง พวกเขามีกันสามคน  คนหนึ่งเล่นแซกโซโฟน อีกคนไวโอลีน และอีกคนเล่นคีย์บอร์ด 
นั่นชวนให้ชายหนุ่มนึกถึง The Trio Tenders ตอนนี้วงนั้นกลายเป็นอดีต สมาชิกทุกคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง 
โดยเฉพาะคนหนึ่งกลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากมายทั้งที่อายุยังน้อย
แล้วก็ยังนึกไปถึงวงดนตรีสามคนที่เด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสดใสเป็นนิตย์ชมดูอย่างสนใจ จนเขาอดไม่ได้จะเข้าไปขอร้องให้เขาได้ร่วมแสดง..
“โอโตซัง” เสียงเรียกของเด็กชาย พร้อมร่างเด็กชายวัยราวสิบปีวิ่งมาหาในชุดนักกีฬาเบสบอล
“โชจังอย่าวิ่ง” หญิงสาวเดินตามมา
“จะวิ่งทำไมเดี่ยวก็ล้มไปอีก  นี่ดูสิได้แผลใหญ่เลยเห็นไหม” ว่าแล้วก็ดึงแขนให้ชายหนุ่มดู
“เอาน่านามิจัง  เด็กผู้ชายก็ต้องซนอย่างนี้ล่ะ มีแผลนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า” ชายหนุ่มกล่าวแล้วย่อตัวลงมาเด็กชาย
“ล้างแผลแล้วรึยัง” เขาถาม
“เรียบร้อยครับ  ผมทำตามที่โอโตซังสอนทุกอย่างเลย” โชจังตอบ
“อาราอินายก็เข้าข้างกันเข้าไปนะ  ซนขนาดนี้ไม่ไหวหรอกนะ” นามิจังตอบแล้วส่ายหัว
“กลับกันเถอะ เดี่ยวต้องเปิดร้านอีก” อาราอิกล่าวแล้วก็เดินไปคู่กับโชจัง
นามิจังยิ้มแล้วมองชายหนุ่มก่อนจะเดินไปเคียงข้าง
“เออนี่... วันนี้มีนักดนตรีคนใหม่มานะ  เขาโทรศัพท์มาสมัครงาน  เขาบอกว่าอยากได้งานทำในญี่ปุ่น  ฉันก็เลยให้เข้าทำงานเลย”
“อะไรกัน  ยังไม่ได้มาด้วยตัวเอง ทำไมนามิจังถึงรับเข้ามาเลยล่ะ หน้าตาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้”
“เอาน่า... คนนี้นามิรับรองว่าอาราอิต้องชอบแน่นอน”
“ขนาดนั้นเชียว แสดงว่าต้องมีชื่อเสียง”
“เอาไว้เจอก็รู้เองน่าอาราอิ”
 
The Water’s Pure Heart คือ ชื่อของผับที่อยู่บนชั้นสองของโรงแรมที่อยุ่ในย่านนัมบะ ผับนี้เป็นผับแจ๊สที่มีชื่อเสียงเรื่องการแสดงสด ทั้งนี้เพราะนักแซกโซโฟนชื่อดังของญี่ปุ่นทำงานอยู่ที่นี่ 
แต่อาราอิผู้เป็นเจ้าของร่วมกับนามิจัง กำลังปวดหัวกับการที่อยู่ๆ ซาดากะ โทชิ นักแซกโซโฟนตัวหลักของผับมาลาออกไปเพื่อไปร่วมวงดนตรีแจ๊สชื่อดังของญี่ปุ่น ที่โตเกียว
อาราอิประกาศหานักดนตรีมาเกือบเดือน  ซึ่งนามิจังก็แนะนำว่าควรจะจ้างนักดนตรีมีชื่อเสียงมาแสดงทดแทนไปก่อน  แต่ต่อมาอาราอิก็เริ่มหนักใจเพราะต้นทุนมันสูงมาก หากพวกเขาไม่ได้นักดนตรีใหม่มาเร็ววัน  มีหวังต้องปิดกิจการเพราะขาดทุน
ดังนั้นพอนามิจังบอกว่ามีนักดนตรีใหม่แล้ว  แม้ยังอุบไม่ยอมบอกชื่อเขาก็ยังรู้สึกดี  เพราะตอนนี้นามิจังมีความรู้เรื่องดนตรีมากขึ้นแล้ว คงจะสามารถแยกได้ว่าอะไรคือของดี  และอะไรก็แค่ธรรมดา  เธอคงแน่ใจแล้วว่านักดนตรีคนนี้คือคนที่ใช่
ทว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดมาก.. เพราะทุกวันเขาจะต้องมองยืนมองกล่องแซกโซโฟนโซปราโน่ที่ก็เก็บเอาในตู้กระจก ข้างโต๊ะทำงาน ก่อนออกไปทำงานในร้าน

