บทพิเศษ
-ความรัก-
*ความรัก…มันเป็นอย่างนี้ มีทุกข์ มีสมใจ
ตัวฉัน…ไม่เคยเข้าใจ ในรัก รักของเธอ
…
โปรดเตรียมใจก่อนอ่าน... ชีวิตเขาดูจะเรื่อยเปื่อยเกินไปหน่อยแล้ว ตื่นเช้าขึ้นมาพบกับแสงแดดจ้าที่ส่องลอดม่านผ่านหน้าต่างมาเข้าตาจนต้องหรี่ตาสักหน่อย แล้วคลานช้าๆลุกจากเตียงนอนหนานุ่ม ก้าวลงไปข้างล่างให้เท้าเล็กสัมผัสพื้นกระเบื้องหนาเย็น สายตาปะทะเข้ากับรูปเดิมๆ กรอบรูปใหญ่ๆที่ถูกแขวนติดผนังห้องซึ่งเป็นมุมที่ตรงกับเตียงเขาพอดี
รูปถ่ายเขากับหมอ…ในวันวาน
“หึ”
ส่งเสียงเพื่อฟังว่าในลำคอเขาจะแห้งผากจากการร้องไห้มากเพียงใด
พบว่า…เสียงที่เปล่งออกมาได้ มันแทบจะไม่มี
แตะแก้มตัวเอง ลูบไล้ไปมา นิ้วเรียวรู้สึกถึงคราบน้ำตาแห้งกรังที่ยังเปรอะอยู่
‘แอบหนีมาร้องไห้คนเดียวอีกแล้ว’
หมอก้มลงนั่งยองๆตรงหน้าเขา เนตรเบือนหน้าหนีหลบสายตาคมไม่ให้มองเห็นน้ำตา คุณยายเคยบอกเขาว่าลูกผู้ชายต้องอย่าอ่อนแอให้ใครเห็น
‘ถูกพวกนั้นล้ออีกแล้วเหรอ ปกติสู้คนจะตาย ไหงมานั่งร้องไห้คนเดียวกัน’
เนตรหันกลับมาจ้องหมอเขม็ง
บางครั้ง…คนเราก็ต้องมีช่วงอ่อนแอบ้าง
‘นี่…เอาไปเช็ดน้ำตาซะ มอมแมมแล้วไม่น่ารักเลย’
หมอยื่นผ้าเช็ดหน้าขาวบางมาตรงหน้าเขา
‘พกด้วย’
‘เปล่า มีคนให้มาน่ะ’
‘ขอบคุณนะ…หมอ’
‘ต้องเติม ‘พี่’ ด้วยรู้มั้ย แต่ ไม่เป็นไรครับ…น้องชาย’
เฮือก!
เขาปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมกับในภวังค์ห้วงคำนึงมากไปจนเดินไปชนเข้ากับกรอบรูป มันหล่นลงกระทบพื้นแข็ง
มันแตกแล้ว…เหมือนกับใจของเขา
ที่แตกเป็นเสี่ยงๆจนยากจะประกอบกลับ
จริงๆด้วย…นึกถึงความคิดของตนเมื่อวันวาน
บางครั้ง…คนเราก็ต้องมีช่วงที่อ่อนแอบ้าง
แต่สำหรับเขา…ช่วงที่อ่อนแอครั้งนี้ มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน
ไม่รู้เมื่อไร
จะกลับมาเข้มแข็งได้ดังเดิม หรือจะอ่อนแออยู่แบบนี้ เรื่อยไป…
ม่านตาที่บดบังด้วยน้ำใสๆที่เอ่อคลอขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้เหม่อมองนาฬิกา ไม่รู้สิ จะว่ามองได้ชัดก็ใช่ จะว่าชินแล้วก็ใช่ เขามองเห็นหน้าปัดนาฬิกาทั้งๆที่มีน้ำตาบดบังทัศนียภาพการมองเห็น
ก็เขา…มองมันแบบนี้มาไม่รู้กี่หนต่อกี่หน
เมื่อนานมาแล้ว…เขามองทุกสิ่งด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แปดโมงแล้วเหรอ
เขาจะมาแล้วสินะ
แกรก
“เนตร”
ดวงตาของพี่เอเบิกกว้างเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าเขาที่ทรุดลงนั่งกำลังจ้องมองกรอบรูปที่แตกกระจัดกระจาย
ร่างสูงรีบก้าวยาวๆตรงมาหาเขา ฉุดกระชากร่างเขาให้ลุกขึ้น
“จะทำอะไรน่ะ”
“หึ”
เพราะลำคอที่แห้งผากแทบเปล่งเสียงไม่ได้ เนตรจึงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะออกไปเพียงเท่านั้น
“พี่ถามว่าจะทำอะไร!!!”
