TRACK 31
วันหนึ่งหลังสอบกลางภาคตัวสุดท้ายเสร็จเพื่อนชาวไทยเชื้อสายจีนแต่หน้าคมก็ออกปากมีเรื่องให้ช่วย เขาฟังแล้วเห็นว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงจึงยอมตกลง ลูกเศรษฐีอังกฤษเลยได้ไปเยือนบ้านเศรษฐีไทยคนอื่นนอกจากบ้านคุณตาตนเองเป็นครั้งแรกเพื่อมาพบกับอาเจ็กหรือคุณอาของคนินทร์ผู้เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กฝรั่งตัวจริง
“ได้ยินวีรกรรมเราจากปากคิวกับพี่รันมาเยอะ ตัวจริงน่ารักกว่าที่คิดนะเนี่ย” ชนกานต์หรือคุณอายี่หวายิ้มพลางลูบหัวอีกคนเล่นเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ซึ่งไม่ต่างไปจากความจริงเสียเท่าไหร่เพราะอลันด์สูงเลยไหล่อีกฝ่ายมานิดเดียวเท่านั้น
“คุณอารู้จักกับพี่รันด้วยเหรอครับ”
“หูยยย รู้จักซี่ รู้จักตั้งแต่เกิดแหละ ซี้กันจะตาย แล้วอย่าเรียกอาเหมือนคิวมันเลย เรียกพี่ดีกว่า”
“ผมก็ว่างั้นแหละ” อลันด์หัวเราะเบาๆ เพราะคุณอายี่หวาเพิ่งจะอายุยี่สิบสองเท่านั้น และยังเป็นนิสิตปีสามอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับนภอีกด้วย ได้ยินคนินทร์เล่าให้ฟังว่าเป็นลูกหลง แม้จะงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์นี้แต่ไว้เดี๋ยวค่อยถามทิวากานต์เอาทีหลังก็ได้
“แล้วเราเล่นอะไรเป็นอีกไหมนอกจากกีตาร์”
“ก็เปียโนกับกลองครับ เบสก็ได้นะ ไวโอลินได้นิดนึง”
เรื่องให้ช่วยของคนินทร์ก็คือมาช่วยเล่นดนตรีให้ชนกานต์ในงานเปิดตัวสินค้าการกุศลงานหนึ่งให้หน่อย อลันด์เห็นว่างานง่าย แค่ไปดีดกีตาร์เล่นเปียโนสองสามเพลงก็ได้ค่าจ้างหลายบาทแล้ว แถมงานนี้คุณยายยังเป็นหนึ่งในแขกของงานตั้งใจใช้เขาเปิดตัวกับสังคมด้วย มีแต่ได้กับได้จึงไม่เห็นว่าจะปฏิเสธไปทำไม
พวกเขาใช้เวลาหลังเลิกเรียนซ้อมอยู่ห้าวันก็ได้ฤกษ์ออกงาน งานนี้จัดที่ห้างสรรพสินค้าหรูกลางใจเมืองแห่งหนึ่งเป็นงานเปิด มีนักแสดงและเซเลปของเมืองไทยมาร่วมงานมากมาย พร้อมกับกองทัพนักข่าวและแฟนคลับที่ขนมาให้กำลังใจกันแน่นขนัด อลันด์ตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะเป็นงานแสดงต่อหน้าสื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรก แต่มีคุณยายกับพี่กานต์คอยให้กำลังใจเป็นเงินสดล่อตาเลยขอสู้แค่ตาย
หลังท่านประธานมูลนิธิซึ่งเป็นพี่สะใภ้ของชนกานต์(หรือแม่ของคนินทร์)กล่าวเปิดงาน อลันด์กับคุณอายังหนุ่มก็ก้าวเท้าขึ้นเวทีประจำตำแหน่งของแต่ละคน เด็กฝรั่งนั่งบนเก้าอี้สตูลวางกีตาร์คู่ใจไว้บนตัก นิ้วเรียวจับคอร์ดดีดเส้นสายให้เสียงก้องกังวานไปทั่วบริเวณเป็นทำนองหวานเศร้าก่อนที่ชนกานต์จะเปล่งเสียงร้องตามออกมา
“Here am I, a lifetime away from you
The blood of Christ, or the beat of my heart
My love wears forbidden colours
My life believes”1อลันด์เล่นเพลงนี้ไปก็อดจี๊ดในใจไม่ได้เพราะเนื้อหาหมายถึงรักร่วมเพศว่าเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าที่ชนกานต์เลือกเพลงนี้มาแสดงจะมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า หากเสียงทุ้มหวานเศร้าที่ขับร้องออกมานั้นไพเราะเสียจนสะกดผู้ฟังทุกคนไว้ได้อยู่หมัด