แต่วันนี้ตู้นั้นว่างเปล่าไม่มีกล่องแซกโซโฟน
“นามิจัง” อาราอิกดโทรศัพท์ออกไปด้านนอก
“ใครเอาแซกโซโฟนตัวนั้นไป”
เขารอสักครู่  ประตูห้องก็เปิดเข้ามา
แต่ไม่ใช่นามิจัง แต่เป็นหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงพอๆกับเขา คิมูระซัง
“อ้อ.. ฉันเอาไปให้นักดนตรีใหม่” เขาบอก
กับคิมูระ อาราอิยังเกรงใจตามภาษาคนที่เด็กกว่า แต่เขาก็ยังไม่พอใจ
“แล้วรุ่นพี่ให้เขาไปได้ยังไง” อาราอิถาม
“ก็เขาบอกว่าเขาต้องใช้โซปราโน่  แต่เขาไม่มีโซปราโน่  มีแต่อัลโต้กับเทนเนอร์  ฉันก็เลยต้องเอาให้เขาไป” คิมูระซังกล่าว
“นายออกมาดูเองดีกว่า เขากำลังจะเล่นแล้ว”
อาราอิรู้สึกหงุดหงิดแต่เพราะคิมูระซังคือสามีของนามิจัง  และเป็นรุ่นพี่ อายุมากกว่าก็เลยต้องเกรงใจ ไม่ได้ตอบโต้ออกไป
จะว่าไปสองคนนี้ที่ได้สมรักสมรสกันก็เพราะอาราอิมากราบขอร้องกับบิดาของนามิจังด้วยตัวเอง 
เขาสารภาพเรื่องราวนอกใจแบบผิดเพศของเขาให้ท่านฟังด้วย ท่านจึงได้ยอมให้อาราอิหย่าขาดจากนามิจัง และยอมให้แต่งงานใหม่กับคิมูระซัง   ซี่งทั้งนี้เพราะนามิจังท้องได้สี่เดือนแล้ว
กระนั้นเขากับนามิจังก็ยังรักษามิตรภาพที่ดี  คิมูระซังกลายเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของเขา และโชจังก็เรียกเขาว่าเป็นพ่ออีกคนหนึ่ง

อาราอิส่ายหัวไปมาก่อนจะลุกขึ้น
อยากเห็นนักว่านักแซคโซโฟนหน้าใหม่คนนี้จะเก่งแค่ไหน  ทำไมทั้งนามิจังและคิมูระซังถึงได้ความสำคัญกันขนาดกล้าเอาของรักของหวงของ เขาไปให้ใช้
ผับนี้ตกแต่งด้วยสไตร์โมเดิร์นด้วยสีสันที่เรียบง่ายแต่งดงาม 
มีพื้นที่ให้เวทียกพื้นที่ใช้ในการแสดงสด  ซึ่งจะมีแกรนด์เปียโนตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้วย 
อาราอิออกมายังไม่ได้เห็นเวทีพื้นยก แต่ได้ยินเสียงปรบมือคนคนดู 
ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงของโซปราโนแซกโซโฟนที่เขาหวงแหนกำลังเปล่งเสียงอันไพเราะ ของมันออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มันถูกเก็บเอาไว้ในกล่อง..
เสียงของมันอัศจรรย์  มันงดงามและทำให้เพลง Petite Fleur ของ Sidney Bechet สว่างสดใสในบรรยากาศของผับแจ๊สที่มีเพียงแสงสลัว
นี่มัน.. ไม่ผิดแน่แล้ว  สักกี่คนในโลกที่จะเล่นได้ระดับนี้ คนที่ลากหางเสียงได้ไพเราะไม่แพ้กับต้นฉบับ  แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ก็เป็นหางเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ หางเสียงที่เขย่าจิตวิญญาณ แม้แตกต่างเล็กน้อยกับการบรรเลงของ Sidney Bechet แต่ก็ทำให้เกิดความงดงามอีกรูปแบบหนึ่งของบทเพลง
บทเพลงตรึงคนฟังให้อยู่กับที่ และเผลอจับที่หัวใจ เพราะนี่คือเสียงของ The Soul Waver ที่สั่นหัวใจคนมาแล้วทั่วโลก

มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้...
ชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าเวที  บนนั้นมีชายหนุ่มในชุดสีดำสนิท  กำลังถ่ายทอดบทเพลงนั้นอย่างเต็มความสามารถ 
เจ้าของที่แท้จริงของโซปราโน่แซกโซโฟนตัวนี้
Selmer Paris Series III Model 53 Jubilee Edition มันเคยรอเจ้าของตัวจริงเป็นเพื่อนอาราอิหลายปี   แต่บัดนี้มันกำลังเปล่งเสียงออกมาอย่างทรงพลัง...
ราวกับมันกำลังร้องบอกอาราอิว่า นี่อย่างไรคนที่เราเฝ้ารอมานับสิบปี...
อาราอินึกไปถึงตอนที่เขาได้รับมันคืนมา
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ 
หนุ่มน้อยส่งยื่นกล่องแซกโซโฟนคืนมา

"ในเมื่อนายจะกลับไปจัดการเรื่องของนามิจัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหนได้ หรือสำเร็จหรือเปล่า.. ฉันก็จะยังไม่รับมันเอาไว้  นายเอามันกลับไปก่อน แล้ววันหนึ่งเมื่อฉ้นกลับมาอีกครั้งฉันจะมาขอมันคืนไป"หนุ่มดวงหน้าจีนกล่าว แล้วจ้องลึกในดวงตาของเขา
"และถ้านายยังเหมือนเดิม และฉันยังเหมือนเดิม ฉันจะไม่จากนายไปไหนอีกเลย"