เอเปลี่ยนจากน้ำเสียงราบเรียบเป็นเสียงที่ดังขึ้น เนตรมองการกระทำนั้นอย่างเฉยเมย เขาปัดมือเอออกแล้วก้าวฉับๆไปนั่งลงที่เตียงตามเดิม
“เนตร อย่ามาทำหูทวนลม”
“…”
“โอเค พี่จะเข้าไปเตรียมอาหารให้”
เอเป็นแบบนี้กับเนตรเสมอ
ดีกับเขา…เสมอต้นเสมอปลาย
“บางที…ผมก็อยากให้พี่ด่าว่าผมนะ”
เนตรเค้นเสียงในลำคอพูดออกมาเป็นประโยคยาวๆ เอชะงักมองเนตรที่สีหน้าหม่นหมองลง เนตรเบือนหน้าหนี ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงหน้าปัดนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ยังคงเดินต่อไป
เวลา…ไม่เคยหยุดพัก มันไม่เคยเหนื่อยที่จะเดิน
เดินต่อไป
บางที…มันเยียวยา
บางที…มันสร้างแผล
เวลามีอิทธิพลต่อคนเรามากมายจริงๆ
สำหรับเขา มันไม่ได้เยียวยาหรือสร้างแผลใจ แต่มันผ่านไปอย่างไร้ค่า เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงขนาดนี้ เขาก็ยังตัดใจจากหมอไม่ได้อยู่ดี
“ทำไม… พี่จะต้องมาทำดีกับผม ผมมันก็แค่น้องรหัสเพื่อนพี่”
“…”
“ผมรู้ พี่ไม่ได้นึกชอบอะไรผมทั้งนั้น”
“…”
“พี่กำลังสงสารผม”
“แต่ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร”
“…”
“ที่เป็นอยู่ ตัวผม ฮึก มันน่าสมเพชไม่พอหรือยังไง”
เนตรปล่อยโฮออกมา น้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าทะลักออกมาไหลเปรอะแก้ม ไหลเป็นทางยาวซ้ำกับของเดิมเมื่อคืน เขาซบหน้าลงกับฝ่ามือตัวเอง โดยมีเอจ้องมองเงียบๆ
“พี่เคยมี…”
“…”
“คนรู้จัก ที่เป็นแบบเนตร”
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคมของพี่เอ
“พี่ไม่อยากให้เนตรแก้ปัญหาแบบเขาน่ะ”
“…”
“เขาฆ่าตัวตาย”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน และเสียงสะอึกสะอื้นของเขา
ช่วงเช้าดูจะหม่นหมองจริงๆ
‘คุณยายของมิวเสียแล้ว’
นั่นคือข่าวคราวแรกในรอบหลายอาทิตย์ที่เนตรได้ยินจากปากเอ หลายอาทิตย์ที่เขาเอาแต่นั่งร้องไห้ เสียเวลาไปกับน้ำตาที่หยดลงมาเลอะหมอนไม่รู้กี่หน นอนเพราะเพลียหลับไปไม่รู้กี่ครั้ง ปิดกั้นโซเชียลไม่อยากรับรู้ว่าคนอื่นพูดถึงตนยังไง
เอเองก็เลือกที่จะเงียบ เพื่อให้เนตรสบายใจ
คุณยายของศัตรูเสียแล้ว…
ใช่…เขายังมองมิวอักษรเป็นศัตรู ฝ่ายนั้นแย่งหัวใจเขาไปด้วยอะไรก็ตามที่หมอไม่มีวันอยากได้จากตัวเขา คนที่ใช่ ห่างไกลกันแค่ไหนก็คือใช่
คนที่ไม่ใช่…
ดั้นด้นมาหาเขาสักเพียงไร ได้ใกล้ชิดเขามากมายแค่ไหน มันก็ไม่ใช่อยู่ดี
ถามว่าในความคิดเขาตอนนี้มีอะไรอยู่…
บอกเลยว่าไม่ได้คิดสมน้ำหน้า คิดอะไรเด็กๆแบบนั้นแน่นอน
ในใจตอนนี้มันบอกว่าคิดถึงคุณยายที่สุด…
แต่เขาจะไม่กลับไป กลับไปอยู่ในวงเวียนเดิมๆ ถูกใครบังคับให้เป็นนู่นนี่ ไม่มีคนคอยห่วงใย
แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้…กงล้อเดิมๆ ชีวิตเดิมๆ มันกำลังจะย้อนกลับมาสินะ
เป็นการเปิดดูเฟสบุ๊คครั้งแรกในรอบปี
ตึ๊งๆๆๆๆๆๆๆ
‘ให้ผมดามใจให้มั้ย 089XXXXXXX’
‘น้องเนตรน่ารักอ่ะ ไอ้หมอไม่เอา ให้พี่เอาก็ได้นะครับ หึหึ’
‘พี่อยาก…เอา น้องเนตรมาดูแลแทนจัง’
‘มึงชื่อเนตรเหรอ น่ารักนะรู้ตัวมั้ย’
มีแชทมาหาเขาเกือบร้อย คิ้วเริ่มขมวดสงสัย
เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ เลยรีบกดเข้าตัวแอพเฟสบุ๊ค
มีแจ้งเตือนรัวๆห้าสิบกว่า คลิกเข้าไปดู มีคนแท็กเขาในเม้นใต้คลิปวิดีโอที่ถูกแชร์ว่อน
‘กะหรี่ตัวจริง ดูเลยค่ะ น่าสมเพชยิ่งกว่าอะไร’
นิ้วโป้งอันสั่นเทาคลิกเล่นวิดีโอ
‘พี่หมอ’
เป็นภาพเคลื่อนไหวที่เขาเข้าไปกอดหมอจากทางด้านหลัง แค่นั้น… เพียงแค่นั้นเขาก็ทนดูต่อจนจบไม่ได้ นี่จะต้องให้เสียน้ำตากันไปอีกเท่าไร ถึงจะสาสมกับความผิดที่เขาทำ
แต่บางทีเนตรก็อยากจะถามนะว่า…เขาผิดอะไรกัน
แค่ไม่ใช่…ก็เท่านั้นเอง
หลังจากปิดแอพเฟสบุ๊คไป การอุดอู้อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมคงไม่ช่วยดับความเศร้าหมองและคับแค้นใจนี้ลงได้ คนที่โพสต์คลิปคือใคร? ต้องการอะไรจากเขา? ต้องการเห็นความล่มจม หรือความอับอาย เนตรตัดสินใจอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สดชื่น
เขาคิดว่าลองออกไปเที่ยวถนนคนเดินแถวนี้ คงจะพอทำให้จิตใจไม่ว้าวุ่นได้
ก็ต้องขอบคุณคนโพสต์คลิปนะ…ที่ช่วยเตือนสติเขา
ว่าเวลาเนตรศิตรินล้ม มีคนรอซ้ำอยู่มากโขเลยทีเดียว
หึ พวกขี้อิจฉา
แต่เนตรคิดผิด การมาถนนคนเดินนำความทรงจำเก่าๆที่อุบลกลับเข้ามาในหัว ความทรงจำที่ถูกขุดขึ้นมาจากก้นบึ้งในลิ้นชักของหัวใจ
‘เนตร วันนี้มีถนนคนเดิน ไปป่ะ’
เนตรนึกแปลกใจ เด็กใหม่ที่ย้ายมานี่คือปรับตัวเร็วจริงอะไรจริง
เอาเถอะ…หมอยังมีอะไรอีกมากที่ชวนพิศวง อย่างการท่องสูตรคูณแม่หนึ่งถึงสิบสองยังไม่ได้ แต่ทำโจทย์คณิตได้ทุกข้อ
‘เอาดิ ว่างพอดี ไปกันสองคนเหรอ’
‘เปล่าๆ เพื่อนพี่ก็ไป’
‘อืมๆ’
เขา หมอและผองเพื่อนมาถึงงานถนนคนเดินด้วยการแต่งตัวแบบที่วัยรุ่นทั่วไปฮิตฮอตกัน กางเกงยีนส์กับเสื้อยืด มีแปลกหน่อยคือหมอนึกอุตริสวมหมวกปิดหัวมาหนึ่งใบ
หมวกรูปสิงโตอ่ะ หมวกเด็กน้อยหอยสังข์มากนี่พูดเลย
‘โหหหห เพื่อนกูฮอต สาวมองตรึม’
‘โนโนโน กูมีดวงใจเพียงคนเดียวเท่านั้น’
‘คนนั้นของมึงนี่อยู่ไกลจนความหวังจะได้คบเขาคือริบหรี่มากอ่ะมึง’
บางที เขาควรจะนึกเอะใจมาตั้งนาน ว่าหมอ…ไม่เคยชอบเขาเหมือนที่เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด
เราเดินดูของกันไปเป็นกลุ่ม มีสาวๆเข้ามาทักทายหมอบ้างเป็นครั้งคราว คือหน้ามันนี่แปลกถิ่นคนอุบลจริงๆนะ มันหล่อมาก หล่อใสวัยกระเต๊าะน่ากินน่าลิ้มลอง
‘หือ ชอบอันนี้เหรอ’
มันก้มลงมานั่งยองๆดูกำไลข้อมือกับเขา
ป้าเจ้าของร้านเอาตั่งนั่งมาให้เรานั่งกันคนละตัว
‘ชอบเส้นไหน’
‘จะซื้อให้เหรอ’ เขาถามหมอ
‘อืม พรุ่งนี้ก็วันเกิดมึงแล้วนะ’
เนตรเลิกคิ้ว เป็นครั้งแรกที่มีคนจำวันเกิดเขาได้นอกจากตัวเอง
‘กูว่าเส้นนี้แหละ เหมาะกับมึง’
หมอหยิบกำไลข้อมือที่ตรงกลางมีรูปดวงตาขึ้นมา
‘มันดูน่ากลัวแปลกๆนะ’
‘เหอะน่า กูชอบอันนี้อ่ะ’ สรุปจะซื้อให้เขาหรือตัวเอง
‘อืมๆ’
จ่ายเงินเสร็จพวกเราก็ลุกขึ้นเพราะเกรงใจเจ้าของร้านมาก คือมามุงกันจนคนอื่นไม่กล้าเข้าอ่ะ 555
ผลัก!
ร่างเขาเซเกือบล้มดีที่ได้หมอประคองไว้
มีคนผลักเขา
‘อุ๊ย ขอโทษนะคะ พี่เนตร’
เป็นกลุ่มกะเทยเด็กที่เขานึกเหยียดหยาม สกปรก แรด ร่าน กระตุ้งกระติ้ง เขาไม่ชอบเลย
แต่เขาก็ไม่คิดที่จะโต้กลับ ความเงียบเท่านั้นที่ถูกส่งไป
เด็กพวกนั้นกำลังจะเดินจากไป
‘เดี๋ยว!’
หมอรั้งพวกนั้นไว้ กะเทยเด็กหันมาทำหน้าตาชื่นมื่นทันที
‘ว่าไงค้า พี่หมอ กรี๊ด มึง พี่หมอเรียกเรา’
พวกนางส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันดังจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมอง
‘ขอโทษเนตรเดี๋ยวนี้’
‘ฮะ?’
พวกนางงงงัน
‘ขอโทษเนตรซะ!!!’
หมอตะคอกอีกครั้ง กะเทยเด็กพวกนั้นจึงต้องรีบยกมือไหว้ปลกๆขอโทษเขา เขาไม่คิดจะรับไหว้หรอกนะ เพราะท่าทางที่ทำเหมือนขอโทษเสียเต็มประดา แต่สายตาที่เงยขึ้นจิกกัดเขาเต็มที่ประมาณว่าฝากไว้ก่อนน่ะ เขารับไหว้ไม่ลงหรอก
‘แล้วเงียบทำไม’
‘อะไร?’
‘ทีหลังต้องสู้คนนะ จะปล่อยเขาทำแบบนี้ไม่ได้’
เราเดินกันไป เขาก็ฟังหมอบ่นด้วยใบหน้าเฉยเมยไป
‘สู้ไป คนอื่นก็เอาไปนินทา’
ถ้าเขาตอบโต้ไปมากกว่านี้ คนอื่นก็จะเอาไปพูดต่อๆกันว่าเนตรทำร้ายเด็ก ไม่เคยมีสักครั้งที่ใครจะคิดเข้าข้างเขา แบบหมอ
‘ถึงยังไงก็ต้องสู้ เขาทำผิด เขาทำเราเดือดร้อน เรารู้อยู่แก่ใจก็พอ คนอื่นไม่ต้องมารู้แม่งกับเรา’
‘…’
‘ถ้าไม่มีกูคอยอยู่ข้างๆมึงในสักวัน’
‘…’
‘มึงจะทำยังไง’
เฮือก!
เขาเผลอไปคิดเรื่องเก่าๆอีกแล้ว
รู้ตัวอีกที…ทำไมเท้าพาเดินมาที่ร้านขายกำไลข้อมือได้นะ
“น้องครับ พี่ว่ากำไลข้อมือของน้องเก่าแล้วนะ สนใจกำไลข้อมือพี่สักอันมั้ย”
พี่เจ้าของร้านทักเขา
เขายกข้อมือขึ้นดูกำไลลูกตา อืม…มันเก่าจนสีที่ระบายลูกตาลบเลือนไปหมดแล้ว
ไม่ได้สังเกตเลยนะเนี่ย
บางที…กำไลข้อมืออันนี้ ก็เหมือนกับรักของหมอที่มีต่อเขา เมื่อเจ้าของมันไม่สนใจใยดี กำไลก็เริ่มผุพัง
รักที่มี…ให้กับน้องชายคนนี้
“ครับ”
ของที่ผุพัง ก็สมควรแล้วที่ต้องทิ้งไป
ตกเย็น เขาพาร่างตัวเองมาถึงบาร์แห่งหนึ่ง ดูไม่น่าใช่สถานที่อภิรมย์เท่าใดนักที่คนอย่างเขาจะเข้าไป แต่คงเหมาะกับคนอกหักที่ตอนนี้ก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า…ไม่ใช่
นั่งดริ้งค์ได้สักพัก
มีกลุ่มผู้หญิงกลุ่มใหญ่เข้ามานั่งตรงโต๊ะใกล้ๆกับบาร์ที่เขานั่งอยู่
หนึ่งในนั้นจงใจพูดให้เขาได้ยิน
“นั่นอิเนตรนี่ ต๊าย สภาพโทรมยิ่งกว่าศพ นี่คงจะมาตกเหยื่ออ่อยผู้ชาย”
“อย่างว่าล่ะมึง พี่หมอไม่เอา…ใครจะเอา ฮ่าๆ”
เขากระดกสาเกไป ก็ทนฟังคำพูดเหน็บแนมไป
แต่พอกรึ่มๆได้ที่
ความเมามันก็ครอบงำทุกสิ่งอย่าง
พาลให้นึกถึงคำหมอบอกเมื่อวันวาน
‘ถึงยังไงก็ต้องสู้ เขาทำผิด เขาทำเราเดือดร้อน เรารู้อยู่แก่ใจก็พอ คนอื่นไม่ต้องมารู้แม่งกับเรา’
สู้สินะ
“นี่ดูสิ มันเมาละมึง อัดคลิปไว้ประจานดีป่ะ”
“เหมือนที่กูอัดไว้วันนั้นอ่ะนะ โอ๊ย ดีนะที่กูเสือกปวดท้อง เลยไม่พลาดอะไรดีๆ”
เหมือนที่กูอัดไว้วันนั้น…
ตึก
เขาวางแก้วสาเกลงอย่างแรงจนบาร์เทนเดอร์ถึงกับสะดุ้ง
ตัดสินใจเดินไปตรงโต๊ะที่เหล่าสาวเจ้าพวกนั้นอยู่
“ใครเป็นคนอัดคลิปกูลง”
หญิงสาวกลุ่มนั้นถึงกับตกใจ แต่ชั่วครู่มั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มร้ายกาจ
ยิ้มแบบเดียวกับที่เขาเคยเหยียดพวกเธอ
เขาจำได้แล้ว
พวกนี้…คือเพื่อนในเอกของเขา
“กูเองสิคะ จะทำไมล่ะ”
“ดูสารรูปตัวเองแทบดูไม่ได้ ผู้ชายเขาไม่เอายังสาระแนตื๊อ”
“ฮ่าๆๆๆ”
ทั้งกลุ่มหัวเราะเขา
เนตรกลับไปที่บาร์ หยิบสาเกแก้วเดิมที่พร่องไปครึ่งหนึ่ง
แล้วเดินกลับไปที่พวกนั้นอยู่ สาดสาเกร้อนๆใส่ทั้งกลุ่ม
“อิเนตร มึงจะเอาเหรอ”
ทั้งโต๊ะลุกขึ้น สองคนมาจับตัวเขาไว้ อีกคนเชยคางเขาขึ้นมา หึ เขาคนเดียวเหรอจะสู้แรงคนหกคนได้
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะครับ”
มีผู้ชายคนหนึ่ง เนตรเดาว่าเป็นพนักงานของร้านเข้ามาห้ามพวกเราไว้ สาวเจ้าจิ๊ปากไม่พอใจพอจะทำเป็นไม่สนใจพนักงานหนุ่มที่เข้ามาห้ามก็มีพนักงานอีกหลายคนกรูกันเข้ามา สุดท้ายทั้งหมดก็ยอมปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เก็บของเช็คบิล ก่อนออกไปจากร้าน ไม่ลืมจะสาดคำพูดร้ายกาจใส่เขา
“น้องคะ อย่าโดนหน้าเศร้าๆนี่หลอกเอาล่ะ อินี่ มันกะหรี่ค่ะ”
พนักงานคนนั้นที่มาช่วยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ลับหลังพวกนั้นไป เหล่าพนักงานก็ทยอยกันกลับไปทำงานของตน
เขาค่อยๆยันกายลุกขึ้น
มีคนเข้ามาช่วยประคองเขาลุก พบว่าเป็นพนักงานคนแรกที่เข้ามาช่วยเขา
“ขอบคุณนะ”
เขาจ้องหน้าพนักงานคนนั้น เอ่ยขอบคุณเบาๆ
“เฮ้ย ไม่เป็นไรครับ”
“…”
เขาเงียบ
“งั้นผมไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวสิ” เขากระชากคอเสื้อร่างสูงไว้
“ได้ยินมั้ย…”
“…”
“เขาบอกว่ากูเป็นกะหรี่”
“…”
“สนใจจะนอนกับกะหรี่คนนี้สักคืนไหมครับ คิดไม่แพง”
-มีต่อนะ-