เมื่อจบเพลงแรกพวกเขาก็ต่อกันเพลงถัดไปทันที คราวนี้จังหวะเร็วมีความสดใสมากขึ้นและยังคงเป็นเพลงสากลเช่นเดิม คุณอายังหนุ่มร้องไปยิ้มหวานไปเรียกเสียงกรี๊ดกระจาย อย่าเห็นเป็นแค่เซเลปไฮโซรุ่นเยาว์เชียวเพราะชนกานต์มีคนตามอินสตาแกรมเกือบล้านคน เรียกได้ว่าโด่งดังจนได้รับเชิญไปออกสื่อบ่อยๆ แถมหน้าตายังดีขนาดเป็นพระเอกหนังได้สบาย ติดที่เจ้าตัวไม่อยากทำเองนี่แหละ
หลังจบการแสดงสองหนุ่มบนเวทีก็แยกย้ายไปหาผู้ปกครอง อลันด์ถูกคุณยายพาไปแนะนำให้คนอื่นรู้จัก ปั้นยิ้มพูดคุยกับคนนู้นคนนี้อยู่นานจึงหาทางหนีออกมานั่งร้านกาแฟกับคนินทร์ สักพักชนกานต์ก็ตามมาสมทบพร้อมชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันอีกคน
“นี่สิงห์ หลานพี่รัน เพื่อนพี่เอง”
“สวัสดีครับ” เด็กฝรั่งยกมือไหว้อีกคนผิดกับคนินทร์ที่ลุกขอตัวไปเข้าห้องน้ำทันทีที่เพื่อนของชนกานต์นั่งลง ดูจากอากัปกิริยาแล้วเหมือนว่าเพื่อนเขาจะไม่ค่อยชอบพี่สิงห์นี่เสียเท่าไหร่ คนถูกลากก็หน้าบูดหน้าบึ้งผิดกับคนลากมา
“สิงห์เอาอะไรไหม เดี๋ยวฉันไปสั่งให้ สิงห์ชอบอเมริกาโน่นี่เนอะ” ชนกานต์พูดเองตัดสินใจเองเสร็จก็ลุกไปอีกคน
อลันด์ลอบกลืนน้ำลายเมื่อถูกทิ้งให้นั่งกับคำแปลกหน้า หากสักพักอีกฝ่ายก็เปิดปากชวนคุยก่อน “รู้จักกับอารันด้วยเหรอ”
“ครับ พี่รันเป็นรุ่นพี่คนรู้จักผม พี่วาน่ะครับ พี่สิงห์รู้จักไหม”
“อืม เคยเจออยู่สองสามครั้ง โลกกลมดีนะ”
“นั่นสิครับ” เขารับคำเบาๆ ก่อนพากันนั่งเงียบเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรต่อ กระทั่งชนกานต์กลับมาพร้อมแก้วกาแฟร้อนในมือ
“คุยอะไรกันอยู่เอ่ย”
“คุยเรื่องโลกลกมน่ะครับ ไม่คิดว่าสุดท้ายจะรู้จักกันหมด” อลันด์ตอบแทนเพื่อนของคนถามที่ทำนิ่งเงียบไม่แม้แต่จะหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม หากชนกานต์ก็ทำเหมือนไม่มีอะไร เขานั่งลงที่เดิมแล้วเริ่มชวนคนอื่นคุย หากสังเกตเพียงนิดเดียวจะรู้ว่าเจ้าตัวพยายามเอาใจคนที่นั่งข้างๆ เกินปกติ จนทำให้สิงหารู้สึกรำคาญจนต้องจับข้อมือขาวไว้เมื่ออีกฝ่ายชักจะลามปามมาเล่นหัวเขา
“อย่าทำตัววุ่นวายได้ไหมหวา น่ารำคาญ”
“ขอโทษ เราเห็นผมมันปรกตาสิงห์ แค่จะช่วยปัดออก”
“เรื่องของเรา เราทำเองได้ ไม่ต้องยุ่ง” นอกจากพูดห้วนห้าวแล้วสีหน้าของสิงหายังบอกความรำคาญเต็มทน หากก่อนสถานการณ์จะอึดอัดไปมากกว่านี้เสียงดนตรีจากเครื่องมือสื่อสารของใครสักคนก็ดังขึ้น หลานของการันต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นดูชื่อคนโทรเข้าก่อนปล่อยมือชนกานต์ทิ้งไว้แล้วลุกออกไปคุยที่อื่น
อลันด์ลอบสังเกตชนกานต์ที่มองตามแผ่นหลังกว้างตาละห้อยแล้วอดสงสารไม่ได้ “พี่หวาชอบพี่สิงห์เหรอครับ”
หนุ่มไทยเชื้อสายจีนยิ้มเศร้าแทนคำตอบ พวกเขานั่งดื่มเครื่องดื่มกันโดยไร้บทสนทนาอยู่อีกพักใหญ่แต่ทั้งสิงหาและคนินทร์ก็ไม่ท่าทีจะกลับมาสักที สุดท้ายชนกานต์จึงทำลายความเงียบลง “ขนาดเจอกันแป๊บเดียวน้องอัลยังดูออก ทำไมสิงห์ไม่เคยรู้เลยนะ แต่บางทีสิงห์อาจจะรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ได้ หมอนั่นไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นา”
“เพลงที่เล่นวันนี้ก็เล่นให้พี่สิงห์สินะครับ” คนินทร์เคยบอกว่าทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นของคุณอาล้วนแปลว่าผู้อันเป็นที่รักของทุกคน แต่ทำไมกลับมีแค่คนเพียงคนเดียวที่ไม่รักนะ หรือเพราะไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนกันจริงๆ เจ้าตัวถึงได้บรรยายผ่านบทเพลงได้เศร้ากินใจใครหลายๆ คน
“เปล่าหรอก เล่นให้ตัวเองต่างหาก” ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ถึงวันหนึ่งเกิดปาฏิหาริย์เราสองคนใจตรงกันขึ้นมา พี่ก็ไม่คิดว่าเราจะได้คบกันหรอก”
“ทำไมล่ะครับ” เด็กฝรั่งตาโต ไม่ว่ามองอย่างไรชนกานต์ก็รักสิงหามากถึงยอมถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจหลายอย่าง ถ้าใจตรงกันขึ้นมาก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือ
“มันเป็นเรื่องของครอบครัวน่ะ ที่บ้านพี่ไม่ได้เปิดเสรีเหมือนครอบครัวอื่นเท่าไหร่ อีกอย่าง...พี่ก็ทำใจทำให้คนที่บ้านเสียใจไม่ได้เหมือนกัน แค่นี้เขาก็เหนื่อยกับพี่มากพอแล้ว ถึงอยากจะเลือกจับไว้ทั้งสองมือแต่สุดท้ายเพื่อคนที่เรารักก็ต้องยอมปล่อยมือไปข้างหนึ่งอยู่ดี ดีกว่าเสียไปทั้งสองอย่างเพราะความโลภ”
แม้ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนักหากอลันด์กลับรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ชนกานต์สื่อ ตาสีฟ้าอ่อนสบกับตาสีน้ำผึ้งคล้ายจะบอกว่าเขาเองก็เข้าใจและกำลังเผชิญสิ่งที่ว่าอยู่เช่นกัน
และก่อนจากชนกานต์ได้ทิ้งท้ายประโยคหนึ่งเป็นคำถามสลักไว้ในใจอลันด์ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยชวนใจหาย
“ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ความรักมันก็อยู่กับคนที่รักเสมอนี่นา จริงไหมน้องแสบ”
.
.
.
วันนี้เป็นเช้าวันจันทร์ที่ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าอย่างเคย หลังส่งอลันด์ที่มหาวิทยาลัยทิวากานต์ก็พาตัวเองนั่งเรือข้ามฟากไปทำงาน ทักทายเหล่าพยาบาลเจ้าของสถานที่ตัวจริง รับไหว้คนไข้ที่มานั่งรอหมอกันตั้งแต่ตีสี่ตีห้า โค้งให้อาจารย์ที่เคยชิงชังสมัยเรียนว่าทำไมออกข้อสอบยากชิบหายแต่ปัจจุบันเปลี่ยนสถานะเป็นรุ่นพี่ในที่ทำงานที่แสนใจดีแต่บางทีก็ยังมีกินหัวบ้างเป็นบางครั้งเมื่อเขาทำไม่ถูกใจหรือมีข้อผิดพลาดในการทำงาน
ชายหนุ่มเข้าห้องพักหยิบแฟ้มรายงานของนักศึกษาที่ราวน์ตอนเช้ามาดูว่ามีเคสไหนมีปัญหาไหม เขียนคอมเม้นต์เพิ่มเติมส่งกลับไปแล้วเข้าประชุมก่อนเริ่มงานอย่างเช่นทุกวัน แต่ถ้าจะมีอะไรแปลกไปก็คงเป็น...
“พี่รันเมาเนื้อเปล่าวะ” นายแพทย์รุ่นน้องเอามือป้องปากหันไปกระซิบกับหมอศัลย์หลอดเลือดข้างตัวระหว่างประชุม เอะใจตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นพี่ชายสุดที่รักยิ้มตาเยิ้มอย่างกับคนพี้กัญชามา
“ไม่รู้ว่ะ แต่เห็นพยาบาลบอกเป็นงี้ตั้งแต่เข้ามาแล้ว”
“เฮ้ย เอ็งสองตัวพูดไรได้ยินนะเว้ย สงสัยทำไมไม่ถาม นินทาอยู่ได้ นี่อยากจะบอกจะแย่” แทนที่จะด่าการันต์กลับยิ้มหวานกว่าเดิมทำเอาเหล่าสตาฟขนลุกชันกันถ้วนหน้า ยังดีที่อาจารย์อาคมไม่ได้เข้าประชุมเคสเช้านี้ด้วย ไม่งั้นการันต์ก็การันต์เถอะมีโดนเฉ่งยกห้อง
“งั้นก็บอกพวกมาเลยสิ ไหนๆ ก็คุยเสร็จแล้วนี่” หนึ่งในกลุ่มสตาฟอาวุโสบ่น เขาเองก็อยากรู้ไม่ต่างจากคนอื่นในห้องเท่าไหร่นัก
ชายหนุ่มวัยใกล้สี่สิบหัวเราะในลำคอท่าทางมีเลศนัยมองนายแพทย์รุ่นพี่ที่ได้ตำแหน่งศาสตรจารย์นำหน้าไปแล้วแต่ยังโสดไร้สาวเหลียวแลเพราะมัวแต่ทำงานจนไม่ได้ออกไปดูเดือนดูตะวันอย่างคนอื่นเขา ก่อนปรายตามองทิวากานต์เป็นรายถัดมาประหนึ่งเยาะเย้ยวางมาดเป็นป๋าได้น่าหมั่นไส้กว่าทุกวัน
การันต์แสร้งวางท่ากระแอมเรียกเสียงในลำคอสองสามทีถึงค่อยเปิดปากให้พวกอยากรู้อยากเห็นหายข้อข้องใจ “คืองี้ ผม...กำลังจะแต่งงานล่ะ”
“หา?!” ไม่ใช่แค่ทิวากานต์ตกใจ แต่นายแพทย์ทุกคนก็มีอาการตาโตอ้าปากค้างไม่ต่างกัน บางคนช็อคถึงขั้นทำแฟ้มตกพื้นที่ได้ยินว่ารองศาสตราจารย์การันต์คนโก้กำลังแต่งเมียรอบสอง
“แต่งงาน? แต่งกับใครครับ น้องแอฟเหรอ” เป็นคุณหมอรูปหล่อดึงสติกลับมาได้ก่อนใครเพื่อนถามสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ออกมา งานนี้ถ้าเกาะขาเป็นลูกหมาได้คงทำกันแล้ว
“ไม่แต่งกับแอฟให้แต่งกับแมวที่ไหนล่ะคร้าบพี่น้อง มีอยู่คนเดียวเนี่ย”
“เดี๋ยวๆ แล้วไปทำอีท่าไหนเขาถึงยอมแต่งด้วยเนี่ย ได้ข่าวว่ายังไม่ได้คบเป็นแฟนจริงจังเลยด้วยซ้ำไม่ใช่เหรอวะ” สตาฟอาวุโสอีกรายรีบแทรกขึ้น งานแต่งหมอกวินเขาก็ไปร่วมทำให้พอรู้ข่าวคราวชีวิตรักนายแพทย์คนนี้อยู่บ้าง แต่เท่าที่ได้ยินเขาเม้าท์กันมายังไม่เรียกว่าแฟนเลยนี่
“พี่ถามอะไรอย่างนั้น ก็ขอเขาแต่งงานสิครับเขาถึงยอมแต่งด้วย แฟนไม่ต้องเป็นหรอกเป็นเมียเลยนี่แหละ คนนี้จริงจังมาก ถึงไม่ใช่คนแรกแต่จะเป็นคนสุดท้ายของชีวิต ให้แม่ไปหาฤกษ์มาแล้ว ยี่หกเมษาก่อนวันเกิดไอ้วาสองวัน เดี๋ยวสัปดาห์หน้าเอาการ์ดมาแจก รวดเร็วทันใจวัยรุ่นสุดๆ”
“โห่!!!”
“ปูนนี้ไม่วัยสะรุ่นแล้วพี่ ใกล้ฝั่งแล้วมากกว่า”
ฟังท่านรองหัวหน้าภาคพูดแล้วทุกคนถึงกับพากันโห่ใส่บ้างก็แซวเรื่องอายุเลยโดนการันต์ไล่เตะไปคนละทีสองทีก่อนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน ทิวากานต์เดินคู่รุ่นพี่คนสนิทออกมาจากห้องไม่วายถามไถ่ให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเอาไปเม้าท์กับคนรักวัยกระเตาะต่อ
“เดือนหน้าเองนี่พี่ ไม่เร็วไปเหรอครับ แล้วทำไมจู่ๆ น้องแอฟเขายอมแต่งงานกับพี่ง่ายจังอ่ะ ทำเขาท้องเหรอพี่” ประโยคหลังหนุ่มรุ่นน้องเอามือป้องปากกระซิบถามเสียงเบาเลยถูกโบกไปหนึ่งที
“เอ็งพูดเหมือนแอฟใจง่ายเลย” การันต์แกล้งทำหน้าไม่พอใจใส่รุ่นน้องรูปหล่อ “ความจริงเขาไม่อยากแต่งหรอก ฉันกึ่งบังคับเขาด้วยซ้ำ โชคดีพาเข้าบ้านมาหลายหน พ่อแม่เขาเอ็นดูอยากได้เป็นสะใภ้เหมือนกัน เมื่อวานเลยให้พ่อกับแม่ช่วยพูดให้ ตะล่อมนิดตะล่อมหน่อยบอกว่าฉันแก่แล้วไม่มีคนดูแลเดี๋ยวมีลูกไม่ทันได้เล่นด้วยก็ยอมแบบงงๆ นี่ยังรู้สึกเหมือนหลอกเด็กอยู่เลย ดีนะแอฟยี่สิบห้าแล้วไม่ใช่สิบเจ็ดสิบแปด”
“แหม่... ถ้าจะแซะกันแบบนี้นะ” ไปๆ มาๆ ดันเข้าตัวซะได้ ทิวากานต์ทำหน้างอ “แต่คนนี้พี่รักจริงใช่ไหมล่ะ”
“อืม รักมากเลยล่ะ ไม่อยากปล่อยให้ไกลหูไกลตา อยากอยู่ใกล้ๆ แบบนี้จนกว่าจะหมดลมหายใจ พี่เนี่ย...อย่างกับเด็กหัดรักเลยเนอะ”
“ผมก็ไม่ต่างจากพี่หรอกน่า เอาเป็นว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน อีกอย่างผมว่าแอฟเป็นเด็กน่ารักดีเขาจะไม่มีวันทำให้พี่ชายผมเสียใจแน่นอน ยินดีด้วยนะพี่รัน”
“ขอบใจเว้ยวา” เขาตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องไม่เบานักแล้วแยกตัวไปสอนนักศึกษาแพทย์ตัวน้อย
เมื่อทิวากานต์กลับมาเจออลันด์อีกครั้งในตอนเย็นและแจ้งเรื่องนี้ให้คนรักรับรู้ เจ้าตัวแสบก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างจากคนอื่นเลยสักนิด แต่แปลกใจได้ไม่ทันไรเจ้าตัวกลับยิ้มเผล่เอามือลูบคาง “ผมว่าอยู่แล้วล่ะ ตอนไปว่ายน้ำด้วยกันสายตาพี่แอฟดูรักพี่รันไม่น้อยเลย ที่ทำนิ่งๆ เพราะพี่รันไม่ยอมพูดอะไรให้มันชัดเจนก่อน แต่ไม่นึกว่าพูดทีจะขอแต่งงานเลยแบบนี้ หึหึ ใจร้อนไม่เบานะพ่อเสือเฒ่า”
คนตาดุฟังประโยคโบราณจากเด็กหนุ่มหน้าฝรั่งแล้วถึงกับส่ายหน้าพาเปลี่ยนไปอีกเรื่อง “สนใจไปเล่นดนตรีงานพี่รันไหม เดี๋ยวพี่จ้างเอง”
“งานนี้เล่นให้ฟรีเลยเอ้า ว่าแต่...เดือนหน้าสินะ ซื้ออะไรเป็นของขวัญแต่งงานให้พี่รันดีล่ะ แพคเกจฮันนีมูน เหล้า แชมเปญ อ่า...ต้องไปบอกพวกคุณยายด้วย”
“ค่อยๆ คิดก็ได้มีเวลาอีกตั้งเดือน ตอนนี้มาเรื่องของเราดีกว่าว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี?”
“ต้มมะระยัดไส้ใส่กระดูกหมู ปีกไก่ทอดกระเทียม แล้วก็ผัดผักน้ำมันหอย”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ซ้ำยังเป็นต่างชาติจะชอบกินมะระ แล้วมีการบอกด้วยนะว่ามะระที่ไม่ขมก็เหมือนจิมมี่ เฮนดริกซ์ที่เกิดมาไม่รู้จักกีตาร์ ดูเขาเปรียบเข้า
ทั้งคู่แวะซื้อของสดที่ซูเปอร์ มาร์เก็ตแถวคอนโดไว้ทำมื้อเย็น ระหว่างที่ทำอลันด์ก็เข้ามาเป็นลูกมือช่วยหยิบจับนู่นนี่ สกิลงานครัวพัฒนาขึ้นมากหลังจากที่เคยปอกเป็นแต่หัวหอม ตอนนี้ถึงขั้นล้วงไส้มะระออกเพื่อยัดไส้หมูสับปรุงรสได้แล้ว
“แม้มีปีก...โผบินได้เหมือนนก อก...จะต้อง...ธนูเจ็บปวดนัก
ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรัก...เช็ดเลือดและน้ำตา”“คุณยายไม่เคยสอนหรือว่าร้องเพลงตอนทำอาหารจะได้ผัวแก่” ทิวากานต์เงยหน้าขึ้นจากหม้อ ปากบางยักยิ้มน้อยๆ เอ่ยแซวคนตัวเท่าไหล่ที่ร้องเพลงสมัยคุณยายยังสาวขณะเอามือคลุกปีกไก่กับเครื่องปรุงรสอยู่ตรงโต๊ะเตรียมอาหาร
“ก็ได้แล้วไง จะสามสิบเอ็ดเนี่ยใกล้แก่แล้ว”
“เด็กบ้า สามสิบเอ็ดนี่วัยกำลังหล่อน่ากินเลยนะเว้ย แก่ตรงไหนกัน” คนใกล้แก่โวยวายแก้ตัว คิดไปคิดมาในขณะที่เขาขึ้นเลขสามแล้วอลันด์ยังไม่ถึงเลขสองเลย ช่องว่างระหว่างตัวเลขเยอะจนน่าใจหาย “เหอะ แก่แล้วไงวะ อัลยกไก่มาทอดได้แล้วป่ะ” เขากระดิกนิ้วเรียกคนรักให้ยกอ่างใส่ปีกไก่มาไว้ใกล้กระทะตั้งน้ำมันเดือดปุดๆ ตัดบทงดคุยเรื่องอายุ
“เรื่องของขวัญให้พี่รันกับพี่แอฟเดี๋ยวผมว่าไปดูให้ที่ลอนดอนดีกว่า ให้มัมกับอัลเบิร์ตช่วยดูให้ด้วยยังไงช่วงสงกรานต์ก็กลับบ้านอยู่แล้ว วาได้หยุดกี่วัน ไปด้วยกันไหม” คนตัวเล็กวกกลับมาคุยเรื่องของขวัญ หลังจากนัดตรวจรอบล่าสุดคุณหมอบอกว่าสุขภาพร่างกายของอลันด์ดีมากและพร้อมสำหรับเดินทางไกลแล้ว ในช่วงมหาวิทยาลัยหยุดยาววันสงกรานต์ที่จะถึงนี้เด็กหนุ่มจึงตั้งใจกลับบ้านที่เมย์แฟร์ไปกอดแมวอ้วนลายวัวชื่อเหมือนแบรนด์เสื้อผ้าให้หายคิดถึง
“อยากไปด้วยหรอกนะแต่ปีนี้อยู่เวรยาวชดเชยที่หยุดนอนป่วยไง งั้นของขวัญให้พี่รันพี่ฝากเราดูแล้วกัน ราคาเท่าไหร่ค่อยมาหารกันคนละครึ่ง”
“โอเค” เด็กหนุ่มรับคำก่อนเดินไปหลบหลังร่างสูงเมื่อทิวากานต์เริ่มหย่อนปีกไก่ลงในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ
“แล้วแด๊ดดี้กับมัมมี้เราจะมาเมื่อไหร่ หรือไม่มาแล้วไปเจอกันที่ลอนดอนเลย”
“มาช่วงหยุดอีสเตอร์ ก็ประมาณวันที่สี่ที่ห้านี่แหละแล้วอยู่ด้วยยาวรอกลับไปลอนดอนพร้อมกัน แต่ไม่ให้ไปนอนที่คอนโดใหม่หรอกเดี๋ยวแด๊ดบ่นคุณตาที่ซื้อให้ ขี้เกียจฟัง นอนนี่ดีกว่าใกล้วาดีด้วย เออใช่! คุณตาคุณยายก็ไปลอนดอนด้วยนะคราวนี้ เห็นว่าจะไปคุยกับป้าของชาร์ล หมอนั่นไปก่อเรื่องไว้ที่ฮ่องกงล่ะ”
“หืม? ท่าทางเรียบร้อยอย่างนั้นน่ะเหรอจะก่อเรื่อง” เขาพยามนึกภาพชายหนุ่มหน้าสวยหวานขนาดผู้หญิงยังอายที่เคยเจอกันแป๊บๆ และจบด้วยการบอกว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของพ่อเขา
“เห็นว่าเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน ได้ยินมัมบ่นๆ ว่าชาร์ลไปปั่นหัวท่านประธานจนเกิดศึกแย่งตัวกันกับมือขวา”
“หือ? ขนาดนั้นเลย แล้วท่านประธานนี่ผู้หญิงหรือผู้ชายกัน”
“ผู้ชายน่ะสิ มือขวานั่นก็ผู้ชายนะ แต่อันนั้นไม่มีใครเขาตกใจกันเท่าไหร่หรอก ชาร์ลน่ะออกสาวตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ป้าอรก็ทำใจมานานว่าถ้าชาร์ลจะหาหลานเขยให้ก็จะยอมรับ แต่ที่เขาวุ่นวายกันเพราะทางท่านประธานนั่นคิดว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือบริษัทของแด๊ด พวกผู้ใหญ่เขาเลยวุ่นวายหาหลักฐานมาแย้งกันใหญ่ กลัวทางนั้นเขาฟ้องกลับมาจะซวยกันไปหมด” เจ้าตัวเล่าไปทำน้ำเสียงอิดหนาระอาใจใส่ลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ไป มองแล้วเกิดอาการมันเขี้ยวไม่น้อย คุณหมอผู้ผันตัวมาเป็นพ่อครัวชั่วคราวจึงดีดนิ้วใส่ปลายจมูกโด่งหนึ่งที
“ว่าแต่พี่เขาออกสาว ตัวเองก็สาวขึ้นทุกวันเหอะ ไอ้นิสัยชอบกรี๊ดๆ นี่เลิกได้ไหม ได้ยินแล้วตกใจทุกที วันก่อนก็กรี๊ดดังลั่นท่าน้ำกะอีแค่แมลงสาบตัวเดียว ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง” เขาพูดหน้านิ่วนึกไปถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่อลันด์เหลือบตาไปเห็นเจ้าปีเตอร์ตัวสีน้ำตาลขนาดเท่าสองนิ้วทิวากานต์รวบติดกัน เด็กฝรั่งนี่ร้องกรี๊ดลั่นสาวแตกวิ่งกระโดดขึ้นหลังคุณหมอเกาะแน่นเป็นลูกแมว ในขณะที่คนฟังทำหน้าสยดสยองราวกับมีไอ้แมลงสกปรกอยู่แถวนี้
“แค่แมลงสาบที่ไหนวา แมลงสาบเลยนะ มะ - แลง - สาบ น่ากลัวจะตายไป ถ้ามันบินขึ้นมาล่ะ ไม่อยากจะคิด”
“ถอดรองเท้าฟาดมันซะสิ”
“จะบ้าเหรอ แค่ให้เข้าใกล้ก็จะอ้วกล่ะ พอๆ เลิกพูดเดี๋ยวกินข้าวไม่ลงวาก็มาว่าอีก”
“บอกให้ทำเยอะขนาดนี้กินไม่หมดละน่าดู” เขาขู่ก่อนใช้ตะเกียบคีบชิ้นไก่ในกระทะพลิกอีกด้าน ส่วนลูกแมวขนฟูสีน้ำตาลอ่อนก็วิ่งไปหยิบจานกระเบื้องใบใหญ่มารออย่างรู้งาน
กับข้าวทั้งสามอย่างจัดวางบนโต๊ะตอนสองทุ่มพอดิบพอดี อลันด์คดข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานกระเบื้องสองใบรอพ่อครัวใหญ่ล้างหน้าล้างมือมากินพร้อมกัน ตลอดเวลามื้อค่ำไม่ใช่ทิวากานต์ไม่ได้สังเกตคนรักว่าเหลือบมองตนบ่อยแค่ไหน เขาสัมผัสได้ว่าอลันด์มีอะไรในใจอยากพูดกับเขาตั้งแต่เจอกันเมื่อตอนเย็นแล้ว เขาจึงรอให้อีกฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาเองตามประสาคนตรงๆ ไม่คาดคั้นเช่นทุกที
“วา...”
นั่นประไร... ข้าวพร่องยังไม่ถึงครึ่งจานเจ้าตัวเล็กก็ยอมเปิดปาก เขาเหลือบตามองอีกฝ่ายบุ้ยคางเป็นเชิงบอกให้พูดต่อ
“คือจำตอนที่ปีเตอร์โทรมาหลังวันเกิดผมได้ไหม” เจ้าตัวเกริ่นนำรอจนอีกฝ่ายตอบรับจึงพูดต่อ “คืองี้...เมื่อตอนเที่ยงเขาติดต่อมาอีก บอกว่าเอาเดโมที่ผมเคยส่งไปลองเปิดในวิทยุท้องถิ่นแล้วได้ผลตอบรับค่อนข้างดี ช่วงหยุดยาวที่ผมจะกลับลอนดอนคราวนี้เลยว่าให้ผมลองไปคุยกับทางค่ายเพลงดู คือ...มันมีโอกาสที่ผมจะได้เซ็นสัญญากับทางนั้นสูงมากภายในปีสองปีนี้”
“ฟังดูเป็นข่าวดีนี่ แล้วมีอะไรน่าหนักใจงั้นเหรอ”
“ไม่เชิงเรื่องหนักใจหรอก แต่เพราะคิวมันพูดมาน่ะผมเลยอยากถามวาว่า... ถ้าเกิดผมได้เป็นนักร้องจริงๆ ต้องกลับไปอยู่อังกฤษแล้วก็ออกทัวร์ไปทั่วโลก วาจะทำยังไง แต่อย่างวาก็คงคิดไว้แล้วใช่ม้า” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มแหย มั่นใจว่าหนุ่มคนรักต้องคิดถึงวางแผนไว้แล้วอย่างเช่นทุกครั้ง
“มันยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอจะรีบคิดไปทำไม” คำตอบของคุณหมอจอมเจ้าเล่ห์ออกจะผิดคาดและทำให้เด็กหนุ่มใจเสียไม่น้อย เหมือนว่าทิวากานต์ไม่เคยคิดถึงอนาคตที่มีเขาร่วมอยู่ไว้เลย อารมณ์น้อยใจปะทุขึ้นมาเงียบๆ หากลองคิดในอีกแง่เขายังต้องอยู่ที่เมืองไทยอีกสามปีเป็นอย่างต่ำไว้ค่อยคิดหลังจากนี้ก็ยังไม่สายเสียหน่อย
“ก็เผื่อไว้ก่อน เฮ้อ... ความจริงผมไม่ได้คิดหรอกนะ แต่คิวมันพูดมากน่ะ ทำเอาผมสับสนไปพักใหญ่”
“คิวพูดอะไร” ชายหนุ่มวางช้อนส้อม เอามือกอดอกเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองดูแล้วทำท่าราวกับกำลังสอบสวนผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีแววไม่สบอารมณ์ ความจริงเขาเคยคิดๆ เรื่องนี้อยู่เหมือนกันตั้งแต่ตัดสินใจคบกับคนอายุอ่อนกว่ารอบและกลับมาคิดทบทวนอีกครั้งเมื่อครั้งที่วิคเตอร์มาหารอบล่าสุดจนได้คำตอบที่แน่ใจ แต่เขาไม่คิดจะบอกออกไปตอนนี้ เขายังอยากรู้ความคิดอีกคนก่อนว่าจะคิดเหมือนเขาหรือไม่
ตอนนี้อลันด์ชักอยากเอาข้าวยัดปากจะได้ไม่ต้องพูด เขาเดาความคิดคนรักไม่ถูกว่าตอนนี้มีความเห็นอย่างไรและกำลังรู้สึกเช่นไหน การมีเรื่องผิดใจกับทิวากานต์ไม่เคยทำให้เขารู้สึกดีสักครั้ง
“เด็กนั่นพูดอะไรกับเธอ จะบอกพี่เองหรือให้พี่ไปเค้นคอเอากับคิว” เสียงทุ้มเค้นต่ำกดดันพร้อมกับแววตาคมดุจ้องเขม็งไม่รามือง่ายๆ สุดท้ายคนเปิดประเด็นจึงต้องสานต่อให้จบ
“เรื่องทุนของวาน่ะ”
“แล้ว...?”
“วาจะไม่ไปเรียนต่อจริงๆ เหรอ”
“เราพูดกันจบไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่วาคิดดีแล้วเหรอ ผมน่ะดีใจนะที่วาไม่ไปเรียนต่อเพราะผมจะได้อยู่กับวาอีกตั้งสามปี แต่ผมเห็นแก่ตัวไม่ได้หรอกในเมื่อมันเป็นอนาคตของวา”
“ขอบคุณที่คิดถึงอนาคตของฉัน แล้วไง...ถามความสมัครใจฉันหรือยัง”
“ขอโทษ” เด็กหนุ่มเสียงอ่อย ในใจนึกคาดโทษเพื่อนตัวดีไปแล้ว
“ถามหน่อยถ้าพี่ไปเรียน สามปีข้างหน้าอัลจะอยู่ใคร”
“อยู่รอวาไง”
“ทั้งที่พอครบกำหนดอัลก็จะกลับไปนักร้องที่ลอนดอนใช่ไหม แล้วพี่กลับมาใช้ทุนพี่จะอยู่กับใคร อัลจะเลิกเป็นนักร้องมาอยู่กับพี่ที่ประเทศนี้ไหม ทำไม...แค่พี่เสียโอกาสตอนนี้เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันในอนาคตมันแย่มากเลยเหรอ”
“ไม่ๆ แต่ถ้าถึงวันนั้นวาจะทำยังไง เราต้องทำยังไงถึงจะได้อยู่ด้วยกัน ผมไม่อยากอยู่แยกจากวาจริงๆ นะ แต่ถ้าเป็นนักร้องผมคงไม่ได้อยู่ติดที่แบบนี้ วาจะตามผมไปได้ทุกที่หรือเปล่า จะอยู่กับผมตลอดไปได้หรือเปล่า”
“พี่ทำได้ทุกอย่าง”
“แม้ไม่ได้เรียนต่อทางหัวใจตามที่ตั้งใจน่ะเหรอ”
“พูดแบบนี้กำลังหาเรื่องเลิกกันเหรอ”
“ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น อย่าคิดไปเองได้ไหม”
“ถ้าไม่ได้คิดแบบนั้นทำไมถึงพูดเหมือนกับว่าไม่ช้าไม่เร็วเราก็ต้องเลิกกัน! ต่อให้ต้องเลิกเป็นหมอตามเธอไปตะลอนทั่วโลกฉันก็ทำได้ เพราะงั้นหุบปากแล้วกินข้าวซะ” เขาตัดบทสนทนาชวนทะเลาะด้วยการหยิบช้อนส้อมขึ้นมาอีกรอบ แต่เจ้าของดวงตาสีอ่อนไม่เหลือความอยากอาหารแล้ว
อลันด์นั่งเท้าคางมองชายหนุ่มตรงหน้า “ถ้าวาทำอย่างนั้นผมจะรู้สึกแย่ ผมไม่รู้หรอกว่าการเป็นหมอใช่ความฝันของวาหรือเปล่าแต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะก้าวมาถึงตรงนี้”
“แล้วจะให้ทำยังไง หึ?” เสียงทุ้มกดต่ำ “ไม่มีใครได้อะไรไปทุกอย่างโดยไม่มีการเสียสละหรอก!”
“ใช่ วาพูดถูก แต่ผมเห็นแก่ตัวไม่ได้ ผมรู้แล้วที่วามาเป็นหมอน่ะไม่ใช่เพราะเงินบ้าบออะไรทั้งนั้น แต่วาเป็นหมอเพราะอยากให้หม่าม้าหาย ถึงตอนนี้หม่าม้าจะไม่อยู่แล้ว แต่วาเคยพูดเองนี่เรื่องหน้าที่ของมือคนเราน่ะ มือของวาใช้ช่วยเหลือชีวิตคนมามาก จะทิ้งมันไปง่ายๆ เพราะผมอย่างนั้นเหรอ”
“ขอร้องล่ะอัล อย่าพูดแบบนี้อีก อย่าทำเหมือนจะเลิกกัน” เขาถอนหายใจ เปลือกตาหนาปิดซ่อนดวงตาไว้ไม่ให้อ่านความรู้สึกได้ “พี่เสียอะไรก็เสียได้ แต่พี่ไม่อยากเสียคนที่พี่รักอีกแล้ว พี่เต็มใจเลือกอัลเองไม่ได้มีใครบังคับให้ทำ สัญญาไว้ว่าจะไม่ปล่อยมือก็คือไม่ - ปล่อย - มือ หมายความตรงตามตัวอักษรทุกคำ ถ้าเราจะเลิกกันขอให้เป็นเพราะเราไม่ได้รักกันแล้วเท่านั้นได้ไหม ทุกวันนี้ที่คบกันพี่มีความสุขดี ไม่สิ...พี่มีความสุขมาก”
มือเล็กเอื้อมแตะหลังมืออีกฝ่ายบนโต๊ะทานข้าว “ผมรักวานะ แต่...”
-------------
1 - Sylvian & Sakamoto - Forbidden Colours