 เดินมาเรื่อยๆ เพียงสองคน ชายหนุ่มสองคนยังไม่ได้พูดจา  จนกระทั้งเดินมาถึงริมน้ำที่มองไปเห็นชิงช้าสวรรค์ของเทพฟุกุโรกุยูริมคลอง ย่านโดทนโบริ
ทั้งสองยังคงนั่งเงียบต่อไป  มองสายน้ำเต้นระริกล้อแสงไฟ ทำให้เกิดประกายระยิบระยับ
“นายได้เข้าปาจิงโกะบ้างหรือยัง” ชายหนุ่มถาม
อาราอิยิ้มจางๆ
“เข้าแล้ว  ก็คิดถึงนายไงก็เลยเข้าไป  แต่ไม่ได้เล่นละคร หรือหัวเราะโฮ่ๆตอนเข้าไปหรอกนะ”
“แล้วเป็นไง  หมดตูดเลยใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มถาม
“ก็หมดกระเป๋าเลยล่ะ เพราะฉันเล่นเป็นที่ไหนล่ะ” อาราอิหัวเราะใสๆ
แล้วทั้งคู่ก็เงียบไป
“นายเป็นยังไงบ้าง” อาราอิถาม
“ก็.. ลำบากน่ะ  เหนื่อยจะแย่  วันๆหนึ่งซ้อมเป่าแซกจนแก้มป่องแล้วเห็นไหมเนี่ย” เขาเอามือจิ้มแก้มให้ดู
“ไม่ใช่มันป่องเพราะอ้วนหรอกเหรอ” อาราอิตอบบนรอยยิ้ม
“ไม่นะเว้ย... ดูๆนี่หน้าท้องแบนราบ” เขาถลกเสื้อให้ดู
อาราอิหัวเราะ
“นายนี่เหมือนเดิมเปี๊ยบ  เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น”
เขามองหน้าอาราอิที่สว่างขึ้น
“แล้วนายเป็นยังไงบ้าง”
“ก็วันๆก็ทำงานอยู่ที่ผับ พาลูกนามิจังไปเที่ยวบ้าง แล้วก็ทำงาน ชีวิตวนๆเวียนอยู่อย่างนี้”อาราอิตอบ
แล้วก็เงียบไปสักครู่ จนกระทั้งอาราอิเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“เราทั้งคู่ยังเหมือนเดิมรีเปล่า” อาราอิถามแล้วหันมองหน้า  แม้จะมีวัยมากขึ้น แต่ดวงหน้านั้นก็คือดวงหน้าเดิมที่เขาปรารถนาจะได้เห็น
“ก็นายคิดว่าเปลี่ยนไหมล่ะ”  ถามกลับ สบตานิ่ง
“ก็เปลี่ยนนะ  ตอนนี้นายคือ Mr. Jerome Jang  The Soul waver นักคนตรีระดับโลก ส่วนฉันเป็นแค่เจ้าของผับแจ๊สธรรมดาคนหนึ่ง” อาราอิตอบ
“แล้วทำไมนายไม่เรียกฉันว่า จุ๊ยล่ะ.. ในเมื่อสำหรับนายฉันคือไอ้จุ๊ย...” จุ๊ยกล่าวออกไป  แล้วก็กอดร่างนั้นไว้
“ฉันคิดถึงนายทุกวัน  สิบปีมานี่ไม่มีสักวันที่ฉันเป็นคนอื่น  ใครจะเรียกฉันว่ายังไง  แต่ฉันก็คือไอ้จุ๊ย  ไอ้จุ๊ยที่รักนายเสมออาราอิ”
อาราอิดันจุ๊ยออกไปนิดหนึ่ง  เขายิ้มแล้วมองจุ๊ยให้เต็มตา
“ฉันก็เหมือนกัน.. ฉันคิดถึงนาย ทุกวัน... ยิ่งได้ยินเสียงเพลงของนายฉันก็ยิ่งคิดถึง  ฉันรอนานมากให้นายกลับมา”
แม้บรรยากาศรอบตัวในย่านโดทนโบริจะวุ่นวายสักเพียงไร
แต่สำหรับคนสองคนที่รอคอยกันอย่างยาวนาน.. โลกรอบข้างพลันเงียบไป
อาราอิจุมพิตลงที่ริมผีปากแดงๆ  แล้วก็กอดร่างนั้นเอาไว้แนบแน่น..
“ฉันจะไม่ปล่อยนายไปไหนอีกแล้วจุ๊ย”
 เทพฟุกุโรกุยูเหมือนจะมองมา ตอนที่สองคนลุกขึ้นแล้วก็โอบเอวประคองกันเดินไป.. รอยยิ้มของท่านหมายความว่าอย่างไร..
แต่สำหรับคนทั้งคู่รอยยิ้มที่อยู่บนสองใบหน้า  สื่อสารออกมาตรงกันคือความสุขใจ...

สายน้ำที่ทอดยาวเต้นระริกล้อแสงแพรวพราว เหมือนกับมันเริงระบำแสดงความยินดีกับคนที่มีชื่อเป็นสายน้ำ...
จุ๊ย นทีธาร The Water's Pure Heart ที่ทั้งหัวใจมีเพียง โยชิฮิสะ อาราอิ เพียงคนเดียวเท่านั้น

จบบริบูรณ์

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ตามอ่านมาได้23ตอนแล้ว สนุกมากๆเลย

เหมือนเราได้ติดตามชีวิตของจุ้ย ครอบครัว และเพื่อนๆ

จริงๆแอบเชียร์เดฟนะ แต่ชะรอยจะไม่ได้เป็นพระเอกใช่ป่ะ? :ruready

สงสารฮัว ไม่น่าคิดสั่นเลย  :hao5:

ป.ล.อย่าลืมแปะกฎนะ เดียวกระทู้ปลิว

ออฟไลน์ posh

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ nadty27

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 48
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ชอบมากเลย
ร้องไห้ตามตั้งหลายตอน
น่าจะมีตอนพิเศษเนอะ แฮร่ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด