แผนการร้ายมัดใจคุณชายเย็นชา BY HADES ตอนที่ 20 ตอนจบ+ SP 4 SP สุดท้าย 131058
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แผนการร้ายมัดใจคุณชายเย็นชา BY HADES ตอนที่ 20 ตอนจบ+ SP 4 SP สุดท้าย 131058  (อ่าน 28837 ครั้ง)

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

----------------------------------------------------------------------------------


                                             แผนการร้ายมัดใจคุณชายเย็นชา BY HADES


คำโปรยเรื่อง


                  “เอาแล้วไง “นายอัคนี” เมื่อมีชีวิตที่อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปร่วมมือกับน้องสาวสุดสวยอย่าง “น้องธีน่า” เพียงเพื่อหวังจะมัดใจ “นายนอร์ส” พี่ชายสุดที่รักของเธอ!!! ปฏิบัติการแผนการร้ายชวนวุ่นวายหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น อย่าลืมมาลุ้นและมาเอาใจช่วยนายอัคนีคนนี้ด้วยนะ”





                 แผนการร้ายครั้งที่ 1 : ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่เราทุกคนสามารถทำสิ่งเล็กๆน้อยๆด้วยความรัก
             


       กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าหญิงแสนสวยนามว่า ‘สโนวไวท์’ เธออาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงใจร้ายในปราสาทแห่งหนึ่ง

 ทุกๆวันแม่เลี้ยงมักใช้งานเธอเยี่ยงทาส แต่เธอไม่สามารถขัดคำสั่งนางได้ ด้วยนางอันเป็นที่รักของบิดาตน นางจึงจำใจยอมรับ

วิถีชีวิตและชะตากรรมที่โหดร้ายนี้ ส่วนแม่เลี้ยงใจร้ายนั้นก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ภายในห้องลึกลับส่วนตัวของนางเพียงเพื่อถาม

กระจกวิเศษในทุกๆวันว่า ‘กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี’ ด้วยความที่กระจกกลัวแม่เลี้ยงใจร้ายจึงจำ

ต้องบอกออกไปว่านางเป็นผู้งดงามที่สุดในปฐพี แต่ครั้งนี้กระจกกลับเปลี่ยนคำตอบเมื่อนางย้ำถามคำถามเดิมเหมือนทุกๆครั้ง

 ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับยิ่งทำให้นางโกรธกริ้วโกรธาเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นเป็น ‘สโนวไวท์’ ไม่ใช่ตน นางจึงสั่งคนไปกำจัด

สโนวไวท์แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สโนวไวท์เองที่ถูกลวงไปฆ่าในป่าแต่รอดพ้นมาได้ก็อาศัยอยู่กับเหล่าคนแคระ แต่แล้ววันหนึ่งแม่

มดผู้ชั่วร้ายก็กลับมาในคราบของหญิงชราผู้น่าสงสารพร้อมกับตะกร้าแอปเปิ้ล นางชักชวนให้ สโนวไวท์ลิ้มลองรสชาติของ

แอปเปิ้ลแต่ สโนวไวท์ก็หารู้ไม่ว่ามียาพิษเคลือบอยู่ที่ผลแอปเปิ้ล อนิจจา นางกัดคำแรกเข้าไป ร่างทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงและในไม่

ช้านางก็สลบไป เหล่าคนแคระไม่สามารถทำอะไรได้ได้แต่พาร่างของนางไปฝังไว้ในโลงแก้ว เจ้าชายจากต่างแดนได้ท่องเที่ยว

ไปในป่าใหญ่บังเอิญเห็นร่างของหญิงสาวผู้งดงามนอนแน่นิ่งไร้สติอยู่ในโลงแก้ว เจ้าชายอยากที่จะเห็นหน้าของนางจึงเปิดฝา

โลงแก้วขึ้น ด้วยมนตราชะตาฟ้าลิขิต เจ้าชายหลงรักสโนวไวท์ตั้งแต่แรกเห็นจึงก้มลงไปใกล้ใบหน้าของนางเพื่อจุมพิษรัก ราว

กับมีปาฏิหาริย์  สโนวไวท์ฟื้นขึ้นอีกครั้งและได้กลับไปครองรักกับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนิจนิรันดร์

   แปะ แปะ แปะ

           เสียงปรบมือดังระงมทั่วทั้งหอประชุมจัดงานดังขึ้นเมื่อม่านการแสดงถูกปิดลงและเหล่านักแสดงที่เดินออกมาทัก

ทายผู้ชม

         “ทำมันออกมาได้ดีมากเลยไฟไม่เสียแรงที่อาจารย์สอนเรามา”

         “ขอบคุณที่ชมครับอาจารย์” ลูกศิษย์ที่ถูกอาจารย์ชมเมื่อครู่ยืนยิ้มหน้าบานไปกับคำชมที่ได้รับพร้อมยืนมองผลงานที่เพิ่ง

จบไปอย่างภาคภูมิใจ งานละครเวทีที่ตนตั้งใจสร้างมันมากับมือพร้อมด้วยเหล่าทีมงานทั้งหลายที่ช่วยสร้างสรรค์มันขึ้นมาและถึง

แม้งานเวทีที่สร้างนี้จะเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับหนูน้อยทั้งหลายแต่ผลตอบรับก็กลับดีเกินคาด

           ‘อัคนี ธีระชานันท์’ หรือ ‘ไฟ’ นักศึกษาจบใหม่ไฟแรงที่เลือกใช้ชีวิตโดยการก้าวเข้าสู่สายงานบันเทิงในฐานะผู้กำกับ

น้องใหม่หน้าละอ่อนแต่ฝีมือการสร้างภาพยนตร์นั้นไม่ได้ละอ่อนตามหน้าเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อยและยิ่งผลงานที่จบไปเมื่อครู่ก็เป็น

ตัวการันตีความสามารถของเจ้าตัวได้ดีทีเดียว

         “อย่างนี้มันต้องฉลองเว้ย!” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นใกล้ๆกับน้ำหนักของแขนที่อีกฝ่ายทิ้งมาที่เขาคงไม่ต้องบอกว่าคนๆนั้นคือ

ใครถ้าไม่ใช่เจ้าเพื่อนรักอย่าง ‘ปฐวี’ หรืออีกนัยหนึ่งคือทีมงานของเขาในครั้งนี้

         “แน่นอนอยู่แล้วผลงานออกมาดีวันนี้ก็ต้องมีฉลอง พี่ๆครับเตรียมตัวให้พร้อมเย็นนี้เรามีฉลองงงง”

         “เฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” และเสียงที่ได้รับกลับมาก็พาเอาไฟยิ้มขำ

         “เออนี่ไอ้ไฟเห็นว่างานนี้มีผู้ใหญ่จากหลายๆค่ายเขามาดูผลงาน แล้วอย่างนี้มีคนเขาเข้ามาติดต่อหรือทาบทามให้เราไป

กำกับให้บ้างป่ะ” ปฐวีหันมาถามอีกฝ่าย แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับไปแต่กลับปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเจ้า

เพื่อนรักตัวดี

         “ของแบบนี้ไม่มีพลาดหรอกเพื่อนรัก ไป เราไปเตรียมตัวฉลองกันดีกว่า” ไม่ว่าเปล่าไฟยังลากเจ้าเพื่อนสนิทให้ตามมาด้วย


                                              เอากับมันเถอะ นายปฐวีอยากจะปลง!!


                       
             ขณะนี้เวลาสิบเก้านาฬิกาศูนย์นาทีศูนย์วินาที.....

         “อย่างนี้มันต้องชนหน่อยพวกเรา เอ้า!! ชนแก้ว!!” เสียงหนึ่งในทีมงานเอ่ยขึ้น พร้อมเสียงแก้วที่กระทบกันดังกังวาน

ไฟที่นั่งมองดูเหล่าพี่ๆทีมงานมีความสุข คนที่เป็นหัวหน้าอย่างเขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย

         “เฮ้ย ไอ้ไฟ” เสียงเรียกข้างตัวทำให้ไฟต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าและหันมามองเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม มีไรก็ว่ามา

         “อย่าว่าอย่างนู้น อย่างนี้เลยนะเพื่อน นายไม่คิดจะมีความรักใหม่เลยเหรอวะ” เมื่อเจอคำถามที่ไม่คิดว่าจะมีคำตอบเข้าไป

ไฟถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเพื่อนรักด้วยสีหน้าปกติ

         “ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยว่ะ อาจจะอยู่เป็นโสดก็ได้ ถามทำไมหรือนายจะเป็นคนเอาเราลงจากคาน” ได้ทีไฟก็ขอหยอดสัก

หน่อย  ทุกๆคนที่ทำงานร่วมกับไฟรู้ดีว่าไฟชอบผู้ชายแล้วก็เพิ่งจะผิดหวังกับความรักมาเมื่อไม่นานมานี้และหลายๆคนก็รู้ว่าไฟ

เป็นคน sensitive ในเรื่องของความรักเป็นอย่างมากก็กลัวว่าเจ้าตัวจะทำใจไม่ได้จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไฟลืมเรื่องราว

ไม่ดีๆที่ผ่านมา แต่ไฟก็พิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าเขาโตพอที่จะทำใจยอมรับมันได้และไม่นานไฟคนเดิมก็กลับมา

         “ใครจะกล้ายุ่งกับคุณมึงล่ะครับเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย โกรธขึ้นมาทีนึกว่าเป็นพระศิวะปางทำลายล้างซะอีก” เหอะๆ ดูไอ้เพื่อนรัก

มันพูด ไฟได้แต่ส่ายหน้ากับคำเปรียบเปรยของไอ้เพื่อนรักสุดสวาทขาดใจดิ้นคนนี้เสียจริง ก็จริงอยู่ที่เขาเป็นคนโมโหร้ายจน

เพื่อนๆในมหา’ลัยตั้งฉายาให้ว่า        ‘เฮฟเฟตัส’ เทพเจ้าแห่งไฟ

         “เอ่อไอ้ไฟแล้วเรื่องที่เราคุยกันที่งานวันนี้เรื่องทำหนังอ่ะว่าไงวะ” มันเป็นสิ่งที่ค้างคาใจกับนายปฐวีคนนี้มากจริงๆว่าไอ้เจ้า

เพื่อนตัวดีมันไปคุยเจรจาพาทีกันตอนไหน แล้วเรื่องราวต่อไปเป็นไงก็ไม่รู้

         “เออใช่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับพี่ๆเลย แต่ว่าไม่เป็นไรบอกวีก่อนก็ได้ คืองี้ คุณสมศักดิ์เขาขอให้เราไปกำกับภาพยนตร์ที่มา

จากซีรีย์ของหนังสือชุดหนึ่งที่กำลังฮิตติดชาร์ตกันในเวลานี้”

         “เรื่องไรวะ” ปฐวีย้อนถามแต่ก็ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ เป็นอันรู้กันว่า ตูก็ไม่รู้

         “แล้วพรุ่งนี้คุณสมศักดิ์ให้เราไปคุยกับเขาและนักเขียนเพื่อตกลงกันอย่างแน่ชัดว่าเราจะทำภาพยนตร์เรื่องนี้กัน และรับรอง

ว่าถ้างานนี้ผ่านเรารับเต็มๆ ” เมื่อพูดถึงรายได้ของงานในครั้งนี้คนอย่างนายไฟตาลุกวาวเป็นประกายเลยทีเดียว ก็จะไม่ให้วาวได้

ยังไง ถ้าทุกฝ่ายยินยอมตกลงทำกันเขาและทางบริษัทก็จะได้รับเงินค่าเหนื่อยล่วงหน้ากันก่อน 10 ล้าน แค่คิดไอ้ไฟก็ฟินไปถึง

ชาติหน้าแล้วโว้ย!!

         “ก็ขอให้พรุ่งนี้เราได้งานทำก็แล้วกัน” เพราะคนอย่างนายปฐวีรู้ดีว่าถ้างานไหนที่ไอ้ไฟเพื่อนรักของเขาหมายปองไม่มีทาง

พลาดแน่นอนและรู้ยิ่งกว่านั้นคือถ้างานที่มันหมายปองแล้วไม่ได้มาคนรอบข้างเตรียมรอรับไฟบรรลัยกัลป์เผาได้เลย!!

         “มันต้องได้อยู่แล้ว ถ้าคนอย่างไฟอยากได้อะไรมันก็ต้องได้ ฮ่าๆๆ” ยังไม่ทันขาดคำนายปฐวีเล้ยยย

         “เดี๋ยวมานะเว้ยไอ้วีไปซื้อของที่เซเว่นก่อน ฝากบอกเรื่องนี้กับพี่ๆทีมงานด้วยนะ” ว่าจบเจ้าตัวก็ลุกเดินออกไป



                   
   “สี่ร้อยยี่สิบบาทค่ะ” เสียงพนักงานสาวเอ่ยบอกจำนวนราคาสิ้นค้าและแน่นอนว่าประโยคถัดมาหลายๆคนคงต้องคุ้นๆเป็น

แน่

         “รับขนมจีบกับซาลาเปาร้อนๆเพิ่มไหมคะ” น่านไงครับยังไม่ทันขาดคำประโยคนี้ก็มาเลย

         “ไม่ครับ” ผมรีบจ่ายเงินแล้วเดินออกมาก่อนที่จะต้องเสียเงินเพิ่มเพราะซื้อขนมจีบกับซาลาเปากลับมาด้วย?!

           นานแล้วที่ผมไม่ค่อยได้ออกมาเดินเล่นยามเย็นแบบนี้ถึงแม้ว่าย่านนี้จะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยผับบาร์และรถที่วิ่งกัน

ให้วุ่นอยู่บนท้องถนน สถานที่บริเวณนี้เป็นสถานที่ที่ผมกับเหล่าพี่ๆทีมงานมักมาฉลองกันเป็นประจำ ถึงแม้ว่าสถานที่ตรงนี้จะอยู่

ในย่านของผับบาร์แต่ก็ยังมีร้านอาหารกึ่งบาร์ที่บรรยากาศเงียบสงบ สบายๆเป็นกันเองตั้งอยู่จึงตอบโจทย์ของผมได้ดีเพราะถ้าจะ

ไปฉลอง ผมขอที่เงียบๆ คนไม่พลุกพล่านเท่าไร บรรยากาศสบายๆเป็นกันเองเหมาะที่จะนั่งคิดงานในโปรเจกถัดไป ซึ่งพี่เม่นก็

สามารถหาสถานที่ที่ผมเสนอไปได้ เราจึงมาที่นี่เพื่อฉลองกันเป็นประจำ

         “ช่วยด้วยค่ะ มีคนขโมยกระเป๋าค่ะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งกำลังร้องขอความช่วยเหลือ ผมที่อยู่บริเวณนั้นพอดีก็รีบวิ่งไปหา

สาวเจ้าเพื่อถามถึงไอ้คนร้ายที่ขโมยของเธอไป

         “คุณครับคนร้ายมันวิ่งไปทางไหนครับ”

         “ทางนั้นค่ะ” หลังจากที่เธอชี้บอกทางที่ไอ้คนร้ายมันวิ่งไป ผมก็รีบทำหน้าที่พลเมืองดีตามไปช่วยจับเจ้าโจรวายร้ายและ

ไม่นานกระเป๋าสะพายใบสวยของหญิงสาวเมื่อครู่ที่ถูกโจรขโมยไปก็ได้กลับมาอยู่ที่เจ้าของอย่างปลอดภัยหายห่วง

         “ขอบคุณมากเลยนะคะ..เอ่อ..คุณ..”

         “ไฟครับ”

         “ขอบคุณนะคะคุณไฟ”

         “ไม่เป็นไรครับ”

         “ดิฉันอาธีน่าค่ะ ถ้าไม่รังเกียจฉันขอเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณช่วยฉันได้ไหมคะ”

         “ได้ครับ แต่ขอเวลาสักครู่นะครับ” ผมตอบรับสาวเจ้าก่อนจะขอเวลาโทรไปบอกไอ้วีให้กลับบ้านเลยถ้ากินเสร็จ ส่วนเรื่อง

ค่าใช้จ่ายให้เจ้าตัวออกไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเข้าบริษัทค่อยไปเคลียร์กันอีกที ส่วนเจ้าเพื่อนรักก็โอดครวญแต่พอเขาบอกว่าจะ

ให้พิเศษถ้างานพรุ่งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีทางนั้นจึงหยุดคร่ำครวญ

         “ไปรถผมดีกว่าครับ” ฝ่ายสาวเจ้าก็พยักหน้ารับ เขาจึงนำเธอไปที่รถก่อนจะพามุ่งหน้าไปร้านอาหารตามที่เธอบอก

           ร้านอาหารที่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมพามาเป็นร้านอาหารสไตล์วินเทจเล็กน้อยเพราะเห็นเจ้าตัวบอกว่านัดพี่ชายให้มาหา

ที่ร้านอาหารแห่งนี้แล้วเจ้าตัวยังบอกอีกว่าร้านอาหารร้านนี้เป็นร้านที่พี่ชายเธอชอบมาก ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับไปตามมารยาท

และดูจากท่าทางและน้ำเสียงในการเล่าของเธอที่เล่าถึงพี่ชายคนนี้ดูเธอจะภูมิใจกับพี่ชายของเธอเสียเหลือเกิน เราทั้งคู่เดินเข้า

มาภายในร้านอาหาร ผมว่าภายนอกที่ดูดีแล้วยังเทียบไม่ติดกับภายในที่ดูดีมีสไตล์กว่ามากกว่า สงสัยเจ้าของร้านคนนี้คงจะไม่

ธรรมดาเสียแล้ว

         “รับอะไรดีครับคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย” เสียงบริกรที่ยืนรอรับออเดอร์เอ่ยถามหลังจากที่ผมและเธอนั่งลงเรียบร้อยแล้วพร้อม

กับยื่นใบเมนูอาหารมาให้ ผมไล่สายตาไปเรื่อยๆเพราะไม่รู้ว่าจะทานอะไรดีเพราะก่อนหน้านี้ผมก็เพิ่งทานไปกับเหล่าพี่ๆทีมงาน

         “ฉันขอเป็นสเต็กแซลมอนที่หนึ่งค่ะ ” เธอบอกบริกรชายก่อนส่งเมนูกลับคืนให้เขา ส่วนบริกรเมื่อรับเมนูกลับคืนก็หันมา

มองหน้าผมเป็นเชิงถาม

         “ผมสั่งแบบคุณผู้หญิงอีกที่หนึ่งครับ” ผมบอกพนักงานไปซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้ารับพร้อมเก็บเมนูของผม

         “คุณไฟไม่อยากทานอาหารเหรอคะ” ผู้หญิงที่นั่งตรงหน้าผมเอ่ยถาม จะให้ผมปฏิเสธตรงๆเลยรึไงว่าผมเพิ่งกินมาแล้วใคร

มันจะไปอยากอีก

         “เอ่อ พอดีผมยังไม่ค่อยหิวสักเท่าไร แต่ว่าอีกเดี๋ยวก็คงหิวแล้วล่ะครับ” ผมตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มสุภาพ

         “จะเป็นการละลาบละล้วงไหมคะ ถ้าธีน่าจะถามคุณว่าอายุเท่าไรแล้ว” เป็นครับ!!เพราะคำถามนี้เป็นหนึ่งในคำถามที่ผมไม่

อยากจะตอบให้เจ็บปวดตัวเองเท่าไร

         “ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมอายุ 26 ปีครับ” แต่ถึงผมจะไม่ชอบยังไงก็คงจะปฏิเสธไม่ได้

         “โห ยังดูเด็กอยู่เลยนะคะ” เธอตกตะลึงกับอายุของผม แน่นอนครับผมหน้าเด็ก ฮ่าๆ

         “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

         “ขนาดนี้แหละค่ะ ก็พี่ชายของธีน่าสิคะหน้าตายังดูแก่กว่าคุณตั้งเยอะทั้งๆที่อายุน้อยกว่าคุณแท้ๆเลย” เอ๋?

         “นินทาพี่ชายแบบนี้ไม่กลัวถูกจับได้เหรอครับ”

         “ไม่หรอกค่ะ ถ้าคุณไฟไม่พูด ธีน่าไม่พูด พี่ก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ” ดูเธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษที่ได้นินทาพี่ชายเธอ

         “คุณไฟมีพี่น้องไหมคะ”

         “ไม่ครับ ผมลูกคนเดียว แค่วีรกรรมของผมคนเดียวก็ทำให้ที่บ้านปวดหัวจะแย่แล้วล่ะครับ” สมัยก่อนผมเป็นเด็กเกเร

มากๆๆๆถึงมากที่สุดเลยล่ะครับ ม๊าต้องคอยว่าผมอยู่ทุกวันนึกแล้วก็คิดถึงวันเก่าๆ

         “จริงเหรอคะ เล่าให้ธีน่าฟังบ้างได้ไหมคะ”

         “ได้สิครับ แต่ตอนนี้อาหารมาแล้วผมว่าทานไปเล่าไปน่าจะดีกว่า” เพราะผมเห็นว่าบริกรคนเมื่อครู่เดินมาพร้อมกับถาด

อาหารผมจึงเลือกที่จะทานไปเล่าวีรกรรมแสบๆของผมให้กับคุณธีน่าฟัง

           บรรยากาศในโต๊ะดูเป็นกันเองมากกว่าเมื่อสักครู่เพราะเราทั้งคู่ก็เล่าประสบการณ์ในวัยเด็กของเราให้ต่างคนต่างได้

ฟังกันมีบ้างที่ในบางครั้งน้องธีน่าเล่าวีรกรรมแสบๆของพี่ชายเธอให้ผมฟังซึ่งนั้นก็ทำให้ผมรู้เรื่องพี่ชายของเธอและตัวเธอมากขึ้น

         “พี่ไฟนี่มีแต่วีรกรรมแสบๆทั้งนั้นเลยนะคะ” หลังจากที่เราคุยกันมาได้สักพักสรรพนามที่เคยใช้ก็ถูกเปลี่ยนเพื่อให้ดูสนิทกัน

มากขึ้น

         “ยังไม่หมดแค่นั้นนะครับจริงๆแล้ววีรกรรมของพี่ยังมีมากกว่านี้อีกนะครับ โดยเฉพาะในช่วงชีวิตมหา’ลัย”

         “เฮ้อ!! ธีน่าอยากจะให้พี่ไฟเป็นผู้หญิงจังเลยค่ะ” เมื่อเธอพูดจบผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย ดีนะที่ผมยังไม่ได้ทาน

น้ำไม่งั้นมีหวังผมต้องได้สำลักน้ำลายหรือไม่ก็น้ำตายแน่ๆ

         โศกอนาถกรรมผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งสำลักน้ำลายตัวเองตายกลางร้านอาหารสุดหรูเพียงเพราะประโยคของหญิงสาวที่

ว่า ‘อยากให้เจ้าตัวนั้นเป็นผู้หญิง’!? ช่างภูมิใจอะไรเช่นนี้ เหอะๆ

         “ทำไมถึงอยากให้พี่เป็นผู้หญิงล่ะครับ”

         “ก็เพราะว่าธีน่าอยากได้พี่เป็นพี่สะใภ้น่ะสิคะ”

         “แค่กๆๆ” และแล้วครั้งนี้ผมก็สำลักจริงๆ หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของผมจริงๆซะแล้ว?

         “เป็นไรไหมคะพี่ไฟ ค่อยๆดื่มสิคะ” หญิงสาวตรงหน้าส่งกระดาษทิชชู่มาให้ผมก่อนที่ผมจะรับมันไปเช็ดอย่างอนาถ

จิตอนาถใจ

         “ทำไมถึงอยากได้พี่ไปเป็นเอ่อ..สะใภ้ล่ะ แต่พี่ก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงนะครับ ฝันของน้องธีน่าคงจะไม่เป็นจริง”

         “ที่ธีน่าอยากได้พี่เป็นสะใภ้เพราะว่าพี่น่ารัก มีอะไรหลายๆอย่างที่สามารถเข้ากันได้กับพี่ชายธีน่าได้แล้วที่สำคัญคุณแม่จะ

ให้พี่ชายของธีน่าแต่งงานกับยัยปากแดง เอ้ย! คุณหนูเจนสิญาซึ่งธีน่าไม่ชอบเลยอยากได้ใครสักคนไปเป็นอีกตัวเลือกให้กับพี่

ชายบ้างก็แค่นั้น”

         “ส่วนเรื่องที่พี่เป็นผู้ชายก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยค่ะเดี๋ยวนี้สังคมออกจะกว้างเพราะตอนอยู่เมืองนอกพี่ชายก็ยังเคยควงหนุ่ม

หน้าสวยเลย เรื่องนี้ครอบครัวธีน่ารับได้ไม่ต้องห่วงค่ะ” เอ่อ คุณน้องธีน่าครับถามพี่รึยังครับว่าพี่จะยอมไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกให้

กับพี่ชายคุณน้องรึเปล่าครับ

         “และอีกอย่างนะคะธีน่าก็ชอบพี่ไฟมากกกเลยล่ะค่ะ ช่วยธีน่าหน่อยนะคะถือว่าน้องคนนี้ขอร้อง” เอาแล้วไง น้องธีน่าเริ่ม

เอื้อมมือมาจับมือผมพร้อมกับกระพริบตาปริบๆเป็นเชิงอ้อนวอน ร้องขอ

         “แล้วพี่ชายของน้องธีน่าจะว่ายังไงล่ะครับ” เอาสิผมก็ยังพอมีทางอื่นให้เฉได้

         “ไม่ต้องห่วงเรื่องพี่ชายค่ะเพราะธีน่าจะบอกว่าพี่ไฟเป็นรุ่นพี่ที่สนิทของธีน่าแล้วพี่ก็ยังเคยช่วยธีน่ามาก่อนด้วยเรื่องนี้พี่ชาย

เชื่อแน่นอนและเดี๋ยวธีน่าเองจะเป็นแม่สื่อให้กับพี่ไฟแล้วก็พี่ชายของธีน่า พี่ไฟไม่ต้องห่วงค่ะ” ไปไม่เป็นเลยล่ะครับงานนี้ จะว่า

ดีใจก็คงจะดีใจที่อยู่ดีๆก็จะมีคนแนะนำผู้ชายสักคนมาให้ได้รู้จักและจะได้ลืมเรื่องราวของ ‘เขา’ คนนั้นได้สนิทสักที แต่นี่รูปร่าง

หน้าตาก็ยังไม่เคยได้เห็นจะไม่ให้ผมเครียดได้ยังไงล่ะครับ

         “ยังมีอีกเรื่องที่ธีน่าลืมถาม พี่ไฟยังไม่มีแฟนใช่ไหมคะ”

         “ครับ ยังไม่มีครับ” เพราะถ้าพี่จะบอกว่ามีธีน่าคงจะต้องให้พี่ตอบว่าไม่มีใช่ไหมครับเพราะดูจากแววตาเธอแล้ว

                                               ถ้ามีก็ต้องตอบว่าไม่มีนะคะพี่ไฟ

         “งั้นก็ยิ่งดีเลยล่ะค่ะเราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย” แน่ใจนะครับว่าทั้งสองฝ่ายไม่ใช่น้องธีน่าแค่ฝ่ายเดียว

           ครืดๆๆ

         เสียงโทรศัพท์ยี่ห้อดังมาแรงแพงสุดติ่งกระดิ่งแมว!?ของน้องธีน่าดังขึ้น เจ้าตัวจึงหยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามอง

ผมพร้อมสัญญาณปากที่ว่า

                                      พี่ชายมาแล้วค่ะ

         ผมก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มรับกับการมาของพี่ชายน้องธีน่า น้องธีน่าจะรู้ไหมนะว่าพี่ไฟคนนี้นั่งน้ำตาซึมอยู่ภายใน

 กระซิกๆ ผมเอาแต่ก้มหน้ามองอาหารที่ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในจานแต่ตอนนี้แม้แต่ซากยังไม่เหลือเงาให้เห็น

         “รอนานไหมคะ พี่ขอโทษนะที่ปล่อยให้เรารอนาน” มาแล้วไงพี่ชายของน้องธีน่า

         “ไม่นานหรอกค่ะพี่นอร์ส” ชื่อนอร์สซะด้วย

         “พี่นอร์สคะนี่พี่ไฟค่ะ” เมื่อน้องธีน่าแนะนำผมให้กับพี่ชายเธอรู้จักและตามมารยาทที่ดีแล้วผมจึงต้องจำใจเงยหน้าขึ้นมา

มอง เท่านั้นล่ะครับ    ออร่าความหล่อของคนตรงหน้ากระแทกเข้าตาผมอย่างจัง

               พระเจ้า!!เขาหล่อมาก

           เรียกได้ว่าเขาเป็นเทพบุตรที่มาจุติบนโลกมนุษย์ก็ว่าได้

         “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณไฟ ผมชื่อนอร์สเป็นพี่ชายอาธีน่า” พี่ชายของอาธีน่ายื่นมือมาทักทาย

         “ครับยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนอร์ส” ผมจึงยื่นมือออกไปทักทายเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

         ตึกตัก ตึกตัก

        เสียงใจเจ้ากรรมดันเต้นซะแรงเชียว โอ๊ย!ผมอยากระเบิดตัวตายให้กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ท่วมทุ่งข้าวสาลีกันไปข้างเลย

         “พี่ไฟเป็นพี่ชายที่สนิทมากๆของธีน่าเองค่ะแถมพี่ไฟยังช่วยธีน่าอีกด้วยนะคะ” หลังจากที่ผมทักทายพี่ชายของธีน่าอย่าง

เป็นทางการเรียบร้อยแล้ว น้องธีน่าชวนพวกเราให้มาเดินห้างเพื่อช่วยเธอเลือกซื้อของให้กับเพื่อนของเธอเนื่องในวันเกิดของ

เพื่อนเจ้าตัวซึ่งพวกผมก็ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ถือที่ดีและดูเหมือนว่าน้องธีน่าจะเริ่มปฏิบัติการจับคู่ผมกับพี่ชายของเธอซะแล้ว

         “พี่ไฟคะช่วยหยิบตุ๊กตาที่อยู่ด้านบนให้ธีน่าหน่อยสิค่ะ ธีน่าหยิบไม่ถึงอะค่ะ” น้องธีน่าตะโกนออกมาจากชั้นในสุดของ

แผนกตุ๊กตาหมี ใช่แล้วล่ะครับตอนนี้พวกเราอยู่ในร้านขายตุ๊กตาคิขุอาโนเนะที่เหล่าสาวๆชอบเลือกซื้อไปให้กับเพื่อนๆในงานวัน

เกิด ผมจึงต้องเดินเข้าไปหาเธอเพื่อหยิบตุ๊กตาเจ้าปัญหานี้ให้เธอ แต่เมื่อผมเดินไปถึงกลับพบว่าเจ้าตุ๊กตาตัวที่ธีน่าต้องการให้

ผมช่วยหยิบนั้นมันสูงเกินกว่าผมจะเอื้อมถึง ผมจึงหันไปถามเธอทางสีหน้าว่าพี่หยิบให้ไม่ถึงเจ้าตัวก็ไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนอะไร

มิหนำซ้ำยังตะโกนเรียกอีกคนให้เขามาหยิบให้อีกต่างหาก

         “พี่นอร์สคะพี่นอร์ส พี่ไฟหยิบตุ๊กตาให้ธีน่าไม่ถึงพี่นอร์สมาช่วยหยิบให้หน่อยค่ะ” หลังจากที่น้องธีน่าตะโกนออกไปไม่นาน

อีกฝ่ายก็เดินมาถึง ผมกำลังจะผละออกจากที่ๆยืนหยิบตุ๊กตา แต่แล้วพี่ชายของน้องธีน่าก็เอื้อมมือมาหยิบตุ๊กตาให้น้องสาวทั้งๆที่

ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย กลายเป็นว่าพี่ชายของน้องธีน่ากำลังกอดผมอยู่กลายๆ โอ๊ย!คุณครับแค่ออร่าความหล่อของคุณมันก็ทำ

ให้ผมใจเต้นผิดจังหวะไปแล้ว แล้วนี่คุณยังมาทำแบบนี้ต้องการให้ผมละลายแล้วค่อยออสโมซิสหายไปกับตุ๊กตาตัวนั้นเหรอครับ

คุณเทพบุตร!!!

         “ได้แล้วค่ะ น้องธีน่า” เมื่อคุณพี่ชายแสนดีของน้องธีน่าหยิบตุ๊กตาตัวนั้นได้ เจ้าตัวก็ยื่นมันไปให้กับน้องสาวสุดที่รักพร้อม

กับเดินออกไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์กับน้องสาวแล้วก็ทิ้งผมไว้อยู่ที่เดิมคนเดียว

           ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

           โอ๊ย!!จะเต้นอะไรนักหนาฟร้ะ เพราะพอสองพี่น้องเดินออกไปผมจึงได้ถอนหายใจเพื่อปรับร่างกายให้สามารถ

หายใจได้อย่างทั่วทองก่อนจะจับสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่เต้นแรงอยู่ในอกข้างซ้ายได้และแน่นอนว่าเสียงมันชัดถึงชัดมาก

เลยทีเดียวเชียวค่ะคุณผู้ชม สงสัยงานนี้ผมควรจะต้องเข้าโรง’บาลเพื่อไปเช็คร่างกายซักหน่อยเพราะดูเหมือนว่าก้อนเนื้อในอก

ซ้ายจะทำงานผิดจังหวะบ่อยเหลือเกิน



                           

         

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2015 20:19:21 โดย Hades Novel »

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
“พี่ไฟไหวแน่นะคะ”

         “ไหวครับ”

         “แต่ธีน่าไม่เชื่อ พี่นอร์สคะช่วยขับรถไปส่งพี่ไฟที่บ้านให้หน่อยสิคะ”

         “พี่ไม่เป็นไรจริงๆครับน้องธีน่า”

         “จะไม่ให้เป็นอะไรได้ยังไงคะก็ตั้งแต่ที่พี่ไฟเดินออกมาจากร้านตุ๊กตาหน้าพี่ไฟก็เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดอย่างนี้จะไม่ให้ไม่เป็นไร

ได้ไงล่ะคะ” ครับ จะไม่ให้พี่หน้าแดงได้ไงล่ะครับก็ในเมื่อภาพเหตุการณ์เมื่อครู่มันยังวนเวียนอยู่ในหัวของพี่จะไม่ให้หน้าซีด หน้า

แดงก็คงจะกระไรอยู่มั้งครับ ก็คนมันยังเขินไม่หายหนิครับ

         “ไม่รู้แหละพี่ไฟต้องให้พี่นอร์สไปส่งเพราะธีน่าเป็นห่วงสวัสดิภาพของพี่ พี่นอร์สขับรถพี่ไปส่งพี่ไฟก็ได้ค่ะเดี๋ยวธีน่าเรียกให้

ที่บ้านมารับ”

         “ได้ครับ งั้นก็ถ้าถึงบ้านแล้วโทรบอกพี่ด้วยนะ” เสียงของผู้ที่ไร้ซึ่งบทสนทนาแต่กลับถูกพาดพิงซะหลายประโยคก็ได้ฤกษ์

เอ่ยขึ้น

         “แต่ว่ารถพี่...”

         “ไม่ต้องห่วงค่ะ พี่ไฟเอารถจอดไว้ที่ห้างนี้ได้ไม่ต้องห่วงเพราะห้างนี้ที่บ้านของธีน่าเป็นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ต้องกลัวหายหรอก

ค่ะแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ธีน่าให้คนที่บ้านเอารถของพี่ไฟไปคืนให้ถึงที่เลยล่ะค่ะ” ผมก็ได้แต่ทำปากพะงาบๆ เถียงไม่ทันคุณน้องเขาเลย

ให้ตายเหอะ  ไม่รู้ว่าแม่คุณไปเรียนศาสตร์ด้านการพูดแบบไร้คนขัดได้จากที่ไหนเผื่อผมจะได้สมัครไปเป็นลูกศิษย์ด้วยอีกคน

เพราะเอากับเธอเถอะ เหอะ คงจะทัน เมื่อเทพบุตรสุดหล่อของผม(?)เดินนำหน้าไปก่อน ผมจึงต้องเดินตามไปแต่ก็ไม่วายหัน

หลังไปหาตัวต้นเรื่อง ซึ่งก็มิได้คำตอบใดๆจากเธอแม้แต่น้อยเพียงแต่สิ่งที่ได้มาคือวาจาอันเชือดเฉือนของหล่อนแทน

            โชคดีนะคะพี่ไฟ พร้อมกับขยิบตาเป็นนัยๆส่งให้อีกต่างหาก

           คอยดูนะผมจะป่าวประกาศให้โลกได้รู้เลยล่ะว่า เพศหญิงคือเพศที่เจ้าเล่ห์ เผด็จการ สายตาสังหาร น่ากลัว และที่

สำคัญ เธอคือ จอมมารในคราบสาวงามชัดๆ!!!!!!!!!



                       
            และแล้วก็ใช้เวลาไม่นานมากผมก็เดินทางมาถึงคอนโดของตัวเองด้วยอาการที่ครบสามสิบสอง ไม่มีขาด ไม่มีเกิน

ผมจึงลากสังขารของตัวเองมายังลิฟท์ที่พอเดินเข้าไปเจ้าลิฟท์ที่ต้องการก็เปิดกว้างรอรับคนอย่างผมให้เดินเข้าไปข้างในก่อนที่

ผมจะบอกจุดหมายปลายทางให้กับมันและนั่นก็หลังจากที่ราชรถที่มาส่งผมเมื่อครู่พุ่งทะยานออกไป

         ติ๊ง ติ๊ง

         หืม? เสียงไลน์ ใครส่งอะไรมาและก็ไม่รอช้าผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดดูก่อนจะเจอกับข้อความของคนที่มาส่งผมเมื่อครู่

และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟท์เปิดออกพอดี

                                                            NORSE : ฝันดีนะครับ

   และหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าผมเดินเข้ามาถึงห้องได้ยังไงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นตัวเองทำอะไรบ้างเพราะสิ่ง

เดียวที่ผมรู้ ณ ตอนนี้คืออาการหวิวๆในอกซ้ายซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ว่าเป็นเพราะลิฟท์ที่ขึ้นมาหรือคำบอกฝันดีของ

ใครอีกคนกันแน่......











สวีดัส สวัสดีนักอ่านที่น่ารักทุกคนค่ะ เฮดีสมากับเรื่องเก่าเล่าใหม่อีกแล้วจร้าาาา นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าที่ดีสเคยแต่งลงเว็บเด็กดี แต่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเว็บนี้ ยังไงก็ฝากติดตามเรื่องแผนการร้ายมัดใจคุณชายเย็นชาแล้วก็อย่าลืมไปอ่านตอนพิเศษคุณสะใภ้ที่รัก //กระซิบดังๆว่ามีฉากเอ็นซีนิดหน่อยค่ะ อุอิ ครุคริ แล้วก็ฝากเรื่องที่กำลังแต่งอย่าง #จอมใจ ด้วยนะคร้าาาาา


ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                แผนการร้ายครั้งที่ 2 : หัวใจมีเหตุผลของมันเอง...เป็นเหตุผลที่มิอาจหยั่งรู้ได้

                    เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่แสนสดใสสำหรับใครหลายๆคนและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คงจะมีนายอัคนีผู้นี้อยู่ด้วยเป็น

แน่เพราะหลังจากเมื่อวานที่เจ้าตัวได้รับข้อความบอกฝันดีของใครบางคนก็พลอยทำให้เลือดในร่างกายสูบฉีด ส่งผลให้เจ้าตัว

กระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้า

         “แหม ไอ้คุณไฟเช้านี้อารมณ์ดีจังเลยนะครับ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มาเชียว”  พอผมก้าวเท้าเข้าสู่ออฟฟิศตัวเองก็โดนเจ้าเพื่อน

ตัวดีแซวแต่เช้า ผมเองก็พอจะรู้ตัวอยู่หรอกนะว่าวันนี้ตัวเองอารมณ์ดีแปลกๆ ซึ่งนานทีปีหนที่ผมจะเดินเข้าบริษัทด้วยรอยยิ้ม

เพราะทุกครั้งที่ย่างกายเข้าเหยียบบริษัทหน้าผมจะต้องบอกบุญไม่รับเพราะเครียดเรื่องงานไม่ก็เดินเหมือนคนร่างไร้วิญญาณเข้า

มาเพราะไม่มีเวลานอนแต่นี่มันผิดกันจึงไม่แปลกที่จะโดนไอ้เพื่อนตัวดีแซว

         “อ้าว ก็เช้านี้เราต้องไปคุยกับคุณสมศักดิ์เรื่องทำหนังจะให้ไม่อารมณ์ดีได้ไงวะครับคุณเพื่อนครับ” ใช่แล้วล่ะครับวันนี้เป็น

วันที่ทางคุณสมศักดิ์ได้นัดผมกับเหล่าทีมงานให้เข้าไปคุยเรื่องการทำหนังที่มีบทประพันธ์มาจากหนังสือขายดีติดชาร์ตอยู่ใน

เวลานี้

         “งั้นเราก็ควรที่จะไปได้แล้วนะครับคุณไฟครับ เชิญครับ ไปครับพี่ๆ”       
 
           หลังจากที่ไอ้วีแขวะผมก็หันไปเรียกพี่ๆทีมงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องไปฟัง ไปคุยคอนเซปของงานในวันนี้ พวกเราทั้ง

หมดจึงได้เริ่มเดินทางกัน

           บริษัทของคุณสมศักดิ์ไม่ได้จัดว่าใหญ่มาก แต่ก็จัดได้ว่าใหญ่ทีเดียว ผมและพี่ๆทีมงานหลังจากที่เราเดินทางมาถึง

ก็เข้าไปคุยกับพนักงานที่มาคอยต้อนรับว่าตอนนี้คุณสมศักดิ์ได้รอพบอยู่ที่ห้องประชุมแล้ว พนักงานคนดังกล่าวจึงพาพวกผมไป

เข้าพบ

         “อ้าวคุณไฟ เชิญครับๆ”  พอพนักงานคนที่พาผมเข้ามาเปิดประตูให้ คนที่อยู่ด้านในที่รออยู่ก่อนแล้วก็กล่าวต้อนรับ

ผมจึงรีบยกมือไหว้ทักทายเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

         “สวัสดีครับคุณสมศักดิ์” เมื่อทักทายเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินไปนั่งที่ที่ทางคุณสมศักดิ์จัดให้พร้อมกับเหล่าทีมงานที่มาด้วย

         “รอสักครู่นะครับ พอดีทางนักเขียนติดธุระตอนเช้าเล็กน้อยแต่เจ้าตัวบอกว่าอีกเดี๋ยวจะเข้ามา” ผมพยักหน้ารับและไม่นาน

ประตูห้องที่ผมนั่งอยู่ก็เปิดออกพร้อมๆกับร่างบุคคลที่ถูกกล่าวว่าเป็นเจ้าของนิยายซีรีย์นี้

         “ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ให้รอนาน พอดีผมติดธุระกับทางบ้านเล็กน้อย” เมื่อเจ้าตัวเปิดประตูเข้ามาก็รีบขอโทษ

ทุกคนที่ให้รอนานโดยมีเจ้าตัวนั้นเป็นเหตุ ส่วนตัวผมที่ได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงเพราะเกิดอาการตกใจกะทันหันเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่

ตรงหน้า ก็จะไม่ให้ผมตกใจได้อย่างไรในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่ทำให้ผมอารมณ์ดีตั้งแต่เข้า จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่

นอร์ส!!!!!

           ส่วนอีกฝ่ายที่เพิ่งจะหันมาเห็นผมก็มีอาการตกใจไม่ต่างจากผมเพียง แต่ว่าอีกฝ่ายจะเก็บอาการได้ดีกว่าผมจึงทำ

เพียงแค่ส่งยิ้มบางมาให้พร้อมเอ่ยทักทาย

         “สวัสดีครับคุณไฟ” ผมจึงต้องทักทายกลับ หลังจากที่โดนไอ้เพื่อนรักที่นั่งข้างๆใช้เท้าสะกิดเบาๆเพื่อให้ผมเลิกนั่งเอ๋อสัก

ที

         “คุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอครับ งั้นดีเลยเราจะได้คุยกันง่ายๆหน่อยจริงไหมครับคุณไฟ คุณนอร์ส”

           หลังจากนั้นคุณสมศักดิ์ก็ได้คุยรายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างซีรีย์ชุดนี้ ซึ่งซีรีย์ชุดนี้นั้นมีทั้งหมดสามเรื่องคือ บ่วงมน

ตรา มายากลางใจ และ ไฟอัคนี ซึ่งเรื่องแรกนั้นจะเป็นเรื่องราวความรักของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งทางบ้านของทั้งคู่เป็นมาเฟียที่มี

อิทธิพลที่ไม่ลงรอยกัน ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องของความรักที่ถูกกีดกันจากครอบครัวซึ่งฝ่ายหญิงถูกทางบ้านคลุมถุงชนให้แต่ง

งานกับคนที่ไม่ได้รัก ส่วนเรื่องสุดท้ายจะเป็นการแก้แค้น ทั้งสามเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อสะท้อนชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันที่มีทั้ง

เรื่องครอบครัว การอาฆาต และการมีทิฐิ

                 “คุณสมศักดิ์ครับเรื่องนักแสดงผมขอเป็นคนเลือกเองนะครับว่าจะให้ใครเล่นเป็นตัวไหน”

           “ได้เลยครับ ส่วนเรื่องสถานที่หรือฉากต่างๆทางคุณไฟคงต้องจัดการหลังจากที่ได้อ่านเรื่องราวนี้ หวังว่าจะไม่ยาก

สำหรับคุณนะครับ”

         “ไม่เลยครับ รับรองงานนี้จะออกมาอย่างดีแน่นอนคุณสมศักดิ์ไม่ต้องกลัวผิดหวัง” ผมรับคำ ถึงแม้งานการกำกับการแสดง

ภาพยนตร์ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกแต่สำหรับตัวผมเองการกำกับนี้ไม่ใช่ครั้งแรกจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ผมกลับมองว่ามัน

เป็นสิ่งที่ท้าทายการทำงานของผมและพี่ๆทีมงานมากกว่า

         “งั้นนี่ก็คงไม่มีอะไรแล้ว ผมว่าเราแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองกันดีกว่า” เมื่อคุณสมศักดิ์เอ่ยจบเหล่าพี่ๆทีมงานก็เริ่ม

เก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับที่ทำงานเพื่อที่จะได้ไปวางแผนการทำงานกับเจ้าหัวข้องานที่ได้รับมาใหม่ ส่วนผมก็กำลังนั่งอ่านราย

ละเอียดอีกครั้งเผื่อว่าจดไม่ครบจะได้ถามอีกคนที่นั่งอยู่ในห้อง

         “ไอ้ไฟ ไอ้คุณมึงไปรู้จักคุณนอร์สนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะครับ” ไอ้วีที่ผมเห็นมันเอาแต่นั่งจ้องนอร์สไม่วางตาตั้งแต่เข้ามาพร้อม

ทั้งสายตาที่มันเต็มไปด้วยคำถามมากมายถูกยิงส่งมาที่ผม แต่ผมเห็นว่าตอนนี้มันเป็นเวลางานเลยเลี่ยงที่จะตอบคำถามที่ถูกส่ง

มา แต่จนแล้วจนรอดไอ้เพื่อนตัวดีก็ทนความสงสัยไม่ไหวจึงได้เอ่ยปากถาม

         “เรื่องมันค่อนข้างจะยาวว่ะเพื่อน ไว้ไปถึงบริษัทค่อยเล่าให้ฟัง”

         “ได้ไงวะ เล่ามาเลยนะเว้ยหรือว่านี่จะเป็นคนใหม่วะ” ไอ้สลัดผัก!!

         “ใหม่กับผีมึงน่ะสิ คนนี้คือพี่ชายของคนที่กระผมไปช่วยเมื่อวานขอรับคุณมึง” ไอ้วีพยักหน้ารับแต่ก็ไม่วายที่จะจ้องมอง

นอร์สไม่เลิก ผมจึงสะกิดมันว่าเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพมันจึงละสายตาไป

         “เอ่อ คุณไฟพอจะว่างไหมครับ พอดีว่าผมจะชวนคุณไฟไปดูสถานที่ที่ผมจะใช้เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทำหนึ่งในซีรีย์น่ะ

ครับ” นอร์สที่ยังคงนั่งอยู่ในห้องประชุมไม่ได้ลุกไปไหนเอ่ยชวนผมไปดูสถานที่ถ่ายทำ ผมจึงหันไปถามความคิดเห็นของไอ้วีซึ่ง

มันก็พยักหน้าแล้วจะบอกพี่ๆทีมงานให้ว่าผมไปดูสถานที่กับนักขียน

         “ไปครับ”





                       
           สถานที่ที่นอร์สพาผมไปนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนักที่สำคัญ สถานที่ที่ผมถูกพาไปจัดได้ว่าเป็นสถาน

ที่ทางประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ สถานที่นี้ก็คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

         “เอ่อคุณนอร์สครับจะพาผมไปดูสถานที่ที่ไหนครับเหรอครับ”

         “ก็อยุธยาไงครับ” ผมรู้ครับว่าพามาอยุธยาแต่ก็ช่วยระบุให้มันชัดๆไปเลย ซึ่งผมคิดว่าผมคงจะทำหน้าไม่สบอารมณ์ออกไป

เจ้าตัวจึงหันมายิ้มบางๆให้ผม

         “โอเคครับผมบอกก็ได้ คือว่าผมจะพาคุณไฟไปตลาดน้ำอโยธยาเพราะเรื่องที่สองเราจะใช้สถานที่นี้อยู่ในฉากด้วยครับ”

 นอร์สหันมาบอกพร้อมๆกับมาถึงสถานที่ที่เจ้าตัวเพิ่งพูดถึงไป

         ติ๊ง

         เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่นอร์สวนหาที่จอดรถเจอพอดี ซึ่งเสียงโทรศัพท์ที่ว่ามันเป็นเสียงข้อ

ความจากน้องสาวของคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมตอนนี้

   Arthyna : พี่ไฟคะ วันนี้พี่เจนจะตามพี่นอร์สไปอยุธยาค่ะ

   Firer : แล้วคุณเจนเธอจะมาทำไมครับ

   Arthyna : ก็ธีน่าบอกพี่เจนว่าตอนนี้พี่ไฟอยู่กับแฟนที่อยุธยาค่ะ

   Firer : ห๊า!!

   Arthyna : ไม่ต้องหาหรอกค่ะเดี๋ยวพี่ไฟก็เจอพี่เจนเองล่ะค่ะ สู้ๆนะคะ

   Firer : แต่ว่า...

   Arthyna : หรือว่าพี่ไฟไม่ชอบพี่นอร์ส?????

         แล้วจะให้ผมตอบว่ายังไงได้ล่ะครับ ถ้าถามว่าชอบไหม ก็คงจะต้องตอบว่าชอบ ผู้ชายอะไรดูดีไปหมด หล่ออย่างกับ

เทพบุตรขนาดนี้ถ้าหลุดมือไปก็คงจะต้องเสียดายน่าดู

   Firer : แล้วพี่จะต้องทำไงบ้างครับ

   Arthyna : งั้นก็เริ่มปฏิบัติการแผนร้ายมัดใจพี่ชายขั้นที่ 1 เลยค่ะ แผนมีอยู่ว่า.............................................







                       
         “นอร์สไฟหิวแล้วอ่ะ ไปหาร้านอาหารในนี้ทานกันนะ”

         “เอ่อ ครับคุณไฟ”

         “คุณไฟอะไรกันเรียกไฟก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ”

         “เอ่อ..ครับไฟ” และแล้วปฏิบัติการแผนที่น้องธีน่ากับผมได้วางไว้ก็เริ่มขึ้นซึ่งหนึ่งในแผนการครั้งนี้คือการทำความสนิทชิด

เชื้อกัน ซึ่งนั่นควรเริ่มจากการเรียกชื่อก่อน ส่วนเจ้าตัวที่งงๆกับการกระทำของผมก็ได้แต่ทำหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

            เราทั้งคู่เลือกร้านอาหารในตลาดน้ำเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวน่าทานที่หนึ่งโต๊ะที่เลือกก็ค่อนข้างจะติดกับแม่น้ำ บรรยากาศ

โรแมนติ๊กโรแมนติก ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงไม่พึงประสงค์วี๊ดว้ายอยู่ตรงหน้าเราทั้งคู่

         “Hi ฮันนี ดีใจจังเลยที่เจอคุณ”

         “อ้าวเจนคุณมาได้ยังไงครับเนี่ย” หลังจากที่ตัวมารผจญมาถึงก็ตรงดิ่งเข้ามาทักทายผมกับนอร์ส ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่า

เธอเข้ามาทักใครแต่ที่แน่ๆมันคงไม่ใช่ผม

         “ก็ไม่ไงค่ะ พอดีเจนผ่านมาทางนี้แล้วเห็นคุณก็เลยเข้ามาทักพอดีว่าเจนก็กำลังคิดถึงคุณอยู่น่ะค่ะ” ว่าจบคุณเจนสิญาก็

ปลายหางตามาทางผมซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่เฉหันไปมองด้านอื่นแทน

          “ครับ นั่งก่อนสิครับเจน” พออีกคนเชื้อเชิญ สาวเจ้าก็รีบคว้าโอกาสตรงนี้ไว้ แหม!แม่คุณรีบเชียวนะ

         “ขอบคุณค่ะ” เธอเลือกนั่งฝั่งเดียวกันกับนอร์สซึ่งแน่นอนว่าผมนั้นนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแต่ก็ยังตรงกับนอร์สอยู่ดี

         “นั่นใครเหรอคะนอร์ส” พอนั่งเสร็จเธอก็หันไปถามนอร์สว่าผมนั้นเป็นใคร ผมที่นั่งมองเจ้าตัวอยู่ก่อนแล้วจึงรู้ว่าอีกฝ่ายก็หัน

มามองผมแวบหนึ่งแล้วก็หันไปให้คำตอบกับหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง

         “เพื่อนครับ ชื่อไฟ ไฟครับนี่เจนครับ เพื่อนของผมเอง” พอแนะนำผมให้อีกฝ่ายจบนอร์สก็แนะนำอีกฝ่ายให้ผมได้รู้จัก

เหมือนกัน และนั่นก็ทำให้อีกคนไม่พอใจกับสถานะที่นอร์สแนะนำให้ผมรู้จัก

         “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ นี่น่ะเหรอคะคุณไฟ” สาวเจ้ายื่นมือออกทักทาย ผมจึงยื่นมือออกไปทักทายเช่นเดียวกัน พร้อมกับ

ประโยคถัดมาที่ทำให้ผมคิ้วกระตุก เหอะ ร้ายใช้ได้อย่างนี้มันค่อยสมน้ำสมเนื้อกับนายอัคนีคนนี้หน่อย

         “ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันครับ นี่น่ะเหรอครับคุณเจน” แถมยักคิ้วส่งไปให้อีกข้างหนึ่ง เอาสิในเมื่อคุณเริ่มมันก่อน จากนั้นเรา

ทั้งคู่จึงผละมือออกจากกัน นอร์สที่เห็นท่าจะไม่ดีจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร พอสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยคุณเจนก็เริ่มเปิดบท

สนทนาขึ้นใหม่อีกครั้ง

         “นอร์สคะทำไมช่วงนี้นอร์สถึงไม่ค่อยไปหาเจนเลยคะ เจนเหง๊าเหงา” ไม่ว่าเปล่ายังทำทีมาซบไหล่ผู้ชายเขาอีกต่างหาก

อยากรู้เหรอครับว่าทำไมเขาถึงไม่ไปหาก็เพราะเขาก็คงจะเบื่อคุณน่ะสิ

         “นอร์สคะทำไมพักนี้คุณถึงไม่โทรหาเจนเลยล่ะคะ”

         “นอร์สคะพักนี้คุณไม่ค่อยได้ไปทานข้าวเย็นกับเจนเลยนะคะ” และนอร์สคะ อีกมากมายที่สาวเจ้าเอาแต่ถามนอร์ส ซึ่งมี

วี่แววว่าจะยังไม่หยุดถามอีกนาน ผมที่นั่งฝังประโยค นอร์สคะ จนคิดว่าวันนี้ผมคงจะเอามันเข้าไปอยู่ในฝันของผมแน่ๆแค่คิดก็

นอร์สคะ เอ้ย! ขนลุกแล้ว ผมจึงขอตัวออกมาสูดอากาศด้านนอกซึ่งนอร์สก็คงจะรู้ว่าผมอึดอัดกับบรรยากาศนี้พอควรจึงลุกตาม

ผมออกมาด้วย ผมจึงหันไปหาอีกคนที่ได้แต่ทำหน้าเหวอกับการที่ถูกผู้ชายทิ้งออกมาแบบยังไม่ทันตั้งตัวและเผอิญกับที่อีกฝ่าย

หันมาสบตากับผมเข้าพอดี ผมจึงส่งข้อความผ่านสายตาไปบอกด้วยความหวังดีว่า

            ก็ไม่รู้สินะ โฮะๆๆ แล้วจึงเดินออกไปพร้อมกับอีกคนที่เดินตามมาข้างกาย


                         
         “ไม่ไปนั่งเป็นเพื่อนคุณเจนเขาสักหน่อยเหรอ” ผมหันไปถามคนที่วิ่งตามผมออกมาด้านนอก อันที่จริงผมก็ไม่ได้เดินไป

ไหนไกลเท่าไรนักหรอกเพราะไม่ใช่อะไรนู่นนี่นั้นทั้งนั้นเพราะอันที่จริงผมก็เริ่มรู้สึกหิวๆขึ้นมาบ้างเพียงแต่เบื่ออีกคนที่อยู่ด้านใน

มากกว่า

         “แล้วไฟไม่อยากให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเหรอครับ” คนที่ผมเพิ่งหันไปถามเมื่อครู่ย้อนถามคำถามกลับ พร้อมกับกระตุกยิ้มที่

มุมปากนิดๆ

        โอ๊ย!!เจ้าเล่ห์นักนะพ่อคุณ ผมได้แต่บ่นในใจ

        “แล้วแต่” ว่าจบผมก็หันไปมองแม่น้ำด้านหน้า

           ตอนนี้ผมกับนอร์สยืนอยู่ด้านนอกของร้านอาหารที่คราคร่ำไปด้วยบรรดาผู้คนมากมายแต่สถานที่ตรงนี้กลับเงียบและ

ดูสงบมากว่าอีกด้านต่างกันแค่ระยะทางไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

         “นอร์สคะออกมาทำอะไรตรงนี้คะเข้ามาทานอาหารดีกว่านะคะ” คงไม่ต้องบอกว่าเสียงนี้มาจากผู้ใดเพราะแม่คุณเล่นให้

เสียงมาก่อนตัวซะขนาดนี้เรียกจากตรงโน้นได้ยินถึงตรงนี้ คิดดูก็แล้วกันว่าเสียงนางจะขนาดไหน

         “ครับๆ” คนที่ยืนข้างๆผมตอบรับกลับไป

         “เราเข้าไปข้างในกันดีกว่านะ” นอร์สหันมาบอกผม

         “อืม” ผมตอบรับ แต่ยังไม่ทันที่ผมกับนอร์สจะได้เดินเข้าไปในร้านคนที่หลายๆคนก็รู้ว่าใครดันมาถึงซะก่อนพร้อมกับเสียง

 18 หลอดที่นางพกมาด้วย

         “ว้าว! ที่นี่สวยจังเลยนะคะนอร์ส บรรยากาศก็โรแมนติกอีกต่างหาก” ผมก็ได้แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อ ส่วนคนข้างๆผมก็ได้แต่

เออออห่อหมกตามไป ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมยืนอยู่ด้านขวามือ แม่เสียง 18 หลอดอยู่ทางซ้ายมือและแน่นอนว่ามีนอร์สเป็น

คนคั่นกลาง

         “นอร์สคะเจนรู้สึกหนาวจังเลยค่ะนอร์ส” ไม่พูดปล่าวสาวเจ้าก็ทำท่าเหมือนคนหนาวเต็มที่ส่วนนอร์สก็เป็นสุภาพบุรุษที่ดี

เหลือเกินยอมสละเสื้อคลุมตัวนอกให้กับสาวเจ้า พอยายเสียง 18หลอดได้เสื้อคลุมของนอร์สก็ปรายตามามองทางผมพร้อมกับสี

หน้าเยาะเย้ยนิดๆ อ๋อ!จะเล่นมารยาร้อยเล่มเกวียนใช่ไหม ได้เลยครับคุณน้องเดี๋ยวดูรุ่นพี่เป็นตัวอย่างนะครับ!!

         “นอร์สไฟรู้สึกไม่สบายยังไงไม่รู้มันเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอ่ะ” พร้อมกับเอามือขึ้นมากอดอกอีกนิดเพื่อสร้างความสมจริง

         “งั้นไฟรอนอร์สตรงนี้นะเดี๋ยวนอร์สจะไปเอาเสื้อคลุมแล้วก็เอายามาให้” นอร์สว่าพร้อมทำท่าจะเดินไป ผมเลยรีบคว้ามืออีก

ฝ่ายไว้ก่อน

         “ไม่เป็นไรหรอกนอร์สลำบากนอร์สเปล่าๆแค่นี้ไฟทนได้” ผมบอกพร้อมกับส่งยิ้มบางๆไปให้ ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะคิดหนักอยู่และ

แล้วก็ดูเหมือนว่าตัวเองนั้นคิดไอเดียดีๆได้

         “งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกันนะ” ว่าจบก็ดึงผมเข้าไปกอด ส่วนตัวผมทีแรกก็ทำทีขัดขืนนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายกอดอยู่ดี

แต่อย่าลืมกันสิครับว่าตอนนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับนอร์สแค่สองคนยังมีบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญยืนเสื..สั่นอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน

         “เอ่อ..มันจะดีเหรอนอร์สที่ทำแบบนี้ คือว่าคุณเจนก็อยู่นะ มัน..เอ่อ..มัน”ว่าจบผมก็หรุบตาลงซบหน้าอยู่กับอกกว้างของ

เจ้าของอ้อมกอดพร้อมกับท่าทีขวยเขินอีกเล็กน้อยให้ดูมีจริตเป็นพิธี

         “มันทำไมเหรอไฟ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ก็ในเมื่อไฟไม่สบาย ไฟหนาวแล้วตอนนี้นอร์สก็ไม่มีเสื้อคลุมเพราะเจนใช้อยู่เจน

เขาจะมาว่าเราเรื่องอะไร จริงไหมครับเจน” นอร์สหันไปถามความคิดเห็นอีกคนซึ่งก็ได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับร่างที่สั่นๆ

ไม่รู้ว่าสั่นเพราะหนาวหรือสั่นเพราะโกรธ ก็พี่บอกแล้วไงว่าระดับพี่แล้วมันขั้นสุดส่วนคุณน้องน่ะขั้นกว่า

         “เจนหิวแล้ว เจนว่าเราเข้าไปข้างในร้านดีกว่า” ว่าจบสาวเจ้าก็ตั้งท่าเดินไปนอร์ศเลยโอบผมเข้าไปด้านในร้านแต่ยังไม่ถึง

ร้านดีคนที่เดินนำหน้าก็หยุดชะงักพร้อมกับร่างที่ล้มลงไปกองกับพื้นและแน่นอนว่ามันต้องตามมาด้วยเสียง 18 หลอดของเจ้าตัว

         “โอ๊ย!!!!” น่านไงล่ะครับ ทำไมซื้อหวยไม่เคยถูกทั้งๆที่ผมก็แม่นขนาดนี้ เฮ้อ!

         “เป็นไรไปครับเจน” คนที่ตอนแรกโอบประคองผมอยู่ก็ผละออกไป ไม่ต้องถามว่าไปไหนก็ไปดูแม่คนที่เพิ่งจะล้มไปกองอยู่

ที่พื้น

         “เจนเจ็บข้อเท้าค่ะ โอ๊ย!!” มีเสียงร้องประกอบเพื่อความสมจริง

         “ผมขอดูหน่อยนะครับ คุณขาพลิกหนิครับ”

         “เหรอค่ะ โอ๊ย เจ็บจังเลยค่ะนอร์สไม่รู้ว่าจะเดินไหวรึเปล่า โอ๊ย”

         “ผมว่าเดี๋ยวผมนวดข้อเท้าคุณก็แล้วกับเผื่อจะดีขึ้น”

         “ค่ะ” แล้วนอร์สก็ลงมือนวดข้อเท้าให้กับยัยเจนสิญา ผมที่ยืนดูเหตุการณ์นี้ตั้งนานก็พอจะดูออกว่าอะไรเป็นอะไรเพียงแต่

ปล่อยไปก่อนเพราะผมอยากจะดูการเล่นชุดใหญ่ของผู้หญิงคนนี้สักหน่อยว่าจะมีอะไรเด็ดๆสักแค่ไหน เผื่อเข้าตาจะได้พามาเป็น

นักแสดงด้วย

         “เสร็จแล้วครับ ผมว่าเจนลองลุกเดินดูนะครับ”

         “ค่ะ” ว่าแล้วเธอก็พยายามที่จะลุกโดยมีนอร์สยืนประคองอยู่ข้างๆ

         “โอ๊ย! เจ็บค่ะนอร์ส เจนว่าเจนคงจะเดินไม่ได้นอร์สอุ้มเจนเข้าไปข้างในได้ไหมคะ” โหย แม่คุณมันจะมากไปแล้วนะ

ผมที่ยืนดูมาตั้งนานก็ขอออกโรงจัดการมารยาของเธอสักหน่อย ในเมื่อเล่นแบบนี้ผมก็ต้องเล่นแอด-วานซ์กลับไป จากนั้นผมจึง

ตัดสินใจ

         ฟรุบบบ!!

         “ไฟ!!!!” แล้วความรู้สึกต่อมาคือตัวเองเหมือนลอยหวือขึ้นมาเหมือนถูกใครอุ้มให้ลอย

         “นอร์สคะคุณมาช่วยเจนก่อนสิคะ เจนเจ็บขาอยู่นะคะ นอร์ส!!” และสิ่งต่อมาที่ผมรู้คือรู้ว่าตอนนี้ใครอุ้มผม

           คุณเจนครับคุณรู้รึเปล่าว่าผมเป็นผู้กำกับฉะนั้นคนที่ต้องตีบทบ่อยๆเพื่อสอนนักแสดงให้เข้าถึงอารมณ์มันจะเป็นใคร

ไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ผู้กำกับแนวหน้ามากความสามารถอย่างผม!! คารวะมาเป็นลูกศิษย์ผมตอนนี้ยังทันอยู่นะครับ

                       
         “ไฟครับ ไฟ” อืม เหมือนมีคนมาสะกิดเลยแฮะ วู้ คนกำลังหลับสบายได้ที่อย่าเพิ่งมาปลุกกันตอนนี้สิ กำลังฝันหวานเลย

ฝันว่านอร์สกำลังอุ้มซะด้วยสิ     

                   นอร์สกำลังอุ้ม

         “เฮ้ย!!” ผมสะดุ้งตัวตื่นทันทีหลังจากที่ระลึกได้ว่าตัวเองแกล้งเป็นลม จากนั้นนอร์สก็เป็นคนอุ้มมาขึ้นรถ จากนั้นเราก็หลับ

จริง คิดแล้วก็เขิน ตอนแรกว่าจะแค่แกล้งเป็นลมดูเหมือนว่าเราจะเล่นได้สมบทบาทนักแสดงตุ๊กตาทองจริงๆเอาซะหลับจริงเลย

แล้วคนข้างๆผมจะว่าไงเนี่ย

         “ไฟครับค่อยๆลุกสิครับ คุณเป็นลมนะเดี๋ยวก็หน้ามืดอีกรอบหรอก” นั่นสินะเราเป็นลมอยู่ ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆไปให้อีกคน

แทน ว่าแต่ว่าตอนนี้ผมกับนอร์สเราอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ยเพราะจำได้ว่าขึ้นรถมาก็หลับเป็นตาย

         “อืม ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันเหรอ” ผมหันไปถามนอร์ส

         “คอนโดไฟครับ พอดีนอร์สเห็นไฟเป็นลมเลยว่าจะพามาส่งที่นี่เลยไฟจะได้พัก”

         “ขอบคุณนะ”  ผมกล่าวขอบคุณก่อนที่จะเปิดประตูรถเพื่อเดินกลับเข้าไปพักผ่อนในคอนโด แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูรถ

สุดหรูก็มีอันทำให้หน้ามืดไปชั่วขณะ

         “ไฟครับ เป็นอะไรรึเปล่า” โชคดีที่ผมได้นอร์สช่วยดึงเอาไว้ไม่งั้นผมคงได้ล้มหน้าแหกหมอไม่รับเย็บอยู่ที่พื้นข้างรถของ

นอร์สแน่ๆ

         “ไม่รู้เหมือนกันอ่ะนอร์ส มันวูบๆไงไม่รู้ดิ” อันนี้ของจริงครับไม่ได้อำเล่นหรือแกล้งแบบเมื่อครู่นี้ สงสัยผมคงจะหิวจัดเพราะ

ตั้งแต่เช้าอาหารยังไม่ตกถึงกระเพาะเลยสักมื้อเดียว

         “นอร์สว่าเดี๋ยวนอร์สพาไฟไปส่งที่ห้องดีกว่าเพราะถ้าไฟไปเองนอร์ส กลัวว่ามันจะต้องเป็นแบบเมื่อกี้นี้แน่ๆ” นอร์สว่า

ผมจะไปมีแรงเถียงอะไรได้ยังไงเพราะตอนนี้แค่นั่งหายใจยังดูเหมือนจะไม่รอด ถ้าขืนไปเองผมว่าสามวันก็คงจะไม่ถึงห้องแน่ๆ

ผมจึงพยักหน้าตกลงนอร์สจึงดึงประตูฝั่งผมให้ปิดลงเพราะเมื่อครู่ผมเปิดประตูเพื่อเดินออกแต่กลับหน้ามืดเสียก่อน

จากนั้นนอร์สจึงพารถสุดหรูคันนี้ไปจอดไว้ในที่จอดรถของคอนโดพร้อมกับเปิดประตูรถเพื่อพาผมเดินไปที่ห้อง
                       
           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
            คอนโดที่ผมอยู่นี้ไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก แต่สำหรับผม ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคนที่จะอยู่มากกว่าเพราะอุปกรณ์

อำนวยความสะดวกที่มีอยู่นั้นก็มีครบครันเรียกได้ว่าไม่แพ้คอนโดหรูๆอย่างในเมืองสักเท่าไร ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับคอนโด

ของผมอยู่แถบชานเมือง แต่ถึงจะอยู่แถบชานเมืองแต่ก็ไม่ได้ไกลจากตัวเมืองสักเท่าไรเพียงแต่ที่นี่เงียบสงบกว่าในตัวเมือง ไม่

ได้เต็มไปด้วยแสง สี เสียง เหมือนอย่างในกรุงฯที่ทุกๆวันไม่เคยได้หลับใหล จนชาวต่างชาติพากันเรียกว่า ‘ เมืองศิวิไลซ์ ’ นั่น

เอง

         “ค่อยๆนั่งนะไฟ” หลังจากที่นอร์สพาผมเข้ามาในห้องโดยมีผมเป็นผู้บอกทาง พอเข้ามาในห้องก็จัดแจงให้ผมนั่งลงตรง

โซฟาก่อนที่ตัวเองจะขออนุญาตผมเข้าไปหยิบแก้วน้ำในห้องครัว

         “นอร์สขอเข้าไปในครัวนะจะได้เอาน้ำมาให้ไฟนะ”

         “อืม ได้สิแก้วจะอยู่ในชั้นนะลองเปิดดู” ผมว่าก่อนที่อีกคนหายเข้าไปในครัว ส่วนผมก็เอนหลังลงกับโซฟาหน้าทีวี

         “น้ำเย็นๆกับยาแก้เวียนหัวมาแล้วครับ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกก็เห็นนอร์สเดินมาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นกับเม็ดยาสีสวย

แต่รสชาติอย่างที่ว่าคงจะไม่ได้สวยเหมือนสี

         “ขอบคุณนะ ” ผมรับแก้วน้ำและยาจากนอร์สมากิน  แหวะ รสชาติยาไม่เห็นจะน่าพิศมัยเท่าไร

         “ฮ่าๆๆ ดูทำหน้าเข้าสิไฟ ทานเถอะครับ ไฟจะได้หาย”

         “ก็ไฟไม่ชอบกินยาหนิไม่เห็นจะอร่อยตรงไหนเลย” ผมว่า

         “ครับๆไม่อร่อยก็ไม่อร่อย ไฟพักผ่อนเถอะนะเดี๋ยวนอร์สจะออกไปหาข้าวมาให้” นอร์สว่า ก่อนจะทำท่าผละจากผม แต่ด้วย

ความที่ผมไวกว่านอร์สจึงทำให้ผมคว้าข้อมือนอร์สไว้ได้ทันก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไป

         “มีอะไรรึเปล่าครับไฟ หืม”

         “เอ่อ…” เอาแล้วสิ ผมจะบอกกับนอร์สว่าผมรั้งเขาไว้ทำไมทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ารั้งเขาไว้ทำไม!!!

         “เอางี้เดี๋ยวนอร์สอยู่เป็นเพื่อนไฟจนกว่าไฟจะหลับก่อนก็ได้ พักเถอะครับ” ว่าแล้วนอร์สก็นั่งลงข้างๆผมก่อนที่จะหยิบ

หนังสือที่อยู่บนโต๊ะหน้าโซฟามาอ่านเล่นรอผมหลับแต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มบางๆให้กับผม ผมจึงเผลอส่งยิ้มกลับไปให้คนที่ส่ง

ยิ้มมาให้เมื่อครู่ก่อนที่จะรีบหุบยิ้มได้แต่ก้มหน้าอย่างเขินๆเพราะสัมผัสได้ถึงไอร้อนบริเวณใบหน้าซึ่งมันคงจะต้องแดงมากแน่ๆ

 ผมสลัดไล่ไอร้อนบนใบหน้าก่อนที่หนังตาหนักๆจะปิดลงพร้อมกับลมหายใจที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

           ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังจะเข้าสู่ห้วงความฝันและแน่นนอนมันต้องเป็นฝันที่ดีมากๆๆๆแน่ แต่แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงมือ

หนานุ่มของใครบางคนกำลังลูบไล้อยู่บนเรือนผมแพรไหมสีน้ำตาลอ่อนของผม มือนั้นมันทั้งนุ่มและอบอุ่น

         “อืมม” ผมเผลอครางรับในลำคอกับสัมผัสอ่อนนุ่มที่ได้รับ แต่สัมผัสเมื่อครู่กับหายไปเสียแล้วหายไป สงสัยผมคงจะฝันไป

เองมากกว่า แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงที่ถูกเอื้อนเอ่ยถึงจะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจนในความรู้สึก

                                                                          ฝันดีนะครับไฟ   





                     
           ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบจะสองทุ่มก่อนจะลุกขึ้นนั่งบิดไล่ความขี้เกียจที่ก่อตัวขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระ

ส่วนตัว พอรู้สึกว่าตัวเองสดชื่นจึงค่อยออกมาหาของกินในครัว แต่แล้วผมก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่ามีใครอีกคนที่อยู่ในห้องกับผมก่อน

หน้านี้ด้วย ผมจึงออกเดินหาทั้งในครัว ห้องน้ำก็ไม่พบจึงกลับเข้ามาที่ห้องนั่งเล่นก่อนจะหันไปเห็นกระดาษโน๊ตใบเล็กแปะอยู่

ข้างๆโซฟา ผมจึงหยิบโน๊ตนั้นขึ้นมาอ่าน

           ‘ไฟครับนอร์สมีธุระขอตัวกลับก่อนนะ นอร์สซื้อโจ๊กมาให้แล้วอยู่ในครัวแล้วก็อย่าลืมทานยานะครับ จะได้หายไวๆ^^

นอร์สเป็นห่วงนะแล้วก็..อย่าลืมฝันถึงนอร์สบ้างนะครับ ’ อ่านจบรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของผม ผมไม่รู้ว่ายิ้มอะไรแต่ที่รู้ๆมัน

คงจะอีกนานนะกว่าที่รอยยิ้มนี้จะหุบลง

















ตามาติดๆกับตอนที่ 2 จร้าาา ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                             แผนการร้ายครั้งที่ 3 : การที่เราตกหลุมรักนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแรงโน้มถ่วงของโลก

                  ถึงแม้ว่าตอนนี้จะปาเข้าไปวันใหม่แล้วผมก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ไม่ว่าจะนอนนับแกะ จะอ่าน

หนังสือให้ง่วง ปิดไฟทั่วห้องนอน อาบน้ำให้สดชื่นร่างกายจะได้ผ่อนคลายไม่อึดอัดแล้วจะได้หลับฝันดีพร้อมกับฝันถึงเจ้าของ

โจ๊กรสเลิศเมื่อตอนเย็น

         “หลับสิไฟ หลับสิ มึงไม่อยากฝันถึงพ่อเทพบุตรสุดหล่อรากดินเหรอ ” ผมได้แต่บ่นกับตัวเองที่ตอนนี้ก็ได้แต่กลิ้งไปกลิ้ง

มาอยู่บนเตียงนอน จำได้คร่าวๆว่าตอนนี้ตัวเองจะกลิ้งอยู่ที่ประมาณรอบที่ล้านแปดและดูท่าว่าจะมีรอบที่ล้านเก้า!?

                ทำยังไงให้หลับซะทีนะ?? ได้แต่คิดอย่างนี้วนเวียนไปวนเวียนมาแต่ก็ยังคิดไม่ออกซะที แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไร

เตลิดเปิดเปิงจนลมปานเข้าแทรกและทำให้ตัวเองเสียสติ(ดูท่านายจะใกล้ขั้นบ้าแล้วนะไฟ)ก็มีเสียงโทรศัพท์ที่สั่นคล้ายแผ่นดิน

ขนาดย่อมสั่นไหว ผมจึงต้องสะบัดความคิดบ้าๆนี้ออกไปก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ที่หัวเตียง

         “ฮัลโหล สวัสดีครับไฟครับ” ผมกรอกเสียงลงไป

         “สวัสดีค่ะพี่ไฟ นี่ธีน่าเองนะคะ” ห๊า!!

         “ครับน้องธีน่า มีอะไรรึเปล่าครับ” ผมถามปลายสายก่อนที่จะหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียง

        โอ้!! พระเจ้าช่วยกล้วยทอดนี่มันปาเข้าไปตีสามแล้วเหรอเนี่ย ทำไมเรายังไม่หลับไม่นอนอีกเนี่ย แล้วน้องธีน่าโทรมาทำ

อะไรเอาป่านนี้

         “มีสิคะ คือธีน่าอยากจะถามพี่ไฟว่าแผนของธีน่าสำเร็จไหมคะ” จะว่าไปเมื่อตอนกลางวันของเมื่อวานผมตกลงที่จะยอมทำ

ตามแผนของน้องธีน่าเพื่อพิชิตใจนายนอร์ส

         “ก็ดีครับ”

         “ก็ดี ก็ดียังไงคะ ขอแบบละเอียดๆอ่ะค่ะนะคะพี่ไฟเล่าให้ธีน่าฟังหน่อยนะ ธีน่าจะได้มีกำลังใจคิดแผนต่อไปไงคะ” ยังมี

แผนอีกเหรอครับ!! เอากับคุณน้องธีน่าเถอะครับ เอาคุณพี่ไฟใส่พานถวายคุณพี่ชายเลยไหมครับ

         “แหม น้องธีน่าครับจับพี่ใส่พานถวายพี่ชายเลยดีไหมครับ” ผมเอ่ยแซวแต่ก็ยังได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะสนุกสนานเหมือนกับ

เจอมุกตลกก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส

         “เอาอย่างนั้นก็ได้นะคะ ว่าแต่พี่ไฟจะโอเครึเปล่าคะเพราะธีน่ากับพี่นอร์สเซย์เยสไม่เซย์โนแน่นอนค่ะ” พี่ประชดครับ!!

         “พี่ไม่เอาด้วยหรอกนะครับ น้องธีน่าก็นะก็ดูแต่ละแผนของน้องธีน่าสิครับ…..”

         “ทำไมคะแผนของธีน่าทำไมเหรอ” ก็จะให้พี่ตอบน้องธีน่ายังไงได้ล่ะครับว่าแต่ละแผนของน้องทำเอาพี่ไปไม่ถูกทั้งเขิน

ทั้งอาย เกิดมาจนอายุป่านนี้เต็มที่ก็ได้แค่นั่งเฉยๆแล้วก็ส่งยิ้มแต่นี่เมื่อวานนี้พี่ถึงกับต้องเล่นใหญ่อย่างที่ไม่เคยทำจะไม่ให้พี่อาย

 พี่เขิน พี่ไปไม่เป็นก็ยังไงๆอยู่นะ

         “เอ่อ…” ผมอ้ำอึ้ง

         “หรือว่าพี่ไฟเขิน??” ก็ใช่น่ะสิครับ

         “เปล่าครับ ว่าแต่เราเถอะโทรมาหาพี่มีอะไรรึเปล่า” ผมรีบโยงเข้าเรื่องก่อนที่มันจะออกทะเลไปไกล

         “คือธีน่าจะมาบอกแผนต่อไปของเรากันค่ะ”

         “แผนต่อไป??”

         “ค่ะ แผนแรกที่เราวางกันเอาไว้ก็ใช้ได้ผลนั่นก็คือการทำความรู้จักกันให้มากขึ้นใช่ไหมคะ”

         “ครับ”

         “ฉะนั้นแผนที่สองของเราก็คือการสร้างความสนิทชิดเชื้อกันค่ะ”

         “แต่พี่กับนอร์สเราก็สนิทกันแล้วนะ” นั่นน่ะสิครับผมกับนอร์สเราก็รู้จักกันแล้ว สนิทกันก็ระดับหนึ่งยังจะต้องมาทำความ

สนิทกันอีกเหรอ

         “แหม มีเรียกชื่อกันด้วยน่ารักดีแฮะ”

         “น้องธีน่า” เฮ้อ!!ยังมาแซวผมอีก ผมเลยต้องดุเธอเบาๆแต่เธอกลับหัวเราะใส่ผมซะงั้น

         “โอ๋ๆขอโทษค่ะ ถึงแม้ว่าพี่ไฟกับพี่นอร์สสนิทกันแล้วก็จริงแต่นั่นมันคือการสนิทกันแบบเปลือกนอก” มีงี้ด้วยแฮะ

         “แล้วพี่ต้องสนิทกับนอร์สยังไงล่ะครับถึงจะได้ไม่เรียกว่าแค่เปลือกนอก” ผมว่า

         “ก็ต้องใช้เวลาร่วมกันไงคะ อย่างเช่นใช้เวลาร่วมกันแบบดูหนัง ฟังเพลง กินข้าว ช้อปปิ้ง เดินเล่น อะไรประมาณนี้ล่ะค่ะ”
 
         “อืม…พี่จะลองดูนะครับ ใช่สิพอดีวันนี้พี่กับนอร์สเรานัดกันแคสนักแสดงด้วยพี่อาจจะใช้เวลาหลังจากที่แคสนักแสดงเสร็จ

ไปสร้างความสนิทชิดเชื้อกัน” เหมือนโชคจะเข้าข้างเลยครับเพราะว่าวันนี้ผมกับนอร์สเราต้องไปหานักแสดงเพื่อมาเล่นในซีรีย์

ชุดนี้ที่ผมจะนำมาทำภาพยนตร์และหลังจากที่หานักแสดงได้แล้วเราทั้งคู่ก็คงจะพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง

         “ดีเลยค่ะพี่ไฟ โชคดีนะคะ สู้ๆค่ะเรื่องคืบหน้าอะไรยังไงก็โทรมาเล่าด้วยนะคะ เฮ้อ แค่คิดก็ฟินไปอีกสามโลก ธีน่าขอตัว

ไปนอนต่อนะคะพอดีว่าอยากรู้เรื่องของพี่ๆมากเกินไปจนอดใจให้ถึงเช้าไม่ไหว แหะๆ”

         “ครับ ฝันดีนะครับ” ที่แท้ก็อยากรู้รเองเรากับนอร์ส จริงๆเล้ยยย

         “ฝันดีนะคะ อย่าลืมฝันถึงพี่นอร์สสุดหล่อด้วยนะคะ บายค่ะ” พูดจบน้องธีน่าก็วางสายไป อะไรกันสองพี่น้องบอกให้เราฝัน

ถึงนอร์สอยู่ได้เดี๋ยวพ่อก็ฝันถึงให้ดูเลยซะนี่!!




                         
               กว่าผมจะตื่นก็ปาเข้าไปพระอาทิตย์ชี้ตรงศีรษะพอดิบพอดี หลังจากที่วางสายจากน้องธีน่าไปได้สักพักผมจึงล้มตัว

ลงนอนและแน่นอนผมไม่ได้ฝันถึงนอร์สจะให้ผมฝันถึงนอร์สได้ยังไงก็ในเมื่อทั้งคืนผมไม่ได้นอนซะขนาดนั้นคงจะฝันดีหรอกนะ

คิดแล้วก็เซ็งเป็ดตัวเองไม่หาย เฮ้อ! ไม่เป็นไรไม่ฝันถึงก็ไม่เป็นไรเจอตัวจริงเลยก็แล้วกันนะ

           ผมขับรถมาด้วยความเร็วมาตรฐานและแน่นนอนว่ามาตรฐานนั้นมันคือมาตรฐานของผมซึ่งมันอยู่ที่ 180กม./ชม.ไม่

ตายกลางสี่แยกก็นับว่าบุญเท่าไรแล้วก็จะไม่ให้ผมเหยียบเกือบมิดก็ไม่ได้ก็ในเมื่อพี่ชายของผมมา!! แต่ไม่ต้องแปลกใจเพราะ

ไหนผมบอกว่าเป็นลูกคนเดียวแล้วจะมีพี่ชายได้ยังไง มีได้ก็แล้วกันล่ะครับพี่น้องก็ในเมื่อพี่ชายผมเป็นลูกบุญธรรมของป๊ากับม๊า

ซึ่งท่านทั้งสองเข้าใจว่าชาตินี้ตัวเองคงจะไม่มีลูกเลยไปรับพี่ชายของผมมาเป็นลูกบุญธรรมซะเลย แต่วันดีคืนดีเทวดาท่าน

เมตตาเลยประทานลูกน้อยกลอยใจหน้าตาดีคนหนึ่งมาให้ซึ่งเด็กหน้าตาดีเทวดาเรียกพี่คนนั้นก็คือตัวผมไงล่ะครับ

         “พี่ลม!!” เมื่อมาถึงที่ทำงานผมรีบหาที่จอดรถแล้วรีบวิ่งขึ้นมาก่อนเปิดประตูบริษัทแล้วพบใครอีกคนที่นั่งคอยผมอยู่ในห้อง

ทำงานและพอรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครผมก็รีบโผเข้ากอดด้วยความดีใจ

         “โอ๊ย!เบาๆหน่อยน้องไฟกอดทีกระดูกพี่ร้าวไปถึงไส้ติ่ง” พี่ลมเอ็ดผมหลังจากที่ผมผละออกจากพี่ลมแล้วพาพี่แกไปนั่งที่

โซฟาตัวยาวในห้องทำงาน

         “ก็คนมันคิดถึงนี่ไปอยู่เมืองนอกซะนานคนที่อยู่ทางนี้คิดว่าลืมกันไปแล้วซะอีก” ผมว่าพลางน้อยใจ ก็จะไม่ให้น้อยใจได้ยัง

ไงก็พี่ชายตัวดีนี่สิทิ้งน้องนุ้งไปเป็นดาราฮอลลีวูดที่เมืองนอกปล่อยให้ใครบางคนที่อยู่ที่นี่คิดถึงกันเป็นว่าเล่น

         “โอ๋ๆทำเป็นน้อยอกน้อยใจเป็นเด็กเล็กๆไปได้นะเราพี่ไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อยเห็นไหมเนี่ยไปแป๊บเดียวก็กลับมา

แล้ว”

         “แป๊บเดียวของพี่นี่มันตั้ง 3 ปีเชียวนะ” เพราะถ้านับดูแล้วพี่ไฟก็ไปเมืองนอกตั้งแต่ผมเพิ่งจะจบใหม่ๆ

         “ฮ่าๆๆเอางี้เดี๋ยววันนี้อยากกินอะไรพี่เลี้ยงเต็มที่” พี่ลมว่า ผมรีบพยักหน้าตกลงทันทีของฟรีหนิครับ แหะๆ

         “ขี้งกเหมือนเดิมน้องเรา” พี่ลมบ่นพลางบีบจมูกผม ผมก็ได้แต่ทำหน้ายู่ใส่

         “ไม่ได้งกสักหน่อยเขาเรียกว่ามีการวางแผนในการใช้จ่ายที่ดีและมีความรอบครอบ” เห็นมะบอกแล้วไม่ได้งกพี่ลมนั่นล่ะที่

เรียกผิด

         “โอเคๆไม่งกก็ไม่งก” ผมกับพี่ลมเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องที่ผมเรียนจบพี่ลมไปทำงานที่ต่างประเทศและงาน

ใหม่ที่ผมได้รับกับการใช้ชีวิตของพี่ลมตอนอยู่เมืองนอกเล่าไปก็ขำไปเพราะต่างคนต่างเลือกแต่เรื่องราวเจ๋งๆมาเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

กันอย่างสนุกสนาน มีบ้างที่บางครั้งผมก็โดนพี่ลมเอ็ดในบางเรื่องที่ผมวู่วามใจร้อนเกินไปดีที่มีไอ้วีคอยช่วยเตือนสติอยู่ ผมเองก็

เคยคิดเหมือนกันว่าถ้าไม่มีไอ้วีเพื่อนรักก็คงจะไม่มีนายไฟสุดหล่อคนนี้เหมือนกัน พูดแล้วก็คิดถึงเพื่อนเพราะตั้งแต่ที่ผมเข้า

บริษัทมาทุกครั้งจะต้องเจอไอ้วีก่อนเป็นคนแรกแต่นี่แม้แต่เงาก็ยังไม่เห็น

         “เฮ้ยไอ้ไฟคุณนอร์สมาให้มึ-” นั่นไงครับพูดยังไม่ทันขาดครับเสียงเรียกก็มาพร้อมกับบานประตูห้องถูกเปิดออก แต่แล้ว

เสียงเรียกก็ดันหยุดชะงักขึ้นมาเสียดื้อๆ และผมก็พอจะรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร

         “วี” ผมได้ยินเสียงพี่ลมเรียกไอ้วีแผ่วเบาก่อนที่จะหลุบตาลงพร้อมกับหันไปให้ความสนใจกับแจกันที่โต๊ะด้านหน้าของ

โซฟาตัวเก่งของผม

         “เอ่อ..มีอะไรวะไอ้วี” ผมถามไอ้วีที่ตอนนี้ยืนหน้าไม่รับแขก ผมสังเกตเห็นไอ้วีมองมาที่พี่ลมเล็กน้อยก่อนที่ประกายตาจะ

ไหววูบลงซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร

         “คุณนอร์สมาหามึงเขาบอกให้มึงไปแคสนักแสดงกับเขาตอนนี้เขานั่งคอยอยู่ที่ด้านนอก กลับมาแล้วเหรอ” ไอ้วีหันมาบอก

ผมก่อนประโยคสุดท้ายที่จะหันไปถามคำถามกับคนข้างๆผม

         “อืม สักพักแล้วล่ะ” พี่ลมเงยหน้าขึ้นมาบอกไอ้วีก่อนที่จะหลุบตาลงเหมือนเดิม ผมที่ไม่ชอบไอ้บรรยากาศมาคุแบบนี้เลย

ขอเป็นคนทำลายมันซะเอง ผมจึงบอกให้พี่ลมไปพักผ่อนที่คอนโดก่อนจะไล่ไอ้วีให้ไปรับรอง

นอร์สด้านนอก
                   
         “สวัสดีครับไฟรู้สึกดีขึ้นรึยังครับ” พอผมเดินออกมาด้านนอกหลังจากที่เคลียร์กับพี่ลมและไอ้วีได้แล้วก็ออกมาหาอีกคนที่

รอพบอยู่และพอเห็นหน้าผมก็ถามถึงไอ้อาการหน้ามืดเมื่อวานนี้ แต่หัวสมองดันพลันไปนึกถึงข้อความในกระดาษโน๊ตซะนี่ก็เล่น

เอาผมวางหน้าไม่ถูกก็เลยส่งยิ้มให้แทนเป็นอันรู้กันว่าผมสบายดีแล้ว แต่ไอ้อาการที่แสดงออกไปคงจะไม่พ้นไอ้เพื่อนตัวดีที่

สะกิดยิกๆอยู่ข้างๆ

         “คุณมึงเป็นอะไรไม่ทราบเมนส์ไม่มาเหรอถึงได้รู้สึกไม่ดี” ไอ้เพื่อนรักถ้าคุณมึงจะถามก็ขอคำถามที่มันสร้างสรรค์สังคม

ไทยเสียบ้าง ผู้ชายบ้านบรรพบุรุษคุณมีเมนส์ได้กระมังครับถามไม่ดูเลย

         “คุณกูก็ไม่ได้เมนส์มาเพียงแต่หน้ามืดนิดหน่อยคุณนอร์สเขาช่วยไว้เลยถามถึงเชยๆ” เหนื่อยจริงไรจริงที่มีเพื่อนอย่างไอ้

คุณปฐวี

         “อ้อ แล้วไปนึกว่าปวดหัวตัวร้อนนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไอเป็นเลือดเหงือกพังตังค์หมด” โห คุณเพื่อนครับถ้าจะให้

เป็นกันขนาดนี้ไม่จองวัดแล้วเผาไอ้ไฟไปเลยเหรอครับ

         “ถ้ากระผมเป็นขนาดนั้นคุณมึงไม่จองวัดแล้วเผาคุณกูเลยล่ะครับ” ผมว่า

         “เอาไหมไอ้ไฟเดี๋ยวกูโทรไปจองวัดกับหลวงพอท่านจะได้ลัดคิวให้ คืนแรกเอาไรดีข้าวต้มหรือกระเพาะปลา” ยังไม่จบอีก

นะครับไอ้คุณวีในเมื่อส่งมุกนี้มาคุณเพื่อนไม่รับต่อก็กระไรอยู่ผมจึงยอมเล่นไปตามน้ำทั้งๆที่มีอีกคนนั่งฟังอยู่ด้วยซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่

ได้ว่าอะไรมีบ้างที่หันมายิ้มกับมุกที่พวกผมสองคนเล่น

         “คุณกูว่าขอกระเพาะปลาดีกว่าต้องน้ำแดงด้วยนะ พอๆเลยมึงเยอะแล้วเนี่ยไอ้วีคุณนอร์สเขารำคาญเราสองคนจะแย่แล้ว”

 ผมว่าพร้อมบอกหยุดไอ้มุกบ้าๆนี้ขืนถ้าเล่นต่อคงจะอีกยาว

         “ไม่เป็นไรหรอกครับสนุกดีออกไม่คิดเลยนะครับว่าไฟจะมีมุมนี้ด้วย น่ารักดี” โอ๊ย!โดนเข้าไปอีกหนึ่งดอกละลายเลยเรา

         “น่ารักอะไรเล่าไหนว่ามาคุยงานไงมีไรก็ว่ามาสิไฟไม่ว่างทั้งวันนะ” ผมรีบเข้าเรื่องก่อนที่ตัวเองจะได้ละลายจริงๆ

         “แต่วันนี้มึงว่างนะไอ้คุณไฟว่างทั้งวันด้วย” ไอ้วีตอบ ถ้ามึงไม่พูดจะดีมากนะไอ้คุณเพื่อน

         “หึๆ” ส่วนอีกคนก็นั่งอมยิ้ม เอ้าเอากันเข้าไปต้องให้ผมองค์ลงก่อนใช่ไหมถึงจะได้เลิกแกล้งกันเนี่ย!?
                         
         “ผมว่าคนนี้เหมาะที่จะไปเล่นเป็นเพื่อนพระเอกมากกว่านะครับ” หลังจากที่ผมกับนอร์สคัดนักแสดงกันโดยดูจากรูปถ่าย

ใช่แล้วล่ะครับฟังกันไม่ผิดหรอกผมดูจากรูปถ่ายดารากันเลยเพราะนักแสดงที่ผมกับนอร์สเราเลือกๆกันไว้ส่วนใหญ่เป็นคนในวง

การบันเทิงมีชื่อเสียงเรื่องการแสดงเป็นต้นทุนอยู่แล้วทำให้ผมไม่ต้องไปนัดเจ้าตัวให้มาหาเพื่อดูฝีมือการแสดง เพียงแต่ถ้าผม

กับนอร์สและแน่นอนพ่วงไอ้วีไปด้วยถูกใจคนไหนก็ลองวางคาแรกเตอร์ของตัวละครกับนักแสดงคนๆนั้นถ้าเหมาะก็ค่อยติดต่อกับ

ทางผู้จัดการส่วนตัวถ้าวางตัวละครแล้วไม่เหมาะกับคนนั้นก็อาจจะลองเปลี่ยนตัวหรือเปลี่ยนตัวละครไปเลยซึ่งผมว่ามันก็ง่ายดี

แต่ปัญหาตอนนี้เรายังหาพระเอกไม่ได้ส่วนตัวละครอื่นๆเราเลือกกันเอาไว้จนครบแล้ว เฮ้อ!แค่เรื่องแรกยังวุ่นวายขนาดนี้แล้วนี่มี

ตั้งสามผมว่าถ่ายทำเสร็จคงจะขอพักร้อนตัวเองยาวเลยล่ะ

         “จริงด้วยไฟก็เห็นด้วยกับวีนะ”

         “ก็ตามนั้นนะครับ” นอร์สบอกก่อนจะพลิกดูรูปดาราแต่ละคนเพื่อดูว่าจะพอมีใครสักคนที่เหมาะจะรับบทพระเอกของเรื่องนี้


         “ไฟว่านะที่เราดูๆกันมายังไม่ค่อยโอเลยอ่ะไม่มีใครเหมาะที่จะรับบทพระเอกเลย” ผมว่า หลังจากที่ดูรูปนักแสดงผ่านไป

หลายรอบก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหาคนที่เหมาะจะมารับบทบาทสำคัญบทนี้

         “แต่วีพอจะรู้แล้วล่ะว่าใครจะมารับบทพระเอกเรื่องนี้” หืม? ใครกัน

         “ใครเหรอครับคุณปฐวี” นอร์สที่นั่งเลือกรูปนักแสดงปิดรูปพวกนั้นลงก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับไอ้วีที่พอจะรู้ว่าใคร

เหมาะที่จะมาเป็นพระเอกที่พวกผมช่วยกันหาแทบตายแต่ก็ไม่เจอสักที

         “ก็คุณวายุภัคไง” ห๊า!!!หูผมไม่ดีหรือไอ้วีกินยาลืมอ่านวันหมดอายุ พี่ลมเนี่ยนะ พระเจ้า!! งานงอกแน่ๆ

                       
         “เฮ้อ!” ผมนั่งถอนหายใจกับตัวเองรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้เพราะตั้งแต่ที่ผมขับรถออกมาหาอาหารกลางวันทานผมก็นั่งถอน

หายใจแบบนี้มาเรื่อย ไอ้วีมันคิดอะไรพิเรนท์ๆแน่ๆถึงได้ให้พี่ลมมาแสดงเรื่องนี้ ผมก็พอจะรู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยจะถูกกันแต่ก็ไม่รู้

ว่าไปทะเลาะกันตั้งแต่เมื่อไรเพราะพอผมเรียนจบทั้งคู่ก็ดูจะตึงๆใส่กันแล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่ลมก็บินไปต่างประเทศ แต่ก่อน

หน้านั้นทั้งคู่ก็ดูจะสนิทกันดีนะ เฮ้อ!ช่างเถอะมาคิดเรื่องของตัวเองดีกว่า

         “เฮ้อ!ไอ้ไฟเรื่องตัวเองยังคิดไม่ตกยังจะไปคิดเรื่องของชาวบ้านเขาอีก” ผมบ่นกับตัวเองเพราะหลังจากคุยงานกันเสร็จผม

ว่าจะชวนนอร์สไปกินข้าวกันแต่แม่เจนสิญาดันโทรมาบอกว่าจะไปทานข้าวกลางวันด้วยและนอร์สก็เป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่

ปฏิเสธหญิงสาวและนี่จึงเป็นเหตุให้ผมต้องมานั่งกินข้าวคนเดียว เฮ้อ!

         “ถอนหายใจบ่อยๆทำให้เม็ดเลือดแดงตายไปเจ็ดตัวนะครับ” หืม?เสียงคุ้นๆ ผมจึงหันไปมองเจ้าของเสียง

         “นอร์สมาได้ไงเนี่ย”

         “ขับรถมาไงครับคิดว่านอร์สหายตัวได้เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์เหรอครับ” แหมะ คนเขาถามดีๆยังจะตอบกวนอีก

         “รู้น่าว่าขับรถมาแล้วไม่ไปกินข้าวกับคุณเจนสิญาเหรอ” นั่นน่ะสิครับไหนบอกว่าไปกินข้าว กินข้าวอะไรจะเร็วขนาดนั้น

         “พอดีว่าเจนเขาติดธุระเข้ามาด่วนนอร์สก็เลยไม่ได้ไปกินข้าวด้วย ทำไมเหรอครับหรือว่าไฟหึง”

         “ไม่ได้หึง!เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ผมตอบ

         “แล้วอยากเป็นรึเปล่าครับ” นอร์สว่า

         “ก็อยากให้เป็นรึเปล่าล่ะ” รู้สึกว่าตัวเองจะใจกล้าหน้าด้านเพราะอีกคนที่ได้ยินผมย้อนถามก็ได้แต่ยืนอึ้งๆอยู่ที่เดิม

         “ล้อเล่น มาๆนั่งก่อนสิ” ผมบอกก่อนจะชวนให้อีกฝ่ายนั่ง นอร์สจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับผม

         “นอร์สคิดว่าไฟจะจริงจังซะอีก” เอ่อ..สงสัยผมคงหูฝาด เปลี่ยนเรื่องเถอะนะ

         “แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าถอนหายใจบ่อยๆเม็ดเลือดแดงจะตายเจ็ดตัวพูดจริงป่ะเนี่ย” ผมถามเพราะตอนที่นอร์สเดินมาหาเขา

เอ่ยบอกผม

         “จริงสิครับหรือไฟไม่เชื่อ?” นอร์สถามท่าทางสงสัยพร้อมกับหันไปเรียกเด็กเสิร์ฟของร้าน

         “ไม่เชื่อ นอร์สเป็นหมอเหรอที่บอกแล้วไฟต้องเชื่อ”

         “ถ้านอร์สบอกว่าใช่แล้วไฟจะเชื่อรึเปล่า”

         “อืม ขอคิดดูก่อน นี่นอร์สหมอมักจะบอกว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพใช่ป่ะ”

         “ครับ” ดูนอร์สจะงงๆกับคำถามที่ผมถามแต่ก็ยังตอบรับ เข้าทางแผนที่สองของผมแล้ว

         “อืม งั้นถ้าอยากให้ไฟเชื่อว่านอร์สเป็นหมอก็มาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะข้างคอนโดไฟเย็นนี้สิว่าได้ผลรึเปล่าแล้วไฟ

ถึงจะเชื่อ”


                         
               บรรยากาศยามเย็นมีลมพัดไหวอ่อนๆพอให้ต้นไม้ได้พลิ้วไหวตามแรงลมจัดได้ว่าเป็นเวลาดีที่เหล่านักออกกำลังกาย

เพื่อสุขภาพจะมาทำกิจกรรมกันเป็นอย่างยิ่ง บางคนเลือกที่จะปั่นจักรยาน เดินเล่นกับกลุ่มเพื่อนๆ วิ่งกับแฟนหรือจะพาสัตว์เลี้ยง

มาวิ่งเล่นเป็นเพื่อนสำหรับคนที่ยังไม่มีคู่หรือจะเป็นอากงอาม่าที่มารำไทเก็กกันที่ลานกว้างไม่ก็แอโรบิคแดนซ์กับพวกชอบเต้น

แต่สำหรับผมที่จะมาออกกำลังกายในวันนี้ไม่ได้มากับเพื่อนหรือแฟนเพียงแต่มากับ ‘คนพิเศษ’

         “ขอโทษนะครับไฟที่นอร์สมาช้า” วันนี้ผมชวนนอร์สมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใกล้ๆคอนโดผมซึ่งทำให้ผมได้เห็น

การแต่งตัวอีกแบบที่ดูดีไม่แพ้ทุกวันที่เห็น กางเกงกีฬาสีพื้นคลุมเข่ากับเสื้อโปโลสีเทา ผ้าใบสีดำพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กพาด

คอดูเหมาะกับการมาออกกำลังกายยามเย็นเสียจริงๆ

         “ไม่เป็นไรหรอกไฟก็เพิ่งจะมา” ถึงแม้สวนสาธารณะจะใกล้กับคอนโดผมแต่ผมก็เสียเวลาไปกับการแต่งตัวซะมากกว่าจึง

ทำให้ผมมาช้า วันนี้ผมก็มาเต็มเหมือนกันกางเกงกีฬาขายาวสีเทากับเสื้อสีโอโรสพร้อมกับรองเท้าผ้าใบคู่ใจสีเทาแล้วก็ไม่ลืมผ้า

ขนหนูซับเหงื่อ

         “วันนี้จะออกกำลังกายอะไรดีครับปั่นจักรยาน เดินหรือวิ่งดีครับ”

         “เดินดีกว่าเพราะช่วงหลังๆไฟไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกลัวร่างกายจะปรับไม่ทัน” จริงครับเพราะเคยมีอยู่ช่วงหนึ่งผมไม่ได้

ออกกำลังกายมาสามวันมาออกอีกทีหืดขึ้นคอเลยล่ะครับตั้งแต่นั้นมาผมก็ใช้วิธีปรับสภาพก่อนแล้วค่อยพิ่มระดับไป

         “ก็ได้ครับเดินรับลมเย็นๆแบบนี้ดีต่อสุขภาพปอด ปอดจะได้รับออกซิเจนบ้าง”
           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
            สวนสาธารณะแห่งนี้จะว่ากว้างก็กว้างจะว่าแคบก็แคบเพราะตอนนี้ผมกับนอร์สเดินรอบสวนมาได้ห้ารอบแล้วยังไม่รู้สึก

เหนื่อยเลย ผมจึงหาข้อสรุปให้กับตัวเองไม่ได้ว่าเป็นเพราะสวนสาธารณะแคบหรือมีคนที่ชอบเดินอยู่ข้างๆมันจึงทำให้ทำอะไรก็

รู้สึกดีไปหมด ก็อย่างว่านะครับมีคนเขามักบอกกันว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วกว่าเวลาแห่งความทุกข์แต่ผมว่ามันก็จริง

ส่วนหนึ่งผิดส่วนหนึ่งจริงตรงที่ว่าเวลาเราสุขเวลามักหมดเร็วแต่ผิดตรงที่ถึงเวลาจะหมดเร็วแต่เราก็ยังได้ใช้เวลาร่วมกันกับความ

สุขนั้น

         “เหนื่อยรึยังครับไฟ” นอร์สหันมาถามเพราะตอนแรกผมบอกไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแต่นี่ก็เดินไปซะหลายรอบ

         “ยังเลยหรือว่านอร์สเหนื่อย ถ้าเหนื่อยจะพักก็ได้นะ” ผมว่าแต่อีกคนกลับส่ายหน้าปฏิเสธ

         “เปล่าหรอกนอร์สแค่ถามดูเฉยๆกลัวว่าไฟจะเหนื่อย”

         “ไม่เหนื่อยหรอกแต่ถ้าจะพักก็ดีเพราะไฟเริ่มหิวน้ำแล้วล่ะ” ใช่แล้วล่ะครับไม่เหนื่อยแต่หิวน้ำมากกว่า

         “งั้นไฟไปนั่งพักที่ม้านั่งตรงนั้นก่อนนะเดี๋ยวนอร์สไปหาน้ำมาให้”

         “อืม ขอบคุณนะ” ผมจึงเดินไปนั่งที่ม้านั่งตามที่นอร์สบอกก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งไปหาน้ำมาให้

         “ใช่ไฟใช่ไหม?” หืม ใครกันหน้าคุ้นๆเดินเข้ามาทัก

         “เมฆ?” ผมเลยลองเสี่ยงเรียกชื่ออีกคนดูซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มออกมาที่ผมทักถูก


         “ไฟจริงๆด้วยเป็นไงบ้างสบายดี?”

         “อืมสบายดี แล้วเป็นไงมาไงเนี่ยไหนบอกว่าจะไปอยู่เมืองนอกไงหรือว่าเขาไล่กลับไทย” ผมทักทายเพื่อนเก่า ไอ้นี่ชื่อเมฆ

ครับเป็นเพื่อนสมัยมัธยมอยู่ห้องเดียวกันสนิทพอๆกันกับไอ้วีแหละครับแต่ไอ้เมฆเนี่ยพอจบ

ม.ปลายแม่มันก็ให้ไปเรียนต่อต่างประเทศ มันร้องไห้แทบตายเพราะมันมีคนที่ชอบอยู่แล้วแต่ต้องมาไปต่างประเทศส่วนผู้หญิง

คนที่มันชอบก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็รุ่นน้องโรงเรียนข้างๆเพราะตอนมัธยมพวกผมเรียนชายล้วนกันแต่ก็ยังมีโรงเรียนหญิงล้วนอยู่

ข้างๆจึงพอทำให้ไอ้พวกแสบๆไม่ต้องมองแต่หัวเข่าด้านๆได้มองหัวเข่าขาวๆได้กระชุ่มกระชวยปอดกันหน่อย

         “ยังเว้ยแต่ที่กลับมาเนี่ยมาแต่งเมีย”

         “เฮ้ยใครวะ”

         “ก็รุ่นน้องคนนั้นไง น้องกิ่งอ่ะ” โอโหมันยังคบกันอยู่อีกเหรอเนี่ยถึงขั้นแต่งงานกันด้วย

         “แล้วนี่มึงแต่งกันเมื่อไรแต่งกันยัง”

         “เมื่อสองวันก่อนเนี่ยว่าจะพามาเดินเล่นก่อนกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่โน่นเลย”

      “โชคดีนะเพื่อนมีความสุขมากๆล่ะ โทษทีที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ก็ขอให้มีลูกเร็วๆล่ะ” 

         “เออๆขอบคุณไปก่อนนะเมียคอยนานแล้วเดี๋ยวจะคิดถึง” ไอ้เมฆว่าก่อนจะรีบวิ่งไปหาเมียสุดที่รักมันที่ตอนนี้โทรตามยิกๆ

 ทุกคนแต่งงานกันไปหมดแล้วเมื่อไรจะถึงทีผมบ้างนะ

         “น้ำมาแล้วครับ” แหม คิดถึงเรื่องแต่งงานว่าที่เจ้าบ่าวก็มาซะแล้ว

         “ขอบคุณนะ” ผมรับขวดน้ำมาจากนอร์สก่อนที่อีกคนจะนั่งลงข้างๆกัน

         “เพื่อนเหรอครับ” นอร์สถามแต่สายตากลับมองไปทางอากงอาม่ารำไทเก็ก

         “อืม หึงเหรอ” ผมเล่นมุกเมื่อกลางวัน

         “แล้วอยากให้หึงรึเปล่าล่ะ” แหนะๆ

         “ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันหนิ” ตามน้ำครับๆ

         “แล้วอยากให้เป็นมากกว่านั้นรึเปล่าล่ะ” ตอนนี้นอร์สไม่ได้ดูอากงอาม่าแล้วแต่หันกลับมามองหน้าผมตรงๆ เอ่อ พอโดน

เองมันจักกะจี้ยังไงไม่รู้ดิแปลกๆอ่ะ

         “ไม่รู้” ผมตอบเสียงเบาก่อนหลุบตาลงมองขวดน้ำในมือ นอร์สค่อยๆดึงขวดน้ำในมือผมออกก่อนที่ผมจะหันมองไปตาม

ขวดน้ำที่ถูกดึงไปแต่ก็ไปปะทะกับดวงตาคู่คมที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว

         “เอ่อ…” เมื่อความเงียบเข้าปกคลุมผมก็พยายามใช้หัวสมองอันชาญฉลาดของตัวเองคิดหาทางออกแต่ก็คิดได้สุดๆก็เป็น

คำว่าเอ่อ คำเดียวเท่านั้นเพราะดวงตาคมเข้มที่อยู่ตรงหน้าผมนี่สิกลับสะกดผมให้ตรึงอยู่กับที่แต่มันก็เหมือนว่าจะมีแรงดึง

ดูดมหาศาลอยู่ในนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะตอนนี้ใบหน้าของเราทั้งคู่ใกล้กันมากจนลมหายใจร้อนของอีกฝ่ายรินรดอยู่บนใบหน้า

 เอาเข้าจริงผมกลับประหม่าอย่างบอกไม่ถูกไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนข้างหน้าหรือเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสานกันจนเป็นจังหวะ

เดียวกันนี่น่ะหรือที่เขาเรียกว่า ‘ใจตรงกัน’ ผมจึงพริ้มตาหลับรอรับสัมผัสที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าและไม่นานผมก็สัมผัสได้ถึง

ความนุ่มหยุ่นที่ริมฝีปาก

    มันแผ่วเบาแต่หนักแน่นในความรู้สึก

   มันนุ่มละมุนแต่ก็ลึกซึ้งในความหมาย

   มันชั่วครู่แต่เหมือนเนิ่นนาน

       สำหรับแค่นี้ก็คงจะเพียงพอแล้วสินะกับการทำความรู้จักกันมากขึ้นเพราะมันมากเกินความคาดหมายสำหรับตัวผม

จริงๆ……….












และตอนที่ 3 ก็ตามมาติดๆอีกเช่นกัน ไว้เจอกันพรุ่งนี้ในตอนที่ 4-6 นะคะ วันนี้บายยยค่ะ

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :pig4: รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
นอร์สตั้งใจเดินตกลงมาในหลุมรักที่พี่ไฟกับน้องธีน่าขุดเอาไว้เองใช่ไหมเนี่ย :-[

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                            แผนการร้ายครั้งที่ 4 : วันใหม่มักมาพร้อมกับพลังและความคิดใหม่
           
                   อ๊ากกกกก ผมอยากระเบิดตัวตายแล้วค่อยๆหายไปจากโลกใบนี้จริงๆเลย คงจะไม่ต้องถามให้มากความเพราะ

ร่องรอยบางอย่างนั้นยังคงตราตรึงอยู่ แค่เพียงเอื้อมมือไปสัมผัสที่ริมฝีปากอวบอิ่มก็พาลทำให้ต้องนึกถึงเรื่องราวที่มันผ่านมา

แล้วถึงสองวัน ถึงแม้วันเวลาจะล่วงเลยมาถึงสองวัน สัมผัสนุ่มหยุ่นกับลมหายใจร้อนผะแผ่วยังคงไม่ลาเลือนหายไป จัดว่าเป็นยา

ชั้นดีที่ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าได้โดยไม่ต้องเจอหน้าเพราะความรู้สึกที่ได้รับมันกำลังอบอวลอยู่ในอก ลอยฟุ้งราวกับว่ามีผีเสื้อ

นับร้อยกำลังบินวนไปมาเพื่อสร้างความหฤหรรษ์

   นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองวันแล้วที่ผมกับนอร์สเราไม่ได้เจอกันอีกเพราะอีกฝ่ายติดเรียนพร้อมกับทดสอบ

ย่อย นี่ละวิถีชีวิตของการจะเป็นหมอ อ่านหนังสือ—เรียน—สอบ วัฏจักรของชีวิตที่ต้องวนเวียนอย่างไม่จบสิ้นจนกว่าจะเรียนจบ

ไม่ใช่เพียงแต่หมอเท่านั้นทุกสาขาวิชาก็มีวัฏจักรคล้ายๆกันเพียงแต่เราต้องมุ่งมั่น ขยัน อดทนมีมานะเชื่อว่าต่อให้มีวัฏจักรแบบนี้

อีกสักสองร้อยเราก็ยังไหว…………มั้ง!? แต่ก็อย่างว่าการเรียนกับนักเรียนเหมือนเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่ไม่สักวันมันฆ่าเราหรือเราก็

อาจจะฆ่ามันให้ตายกันไปข้าง คิดแล้วก็เพลียแถมยังพาให้นึกย้อนถึงวันเก่าๆพอนึกถึงเมื่ออดีตก็พลอยนึกถึงเจ้าพี่ชายตัวดี เออ

ใช่สิตั้งแต่เมื่อเย็นของสองวันก่อนพี่ลมบอกว่าจะไปพักอยู่บ้านเพื่อนแล้วเดี๋ยวจะกลับมาหาแต่ดูท่าว่าพี่แกคงจะยังไม่ได้กลับบ้าน

ตั้งแต่วันที่ไล่ให้ไปพักเพราะป่านนี้ยังไม่ได้ติดต่อกลับมาหรือมาหาที่คอนโดเลย พี่ลมนะพี่ลมชอบทำให้น้องนุ้งเป็นห่วงอยู่เรื่อย

เลย

        “ขออนุญาตครับ” เสียงพนักงานหน้าห้องเรียกสติของผมที่เอาแต่คิดถึงเรื่องของพี่ลมก็ต้องพลันหยุดชะงักลง

         “เข้ามาเลยครับ” ผมตะโกนบอกไปเพื่อให้คนข้างนอกเข้ามา

         “เรื่องสถานที่พี่หาได้ตรงตามเนื้อเรื่องเล่มแรกแล้วนะ” พี่เม่นฝ่ายจัดหาสถานที่เข้ามารายงานสถานที่ที่เราจะไปถ่ายทำ

เรื่องแรกจากสามเรื่อง

         “ที่ไหนเหรอครับพี่เม่น” ผมถามออกไป ส่วนคนที่เข้ามารายงานสถานที่หยิบข้อมูลพร้อมกับรายละเอียดที่พักยื่นมันให้กับ

ผมก่อนที่ผมจะอ่านออกมาอย่างแผ่วเบา

         “กรุงโรม ประเทศอิตาลี”




                   
         “โรมเลยเหรอเพื่อน เจ๋งอ่ะ”  หลังจากที่ผมได้รับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่จากพี่เม่น ผมก็ศึกษาและอ่านราย

ละเอียดที่พี่เม่นหามาให้ซึ่งค่อนข้างจะละเอียดพอควรพร้อมกับสถานที่พักในการถ่ายทำเพื่อให้เหล่าผู้กำกับและนักแสดงได้พัก

ผ่อนหลังจากเสร็จสิ้นจากภารกิจลง เมื่อผมศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจึงทำการเรียกประชุมพนักงานในบริษัท

         “ใช่แล้ว เรื่องแรกที่เราจะถ่ายทำคือบ่วงมนตราซึ่งเนื้อหาของเรื่องนี้คือความไม่ถูกกันของสองตระกูลยักษ์ใหญ่แห่งวงการ

มาเฟียและสถานที่ที่ถือได้ว่าขึ้นชื่อเรื่องของมาเฟียทางแถบยุโรปก็คงจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากกรุงโรม ประเทศอิตาลี” และ

หลังจากนั้นผมก็ชี้แจงรายละเอียดให้กับแต่ละคนว่าใครมีหน้าที่อะไรและจะต้องเตรียมตัวกันยังเมื่อแจงงานเรียบร้อยก็ให้ทางพี่ๆ

ที่ดูแลติดต่อเกี่ยวกับนักแสดงให้ติดต่อกับผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงที่ทำการติดต่อไว้ว่าให้เตรียมตัวให้พร้อมเพราะเราจะออก

เดินทางกันในวันพรุ่งนี้

                         
           ติ๊ง ต่อง


         “อื้มมมมมมม”  เสียงใครมากดออดที่หน้าห้องล่ะเนี่ย รู้บ้างไหมว่าคนจะหลับจะนอน ผมเลือกที่จะเอาหมอนมาอุดหูเพื่อให้

เจ้าเสียงน่ารำคาญนั่นหายไป แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงของมันทั้งถี่และเร็วจนทำให้ผมทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นไปเปิดมันออก

         “มาแล้วคร๊าบบ เฮ้ย!พี่ลม” ผมตะโกนออกไปเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าผมมาถึงแล้วจากนั้นเสียงออดก็หายไปแต่ผมกลับต้อง

ตกใจสุดขีดเมื่อเปิดบานประตูออกไปพบกับพี่ชายสุดที่รักเพราะสภาพพี่ลมที่มีไอ้วีหิ้วปีกอยู่นั้นดูไม่ได้เอาเสียเลย ไม่ว่าจะกลิ่น

ละมุดที่มาจากเสื้อราคาแพงของเจ้าตัว เสื้อผ้าที่ดูมอมแมมเหมือนคนไม่เคยได้รีดก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวไปทำอะไรมา

                                                            คงจะดื่มหนักยันเช้า

   แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักเพราะพี่ไฟก็กินของประเภทนี้อยู่แล้วแต่ก็ไม่เคยเมาค้างแถมยังหมดสภาพขนาดนี้แสดงว่ามัน

ต้องมีเรื่องไม่สบายใจที่ค่อนข้างจะสาหัสอยู่พอควร

           หลังจากที่ผมกับไอ้วีช่วยกันพาพี่ไฟเข้ามาในห้องก็จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โดยไอ้วีอาสาไปซื้อของกินมาให้

         “ขอบใจมากว่ะเพื่อน” หลังจากที่ผมจัดการกับพี่ลมเรียบร้อยไอ้วีก็มาพร้อมกับโจ๊กร้อนๆสองถุงพร้อมกับยาแก้ปวดหัว

เพราะดูจากรูปการ ถ้าพี่ลมไม่ไม่ปวดหัวเลยก็คงแปลก

         “ไม่เป็นไรก็นี่พี่ชายไฟไม่ใช่เหรอ”

         “ว่าแต่ว่ามึงไปเจอพี่ลมที่ไหนวะ” อันนี้สงสัยมากครับ??

         “ร้านอาหาร”

         “ห๊า!” ร้านอาหารเนี่ยนะ อย่าบอกนะมึงว่าเป็นร้านตามสั่ง!?

        “ร้านอาหารกึ่งบาร์” ค่อยยังชั่วที่ไม่ใช่ร้านอาหารตามสั่งไม่งั้นมีหวังคงจะต้องถามกันยาว

         “แล้วเขาเปิดแล้วเหรอวะ” นั่นสิปกติก็น่าจะเย็นๆหน่อยเพื่อเอาใจนักดวลคอแข็งกัน

         “มึงหันไปดูนาฬิกาที่ผนังห้อง” อะไรของมันวะ? ผมจึงหันหน้าไปดูนาฬิกาตามที่ไอ้วีบอก อุ้ย!! ห้าโมงเย็นแล้วนี่น่า

เขินจัง แหะๆ ผมเลยหันมายิ้มแห้งๆกับไอ้วีที่ตอนนี้มันมัวแต่สาละวนอยู่กับการแกะโจ๊กแต่ก็ยังไม่วายส่ายหน้าละอาให้กับผม

                                                                     อะไรเล่าก็คนมันไม่รู้นี่หว่า!!
                       
         “โชคดีเพื่อน” หลังจากที่ไอ้วีช่วยผมจัดของกินให้กับพี่ลมที่ป่านี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเสร็จเรียบร้อยมันจึงขอตัวกลับไปจัด

เตรียมข้าวของสำหรับเดินทางในวันพรุ่งนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ลมแกจะตื่นทันวันพรุ่งนี้รึเปล่าแต่ก็ยังดีหน่อยที่สองถึงสามวันที่ถ่าย

ทำพี่ลมไม่ต้องเข้าฉากเพราจะเปิดเรื่องโดยหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียผู้ทรงอำนาจทั้งสองซึ่งเป็นนักแสดงรุ่นพ่อนั่นเอง

         “อาบน้ำดีกว่า” ผมบอกกับตัวเองหลังจากที่นั่งเก็บของเพื่อเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้พร้อมเช็คความเรียบร้อยก่อนที่จะถูก

ความง่วงและความเมื่อยล้าเข้าครอบงำทำให้ผมต้องไปชำระล้างสิ่งเหล่านั้นให้ออกไปก่อนเพราะคืนนี้ยังมีงานอีกตัวที่ผมยังคง

ต้องสะสางก่อนออกเดินทาง

           สายน้ำจากฝักบัวทรงสวยค่อยๆรินรดร่างไร้อาภรณ์ที่อยู่ภายใต้ฝักบัวให้ผ่อนคลายและบรรเทาความเหนื่อยล้า

สายน้ำค่อยๆไหลช้าๆจากบนลงล่างตามวิสัยของสรรพสิ่งที่ทุกสิ่งล้วนแต่จะต้องตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ สายน้ำช่ำเย็นค่อยๆชะ

ล้างดวงตากลมโตที่บัดนี้กลับปิดสนิทรอสายธารไหลลงสู่ตามร่างกายอย่างช้าๆ ต่อจากนั้นก็ไหลผ่านบริเวณใบหน้านวลเนียน

ขาวผ่อง ลำคอขาวสะอาดและลาดไหล่ที่สั่นระริกเล็กน้อยเมื่อยามต้องสายธาราช่ำเย็นก่อนจะลงสู่เบื้องล่างไม่นานนักก็ทำให้

ต้องพลันนึกถึงใครอีกคน

         “ใช่สิเรายังไม่ได้บอกนอร์สเรื่องไปโรมเลย” การผ่อนคลายกับสายน้ำเย็นช่ำอย่างช้าๆของผมก็ต้องปรับให้ไวและรวดเร็ว

ขึ้นเมื่ออีกคนที่ต้องเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ยังไม่ทราบข่าว ผมรีบแต่งตัวอย่างเร็วเชื่อได้ว่ามันคงไม่ถึงห้านาทีเพราะตอนนี้ผม

กำลังจดจ่ออยู่กับเจ้าโทศัพท์ที่เพิ่งจะโทรออกหาใครบางคน

         “รับสินอร์ส ทำอะไรของเขาอยู่นะ” ผมบ่นน้อยๆที่อีกฝ่ายยังไม่รีบรับโทรศัพท์ แต่จะว่าไปเพลงรอสายของนอร์สก็เพราะดี

นะเป็นหนึ่งในเพลงที่ผมชอบซะด้วยสิ

                                   พูดไม่เก่งแต่รักหมดใจ ของอ้น เดอะสตาร์ ผมว่ามันเข้ากับนอร์สดีนะ?

           ผมฟังเพลงรอสายได้ไม่นานเสียงปลายสายที่รอมานานก็กดรับ

         “สวัสดีครับไฟมีอะไรรึเปล่า” เสียงนอร์สดูเหมือนจะอู้อี้ไปหน่อยเหมือนคนไม่สบายเลยแฮะ

         “เอ่อ…” นั่นสิเราจะโทรมาบอกนอร์สเรื่องไปโรมพรุ่งนี้นี่หน่า แต่ทำไมถึงไม่พูดออกไป!?

           โทรคุยเรื่องงานนะไฟไม่ได้โทรมาสารภาพรักกล้าๆหน่อยเซ่!!!

         “ว่าไงครับมีอะไรรึเปล่า” นอร์สถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมเงียบเสียงไป

         “คือพรุ่งนี้เราจะไปโรมเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์จากหนังสือสามเรื่องที่นอร์สเป็นคนเขียนเลยจะโทรมาบอก” เฮ้อ! และแล้ว

ผมก็กล้าพูดออกมาจนได้เพราะกว่าที่ผมจะรวบรวมความกล้าที่เคยมีก่อนหน้านี้กลับมาจนครบก็เล่นเอาเหนื่อยใช่ย่อยนะนั่น

         “ครับ แล้วออกเดินทางกี่โมงครับ”

         “ประมาณบ่ายโมงถึงสนามบินก็คงสักประมาณเที่ยงกว่าๆ” ผมบอกกำหนดการที่จะเริ่มออกเดินทาง

          “ครับๆงั้นพรุ่งนี้เจอกันนะครับ” นอร์สบอกพลางจะตัดบทสนทนา ผมที่ยังอยากจะคุยกับเจ้าตัวต่อจึงรีบขัดขึ้น

         “เดี๋ยวก่อน!!...คือ..ไฟได้ยินเสียงนอร์สมันแปลกๆก็เลยสงสัย..ไม่สบายเหรอ?” ผมถามออกไปอีกฝ่ายจึงรีบตอบกลับอย่าง

เร็ว

         “ก็นิดหน่อยครับ ช่วงนี้นอร์สเรียนหนักใกล้จะจบแล้วเหลืออีกไม่กี่ตัว ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” น้ำเสียงของนอร์สที่

ตอบกลับมาดูร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อครู่ ผมที่รอฟังคำตอบเมื่อได้ยินแบบนั้นก็พลอยโล่งอกไปหน่อย

         “ใครเป็นห่วง นอร์สมั่ว!” ผมแกล้งว่าอีกฝ่ายซึ่งมันก็ค่อนข้างจะขัดจากความเป็นจริงเสียลิบลับ จากนั้นก็ได้ยินเสียงปลาย

สายหัวเราะเบาๆก่อนจะมีเสียงกระแอมไอดังลอดออกมา

         “เป็นอะไรรึเปล่านอร์ส” ผมที่ได้ยินเสียงก็กระวีกระวาดถามออกไป

         “ไหนบอกว่าไม่ได้เป็นห่วงไงครับ” น่านไงไอ้ไฟโดนย้อนเข้าตัวจนได้

                                                          ให้ตายเหอะไม่เคยตามพี่น้องคู่นี้ทันเอาซะเลย

         “ก็ไม่ได้เป็นห่วงไงแค่กลัวว่าพรุ่งนี้จะไปโรมด้วยไม่ได้ก็แค่นั้น” ผมก็คงยังแถต่อไปเรื่อยๆ

         “โอเคครับไม่ได้ห่วงก็ไม่ห่วงแต่คิดถึงนอร์สมากกว่าใช่ไหมล่ะกลัวว่าถ้านอร์สไม่ได้ไปด้วยใครบางคนแถวๆนี้คงต้องนอน

ร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่ๆ ฮ่าๆๆ” หนอย ได้ทีล่ะแซวไม่เลิกเลยนะ

                    รู้แล้วยังมาจะทำยียวนอีก!!!!

         “นอร์สไม่กวนไฟดีกว่า ฝันดีนะครับ” นอร์สเห็นผมไม่ว่าอะไรต่อก็วางสายไป ผมที่ได้แต่จ้องโทรศัพท์อย่างอาฆาตอีกคนที่

คุยด้วยกันก่อนหน้านี้จะไม่ให้โกรธได้ไงก็ในเมื่อ…..

               ใครเขาให้เอาความจริงมาพูดกันเล่า เขินนะรู้ไหม!!!!!

           เฮ้อ!จะว่าไปแล้วแค่ได้ยินเสียงก็พาลให้หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นเป็นกอง ผมจึงลุกขึ้นปิดไฟด้านนอกก่อนเดินเข้าไป

ในห้องนอน ซุกตัวเองอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนานุ่มพร้อมกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังตัดกับบรรยากาศที่ดูเงียบสงบแต่ก็ไม่เท่า

หัวใจดวงน้อยๆของเจ้าของห้องที่ดังระงมอยู่ภายในอกด้านซ้าย ผมค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสมันบางเบา

    คืนนี้คงจะเป็นคืนที่หลับฝันดีหลังจากที่ไม่ได้หลับฝันดีมาหลายคืน….

                   
         “มากันครบแล้วนะครับ” เสียงผมตะโกนถามออกไป หลังจากที่ทุกคนมารวมตัวกันที่สนามบินเรียบร้อยผมก็ซักถามความ

เรียบร้อยอีกทีเพื่อกันพลาด วันนี้เป็นวันที่ผมและทางทีมงานต้องเดินทางเพื่อไปทำงานกันที่กรุงโรม ผมที่เตรียมตัวเสร็จตั้งแต่ยัง

ไม่เที่ยงก็ว่าจะออกมาหาอะไรทาน แต่ก็ต้องมาเจอกับคนที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเจอแถมยังยืนอยู่หน้าห้องของผมอีกด้วยและนั่น

ก็คงเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ นอร์ส จากนั้นผมจึงชวนอีกฝ่ายไปหาอะไรทานใกล้ๆคอนโดและเมื่อถึงเวลานัดผมกับนอร์สจึงออก

เดินทางมาสนามบินพร้อมกัน แต่พอมาถึงสนามบินที่คิดว่าตัวเองคงจะมาถึงคนแรกกลับต้องมาเจอสายตาแปลกๆของไอ้เพื่อน

รักที่มันมาถึงก่อนผมเมื่อไม่กี่นาทีมองมาที่ผมทั้งคู่ ผมรู้ว่ามันคงจะสงสัยแต่ผมก็ทำทีมองไม่เห็นมันจนทุกคนเริ่มทยอยกันมามัน

จึงหันไปเช็คความเรียบร้อยกับทีมงานผมจึงรอดตัว

         “ยังว่ะเหลือแต่นางเอก” เสียงไอ้วีกระซิบบอก

         “น้องธีน่าบอกว่าเธอจะมาพร้อมกับเจนให้ทุกคนไปได้เลยเดี๋ยวเธอจะตามมาทีหลัง” ใช่ครับ นางเอกของเรื่องนี้คือเจนสิ

ญา ยัยเสียงมหาประลัยที่มาเล่นเป็นนางเอก ผมที่ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยแต่ผู้ใหญ่ขอมาผมจะทำอะไรได้ ใช้เส้นสิไม่ว่า เหอะ

           ส่วนพระเอกที่ยังหลับใหลไม่ตื่นผมก็ได้แต่แปะโน้ตทิ้งไว้ให้ตามผมไปก็ได้   แต่หวังว่าพี่ลมคงจะอ่านโน๊ตแผ่นนั้น

นะ เฮ้อ! คิดมาถึงตรงนี้ก็กลุ้มกลัวจริงๆว่ามันจะต้องผิดพลาด แต่ว่านายไฟคนนี้ซะอย่างมันต้องเพอร์เฟคเท่านั้น หมอไฟฟันธง!!

ผมจึงบอกทุกคนให้ไปขึ้นเครื่องเพราะเที่ยวต่อไปคือเที่ยวที่ผมต้องออกเดินทาง

         “ไอ้ไฟกูมีเรื่องจะคุยด้วย” หลังจากที่ขึ้นเครื่องหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วไอ้วีมันเดินเข้ามาหาผมที่กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ

ก่อนจะลากไปคุยที่ที่นั่งมัน

         “มีอะไรว่ามา” ผมที่ถูกมันฉุดกระชากลากถู(?)ก็รีบยิงคำถามถามคนที่ลากมา

         “มึงมากับคุณนอร์สได้ยังไง” ไอ้วีถาม ตรงดีแฮะ

         “ก็พอดีนอร์สเขามาหาที่คอนโดแล้วเห็นว่ากูจะไปสนามบินเขาก็เลยอาสาพามาส่งเพราะยังไงเขาก็ต้องไปโรมกับเราอยู่

ดี” ผมตอบคำถามกลับไป

         “แค่นี้??” ไอ้วียังคงสงสัยไม่เลิก

         “หรือมึงไม่เชื่อใจกู” ผมถามมันกลับก่อนที่มันจะตอบปฏิเสธแล้วก็ไล่ผมไปเข้าห้องน้ำ ผมไม่ได้กลัวมันไม่เชื่อใจก็จริงแต่

ผมก็ยังไม่อยากจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังก็แค่นั้น แต่จะว่าไปไอ้วีก็เหมือนเป็นพี่ชายคนหนึ่งของผมเลยก็ว่าได้ทั้งๆที่อายุเราก็

เท่าๆกันแต่ไอ้วีกลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผมหลายเท่า มันคอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง คอยให้คำปรึกษาทุกๆเรื่องแม้กระทั่ง

เรื่องความรัก ใช่แล้ว ความรักเมื่อครั้งก่อนที่มันเคยเกิดขึ้นมันเคยหอมหวานเมื่ออดีตแต่กลับขมขื่นในปัจจุบัน ผมผิดเองที่ตอน

นั้นไม่ยอมเชื่อมันเมื่อครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแบบเดียวกับครั้งก่อนหน้านั้น ผมขอเวลา ขอลองดูอะไรๆให้มัน

แน่ใจก่อนว่าครั้งนี้มันจะไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่ถ้าหากมันใช่ผมก็พร้อมที่จะปล่อยมันไปเพราะผมรู้ว่าความรู้สึกบางอย่างที่มัน

เกิดขึ้นในครั้งก่อนกับครั้งนี้มันต่างกันมาก มันมีบางอย่าที่ซ่อนเร้นเหนือคำว่ารู้สึกดี บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนก็ได้ว่ามี

อะไรหลายๆอย่างได้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป

            อาจช้าหรือเร็วก็คงจะต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์…..


                   
         โรม ยังคงสวยเหมือนเดิมนะ  มันคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวผมหลังจากที่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งหลังจากที่เคย

มาเหยียบที่นี่กับใครอีกคนในครั้งก่อน ผมจึงสลัดหัวไล่ความคิดเพี้ยนๆออกไปนอร์สที่เห็นผมสะบัดหัวเอาเป็นเอาตายก็เอ่ยทัก

ขึ้น

         “เป็นไรครับไฟ เมาเหรอ” นอร์สถามเสียงนุ่มก่อนที่จะเอื้อมมือมาสัมผัสกับหน้าผากมนของผมสลับกับหน้าผากของตัวเอง


         “ร่างกายก็ปกติดีนี่ครับ เอ แต่ทำไมหน้าแดงจัง” ผมก็พอจะรู้ตัวเองอยู่หรอกนะว่าหน้าคงต้องแดงเพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้น

กว่าเดิมคงจะไม่ต้องเดาให้ยากว่ามันเป็นแบบนี้เพราะใคร

            ก็เล่นดูแลดีแบบนี้ ใครไม่ใจสั่นก็บ้าแล้ววว

        “หรือว่า” ผมที่เห็นอีกคนคิดหนักอย่างเอาเป็นเอาตายก็อุทานขึ้นมาพลอยทำให้ผมต้องสงสัยในท่าทางไปด้วย จากนั้นเจ้า

ตัวก็ค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าไปชิดใบหูของผมก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

         “เขินนอร์สเหรอ” ผมที่ทั้งตกใจทั้งเขินอายก็รีบผละออกจากนอร์สทันทีก่อนที่มือจะรีบตะครุบที่ใบหูตัวเอง

               เล่นอะไรบ้าๆ ก่อนที่ผมจะต่อว่าอะไรอีกคนไอ้เพื่อนรักตัวดีที่เดินมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็กระแอมไอขึ้น

      .   “อะแฮ่ม!!ทำอะไรก็ควรที่จะเกรงใจกันบ้าง ไปได้แล้วไอ้ไฟวันนี้จะถึงที่พักไหม” ไอ้วีที่เดินมาถึงก็ว่าผมพร้อมทั้งขนของ

ผมออกไปก่อนจะหันมองนอร์สอย่างคาดโทษ แต่ดูท่าอีกคนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งสิ้นกลับส่งยิ้มบางๆมาให้แต่สายตาที่ส่งมา

นั่นมัน….น่ากลัวแฮะ

         “ไปกันเถอะนอร์ส”

         “ครับ” นอร์สจึงเดินตามมากับผมไม่นานเราทั้งหมดก็มาถึงที่พักถึงแม้มันจะไม่ได้หรูหราถึงห้าดาวแต่ก็สวยงามใช้ได้

เหมาะกับจำนวนเงินที่จ่าย 

           ที่พักในครั้งนี้มีการแบ่งแยกกันระหว่างที่พักของผู้หญิงและผู้ชายโดยผู้หญิงจะอยู่โซนถัดไปแต่เป็นที่พักที่เดียวกัน

         “เอางี้ไอ้คุณไฟมึงนอนห้องเดียวกับคุณนอร์สเดี๋ยวกูนอนกับพี่ลมที่เหลือก็จับคู่กันเองก็แล้วกัน” ไอ้วีที่หาข้อสรุปให้ผม

หลังจากที่มาถึงแล้วยืนเกี่ยงกันถึงห้องพักอยู่นานก็ได้ข้อสรุปแต่ข้อสรุปที่ได้มันทะแม่งๆชอบกลส่วนนอร์สที่ฟังไอ้วีสรุปบ้าบอ

ตามที่มันพูดก็ไม่ได้แย้งหรือทักท้วงเออออห่อหมกไปกับมันอีกต่างหาก

           สงสัยนอร์สต้องไปซื้อเสียงไอ้วีแน่ๆ  แต่จะถามว่าดีไหมมันก็ดีหรอกนะแต่มันก็คงจะทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน

         “แยกย้ายกันเข้าไปพักได้แล้วครับพี่ๆ” หลังจากที่ทีมงานเคลียร์เรื่องคู่ที่จะมานอนกับตัวเองเสร็จสรรพไอ้วีก็บอกให้ทุกคน

แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัยเพราะตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีกมากกว่าจะถึงเวลาถ่ายทำกันเพราะว่าเวลาของประเทศไทยกับ

ที่กรุงโรมต่างกันประมาณห้าชั่วโมงเห็นจะได้เพราะตอนนี้เพิ่งจะสิบโมงกว่าๆเท่านั้นเอง

         “ไปกันเถอะครับไฟ” นอร์สสะกิดผมให้เดินตามก่อนที่ตัวเองจะลากกระเป๋าเดินทางทั้งของผมและของตัวเองเข้าห้องพัก

           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
           ห้องพักของผมกับนอร์ส อยู่ติดกันกับห้องพักของไอ้วีกับพี่ลมตอนแรกนั้นผมจะอยู่กับพี่ลมแต่ไอ้วีมันบอกว่าถ้าให้มันอยู่

กับนอร์ส ถ้าเกิดนอร์สจะคุยเรื่องปรับฉากให้ตรงกับเนื้อเรื่องแล้วมันจะรู้เรื่องไหม? นั่นแหละครับจึงเป็นสาเหตุให้ผมต้องมาอยู่

ห้องเดียวกับนอร์ส   ภายในห้องมีเตียงกว้างเพียงเตียงเดียวแต่นั่นก็ไม่ได้กว้างมากนักสำหรับผู้ชายสองคนที่ต้องนอนร่วมเตียง

เดียวกัน

           “ไฟจะพักผ่อนหรือว่าจะไปเที่ยวก่อนดีครับ” เที่ยวเหรอ!!ผมหูผึ่งทันทีที่พูดถึงการไปเที่ยว อาการที่เมื่อครู่ทั้งปวด

เมื่อยและง่วงหงาวหาวนอนก็หายไปเป็นปลิดทิ้งทันที

         “ไปเที่ยว” ผมรีบตอบนอร์สอย่างไม่ลังเลก่อนผมกับนอร์สจะช่วยกันจัดของก่อนเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวกัน

         “เดี๋ยวไฟลองโทรถามวีก่อนนะว่ามันจะไปด้วยกันรึเปล่า” ผมตะโกนถามอีกคนที่ตอนนี้กำลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ใน

ห้องน้ำพอได้ยินเสียงตอบรับก็กดโทรศัพท์หาไอ้เพื่อนรักทันที

         “เฮ้ยไอ้วีไปเดินเล่นข้างนอกด้วยกันไหม”

         “ไม่ว่ะขี้เกียจอยากพักมึงไปเหอะ”

         “เออๆแล้วมึงอยากได้อะไรป่ะ”

         “ขอแหม่มขาวๆ สวยๆ อึ๋มๆ สักคนสองคนคงจะดีไม่น้อย”

         “ไอ้เวรกูหมายถึงของกินหรือของใช้ มึงนี่นะเจ้าชู้ไม่เลิกสาธุถ้ามึงมีแฟนขอให้โดนแฟนมึงเจื๋อนไปให้เป็ดกิน”

         “อ้าวไอ้คุณเพื่อนรักพูดอะไรแมวๆระวังเด็กมึงให้ดีๆเหอะกูรู้นะมึง” ไม่ต้องบอกว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายจะดูเจ้าเล่ห์ขนาดไหน

         “เด็กไรของมึง มึงนั่นแหละที่พูดแมวๆแค่นี้ละกัน”

         “เออ กูจะพักผ่อนจะได้ฝันถึงแม่ยอดยาหยีของกู”

         “เออไอ้เพื่อนเวร ฝันดีผีรอบเตียงเถอะมึง” ผมพูดจบก็รีบตัดสายแต่ไม่วายได้ยินเสียงของอีกคนตะโกนด่าตามมา หลอน

เลยสิมึงยิ่งอยู่คนเดียวด้วย ฮ่าๆๆๆ

         “มีอะไรครับไฟแล้วคุณวีเขาจะไปกับเราด้วยรึเปล่า” นอร์สที่เดินออกมาจากห้องน้ำที่แต่งตัวหล่อเนี๊ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า

แค่ทุกวันนี้ก็หล่อลืมตะวันแถมวันนี้แต่งเต็มซะเล่นเอาดวงตาพร่าเลือนไปเรียกได้ว่าความหล่อเข้าตาเต็มๆ   
 
           (ว่าที่)แฟนใครหล่อจริงๆ  แค่คิดก็ภูมิใจ

         “ไม่อ่ะเราไปกันเถอะ” ดีแล้วล่ะผมจะได้ไม่ต้องมีก้างมาขวาง
                       
         “ว้าว สวยจัง” ตอนนี้ผมกับนอร์สเรากำลังล่องแม่น้ำผ่านสถานที่ต่างๆในโรมหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นสวนวิลลาบอร์เกเซ

สวนสวยเมืองโรม เฮ้อ!ความสุขจริงๆก่อนที่จะแวะพักทานอาหารกลางวัน จากนั้นจึงออกเที่ยวชมเมืองโรมเมืองแห่งประวัติ

ศาสตร์โลกโดยมีนอร์สอาสาเป็นไกด์นำเที่ยวในครั้งนี้ แต่การที่เรามาเที่ยวที่สวยๆแบบนี้สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ กล้องถ่าย

ภาพ
         “เราจะไปที่ไหนกันต่อเหรอ” ผมหันไปถามนอร์สก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นจากการเช็คภาพถ่ายในกล้องถ่ายรูปของเจ้าตัว

         “ไปพิพิธภัณฑ์วาติกัน” จากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อ

           พิพิธภัณฑ์วาติกันแห่งนี้เป็นสถานที่รวบรวมสุดยอดผลงานศิลปะตะวันตกทุกชิ้นเอกจากทุกยุคทุกสมัย มีทั้งภาพ

วาด งานจิตรกรรมฝาผนัง งานประติมากรรมที่สวยงามมากมายให้เหล่านักท่องเที่ยวและผู้ที่ชื่นชอบงานศิลปะได้มาเที่ยวชมกัน

อย่างตื่นตา แน่นอนผมก็ไม่พลาดที่จะแอบเก็บภาพรายละเอียดสิ่งสวยงามตรงหน้าไปอวดไอ้วีกับพี่ลม เก็บทุกรายละเอียดของ

สถานที่และอีกคนที่มาด้วย แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อคนที่ตัวเองแอบถ่ายนั้นเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้กับจุดโฟกัสภาพ

         “แอบถ่ายรูปนอร์สอยู่เหรอ”

         “เปล่าซะหน่อยนอร์สนั่นแหละที่เข้ามาบังจุดโฟกัสภาพของไฟ”

         “ว้า!!แย่จังนอร์สอยากให้ไฟถ่ายรูปนอร์สนะ” อะไรของนอร์สกันเนี่ยตั้งแต่ที่หายหน้าหายตาไปสองวันบวกกับอาการไม่

สบายที่เพิ่งจะหายทำให้นอร์สสมองกลับขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย??

         “นอร์ส ไฟมีอะไรจะถาม”

         “อะไรเหรอครับ”

         “นอร์สไม่สบายจนสมองกลับรึเปล่า” ผมถามคำถามที่ตัวเองสงสัย

         “ฮ่าๆๆ นอร์สปกติดีสมองไม่ได้กลับด้วย”

         “แล้วทำไมนอร์สถึง…เอ่อ…หยอดไฟจนไฟเขินทำตัวไม่ถูกด้วยล่ะ” ผมถามออกไป เขินก็เขินแต่ทำไงได้ก็คนมันอยากรู้นี่

หน่า ผมก็ได้แต่เกาท้ายทอยตัวเองแก้เขินแต่ก็ต้องใจเต้นกับประโยคถัดมาของอีกคน

         “ก็…นอร์สแค่อยากจะเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาดูแลเท่านั้นเองไฟว่าไม่ดีเหรอ”

         “ก็ดีนะ เอ ว่าแต่ว่าคนๆนั้นจะใช่ไฟไหมนะ” ผมแกล้งกระเซ้าอีกคน แต่สิ่งที่ได้รับคือรอยยิ้มบางๆกับคำตอบที่มันทำให้ผม

ยิ้มจนแก้มแทบปริ

         “เวลา” คำตอบสั้นๆของนอร์สแต่ผมกลับรู้ความหมายของมันดี

             เวลา  นั่นสินะ  เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์



                       
         “ที่นี่สวยมากเลยนอร์สที่นี่เขาเรียกว่าที่ไหนเหรอ” ตอนนี้ผมกับนอร์สเราหยุดยืนชมความงามของพระอาทิตย์ตกดินบนสะ

พานซิสโตใกล้กับแม่น้ำไทเบอร์ที่นอร์สเพิ่งบอกผมไปเมื่อครู่แถมสะพานนี้เมื่อมองไปยังนครรัฐวาติกันในยามพระอาทิตย์กำลัง

ค่อยๆลาลับขอบฟ้าช่างเป็นภาพที่งดงามดุจภาพวาดที่หาดูได้ยากพร้อมกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความโรแมนติกที่เริ่มราย

ล้อมอยู่ ณ บริเวณรอบๆนี้

         “ไฟรู้ไหมที่ตรงนี้นอร์สก็เอาไปเป็นแรงบันดาลในการแต่งนิยายรักโรแมนติกเหมือนกันนะ”

         “จริงเหรอ อิจฉาพระนางในเรื่องจังที่ได้ไปอยู่ในสถานที่โรแมนติกๆแบบนี้” ผมว่าอดอิจฉาตัวละครในนิยายไม่ได้

         “แล้วไฟจะอิจฉาพระนางทำไมล่ะก็ในเมื่อตอนนี้ไฟก็มายื่นอยู่ในที่ที่พระนางเคยยืนอยู่” นั่นสินะแถมตอนนี้เราก็อยู่กับคน

พิเศษอีกต่างหาก

         “ไฟครับดูโน่นสิ” นอร์สเรียกให้ผมหันไปมองภาพสุดท้ายของพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ภาพนั้นมันช่างงามเหนือคำ

บรรยายเสียจริง แสงสีส้มสวยสดตัดกับขอบฟ้ายามพลบค่ำแต่นั่นก็คงไม่งดงามเท่ากับมือของผมและนอร์สที่ค่อยๆขยับมากอบ

กุมกันเบาๆท่ามกลางดวงตะวันลาลับไป










รู้สึกว่าแต่งตอนนี้เองอยากจะไปเที่ยวที่โรมจริงๆ เมืองอะไรก็ไม่รุ้โรแมนติกจริงๆ 5555 ช่วงนี้ดีสไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ หลัง

จากกลับจากต่างจังหวัด เฮ้อ! เซ็งชีวิตจริงๆ ยังไงก็ติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                           แผนการร้ายครั้งที่ 5 : ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำมันได้
           
                  หลังจากที่ผมกับนอร์สชื่นชมความงามของอาทิตย์ยามลาลับขอบฟ้าจนอิ่มหนำอุราก็เดินทางกลับที่พักกัน

ก่อนที่ความมืดมิดจะเข้าปลุกคลุมรอบบริเวณมากกว่านี้ แต่ถึงจะให้มืดมิดอย่างไรก็ยังมีแสงสว่างจากนีออนที่คอยส่องแสงนำ

ทางสำหรับผู้ที่ชื่นชอบและผู้ที่ชอบท่องเที่ยวยามราตรี แน่นอนสถานที่สวยงามเช่นนี้จะมีใครกันเล่าที่จะละเลยความสวยงาม

แบบนี้ลงได้……….

         “ไฟว่าเรากลับกันเถอะนะเดี๋ยวทุกคนจะเป็นห่วง” ผมหันไปบอกนอร์สแต่ยังยังไม่คลายมือที่กุมกันอยู่

     ความสุขที่ตามเฝ้าตามหา ตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเพียงเอื้อมมือคว้าไว้..

         “ครับ” จากนั้นเราทั้งคู่ก็เดินทางกลับที่พักแต่ฝ่ามือของเราสองก็ยังคงสอดประสานเช่นเดิมจนกระทั่งถึงที่พัก

         “อ้าว กลับกันมาแล้วเหรอนึกว่าจะหลงทางที่โรมซะแล้ว” พอผมกับนอร์สมาถึงที่พัก ผมก็อาสาที่จะไปหาทุกคนเพื่อตาม

ไปทานอาหารเย็นที่ทางโรมแรมจัดไว้ให้ แต่ยังไม่ทันได้เคาะประตูเรียกคนที่อยู่ในห้อง ประตูห้องก็เปิดออก

         “นี่ใครครับคุณวี นายอัคนีเชียวนะครับคุณ จะมาหลงทางเป็นเด็กสามขวบได้ยังไงกัน วู้” ผมว่าไอ้วี ไอ้วีมันเป็นคนใช้ได้นะ

ครับแต่มันมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือมันไม่ใช่คนดีก็เท่านั้นเพราะว่ามันดีไปหมดแล้วไงครับ…ดีไปหมดแล้วจริงๆ

         “เหรอออออออ” ไอ้วีมันลากเสียงยาวแกมไม่เชื่อ

                            เรื่องของมึงเหอะ!!!

         “เอออ แล้วนี่มึงจะไม่ไปกินข้าวรึไงวะมาว่ากูอยู่ได้เนี่ย” ผมว่ามันไปเพราะเห็นว่าป่านนี้มันยังไม่หยุดว่าผมซะที

         “ทำไม จะได้มีเวลาไปจู๋จี๋กับเด็กมึงเหรอ” ไอ้วีมันว่าพลางยักคิ้วหลิ่วตาทำท่ายียวนใส่ผม ผมว่าไอ้วีมันคงจะถึงคราว

เคราะห์ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้แล้วแหละครับ

         “อะไรของมึงอย่ามามั่ว” ผมโวยวายใส่ก็เพราะในเมื่อผมเพิ่งจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับนอร์สมาภาพความโรแมนติกยัง

คงอยู่ ถ้าถามว่าโรแมนติกขนาดไหน……..โรแมนติกมากขอบอกเลย

         “แหมๆ ถ้ากูมั่วแล้วมึงหน้าแดงทำไม” ตายแล้วไอ้ไฟเผลอให้ไอ้วีมันรู้จนได้

         “ไม่รู้เว้ยย!!กูไปกินข้าวกับนอร์สดีกว่า” ผมโวยวายใส่ไอ้วีเสร็จก็รีบชิ่งเดินออกจากหน้าห้องไอ้วีแล้วตรงไปยังห้องอาหารที่

พี่ๆทีมงานทยอยกันออกมาทานอาหารเย็นกัน ผมเลยสอดส่ายสายตาหาคนที่คุณก็รู้ว่าใครจนทั่ว แต่แล้วก็ต้องไปสะดุดเมื่อเขา

นั่งอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งริมห้อง

         “รอนานไหม” พอมาถึงผมรีบถามเจ้าตัวทันทีพร้อมกับอีกคนที่ผละออกจากสมาร์ทโฟนคู่ใจ

         “ไม่ครับ ไฟทานอะไรดีเดี๋ยวนอร์สไปเอามาให้”

         “นอร์สกินไรไฟก็กินอันนั้นแหละ ขี้เกียจคิด” ผมบอกนอร์สก่อนคนที่อาสาจะไปหาอะไรอร่อยๆมาให้ทานลุกออกไป

        ความรู้สึกเหมือนคนมาเดทเลยอ่ะ โอ๊ย!!ไอ้ไฟเขิน ผมก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับความคิด อันนี้บอกเลยว่าไม่ได้เข้าข้าง

ตัวเองแต่อย่างใด ลองดูกันสิครับ ไหนจะไปล่องเรือด้วยกันหรือเดินเที่ยวด้วยกันแม้กระทั่งตอนสุดท้ายของทริปยังได้ไปดูพระ

อาทิตย์ลับขอบฟ้ายามค่ำคืนที่บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกเวอร์ๆแล้วยังมีหาอาหารอร่อยๆมาให้ทานนี่ก็ติดตรงที่ว่ายังไม่ได้

เป็นอะไรกันนะ ถ้าเกิดว่าเป็นแฟนกันล่ะก็บรรยากาศแบบนี้แหละใช่เลย เดทชัวร์!!

         “เป็นไรมากไหมมึงเพ้อใหญ่เชียว”ไอ้เพื่อนเวรคนกำลังฝันหวาน ไอ้วีที่ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็เข้ามาขัดฝันหวานของ

ผมได้ซะนี่

         “ยุ่ง!” ผมบอกไอ้วีพลางทำหน้าเหม็นเบื่อมันเต็มทน

         “กูถามไรมึงหน่อยดิ” ไอ้วีที่อยู่ดีๆมันก็ถือวิสาสะนั่งโต๊ะร่วมกันกับผมทั้งที่เจ้าของโต๊ะอย่างผมก็ยังไม่ได้อนุญาตเลยสักนิด

แถมยังมาตั้งคำถามใส่เฉยเลย

         “มีไร”

         “มึงกับคุณนอร์สคบกัน?” เฮ้ย!!!!!! ไมมันถามตรงจังวะ ผมที่ได้ยินคำถามก็ทำนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่

มันถาม แต่แล้วผมก็ทนสายตาสงสัยของมันไม่ได้ทำให้ต้องพูดออกไป

         “ยัง แค่ดูๆกันอยู่”

         “เหรอ กูนึกว่าเป็นแฟนกันเห็นมึงมองเขาซะตานี่เยิ้มเชียว น้ำลายนี้แถบจะหกออกมาจากปาก”

         “ไอ้บ้า สาบานเถอะว่าที่พูดนั่นปาก” จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไอ้เพื่อนสุดที่รักดังขึ้น ผมจึงหันไปมองค้อนมัน

ก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือยอมแพ้

        “กูล้อเล่น ก็แค่เห็นมึงกับเขามันดูแปลกๆแล้วนี่คิดไงถึงไปชอบคุณนอร์ส”

         “ก็ไม่คิดไงอ่ะ มึงจำวันที่กูช่วยผู้หญิงคนหนึ่งได้ป่ะ” ผมถามไอ้วีมันพยักหน้าว่าให้ผมเล่าต่อ

         “นั่นแหละผู้หญิงคนนั้นคือน้องสาวของนอร์ส เธออยากให้กูมาเป็นคู่แข่งกับยัยเจนสิญาเพื่อให้พี่ชายเธอได้มีตัวเลือก

เพราะน้องเขาไม่ชอบยัยนั่น”

         “แล้วมึงก็ช่วยเขาว่างั้น”

         “ตอนแรกก็ไม่นะ แต่พอเจอนอร์สก็....ปล่อยเลยตามเลย” ก็จะไม่ให้ปล่อยเลยตามเลยได้ไงก็ในเมื่อผม...รู้สึกดีกับนอร์ส

         “มึงชอบเขาว่างั้น”

         “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีนะ”

         “มึงอยากรู้ใจตัวเองไหม??” ไอ้วีถาม ส่วนผมก็พอจะรู้ว่ามันไม่เหมือนเดิมแต่ก็อยากพิสูจน์อีกเพื่อให้ตัวเองแน่ใจ

         “อยาก” ผมตอบไอ้วีกลับไป

       “งั้นเดี๋ยวกูช่วย”
                 





         “ไฟอาบน้ำก่อนนะ” หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จพวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายไปพักผ่อนเป็นอันว่าเย็นนี้ก็ไม่ได้เริ่มถ่ายทำ

เพราะนางเอกของเรื่องติดธุระยังไม่ว่าง ยังมาไม่ได้ต้องเป็นพรุ่งนี้เท่านั้นที่เธอจะมาได้ เหอะ ถ้าไม่ติดว่าใหญ่มาจากไหนพ่อ

ปลดออกจากนางเอกเรื่องไปนานแล้วล่ะ ผมที่เข้าห้องมาก็ขอตัวอาบน้ำก่อน แต่น้ำที่ผมอาบน่ะมันเป็นน้ำอุ่นนะครับ ถ้าหากว่า

เป็นน้ำเย็นล่ะก็ต่อให้เน่าตายผมก็ไม่แตะ

           อาบน้ำไปคิดถึงงานในวันพรุ่งนี้แล้วก็ยังมีเรื่องที่ไอ้วีมันจะช่วยแต่ช่วยอะไรของมันก็ไม่รู้ แต่ช่างเหอะรีบอาบรีบไป

พักผ่อนดีกว่า

         “นอร์สไฟอาบเสร็จแล้วนอร์สใช้ห้องน้ำได้ตามสบายเลยนะ” ผมตะโกนออกไปพร้อมกับตัวเองที่เดินออกมานอกห้องน้ำ

แล้วก็เห็นอีกคนที่กำลังสาละวนอยู่กับกล้องตัวเก่งที่เพิ่งจะไปเก็บภาพถ่ายเมื่อกลางวันก็อดสงสัยไม่ได้

         “ทำไรอยู่เหรอนอร์ส”

         “เช็คภาพครับ” นอร์สตอบกลับมา

         “ให้ไฟช่วยไหม ไฟถนัดเรื่องของภาพถ่ายนะ” ผมอาสาที่จะช่วยนอร์สเช็คภาพแต่เจ้าตัวก็ตอบปฏิเสธไปแล้วก็ขอตัวไป

อาบห้องน้ำ ส่วนผมจึงเดินไปจัดที่นอน เอาล่ะสิ แล้วเราจะนอนกันยังไงเนี่ย ช่างเถอะนอร์สมาค่อยถามก็แล้วกัน ผมจึงหยิบบท

ภาพยนตร์มาอ่านเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานวันพรุ่งนี้

           บรรยากาศยามค่ำคืนของโรงแรมจะว่าดีก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ยังไงซะความมืดก็คือความมืดอยู่วันยังค่ำเพราะมันคงจะ

ยังไม่สว่างขึ้นมาหรอก ผมจึงทำทีไม่สนใจบรรยากาศภายนอกแต่ดูเหมือนว่าการกระทำของตัวเองมันชั่งขัดกับการสั่งการของ

สมองเสียจริง ผมจึงค่อยๆชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกของระเบียงแล้วก็เห็นเหมือนมีเงาตะครุ่มๆพลิ้วไหวอยู่ จึงตัดสินใจลุกขึ้น

ไปดู

           ถามว่าผมกลัวไหม เอาคำตอบจากใจจริงของผมไปเลยคือ..กลัวมาก แต่ผมก็พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านยิ่งอีกคนยังอาบ

น้ำไม่เสร็จก็เหมือนกับผมที่อยู่คนเดียว แต่พอผมไปถึงไอ้เงาพลิ้วๆที่เห็นเมื่อครู่คือการพลิ้วไหวของผ้าม่านเพราะระเบียงยังคง

เปิดอยู่ผมจึงจัดการปิดมันซะ

               เฮ้อ เอาซะหลอนไปเลย

           หมับ!!

         “เฮ้ย!!!” ผมร้องลั่นตกใจสุดขีด แต่ก็ไม่กล้าหันหน้ากลับไปดู พ่อแก้วแม่แก้วสิ่งศักด์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยลูกช้างด้วย ใครก็

ได้ช่วยด้วย ผมก็ได้แต่ร่ำร้องอยู่ภายในใจพร้อมทั้งท่องนะโมไม่รู้กี่จบ แต่ก็เพิ่งจะนึกได้ว่าผมอยู่ต่างประเทศไม่ใช่ประเทศไทย

               แล้วผีต่างชาติมันจะกลัวบทสวดไหมวะ!!

         “ไฟครับ” ผีต่างชาติมันพูดภาษาไทยได้ด้วยเหรอวะ ชัดอีกต่างหากแถมยังรู้จักชื่อเราอีกด้วย

         “ไฟครับนอร์สเองนะ” นอร์สเหรอ??จากนั้นผมจึงค่อยๆหันหน้ากลับไปมอง สรุปว่าคนที่จับที่ไหล่ผมก็คือนอร์สเล่นเอาผม

กลัวจนฉี่จะราดไปตั้งนานสองนาน

         “นอร์สอ่ะเล่นอะไรไม่รู้เรื่องถ้าไฟหัวใจวายตายไปจะทำไงเนี่ย” ผมต่อว่าอีกคนก่อนที่จะเดินมานั่งที่เตียงโดยที่อีกคนก็เดิน

ตามมาติดๆ

         “ก็ช่วยไฟไงครับลืมไปแล้วรึเปล่าว่านอร์สเป็นหมอนะ” เออเนอะ

         “นี่นอร์สไฟอยากรู้ว่าคนเป็นหมออ่ะเขาต้องเรียนกับศพเหรอ”

         “ครับแต่พวกเรานักเรียนแพทย์จะเรียกท่านว่า ‘อาจารย์ใหญ่’ ” นอร์สอธิบาย

         “แล้วแบบนี้นอร์สเคยเจอมั่งป่ะ” ผมถามออกไปทั้งๆที่บรรยากาศรอบๆก็หลอนแปลกๆแต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี ผมก็คิด

เหมือนกันนะว่า

     มีที่ไหนเล่าเรื่องผีตอนกลัวผีแถมบรรยากาศก็ชวนเห็นผีอีกต่างหาก!?

         “เจอ..อ๋อ ตัวนอร์สเองก็ยังไม่เคยเจอแบบจังๆนะแค่ผ่านๆแต่รุ่นพี่นี่สิเห็นจังๆเลย” หวา แค่คิดขนแขนก็แสตนอัพกันเป็น

แถว ผมจึงรีบเขยิบเข้าไปใกล้กับนอร์สพร้อมกับหยิบผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมบริเวณปลายเท้าหลังจากที่ขอร้องให้อีกฝ่ายช่วย

เล่าเรื่องต่อ

         “แล้วรุ่นพี่ที่เห็นได้เล่าให้นอร์สฟังรึเปล่าว่ามันเป็นยังไง”

         “ก็..เล่านะครับ แล้วนี่ไฟไม่กลัวแล้วเหรอครับ” นั่นสิจะว่ากลัวก็กลัวแต่ความอยากฟังมันมีมากกว่าฉะนั้นเสียงข้างมากจึง

ชนะ!?

         “กลัวนะ..แต่อยากฟัง แหะๆ” ผมบอกนอร์สเสียงอ่อย นอร์สขมวดคิ้วน้อยๆแต่ก็ยอมเล่าให้ผมฟัง

          “รุ่นพี่เล่าให้นอร์สฟังว่าการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอย่างที่เรารู้ๆกันว่าทุกคนที่เข้าใหม่นั้นเรียกง่ายๆก็คือปีหนึ่งจำเป็นที่จะ

ต้องมาพักอยู่ที่หอใน แต่ถ้าขึ้นชั้นปีใหม่จึงจะสามารถออกไปอยู่หอนอกได้ไม่จำเป็นต้องอยู่หอใน” นอร์สเล่าพลางมองหน้าผม

 ผมที่ทำหน้ารอลุ้นฉากต่อไปก็ลุ้นจนใจระทึก

         “ตอนนั้นตัวของรุ่นพี่เองก็เพิ่งจะเข้าเรียนเป็นปีแรกก็ต้องอยู่หอในแต่เผอิญวันที่ย้ายเข้ามาอยู่รูมเมทยังไม่มาตัวเองเลย

ต้องอยู่ที่ห้องคนเดียว”

         “รุ่นพี่เล่าว่าคืนสองคืนแรกนั้นก็ไม่มีอะไรแต่พอคืนที่สามเท่านั้นแหละ” นอร์สที่อยู่ดีๆก็หยุดพูดทำเอาผมที่รอฟังไม่ไหว

ต้องรีบเร่งเร้า

         “คืนที่สามทำไมเหรอ” นอร์สยังไม่ยอมเล่าต่อแต่กลับค่อยๆโน้มตัวเข้ามาใกล้ผมพร้อมกับเฉลยสิ่งที่มันยังคงค้างคา

         “ก็...ไม่มีอะไรครับเพราะรุ่นพี่ผมเขาไม่ได้กลับหอพอดีไปอยู่บ้านแม่เพราะตอนนั้นยังไม่เปิดเรียน” พอนอร์สเฉลยสิ่งที่ค้าง

ไว้ออกมาก็ทำเอาผมแถบอยากจะถีบเจ้าตัวให้ตกเตียงไปเสียตอนนี้เลย ถ้าไม่ติดว่ารู้สึกดีด้วยนะนอร์สอาจจะถูกหามส่งโรง’บาล

แล้วก็ได้!?

         “โห ไรเนี่ยไอ้เราก็อุตส่าห์ตั้งใจฟังคิดว่ามันคงต้องหลอนแน่ที่แท้ก็เรื่องหลอกเด็ก” ผมค่อนขอดอีกคน แต่เจ้าตัวกลับ

หัวเราะออกมาซะนี่

      “ก็นอร์สเห็นไฟกลัวก็เลยไม่อยากเล่าให้กลัวเข้าไปอีก”

         “ทำอย่างกับตัวเองไม่กลัวงั้นแหละ” ผมว่าเข้าให้

         “ก็ยังไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่กลัว” นอร์สว่า ทำเอาผมต้องเลิกคิ้วมองอย่าสงสัย

                   เป็นหมอแต่กลัวผี แล้วเป็นได้ไงวะ!!!

         “นอร์สอำไฟเล่นป่ะ เป็นหมอแต่กลัวผีเนี่ยนะ”

         “อ้าวเป็นหมอแล้วไม่ต้องกลัวผีด้วยเหรอครับ..โธ่ ไฟครับมันไม่เกี่ยวกันซะหน่อย”

         “อ้าว แล้วเวลาเรียนกับอาจารย์ใหญ่ของนอร์สอ่ะไม่กลัวไม่ใช่เหรอ”

         “นั่นคืออาจารย์นี่ครับไม่เหมือนกัน แต่ที่หลายๆคนคิดว่าหมอไม่กลัวผีอาจจะเป็นที่ว่าหมอต้องอ่านหนังสือจนดึกก็เลย

เพลียไม่มีแรงมาวิ่งหนีผีมากกว่าและที่สำคัญอาจจะน่ากลัวกว่าผีก็ได้ใครจะไปรู้” นอร์สร่ายยาวก่อนที่จะให้ผมรีบนอนเพราะพรุ่ง

นี้จะต้องเตรียมตัวทำงานกัน ส่วนเรื่องที่นอนนอร์สบอกว่าให้ผมนอนบนเตียงไปคนเดียวส่วนเจ้าตัวจะไปนอนที่โซฟาแทนผมจึง

เอ่ยท้วง

         “ไม่ต้องนอนที่โซฟาหรอกนอร์สก็นอนบนเตียงด้วยกันนั่นแหละเดี๋ยวเอาหมอนข้างกั้นก็ได้” ผมพยายามหาทางออกให้

เพราะไม่อยากให้นอร์สไปนอนที่โซฟาเพราะมันทั้งหนาวทั้งอึดอัดแล้วที่สำคัญ

                                                                   ผมเป็นห่วง....

         “แต่ถ้านอร์สนอนด้วยไฟจะอึดอัดเอาเปล่าๆเตียงนอนมันเล็กไปนอร์สไปนอนที่โซฟานั่นแหละดีแล้ว” นอร์สยังดึงดันที่จะ

ไปผมจึงส่งสายตาดุๆไปให้เท่านั้นแหละเจ้าตัวจึงจะยอมมานอนด้วยกัน

                 
           กึกๆๆๆ

           เสียงอะไรบางอย่างกำลังกระทบอยู่ที่ระเบียงด้านนอกทำให้ผมต้องงัวเงียตื่นขึ้นกลางดึกและเมื่อสายตาสามารถ

ปรับโหมดให้คุ้นชินได้ผมก็เริ่มเพ่งมองออกไปนอกระเบียงก็เห็นเงาอะไรบางอย่างหลบมุมอยู่ตรงระเบียงห้อง ผมพยายามปลอบ

ใจตัวเองว่ามันไม่มีอะไรอาจจะเป็นเงาของผ้าม่านปะทะกับลมหนาวด้านนอกก็ได้ แต่แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า

         กูเป็นคนปิดประตูระเบียงนี่หว่า  แล้วลมจากข้างนอกก็ไม่สามารถที่พัดเข้ามาได้ งานงอกแล้วไอ้ไฟ!!!

         “นอร์ส” ผมเรียกคนที่นอนอยู่อีกด้านของหมอนข้าง  สักพักเจ้าตัวก็ค่อยๆพลิกตัวหันมาหาผม

         “มีอะไรเหรอครับไฟ” นอร์สถามผมเสียงงัวเงีย

         “คือไฟอยากถามว่าเอาหมอนข้างออกได้ไหม” นอร์สเลิกคิ้วมองหน้าผม ผมก็เลยรีบอธิบาย

         “คือ..ไฟว่าบรรยากาศมันค่อนข้างจะ..เอ่อ..แปล-”

         “ได้สิครับ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบนอร์สก็ตอบตกลงแถมยังช่วยหยิบหมอนข้างออก จากนั้นผมก็มุดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม

แล้วก็ค่อยๆเขยิบตัวเข้าไปหาอีกคนเพราะรู้สึกเสียวด้านหลังยังไงชอบกล

         “เขยิบมาอีกก็ได้ครับ”  นอร์สหันมาบอกเพราะผมที่ขยุกขยิกไม่เลิกซะที สงสัยเจ้าตัวคงจะรำคาญ ผมจึงส่งยิ้มแห้งไปให้

แต่ก็ยอมเขยิบตามที่อีกคนบอก ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าผมตกอยู่ในอ้อมกอดของนอร์สเพราะจากตอนแรกที่นอร์สนอนหันหลังให้

ผมกลับพลิกตัวหันมาหาผมซะงั้นและที่สำคัญตอนนี้ใบหน้าของผมก็ซุกอยู่ที่อกแกร่งของอีกฝ่าย สัมผัสเดียวที่ผมรู้สึกได้คือ

ความอบอุ่นและปลอดภัย ผมจึงค่อยๆหลับตาลงเพราะรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว แต่แล้วสัมผัสอันคุ้นเคยที่ผมได้รับมา

เมื่อครั้งก่อนก็หวนย้อนกลับมาอีกครั้ง

           ฝ่ามือที่แสนจะอบอุ่นค่อยๆลูบไล้เส้นผมแพรไหมสีน้ำตาลอ่อนของผมอย่างอ่อนโยนราวกับทะนุถนอม ความรู้สึกนี้

เหมือนเดจาวูและนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าฝ่ามือที่อบอุ่นในครั้งนั้นกับครั้งนี้แท้จริงแล้วใครเป็นเจ้าของ         

                   
         “งานงอกแล้วไอ้ไฟ!!” เสียงไอ้วีตะโกนเรียกผมมาแต่ไกลเพราะตอนนี้เราเตรียมเซตฉากกันเอาไว้ให้พร้อมเพื่อรอนักแสดง

เข้าฉากเพียงเท่านี้ก็เริ่มถ่ายทำกันได้

         “เมียมึงคลอดลูกเหรอตะโกนซะกลัวชาวบ้านเขาไม่รู้จักกู” ผมว่าไอ้วีเพราะมันตะโกนเรียกผมซะคนแถวนั้นหันมองกันเป็น

แถบ

                      กูล่ะเพลียกับมึงจริงไอ้วีเพื่อนรัก!!

         “มึงเหอะจะมีสวามีเป็นตัวเป็นตนก็บอกมาดีกว่า” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมเนี่ย

         “มีไรก็ว่ามาอย่าลีลา” ผมรีบดึงเข้าเรื่องก่อนที่ผมจะไม่รู้เรื่องว่าไอ้วีมันมีเรื่องอะไร??

               “คือคุณเจนสิญาเธอโทรมาบอกว่า...” ไอ้วีเงียบเสียงไปทำให้ผมเริ่มจะรู้สึกถึงลางร้ายกำลังจะมาเยือนชอบกล

         “คุณเจนโทรมาว่าไงมึง”

         “คือ..เธอมาไม่ได้แล้ว” อะไรนะ!!!!! ผมหูฝาดไปใช่ไหม

         “แล้วจะเอาไงกันดีวะมึง” ไอ้วีถามความเห็นผม  นั่นสิ แม่คุณก็ช่างหาเรื่องมาให้ผมเครียดได้ตลอดทั้งเรื่องงานลามไปถึง

หัวใจ?

         “ก็ถ่ายต่อไงคะ” หืม??นั่นมันเสียงผู้หญิงนี่หน่าแต่สาบานได้เลยว่าไม่ใช่ยัย 18 หลอดแน่นอน ผมจึงหันกลับไปดูที่มาของ

เสียงนั่น

         “พี่เคธี่!!”





                         
           นี่มันเกิดปรากฎการณ์อะไรกันขึ้น!! วันรวมญาติงั้นเหรอ??แล้วทำไมพี่เคธี่เธอต้องมาที่นี่ด้วย อย่าบอกนะว่าเธอจะมา

เป็นนางเอกแทนยัย 18 หลอดนั่น ถามว่าดีไหม? ผมว่ามันดีมากเลยล่ะแต่จะดีกว่านี้ถ้าคนที่มาแทนจะไม่ใช่พี่เคธี่

         “สวัสดีนะน้องไฟไม่เจอกันนานเลยนี่ สบายดีนะ” พี่เคธี่เอ่ยทัก พี่เคธี่เป็นคนที่สวยและสวยมากผู้ชายร้อยทั้งร้อยถ้าได้เห็น

เธอเป็นอันต้องหลงรัก แม้กระทั่ง ‘เขาคนนั้น’ ด้วย

         “ก็ตามที่พี่เห็น” ผมตอบแบบขอไปที สำหรับผู้หญิงคนนี้แล้ว...แค่นี้ก็คงพอ

         “เหอะ ยังคงความอวดดีและหยิ่งทระนงได้อย่างคงเส้นคงวาดีนะ อ้อ!เกือบลืมไปพี่มีอะไรจะบอกเธอด้วย” เธอเหน็บผม

เล็กน้อยเหมือนทุกครั้งที่เราคุยกันก่อนที่จะเปลี่ยนอารมณ์ในประโยคถัดมา ผมที่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป เธอจึงพูดต่อในสิ่งที่

เธออยากจะบอกผม

         “พี่กับต้-”

         “ผมว่าคุณหยุดพูดเรื่องไร้สาระสักทีเถอะแล้วมาเข้าเรื่องของคุณดีกว่า คุณมาที่นี่ทำไม” ยังไม่ทันที่พี่เคธี่เธอจะได้พูดจบ

ประโยคไอ้วีที่ยืนอยู่ข้างๆผมก็พูดขัดขึ้นก่อน

         “จะรีบไปไหนล่ะน้องวีเราก็คนกันเองทั้งนั้น” พี่เคธี่หันไปคุยกับไอ้วีแถมยังไม่สนใจในสิ่งที่ไอ้วีพูดเลยแม้แต่น้อย จากนั้น

เธอจึงปรายตากลับมามองที่ผม ผมจึงหันมองทางอื่นทำเป็นไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง

         “พี่กับต้าร์เรากับลังจะแต่งงานกันในเร็ววันนี้ยังไงก็..ขอเชิญน้องไฟไปงานนี้ด้วยนะ”

         “แล้วพี่จะมาบอก มาชวนผมไปงานแต่งพี่กับเขาทำไมไม่ทราบ ผมกับพี่แล้วก็เขาไม่ได้สนิทกันถึงขั้นไปงานแต่งงานกัน

หรอกนะ” ผมโต้กลับไปบ้างทั้งๆที่ในตอนนี้ผมเรียกได้ว่าแทบจะล้มทั้งยืน

         “เราจะไม่สนิทกันได้ยังไงล่ะคะ ก็ในเมื่อน้องไฟเคยเป็นแฟนเก่าของต้าร์มาก่อนไม่ใช่เหรอคะ เอ๊ะ!หรือว่าน้องไฟจะยังทำ

ใจไม่ได้” เธอจงใจเน้นประโยค แฟนเก่า ให้ผมฟังชัดๆ  ก่อนจะถามประโยคถัดมาที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะสงสัยมาเป็นชาติ!?

         “เรื่องที่ผมจะทำใจได้ไม่ได้นั้นมันไม่ใช่ปัญหาเพราะยังไงผมก็ไม่ไปยุ่งกับของรักของหวงของพี่อยู่ดี แต่ผมกลัวว่าคนของ

พี่เขาจะกลับมาหาผมซะมากกว่า อย่าลืมสิครับว่าถ่านไฟเก่ายังไงก็รอวันประทุอยู่ดีถ้าหากว่ามันมีเชื้อเพลิงดีๆมาสุม” ผม

พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้แล้วปั้นหน้าหยิบหน้ากากที่คิดว่าคู่ควรที่จะใช้มันกับคนตรงหน้าขึ้นมาใส่และนั่นก็

ทำให้ผมได้เห็นประกายตาที่วาวโรจน์ของคนผู้หญิงคนนี้

       อย่าคิดว่านะมีแต่พี่เท่านั้นที่จะอ่านเกมนี้ออก  เราทั้งคู่ไม่มีใครได้โต้ตอบกลับไปมีแต่สายตาที่จ้องกันอย่างไม่ลดละเท่านั้น

ที่ทำให้บรรยากาศรอบๆดูจะอึดอัดได้ไม่น้อย

         “เคธี่” แต่แล้วก็มีอีกหนึ่งเสียงที่คุ้นเคยเรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าผม น้ำเสียงนั่นถึงแม้จะแผ่วเบาแต่ก็ยังคงกังวานผสานกับ

น้ำเสียงที่ซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างที่สะกดออกมาได้สั้นๆว่า โหยหา........
                   
           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
            ผมรู้สึกชาวาบที่ได้ยินน้ำเสียงนั่นของใครบางคนที่ทำให้ผมใจเต้นแรงแถมไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่เราใกล้กัน

แต่ตอนนี้เขากลับใช้น้ำเสียงนั่น น้ำเสียงที่ฟังดูทั้งปวดร้าวและโหยหาจนทำให้ผมต้องหันหลังกลับไปมองเพื่อความแน่ใจว่าใช่

เขาจริงๆเหรอ

         “นอร์ส” ผมเรียกชื่อนอนร์สแผ่วเบาคล้ายคนละเมอเสียมากกว่า จากนั้นผมก็เดินออกจากสถานที่ตรงนี้ ไปไม่สนใจแม้

กระทั่งเสียงเพื่อนรัก

เจ็บ...ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน

เจ็บ...เมื่อได้ยินน้ำเสียงแบบนั้นของเขาเอ่ยเรียกอีกคน

เจ็บ...ที่รับรู้ว่าเขาเคยรู้สึกดีต่อกัน

เจ็บ...ที่ทำไมคนๆนั้นถึงไม่เป็นเราสักที.....

           ผมหลบเข้ามานั่งพักที่ลอบบี้ของโรงแรมเพราะผมรูว่าผมคงจะฝืนยืนต่อไปไม่ไหว แปลกดีนะทั้งๆที่พี่เคธี่พูดถึงเรื่อง

ของเขาเพื่อต้องการให้ผมเจ็บจนทนไม่ไหว แต่ผมกลับรู้สึกแค่โหวงๆเล็กน้อย แต่กลับเป็นใครอีกคนมากกว่าที่ทำให้ผม...เจ็บ

จนเป็นแบบนี้

         “ไฟครับ  ไฟเป็นอะไรรึเปล่า” นอร์สที่วิ่งเข้ามาดูจะรีบร้อนเป็นพิเศษผมจึงพยายามเก็บหยดน้ำในที่เริ่มจะคลอเบ้าให้กลับ

เข้าลงไปในที่ที่มันควรจะอยู่

         “เปล่า มีอะไรเหรอ” ผมถามออกไปพลางทำหน้ายิ้มให้อีกคนรู้ว่าผมสบายดี

         “นอร์สเห็นไฟวิ่งเข้ามาในนี้ทั้งๆที่ดูอาการไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่คุณวีเลยให้นอร์สเข้ามาดู”

         “เหรอ” ไอ้วี ไอ้เพื่อนเวรรร!!!

         “นั่งสิ” ผมบอกให้คนตรงหน้านั่งพักลงก่อน เจ้าตัวจึงนั่งลงตรงข้ามผม

         “นอร์สมีเรื่องจะคุยกับไฟแต่ตรงนี้ไม่สะดวกไปที่อื่นเถอะ” นอร์สบอกกับผมท่าทางจริงจัง ทั้งที่ตัวเองยังสงสัยแต่ก็ยังจะ

พยักหน้าตกลง





                     
         “นอร์สพาไฟมาที่นี่ทำไมอ่ะ”

         “ก็พามาเดินเล่นไง” อะไรของเขาเนี่ยไหนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย นี่ผมยังไม่หานน้อยใจเขานะ!!

         “มาที่น้ำพุเทรวี่เนี่ยนะ” ครับ นอร์สพาผมมาที่น้ำพุเทรวี่ที่ออกแบบโดยนิโกลา ซาลวี สถาปนิกชาวอิตาลี ซึ่งเขาเชื่อกันว่า

เมื่อหันหลังให้กับน้ำพุแห่งนี้แล้วอธิษฐานจากนั้นโยนเหรียญลงไปในบ่อนี้ได้ ผู้โยนจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้ง

         “มีไรก็พูดมา” ผมรีบบอกวัตถุประสงค์แรกของเจ้าตัว ซึ่งนอร์สเองก็ไม่ได้ดูอิดออดอะไร แต่ก็เริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง

         “นอร์สรู้จักกับเคธี่” นอร์สเกริ่นประโยคแรกพลางมองหน้าผมเผื่อว่าผมจะแย้งอะไร ผมไม่ได้ว่าอะไรออกไปเขาจึงพูดต่อ

         “นอร์สกับเคธี่เราเคยเป็นแฟนกัน”

         “บอกไฟทำไมไม่เห็นจะอยากรู้สักหน่อย” ของขึ้นน่ะสิครับ

         “หึๆ” พอผมพูดไปอีกคนก็หัวเราะกับคำพูดของผมเฉยเลยไหนจะแววตาแปลกๆนั่นอีก ผมเลยหรี่ตามองว่า ขำไรมิทราบ

         “โอเคครับไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องรู้งั้นนอร์สไม่เล่าต่อดีกว่า” เฮ้ย!ได้ไงอ่ะเกริ่นมาซะทำให้อยากรู้ต่อจะมาหยุดเอาดื้อๆแบบนี้

ไม่ได้นะ

         “เฮ้ย!เล่าต่อเดี๋ยวนี้เลยนะนอร์ส” ผมรีบสั่งให้เจ้าตัวเล่าต่อทันที ส่วนเจ้าตัวก็ยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนคนรู้ทันว่ายังไงผมก็ต้องขอ

ร้องทั้งๆที่เจ้าตัวก็ต้องเล่าให้ผมฟังอยู่ดีและนั่นก็ทำให้ผมได้รู้สัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งเกี่ยวกับมนุษย์ที่ชื่อนอร์สได้ว่า

               นอร์สเป็นมนุษย์ที่เจ้าเล่ห์ที่สุดในสามโลกกก!!!!

         “ตอนนั้นนอร์สรียนอยู่ปี3 ถ้าจำไม่ผิดนอร์สกับเคธี่เราเป็นแฟนกันและนอร์สก็รักเคธี่มาก” แหวะ! แต่ผมก็สามารถเก็บ

อาการได้โดยที่ไม่หลุดออกไปแม้แต่น้อย

         “ผมให้เธอทุกอย่างที่เธอต้องการแต่สุดท้ายแล้วเขาก็แค่ต้องการที่จะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของผมมากกว่า” อย่าบอกนะว่าพี่

ต้าร์เป็นญาติกับนอร์ส แต่ผมก็ยังไม่ถามเจ้าตัวเพราะยังอยากฟังเรื่องของพี่เคธี่มากกว่า

         “จากนั้นเธอก็บอกเลิกผมอย่างไม่ใยดี แต่นั่นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอ” เอ๋?

         “ยังไงเหรอ”

         “ก็เขาว่ากันว่าหมอสามารถรักษาโรคได้ทุกโรค”

         “แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่เคธี่ด้วยล่ะ” หรือว่าเสียใจจนอยากเก่ง ทฤษฎีอะไรของนอร์สเขาวะ??

         “เกี่ยวสิไฟรู้ไหมว่าพอนอร์สมาเรียนหมอจนใกล้จบมันทำให้นอร์สได้รุ้ความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับหมอเลยล่ะ” เอ๋?

         “หมอน่ะรักษาให้ทุกคนหายป่วยและก็สามารถรักษาได้เกือบทุกโรคก็จริง แต่มีสิ่งเดียวที่คนเป็นหมอรักษาไม่ได้นั่นก็คือ...

หัวใจตัวเอง ตั้งแต่นั้นมามันก็ทำให้นอร์สกลัวที่จะรักเพราะนิยามความรักที่นอร์สเคยให้ไว้กลับพังทลายเพราะผู้หญิงคนนั้นคน

เดียว”นอร์สหยุดพูดก่อนหันมาถามผม

         “แล้วไฟล่ะนิยามรักของไฟคืออะไร” นั่นสินะนิยามความรักสำหรับตัวผมคืออะไร แต่แล้วมันก็มีคำๆหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัว

         “ความว่างเปล่า..”

        “ยังไงเหรอ”

         “ไฟว่านิยามความรักสำหรับไฟถ้าเป็นเมื่อก่อนคือการเสียสละการให้และมากมายแต่พอไฟมาถึง ณ จุดๆหนึ่งมันก็ทำให้ไฟ

รู้ว่าการที่เรารักใครมากๆคนหนึ่งเราก็ไม่อยากที่จะเสียเขาไป เราอยากครอบครอง เราอยากให้เขาเป็นของเราคนเดียว เราไม่

อยากให้เขาไปกับใครทั้งนั้น ไฟจึงมองว่าความรักคือความว่างเปล่าเพราะมันไร้ตัวตน แต่เราก็ยังสามมารถสัมผัสมันได้ด้วยใจ”

 จากนั้นผมก็หันไปมองอีกคนที่มองผมอยู่ก่อนแล้วก่อนที่ผมจะยิ้มบางๆส่งไปให้พร้อมกับอธิบายต่อ

         “อย่างเช่นอะไรก็ตามที่ทำให้ไฟยิ้มได้ หัวเราะได้และมีความสุขไฟก็เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าความรัก” จากนั้นอีกคนที่ฟังผม

อธิบายนิยามรักในความคิดของผมจบกลับคลี่ยิ้มที่เขาเรียกกันว่า กระชากวิญญาณให้ออกจากร่าง ผมก็ไม่เคยจะชินกับมันซะที

แถมเจ้าตัวยังยื่นมือมาจับมือผมที่ตอนนี้ยืนเป็นหุ่นแข็งทื่อที่อยู่ๆอีกฝ่ายก็จู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังทีไร

ก็ไม่เคยเบื่อ

         “ถ้างั้นคนที่ทำให้นอร์สยิ้มได้ หัวเราะได้และมีความสุขได้ก็เรียกได้ว่าคนๆนั้นทำให้นอร์สตกหลุมรักใช่ไหม?” ผมที่สมอง

เบลอๆฟังอะไรไม่ค่อยชัดก็พยักหน้าไปส่งเดชไม่ได้เข้าใจที่อีกฝ่ายพูดสักนิด

         “ถ้างั้นคนๆนั้น คนที่ทำให้นอร์สตกหลุมรักได้..คนนั้นก็คือ.......ไฟ” จากเมื่อกี้ที่สมองไม่รับรู้อะไรแต่ตอนนี้กลับมาใช้งาน

ได้ล้านเปอร์เซ็นต์แถมยังประมวลผลคำพูดของนอร์สได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดแบบHD

           คนๆนั้น... คนที่ทำให้นอร์สตกหลุมรักได้...ก็คือ.....เรา!!








ตอนที่ 5 มาแล้วจร้าาาาา หวังว่าเรื่องนี้คงจะทำใ้ทุกคนสนุกไปกับการอ่านนะคะ ^^ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                     แผนการร้ายครั้งที่ 6 : เคล็ดลับในการก้าวหน้า... คือการเริ่มต้น
     
                  จากวันนั้นจนถึงวันนี้เรียกได้ว่าราวๆเกือบสามอาทิตย์ หลังจากที่ผมอนุญาตให้พี่เคธี่มารับบทเป็นนางเอก

แทนเพราะเห็นว่าถ้าไปหาใหม่เราคงจะมาโรมกันเสียเที่ยว ส่วนพี่ชายสุดที่รักของผมก็สามารถเดินทางมาถ่ายทำได้อย่างไม่มี

ปัญหาและนั่นมันก็ทำให้ผมคลายความกังวลลงไปได้เป็นเท่าตัวเพราะอีกไม่นานหนึ่งเรื่องในซีรีย์สามเรื่องก็จะถ่ายทำเสร็จก่อนที่

เราจะเดินทางไปถ่ายทำเรื่องที่สองกันต่อ แต่ถึงแม้ว่างานในครั้งนี้อีกไม่นานก็คงจะถ่ายทำกันเสร็จแต่นั่นช่างต่างจากความรู้สึก

ของผมและใครอีกคนที่ตอนนี้ค่อยๆเริ่มต้นขึ้นราวกับดอกไม้ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่กำลังผลิใบสวยงามเหมือนอย่างในฤดูกาลที่

กำลังเป็นอยู่ตอนนี้

         “เอาล่ะครับทุกๆคนวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วนะครับก็ขอให้ทุกคนทำมันออกมาอย่างเต็มที่นะครับ” เสียงผมที่เอ่ยบอกกับนัก

แสดงและทีมงานให้สร้างสรรค์ตัวงานชิ้นนี้ให้ออกมาดีที่สุด

         “ถ้างั้นพี่ๆเตรียมแสตนบายให้พร้อมนะครับ นักแสดงพร้อมไหมครับ” ไอ้วีที่ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้กำกับก็สั่งกับทีมงานพร้อม

ถามความพร้อมของนักแสดงแล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงความพร้อมที่นักแสดงตอบกลับมา

         “5 4 3 2 แอคชั่น!!” เสียงผมบอกสัญญาณการเริ่มต้นของการแสดง

           ฉากนี้เป็นฉากสุดท้ายสำหรับเหล่านักแสดงชุดนี้และเป็นฉากสุดท้ายที่พระนางจะต้องบอกความในจากห้วงลึกของ

ใจให้อีกฝ่ายได้รู้ พี่เคธี่ที่เข้ามารับบทลูกสาวเจ้าพ่อมาเฟียคู่แข่งของลูกเจ้าพ่อมาเฟียอีกคนอย่างพี่ลมก็สวมบทบาทที่เรียกได้ว่า

สามารถดึงผู้กำกับอย่างผมให้จินตนาการได้ว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งในบรรยากาศที่ถูกคนทั้งคู่ถ่ายทอดมันออกมา นับว่าเป็นนัก

แสดงที่ใช้ได้เลยทีเดียว ส่วนพี่ลมนั้นไม่ต้องพูดถึงดีกรีระดับพระเอกฮอลลีวูดไม่มีฉากไหนที่เจ้าตัวจะทำมันออกมาไม่สำเร็จ

           “คัททททท!!!!” ผมที่กำลังนั่งลุ้นอยู่กับจอมอนิเตอร์ที่ตอนนี้พระนางกำลังพร่ำบอกคำรักกันอย่างหวานหูพร้อมปิด

ท้ายด้วยรสจูบที่จะตราตรึงคนดูให้จมอยู่กับห้วงลึกของความรู้สึกไปพร้อมๆกับนักแสดงที่ถ่ายทอดมันออกมา แถมยังมี

บรรยากาศยามเย็นที่สะพานซิสโตแสนโรแมนติกที่ผมกับนอร์สเราเคยมาด้วยกัน ก่อนหันไปตวาดไอ้เพื่อนรักที่ตอนนี้นั่งเป็นผู้

ช่วยผู้กำกับอยู่ข้างๆ

         “ทำบ้าอะไรของมึงวะเนี่ยไอ้วี” ไอ้วีมันหันหน้ายุ่งๆของมันซึ่งขัดกับลุกชายเจ้าสำราญแฝงความเจ้าเล่ห์นิดๆที่ทำให้สาว

น้อยสาวใหญ่หรือจะเป็นหนุ่มหน้าสวยเหลียงมองกันอย่างไม่วางตา

         “ทำไมต้องจูบจริงด้วยวะ!!” ไอ้วีที่คิ้วยังคงขมวดมุ่นพร้อมกับน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยกล่าวออกมา

         “ก็เพื่อความสมจริงไง จูบนิดเดียวก่อนโฟกัสภาพไปที่วิวโรแมนติกนี่ไง” ผมอธิบายให้อีกคนเข้าใจซึ่งตัวผมเองตอนแรกก็

ไม่เห็นด้วยกับฉากนี้แถมบางครั้งยังอยากจะตัดมันทิ้ง แต่พอลองปรึกษากับนักเขียนเจ้าของเรื่อง นอร์สจึงกลับบอกผมว่า

         ‘ถ้าเราตัดฉากนี้ออกไปเพราะไฟมีอคติกับนักแสดงมันจะเรียกว่าผู้กำกับมืออาชีพได้ยังไงล่ะครับ’

         ‘ไม่เห็นเกี่ยวกันเลยนี่ ’ ผมแย้ง แต่นอร์สกลับหัวเราะอย่างกับคนที่ผ่านโลกมามากทั้งๆที่ตัวเองอ่อนกว่าผมแท้ๆ

         ‘ไฟครับ คุณลองหลับตาลงช้าๆนะครับ’ ผมลองทำตามที่อีกคนบอก

         ‘ไฟลองจินตนาการว่าตัวเองกำลังถือพู่กันด้ามหนึ่งก่อนจะจุ่มมันลงไปในถังสีพร้อมกับปาดปลายพู่กันลงบนเฟรมที่วางอยู่

ตรงหน้าช้าๆ ไฟสัมผัสอะไรได้บ้างครับ’

         ‘อือ มันบอกไม่ถูกนะ มันเหมือนเรากำลังมีความสุข มันบางเบาเมื่อเรากำลังจินตนาการอยู่กับภาพในหัว’

         ‘ถ้าเราลองเปรียบสิ่งเหล่านี้โดยให้ไฟเป็นคนวาด ส่วนนอร์สเป็นคนสร้างจินตนาการ เมื่อกี้นี้นอร์สไม่ได้บอกไฟว่าจะให้ไฟ

วาดภาพอะไรเพียงแต่บอกให้ไฟเป็นคนวาดตามจินตนาการของไฟเองไฟรู้สึกมีความสุข แต่ถ้านอร์สบอกว่าให้ไฟหลับตาแล้วนึก

ถึงภาพทะเลที่ไม่มีหาดทรายไฟรู้สึกยังไงครับ’ เสียงทุ้มนุ่มค่อยๆบอกผมช้าๆ ผมจึงลองคิดตามที่อีกคนพูด

         ‘ขาดจินตนาการส่วนตัว’ ผมตอบกลับอีกคน

         ‘คนดูก็เหมือนกันครับ’

         ‘ยังไงเหรอ’

         ‘ตอนแรกที่นอร์สให้ไฟจินตนาการเองก็เหมือนกับคนที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่เขาสามารถจินตนาการมันได้ด้วยความ

รู้สึกและความนึกคิดส่วนตัว’

          ‘แต่พอนอร์สบอกหัวข้อไฟแต่จำกัดว่าไฟต้องทำตามนอร์สไฟรู้สึกขาดจินตนาการส่วนตัวก็เหมือนกับไฟนำหนังสือเล่มนั้น

มาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่มันก็กำหนดกรอบความคิดคนดูอยู่แล้ว แล้วนี่ไฟยังจะตีกรอบความคิดของคนดูเพิ่มเข้าไปอีกไฟคิดว่า

คนดูเขาจะมีความสุขกับการดูไหมล่ะครับ’ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมคิดได้ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะใช้ความรู้สึกของคนดู

มาสร้างภาพยนตร์ของตัวเองตามที่นอร์สบอก

         “ยังไงกูก็ไม่เห็นด้วยกับการจูบจริง กูรู้นะเว้ยไอ้ไฟว่ามึงออยากให้คนดูเขาได้จินตนาการหลังจากภาพนั้นจบแต่มึงใช้มุม

กล้องไม่ได้รึไง” ผมก็อธิบายให้ไอ้วีเข้าใจพร้อมทั้งยกเรื่องที่นอร์สบอกผมมาบอกมันแต่มันก็ยังรั้นท่าเดียว  มุมกล้องก็มุมกล้อง

ไม่จูบจริงก็ได้วะ  ผมสบถอย่างหัวเสีย

         “แล้วแต่มึงเลยมุมกล้องก็มุมกล้อง” ผมขี้เกียจเถียงกับมันกลัวว่างานจะไม่เสร็จก่อนจะบอกนักแสดงกับตากล้องว่าใช้มุม

กล้องแทนจากนั้นจึงเริ่มถ่ายทำต่อ ไอ้วีที่ผมตามใจที่มันขอก็ดูจะพอใจไม่น้อยถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าแต่สายตาเจ้า

เล่ห์ที่ตอนนี้กลับพราวระยับพออกพอใจจนชัดแจ้งทำให้ผมที่ลอบสังเกตก็อยากจะถามเจ้าตัวว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ จากนั้น

สายตาผมก็โฟกัสไปที่จุดๆหนึ่งในหน้าจอมอนิเตอร์ก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เพื่อนตัวดีค้านการจูบจริง!!


                         
         “เป็นยังไงบ้างนอร์ส” ผมเดินเข้ามาดูอาการคนป่วยที่กำลังกระพริบตาปริบๆปรับโฟกัสให้ชัดก่อนเอ่ยตอบผมด้วยเสียง

แหบพร่า

         “ก็ดีขึ้นนิดหนึ่งน่ะครับ” นอร์สตอบก่อนจะพยุงตัวเองให้ขึ้นนั่งผมจึงเข้าไปช่วยพยุง

           นอร์สเริ่มไม่สบายเมื่อสองสามวันก่อนทำให้วันนี้ไม่ได้ไปดูการถ่ายทำเพราะถูกผมไล่มานอนพักเพราะดูจากสภาพ

เจ้าตัวที่เป็นอยู่ตอนนี้เหมาะที่จะนอนพักเอาแรงเสียมากกว่า หลังจากที่ฉากสุดท้ายถ่ายทำสำเร็จภายในสองเทคก็พาเอาผมยิ้ม

หน้าบานที่จะได้พักรวมถึงทีมงานและนักแสดงด้วย ผมจึงวานให้พี่เม่นที่แกค่อนข้างจะเจนจัดเรื่องของสถานที่ช่วยหาสถานที่จัด

เลี้ยงปิดกล้องเรื่องนี้แบบเล็กๆพอ จากนั้นจึงให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนตามสบายผมจึงได้มาดูแลคนป่วยที่นอนซมอยู่ในห้อง

         “เดี๋ยวไฟไปดูของกินมาให้นอร์สกินดีกว่าจะได้ทานยาแล้วพักผ่อน” ผมบอกก่อนยิ้มให้อีกคนแล้วก็หายออกไปด้านนอก

เผื่อเจอร้านอาหารใกล้ๆที่พักจะได้เอามาให้คนป่วยทาน

           ร้านอาหารที่ผมไปซื้อของกินมาให้นอร์สโชคดีที่วันนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าที่ควรจึงทำให้ผมได้รายการเมนูอาหาร

อย่างรวดเร็ว อาหารสำหรับคนป่วยในมื้อนี้ผมไม่รู้ว่าจะให้ทานอะไรดีเพราะไม่ค่อยจะสัดทัดเรื่องของอาหารอิตาลีเท่าที่ควรจึง

ซื้อ Pasta Primavera อาหารมังสวิรัติที่ขึ้นชื่อของที่นี้ด้วยเห็นว่าเป็นอาหารที่นิยมทานกันในฤดูใบไม้ผลิเพราะพืชผักเหล่านี้มัก

ผลิตดอกออกผลกันในหน้านี้  แล้วยังมี Shrimp fra diavolo อาหารที่มีรถชาติเผ็ดจัดจ้านสไตล์ Devil เผื่อคนป่วยที่ทานเข้าไป

แล้วรสชาติความเผ็ดร้อนจะช่วยให้หายไข้เร็วขึ้น

         “ไฟกลับมาแล้วนอร์ส” ผมตะโกนบอกอีกคนที่อยู่ด้านในห้องก่อนจะเปิดประตูออกมาพบกับความเงียบสงบ

               สงสัยจะหลับแฮะ  ผมค่อยๆเดินเอาอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะก่อนจะมาดูอีกคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงนอน

         “นอร์สเวลาหลับนี่ก็ยังดูดีเนอะ” ผมเปรยออกมาเบาๆพร้อมกับขยับหน้าตัวเองเข้าไปใกล้เพื่อแอบสำรวจโครงหน้าของอีก

ฝ่าย

           ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาคมโตที่ตอนนี้กำลังหลับพริ้มพร้อมกับแพขนตายาววางเรียงรายอยู่รายรอบ ดวงตาคู่นี้ที่เมื่อ

ลืมตาตื่นขึ้นแล้วหากมีผู้ใดเผลอสบเข้าคงยากจะถอนตัว เหมือนเช่นเราตอนนี้ไงไฟที่เผลอใผลรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น จมูก

โด่งเป็นสันที่ดูเจ้าตัวคงจะมีเค้าโครงมาทางชาติตะวันตกจากเหล่าญาติพี่น้อง ริมฝีปากบางที่มักมีรอยยิ้มส่งให้กับเราตลอดเวลา

หรือแม้กระทั่งผู้อื่น นึกถึงตรงนี้ทีไรผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมเราต้องยกมือมาสัมผัสที่ริมฝีปากของตัวเองด้วยทั้งๆที่เรื่องราว

มันก็ผ่านมานาน อาจจะเป็นเพราะสัมผัสนั้นถูกมอบโดยคนตรงหน้าก็เป็นได้

         “เฮ้อ!!นายมันคนนิสัยไม่ดีเลยนะนอร์สที่ชอบทำให้คนอื่นหลงรักตัวเองอยู่เรื่อย” ผมว่าพลางบีบจมูกอีกคนด้วยความมัน

เขี้ยวก่อนที่จะผละออกมาเพื่อไปจัดเตรียมอาหารให้คนที่กำลังนอนหลับฝันหวานเมื่อตื่นขึ้นมาจะได้พร้อมทานทันที

         “อ๊ะ” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ลุกออกไปคนที่คิดว่านอนหลับอยู่กลับรวบเอวผมลงไปนอนซบอกแกร่ง ดิ้นเท่าไรเจ้าตัวก็ไม่ยอม

ปล่อยและนั่นจึงทำให้ผมต้องร้องห้ามอีกฝ่าย

         “ทำบ้าอะไรของนอร์สเนี่ย ปล่อยไฟนะ” ผมว่าแต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากอ้อมแขนอบอุ่นนี้ ถึงแม้จะ

รู้สึกดีก็เถอะที่ถูกอีกฝ่ายกอด แต่มันก็อดที่จะไม่เขินอายก็คงไม่ได้

         “อืมม” อีกคนที่ไม่ยอมตอบแถมตอนนี้ก็รัดอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ผมที่คิดว่าดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์จึงยอมอยู่เฉยๆเพื่อเก็บ

แรงไว้คุยกับเจ้าตัวดีกว่า

         “นอร์สไฟอึดอัด” ผมพยายามบอกอีกฝ่าย

         “แต่นอร์สไม่สบาย นอร์สหนาว นอร์สอยากได้ความอบอุ่น” คนที่กอดผมตอบกลับมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ฟังดู..เอ่อ..ออด

อ้อน??

         “นอร์สก็ปล่อยไฟก่อนสิไฟจะได้ห่มผ้าให้นอร์สไง” ผมอ้าง

         “ไฟใจร้ายจัง” น้ำเสียงน้อยใจถูกอีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมาทำให้ผมหน้าสลดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตัวเองไปใจ

ร้ายใส่นอร์สตอนไหน

         “ไฟไปใจร้ายใส่นอร์สตอนไหนไม่ทราบ” ผมถามออกไป

         “ก็ตอนนี้ไง นอร์สไม่สบาย นอร์สอยากได้ความอบอุ่นจากไฟ....จากคนที่นอร์สรัก” ครับคำเดียวเท่านั้นจบเลย ตอนนี้ตัว

ผมเหมือนถูกสตาร์ฟเอาไว้ยังไงยังงั้น ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองคนที่พูดเผื่อนอร์สจะพูดอะไรมั่วซั่วเพราะฤทธิ์จากพิษไข้ แต่ก็

ต้องปะทะเข้ากับดวงตาของอีกฝ่ายที่มองสบก่อนอยู่แล้ว แววตาที่จริงจังไร้ความล้อเล่นเหมือนเช่นที่เคยเป็นยิ่งทำให้สามารถ

เรียกไอร้อนให้ขั้นมาท่วมใบหน้ากับริ้วแดงๆที่เริ่มมีเล็กน้อยบริเวณใบหน้านวลเนียน

           เหมือนแรงดึงดูดของโลกจะทำงานมากเกินไปหรืออะไรยังไงไม่ทราบได้เพราะที่รู้ๆตอนนี้ใบหน้าของนอร์สที่ค่อยๆ

โน้มต่ำใกล้กับใบหน้าของผมจนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจร้อนๆที่รินรดอยู่บนใบหน้าของตัวเอง ริมฝีปากที่ห่างกันแค่เซนเดียวใน

ตอนแรกกลับไร้ซึ่งช่องว่างที่แม้ธาตุอากาศก็ไม่สามารถพาดผ่านได้ ผมค่อยๆหลับตาลงซึมซับกับความรู้สึกใหม่ๆที่ค่อยๆก่อตัว

ขึ้นช้าๆ   ไม่รุนแรงแต่เร้าอารมณ์....  สามารถสร้างความวาบหวามในอารมณ์ได้อย่างดี สติสัมปชัญญะที่เคยมีก่อนหน้านี้กลับ

ค่อยๆจางหายไป แม้นั่นจะเป็นเพียงแค่สัมผัสจากรสจูบเท่านั้น......

         “เอ่อ..ขอโทษ” ผมที่ตั้งสติได้เมื่อมีมือร้อนๆของอีกฝ่ายค่อยๆลูบไล้บริเวณแผ่นหลังภายใต้สาบเสื้อก่อนจะลูบวนมาบริเวณ

หน้าท้อง จากนั้นจึงผลักอีกฝ่ายออกแต่อีกคนก็ยังคงกอดเอวผมแน่นไม่ปล่อย ผมที่ก้มหน้าลงเพื่อเก็บความแดงซ่านบริเวณใบ

หน้าก่อนจะออกแรงผลักอีกฝ่ายเบาๆซึ่งครั้งนี้กลับให้ความร่วมมือ ผมจึงหลุดออกจากพันธการแกร่งนั่นก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ

เพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจที่ดังไม่หยุดหย่อน

           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
            ผมที่ขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำก็ค่อยๆยื่นมือออกไปสัมผัสอกด้านซ้ายที่เจ้าก้อนเนื้อมีชีวิตกำลังเล่นงานผมอยู่

                 เสียงดังจัง  อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเพราะมันคงมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์เมื่อครู่ คิดถึงแล้วก็ชวนให้

วาบหวามชอบกล

         “เกือบไปแล้วไงไอ้ไฟ” ผมที่บอกตัวเองก่อนจะเปิดน้ำจากก๊อกเพื่อล้างหน้าลบความร้อนที่เห่อขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

หย่อนและหลังจากปรับตัวเองให้กับมาเป็นปกติได้เหมือนเคยจึงค่อยๆแง้มประตูห้องน้ำออกจึงเห็นอีกคนที่ตอนแรกนอนอยู่บน

เตียงกลับลุกขึ้นนั่งยีหัวตัวเองจนเสียทรงพร้อมกับสบถอะไรบางอย่างเพื่อระบายความหงุดหงิดที่ตัวเองมี ผมมองภาพนั้นด้วย

รอยยิ้ม

    เจ้าชายน้ำแข็งอย่างนอร์สเนี่ยนะที่จะมีโมเมนต์แบบหลุดๆกับเขาด้วย!?

           ผมจึงปิดประตูที่แง้มออกไปเมื่อครู่ก่อนจะปรับสีหน้าท่าทางให้ดูปกติก่อนจะเปิดประตูออกไปอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้า

กับอีกคน แต่พอเปิดออกไปมันก็ทำให้ผมปิดเข้ามาใหม่อย่างนี้อยู่หลายหนจนไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้อีกคนไม่ได้อีกคนอยู่ที่

เตียงแล้ว

         “เอาวะไอ้ไฟ เป็นไงก็เป็นกัน กล้าๆหน่อย” ผมบอกกับตัวเองก่อนจะเปิดประตูออกไปแต่ก็ดันเจอกับอีกคนที่ทำให้ความ

กล้าของผมหายหดไปแทน

      “เอ่อ....”
 
         “นอร์สเห็นไฟไม่ออกมาก็เลยกลัวว่าจะเป็นอะไรไป แล้วนี่ไฟโอเคไหม” ไม่!! ผมอยากจะตอบคำๆนี้ให้อีกคนได้ยินดังๆ

เสียจริงๆ จะให้ไม่เป็นไรได้ไงก็ตัวเองเล่นมาทำแบบนั้นกับคนอื่น แถมตอนนี้ยังมีหน้ามายืนถามทำหน้าสลอนอีกต่างหาก

         “เอ่อ..สบายดี” แต่ถ้าตอบแบบนี้มันจะดีกว่า

         “นอร์สหิวแล้วอ่ะ”

         “อืม งั้นไฟไปเอาของกินมาให้เลยนะ” ผมรีบหาวิธีปลีกตัวเองออกมา

           ผมจัดของกินที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ให้อีกคนนั่งทานส่วนผมก็นั่งมองอีกคนทานอย่างมีความสุข

         “หน้านอร์สมีอะไรเหรอ” นอร์สที่เห็นผมนั่งจ้องหน้าตัวเองไม่ละสายตาก็ยกมือไม้ขึ้นมาปัดป่ายไปทั่วใบหน้าเผื่อจะเจอกับ

ความผิดปกติที่ทำให้ผมมอง ผมก็ยิ่งยิ้มให้กับภาพตรงหน้าที่นานๆทีจะได้เห็นโมเมนต์เด็กๆและหลุดๆของอีกฝ่ายที่มักชอบทำ

ให้ใจผมเต้นแรงอยู่ตลอด

             เฮ้อ!!ไอ้ไฟเอ้ยยยไม่เข็ดสักทีนะมึง

         “หน้านอร์สไม่ได้มีอะไรติดอยู่หรอกแต่ที่ไฟมองนอร์สเพราะเห็นว่านอร์สดูกินแบบเด็กๆ....น่ารักดี” ผมว่าออกไปตามตรง

ก่อนจะส่งยิ้มจริงใจให้อีกฝ่าย

         “แล้วรักปะล่ะ” แล้วผมก็เพิ่งจะสำเหนียกตัวเองได้ว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่ ถ้าเรายังไม่ตายก็ไม่ควรพูดมัน

         “แล้วคิดว่าไงล่ะ”

         “ไม่รู้สิก็คงต้องแล้วแต่ไฟ”

         “แล้วถ้าไฟบอกไม่ล่ะ” ผมลองแหย่อีกฝ่ายดู

         “นอร์สก็คงต้องทำใจสักระยะเพราะนอร์สรู้ว่านอร์สอยู่โดยขาดไฟไม่ได้” แหวะ เลี่ยน! แต่ชอบนะ ผมพยายามกลั้นยิ้มก่อน

จะพูดกับอีกคนต่อ

         “แล้วถ้าไฟบอกว่า...รักล่ะ” ผมลองเชิงถาม

         “นอร์สก็จะได้เดินหน้ารุกฆาตเต็มตัวไงครับ!!!”




                     
         “นอร์สไม่ต้องรัดแน่นขนาดนั้นก็ได้มั้ง ไฟอึดอัด” ผมว่าใส่อีกฝ่าย

         “ก็นอร์สหนาวเป็นโรคขาดความอบอุ่นก็ต้องกอดไฟแน่นๆไง” แถได้อีกนะนอร์ส

         “สงสัยกับคนอื่นก็คงจะพูดแบบนี้ด้วยล่ะมั้ง” ผมว่าเข้าให้

         “ไม่สักหน่อย ไฟถือว่าเป็นคนแรกเลยนะที่นอร์สพูดจาเลี่ยนๆแบบนี้” สงสัยเจ้าตัวก็คงจะรู้ตัวเองล่ะมั้ง แล้วไอ้ที่ผ่านๆมาคง

จะยังคิดไม่ได้

         “ไฟไม่เชื่อหรอก”

         “จริงๆนะ”

         “แต่ก็นอนกอดคนอื่นแบบนี้ทุกคนล่ะสิ” ผมอดที่จะคิดไม่ได้ว่าจะมีกี่คนกันนะที่ได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดจากคนๆนี้ คิดแล้ว

ก็อิจฉา

         “นอร์สไม่ปฏิเสธนะที่นอร์สก็กอดคนอื่นแต่ถ้าทำแบบนี้....คนพิเศษเท่านั้นที่นอร์สจะทำด้วย” นอร์สกระซิบบอกผมที่ข้างหู

ก่อนที่มือเจ้าตัวจะลูบไล้แผ่นหลังที่ยังมีคงมีเสื้อเชิร์ตตัวเก่งของผมอยู่ก่อนจะไล้ลงต่ำเรื่อยๆก่อนที่มันจะไปหยุดที่สะโพกกลมมน

โชคดีที่ผมบอกอีกฝ่ายให้หยุดไว้ได้ทันก่อนหันไปมองตาเขียวซึ่งก็ได้รับเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอของอีกคนมาแทน ก่อนจะสั่ง

ให้เจ้าตัวนอนพักซะทั้งๆที่ยังคงมีผมอยู่ในอ้อมกอด

           หลังจากที่ให้นอร์สทานข้าวก่อนจะทานยาเสร็จเจ้าตัวก็อ้อนว่ารู้สึกหนาวแอร์ที่พักเย็นเกินไป พอผมบอกจะปรับให้ก็

บอกไม่ต้องมันอึดอัด ซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่เข้าใจ จากนั้นอีกฝ่ายจึงเสนอมาว่ากอดผมแล้วอุ่นดีตอนแรกผมก็คงยังปฏิเสธแต่สุด

ท้ายแล้วผมเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่นนี้ได้ยังไงก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าไปตอบตกลงตอนไหนสุดท้ายจึงได้ปล่อยเลยตามเลย แต่ก็

ยังไม่ลืมที่จะกำชับบางเรื่องที่ต้องห้ามกับอีกคน ฝ่ายนั้นก็พยักหน้ารับรู้ แต่นั่นก็ยังไม่วายที่เจ้าตัวจะหาเศษหาเลย ตอดนิดตอด

หน่อยกับผม คนอะไรมือไวอย่างกับปลาไหล!?






                     
         “เอาล่ะครับทุกคนเช็คข้าวของและความเรียบร้อยให้ดีนะครับเราจะเดินทางกลับกันแล้วนะ” ผมบอกพี่ๆทีมงานและทีมนัก

แสดงทุกคนให้ตรวจดูสัมภาระของตัวเองว่ายังอยู่ครบดีไหมก่อนจะ check out ออกจากโรงแรมในอิตาลีก่อนเดินทางกลับ

ประเทศไทย

         “ถ้าทุกคนเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางได้เลยครับ” ผมหันไปบอกกับทุกคนก่อนที่นอร์สจะเดินมาช่วยถือกระเป๋าผมออก

ไป

           การเดินทางกลับครั้งนี้มันคงจะทำให้ผมคิดถึงกรุงโรมมากแน่ๆเพราะอะไรหลายๆอย่างที่ก่อตัวขึ้นจากที่นี่ คนที่เดิน

ทางกลับก่อนก็เห็นจะมีแต่พี่ลมที่ติดงานถ่ายละครที่กรุงเทพฯผมจึงให้ไอ้วีไปเป็นเพื่อนแต่กว่าเจ้าตัวจะยอมก็ต้องกล่อมอยู่นาน

สองนานเพราะผมกลัวเหลือเกินว่าพี่แกจะเป็นอะไรไปยิ่งเจอสภาพเมื่อคราวก่อนผมยิ่งอดที่จะทิ้งพี่ลมให้ไปไหนมาไหนคนเดียว

ไม่ได้โชคดีหน่อยที่ไอ้วีมันอาสาจะดูแลพี่ลมให้

         “จะกลับแล้วเหรอคะนอร์ส น้องไฟ” ผมกำลังคิดถึงอยู่พอดี คิดถึงยังไม่ทันขาดช่วงเสียงพี่แกก็เรียกถาม   ตายยากจริงๆ..

         “ครับ” เป็นนอร์สที่ตอบแทนผม ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

         “เดี๋ยวค่อยกลับสิคะน้องไฟอยู่รอพบคนรู้จักอีกสักเดี๋ยวก่อนสิคะ”

         “ใครครับ” ผมถามแต่สาวเจ้ากลับไม่ตอบกลับมองไปทางด้านหลังผมแทน ผมจึงหันมองแล้วก็กระจ่างชัดทันทีว่าคนที่ผม


รู้จักเป็นใคร

         “พี่ต้าร์!!” พร้อมกับการ์ดแต่งงานสีลูกกวาดที่พี่เคธี่หยิบออกจากมือของพี่ต้าร์แล้วยื่นให้ผม    เคธีย่า & ทิวากร!!!

















อ่าฮ่าาา ตอนนี้เรื่องกำลังเข้มข้นเลย อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันด้วยน้าาาาาาาาาาาา ไว้เจอกันในตอนที่ 7-9 จร้าาา


ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ไฟจะต้องเต้นเร่าๆไปกับเกมส์ของเธออีกแล้วล่ะค่ะเคธี่ เพราะตอนนี้ไฟเขากำลังปลูกต้นรักต้นใหม่กับนอร์สอยู่จ้า :laugh3: อีกอย่างอดีตก็คืออดีตป่ะ? อย่าพยายามรื้อฟื้นขึ้นมาให้ตัวเองดูแย่ลงเลยค่ะ เพราะว่ากว่าที่เธอจะได้ผู้ชายคนนั้นมาครอบครองก็ทำร้ายใจใครต่อใครเขาไว้เยอะไม่ใช่เหรอคะ? เฮ้อ~ สงสัยเสียจริ๊งว่าเรื่องแบบนี้เธอภูมิใจตรงไหนนัก o16

รอตอนหน้านะคะ ^^

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                    แผนการร้ายครั้งที่ 7 : เมื่อผมเห็นคุณ ผมตกหลุมรักคุณ คุณยิ้ม........เพราะคุณก็รู้

      โอ้!ทะเลแสนงาม...ฟ้าสีครามสดใส...มองเห็นเรือใบ...แล่นอยู่ในทะเล....

           เพลงนี้ช่างเข้ากับบรรยากาศตอนนี้ดีเสียเหลือเกินเพราะตอนนี้ทั้งผมและนอร์สเรากำลังจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่

ทะเลอันดามันสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศและที่สำคัญเพื่อไปเยี่ยมชมทะเลกระบี่อีกด้วย หลังจากที่ผมนำภาพยนตร์

เรื่องแรกที่ถ่ายทำเสร็จให้คุณสมศักดิ์ได้ดูก็ได้รับคำชื่นชมมาอย่างล้นหลามในเรื่องคุณภาพฝีมือการกำกับของผม มันช่างภูมิใจ

เสียนี่กระไร(?)แถมคุณสมศักดิ์ยังใจดีให้บัตรที่พักฟรีที่กระบี่มาให้ผมตั้งสองใบ โดยแต่ละใบพักฟรีได้สามคืนสี่วัน ผมจึงจะไป

ชวนพี่ลมแต่รายนั้นบอกไม่อยากเที่ยวอยากจะพัก ผมจึงไปชวนไอ้วีรายนั้นก็ตอบคล้ายๆพี่ลมอย่างกับว่านัดกันไว้อย่างนั้น

แหละ? เมื่อชวนสองคนนั้นไม่ได้ผมจึงตัดสินใจชวนน้องธีน่าไปแทนเพราะเห็นเจ้าตัวเคยเปรยๆไว้ว่าอยากไปเทียวหาดไร่เล

แต่เธอดันบอกว่าให้ผมชวนนอร์สไปจะได้ตรงตามแผนที่เธอวางเอาไว้เพราะหลังจากกลับมาจากโรมได้ไม่กี่วันผมก็โทรปรึกษา

น้องธีน่าเรื่องของนอร์สพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โน่นระหว่างผมกับนอร์สให้เธอฟัง มีบ้างที่บางเรื่องผมก็ไม่ได้เล่าให้เธอ

ฟัง เธอจึงสรุปใจความให้ผมสั้นๆว่า

               พี่ไฟชอบพี่นอร์ส! พี่นอร์สก็ชอบพี่ไฟ!ค่ะ

   เธอจึงจะให้ผมรีบดำเนินแผนต่อไปของเธอคือการออกเดท!แล้วยังเป็นการพัฒนาขั้นความสำคัญของผมกับนอร์สเข้าไป

อีก ผมจึงลองโทรชวนนอร์สตามที่น้องธีน่าบอกในตอนแรกเจ้าตัวก็ปฏิเสธอยู่เพราะตอนนั้นติดช่วงสอบผมจึงบอกเลื่อนวันก็ได้

เพราะบัตรนี้ใช้ได้ถึงสิ้นปีนี้เจ้าตัวจึงตกลงและใช้วันนี้เป็นวันเดินทาง

         “ที่พักอยู่แถวไหนเหรอครับไฟ” นอร์สหันมาถามผมหลังจากที่ผมละจากหน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งคุยงานเรื่องสถานที่ถ่ายทำ

เรื่องต่อไปกับพี่เม่น

         “อยู่แถวๆหาดไร่เลอ่ะ” ผมหยิบบัตรขึ้นมาอ่านก่อนจะบอกอีกคนไป นอร์สจึงหันไปบอกคนขับรถว่าให้ไปส่งตัวเองที่อ่าว

นางเพราะสะดวกที่สุดในการเดินทางไปหาดไร่เล

           วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าไปเหยียบในรั้วบ้านของนอร์สซึ่งคงไม่ต้องให้ผมบรรยายสภาพบ้านเพราะมันช่างใหญ่

โตเหลือเกิน แต่นอร์สกลับบอกว่าตัวเองไม่ชอบบ้านหลังใหญ่ที่มีคนอยู่น้อยเพรามันให้ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว แต่ชอบอยู่

บ้านหลังเล็กๆกับคนรักมากว่าถึงแม้บ้านจะเล็กแต่มันก็ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ดูอบอุ่น ซึ่งนั่นผมก็เห็นด้วย จากนั้นคนขับรถที่บ้าน

ของนอร์สก็บอกว่าจะขับรถไปส่งผมกับนอร์สจึงทำให้ตอนนี้ผมกับนอร์สเรานั่งคู่กันที่เบาะด้านหลังรถ

         “ไฟหิวรึเปล่าครับ” นอร์สหันมาถามผมเพราะผมยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า

         “ไม่อ่ะ” พร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธแต่เสียงท้องเจ้ากรรมที่ดันร้องออกมาขัดกับคำตอบก็พาเอาผมเขินแทบมุดดิน ยิ่งหันไป

เห็นพี่คนขับอมยิ้มยิ่งทำให้เขินเข้าไปอีก

         “หิวก็บอกว่าหิวสิครับ” นอร์สบอกผมยิ้มๆก่อนจะไปสั่งให้คนขับรถแวะปั๊มเพื่อไปหาอะไรทาน หลังจากที่ลงจากรถมาได้ผม

ก็รีบตรงดิ่งเข้าเซเว่นในทันที เลือกขนมปังได้ไม่กี่อย่างก่อนจะเดินไปกดกาแฟ ส่วนอีกคนที่มาด้วยกันหายไปไหนก็ไม่รู้เพราะผม

รีบเข้ามาก่อนสงสัยเจ้าตัวคงจะหาอะไรทานในนี้ก็ได้ พอคิดเงินเสร็จออกมาดื่มกาแฟยืนรอนอร์สข้างนอก แต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าอีก

คนจะออกมาสักทีผมเลยตัดสินใจว่าจะเดินไปดูที่รถเผื่อนอร์สคงจะไปคอยผมก่อนก็ได้

         “มาแล้วเหรอครับ ได้อะไรมาบ้าง” พอมาถึงรถคนที่คิดว่าอยู่เซเว่นก็ดันอยู่ในรถซะได้ ดีนะที่ผมตัดสินใจเดินมาดู พอผม

ขึ้นรถเสร็จเราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ

         “ก็มีแยมโรล เค้กเนยสดแล้วก็มินิไส้กรอก” ผมบอกอีกฝ่ายที่พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหยิบมินิไส้กรอกขึ้นมากิน ส่วนตัวผมก็

นั่งจิบกาแฟกับแยมโรลพร้อมกับมองวิวสองข้างทางของถนน

               บรรยากาศดีจริงๆ  ผมที่มองบรรยากาศด้านนอกรถที่นานๆตัวเองจะได้มองอย่างจริงจังพร้อมกับคิดอะไรเพลินๆอยู่

นั้นก็มีมือของใครก็ไม่รู้มาเช็ดที่ริมฝีปากของผมแต่พอผมหันกลับไปก็รู้ว่าใครเป็นคนเช็ดมัน

         “นอร์สเห็นว่ามันเลอะอยู่ก็เลยเช็ดออกให้ ไม่ว่ากันนะ” นอร์สที่เข้าใจว่าผมอาจจะโกรธที่ทำให้ผมต้องละสายตาจากด้าน

นอกรถมาด้านในรถแทน

         “ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ” ผมกล่าวขอบคุณอีกคนยิ้มๆ

         “ไฟนี่กินเหมือนเด็กๆเลยนะ เลอะมุมปากด้วย” ผมยู่หน้าใส่อีกคนที่เพิ่งพูดจบไป

         “ทำไม นอร์สมีไรงั้นเหรอ” ผมที่ทำหน้าเหวี่ยงๆใส่ว่าอีกคน แต่อีกคนกลับหัวเราะชอบใจแทนแถมยังก้มลงมากระซิบที่หู

ผมอีกต่างหาก

      “ก็ไฟอยากให้นอร์สจูบไม่ใช่เหรอ” ผมที่ฟังจบก็รีบเอามือกุมหูตัวเองพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

         “นอร์สพูดอะไร ใครอยากให้เป็นแบบนั้นเล่า!!”

         “ก็นอร์สเห็นกาแฟมันเลอะมุมปากคิดว่าไฟอยากให้นอร์สจูบเช็ดให้แบบในหนังเกาหลีอะไรแบบนั้นไง”

         “มั่วแล้ว” ผมว่าเข้าให้ แต่ก็คิดขึ้นได้ถึงแผนที่จะดำเนินต่อจากนี้

         “แล้วถ้าไฟอยากให้มันเป็นแบบนั้นล่ะ” ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดประโยคนั้นอย่างจริงจังไม่ได้มีทีท่าล้อเล่นแต่อย่างใด

แต่อีกคนกลับนิ่งงันเสียอย่างนั้น ผมคิดว่าตัวเองคงจะรุกมากไปเลยจะบอกอีกคนว่าผมพูดเล่นแต่ในจังหวะที่ผมจะเอ่ยปากพูดคน

ที่คิดว่านิ่งเฉยในตอนแรกกลับดึงผมเข้าไปจูบเสียอย่างนั้น ผมที่ตกใจกับการกระทำของนอร์สที่ชอบทำให้ผมตั้งรับไม่ได้สักครั้ง

ก็ไม่ได้ขัดขืนใดๆทั้งสิ้นเพราะสัมผัสที่อ่อนโยนเหมือนในทุกๆครั้งที่ผมมักจะได้รับจากคนตรงหน้าเสมอ

         “นอร์สก็จะจัดให้ไง” ผมที่เริ่มท้วงอีกคนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะขาดอากาศหายใจ นอร์สจึงยอมผละออกจากผมให้ผมได้

นั่งหอบหายใจเพื่อโกยอากาศเข้ปอดเจ้าตัวจึงตอบคำถามที่ผมพูดค้างไว้เมื่อครู่

         ผมที่ได้แต่นั่งมองอีกคนด้วยสายตาคาดโทษ โถ่!ไอ้เราก็คิดว่าจะโกรธหรือไม่พอใจที่ไหนได้ เจ้าเล่ห์จริงๆ

         “แล้วทำไมนอร์สไม่บอกไฟก่อนล่ะ” ผมที่ตอนนี้กลับมาเป็นปกตินั่งมองหน้าหาเรื่องอีกคนอยู่

         “ก็นอร์สแค่พูดเล่นไงครับ นอร์สไม่คิดว่าไฟจะพูดจริงซะหน่อย” หนอย!นอร์สนะนอร์สก็ปล่อยให้เราคิดเข้าข้างตัวเองคน

เดียว

         “พูดเล่น ก็บอกสิว่าพูดเล่นแล้วมาทำจริงทำไม” ผมเริ่มไม่พอใจ

         “โอเคครับนอร์สขอโทษ ตอนแรกก็ว่าจะบอกอยู่หรอกแต่ไฟพูดจริงจังขนาดนั้นนอร์สก็กลัวไฟจะเสียใจถ้าไม่ทำแบบนั้น

ไป” โอ๊ย!ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อยนอร์สเลยล่ะนั่น?!

         “ก็ใครจะไปรู้ ยังไงๆนอร์สก็ผิดไฟโกรธนอร์สแล้วนะ” เชอะ!! ผมสะบัดหน้าใส่อีกคน แต่แล้วสายตาก็ดันเหลือบไปเห็น

บุคคลสามที่มาด้วยกันนอกจากผมกับนอร์ส อีกคนพยายามที่จะกลั้นยิ้มเอาไว้แล้วก็ยังไม่มองเข้ามาภายในรถมองแต่ทางข้าง

หน้าอีกต่างหาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องเห็นภาพเหตุการณ์ระหว่างผมกับนอร์สเมื่อครู่นี้แน่ๆ

                    ตายแล้วไอ้ไฟมึงลืมคนขับรถ!!




               
         “ไฟครับตื่นได้แล้วนะครับเรามาถึงแล้วนะ” อืม เสียงใครงุ้งงิ้งๆอยู่ที่ข้างหูผมนะ ผมจึงขยับตัวพลิกหลบหนีจากเสียงชวน

ตื่นจากฝันหวานนั่น แต่เอ๊ะ!ทำไมหมอนผมมันถึงแข็งกว่าปกติล่ะ

         “ไฟครับถึงแล้วนะ” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงค่อยๆกระพริบตาตื่นขึ้นมาดูว่าเสียงนั่นคืออะไร

         “นอร์ส” ผมรียกชื่ออีกคนด้วยความมึนๆเบลอๆเพราะเพิ่งจะตื่นก่อนจะขยี้ตาเอาซากน้ำตาที่แห้งเกรอะกรังติดอยู่ที่หัวตา

ออก

         “ถึงแล้วครับ” นอร์สบอกผมอีกครั้ง ผมที่พยักหน้ารับรู้ก็ค่อยๆลุกออกจากรถตามอีกฝ่ายไป แต่อีกคนก็ยื่นมือออกมารับผม

 ผมจึงจับมือนั่นอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

         “ถึงนานแล้วเหรอ” ผมถาม

         “ไม่นานเท่าไรหรอกครับ” นอร์สหันมาบอกผมก่อนจะไปคุยกับคนขับให้กลับไปก่อนพอพวกเราจะกลับค่อยให้เขามารับเรา

ที่นี่

         “เที่ยวกันให้สนุกนะครับคุณนอร์ส คุณไฟ” พี่คนขับรถบอกก่อนจะเดินจากไป ผมจึงพยักหน้ารับเล็กน้อย

           ตอนนี้ผมกับนอร์สเราอยู่ที่อ่าวนางเพื่อที่จะเดินทางไปหาดไร่เลซึ่งเป็นที่พักของพวกเราทั้งสองคน โดยเราจะนั่งเรือ

หางยาวไปหาดไร่เลกันจากที่อ่าวนางนี่เพราะมันจะทำให้เราสะดวกสบายที่สุดแล้วที่สำคัญนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็นิยมลงเรือกัน

ที่นี่ ทำให้ไม่ต้องใช้เวลาในการเดินทางมากนัก โดยเฉลี่ยประมาณสิบห้านาทีเท่านั้นเอง

         “ระวังนะครับไฟ” นอร์สบอกผมขณะที่เรากำลังลงเรือเมื่อถึงที่หมาย


        “ขอบคุณมาก” จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ที่พักริมชายหาดกัน

           ที่พักที่ผมได้ฟรีมาจากคุณสมศักดิ์เป็นบ้านพักตากอากาศที่ค่อนข้างจะหรูหราระดับเกือบๆจะห้าดาวแถมเมื่อดูจาก

สภาพการแล้วราคาคงจะไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเดินไปขอกุญแจบ้านจากเคาน์เตอร์ด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าไปพักผ่อนที่บ้าน ที่นี่

เขาทำบ้านพักตากอากาศให้ได้บรรยากาศเหมือนเราไปพักที่โรงแรมหรือรีสอร์ทหรูๆเพียงแต่ตัวที่ให้เราพักนั้นคือบ้านเป็นหลังๆ

         “ทำไมเขาถึงไม่ทำเตียงคู่นะ” เมื่อถึงห้องผมก็เดินสำรวจบ้านซึ่งก็ถือว่าบรรยากาศรอบๆใช้ได้เลยทีเดียวที่สำคัญเมื่อยืน

อยู่ตรงริมระเบียงของบ้านสามารถมองเห็นวิวชายทะเลได้ชัดแจ๋วอย่าบอกใคร จากนั้นผมก็สำรวจห้องน้ำก่อนจะเลยมาดูห้องนอน

จึงได้รู้ว่าเตียงที่ต้องใช้นอนตลอดสามคืนสี่วันนั้นเป็นเจ้าเตียงเดี่ยวขนาดคิงไซด์นี่

         “เป็นอะไรไปครับไฟ ไม่ชอบที่นี่เหรอ” นอร์สที่มาถึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนจะเลยไปดูสวนหลังบ้านก่อนที่จะเดินเข้ามา

สมทบกับผมด้านในเพื่อช่วยจัดของให้เข้าที่เห็นผมยืนเฉยก็กลัวจะไม่ชอบใจสถานที่นี้

         “เปล่าหรอกเพียงแต่ว่า..เอ่อ...” ผมพูดพลางเหลือบมองเจ้าเตียงตัวปัญหาที่มันมักจะชอบสร้างปัญหาให้ผมกับนอร์สอยู่

เรื่อยๆเมื่อเราต้องพักห้องเดียวกัน นอร์สซึ่งพอจะรู้ว่าผมพูดอะไรเจ้าตัวจึงพูดขึ้นมาก่อน

         “ไฟยังไม่ชินอีกเหรอครับ” นอร์สบอกกับผมยิ้มๆก่อนจะหยิบกระเป๋าที่อยู่หน้าบ้านเข้ามาเก็บด้านใน

                        ก็ใครมันจะไปชินลงกันเล่า!!



                 
           หลังจากที่ผมกับนอร์สเราช่วยกันจัดของเข้าที่เรียบร้อยต่างคนก็ต่างสลบไสลกันเป็นทิวแถวเพราะอาการเมื่อยล้าที่

ช่วยกันจัดของและก่อนหน้านั้นที่ต้องนั่งรถอีกไกลกว่าจะเดินทางมาถึงที่พักที่หาดไร่เลแห่งนี้ทำให้ทั้งผมและนอร์สเราต้องขอ

ชาร์จแบตตัวเองเพื่อเอาแรงด้วยการนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย

         “อืมมมม” ผมที่กำลังงัวเงียเพราะเพิ่งจะตื่นจากการนอนหลับพักผ่อนเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมานั่งขยี้หัวตัวเองให้มันฟูๆก่อนจะหัน

ไปหยิบโทรศัพท์เพื่อดูเวลาที่หัวเตียงว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเท่าไร

         “โห บ่ายสี่โมงแล้วเหรอเนี่ย” ผมที่กดเปิดโทรศัพท์เพื่อเช็คเวลาว่าในตอนนี้มันเป็นเวลาเท่าไร แต่ก็ต้องตกใจกับตัวเลขที่

ปรากฏอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ว่าทำไมเวลามันถึงเดินเร็วแบบนี้

         ผมหันไปมองคนที่ยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆที่ดูท่าว่าอีกนานเจ้าตัวนั้นคงจะตื่น ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนที่

จะปลุกอีกคนเพื่อไปเดินเล่นริมชายหาด

         “ไฟไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมกระซิบบอกอีกคนที่ข้างหูก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำ

           หลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเสื้อผ้าที่พร้อมเตรียมลุยสำหรับเดินชายหาดอย่างในค่ำคืนนี้อย่างเต็มที่ก็

ตรงเข้าไปปลุกอีกคนที่ยังไม่ยอมตื่นให้ตื่นเสียที

         “นอร์ส ตื่นเถอะนะไฟอยากไปดูพระอาทิตย์ตกดิน” ผมเขย่าแขนอีกคนที่ยังคงนอนหลับสนิท ผมจึงออกแรงเขย่าขึ้นเรื่อยๆ

จนอีกคนเริ่มรู้สึกตัวตื่น

         “ครับๆได้ครับ” นอร์สงัวเงียตอบผมแต่ก็ยอมลุกไปอาบน้ำแต่โดยดี (ว่าที่)แฟนใครนะน่ารักจริงๆ  พอนอร์สเดินหายเข้าไป

ในห้องน้ำผมก็รีบสำรวจตนเองว่าตอนนี้ตัวผมเองพร้อมแล้วหรือยัง วันนี้ผมใส่เสื้อยืดขอวีสีขาวไม่หนาไม่บางมากนักกับกางเกง

ขาสั้นสีดำตัวเก่งแทบจะเรียกได้ว่าไปทะเลเมื่อไหร่กางเกงตัวนี้ไม่เคยจะพลาด พอสำรวจตัวเองจนพอใจแล้วก็เป็นจังหวะเดียว

กับที่อีกคนอาบน้ำแต่งตัวออกมาจากห้องน้ำเสร็จพอดี

           วันนี้นอร์สใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้วยเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อนกับกางเกงขาสี่ส่วนสีน้ำตาลอ่อนพร้อมกับผมที่เซ็ดออก

มาเรียบร้อย ผมที่เห็นนอร์สในตอนแรกคิดว่านายแบบจากหนังสือนิตยสารชื่อดังหรือไม่ก็ดาราฮอลลีวูดหรือยิ่งไปกว่านั้นอาจจะ

เป็นเจ้าชายที่ชอบอยู่ในนิยายรักน้ำเน่าที่สุดแสนจะดูดีหลุดออกมามีชีวิตในโลกนี้เสียอีก

         “มีไรเหรอครับไฟ” นอร์สถามผมที่ตอนนี้คงยืนอ้าปากพะงาบๆแทบจะเช็ดน้ำลายที่หกเลอะพื้นไม่ทัน?เลยรีบตอบออกไป

         “ไม่มีอะไรหรอกพอดีไฟคิดว่าวันนี้นอร์สแต่งตัวดูดีจัง” ผมตอบอีกคนตามความจริง นอร์สจึงส่งยิ้มมาให้ผมนั่นยิ่งทำให้ออ

ร่าความดูดีที่เจ้าตัวมีมันจนล้นหลามพุ่งทะลักออกมาแทบจะบังตาผมจนมองสิ่งรอบข้างอย่างอื่นแทบไม่เห็น

         “ถ้าไฟคิดว่านอร์สดูดีแบบนี้ไม่คิดจะหลงเสน่ห์นอร์สหน่อยเหรอ”

         “ไม่!!” ผมสวนอีกคนอย่างทันควัน เพียงแต่ผมยังต่อประโยคที่ตอบอีกคนไม่จบก็เท่านั้นเอง

         “ว้า!!แย่จัง” อีกคนทำหน้าเศร้าๆ

         “ไม่ปฏิเสธต่างหากล่ะ” พูดเสร็จจากนั้นผมก็รีบวิ่งออกจากบ้านไปและผมก็รู้หรอกน่าว่าคนที่อยู่ข้างในคงจะมีรอยยิ้ม

ประดับบนใบหน้าไม่น้อยเหมือนอย่างของผม แต่ผมก็อดที่จะเสียดายที่คงไม่ได้เห็นมันก็เพราะผมเล่นพูดออกไปแบบนั้นแล้วจะ

ทำไงได้

            เพราะยังไงซะ ผมก็คงไม่อยู่ให้อายอีกคนเล่นหรอก!!!!!



                     
           ผมที่รีบชิ่งหนีอีกคนออกมาเดินรับลมยามเย็นของชายหาดแถวๆบ้านพักก็อดที่จะชื่นชมอยู่ลึกๆถึงชายหาดแห่งนี้

ไม่ได้ว่าช่างเป็นชายหาดที่สวยและสะดุดตานักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมที่นี่เสียจริง น้ำทะเลที่ใสสะอาดเมื่อกระทบกับแสงยามเย็น

ของดวงอาทิตย์มันช่างเข้ากันอย่างกับกินไข่ต้มคู่กับอะไรก็อร่อยเหมือนที่เซเว่นโฆษณาเอาไว้จริงๆ?              
 
           ผมที่มัวแต่เหม่อมองความงดงามของธรรมชาติจนลืมไปว่ายังมีอีกคนที่ตามมาเพียงแต่อยู่ด้านหลัง แต่แล้วผมก็มา

รู้สึกตัวได้ว่ามีมือของใครก็ไม่รู้มาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง

         “อ๊ะ” ผมสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมองว่าเป็นใครจนเมื่อรู้ว่าเป็นนอร์สผมเลยดุอีกคนไปที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง

         “ทำอะไรของนอร์สเนี่ย”

         “ก็กอดไฟไง” คนที่กำลังกอดผมอยู่ก็ตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจแถมยังรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก

         “ปล่อยก่อนนอร์ส” ผมบอกคนที่กำลังกอดผมยืนดูพระอาทิตย์ที่ตั้งท่าพร้อมจะลาลับขอบฟ้าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

         “ปล่อยทำไมก็ไฟบอกนอร์สเองไม่ใช่เหรอครับว่าเราจะมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาดกัน” แต่มันต้องไม่ใช่ยืนกอดกัน

แบบนี้สิฟร้ะ!!

         “ก็ใช่ แต่นอร์สดูคนอื่นสิยืนกันอยู่เต็มชายหาดเลย” ตอนนี้ผู้คนที่กำลังรอดูพระอาทิตย์ตกดินก็เริ่มหันมามองนอร์สที่กำลัง

กอดผมอยู่

         “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยไม่ใช่เหรอครับก็แค่คนเต็มชายหาดกับคนมอง” นอร์สตอบผมออกมาอย่างคนไม่ยี่หระอะไรซึ่งนั่น

แหละที่มันทำให้ผมอาย

         “แต่ไฟเขินนี่” ผมอ้อมแอ้มตอบ อีกคนจึงยอมคลายอ้อมกอดออกจากตัวผมก่อนจะจับผมหันหน้าไปหาเจ้าตัว แต่ผมก็หัน

ไปมองไปทางอื่นไม่กล้าที่จะสบตานอร์สตรงๆเพราะด้วยอารมณ์เขินที่ยังคงมีอยู่

         “นอร์สว่าเราไปยืนดูพระอาทิตย์ตกดินที่อื่นดีกว่าเพราะตรงนี้

นอร์สว่ามันเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไร” ผมที่ฟังนอร์สพูดจนจบประโยคก็กำลังจะหันกลับไปถียงอีกคนแต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรดวง

ตาของผมก็ถูกปิดทับด้วยผ้าสีดำที่ตอนนี้กำลังมีนอร์สผูกปมผ้าอยู่ด้านหลัง

         “ทำอะไรของนอร์สเนี่ย!” ผมถามอีกคนทั้งๆที่ก็ยังคงงงๆกับการกระทำจากอีกฝ่าย

           นอร์สเป็นคนที่ชอบทำอะไรให้ผมแปลกใจอยู่เสมอ...

         “ค่อยๆเดินตามนอร์สมานะครับ” นอร์สไม่ตอบคำถามผมแต่ค่อยๆออกแรงดึงผมให้เดินตามตัวเองไปซึ่งผมก็ยอมตามอีก

คนไปแต่โดยดี

         “นอร์สจะพาไฟไปไหนเหรอ” ผมที่ถามคำถามเดิมกับอีกคนที่กำลังลากผมมาตั้งเมื่อครู่จนตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมหยุด

เดินจึงทำให้ผมอดถามอีกไม่ได้ว่านอร์สจะพาผมไปไหนกันแน่

         “นอร์สไม่อยากได้ยินคำถามจากไฟแต่นอร์สต้องการคำตอบจากไฟมากกว่า” ตอนนี้นอร์สหยุดเดินพร้อมกับแกะผ้าปิดตาที่

มันปิดตาผมในตอนแรกเอาไว้ออกพร้อมกับพูดประโยคเมื่อครู่กับผม ผมที่ดวงตาเป็นอิสระก็ลืมตัวถามคำถามอีกคนออกไป อีก

ฝ่ายจึงยื่นหน้ามาประกบกับริมฝีปากของผม ผมที่ตกใจในตอนแรกที่โดนอีกคนจู่โจมแบบไม่ได้ทันตั้งตัว แต่ไม่นานผมก็ค่อยๆ

โอนอ่อนผ่อนตามเกมชักนำที่มีอีกคนเป็นผู้คุมเกมส่วนผมก็ยอมเป็นผู้ตามเกมที่ดีให้กับอีกฝ่าย แต่การสัมผัสในครั้งนี้ช่างแตก

ต่างออกไปจากทุกครั้ง เพราะในครั้งนี้มันไม่ได้มีแค่บรรยากาศเป็นตัวพาไปหรืออะไรก็ตามที่เป็นตัวชักนำให้ดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์

นี้ แต่มันมาจากความรู้สึกหลากหลายที่ทั้งผมและนอร์สเป็นผู้ที่ค่อยๆสรรค์สร้างและปล่อยอารมณ์แบบนั้นให้ออกมาจึงเกิดเป็น

บรรยากาศแปลกๆรายล้อมอยู่รอบๆตัว มันมีทั้งความสับสน ความงุนงง ความตื่นเต้น ความวาบหวามและความรัก......... ที่มันไม่

ได้มาจากการปรุงแต่งหรือหนึ่งในแผนการของผมแม้แต่อย่างใด

         “นอร์ส” ผมครางเรียกชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบาอีกคนจึงโอบกอดผมก่อนจะบอกให้ผมหันไปมองดวงอาทิตย์ยามค่อยๆลาลับขอบ

ฟ้า ผมมองดูแสงสีส้มที่ว่าร้อนแรงของดวงอาทิตย์ แต่คงจะต้องแพ้อุณหภูมิบนใบหน้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆและรอยริ้วบางๆสีแดงสดที่

ค่อยๆเผยให้เห็นชัดขึ้นแล้วยังมีความรุ่มร้อนที่มันค่อยๆปะทุทั้งในตัวผมและนอร์สในเวลาแบบนี้ก็เป็นได้ ผมค่อยๆเอนศีรษะซบที่

อกกว้างของอีกคนที่กำลังโอบกอดผมไว้พร้อมๆกับยืนชมบรรยากาศที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน ผมอยากจะซึมซับบรรยากาศดีๆ

แบบนี้  อยากจะเก็บบรรยากาศแบบนี้เอาไว้นานๆ

บรรยากาศที่มีแค่ผมและนอร์ส

บรรยากาศที่มีแค่เราสองคนเท่านั้นพอ...............
       

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
             
         “อาหารอร่อยไหมครับ” นอร์สที่ไม่ยอมกินอะไรสักอย่างมีแต่ตักแต่ของกินอร่อยๆให้ผมกินอยู่เรื่อยๆซึ่งเจ้าตัวก็ถูกผมดุ

บ่อยๆแต่ก็ไม่เคยเชื่อกันเลยสักครั้ง

         “เดี๋ยวนอร์สก็หิวหรอกนะถ้าไม่กินอ่ะ ไม่ต้องตักให้ไฟอีกก็ได้แค่นี้ไฟก็กินไม่หมดอยู่แล้วนะ” ผมบอกอีกคน แต่เจ้าตัวก็ยัง

คงไม่ยอมหยุดตักอาหารให้ผมสักที

         “นอร์สเห็นไฟกินอย่างมีความสุขแค่นี้นอร์สก็อิ่มถึงเช้าแล้วล่ะครับ” บ้า! พูดอะไรเลี่ยนๆ

         “ตอนนี้ไฟรู้สึกว่านอร์สจะหยอดไฟจนเลี่ยนแล้วนะ”

         “ก็นอร์สอยากทำคะแนน อยากให้ไฟเขิน ไม่แน่นะไฟจะได้ยอมเป็นแฟนนอร์สก็ได้” ผมตาโตทันที เมื่อกี้นี้นอร์สว่าอะไร

นะ เป็นแฟนงั้นเหรอ!

         “อะไรกันงานนี้มันใครจีบใครกันแน่วะ” ผมที่ก้มหน้าก้มตากินก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ

         “อะไรเหรอครับ”

         “เปล่า ไฟแค่คิดว่ามันอร่อยดี”

           จากนั้นทั้งผมและนอร์สเราก็นั่งทานอาหารและของหวานกันจนอิ่มหนำสำราญและแน่นอนว่าคนที่อิ่มหนำสำราญก็

เป็นผมเพียงคนเดียวเพราะอีกคนมัวแต่ตักให้ผมกินตัวเองไม่ยอมกินสักอย่าง

         “นอร์สว่าเราไปเดินเล่นที่ตรงโน้นดีกว่า” นอร์สชี้บอกผมก่อนที่เจ้าตัวจะดึงมือผมเบาๆเพื่อให้ผมเดินตามอีกคนไป แน่นอน

ว่าเมื่อเราทานอาหารจนอิ่มกำลังดีแล้วควรที่จะลุกออกมาเดินเพื่อย่อยอาหารที่กินไปให้มันย่อยสะดวกขึ้นอีกผมกับนอร์สจึงเลือก

ออกมาเดินกินลมชมวิวยามเย็นของชายหาดและเจ้าตัวก็ลากผมมาที่ที่หนึ่ง

         “สวยจัง” เมื่อเดินมาถึงผมก็ต้องอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับตกตะลึงก็เพราะบรรยากาศของที่ที่ผมโดนนอร์สลากมา

อย่างกับสวนดอกไม้ที่ชายหาดเพราะมีแต่ดอกไม้สีสันสวยสดนานาพันธุ์ประดับตกแต่งอย่างลงตัวกับบรรยากาศพร้อมกับเทียนที่

ถูกจุดแล้ววางอยู่บนเชิงเทียนรูปหัวใจอย่างสวยงาม    อย่างกับจะมาขอใครแต่งงาน ผมคิด

         “เขามีจัดงานแต่งงานกันเหรอนอร์ส” ผมหันไปถามอีกคนแต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า

         “หายไปไหนของเขานะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆก่อนจะออกเดินหาอีกคน แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอะไรเสียงข้อความบางอย่าง

เข้าผมจึงเปิดเข้าไปดู

           เมื่อเปิดเข้าไปดูก็เห็นแต่รูปตัวเองที่ถูกแอบถ่ายแต่มันก็ยังออกมาดูดีบ่งบอกได้ว่าคนที่ถ่ายรูปพวกนี้คงจะมีความ

ชำนาญในการถ่ายภาพไม่น้อย ภาพที่ผมถูกแอบถ่ายถูกส่งมาให้เรื่อยๆและภาพที่ได้รับทั้งหมดล้วนแต่เป็นภาพที่ผมอยู่ที่โรมทั้ง

สิ้น ผมที่ดูภาพของตัวเองไปยิ้มไปเมื่อรู้ว่าคนที่ถ่ายภาพเหล่านี้เป็นใคร แต่แล้วไฟล์วีดีโอก็เด้งขึ้นผมก็คลิกดูพบว่ามีผู้ชายหน้า

ตาดีๆคนหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการตั้งกล้องเพื่อทำการอัดวีดีโอแต่แล้วไม่นานเจ้าตัวก็จัดมันสำเร็จพร้อมกับพูดอะไรบางอย่าง

ที่สื่อถึงผม

         “เอ่อ...ไฟครับ คือว่า...นอร์สมีอะไรบางอย่างที่จะบอกไฟ แต่ถ้าไฟฟังมันจบแล้วอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจตอบนะครับ นอร์ส

อยากให้ไฟเอ่อ...ทบทวนอีกสักนิดนะครับ” ผมที่ฟังอีกคนเกริ่นแล้วเกริ่นอีกไม่ยอมพูดสักทีผมจึงต้องพูดเร่งอีกคนทั้งๆที่มันก็

เป็นแค่วีดีโอ

         “มีอะไรก็พูดมาสินอร์ส”

         “ใจเย็นๆสิครับไฟ นอร์สรู้ว่าไฟใจร้อน แต่ขอนอร์สเรียบเรียงคำหน่อยนะ” เหมือนนอร์สจะรู้นิสัยผมดีจึงพูดขึ้นมาในคลิป

แต่แล้วผมก็ต้องอมยิ้มให้กับมันเพราะนี่เป็นการแสดงว่านอร์สสังเกตและใส่ใจในรายละเอียดในตัวผม

         “ไฟครับไฟจำวันที่เราเจอกันที่ร้านอาหารได้ไหม ครั้งแรกที่นอร์สเจอไฟมันทำให้นอร์สรู้สึกแปลกๆ แปลกแบบที่มันไม่เคย

มีอาการแบบนี้มาก่อน ไม่เคยมีแม้กระทั่งคนที่ไฟเคยคบด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งเราได้ร่วมงานกัน มันทำให้นอร์สได้รู้จักไฟมากยิ่ง

ขึ้นได้เห็นไฟในอีกหลายๆมุมมองที่นอร์สคิดว่าคนแบบนี้คงจะไม่มีให้เห็น ตอนแรกก็แค่รู้สึกแปลกๆแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า

จากอาการแปลกๆธรรมดาก็กลายเป็นอาการสั่น..แต่สั่นในที่นี้มันเกิดขึ้นที่ใจของนอ์ส” นอร์สหยุดพูดไปจากนั้นจึงพูดต่อ

         “นอร์สเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบและนอร์สไม่เคยมีความคิดที่จะต้องมาสารภาพรักอะไรกับใครแบบนี้ แต่นี่มันเกิดขึ้น

แล้วแล้วมันก็เกิดขึ้นเพราะคุณนะครับ...ไฟ นอร์สรู้ว่าคำสารภาพรักที่นอร์สพูดออกไปนั้นมันอาจจะดูไม่โรแมนติกเหมือนพระเอก

ละครหรือเหมือนอย่างใครๆเขา แต่นอร์สอยากให้ไฟรู้ว่าคำสารภาพรักที่นอร์สพูดนี้มันจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีก...นอกจากไฟนะ

ครับ” ผมที่อมยิ้มกับคำสารภาพที่ไม่โรแมนติกตามที่เจ้าตัวบอก แต่ไม่รู้ทำไมว่ามันทำให้ผมกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

         “มันอาจไม่หวาน ไม่ซึ้ง ไม่โรแมนติกและไม่กินใจ แต่มันมาจากใจของผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่ชื่อว่านอร์สคนนี้ ถ้าหากว่า

ไฟไม่รังเกียจล่ะก็จะลองมารักผู้ชายธรรมดาๆคนนี้จะได้ไหมครับ”

         “ไฟจะยอมมาคบกับผู้ชายธรรมดาๆคนนี้ได้ไหมครับ” เสียงของนอร์สดังขึ้นจากด้านหน้าของผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองก็

เห็นนอร์สยืนอยู่พร้อมกับถือช่อดอกไม้ช่อโตก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆคุกเข่าลงและถามคำถามซ้ำกับผม

         “อืม!!” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบช่อดอกไม้ที่อีกคนยื่นให้พร้อมกับเจ้าตัวที่กระโดดกอดผมซึ่งผมก็กอดอีก

ฝ่ายไว้พร้อมกับน้ำตาแห่งความสุขค่อยไหลลงอาบแก้ม อีกคนที่เห็นก็ค่อยๆปาดมันทิ้งอย่างแผ่วเบา

    จะทำยังไงได้ล่ะเมื่อผมรักผู้ชายธรรมดาๆที่ชื่อ’นอร์ส’คนนี้ไปแล้ว!!









ตอนที่ 7 จร้าาาา มาหวานเลี่ยนกันแบบเบาๆ 555555555 เรื่องนี้นี่เลี่ยนจริงๆเลย ถถถถถ

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                        แผนการร้ายครั้งที่ 8 : วันนี้ข้าพเจ้าไม่มีอะไรทำสักอย่าง นอกจากยิ้ม

                  แสงอาทิตย์ยามเช้าที่นานทีปีหนจะสาดส่องเข้ามาถึงภายในห้องนอนของเจ้าของห้องที่กำลังหลับใหลอย่าง

เป็นสุขให้ได้ตื่นขึ้นเพื่อรับวิตามินให้แก่ร่างกายเพราะผมเชื่อว่าชีวิตของคนกรุงอย่างเราๆคงจะไม่ได้มีโอกาสนอนรอให้พระ

อาทิตย์ส่องแสงถึงในห้องแบบนี้แน่ๆเพราะการใช้ชีวิตที่ต้องเร่งรีบและเป็นเวลาอยู่ตลอดจึงทำให้ชีวิตที่สุดแสนจะสงบสุขของ

เราถูกสิ่งเหล่านั้นเบียดบังไปเสียหมด

           วันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้าหรือจะพูดให้มันถูกก็คือเมื่อคืนทั้งคืนนั้นผมไม่สามารถข่มตาของตัวเองให้หลับลงได้ประกอบ

กับที่มือของอีกฝ่ายนอนกอดเอวผมไว้หลวมๆซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดอะไรให้กับผมสักเท่าไรแต่เหตุปัจจัยจริงๆที่ทำให้ผม

นอนไม่หลับตลอดทั้งคืนมาจากคำสารภาพรักธรรมดาๆที่มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องธรรมดาๆสำหรับผมเลยแม้แต่น้อยจึงทำให้ผมนอน

ตาค้างตลอดทั้งคืน

         “วันนี้จะทำอะไรกินดีนะ” ผมเปรยกับตัวเองเมื่อเดินมาหยุดอยู่ที่ตลาดใกล้ๆกับที่พักที่ผมและนอร์สพักอยู่แน่นอนว่าคงไม่

ได้มีอีกคนตามผมมาด้วยเป็นแน่เพราะหลังจากที่เรากลับเข้าบ้านพักต่างคนก็ต่างสลบกันไปเป็นแถวๆ โดยเฉพาะนอร์สที่หัวถึง

หมอนก็หลับเป็นตาย โถ่!!!! ไอ้เราก็นึกว่าสารภาพรักเสร็จก็คงจะเหมือนกับพระนางในนิยาย พอพระเอกสารภาพรักกับนางเอก

เสร็จทั้งคู่ก็ได้เสียกันแต่ไหงกลายเป็นว่านอร์สสารภาพรักกับผมเสร็จก็นอนหลับเป็นตายไม่สนใจคนที่นอนอยู่ข้างๆอย่างผม

บ้าง........ คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็พาลทำให้หงุดหงิดแปลกๆ ผมจึงสะบัดไล่ความคิดไร้สาระนี้ออกไปจากสมอง ผมนี่ก็ท่าจะแปลกดี

เหมือนกันนะ หลังจากกลับมาเป็นปกติก็เดินเลือกซื้อข้าวของสำหรับทำอาหารเช้าสำหรับคนสองคน

         “เช้านี้ทำอะไรดีนะ” ผมก็ยังคงคิดไม่ตกเรื่องของอาหารเช้าเพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีระหว่างโจ๊กกับข้าวต้ม แต่แล้วผมก็

หันไปเห็นเจ้ากุ้งตัวโตๆที่ร้านขายอาหารทะเลที่มีแต่อาหารทะเลสดๆหน้าตาน่าทานจึงตัดสินใจทำ ข้าวต้มกุ้งสำหรับมื้อช้านี้เลย

ดีกว่า

         “ป้าครับกุ้งโลละเท่าไรครับ” ผมเดินเข้าไปถามป้าเจ้าของร้านอาหารทะเล ป้าแกก็มัวแต่สาละวนกับการขายของให้กับ

ลูกค้าที่เข้ามารอซื้อของที่ร้านแต่ป้าแม่ค้าก็ยังดีที่ยังหันมาตอบคำถามผม

         “โลละสองสองร้อยห้าสิบพ่อหนุ่ม เอากี่โลดีล่ะ”

         “สองโลก็แล้วกันครับ” ผมบอกป้าแม่ค้าไป เธอจึงหยิบกุ้งให้ผมสองกิโลเกินไปเล็กน้อยเพราะตอนท้ายป้าแกหยิบแถมให้

ผม

                นี่ล่ะนะเกิดมาหน้าตาดีแบบนี้จะทำไงได้?!

   ผมเดินดูซื้อต้นหอมผักชีและผลไม้อีกสักเล็กน้อยก่อนจะกลับที่พัก

           พอผมเดินมาถึงที่พักก็ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำพร้อมกับร่างของอีกคนที่เคยนอนหลับอยู่ก่อนหายไปก็รู้ได้ทันทีว่า

สงสัยอีกฝ่ายคงจะตื่นได้สักพักแล้ว ผมก็ไม่รีรอนำข้าวของที่ซื้อได้จากตลาดออกมาทำอาหารเช้าระหว่างที่รออีกคนอาบน้ำ

ผมจัดแจงล้างผลไม้ที่ซื้อมาให้ดูดีน่าทานก่อนจะหันไปล้างผักล้างกุ้งให้สะอาดก่อนนำมาทำข้าวต้มกุ้ง

           ผมเตรียมของเสร็จก็เริ่มตั้งไฟและลงมือทำกับข้าวก็เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบหายไปและไม่นาน

อาหารน่าตาน่าทานนามว่า ข้าวต้มกุ้งสูตรเด็ดส่งตรงจากนายไฟ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย รับประกันความอร่อยเลิศจากคุณอัคนีที่

การันตรีเองได้เลย(?)

         “ทำอะไรอยู่เหรอครับไฟหอมเชียว” นอร์สที่เดินเข้ามาตามกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอของเจ้าข้าวต้มกุ้งนี้เอ่ยทักขึ้น

         “ทำข้าวต้มกุ้งอยู่อ่ะ นอร์สชิมให้ไฟหน่อยนะ” ผมคะยั้นคะยอให้อีกคนลองชิมข้าวต้มกุ้งฝีมือผม บางคนอาจจะมองว่าแค่

ข้าวต้มกุ้งธรรมดาๆทำไมต้องชิมกันด้วย รสชาติก็เหมือนๆกันหมด ผมจึงอยากเป็นคนไขข้อข้องใจนี้ให้กับหลายๆคนได้กระจ่าง

กันเสียทีว่า

      การที่เราทำให้คนที่เรารักมันต่างกับการที่เราทำกินเองหรือทำให้คนอื่นเพราะเราใส่บางสิ่งที่มีเฉพาะคนพิเศษเท่านั้นที่ได้

ไปนั่นก็คือ....ใจของเราเอง

         “หืม อร่อยที่สุดในโลกเลยครับไฟ”

         “เวอร์!!” ผมว่าอีกคน ก่อนจะใช้ให้อีกฝ่ายช่วยกันไปจัดโต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารเช้าที่พิเศษสุดๆเพราะมื้อนี้จัดได้ว่าเป็น

มื้อที่มีคนพิเศษเป็นคนทำให้

         “ถ้าอร่อยนอร์สต้องกินให้หมดนะ” ผมวางชามข้าวต้มที่มีควันบางๆกับกลิ่นที่หอมฉุยชวนเรียกเอนไซม์ให้ออกทำงานกัน

ตั้งแต่เช้า ส่วนอีกคนก็วางชามของผมให้แล้วเจ้าตัวจึงเดินไปนั่งทานข้าวฝั่งตรงข้ามกับผม

         “รับทราบครับ” นอร์สบอกพร้อมทำท่าตะเบ๊ะรับทราบคำสั่งอย่างนายตำรวจ นายทหารก็ทำให้ผมอดที่จะยิ้มกับความ

ทะเล้นของเจ้าตัวไม่ได้

         “เป็นไงบ้างกำลังดีไหม” ผมถามนอร์สถึงรสชาติของข้าวต้มที่ผมปรุงให้ ใช่แล้วครับก่อนหน้านี้ที่ผมตักข้าวต้มเสร็จก็

เลยอยากจะลองปรุงรสที่ตัวเองชอบให้กับอีกคนได้ชิมกันส่วนอีกคนก็ทำบ้างกลายเป็นว่าเรากำลังกินข้าวต้มจากรสชาติที่ชื่น

ชอบของอีกคนกัน

         “ก็อร่อยดีนะครับ แต่ติดตรงที่ว่าไฟกินเค็มไปหน่อยนะ แล้วของนอร์สเป็นไงบ้างครับ” นอร์สตอบคำถามของผมก่อนจะ

ถามถึงรสชาติของตัวเองในชามผมต่อ

         “ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่ ดูดินอร์สเล่นไม่เติมอะไรเลย” ผมบอกอีกคนเพราะรสชาติที่นอร์สปรุงให้เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้

เติมอะไรลงไปให้ผมได้ชิมเลยแม้แต่น้อยเพราะรสชาติที่กินอยู่ตอนนี้ก็เป็นรสชาติเดิมที่ผมปรุงในตอนแรก

         “ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่ต้องกินเค็มไป หวานไปหรือว่าเผ็ดจัดจนเกินไปแค่นี้ก็ถือว่าอร่อยแล้วไม่ใช่เหรอครับ” นอร์ส

บอกผมยิ้มๆ

         “แต่ว่า”

         “ที่นอร์สไม่อยากให้ไฟกินของจัดๆพวกนั้นเพราะนอร์สเป็นห่วงสุขภาพไฟนะครับ ผิดด้วยเหรอที่นอร์สจะเป็นห่วงที่รักของ

นอร์ส” นอร์สบอกผมด้วยน้ำเสียงเศร้าๆแต่ดวงตากลับเป็นประกายวาววับ ส่วนตัวผมที่ได้ยินก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สงสารอีกคนแม้

แต่น้อยแต่กลับสงสารหัวใจเจ้ากรรมที่ยังคงไม่ชินกับสถานการณ์หวานชวนเลี่ยนแบบนี้เสียมากกว่า

         “พักนี้เลี่ยนบ่อยไปป่ะนอร์ส” ผมว่า

         “ไม่นี่ครับปกติดีออก”

         “เอ๊ะ!หรือว่าอากาศแปรปรวนกันนะ”

         “ก็คงเป็นแบบนั้นมั้งครับเพราะสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจแต่สภาพความห่วงใยยังคงเต็มร้อย” พอพูดจบเจ้าตัวก็ทำท่าชู

สองนิ้วส่งมาให้ผม  แหวะ!! เลี่ยน

         “คนบ้า!!” ผมว่าอีกคนก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต้มของตัวเองต่อไปทั้งๆที่ก็รูว่าอีกคนยังคงจ้องผมด้วยดวงตาเป็น

ประกายวาววับ นั่นยิ่งเรียกเลือดฝาดบนใบหน้าให้มากองรวมกันที่พวงแก้มใสของผมได้เป็นอย่างดี ผมก็อยากจะบอกนอร์ส

เหมือนกันว่า สภาพอากาศยังคงเปลี่ยนแปลงแต่สภาพความรักยังคงแข็งแรงเสมอนะ....

                   
         เวลาความหวานของผมและนอร์สตลอดสามคืนสี่วันก็ได้สิ้นสุดลงเพราะถึงกำหนดที่ผมและนอร์สต้องเดินทางกลับไปถ่าย

ทำภาพยนตร์เรื่องที่สองคือ มายากลางใจ ที่มีน้องธีน่าน้องสาวสุดน่ารักของนอร์สเล่นเป็นนางเอกของเรื่องและคู่กับซุป’ตาร์เมือง

ไทยที่กำลังมาแรงแซงโค้งในขณะนี้

           ผมและพี่ๆทีมงานออกเดินทางมุ่งหน้าสู่มาเก๊าหลังจากที่เราตกลงกันว่าจะไปถ่ายทำตอนที่สองกันที่นั่น แต่ก่อนหน้า

ผมก็ได้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับทางคุณสมศักดิ์ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ขัดข้องหรือมีปัญหาอะไรแต่อย่างใดแถมยังกำชับอีกว่าถ้าหากค่า

ใช้จ่ายขาดเหลือยังไงก็ให้เบิกได้ตามสบาย ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งผมและพี่ๆทีมงานพากันยิ้มกริ่มกันถ้วนหน้า ก็ในเมื่อเสนอมาผมก็

กลัวคุณสมศักดิ์จะเสียใจเดี๋ยวตอนงานใกล้เสร็จค่อยสนองกลับคุณสมศักดิ์ก็แล้วกัน โฮ๊ะๆๆ ก็ไม่รู้สินะ..

         “เป็นยังไงบ้างคะพี่ไฟเรื่องของพี่ไฟกับพี่นอร์สอ่ะค่ะ” หลังจากที่ถ่ายทำติดต่อกันยาวนานจวนใกล้จะเสร็จน้องธีน่าจึงเดิน

เข้ามาคุยกับผมที่ตอนนี้ปลีกตัวออกมาทานข้าวกลางวัน

         “ก็ดีนะครับ ตอนนี้นอร์สขอพี่เป็นแฟนแล้ว” ผมตอบน้องไปตามความเป็นจริง

         “จริงเหรอคะ!!” น้องธีน่าดูจะตกใจกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินพร้อมกับอุทานซะเสียงดังจนคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนี้เริ่มหันมา

มองผมกับน้องธีน่า

         “ครับ” ผมตอบไป

         “ไม่ได้การแล้วเรื่องใหญ่ระดับนางเอกฮอลลีวูดตกพรมแดงขนาดนี้ต้องแชร์พร้อมบอกต่อกันซะหน่อยแล้ว” เอ่อ..น้องธีน่า

ครับมันยิ่งใหญ่และสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอครับ

         “ถึงขนาดต้องแชร์เลยเหรอครับ”

         “ก็ใช่น่ะสิคะ อย่าลืมสิคะว่าประชากรสาวายบนโลกใบนี้เรียกได้ว่าแทบจะเป็นสามส่วนสี่ของประชากรโลกแล้วนะคะ

อีกหน่อยนะคะพี่ไฟสาววายนี่ล่ะค่ะที่จะครองโลก ” เธอพูดด้วยสีหน้าและท่าทางที่มาดมั่นเอาเสียเหลือเกินกับการเป็นเอ่อ...

อะไรนะ..สาววายงั้นเหรอ?? ผมก็ได้แต่ส่ายหัวให้กับเธอ เฮ้อ!ผมน่าจะชินกับมันได้แล้วนะ

         “โอเค เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะทีนี้เรามาเข้าเรื่องของเรากัน” น้องธีน่าบอกกับผมก่อนที่เธอจะเก็บอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋า

แล้วจึงหยิบสมุดอะไรสักอย่างขึ้นมา

         “อะไรเหรอครับน้องธีน่า” ผมถามน้องธีน่าออกไปแต่เจ้าตัวไม่ตอบคำถามอะไรแต่กลับเปิดไปหน้าหนึ่งที่มีตัวอักษรที่เขียน

เอาไว้จนเต็มหน้ากระดาษที่มองแล้วชวนเวียนหัว

         “เคล็ดลับของการเป็นแฟนที่ดี” ผมอ่านข้อความที่น้องธีน่าส่งให้อ่านแบบออกเสียงก็ต้องสะดุ้งตกใจกับข้อความที่อ่าน

         “นี่มันอะไรกันครับน้องธีน่า” ผมไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะให้ผมทำอะไร

         “ก็เคล็ดลับของการเป็นแฟนพี่นอร์สไงคะ” น้องธีน่าบอกผมก่อนจะอธิบายรายละเอียดให้ผมฟังต่อ

         “คือในคู่มือนี้เขาบอกว่าการที่เราเริ่มคบใครคนหนึ่งเป็นแฟนแล้ว เราก็ควรที่จะรู้และใส่ใจในรายละเอียดของแฟนของเรา

ให้ดี อย่างเรื่องของพี่นอร์สที่พี่ไฟควรที่จะรู้เอาไว้ไงคะ”

         “อย่างเช่น?”

      “พี่นอร์สชอบคนทำอาหารเป็นค่ะ โดยเฉพาะของหวานที่เรียกกันว่าขนมเค้ก” มิน่าล่ะว่าทำไมเจ้าตัวดูจะดีอกดีใจไม่น้อยที่

เห็นผมทำอาหารให้ทานในครั้งที่เราไปเที่ยวด้วยกัน

         “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเค้กล่ะครับ”

         “ก็เพราะเค้กเป็นขนมที่ทำยากน่ะสิคะ” อืม ก็จริงอยู่

         “พี่ไฟรู้ไหมคะว่าในการทำเค้กแต่ละครั้งไม่ใช่แค่ว่าเราทำตามสูตรที่เรารู้แล้วจบเท่านั้นนะคะเพราะการทำเค้กให้ถูกใจพี่

นอร์สอ่ะมันต้องมาจากนี่ค่ะ...จากข้างในนี้” น้องธีน่าจิ้มมาที่อกซ้ายของผมแล้วจึงยิ้มให้

         “เพราะการทำเค้กก็เหมือนกับการที่เราใส่ใจแฟน ถ้าเราทำเค้กตามสูตรทั่วๆไปรสชาติที่ออกมาก็อร่อยล่ะค่ะแต่มันขาด

ความกลมกล่อมและลงตัวในสูตรของเรา” ผมพยักหน้าตามที่น้องธีน่าพูด

         “แต่ถ้าเรามัวแต่ให้ความสำคัญกับมันน้อยไปเค้กที่ได้ก็อาจจะไม่สุกหรือสุกแต่ก็กินไม่ได้”

         “แต่ถ้าเรามัวแต่สนใจมันมากจนเกินไปจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นหรือเตรียมของที่จะต้องแต่งหน้าเค้ก เค้กที่ทำก็คงจะไม่

สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะจดจ่ออยู่กับมันอย่างเดียวจนลืมเอาเวลาไปเตรียมอย่างอื่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ใส่ใจมันเลย

และที่สำคัญเราก็ควรที่จะทำมันออกมาจากใจนะคะ” น้องธีน่าพูดจบก็ลุกออกไปเพราะพี่ทีมงานมาตามให้เข้าฉากต่อไป ผมจึง

ให้ไอ้วีกำกับแทนโดยให้ข้ออ้างว่าปวดหัวอยากจะพักแต่แท้จริงแล้วผมเก็บเอาสิ่งที่น้องธีน่าพูดเมื่อครู่มาคิดทบทวนอะไรหลายๆ

ซึ่งนั่นมันก็เป็นความจริงทั้งสิ้น ผมจึงลองเสิร์ชหาวิธีทำขนมเค้กและจดรายละเอียดกับเทคนิคที่ทางเว็บได้บอกไว้ก่อนจะไปค้นดู

อุปกรณ์ในการทำ แต่การทำเค้กของผมในครั้งนี้จะต่างออกไปจากทุกครั้งที่เราจะท่องจำสูตรให้ขึ้นใจแต่มันจะมาจากการที่ผมใช้

ใจในการทำมันแล้วก้อยากจะลองดูสิว่าสิ่งที่น้องธีน่าได้บอกไว้มันจะตรงกับความเป็นจริงรึเปล่า

         “ต้องใช้ใจเป็นนายสั่งให้ทำสินะ” ผมย้ำกับตัวเองก่อนจะปิดเว็บนี้แล้วหาเว็บอื่นที่บอกทริปเด็ดๆในการทำเค้กต่อไป แต่ก็

ต้องมาเอ๊ะใจกับอะไรบางอย่างในคำพูดของน้องธีน่า บ้านนี้สอนลูกด้วยหลักจิตวิทยางั้นเหรอ?? มิน่าล่ะถึงได้เจ้าเล่ห์เป็นกรดซะ

ขนาดนั้น แต่ถึงจะบ่นไปก็เท่านั้นในเมื่อผมเดินหน้าแล้วก็จะต้องไม่ยอมถอย

        เพราะคนอย่างนายอัคนีมีแต่เดินหน้าไม่ถอยหลัง สู้เว้ยยย!!!!


                           
         “อืม ใส่อันนี้ลงไปจากนั้นหยิบอันนี้เพิ่มอีกหน่อยเท่านั้นก็-”

           ติ๊ง ต่อง  เสียงกดออดหน้าห้องดังขึ้นทำให้ผมต้องละจากการมุ่งมั่นทำเค้กไปเปิดประตูให้กับแขกที่มาหา

         “อ้าว นอร์ส” แต่แขกคนที่มาหาผมถึงห้องวันนี้ก็ทำเอาผมแปลกใจที่ทำไมเจ้าตัวถึงรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ห้อง

         “ทำอะไรอยู่ครับไฟ”

         “เอ่อ...” จะให้ผมบอกเจ้าตัวยังไงดีล่ะว่าตอนนี้ผมกำลังจะทำอาหารมัดใจคนตรงหน้าอยู่น่ะ!!

         “ว่าแต่ว่านอร์สรู้ได้ยังไงอ่ะว่าตอนนี้ไฟกลับมาจากมาเก๊าแล้ว” ใช่แล้วล่ะครับผมเพิ่งกลับมาจากมาเก๊าได้แค่สามวันหลัง

จากที่ต้องตรากตรำทำงานอยู่ที่นั่นนานนับเดือนกว่าจะปิดกล้อง บางคนอาจจะสงสัยว่าทำไมพวกผมถึงถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง

หนึ่งถึงใช้เวลาไม่เท่าไร อันที่จริงแล้วตัวคนแต่งหรือนอร์สอยากจะให้งานเขียนของตัวเองถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบ

ภาพยนตร์สั้นมากกว่าเรื่องยาว โดยเราจะดึงจุดพีคของแต่ละเรื่องมาทำเป็นภาพยนตร์เพื่อสื่อถึงคนดูได้สะดวกมากขึ้นหรือจะพูด

กันให้ง่ายๆเลยก็คือ ขอเนื้อๆไม่เน้นน้ำๆ

         “พอดีวันนี้น้องธีน่าโทรมาบอกว่าไฟกลับมาแล้วนอร์สก็เลยอยากมาหา ไฟไปตั้งนานเสียดายที่คราวนี้นอร์สไม่ได้ไปด้วย”

อีกคนบอกอย่างเศร้าๆ ผมก็เห็นใจนอร์สอยู่หรอกนะแต่จะทำยังไงได้ก็ในเมื่ออีกคนเรียนใกล้จะจบแล้วตอนนี้ก็เป็นว่าที่นาย

แพทย์หนุ่มอีกไม่เท่าไรก็จะได้เป็นนายแพทย์สมใจอยาก

         “งั้นก็เข้ามาข้างในก่อนสิ” ผมบอกให้อีกคนเข้ามานั่งพักในห้อง แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณน้องธีน่าอยู่เหมือนกันเพราะ

ว่าตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกคิดถึงอีกคนอยู่พอดี

         “อ่ะ น้ำ” ผมเดินไปหยิบน้ำเย็นจากตู้เย็นมาให้อีกคนดื่มที่ตอนนี้กำลังเอนหลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟาซึ่งดูท่าว่าอีก

คนคงจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อย

         “เหนื่อมากเลยเหรอ” ผมถามก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆอีกคนที่ยังไม่ทันได้นั่งดีก็ถูกอีกคนรวบตัวไปกอดกลายเป็นว่าผมกำลัง

นั่งตักอีกคนอยู่

         “ครับ เหนื่อยมากเลย แต่ว่ายังดีหน่อยที่ได้มาเห็นหน้าสุดที่รักเพราะตอนนี้นอร์สหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ” เฮ้อ!เลี่ยน

แต่เช้าเลยนะนอร์ส

         “ให้มันจริงเถอะ” ผมว่า ตั้งแต่ที่ผมตกลงคบกับนอร์สเป็นเอ่อ..เป็น..เอาเป็นว่าตอนนี้นอร์สได้กลายเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดที่

ผมเคยมีก็แล้วกันเราก็แทบจะไม่ค่อยได้เจอกันหรือจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้เพราะผมต้องบินไปถ่ายภาพยนตร์ที่ต่างประเทศ ส่วน

นอร์สก็ติดเรียนทำให้ช่วงเวลาว่างของเราไม่ตรงกัน แต่จะอะไรยังไงก็แล้วแต่ ‘ระยะทาง’ หรือ ‘เวลา’ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือจุด

เริ่มต้นของการ ‘เลิกลา’ ถึงผมกับนอร์สเราอาจจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เราก็ยังคงใช้สิ่งเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเรียกว่า ‘ความรัก’ ในการ

สานสัมพันธ์ให้อยู่ดี

         “เค้ก?”

         “หืม?” ตอนแรกที่โดนกอดก็เคลิ้มๆจะหลับกันทั้งคู่ผมก็ต้องมาตกใจเพราะเสียงสงสัยของอีกคน

         “ไฟทำเค้กอยู่เหรอ” นอร์สถามผมออกไปแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดดมหาต้นเหตุของกลิ่น

          “เฮ้ย!!!” ผมที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทำพลาดอะไรลงไปก็ตอนที่ได้กลิ่นไหม้ๆออกมาจากในห้องครัว ซวยแล้วไงเพราะ

ก่อนออกไปเปิดประตูตามเสียงออดหน้าห้องผมก็ได้ตัดสินใจนำเค้กเข้าเครื่องอบเพราะพอคุยกันเสร็จผมจะได้ยกเค้กลงและนั่นก็

จะได้เค้กที่สมบูรณ์แบบตามที่ใจต้องการ แต่แล้วผมก็ดันลืมสิ่งสำคัญจนได้

                    มึงพลาดอย่างรุนแรงเลยล่ะไอ้คุณไฟเอ้ยย!!



                   
         “อ๊ะ นอร์สแกล้งไฟเหรอ”

         “เปล่าครับ”

          “เปล่าได้ไงแล้ววิปปิ้งครีมที่แก้มไฟมาจากไหน”

         “มือไฟเปื้อนอยู่แล้วไปปาดโดนเองรึเปล่าครับ อย่ามาใส่ร้ายนอร์สสิครับ” นอร์สอธิบายแต่ไอ้สายตาวาววับเป็นประกาย

เจ้าเล่ห์กับรอยยิ้มมุมปากน้อยๆนี่มันอะไรกัน!!!

          “มาให้ไฟแก้แค้นกลับเลยนะนอร์ส” ผมบอกอีกคนก่อนจะหยิบวิปปิ้งครีมที่อยู่บนหน้าเค้กไปป้ายอีกคนที่แกล้งผมก่อน
           

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :-[ จีบกันหวานจนน่าอิจฉา

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
            หลังจากที่ผมยอมรับชะตากรรมของเจ้าเค้กน้อยผู้น่าสงสารของตัวเองได้แล้วนอร์สเลยเสนอไอเดียว่าให้เรามาช่วยกัน

ทำเค้กกัน ตอนแรกผมก็ไม่อยากให้อีกคนช่วยทำเพราะผมตั้งใจที่จะทำให้นอร์สกินมากกว่า แต่พอหันไปมองเห็นเค้กที่นอน

แอ้งแม้งอยู่ในถังขยะก็เป็นตัวที่ทำให้ผมตัดสินใจให้อีกคนช่วยทำจนสุดท้ายก็ได้เจ้าเค้กที่น่าตาน่าทานและตอนนี้ทั้งผมและ

นอร์สต่างก็ช่วยกันออกแบบหน้าเค้กนี้ด้วยกัน

         “หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะนอร์ส” ผมตะโกนบอกอีกคนที่กำลังวิ่งหนีการแก้แค้นของผม ตอนแรกทั้งผมละนอร์สก็ช่วยกันแต่งหน้า

เค้กด้วยกันดีๆอยู่หรอกแต่ไปๆมาๆนอร์สก็เอาวิปปิ้งครีมที่แต่งหน้าเค้กมาป้ายหน้าของผมเฉยเลยทำให้ตอนนี้กลายเป็นว่าเกิด

สงครามวิปปิ้งครีมย่อมๆที่ครัวของผม

         “ถ้านอร์สไม่หลบไฟก็เอาวิปปิ้งครีมมาป้ายหน้านอร์สน่ะสิครับ” นอร์สบอกผมทั้งๆที่เจ้าตัวก็วิ่งหนีการไล่ตามของผม

         “ก็นอร์สอยากแกล้งไฟก่อนทำไมเล่า” ตอนนี้ผมกับนอร์สวิ่งจากในห้องครัวมาจนถึงโซฟาที่วางอยู่ที่ห้องรับแขก โดยผม

อยู่ด้านหลังของโซฟาส่วนนอร์สก็อยู่อีกด้านของผม

         “ไม่ต้องคิดจะหนีไฟซะให้ยากเพราะตอนนี้นอร์สก็วิ่งไปไหนไม่ได้แล้วมาให้ไฟเอาคืนซะดีๆ ฮ่าๆๆ” ผมบอกนอร์สที่ตอนนี้

วิ่งไปทางไหนก็หนีผมไม่พ้น ผมจึงค่อยๆเดินก้าวไปหาอีกคนอย่างช้าๆพร้อมกับเจ้าวิปปิ้งครีมอาวุธล้างแค้นที่พร้อมเอาคืนอีกคน

อยู่ในมืออย่างเตรียมพร้อม แต่ดูเหมือนว่าโชคจะไม่ค่อยอยากจะเข้าข้างผมสักเท่าไรเพราะสมุดที่มันควรจะอยู่บนโต๊ะกลับมา

นอนหลับสบายใจไทยแลนด์(?)อยู่บนพื้นทำให้ผมไม่ทันได้สังเกตเผลอไปเตะสมุดเจ้ากรรมนั่น

         “อ๊ะ” ผมที่คิดว่ายังไงตัวเองได้ไปนอนกองอยู่สภาพเดียวกับหนังสือแต่กลับลอยหวือขึ้นมาพร้อมกับอีกคนที่คว้าตัวผมไว้

ทัน จึงกลายเป็นว่าผมยืนซบอยู่ที่อกแกร่งของอีกคนแทน

         “ซุ่มซ่ามจังเลยนะครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอีกคนดังขึ้นทำให้ผมที่ยืนโกยอากาศเข้าปอดอยู่แทบจะสำลักอากาศที่สูดเข้า

ไปเมื่อครู่ตายไปซะเดี๋ยวนั้น เพราะเหตุการณ์น่าขำเมื่อครู่ของผมต้องทำให้ตัวเองกลายสภาพมาอยู่ในอ้อมกอดของอีกคนซะได้

แค่คิดก็แทบอยากจะระเบิดตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ

         “อะไรกันเล่า” ผมงึมงำตอบอีกคนอยู่ในลำคอ แต่ก่อนที่ทั้งผมและนอร์สจะผละออกจากกัน เจ้าตัวก็จับไหล่ผมเอาไว้ทั้ง

สองข้างก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงห่วงใย

         “ทีหน้าทีหลังไฟจะทำอะไรก็ต้องระวังตัวเองด้วยนะครับ รู้ไหม หืม?” นอร์สถามผม ผมที่เจอกับน้ำเสียงห่วงใยระคนรักใคร่

ก็อดที่จะรู้สึกผิดที่ตัวเองมัวแต่เล่นเพลินจนไม่ได้ระมัดระวังทำให้ต้องเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่นี้ขึ้น

         “อืม ทีหลังไฟจะระวังตัวนะ” ผมบอกอีกคนก่อนที่จะก้มหน้าสำนึกผิด

         “ครับ” อีกคนเดินเข้ามาสวมกอดผมก่อนจะพูดอะไรบางอย่างกับกลุ่มผมนุ่มของผมก่อนจะผละออกไป น่ารักจริงๆสุดที่รัก

ของใครเนี่ย!

           บึ้ม!! เสียงอะไรบางอย่างกำลังระเบิดอยู่ในหัวพร้อมๆกับมีไอความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นเพราะตอนนี้มันมากองรวมตัวกัน

อยู่ที่บนใบหน้าของผมวะจนกลัวว่ามันจะเป็นแผลไหม้เพราะไอร้อนนี้

         “ไฟครับไม่มาแต่งหน้าเค้กต่อเหรอครับ” นอร์สตะโกนออกมาจากห้องครัว ผมจึงหันหน้าไปตามเสียงตะโกนนั่นก็ต้อง

ปะทะเข้ากับสายตาและสีหน้าที่ดูเหมือนจะเป็นเทพบุตรในเทพนิยายที่ดูยังไงๆก็สุดแสนจะเพอร์เฟค แต่กลับมีอะไรบางอย่างที่

ซุกซ่อนอยู่ในสีหน้าและแววตาของนอร์สในตอนนี้ ซึ่งมันบ่งบอกได้ชัดว่ามันค่อนข้างจะขัดแย้งจากสิ่งที่ตาเห็นเอาจริงๆ นี้สินะที่

เขาเรียก สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ เอ๊ะยังไง?


                         
         “เค้กอร่อยมากเลยนะครับ”

         “นอร์สมีความสุขจังที่ได้ทำเค้กร่วมกับไฟ”

         “อืม ไฟก็มีความสุขเหมือนกันนะ”

           ตอนนี้ทั้งผมและนอร์สนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่หน้าห้องรับแขกหลังจากที่ทานเค้กที่เราทั้งคู่ช่วยกันทำเรียกได้ว่าเป็นสิ่ง

แรกที่ทั้งผมและนอร์สได้ช่วยกันทำมันออกมาและค่อนข้างจะออกมาดีทีเดียว

         “หืม?” ผมตกใจกับการกระทำของอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันที่อยู่ดีๆเจ้าตัวก็ทิ้งตัวนอนบนโซฟาพร้อมกับวางศีรษะมาหนุนที่

ตักของผม

         “ขอหนุนหน่อยนะ” นอร์สว่าก่อนจะค่อยๆหลับตาลง

         “อืม” ผมไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะยื่นมือของตัวเองมาสัมผัสกับผมของคนตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆลูบไล้จากปลายผมข้างบน

ลงสู่ด้านล่าง

         “อืมมม” อีกคนครางออกมาจากในลำคอแผ่วเบาก่อนที่ศีรษะนั่นจะขยับเข้าใกล้ฝ่ามือของผม

         “ชอบให้ลูบหัวเหรอ” ผมที่ตอนนี้ค่อยๆลูบหัวอีกคนที่นอนหนุนอยู่บนตักตัวเองอย่างแผ่วเบาแล้วถามคำถามนั้นออกไป

         “ครับ ยายนอร์สชอบลูบหัวให้นอร์สตอนเด็กๆแบบนี้เสมอ” นอร์สเล่าพร้อมๆกับที่ริมฝีปากถูกยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเจ้าตัว

พูดถึงผู้เป็นยาย

         “นี่นอร์สหาว่าไฟเป็นยายเหรอ” ผมแกล้งว่าอีกคน

         “ฮ่าๆๆใครจะไปกล้าว่าไฟล่ะครับ” ผมอมยิ้มให้กับคนที่นอนอยู่ รู้ทั้งรู้ว่านอร์สคงไม่ได้เห็นแต่ก็อดที่จะยิ้มไมได้

         “ไฟรู้ไหมตั้งแต่ที่นอร์สไม่ได้อยู่กับยาย นอร์สก็ไม่เคยให้ใครสัมผัสศีรษะของนอร์สอีกเลยนะ”

         “ทำไมล่ะ” ผมสงสัย ถ้านอร์สไม่ให้ใครอื่นสัมผัสศีรษะตัวเองแบบนี้แล้วแม่ของนอร์สล่ะ?

         “ก็ไม่มีใครสัมผัสได้อบอุ่นเท่ายายของนอร์สไงครับ”

         “แล้วไฟล่ะ” ผมพูดสวนออกไป นอร์สที่ในตอนแรกหลับตาอยู่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมองหน้าผมซึ่งผมก็มองหน้าอีกฝ่ายไม่ไหว

หลบ

         “สำหรับไฟคือคนพิเศษของนอร์ส อันนี้จัดอยู่ในกรณียกเว้นครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ใช้ได้ทีเดียว

         “แล้วตอนนี้ยายนอร์สอยู่ไหนล่ะ” ผมถามอีกคนแต่ก็ยังคงลูบหัวให้นอร์สต่อไป นอร์สที่ตอนนี้ค่อยๆหลับตาลงก่อนจะพูด

ถึงยายตัวเอง

         “ยายนอร์สท่านจากไปไม่มีวันกลับแล้วครับ” นอร์สบอกผมด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ

         “เอ่อ..คือไฟไม่ได้ตั้งใจที่จะถามขอ-”

         “ไม่เป็นไรหรอกครับ ไฟไม่รู้ คนที่ไม่รู้ก็ย่อมถือว่าเป็นคนที่ไม่ผิดนะครับ” นอร์สบอกผม

         “ก่อนที่ท่านจะจากนอร์สไปท่านเคยบอกว่าท่านจะอยู่ถึงวันที่ได้เห็นนอร์สประสบความสำเร็จ แต่ท่านก็ไม่สามารถทำได้

อย่างที่ท่านบอกนอร์ส นอร์สโกรธท่านมากที่ท่านโกหกนอร์สถึงแม้ว่าตอนนี้นอร์สจะโตพอที่จะเข้าใจอะไรแล้ว แต่นอร์สก็ไม่

ชอบคนโกหกอยู่ดี ไฟครับไฟมีอะไรก็บอกนอร์สได้นะครับ อย่าโกหกกันเลยนะ” นอร์สบอกผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมที่ได้ยินก็

ถึงกับชะงักไปแต่ก็ยังคงตอบรับอีกคน นอร์สจึงเปลี่ยนเรื่อง

         “วันนี้เป็นวันที่นอร์สมีความสุขที่สุดเลยนะ แล้วไฟล่ะครับ” ผมไม่ตอบนอร์สไปเพราะสิ่งที่ผมจะตอบนอร์สก็คงจะไม่ต่าง

จากที่อีกฝ่ายพูดเท่าไร.....................................














ตอนที่ 8 ตอนนี้ก็หวานกันเบาๆอีกแล้ว แต่อย่าลืมว่าเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมาจากการเกิดสึนามิ เมื่อน้ำลดลงเหมือนไม่มีอะไร

แต่สุดท้ายมวลน้ำมหาศาลก็กลับก่อตัวขึ้นมา//ดีสนี่พูดซะน่ากลัวจริมๆ จริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดน้านนน ยังไงก็รอติดตาม

ตอนต่อไปนะคะ ^^
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                                     แผนการร้ายครั้งที่ 9 : ความรักเป็นนายที่ดีกว่าหน้าที่

                  การถ่ายทำภาพยนตร์ตอนนี้ดำเนินเรื่องมาถึงเล่มสุดท้ายของซีรีย์ซึ่งนั่นก็คือเรื่อง ‘ไฟอัคนี’ ผมว่าชื่อเรื่องมัน

ค่อนข้างจะเหมือนชื่อของผมแต่เท่าที่ผมอ่านมันจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่ในบทก็คงจะไม่ใช่แค่เหมือนแต่มันใช่เลยล่ะ?

         “แล้วสรุปว่าใครจะมาเป็นพระนางของเรื่องนี้ล่ะเนี่ย” ผมบ่นให้ไอ้วีฟัง

         “แล้วคุณกูจะไปรู้กับคุณมึงไหมครับนั่น โน่นไงแฟนนักเขียนของคุณมึงมาละ ลองถามดูสิครับ” ไอ้วีบอกผมแซวๆพร้อมกับ

ส่งซิกว่าตอนนี้เจ้าของผลงานกำลังเดินตรงมาหาผมสองคน แต่วันนี้แปลกไปกว่าทุกทีเพราะแทนที่จะมีนอร์สมาคนเดียวเพื่อคุย

เรื่องงาน แต่ครั้งนี้กลับมีน้องธีน่าเข้ามาร่วมแจมด้วยอีกคน

         “สวัสดีครับไฟ คุณปฐวี” พอนอร์สเดินมาถึงที่ที่ผมกับไอ้วีนั่งรออยู่ก็เอ่ยทักทาย ผมกับไอ้วีก็ทักทายตอบก่อนที่นอร์สจะ

เลือกนั่งทางด้านซ้ายมือของผมตามคำบอกของน้องสาวสุดที่รักที่เธออาสาจะนั่งข้างๆไอ้วีแทนนอร์ส

         “สวัสดีค่ะพี่วี พี่ไฟ”

         “สวัสดีครับ” ผมกับไอ้วีทักตอบน้องธีน่า

         “พอดีวันนี้น้องธีน่าว่างนอร์สก็เลยชวนมาคุยงานน่ะเผื่อจะมีไอเดียอะไรดีๆเสนอบ้าง” นอร์สบอกผมก่อนที่เราจะเริ่มต้นคุย

งานกัน

           วันนี้ผม ไอ้วีและพี่ทีมงานบางส่วนที่เป็นเฮดหลักในการประสานงานนัดประชุมคุยกันก่อนจะเริ่มเดินหน้าถ่ายทำ

ภาพยนตร์กันต่อซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงกลางปีหน้าภาพยนตร์ที่พวกผมทำกันคงจะได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทาง

การและก็หวังว่าจะทำยอดขายได้ทะลุเป้าที่วางไว้

         “ตอนนี้เรื่องที่เราต้องการความคิดเห็นจากในที่ประชุมคือเรื่องของนักแสดง” ผมพูดก่อนจะเว้นวรรคให้ทุกคนได้หยิบ

เอกสารตามที่เลขาผมแจกให้

         “เนื่องจากนักแสดงที่เราเคยจองตัวเอาไว้ให้เล่นเป็นบทพระนางเกิดมีปัญหา” ทุกคนพยักหน้ารับรู้

         “ซึ่งทางด้านคนที่จะมารับบทเป็นพระเอกขอถอนตัวเนื่องจากเวลาว่างไม่ตรงกับวันที่เราจะเริ่มถ่ายทำกัน ส่วนนางเอกก็มี

แพลนจะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้าจึงของดรับงานทุกชนิด”

         “และนั่นจึงเป็นปัญหาสำหรับเราทุกคนเพราะตัวละครหลักสองตัวก็มาติดเหตุที่ทำให้ไม่ว่าง ไฟจึงอยากจะถามความคิด

เห็นในที่ประชุมว่าใครมีความเห็นอะไรกันบ้าง” ผมหยุดพูดก่อนจะมองดูทุกคนที่เริ่มมีสีหน้าครุ่นคิดว่าเราจะแก้ปัญหากับเรื่องนี้

อย่างไรดี แต่จู่ๆน้องธีน่าเธอก็ยกมือขึ้นท่ามกลางความคิดของอีกหลายๆคน ผมจึงเชิญให้เธอออกความคิดเห็น

         “ก็ในเมื่อตัวละครที่วางไว้มีปัญหาพี่ไฟก็เปลี่ยนตัวสิคะ”

         “มันไม่ได้ง่ายเหมือนกับที่น้องธีน่าพูดหรอกนะครับที่เราจะหานักแสดงใหม่มาแทนเพราะแต่ละคนที่เราเล็งๆเอาไว้งานก็รัด

ตัวแทบจะไม่มีเวลาว่างให้ปลีกตัวมาแสดงภาพยนตร์ได้หรอกนะครับ”

         “แล้วเราจะไปหาดาราคนอื่นทำไมล่ะคะ ก็ในเมื่อเราก็มีคนที่พร้อมจะเป็นดาราให้กับเราอยู่แล้ว”

         “หืม?” ผมสงสัยในสิ่งที่น้องธีน่าพูด

         “อย่าบอกนะคะพี่ไฟว่าพี่ไฟยังอ่านเรื่องนี้ไม่จบ??” น้องธีน่าถามผม

         “ก็ทำนองนั้นล่ะครับ” ใช่ครับผมอ่านเรื่องนี้ไปได้ไม่เท่าไรเองก็ในเมื่อเนื้อเรื่องมันก็เชื่อมโยงกันก็ไม่เห็นจะต้องไปคิดอะไร

มากอย่างน้อยผมก็กำกับอีกสองเรื่องแรกไปแล้ว

         “แล้วพี่ไฟรู้รึเปล่าคะว่าเล่มสุดท้ายนี้ใครเป็นคนแต่ง?”

         “ก็นอร์สไม่ใช่เหรอ” ผมตอบเชิงไม่แน่ใจ

         “เอ่อ...ไอ้คุณเพื่อนไฟครับเล่มสุดท้ายนี้คุณนอร์สไม่ได้เป็นคนแต่งนะครับคุณเพื่อน แต่เป็นน้องธีน่าแต่งเองต่างหาก”

ห๊ะ!! อะไรนะ

         “ใช่ค่ะ เรื่องสุดท้ายนี้ธีน่าเป็นคนแต่ง ส่วนนักแสดงนั้นธีน่าได้เลือกเอาไว้แล้ว มีแค่ตัวละครหลักที่มีปัญหาใช่ไหมคะทุก

คน” น้องธีน่าชี้แจงให้ผมเข้าใจก่อนประโยคหลังจะหันไปพูดกับเหล่าทีมงานที่ยิ้มกรุ้มกริ่มกันเป็นทิวแถวไม่เว้นแม้กระทั่งนอร์ส

         “ครับ/ค่ะ” พี่ๆทีมงานบอกน้องธีน่า จากนั้นเธอจึงหันกลับมามองที่ผมก่อนจะบอกว่าใครกันจะมาเล่นบทหลักของ

ภาพยนตร์เรื่องนี้

         “เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ธีน่าแต่งให้สะท้อนในเรื่องมุมมองของเพศที่สาม ฉะนั้น...” น้องธีน่าเว้นสิ่งที่จะพูดเอาไว้ทำให้ใคร

หลายๆคนรวมทั้งผมที่รู้สึกเหมือนจะมีลางไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่เป็นประกายพราวระยับเช่นเดียวกับ

เด็กน้อยได้ของถูกใจถูกส่งพุ่งตรงมาที่ผม

    ไอ้ตาขวามึงจะกระตุกทำแมวอะไรของมึงเนี่ย!!!

         “ผู้ที่จะมารับบทเป็นพระเอกก็คือพี่นอร์ส พี่ชายของธีน่าเองค่ะ” น้องธีน่าบอกทุกคนในที่ประชุมซึ่งเสียงส่วนใหญ่ลงมติ

เห็นชอบ

         “ส่วนคนที่จะมาเล่นเป็นบทคู่กับพระเอกอย่างพี่นอร์สก็คือ.....พี่ไฟนั่นเองค่ะ” น้องธีน่าบอกทุกคนด้วยความมั่นใจ ก่อนที่

ทั่วทั้งห้องประชุมจะปรบมือกันดังเกรียวกราวที่แสดงออกถึงดีใจอย่างความสุดซึ้งที่ผมได้มาเล่นบทคู่กับพระเอกอย่างนอร์ส

         “แล้วใครจะมากำกับแทนพี่ล่ะครับน้องธีน่า” นั่นสิครับ ถ้าให้ผมเล่นแล้วใครกำกับ

         “ไม่ต้องห่วงค่ะพี่ไฟเพราะธีน่าได้เลือกผู้กำกับไว้แล้ว”

         “ใครครับ?”

         “กูเองไอ้เพื่อนเลิฟ” อยู่ๆไอ้วีก็พูดขึ้น อย่างไอ้วีเนี่ยนะผู้กำกับ เหอะ ถ้ามันเป็นผู้กินกับผมจะไม่ว่าอะไรสักคำ

         “อย่างมึงเนี่ยนะ” ผมบอกแบบไม่อยากจะเชื่อ

         “อ้าว อย่ามาพูดแมวๆแบบนี้กับคุณเพื่อนนะครับ โถ่ ไอ้เราไม่อยากจะคุยอย่างกูนี่ถูกเลือกจากมติในที่ประชุมมาเลยนะ

เว้ย” ห๊า!!ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะทำของหายบ่อยๆ หาตลอดดดด

         “ไปลงมติกันตอนไหนวะ” นั่นสิทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย

         “มึงก็ลองถามแฟนสุดที่รักมึงสิ” พอไอ้วีพูดจบผมก็หันไปเอาเรื่องคนที่นั่งด้านข้างแทน

         “นี่มันอะไรกันนอร์สทำไมไฟไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

         “นอร์สก็ไม่รู้เหมือนกันครับ นี่ก็เพิ่งจะรู้พร้อมไฟเมื่อกี้นี้จริงๆนะครับ” ผมหรี่ตามองอีกคนอย่างจับผิดแต่ก็ไม่พบพิรุธใดๆ

         “แล้วไป”

         “แล้วสรุปว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันครับพี่ๆ” ผมเค้นเอาจากไอ้วีไม่ได้ ส่วนนอร์สก็คง(อาจ)จะไม่รู้ก็ได้จึงหันไปเค้นกับผู้ใต้

บังคับบัญชาตัวเองน่าจะดีกว่า

         “เอ่อ....” ทุกคนอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบมัวแต่มองหน้ากันอย่าเลิ่กลั่ก ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่สำเร็จผมก็คงต้องใช้ไม้แข็งเข้าช่วย

         “งั้นโบนัสสิ้นปีกับเที่ยวเกาหลีอีกหนึ่งอาทิตย์ก็คงต้องง-”

         “น้องธีน่าบอกให้พวกพี่ทำอ่ะค่ะน้องไฟ น้องไฟอย่างงดโบนัสกับเที่ยวเกาหลีพวกพี่เลยนะคะ นะคะ” พี่ที่เป็นหนึ่งในทีม

งานที่เข้าประชุมรีบบอกผมก่อนที่ผมจะทันได้พูดจนจบประโยค ผมจึงหันไปมองน้องธีน่า ส่วนเจ้าตัวก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆมาให้ผม

         “แหะๆ แต่ก็เอาเป็นว่าทุกคนก็ลงมติเห็นชอบกับสิ่งที่ธีน่าบอก ฉะนั้นวันนี้ก็.......ปิดประชุม!!!!!”
                   
         

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
        “เฮ้อ” ผมนั่งถอนหายใจรอก่อนที่จะเข้าฉากต่อไป ตั้งแต่ที่ประชุมเสร็จในครั้งนั้นไอ้วีก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้กำกับส่วนน้องธีน่า

ก็ได้เป็นผู้ช่วยผู้กำกับถือว่าเป็นผู้ช่วยกิตติมศักดิ์ของกองถ่ายที่เคยมีมาก็ว่าได้

         “อย่าทำหน้าเซ็งแบบนั้นสิครับไฟ เดี๋ยวไม่สวยหรอก” ผมหันขวับกลับไปมองคนพูด อะไรนะ ใครสวยกันฟร้ะ!!

         “ใครสวยไม่ทราบนอร์ส พูดให้มันดีๆเลยนะ” ผมว่าอีกคนให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะยื่นขวดน้ำที่เปิดแล้วมาให้ผมดื่มก่อนเข้าฉาก


         “แอบใส่อะไรลงไปในน้ำแล้วให้ไฟกินรึเปล่าเนี่ย” ผมแกล้งแซวอีกคน

         “โถ่ ไฟครับเก่าไปรึเปล่าครับที่พระเอกเขาจะใส่ยาให้นางเอกกินแล้วพาไปฟิชเชอร์ริ่งน่ะ เดี๋ยวนี้เขาใช้วิธีแบบจำเลยรักกัน

หมดแล้วครับ”

         “โรคจิต” ผมว่า

         “อะไรกันร้อนแรงดีออกไฟสนใจไหมครับ” นอร์สว่าพลางส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ก็พาเอาผมทำอะไรไม่ถูกก็ใครมันจะไปรู้ว่า

นอร์สจะพูดเรื่องแบบนี้ในที่สาธารณะน่ะ!!

         “โอ๊ย!! พระนางตรงโน้นน่ะยังไม่ถึงเวลาเข้าฉากอย่าเพิ่งรีบสวีทกันก่อนสิครับเกรงน้ำตาลบ้าง จืดหมดแล้ววว!!” ไอ้วี

ตะโกนบอกผมกับนอร์ส ไอ้วีนี่ปากหาเรื่องใช้ได้สงสัยผมคงต้องหาวิธีเอาสิ่งไม่ดีในปากมันออกซะแล้ว หึ้ย!!

         “ฮิ้ววววว” ยังไม่ทันขาดคำไอ้วีเสียงพี่ๆทีมงานในกองก็พากันโห่แซวผมกับนอร์สเป็นเหมือนลูกคู่รับกับไอ้ไฟ แหม ทีอย่าง

นี้ล่ะสามัคคีกันจังเลยนะ ผมที่ตอนนี้อายไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่อีกคนที่โดนแซวด้วยกลับไม่สะทกสะท้านหรือทุกข์ร้อน

อะไร แถมยังมีหน้ามายิ้มระรื่นหน้าบานเป็นจานดาวเทียมอยู่ข้างๆแทนซะงั้น!?

         “อายบ้างไรบ้างก็ได้นะนอร์ส” ผมหันไปบอกนอร์ส ส่วนอีกคนแทนที่ถูกบอกไปแบบนั้นจะอายบ้างอย่าที่บอก แต่กลับตอบ

ผมกลับมาด้วยท่าทางยิ้มแย้ม

         “จะอายทำไมครับก็เรารักกันนี่” แถมยังมีการทำหน้ายิ้มอย่างกับเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณายาสีฟันคอลเกตส่งให้ผมอีกต่าง

หาก??

         “เฮ้อ!!” นี่ล่ะครับสิ่งที่ผมอยากจะบอกตอนนี้จริงๆ



                         
         “คัทททททททท!!! มึงตั้งใจหน่อยดิวะไอ้ไฟ”

         “แต่กูก็ตั้งใจสุดๆแล้วนะมึง”

         “กูว่าให้เด็กอนุบาลมาแอคติ้งแทนมึงยังจะดูดีเสียกว่า”

         “แล้วมึงจะเอาอะไรอีกล่ะ!!”

         “ก็กูให้มึงทำตามที่กูบอกแต่มึงกลับทำอะไรก็ไม่รู้”

         “ก็กูไม่เคยเรียนแอคติ้งนี่หว่า”

         “งั้นกูขอแนะนำให้มึงไปเรียนกับหม่อมน้อยซะไอ้เพื่อนไฟไม่งั้นงานนี้มึงได้ล่มจมแน่”

         “ได้ทีเอาใหญ่เลยนะมึง”

         “ก็มึงเล่นไม่ดีเองนี่หว่าไอ้ไฟกับอีแค่ฉากโรแมนติกๆเนี่ยนะมึงยังทำไมได้ มึงกลับไปเรียนอนุบาลหมีน้อยเหอะว่ะ!! พี่ๆ

ครับเดี๋ยวไปพักกันก่อนนะครับ เริ่มถ่ายเมื่อไหร่เดี๋ยวผมบอกอีกที” ไอ้วีหันไปมองพี่ๆทีมงานให้แยกย้ายกันไปพัก

           ตั้งแต่ที่เริ่มเข้าฉากในวันนี้วันแรกก็ถือได้ว่าเป็นงานหินสำหรับตัวผมเองจริงๆเพราะถ้าเป็นบทบู๊ล้างผลาญหรือดรามา

น้ำตานองอะไรแบบนั้นผมทำได้หมด แต่ทำไมวันนี้ถึงต้องเป็นฉากโรแมนติกด้วยวะ!! ผมไม่เข้าใจ

         “อย่าเกร็งสิครับไฟ” นอร์สบอกผมก่อนที่เราจะเข้าไปหาที่นั่งพักในกองถ่าย

         “ก็จะไม่ให้ไฟเกร็งได้ยังไงล่ะ ก็ไฟเล่นกับนอร์สนะ”

         “ไฟก็แค่คิดว่าคนที่ไฟเล่นด้วยไม่ใช่นอร์ส ส่วนนอร์สก็จะคิดว่าคนที่นอร์สเล่นด้วยไม่ใช่ไฟเราทั้งคู่จะได้ไม่ต้องเกร็งกันทั้ง

สองฝ่าย”

         “ไม่นะ!!” ผมโพล่งออกไป แต่กลับเห็นอีกคนส่งยิ้มมาให้ผมแทน แค่นี้ผมก็รู้แล้วล่ะว่านอร์สแค่แกล้งผม

         “ทำไมล่ะครับ ดีออกเราจะได้ไม่เกร็งกันด้วย” นอร์สบอกผมอย่างอ่อนโยน แต่จะมาให้ผมคิดเอาเองว่าตอนนี้ผมไม่ได้เล่น

กับนอร์สก็คงจะไม่ได้เพราะมีเพียงคนเดียวที่ผมจะเล่นบทนี้ด้วยนั่นก็คือ......นอร์ส

         “ไม่!ไฟจะเล่นให้ได้นอร์สคอยดูนะ” ผมบอกอีกคนอย่างแน่วแน่ นอร์สจึงยื่นมือมาลูบศีรษะผมอย่างกับผมเป็นเด็กตัว

น้อยๆ ยังไม่ทันที่ผมกับนอร์สจะได้เก็บบรรยากาศอบอุ่นแบบนี้เอาไว้ก็ดันมีเสียงจากนรก(?)ดังขัดขึ้นเสียก่อน

         “ไอ้ไฟฟฟฟ!!!!!!! งานเข้าอีกแล้วมึง”

         “ทำไมวะ มีคนมาจ้างมึงไปเป็นพรีเซนเตอร์อาหารสุนัขเหรอ เอ มึงจะได้ขึ้นปกเพ็ดดีกรีเหรอวะ” ผมว่าไอ้วี มันจึงมอง

ค้อนกลับมาที่ผม

         “เอาไว้ให้มึงขึ้นคนเดียวเหอะ กูไม่ชอบแย่งงานเพื่อน” โห ดูมันย้อน เอาซะผมไปไม่เป็นเลย

         “มึงมีอะไรก็ว่ามาชอบพากูออกนอกเรื่องตลอด” ผมทำท่าเซ็งๆใส่ไอ้วี มันจึงยื่นมือมาเขกหัวผม โคตรจะเจ็บเลย

                 แรงคนหรือแรงควายวะเนี่ย โคตรเจ็บเลย!?

         “เหรอ มึงเหอะที่พากูนอกเรื่อง”

         “เออ มีอะไรก็ว่ามาเวลากูเป็นเงินเป็นทอง” ผมพูดเร่งไอ้วีที่ตอนนี้มันทำหน้าเหม็นเบื่อผมเต็มทน

         “คือว่านักแสดงที่ต้องมาแสดงเป็นเพื่อนรักมึงอ่ะ” ไอ้วีพูดแค่นั้นก่อน จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบไลน์ที่เด้งเมื่อครู่

จากนั้นก็หันมาคุยกับผมต่อ

         “เมื่อกี้กูพูดถึงไหนแล้วนะ กูนึกก่อน....อ้อ กูนึกออกแล้ว คือว่าผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงคนนั้นเขาบอกว่าคนที่จะมารับ

บทนี้ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู”

         “แล้วเขาเป็นอะไรวะ” ผมถามขัดไอ้วี

        “เห็นทางผู้จัดการส่วนตัวบอกว่าประสบอุบัติเหตุขณะถ่ายหนังว่ะ ได้ข่าวว่าเป็นหนักอยู่เหมือนกัน”

         “แล้วไงต่อ”

         “ก็คุณพี่ผู้จัดการนี่สิบอกว่าจะส่งนักแสดงในสังกัดมาให้แทนนักแสดงคนนั้นน่าจะมาถึงเย็นๆนี้ว่ะ”

         “แล้วมึงรู้ป่ะว่าใครมาแทน” ผมถามไอ้วีออกไปซึ่งนอร์สก็พยักหน้าอยากรู้เช่นกัน ไอ้วีก็ได้แต่ส่ายหน้าก่อนตอบผมกับ

นอร์ส

         “กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ คงต้องรอดูเย็นนี้เอาเอง”   

                     
                       
         “โอเคครับทุกคน ฉากนี้นะครับจะเป็นฉากที่เมคินจะบอกรักภัทรซึ่งภัทรจะต้องแสดงสีหน้าที่ซะใจที่เราสามารถทำให้คนที่

เราเกลียดมาหลงรักเราแล้วการแก้แค้นที่ตัวเองวางไว้จะเริ่มต้นขึ้น เฮ้ย ไอ้ไฟมึงฟังอยู่ไหมเนี่ย” 

         “มึงว่าไรนะ” ผมถามไอ้วีในเรื่องที่มันพูดไปเมื่อครู่เพราะผมไม่ได้สนใจในสิ่งที่มันพูดเลยสักน้อยเพราะตอนนี้ผมกังวลใจว่า

ใครจะมารับบทเพื่อนสนิทของผมแทนนักแสดงที่มาเล่นไม่ได้กันแน่

         “มึงจะเหม่อไปถึงไหนเนี่ย”

         “เชียงใหม่” ผมเล่นมุกไปเผื่อไอ้วีมันจะขำ แต่นั่นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

         “กูไม่ตลก” เอ่อ...ตอนนี้ผมเริ่มจะรับรู้ถึงรังสีที่ค่อนข้างจะน่ากลัวออกจากตัวของไอ้วีซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายที่รังสีนั้นจะพุ่ง

ชนก็คงไม่พ้นผมแน่ๆ

         “กูขอโทษ กูเห็นมึงเครียด กูแค่อยากให้มึงหายเครียด” ผมว่าอย่างสำนึกผิด

         “ถ้ามึงอยากจะให้กูหายเครียดมึงก็ต้องตั้งใจทำงานสิ เอาเร็ว ทุกคนพร้อม ประจำที่ 5 4 3 2 1 แอคชั่น” สิ้นเสียงที่ไอ้วีสั่ง

ผมและนอร์สเราทั้งคู่จึงต้องรีบสวมบทบาทของตัวละครที่ได้รับนั้นทันที

           ผมรับบทเป็น ‘ภัทร’ เด็กหนุ่มผู้ที่เต็มไปด้วยความเครียดแค้นที่ถูกฝังใจมาตั้งแต่เด็กเพราะความเข้าใจผิดว่าครอบ

ครัวของ ‘เมคิน’ เป็นคนทำลายครอบครัวตัวเอง เมื่อโตขึ้นภัทรจึงคิดล้างแค้นเมคิน ส่วนนอร์สก็รับบทเป็นเมคินผู้ชายสุดแสน

เพอร์เฟค แต่ต้องมารับผลกรรมที่ตนและครอบครัวไม่ได้ก่อและยิ่งไปกว่านั้นคนที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างก็คือคนที่เมคินรักสุด

หัวใจคือ ภัทร นั่นเอง

         “คัททท!! ฉากนี้เล่นได้ดีมาก คุณนอร์สส่งอารมณ์ให้ไอ้ไฟได้สุดยอดจริงๆ แต่มึงต้องดูเหมือนสะใจอีกนิดนะเว้ยไอ้ไฟ

แต่โดยรวมวันนี้ถือว่าดีมาก โอเคพอแค่นี้พรุ่งนี้เช้าค่อยลุยกันใหม่ แยกย้ายครับ แยกย้าย” ไอ้วีเดินไปคุยกับตากล้องเพื่อเช็ค

เรื่องภาพ แสง และสิ่งเพิ่มเติมที่ต้องใส่ลงไป ก่อนจะสั่งแยกย้ายทุกคนเพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อน

         “น้ำค่ะพี่นอร์ส พี่ไฟ” น้องธีน่าเดินถือขวดน้ำมาให้ผมกับนอร์สคนละขวดซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ผมกับนอร์สยื่นมือ

ออกมาหยิบขวดน้ำพร้อมกันพอดี

         “เอ่อ..” ผมรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ต่อหน้าน้องธีน่า คงไม่ต้องให้พูดถึงสีหน้าของเธอ

ป่านนี้คงจะอมยิ้มแก้มแทบฉีก

         “แหม พี่สองคนใจตรงกันจังเลยนะคะ” น้องธีน่าแซวผมกับนอร์ส ผมที่ตอนนี้รู้สึกว่าทุกอย่างดูจะเกะกะอยู่ไม่น้อยส่วนอีก

คนก็ได้แต่เกาท้ายทอยส่งยิ้มให้น้องสาว

         “ธีน่าไปดีกว่าไม่อยากอยู่รบกวนเวลาสวีทของพวกพี่ จะทำอะไรก็อย่าหักโหมนะคะพี่นอร์ส” น้องธีน่าหันไปบอกกับ

นอร์สก่อนจากไปยังมีการหันมาขยิบตาให้นอร์สเป็นเชิงส่งซิกซึ่งอีกคนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

         “นอร์สว่าเราไปพักผ่อนที่ห้-” ยังไม่ทันที่นอร์สจะได้พูดจบประโยค พี่ทีมงานก็วิ่งมาบอกถึงเรื่องราวของนักแสดงแทนที่ถูก

ส่งตัวมาแทนนักแสดงคนเก่า ดูท่าว่าตอนนี้คงจะมาถึงที่นี่แล้ว   

      “น้องไฟคะนักแสดงคนใหม่มาแล้วค่ะตอนนี้รอทุกคนอยู่ที่ล๊อบบี้ค่ะ” พี่คนนั้นบอกเสร็จก็รีบวิ่งไปเคลียร์งานที่ค้างอยู่ต่อ

ผมกับนอร์สจึงเดินไปดูนักแสดงที่ถูกส่งมาแทนตามที่พี่คนนั้นบอก แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับผงะก็คงจะเป็นใบหน้าหลังแว่นที่

ถูกอีกคนค่อยๆบรรจงถอดมันออกมาจากใบหน้าคมเข้ม

         “พี่ต้าร์!!” ผมไม่รู้เลยจึงจริงๆว่าหายนะของแท้กำลังจะมาเยือนในไม่ช้า


                   
           บรรยากาศภายในห้องของไอ้วีดูจะเข้าสู่โหมดดาร์กและค่อนข้างจะอึมครึม หลังจากที่ถูกคุณผู้กำกับจำเป็นเรียกรวม

เพื่อประชุมถึงนักแสดงคนใหม่ที่ถูกส่งมาแทน

      “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อต้าร์นะครับ พี่แยมส่งผมให้มาทำงานแทนรุ่นน้องที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุ ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ

ที่มาช้าแบบนี้พอดีผมก็เพิ่งจะเสร็จงานก็บินตรงมาที่นี่เลย” พี่ต้าร์กล่าวทักทายและอธิบายเหตุผลที่ตัวเองมาช้า

           พี่ต้าร์ยังคงเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและแสนดีสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับคนที่โดนอีกฝ่ายบอกเลิกอย่างไม่ใยดี

สำหรับผม ผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้าของผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากจอมมารในร่างเทวดาสักเท่าไร ร้ายและสามารถทำลายอย่าง

ทุกอย่างได้เยือกเย็น นั่นแหละคือพี่ต้าร์

         “ไม่เป็นไรครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน” ไอ้วียื่นมือออกไปทักทาย ส่วนพี่ต้าร์ก็จับมือไอ้วีตามมารยาท

         “เช่นเดียวกันครับ” พี่ต้าร์ตอบไอ้วีเสียงเรียบ แต่ผมก็ยังสังเกตเห็นแววตาที่ดูดุดันของทั้งสองฝ่ายที่ต่างคนต่างจับจ้องมอง

อีกคนเอาไว้ ซึ่งนั่นต่างจากหน้าตาที่ดูยิ้มแย้มในภายนอกอย่างสิ้นเชิง

         “ผมว่านี่ก็ถึงเวลาที่นักแสดงและทีมงานควรไปพักผ่อน ฉะนั้นวันนี้ก็พอแค่นี้นะครับ ฝันดีครับ” ไอ้วีบอกก่อนที่ทุกคนจะเริ่ม

ทยอยกันเดินออกจากห้อง แต่ผมก็ยังเห็นว่าไอ้วีมันคอยหันมามองหน้าผมอยู่เป็นระยะๆขณะที่คุยกับพี่ต้าร์ มันคงจะคิดว่าผมคง

จะต้องเสียใจหรือไม่ก็รับไม่ได้อะไรประมาณนั้น ถึงไอ้วีมันจะปากแมว??แต่มันก็รักและเป็นห่วงเพื่อนอย่างผมเสมอ ผมจึง

พยายามทำให้มันเห็นอยู่เสมอว่า ผมเข้มแข็งพอที่จะเจอกับเรื่องเลวร้ายได้

         “มึงโอเคนะไอ้ไฟ” ก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้องไอ้วีก็เดินมากระซิบถามผมเรื่องพี่ต้าร์

         “สบายมากเพื่อน ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมบอกไอ้วีก่อนจะเดินออกจากห้องพร้อมนอร์ส

         “สวัสดีครับไฟ พี่ไม่ได้เจอเรานานเลยนะ” ระหว่างทางที่ผมกับนอร์สกำลังจะเดินกลับห้อง แต่กลับได้ยินเสียงของคนที่ผม

ไม่อยากได้ยินเอ่ยทัก

         “สวัสดีครับ ผมก็ไม่ได้เจอพี่มาตั้งนานแล้วเหมือนกัน” นอร์สชิงพูดตัดหน้าผมไป

         “นอร์สว่าเราไปกันเถอะครับไฟ” นอร์สทักทายพี่ต้าร์เสร็จก็เร่งผมให้รีบกลับห้องทันทีเพื่อที่จะได้รีบๆออกไปจากบริเวณที่

น่าอึดอัดนี้เสียที

         “อืม” ผมตอบรับก่อนที่เราจะเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้อง



                       
         “เดี๋ยวไฟขอนอนเล่นก่อนนะ นอร์สไปอาบน้ำก่อนได้เลย” ผมบอกนอร์สก่อนจะปีนขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงนอน

         “ครับ ตามสบายเลยที่รัก”

         “บ้า!!” ผมตะโกนตามหลังอีกคนที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ คนอะไรก็ไม่รู้ชอบแกล้งให้คนอื่นเขินตลอด ถึงแม้ช่วงหลังๆ

มานี้เวลาที่ผมกับนอร์ส เราอยู่ด้วยกันสองคน นอร์สจะเรียกแทนผมว่าที่รักเสมอ คิดแล้วก็ปริ่ม

   ติ๊ง! เสียงไลน์ในโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมจึงเข้าไปดูข้อความที่ถูกส่งมาจึงได้รู้ว่าใครกันเป็นคนส่ง

   Tar_tar  : พี่ไม่เข้าใจบท ไฟช่วยมาอธิบายให้พี่เข้าใจหน่อยได้ไหม

   Firer : คงจะไม่ได้เพราะตอนนี้ไฟไม่ว่าง

   Tar_tar  : ไฟจะโกรธพี่จะเกลียดพี่อะไรยังไงก็ได้ แต่ไฟต้องไม่เอาเรื่องงานเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว เรื่องนี้พี่ก็เคย

บอกไฟแล้วนะครับ

   Firer : ก็ได้ แล้วจะให้ไฟไปหาพี่ที่ไหน

   Tar_tar  : พี่พักอยู่ห้องข้างๆไฟ แล้วเจอกันนะครับ สุดท้ายผมก็ตอบตกลงพี่ต้าร์ไป

           ก๊อกๆๆ ผมเคาะประตูเรียกคนที่อยู่ด้านในไม่นานอีกฝ่ายก็เปิดออก

          “เข้ามาข้างในก่อนสิครับ” พี่ต้าร์ผายมือเข้ามาด้านในเพื่อให้ผมเดินเข้าไป ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์แปลกๆ แต่ก็คิดว่าตัวเอง

คงจะคิดมากจึงเดินเข้าไปตามคำเชิญของอีกคน พอพี่ต้าร์ปิดประตูห้องเรียบร้อยก็โผเข้ามากอดผมแบบไม่ทันตั้งตัวทันที

         “อ๊ะ” ผมที่ตกใจก็รีบดันอีกคนออก

         “พี่ต้าร์ปล่อยไฟนะ” ผมร้องบอกอีกคน

         “จะให้พี่ปล่อยไฟได้ยังไงก็ในเมื่อพี่คิดถึงไฟตลอดเวลา” พี่ต้าร์ว่าก่อนจะก้มลงไปสัมผัสที่ซอกคอขาวเนียนของผม

         “อืมมม.....แต่พี่กำลังจะแต่งงานนะ อ๊ะ!!” ผมที่พยายามผลักพี่ต้าร์ออกจากตัวแต่ก็สู้แรงพี่แกไม่ได้ก็เลยได้แต่ดิ้นขลุก

ขลักอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกคน

         “ไฟก็รู้ว่าพี่ไม่เคยรักเคธี่เลย คนเดียวที่พี่รักและทุกวันนี้ก็ยังคงรักคือไฟนะ” พี่ต้าร์บอกผมเสียงอ่อนนุ่ม ผมที่ขัดขืนอยู่ใน

ตอนแรกก็หยุดชะงักลงเพื่อคิดทบทวนอะไรบางอย่าง

         “งั้นตอนนี้พี่ต้าร์ปล่อยไฟก่อนได้ไหม” ผมหันไปบอกอีกคนเสียงหวาน พี่ต้าร์มองหน้าผมแวบนึงก่อนจะคลายอ้อม

แขนออก

         “พี่ยังรักไฟอยู่เหรอ”

         “ครับ” พี่ต้าร์ตอบผมกลับพร้อมกับยื่นมือมาสัมผัสกับแก้มขาวนุ่มของผมอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาหาผมอย่าง

ช้าๆ ผมเลยยิ้มให้กับพี่ต้าร์ก่อนจะเอ่ยประโยคที่คิดไว้ออกมา

         “ขอบคุณพี่ต้าร์มากนะครับที่ยังคงรักไฟอยู่” ผมบอกพี่ต้าร์ เจ้าตัวจึงรวบตัวผมเข้าไปกอด

         “ไม่เป็นไ-”

         “ไฟยังพูดไม่จบครับ” ผมรีบบอกขัดอีกคน ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละออกจากผมแต่ก็ยังคงโอบกอดเอวผมเอาไว้หลวมๆ

ผมจึงค่อยๆคลายมือที่โอบกอดอยู่ที่เอวออกซึ่งนั่นก็สร้างความแปลกใจให้กับอีกคน ผมยังคงไม่พูดอะไรออกไปได้เพียงแต่ส่ง

ยิ้มบางๆไปให้ แต่เมื่อหลุดออกจากพันธการของพี่ต้าร์ ผมจึงเอ่ยประโยคที่ค้างไว้ออกมา

         “ไฟแค่อยากขอบคุณในความรู้สึกดีๆที่พี่ยังคงมีให้ไฟ แต่สำหรับไฟสิ่งๆนั้นมันคืออดีต อดีตที่คอยย้ำเตือนไฟอยู่ตลอด

เวลาว่าไฟมันโง่เองที่ไปรักคนไร้หัวใจอย่างพี่ ไฟผิดผิดที่หลงมัวเมาในสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นคุณค่าของเรา แต่ตอนนี้ไฟเจอสิ่งที่

ไฟคิดว่าดีสำหรับตัวเองและใจที่บอบช้ำของไฟแล้วเพราะฉะนั้นเราควรที่จะทิ้งอดีตไว้ข้างหลังให้มันเป็นเพียงความทรงจำที่ดีที่

เราเคยมีต่อกันดีกว่านะครับพี่ต้าร์” ผมอธิบายให้อีกคนฟังก่อนจะเดินออกมา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะทันได้ก้าวเดิน พี่ต้าร์ก็ยื่นมือ

มากระชากแขนผมให้ไปหาตัวเอง

         “มันเป็นใครกันไฟ!!” ดวงตาของพี่ต้าร์วาวโรจน์ดูดุดันน่ากลัว ต่างจากพี่ต้าร์ผู้แสนดีอย่างสิ้นเชิง นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกหวาด

กลัว นอร์สช่วยไฟด้วย!     
















ความเข้มข้นกำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ยังไงก็รอติดตามตอนไปนะคะ ^^ วันนี้ บ๊ายบายยย ค่าาาา


ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ไฟประมาทตั้งแต่ตอบตกลงว่าจะมาเจอกับอีกฝ่ายในห้องของเจ้าตัวเขาแล้วล่ะค่ะ 

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                           แผนการร้ายครั้งที่ 10 : มนุษย์มักชอบนับปัญหา แต่ไม่เคยคำนวณความสุขที่เขามี

         “มันเป็นใครกันไฟ บอกพี่มานะ!!” พี่ต้าร์ขึ้นเสียงใส่ผม

         “โอ๊ย! พี่ต้าร์ก็ปล่อยไฟก่อนสิ ไฟเจ็บนะ” ผมพยายามแกะมือของพี่ต้าร์ออกจากข้อมือของตัวเอง

         “ไม่ พี่ไม่ปล่อยจนกว่าไฟจะบอกพี่” พี่ต้าร์ยืนยันคำเดิม ก่อนจะเพิ่มแรงที่บีบข้อมือของผมให้แรงขึ้นไปอีก

         “เขาจะเป็นใครมันก็ไม่เกี่ยวกับพี่เพราะตอนนี้ไฟก็ไม่ได้รักพี่แล้ว!!” ผมตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย พี่ต้าร์ที่ถูกผมตะโกนใส่ก็ยิ่ง

กลายเป็นว่าเหมือนผมไปเติมเชื้อเพลิงจุดความโกรธของพี่ต้าร์ให้พุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิม พี่ต้าร์จึงดึงตัวผมเข้ามากอดรัดอย่างแรง

         “ไอ้เพื่อนรักของไฟนั่นใช่ไหมที่มันเป็นแฟนใหม่ของไฟ” พี่ต้าร์ถามผมทั้งๆที่ตัวเองก็ยังคงรัดผมไว้แน่น

         “ไม่!!” ผมตอบอีกคนไปก่อนที่จะหาจังหวะที่อีกคนเผลอเตะเข้าไปที่น้องชายสุดรักสุดหวง

         “อึก!” พี่ต้าร์ล้มตัวลงนอนกองอยู่ที่พื้นทันทีที่ผมประทุษร้ายน้องชายพี่ต้าร์ได้สำเร็จ จากนั้นผมจึงรีบวิ่งออกไป แต่ก็ยังถูก

อีกฝ่ายดึงรั้งข้อเท้าเอาไว้จนล้มลง

         “โอ๊ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อสัมผัสถึงความเย็นของพื้นห้อง

         “ไฟยังไปไหนไม่ได้เพราะเรายังคุยกันไม่จบ” พี่ต้าร์บอกก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นมาพร้อมกับเดินตรงมาที่ๆผมล้มลง
         “อย่าเข้ามานะ” ผมร้องบอกอีกคนที่เดินตรงมาที่ผมพร้อมกับช้อนตัวผมขึ้นอุ้ม
         “พี่ต้าร์จะพาไฟไปไหน ไฟบอกให้ปล่อยนะ!” ผมบอกอีกคนที่อุ้มอยู่ ตอนนี้ผมทั้งทุบทั้งดิ้นเพื่อหวังให้ตัวเองหลุดออกจาก

อ้อมแขนนี้

         “อยู่เฉยๆ” พี่ต้าร์บอกก่อนจะพาผมเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง

              งานเข้ามึงแล้วไอ้ไฟฟฟ!!!! ตอนนี้ผมรู้สึกหน้าซีดอย่างบอกไม่ถูก ลมหายใจเริ่มสะดุดเมื่อเห็นอีกคนผลักบานประตู

ห้องนอนออก

         “โอ๊ย!” พี่ต้าร์โยนผมลงบนเตียง ก่อนที่อีกฝ่ายจะยืนกอดอกมองผมอยู่ที่ข้างเตียง ผมจึงมองอีกคนกลับด้วยสายตาไม่พอใจ
         “ไม่ต้องมามองพี่แบบนั้นเลยนะไฟ ไฟรู้ไหมพอพี่ได้ยินไฟบอกว่าหมดรักพี่แล้วพี่แทบจะล้มทั้งยืน” พี่ต้าร์เปลี่ยนโหมดอารมณ์จากที่โกรธเกรี้ยวในเมื่อครู่กลับกลายเป็นอบอุ่นนุ่มนวลแต่ก็แฝงไปด้วยการตัดพ้อ
                 พี่ต้าร์จะมาไม้ไหนกันเนี่ย!!! ตอนนี้ผมเดาอารมณ์ของอีกคนไม่ถูกจริงๆ จากที่เมื่อกี้ยังอารมณ์เสียอยู่ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าน้อยใจที่ผมไม่ได้รักตัวเองแล้วอย่างนั้น ผมไม่ตอบอะไรอีกฝ่ายแต่กลับจ้องหน้าอีกคนอย่างครุ่นคิด แต่ก็ไม่เห็นพิรุธ

หรือความผิดปกติใดๆของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่สัญชาตญาณของผมก็บอกเป็นนัยๆว่า นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

         “พี่ต้าร์จะมาไม้ไหนเนี่ย มีอะไรก็พูดมาตรงๆทีเมื่อกี้ยังโกรธไฟเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้ถึงมาพูดดีกับไฟล่ะ”

         “ไฟรู้ไหมพี่รอไฟมาตลอด รอวันที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง แต่พอพี่เจอไฟ ไฟกลับบอกพี่ว่าไฟมีคนใหม่แล้ว แล้วไฟคิดว่าคน

ที่รอคอยมาตลอดอย่างพี่มาเจอแบบนี้มีเหรอที่จะไม่โกรธ” พี่ต้าร์พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆกับแววตาที่ดูหม่นลงเล็กน้อย นั่นเป็นสิ่งที่

ทำให้ผมเกือบจะยอมเชื่อและใจอ่อนตาม แต่ก็มานึกได้ว่าพี่ต้าร์เป็นถึงดาราดังมีเหรอเรื่องแค่นี้จะทำให้มันดูหน้าเห็นใจนิดๆ

หน่อยทำไมจะทำมันไม่ได้

         “พี่มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”

         “พี่แค่อยากให้ไฟอยู่กับพี่ตอนนี้ก่อนก็เท่านั้นเอง”

         “แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงทำไม่ดีกับไฟ”

         “พี่ขอโทษ พี่แค่คิดถึงไฟ พี่คิดถึงไฟจริงๆนะ” พี่ต้าร์บอกผมเสียงเศร้าๆซึ่งนั่นดูเหมือนไม่เป็นการแสดงที่เจ้าตัวมักชอบทำ

เลยแม้แต่น้อย นั่นก็ทำให้ผมใจอ่อนและตอบตกลงที่จะอยู่เป็นเพื่อน ทั้งๆที่ก็ยังคงระแวงอีกฝ่ายเพียงแต่ผมไม่อยากจะทำเรื่อง

ราวให้มันบานปลายใหญ่โตก็เท่านั้นเอง

         “ก็ได้ แต่ไฟอยู่ได้ไม่นานนะ” ผมบอกพี่ต้าร์ อีกคนก็พยักหน้ารับตกลงอย่างดีใจ

         “ได้ แต่ต้องแลกกับการตอบคำถามของพี่หนึ่งข้อนะ” พี่ต้าร์ยื่นข้อเสนอ ผมคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบตกลง

         “ตอนแรกที่เราคุยกัน ไฟบอกกับพี่ว่าไฟไม่ได้รักพี่แล้ว” พี่ต้าร์พูดกับผมก่อนจะหันมามองผมเป็นเชิงถาม ผมจึงพยักหน้ารับ

         “งั้น....พี่อยากจะขอเป็นพี่ชายไฟแทนจะได้ไหม??” พี่ต้าร์ถาม ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆที่ทำไมอยู่ๆพี่ต้าร์ก็อยากจะ

เปลี่ยนสถานะจากที่ในตอนแรกพยายามที่อยากจะให้ผมกลับไปรักกับตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่ตอนนี้ก็กลับเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ

 ผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมไม่สามารถเข้าถึงความคิดของอีกฝ่ายในตอนนี้ได้จริงๆ

         “ก็แล้วแต่พี่ละกันไฟยังไงก็ได้ ถ้าพี่อยากจะเป็นพี่ไฟ ไฟก็ไม่ได้ว่าอะไร” ผมบอกอีกคนถึงแม้ผมจะรู้สึกแปลกๆก็เถอะ แต่ก็

คิดซะว่า มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียด เป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู

         “งั้นพี่ว่าเรามาฉลองกันดีกว่า ถึงแม้ว่าการฉลองในครั้งนี้สถานะของพี่อาจจะลดลงก็ตาม” พี่ต้าร์บอกผมก่อนจะเดินออกจาก

ห้องไป ผมที่อยู่ในห้องของพี่ต้าร์ก็พลางสำรวจห้องของอีกคนทั้งๆที่นี่มันก็เป็นที่พักโรงแรมแถมห้องก็ยังเหมือนของผมอีกต่าง

หาก แต่ยังไงจะสำรวจไว้สักหน่อยก็น่าจะดี

    ติ๊ง!! เสียงไลน์ในโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ผมจึงลุกขึ้นเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ก็ดันลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองยัง

เจ็บข้อเท้าอยู่ ผมนี่ยืนขึ้นเลยครับ จี๊ดจริงๆครับ บอกเลย

   NORSE : ตอนนี้ไฟอยู่ที่ไหนครับ นอร์สไปหาไฟที่ห้องคุณปฐวีก็ไม่เจอ ทำไมไฟจะไปไหนไม่ยอมบอกนอร์สล่ะครับรู้ไหมนอร์ส

เป็นห่วงไฟมากเลยนะครับ

   Firer : เอ่อ..ไฟขอโทษ พอดีว่าไฟมาคุยงานกับพี่ๆทีมงานน่ะเดี๋ยวอีกสักพักไฟก็กลับแล้ว ไม่มีไรต้องเป็นห่วง

   NORSE : ทีหน้าทีหลังก็บอกกันก่อนนะครับ รู้ไหมว่ายังมีใครหลายๆคนเป็นห่วง อย่ากลับดึกนะครับนอร์สคนหนึ่งล่ะที่เป็นห่วง

   Firer : คร๊าบบบ!!คุณพ่อ

   NORSE : พ่อของลูกไฟน่ะใช่ครับ!!

         “เครื่องดื่มสำหรับฉลองมาแล้วนะ” ผมที่คุยไลน์กับนอร์สในตอนแรกก็สะดุ้งกับเสียงของอีกคนที่หายออกไปจากห้อง จึง

ทำให้ผมรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงทั้งๆที่ก็ยังคุยกับนอร์สไม่ทันจบ

         “พี่ต้าร์ไปไหนมาเหรอครับ ไปซะนานเชียว” ผมพยายามเฉไปเรื่องอื่นก่อนที่พี่ต้าร์จะถามผมเรื่องคุยโทรศัพท์กับใครเพราะ

ผมเห็นว่าพี่ต้าร์มองมาที่โทรศัพท์ที่ผมเพิ่งเก็บลงกระเป๋า

         “พี่ลงไปซื้อไวน์ข้างล่าง ขอโทษทีที่ทำให้เรารอ อ่ะ” พี่ต้าร์บอกผมก่อนจะยื่นแก้วไวน์มาให้ ผมจึงรับแก้วไวน์นั้นมา แต่ก็ยัง

คงถือไว้อย่างเดิมไม่ได้แตะมันแม้สักหยดเดียว

         “ไฟไม่ดื่มเหรอ ไวน์แดงของชอบเราไม่ใช่เหรอ” พี่ต้าร์ถามผม ผมจึงหันไปมองอีกคนที่ยังคงมองผมยิ้มๆ พี่ต้าร์ยังคงจำ

เรื่องของผมได้และผมก็ยังจำเรื่องของพี่ต้าร์ได้ดี แม้เรื่องราวระหว่างเรามันจะจบลงไปแล้วก็ตาม

         “ครับ แต่ว่าถ้าไฟดื่มแก้วนี้แล้วไฟคงต้องขอตัวกลับก่อน”

         “แล้วแต่ไฟได้เลย แค่ไฟยอมอยู่กับพี่แค่นี้พี่ก็พอใจแล้ว” พี่ต้าร์ว่าก่อนจะเดินเข้ามาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้ง

ก่อน
     

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
               
         “อ๊ะ” หลังจากที่ผมดื่มไวน์เสร็จก็เตรียมจะลุกออกจาห้องพี่ต้าร์ แต่ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะหน้ามืดยังไงชอบกล พี่ต้าร์ที่ยืนอยู่จึงเข้ามาพยุงผมไว้
         “ไฟเป็นอะไรไปเหรอ ไหวรึเปล่า” พี่ต้าร์ถามผมพร้อมกับพยุงผมเอาไว้
         “ไหวครับ” ผมบอกพี่ต้าร์ก่อนจะค่อยๆปรับสภาพตัวเองให้ดูเป็นปกติซึ่งนั่นมันเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับผมในตอนนี้
         “พี่ว่าไฟพักที่นี่สักคืนก็ได้นะ” จากนั้นพี่ต้าร์ก็พยุงผมมาที่เตียง ผมจึงรีบขืนตัวออกขณะที่พี่ต้าร์กำลังจะให้ผมล้มตัวนอนลงกับเตียง
         “ไม่เป็นไรครับ ไฟยังไหว ไฟว่าไฟกลับไปพักที่ห้อ- อ๊ะ” ยังไม่ที่ผมจะได้พูดจบประโยคพี่ต้าร์ก็ผลักผมล้มลงนอนกับเตียงพร้อมกับที่ตัวของพี่ต้าร์เองก็คร่อมทับผมไว้ แต่คราวนี้ผมไม่สามารถขัดขืนอะไรพี่ต้าร์ได้เลยแม้แต่น้อยเพราะเรี่ยวแรงที่ผมเคยมีก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับหายไปที่ไหนไม่รู้เสียหมด ประกอบกับอุณหภูมิภายในร่างกายที่ดูท่าว่าน่าจะสูงขึ้นกว่าปกติ
         “พี่ต้าร์จะทำอะไร!” ผมถามออกไปทั้งๆที่คิดว่าตัวเองก็รู้อยู่แล้ว
         “ทั้งพี่ทั้งไฟต่างก็อยู่ในสภาพแบบนี้ทั้งคู่คงไม่ต้องให้พี่บอกอะไรหรอกมั้งว่าต่อจากนี้เราจะทำอะไรกัน” ผมขัดขืนพี่ต้าร์เพื่อที่ตัวเองจะได้หลุดออกจากเรื่องบ้าๆนี้เสียที แต่ก็นึกเอะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
                      ไอ้ไฟมึงโดนพี่ต้าร์วางยา!!!

         “สงสัยยาคงจะออกฤทธิ์แล้วล่ะ ดูไฟของพี่สิไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนพี่เลยแม้แต่น้อย” ผมที่ตอนนี้นอนหายใจรวยระรินอย่าง

คนจะขาดใจก็ไม่ปาน พี่ต้าร์ค่อยๆยื่นมือมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าแถมยังชุ่มไปด้วยเหงื่อของผมออกจากใบหน้าอย่างแผ่วเบา

ผมที่นอนอยู่เมื่ออีกคนยื่นมือมาสัมผัสก็อยากจะปัดมือนั่นให้ออกไปให้พ้นๆใบหน้าของตัวผมเอง แต่เรี่ยวแรงที่จะใช้ในการ

หายใจยังแทบจะไม่มีเลยได้แต่ต้องยอมให้อีกคนเกลี่ยปอยผมนั่นต่อไป

         “ถ้าไฟไม่ต่อต้านพี่ ดื้อใส่พี่ป่านนี้เราคงจะมีความสุขไปตั้งนานแล้ว” พี่ต้าร์ว่า ก่อนจะขยับตัวเข้ามาแนบชิดกับผมมากขึ้น

         “พี่ต้าร์จะ...จะทำอะไร” ผมร้องเสียงหลงที่พี่ต้าร์เริ่มปลดกระดุมเสื้อผมทีละเม็ด

         “ไม่ต้องกลัวนะไฟ ยังไงซะวันนี้ไฟก็ต้องเป็นของพี่ ถ้าในเมื่อพี่ไม่ได้ก็อย่าหวังว่าใครหน้าไหนมันจะได้ไฟของพี่ไปครอบ

ครอง” พูดจบพี่ต้าร์ก็ก้มลงซุกไซ้ซอกคอขาวเนียนของผมทันที

           ผมที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรอีกฝ่ายได้แถมยังโดนฤทธิ์ของยาที่อีกคนหลอกให้กินเข้าไปเริ่มจะเล่นงาน ความต้องการและ

ความปรารถนาที่เกิดจากฤทธิ์ของยาเริ่มสูงขึ้นยากเกินกว่าที่ผมจะต้านทานเอาไว้ได้ ชิ้นส่วนของเสื้อเชิร์ตที่ผมใส่อยู่ในครั้งแรก

กลับร่วงหล่นลงไปอยู่ ณ ที่พื้นข้างเตียงก่อนที่จะตามมาด้วยเสื้อเชิร์ตของอีกคนเช่นเดียวกัน

         “อืมมม” เมื่ออีกคนเริ่มที่จะลงต่ำเรื่อยๆจนมาหยุดที่แผ่นอกขาวเนียน จากนั้นทุกอย่างก็หยุดชะงักลง

         “ทีนี้ไฟรู้แล้วรึยังว่าไฟยังรักพี่อยู่แล้วทำไมพี่จะทำเรื่องแบบนี้กับไฟไม่ได้” ผมที่เรียกสติของตัวเองกลับเข้ามาได้ หลังจาก

ที่มันหลุดลอยออกไปเพราะฤทธิ์ของความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้าด้วยฤทธิ์ของยาที่อีกฝ่ายใช้

         “ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะพี่ต้าร์ใช้ยากับไฟ..อ๊ะ..ต่างหาก..อืมม...เพราะตอนนี้ไฟไม่..อืมม..อ๊ะ..รักพี่...แต่ไฟรักนอร์ส”  ผม

บอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับความต้องการที่สูงขึ้นเรื่อยๆ พี่ต้าร์ที่ได้ยินผมเอ่ยชื่อนอร์สก็ถึงกับนิ่งชะงักไป ก่อนที่จะ

หัวเราะเยาะเย้ยออกมา

         “หึ ไอ้ลูกพี่ลูกน้องของพี่คนนั้นน่ะเหรอ เหอะ พี่จะบอกอะไรไฟให้รู้นะว่าคนอย่างมันไม่มีน้ำหน้ามาทำให้ไฟของพี่มีความสุข

ได้หรอก” พี่ต้าร์ว่าก่อนจะจะก้มลงมาที่หน้าอกนวลเนียนของผมเพื่อที่จะทำสิ่งที่ทำค้างไว้ในเมื่อครู่ต่อ ริมฝีปากร้อนของพี่ต้าร์

ต่อยๆลากผ่านบริเวณอกนวลเนียนของผมแผ่วเบา เนิบช้า แต่ก็ปลุกความต้องการให้สูงขึ้นได้ และนั่นก็พาลทำให้ผมแทบดิ้น

พล่านเพราะความทรมานจากสัมผัสที่คล้ายจงใจจะแกล้งเล่นและจากฤทธิ์ของยากับความรู้สึกแปลกๆที่ก่อตัวขึ้น ไม่ใช่ความรู้สึก

รัก แต่เป็นความปรารถนาและความต้องการอีกฝ่ายมากกว่า

         “ตอนนี้ไฟต้องการพี่แล้วใช่ไหม” พี่ต้าร์บอกผม ซึ่งในตอนนี้หัวสมองของผมไม่ได้รับรู้อะไรทั้งสิ้นรู้เพียงแต่อยากที่จะปลด

ปล่อยความต้องการและความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ให้หมดไปเสียทีและความทรมานที่มีอยู่นี้จะได้เลือนหายไป ผมจึงพยักหน้า

ตอบรับอีกฝ่าย แต่ก่อนที่อีกคนจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ประตูห้องก็ถูกพังด้วยแรงของผู้มาใหม่อีกสองคน

         “ไฟ/ไอ้ไฟ” ผมจึงหันไปตามเสียงเรียกชื่อของตัวเองที่ดังออกมาจากหน้าห้องนอน

         “นอร์ส” ผมเรียกนอร์สด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

         “ไอ้ชาติชั่ว” เสียงไอ้วีว่าพี่ต้าร์ก่อนที่มันจะลากพี่ต้าร์ไปจัดการ ส่วนผมที่ตอนนี้มีนอร์สเข้ามาดูแล

         “ไฟเป็นอะไรรึเปล่า ไอ้ต้าร์มันได้ทำอะไรไฟไหม นอร์สขอโทษที่นอร์สช้า แต่ถ้านอร์สเอะใจเร็วกว่านี้เรื่องบ้าๆแบบนี้ก็คงไม่

เกิด” นอร์สค่อยๆพยุงผมให้นั่ง แต่ทันทีที่อีกคนยื่นมือมาผมก็รีบโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้พร้อมกับหยดน้ำที่ค่อยๆไหลออกมาจากลูก

แก้วใสอย่างช้าๆ

         “ฮึก..ไฟขอโทษนะ ไฟไม่รู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ นอร์ส ไฟกลัว ฮึก ไฟกลัว” ผมบอกอีกคนไปพลางสะอื้นไห้ไป นอร์สจึง

ยื่นมือมาลูบหัวผมเพื่อปลอบประโลม

         “ไฟไม่ต้องกลัวนะครับ ตราบใดที่ไฟยังมีนอร์สอยู่ นอร์สจะปกป้องไฟเองนะ” นอร์สพูดกับผม ก่อนจะปาดหยาดน้ำตาที่เลอะ

ทั้งสองข้างแก้มให้

         “สัญ..ฮึก...สัญญานะ” ผมยื่นมือไปเกี่ยวก้อยสัญญา

         “สัญญาครับ” นอร์สก็ยื่นมือมาเกี่ยวก้อยเพื่อตอบรับคำสัญญากับผมเช่นกัน








                   
            ผมถูกนอร์สพาออกมาจากห้องพี่ต้าร์พร้อมกับสวมเสื้อคลุมของนอร์สเอาไว้เพราะเสื้อผ้าของผมตอนนี้สภาพก็คงจะไม่

เหลื้อชิ้นดีไปแล้ว และตอนนี้สภาพพี่ต้าร์ก็ค่อนข้างที่จะย่ำแย่เอามากๆ ที่เป็นเช่นนั้นก็เกิดจากฝีมือของไอ้เพื่อนรักตัวดีของผม

         “มึงเป็นไงบ้างไอ้ไฟ ไอ้เลวนี่ได้ทำอะไรมึงรึเปล่า” ไอ้วีถามผมหลังจากที่จัดการพี่ต้าร์เสร็จ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

         “ผมว่าไฟโดนวางยา” นอร์สบอกไอ้วีเพราะสภาพผมตอนนี้ที่ถูกนอร์สอุ้มออกมาจากในห้องพี่ต้าร์ดูจะย่ำแย่ ความร้อนที่เคย

ก่อตัวขึ้นแต่ค่อยๆจางไป ตอนนี้ได้เริ่มก่อตัวขึ้นภายในร่างกายอีกครั้งและนั่นแทบจะทำให้ผมอยากจะขาดใจเสียให้ได้ ความ

อึดอัดและความทรมานผสานกับความปรารถนาที่มีมากล้น แต่ไม่ได้รับการปลดปล่อย

      “อืมม” ความอึดอัดเริ่มเล่นงานมากขึ้นทำให้ผมอยู่ไม่สุขในอ้อมแขนของอีกคน ผมรีบเอื้อมมือไปโอบรอบคอของนอร์ส

พร้อมกับซุกหน้าลงกับอกแกร่งของอีกคนเพื่อบังคับไม่ให้สิ่งที่ซ้อนเร้นได้หลุดลอดออกมา

         “ผมว่าคุณนอร์สพาไอ้ไฟไปที่ห้องน่าจะดีกว่าเดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง” ไอ้วีหันมาบอกนอร์ส ซึ่งเจ้าตัวก็พาผมออกมาจาก

ห้องพี่ต้าร์โชคดีที่ห้องของพี่ต้าร์อยู่ไม่ไกลจากห้องของผมนักจึงทำให้ผมและนอร์สมาถึงห้องโดยเร็ว

         “เดี๋ยวนอร์สไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้นะครับ” หลังจากที่นอร์สพาผมเข้ามาในห้องก็ตรงดิ่งมายังเตียงเพื่อให้ผมได้พักผ่อนซึ่ง

เจ้าตัวก็จะไปหาผ้ามาเช็ดตัวให้

         “อย่าไปนะ ไฟกลัว มัน..อืม..อึดอัด..มันร้อน” ผมรีบจับมืออีกคนที่ทำท่าจะผละออกไปให้อยู่ต่อ

         “ถ้าไม่ให้นอร์สไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ไฟแล้วไฟจะหายร้อน หายอึดอัดไหมครับ” ผมชั่งใจอยู่ครู่ก่อนจะพยักหน้าให้นอร์ส

ออกไป

         ทันทีที่อีกฝ่ายก้าวเดินออกจากห้อง ผมที่นอนอยู่คนเดียวภายในห้องนอนกลับรู้สึกเหมือนบางอย่างเป็นสัญญาณเตือนว่า

ครั้งนี้มันทนไม่ไหวเสียแล้ว แต่ผมก็ยังพยายามกัดฟันและข่มตาหลับเพื่อไม่ให้นึกถึงสัมผัสที่หยาบโลนของอีกคนเพราะตอนนี้

บางอย่างเริ่มจะสิ้นสุดขีดความจำกัดที่วางไว้ มันเริ่มค่อยๆลดลงทุกทีๆและอีกไม่นานมันคงจะต้องประทุออกมา

         “ไฟครับ” ผมที่ได้ยินเสียงนอร์สเรียก แต่ก็ไม่สามารถลืมตาไปมองได้เพราะตอนนี้ผมข่มตาลงเพื่อระงับความปรารถนาที่

กำลังจะประทุเช่นเดียวกับภูเขาไฟที่ไม่นานคงได้ระเบิดและปะทุแมกมาออกมาสู่ภายนอก

         “คืออ..นอร์ส..ออกไปก่อน..ได้ไหม” ผมพยายามบอกอีกคนทั้งๆที่เสียงของตัวเองนั้นแหบพร่ากับความปรารถนาที่พวยพุ่ง

สูงขึ้น

         “…………” นอร์สไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงแรงที่ทำให้เตียงด้านข้างยุบลง

         “นอร์ส!!” ผมตกใจที่เห็นอีกฝ่ายลงมานั่งอยู่ที่เตียงด้านข้าง

         “ไฟครับให้นอร์สได้ดูแลไฟนะครับ” นอร์สบอกผมก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสที่ข้างแก้มผมอย่างแผ่วเบาเพราะความอบอุ่นและ

อ่อนโยนที่อีกคนมีให้ ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธความต้องการนี้ได้

            ไฟอยากจะให้นอร์สดูแลไฟจากนี้และตลอดไป......





                     
           บรรยากาศภายในห้องนอนร้อนระอุไปด้วยแรงปรารถนาและแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นยากที่จะหาสิ่งใดมาทานไว้ได้ ถึงแม้จะ

มีความเย็นของเครื่องปรับอากาศเปิดอยู่ภายในห้องก็ตามที ซึ่งความเย็นนั่นก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรหลายๆอย่างดีขึ้น ไม่ได้ช่วยลด

อุณหภูมิความร้อนภายในห้องให้เย็นลงได้ เปรียบเหมือนดั่งยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุที่มีพายุทรายพัดผ่าน ความแรง

ของพายุโหมกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีทีท่าว่าจักหยุดจักหย่อน แต่กลับเกิดขึ้นในทางตรงกันข้าม ความแรงของพายุทรายกลับ

ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากเดิมที่มีพายุเพียงลูกเดียวกลับเพิ่มขึ้นไปทีละลูกตามแรงของความร้อนในทะเลทรายและ

ความต้องการของจิตใจ  แต่ถึงแม้ทะเลทรายจะมีพายุพัดผ่านหรือร้อนแรงมากแค่ไหนก็ยังคงมีแหล่งโอเอซิสคอยหล่อเลี้ยงชีวิต

ให้ชุ่มช่ำและบรรเทาความร้อนแรงของพายุทรายในครั้งนี้ได้และไม่นานความรุนแรงของพายุก็สงบลงจนกลับคืนสู่ความปกติเช่น

เดิม

                     
         “อืม เช้าแล้วเหรอ” ผมที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเริ่มรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกใครกอดรัดร่างตัวเองเอาไว้

         “ครับ เช้าแล้ว” ผมได้ยินเสียงเหมือนนอร์สตอบกลับมาจึงหันไปมองเตียงฝั่งด้านข้างก็พบว่ามีอีกคนนอนกอดผมเอาไว้

หลวมๆ

         “นอร์ส” ผมเรียกชื่ออีกคนแผ่วเบา จากนั้นภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ค่อยๆไหลเข้าสู่สมองที่กำลังประมวลภาพและความคิดที่

งุนงงของตัวเองให้เข้าที่ เมื่อเรียงลำดับความคิดได้ลงตัว ก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ทำเรื่องน่าอายอะไรให้อีกคนได้เห็น

บ้าง ยิ่งประกอบกับตอนนี้ตัวผมก็ไม่ได้มีเสื้อผ้าติดตัวอยู่เลยสักชิดต่างจากอีกคนที่เสื้อผ้ายังคงอยู่ครบดีทุกชิ้นส่วน

          “นอร์สว่าไฟควรไปอาบน้ำนะ เดี่ยวนอร์สพยุงไปส่งที่ห้องน้ำ” นอร์สลุกจากเตียงก่อนจะทำท่าอุ้มผมไปห้องน้ำ ผมจึงต้อง

รีบลุกจากเตียงและออกปากปฏิเสธ

         “เอ่อ...ไม่เป็นไร ไฟไปเองได้” ผมบอกนอร์สก่อนจะทำท่าลุกขึ้นยืน แต่ยังไม่ทันที่ผมจะยืนและทรงตัวก็มีอันต้องล้มลงไป

กองที่พื้นเพราะความเจ็บร้าวบริเวณสะโพกที่แล่นริ้วขึ้นมาทำให้ผมไม่สามารถยืนขึ้นได้

         “โอ๊ย!!” ผมร้องเสียงหลง อีกคนที่เห็นผมล้มลงไปกองที่พื้นก็รีบเข้ามาพยุงให้ผมพืนขึ้น

         “นอร์สบอกแล้วไงว่าไฟเดินไม่ไหวหรอก นอร์สว่าไฟต้องให้นอร์สพาไปส่งที่ห้องน้ำแล้วล่ะ” นอร์สบอกก่อนจะอุ้มผมไปส่งที่

อ่างน้ำที่มีน้ำอุ่นๆอยู่ในอ่าง

         “นอร์สเป็นคนเตรียมให้ไฟเหรอ” ผมถามออกไป อีกคนไม่ตอบคำถามแต่กลับส่งยิ้มมาให้แทน

         “อาบน้ำให้สบายนะครับ เดี๋ยวนอร์สไปหาข้าวมาให้ไฟทานนะครับ”

         “อืม” ผมตอบคนที่เดินออกจากห้องน้ำไป

           การที่ผมได้แช่น้ำอุ่นๆมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเหนื่อยและเมื่อยล้าที่สะสมไว้ตั้งแต่เมื่อวาน มันทำให้ผมสบาย

ตัวขึ้นไปได้เยอะ ผมใช้เวลาไม่นานมากในการแช่น้ำอุ่น เพราะผมรู้ว่าอีกสักเดี๋ยวคนที่ออกจาห้องไปก็จะกลับเข้ามาในห้องแล้ว

          “อย่าดื้อสิครับไฟ ไฟต้องทานนะครับไม่งั้นเดี๋ยวไม่สบาย”

         “ไม่เอาอ่ะ นอร์สก็รู้ว่าไฟไม่ชอบกินยา มันขม!!” ผมบอกนอร์สออกไปเพราะตอนนี้นอร์สบังคับผมให้กินยาลดไข้กันเอาไว้

แต่ผมเป็นคนที่เกลียดการกินยามาแต่ไหนแต่ไรมีเหรอที่ผมจะยอม  ฝันไปเถอะ!!

         “อย่าให้นอร์สต้องบังคับไฟนะ”

         “นอร์สจะทำอะไรไฟ”

         “ก็ทำอย่างนี้ไงครับ!!” นอร์สเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะนำยาแก้ไข้ใส่ปากตัวเองพร้อมกับดื่มน้ำ จากนั้นก็ก้มลงมาประกบปาก

ผมทันที เม็ดยารสชาติไม่ถูกปากค่อยๆไหลลงคอตามน้ำที่อีกฝ่ายค่อยๆปล่อยออกมาให้ร่วงลงสู่ลำคอ แต่การกินยาของผมใน

ครั้งนี้รสชาติของยาที่ว่าขมเมื่อถูกอีกคนป้อนแบบนี้กลับรู้สึกว่าหวานขึ้นทันตา

         “อืมม” จากตอนแรกผมถูกนอร์สป้อนยาแต่ต้อนนี้กลับกลายเป็นการจูบที่ดูดดื่มระหว่างผมและนอร์สไปเสียแล้ว

         “อุ้ย!!” ผมและนอร์สที่ได้ยินเหมือนเสียงคนผลักประตูกับเสียงร้องตกใจของแขกผู้มาใหม่ที่เข้ามาโดยไม่ได้เคาะห้องจึง

ต้องรีบผละออกจากกันแทบจะทันที

         “เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณนอร์สที่เข้ามาไม่ได้เคาะประตูก่อน” ผมที่ผละออกจากนอร์สก็ได้แต่นั่งหอบหายใจเพราะขาด

อากาศจากรสสัมผัสที่ดูดดื่มเมื่อครู่แล้วก็ได้รู้ว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาโดยพละการคือใคร

         “ไม่เป็นไรครับคุณปฐวี ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอครับ” นอร์สให้ไอ้วีเข้ามานั่งห้องก่อนจะถามถึงสาเหตุที่มันมาหาผมและ

นอร์ส ระหว่างที่ไอ้วีเดินเข้ามานั่งมันก็ชำเลืองมองมาทางผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยก่อนจะปรับให้ปกติแล้วหันไปคุยกับ

นอร์ส ซึ่งผมก็ทำเป็นไม่สนใจ

         “อ้อ คือผมจะมาเรียกทุกคนไปประชุมเรื่องการยกเลิกถ่ายทำต่อน่ะครับ”

         “ได้ครับแล้วให้เจอกันที่ไหนครับ”

         “ที่ล๊อบบี้โรงแรมครับ”

         “งั้นอีกเดี๋ยวผมกับไฟจะไปที่ล๊อบบี้นะครับ”

         “ครับ แต่ว่าจะทำอะไรก็เห็นใจเพื่อนผมหน่อยนะครับ ไอ้ไฟน่ะมันลูกคุณหนู” ไอ้วีบอกนอร์สก่อนจะหันมาพูดกับผม

         “มึงก็เหมือนกันอย่าอ่อยคุณนอร์สเขาให้มากนักล่ะเดี๋ยวตัวเองจะเจ็บตัวซะเปล่าๆ ฮ่าๆๆ” หนอย!!!ไอ้เพื่อนวี ไอ้เพื่อนเวร

ผมไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาสรรเสริญ?มันจริงๆ  มีอย่างที่ไหนมาหาว่าผมอ่อยนอร์ส ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องจริงมาตั้งแต่ต้นก็เถอะ!!?

         “ไปก่อนนะครับคุณนอร์ส อย่าลืมที่ผมพูดนะครับ จัดเบาๆ ให้เพื่อนผมก็พอ” พูดจบไอ้วีก็เดินออกจากห้องไป นอร์สจึง

ตะโกนไล่หลังไอ้วีไปว่า

         “ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดเบาๆ ให้ก็แล้วกัน”  โอ๊ย!!ผมอยากจะบ้าตาย

         “มองอะไรไม่ทราบ”

         “ก็มองไฟน่ะสิครับ”

         “กวนไฟเหรอ”

         “เปล่าครับ แต่นอร์สว่าเราน่าจะมาจัดเบาๆตามที่คุณปฐวีเสนอดีกว่านะครับ” พูดจบนอร์สก็เดินตรงมาที่ผมก่อนจะอุ้มผมไปที่

เตียง

           มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย แล้วทำไมผมไม่ขัดขืน นอร์สนะนอร์สบทจะหื่นก็หื่นเอาแบบไม่แคร์ใครเลยจริงๆ !!!



                 
         “วันนี้ที่ผมเรียกประชุมกับพี่ๆทุกคนเพราะเมื่อคืนเกิดเหตุร้ายบางอย่างขึ้นกับไอ้ไฟซึ่งสาเหตุก็มาจากไอ้ผู้ชายเลวๆที่ชื่อต้าร์

ผมเลยอยากจะบอกพี่ๆว่าเราคงต้องงดการถ่ายทำและเดินทางกลับประเทศไทย”

         “ซึ่งเราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ ฉะนั้นผมอยากจะให้พี่ๆเตรียมตัวเก็บของเพื่อออกเดินทางให้เรียบร้อยนะครับ” ไอ้วีชี้แจง

รายละเอียดและเหตุผลที่งดการถ่ายทำต่อและให้เตรียมเก็บของเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้

         “พี่ไฟเป็นอย่างไรบ้างคะ ธีน่าก็เพิ่งจะทราบข่าวจากพี่นอร์ส” น้องธีน่าตรงเข้ามาถามผมเมื่อเธอเห็นผมกำลังจะเดินออก

จากล๊อบบี้โรงแรมหลังจากที่ฟังไอ้วีชี้แจงจบ

         “พี่ว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะนะ”

         “ค่ะ” ผมกับน้องธีน่าจึงไปคุยกันร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ แต่ผมก็ยังต้องบอกนอร์สอยู่ดีเพราะเจ้าตัวได้สั่งกำชับผมเอาไว้ว่า

ถ้าผมจะไปไหนไม่ว่าจะใกล้หรือไกลและไปกับใครก็ต้องรายงานตัวเองตลอด ตอนแรกผมก็ไม่ยอม แต่พอนอร์สอ้างถึงเรื่องที่

เกิดขึ้นกับพี่ต้าร์ผมจึงยอมทำตาม

         “เรื่องมันเป็นไงมาไงคะ” เมื่อมาถึงน้องธีน่าก็รีบตรงเข้าประเด็น

         “พี่ถูกพี่ต้าร์วางยาน่ะ” ผมบอกน้องธีน่าตามตรงเพราะผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบอ้อมค้อมไปทำไม

         “เลวจริงๆ แล้วนี่พี่ไฟปลอดภัยนะคะ”

         “ครับ โชคดีที่ไอ้วีกับนอร์สช่วยพี่ทัน”

          “พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยนางเอก เฮ้อ!!!ช่างโรแมนติกเสียจริง”เกี่ยว? ผมจึงรีบเข้าเรื่องที่จะคุยกับน้องธีน่าไว้

         “คือที่พี่ให้น้องธีน่ามาคุยกับพี่ที่นี่เพราะพี่มีเรื่องอยากจะบอกน้องธีน่า”

         “อะไรเหรอคะ??”

         “พี่ว่าเราน่าจะยกเลิกไอ้แผนบ้าๆนี้นะ”

         “ทำไมเหรอคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ หรือว่าพี่สองคนทะเลาะกัน!!”

         “เปล่าครับ คือ..พี่ไม่อยากจะโกหกนอร์ส พี่กลัวว่า ถ้านอร์สรู้ว่าที่พี่ดีด้วยมันเป็นเพราะแผนการที่เราสองคนได้วางไว้ พี่-”

         “งั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาไฟก็ไม่เคยรักนอร์สเลยน่ะสิ!!!”

         “นอร์ส!!! มันไม่ใช่อย่างที่นอร์-”

         “นอร์สเกลียดคนโกหก!!!!!”

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
                                       แผนการร้ายครั้งที่ 11 : เพื่อน..คือคนที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณและยังรักคุณ

                  ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผมกับนอร์สก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย หลังจากที่อีกคนรู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น มันมาจากการ

วางแผนของผมและน้องธีน่า แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดระหว่างผมกับนอร์สไม่ได้

เป็นเรื่องล้อเล่นหรือแผนการแต่อย่างใด

         “เฮ้อ!”

         “มึงจะถอนหายใจอีกนานไหมวะไอ้ไฟ” ผมที่ตอนนี้นั่งถอนหายใจอยู่ในห้องทำงานพร้อมกับมีไอ้วีเพื่อนรักเข้ามาคุยงานด้วย

         “ก็กูเครียดนี่หว่า มึงรู้ไหมไอ้วีกูติดต่อนอร์สไม่ได้เลยนะ” ผมบอกถึงสาเหตุที่ตัวเองเอาแต่นั่งถอนหายใจให้เพื่อนฟัง

         “คุณนอร์สเขาอาจจะติดธุระก็ได้นะมึง อย่าเพิ่งคิดมากสิ” ไอ้วีปลอบใจ

         “กูว่าคงไม่ใช่ว่ะ” ผมบอกไอ้วีเสียงเศร้าๆเพราะเท่าที่คบกันมาไม่ว่านอร์สจะงานยุ่งแค่ไหนหรือว่าจะเรียนหนักมากเท่าไร

ก็ตาม นอร์สจะต้องรับสายผมทุกครั้ง ถ้าหากว่าเจ้าตัวรับไม่ทันจริงๆก็จะต้องโทรกลับมาหาผมโดยเร็ว แต่นี่ผมโทรไปหานอร์ส

เกือบๆจะร้อยสายเห็นจะได้อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสายผมซักสายเดียว

         “เอาน่า เขาอาจจะไม่ว่างจริงๆก็ได้” ไอ้วีพยายามพูดปลอบผมอีกครั้ง

         “กูว่าจริงๆแล้วที่นอร์สไม่ยอมรับสายกูเพราะนอร์สรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว”

         “หืม? คุณนอร์สเขารู้อะไรมึง”

         “นอร์สรู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมาจากแผนบ้าๆของกูกับน้องธีน่า”

         “เฮ้ย! เรื่องคอขาดบาดตายเชียวนะมึง ทำไมมึงไม่บอกกูวะ กูจะได้หาทางช่วย”

         “กูว่ามันคงไม่มีประโยชน์แล้วว่ะเพราะนอร์สเขาเกลียดคนโกหก กูโกหกเขา เขาคงจะเกลียดกูมาก” คิดถึงเรื่องนี้ก็พาล

ทำให้ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้ยังไงก็ไม่รู้

         “มึงฟังกูให้ดีๆนะไอ้ไฟ” ไอ้วีบอกก่อนจะจะลากเก้าอี้มานั่งพูดข้างหน้าผม ผมจึงหันหน้าไปฟังในสิ่งที่มันจะพูด

         “การที่มึงมีความรักสักครั้งหนึ่งในชีวิตมันย่อมต้องมีทั้งสุขและเศร้าคละเคล้ากันไปในความรักนั้น มันถึงจะเรียกได้ว่า

‘สีสันแห่งความรัก มึงต้องค่อยๆคิดว่าจะเอายังไงในความรักครั้งนี้ดี เวลาและการให้โอกาสจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างเอง

เพียงแต่ตอนนี้มึงต้องลองทำอะไรสักอย่างเพราะโอกาสมันไม่ได้มาเคาะประตูหน้าบ้านมึงหรอกนะ มึงต้องลงมือทำจากนั้นก็รอ

กูบอกมึงได้แค่นี้ว่ะเพื่อน.....”




                           
         “เป็นไงก็เป็นกันวะไอ้ไฟ ไหนๆมึงก็ยังไม่ได้ขอโอกาสเลยสักครั้งลองดูครั้งนี้คงไม่เสียหายอะไร” ผมบอกตัวเองก่อนจะเดิน

ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยที่คนที่ผมติดต่อไม่ได้เรียนอยู่ ผมไม่รอช้าหลังจากที่ถามทางกับพี่ยามหน้าโรงเรียนก็บอกที่ตั้งของที่ที่

ผมกำลังจะไป

                         ‘คณะแพทย์ศาสตร์’

         “เอ่อ...ขอโทษนะครับไม่ทราบว่า-” ผมที่ตอนนี้เดินเข้ามาถึงตัวตึกคณะแต่ก็ไม่พบใครเลยว่าจะลองเรียกถามนักศึกษาที่เดิน

ผ่านแถวๆนั้น แต่ก็ดันมีเสียงๆหนึ่งขัดขึ้นก่อน

         “ไฟ!!” ผมหันหน้าไปตามเสียงเรียกก็พบผู้ชายในเครื่องแบบนักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

ซึ่งนั่นก็เป็นคนๆเดียวกับที่ผมตามหา

         “นอร์ส!!”

           บรรยากาศภายในร้านกาแฟใกล้กับมหาวิทยาลัยที่อีกคนเรียนอยู่ดูจะอึดอัดขึ้นมาทันตาเมื่อรังสีบางอย่างถูกส่งตรงมาจาก

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของผมปล่อยมันออกมา

         “ไม่ทราบว่ารับอะไรดีคะ” แต่ก็ยังโชคดีหน่อยที่ได้เสียงของพนักงานภายในร้านเดินเข้ามารับเมนู บรรยากาศจึงดูผ่อนคลาย

ลง

         “คาปูชิโน่ร้อน” อีกคนหนึ่งสั่ง ผมจึงสั่งของตัวเองบ้าง

         “ผมขอเป็นลาเต้ใส่วิปปิ้งครีมครับ”

         “ขออนุญาตทวนรายการที่สั่งนะคะ คาปูชิโน่ร้อนกับลาเต้ใส่วิปปิ้งครีมอย่างละที่นะคะ” ผมพยักหน้าให้เป็นเชิงรับรู้ว่าตามนั้น

 พนักงานของร้านจึงเดินออกไปและบรรยากาศชวนอึดอัดก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

         “เอ่อ.......” ผมไม่รู้ว่าจะเกริ่นอะไรออกไปในสถานการณ์แบบนี้ดี ยิ่งอีกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านแต่หนังสือ


         “นอร์สเรียนหนักเหรอ” อ๊ากกก ไอ้ไฟอยากจะตายเพราะพอผมถามคำถามนั้นกับอีกคนออกไป อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกลับมา

เพียงแต่เงยหน้ามามองผมแว๊บเดียวแล้วจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปอ่านหนังสือเหมือนเดิม

         “คาปูชิโน่กับลาเต้มาแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าทั้งสองจะรับอะไรเพิ่มอีกดีคะ” พนักงานสาวคนเดิมเดินเข้ามาพร้อมกับ

แก้วกาแฟหน้าตาน่าทานสองแก้วถูกวางไว้คนละฝั่งตามที่เจ้าของสั่ง ก่อนจะถามถึงรายการเพิ่มเติม ผมหันไปมองคนที่นั่งฝั่งตรง

ข้ามแว๊บนึงก่อนจะตัดสินใจสั่งขนมเค้กเพิ่ม

         “ขอเป็นบราวนี่ครับ/บราวนี่ครับ” เสียงแรกเป็นของผมแต่อีกเสียงเป็นของอีกคนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ

         “เอ่อ..” ผมเห็นพนักงานสาวยังคงงงๆกับเมนูที่สั่ง ผมจึงหันไปสั่งใหม่อีกครั้ง

         “ขอเป็นบราวนี่สองที่ก็แล้วกันครับ” แล้วพนักงานเสิร์ฟสาวก็เดินไปพร้อมกับรายการที่สั่ง

         “ไฟมีอะไรกับนอร์สหรือเปล่า” หลังจากที่ทั้งผมและนอร์สต่างคนต่างเอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมมีใครพูดอะไรกันออกไปก็กลาย

เป็นนอร์สเองที่ทำลายบรรยากาศชวนน่าอึดอัดนี่

         “คือไฟอยากจะอธิบายเรื่องเมื่อวันก่อน”

         “ถ้าไฟจะมาพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นนอร์สก็คงไม่ว่างที่จะฟัง”

         “แต่ไฟยากให้นอร์สฟัง!!”

         “เหอะ ไฟจะโกหกอะไรนอร์สล่ะทีนี้”

         “ไฟไม่ได้จะมาโกหกนอ์สนะ อย่างน้อยก็เรื่องต่อจากนี้”

         “งั้นแสดงว่าที่ผ่านมาไฟก็โกหกนอร์สตลอดเลยล่ะสิ”

         “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะนอร์ส” ผมพยายามอธิบายให้อีกคนเข้าใจ แต่ดูท่านอร์สจะไม่ยอมรับฟังอะไรผมเลย

         “แล้วมันยังไงล่ะไฟ!!แล้วไอ้สิ่งที่นอร์สได้ยินทั้งหมดมันคืออะไรกัน!!นอร์สบอกเลยนะว่าตอนนี้นอร์สไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเชื่อ

ใครดีระหว่างตัวนอร์สเองหรือถ้อยคำที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าของไฟ!!!” นอร์สระเบิดอารมณ์ที่มี ทำให้คนที่อยู่ภายในร้านต่างหัน

มามองผมกับนอร์สจนเป็นตาเดียว

         “ไฟขอโทษ” ตอนนี้ผมบอกเลยว่าไม่รู้จะอธิบายยังไงให้คนที่กำลังโมโหค่อยๆใจเย็นลงได้

         “ขอโทษ ขอโทษแค่นี้เหรอไฟ แค่นี้ใช่ไหมคือสิ่งที่ไฟอยากจะบอกนอร์ส!!”

         “………………” ผมเลือกที่จะใช้ความเงียบเข้าช่วยเผื่อคนที่กำลังโมโหจะได้เย็นลงเพราะผมรู้ว่าถ้าผมพูดอะไรออกไปตอนนี้

ยังไงซะนอร์สก็ไม่มีทางเชื่อผม

         “นอร์สต้องการคำตอบ!!!!!” แต่สิ่งที่ผมคิดกลับตรงกันข้ามเมื่ออีกคนกระชากแขนผมให้ลุกขึ้น ความเจ็บปวดที่ถูกอีกฝ่ายบีบ

รวดร้าวทำให้ผมต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ

         “ถ้าไฟอธิบายให้นอร์สฟังตอนนี้แล้วนอร์สจะเชื่อไฟไหม!!!!” ผมที่ตอนนี้ทั้งเจ็บทั้งโกรธที่อีกคนใช้แต่อารมณ์คุยกัน

         “นอร์สเคยฟังอะไรไฟบ้าง!!นอร์สคิดว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันคือสิ่งที่นอร์สเข้าใจทั้งหมดแล้วเหรอ!!”

         “แล้วไฟคิดว่าถ้าไฟเป็นนอร์สแล้วได้ยินคนที่ตัวเองรักพูดแบบนี้ไฟจะคิดยังไง!!!”

         “ไฟก็จะไม่คิดอะไรแล้วเดินเข้าไปถามความจริงจากปากคนที่ไฟรักเพราะไฟเชื่อว่าถ้าหากให้โอกาสคนที่เรารักได้อธิบาย

เหตุผลมันก็ยังดีกว่าที่เราจะคิดไปเองและปล่อยให้เรื่องมันเลวร้ายแบบนี้!!!!!” อีกคนที่ฟังผมพูดก็ค่อยๆปล่อยแขนผมออกซึ่ง

แน่นอนว่าตอนนี้มันเริ่มที่จะขึ้นริ้วแดงๆแล้วแน่

         “นอร์สว่าเราออกไปหาที่เงียบๆกว่านี้คุยกันดีกว่า” ว่าจบอีกคนก็วางเงินค่าขนมเค้กกับกาแฟไว้ที่โต๊ะก่อนจะออกแรงลากผม

ให้เดินตามไปด้วย

         “นอร์สจะให้โอกาสไฟได้อธิบาย ไฟอยากจะอธิบายอะไรก็ว่ามา” อีกคนพาผมเข้าไปคุยในสวนหย่อมเล็กๆที่อยู่ไม่ใกล้ไม่

ไกลจากร้านกาแฟเมื่อครู่นัก

         “เรื่องที่นอร์สได้ยินวันนั้นมันไม่ใช่อย่างที่นอร์สคิด ไฟกับน้องธีน่าเรา-”

         “อ้าวฮันนีไม่เจอกันนานเลยนะคะ” โอ๊ย!ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมยังไม่ทันได้อธิบายให้นอร์สได้ฟังถึงเรื่องที่อีกคนเข้าใจผิดก็มี

สัมภเวสีไร้ที่อยู่โผล่มาขัดเสียก่อน

         “เจน คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” นอร์สหันไปถามหญิงสาวด้วยท่าทีฉงน

         “ก็พอดีว่าคุณป้าอยากจะให้เจนไปเดินแบบงานการกุศลของท่านน่ะค่ะ เจนเลยรีบบินกลับมาก่อนแล้วที่สำคัญเจนก็คิดถึง

ฮันนีที่สุดเลยนะ” ว่าจบสาวเจ้าก็ทำทีซบหน้าลงกับอกแกร่งของอีกคน ผมเลี่ยงที่จะไม่มองภาพนั้นแต่ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะ

อยู่ดูทำไม

         “นอร์สว่าเจนกลับไปก่อนนะพอดีนอร์สจะคุยธุระกับไฟ” นอร์สว่าก่อนจะค่อยๆแกะสาวเจ้าออกจากการเกาะกุม

         “อ้าว คุณไฟอยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะตายจริงเจนไม่เห็นจะเห็นคุณเลย” เหอะ ทำอย่างกับผมอยากเห็นคุณเจนนักล่ะครับ!!

         “ยังไม่ตาย เอ้ย! สบายดีนะครับคุณเจน” ผมกล่าวทักอีกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่ก็ยังไม่วายเหน็บอีกคนเข้าให้ ซึ่งผมก็พอ

เห็นดวงตาที่ดูจะโตกว่าปกติของสาวเจ้าที่ถลึงตาใส่ผม

         “สบายดีค่ะแล้วคุณไฟล่ะคะยังไม่เลิกยุ่งกับคนที่เขามีเจ้าของอีกเหรอ”

         “ผมว่าคุณเจนควรจะต้องเปลี่ยนคำถามใหม่เป็นอะไรดีน้า อ้อ ต้องถามว่า ผมกับนอร์สสถานะของเราไปถึงไหนแล้ว

ใช่ไหมนอร์ส” ผมตอบใส่คุณเจน จนเธอแทบจะปรี๊ดแตกแต่ดีที่นอร์สห้ามไว้และไล่ให้อีกคนกลับไปก่อน ตอนแรกเจ้าตัวก็ไม่

ยอกแต่พอเจอสายตาเย็นชาของนอร์สเข้าไปแทบจะหมอบออกไปเลยก็ว่าได้

         “จะอธิบายยังไงก็ว่ามา” นอร์สยังคงวางสีหน้าเรียบนิ่งใส่ผม แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากอธิบายอะไรเสียงเรียกเข้าจาก

โทรศัพท์อีกคนก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

         วันนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหรือไงฟร้ะ!! ขัดกันอยู่ได้!!!!!!!

         “ครับคุณแม่ ครับ ได้ครับเดี๋ยวนอร์สไป” หลังจากที่นอร์สวางสายโทรศัพท์จากปลายสายก็หันหน้ามามองผม ผมที่เตรียม

กำลังจะอธิบายให้อีกคนได้ฟังก็ต้องรีบหุบปากลงแทบจะทันที

         “นอร์สไม่วางพอดีคุณแม่โทรมาให้ไปงานการกุศลไว้วันหลังไฟค่อยอธิบายให้นอร์สฟังก็แล้วกัน” พูดจบอีกคนก็เดินจาก

ไปทิ้งผมให้อยู่กับความไม่เข้าใจในโชคชะตาของตัวเอง

         ไหนจะยัยเสียง 18 หลอด โทรศัพท์เข้าแล้วนี่ยังหญิงแม่โทรตาม บอกได้คำเดียวว่า ‘ผมนี่เครียดเลยครับ’

                       
         “กูหล่อยังวะไอ้ไฟ” ไอ้วีสะกิดถามผมยิกๆตั้งแต่ออกจากบริษัท

         “เออ หล่อแล้วแต่ก็น้อยกว่ากูหน่อยนะมึง ทำใจๆ” ผมว่า

           หลังจากที่ผมไปหานอร์สเพื่อจะอธิบายเรื่องที่อีกคนเข้าใจผิดได้ฟังแต่โชคก็ยังไม่เข้าข้างผมเท่าที่ควรเพราะพอผมจะ

อธิบายให้เข้าใจ อีกคนก็ดันมาติดธุระกลายเป็นว่าผมไปเสียเปล่า


         “เออ พ่อคนรูปหล่อ” ตอนนี้ผมกับไอ้วีอยู่ที่งานเลี้ยงการกุศลซึ่งเป็นงานเดียวกบที่คุณหญิงแม่ของนอร์สจัดขึ้น แต่ที่ผมได้

มางานนี้ก็เพราะพี่ลม พี่ชายสุดที่รักของผมถูกจ้างวานให้มาเดินแบบที่งานในครั้งนี้  ผมกับไอ้วีเลยขอติดสอยห้อยตามมาด้วย

และก็ถือว่าเป็นจังหวะดีที่ผมจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้นอร์สได้เข้าใจเสียใหม่

         “ไอ้วีทำไมกูยังไม่เห็นนอร์สเลยวะ” หันไปถามไอ้วีที่ยืนยิ้มโปรยเสน่ห์ให้กับสาวเล็กสาวใหญ่ที่เดินผ่านกันไปมา

       ไม่ค่อยเจ้าชู้เลยเพื่อนกู  ผมส่ายหัวระอากับไอ้เพื่อนตัวดี นี่ถ้าใครเป็นแฟนมันนะคงได้ตามเช็ดตามล้างกันยาวเลยล่ะ

         “คุณหญิงแม่อะไรนั่นเป็นเจ้าของงานไม่ใช่เหรอวะ ถ้าลูกเขาจะมาช้าจะเป็นอะไรไป” ก็จริงอย่างที่ไอ้วีว่า

         “อ้าวไฟมาอยู่นี่เองพี่ก็ตามหาเราแทบแย่” พี่ลมเดินเข้ามาหาผม ว่าแต่ว่าพี่แกต้องอยู่ที่ห้องแต่งตัวไม่ใช่เหรอ?

         “ไฟต้องถามพี่ลมมากว่าว่ามาทำอะไรที่นี่”

         “พอดีพี่เบื่อๆน่ะว่าจะออกมาเดินเล่น แต่พอดีพี่ไปเห็นพวกยุง ลิ้น ไร ที่มันชอบตอมไปทั่วน่ะ เห็นแล้วไม่ค่อยชอบเลยว่า

จะมาตบมันเสียก่อน ทำบาปก่อนจากนั้นค่อยทำบุญ” พี่ลมว่าเสียงเหี้ยมๆแต่ไอ้วีกลับหน้าซีด

         “เอ่อ...ปล่อยมันไปเถอะนะไฟว่าพี่ลมควรที่จะเข้าไปในห้องแต่งตัวได้แล้วล่ะ” ผมรีบให้พี่ลมกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวโดย

เร็วเพราะรู้สึกถึงรังสีพิฆาตที่ค่อยๆออกจากตัวพี่ลม

         “ได้ แต่พี่ก็อยากให้ไฟช่วยดูหน่อยละกันถ้าเห็นมันไปตอมที่ไหนอีกล่ะก็ฆ่ามันได้เลย” สั่งจบพี่แกก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

แต่งตัว

         “เป็นไรไปมึง” ผมหันไปถามไอ้วีที่ตอนนี้แทบจะซีดไปทั้งตัว

         “เอ่อ..เปล่าว่ะแค่กลัว เอ้ย! ปวดหัวนิดหน่อย” พูดเสร็จไอ้วีก็เดินไปดูรอบๆงานทิ้งให้ผมยืนไม่เข้าใจกับกิริยาของทั้งพี่ชาย

และเพื่อนรัก  ตอนแรกพี่ลมดูเหมือนจะไม่อยากเจอหน้าไอ้วี ไอ้วีก็ดูเหมือนจะโกรธๆพี่ลม แต่ตอนนี้ไหงกลายเป็นว่าไอ้วีกลัว

พี่ลมซะงั้น  ใครก็ได้อธิบายให้ไฟเข้าใจที!!!
                         
         “สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านนะคะ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานเดินแบบเพื่อการกุศลค่ะ” หลังจากที่พิธีกรดำเนินรายการ

กล่าวขบเหล่าแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงานในครั้งนี้ต่างปรบมือกันเกรียวกราวพร้อมๆกับเหล่านางแบบ นายแบบที่เดินโชว์

ความสวย ความหล่อกันอยู่บนเวที

         “ชาติที่แล้วมึงเป็นยีราฟรึไงวะไอ้วี ชะเง้อซะคอยาวเชียวนะมึง” ผมว่าไอ้วี ตอนนี้พวกผมสองคนออกมายืนดูการเดิน

แบบอยู่ใกล้ๆกับเวทีที่เหล่านายแบบนางแบบเดินกันก็หันไปเห็นไอ้เพื่อนรักตัวดีชะง้อคอยาวเป็นยีราฟอย่างกับมองหาใครบน

เวที
         “เรื่องของกูหน่า” เอ๊ะ ไอ้นี่ ผมจึงเลิกสนใจไอ้วีแล้วหันกลับมามองเวทีตรงหน้าก็เห็นพี่ชายสุดที่รักเดินออกมาก่อนที่จะมี

ฟินเนเล่

      พี่ใครวะเนี่ย โครตดูดีเลยยยยย!!! ผมยืนชื่นชมในความหล่อเหลาของพี่ลมอยู่ดีๆไฟก็เกิดดับขึ้น แต่แล้วก็ค่อยๆสว่างออก

เมื่อการเดินแบบชุดสุดท้ายเริ่มต้นขึ้น

           

ออฟไลน์ Hades Novel

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
      นอร์สควงแขนมากับเจนสิญาที่เดินเคียงคู่กันมาบนเวทีในชุดฟินเนเล่ปิดท้ายของงานเดินแบบการกุศลในครั้งนี้ หลายคน

ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานาว่าทั้งคู่ดูเหมาะกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโหวงๆในอกยังไงบอกไม่

ถูกแต่ก็พยายามบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดอะไรให้มาก แต่เมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นคุณหญิงแม่ของนอร์สที่ยืนยิ้มภูมิใจในตัว

ของลูกชายแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องระหว่างผมกับนอร์ส

           ผมรู้ว่าคุณหญิงแม่ของนอร์สเลือกเจนสิญาให้มาเป็นลูกสะใภ้ถึงแม้นอร์สจะยอมรับหรือไม่อยากที่จะยอมรับมันก็ตามทีแล้ว

ยิ่งตอนนี้ผมมีชนักติดหลังอยู่เรียกได้ว่าเข้าหน้านอร์สได้ก็ดีแค่ไหนแล้วเพราะนอร์สเป็นคนเกลียดคนโกหก แต่คำโกหกของผมก็

มีเพื่อคนที่ผมรักเท่านั้น

         “ยืนทำหน้าหมาหงอยเชียวนะมึงกลัวแม่สามีไม่ปลื้มเหรอ” ไม่ทันไรไอ้วีก็ปล่อยลูกสุนัขที่อยู่ในปากออกมาวิ่งเล่นซะแล้ว

         “ปากมึงเหรอนั่น”

         “อ้าวก็กูจะไปรู้ได้ไงเห็นมองคุณหญิงแม่แล้วทำหน้าหงอยๆ ไอ้เรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้น่ะมันเป็นของคู่กันไว้มึงแต่งงาน

กับคุณนอร์สเมื่อไรค่อยกังวลก็ยังทัน” ไอ้วีว่า ซึ่งนั่นก็จริงของมัน

         “แต่กูว่ากูคงไม่มีวันนั้นหรอก” นั่นนะสิครับ ผมคงจะไม่มีวันนั้นหรอกเพราะดูๆเอาก็รู้ว่าคุณหญิงแม่ท่านปลื้มคุณเจนสิญา

ขนาดไหน ถ้าไม่ปลื้มก็คงไม่ถึงขั้นอยากได้มาเป็นลูกสะใภ้หรอก

         “นั่นมันเรื่องของอนาคตเว้ย ตอนนี้ทำปัจจุบันให้ดีก่อนเพราะอนาคตที่สดใสจะเกิดขึ้นได้เมื่อปัจจุบันสวยงาม”

         “วันนี้มาคมเชียวนะมึง” ผมแซวไอ้วีมัน ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมันจะพูดอะไรคมๆแบบนี้ สงสัยต้องจัดเข้าอยู่ในสิ่ง

มหัศจรรย์ของโลกซะแล้ว

         “ก็นะ อยากจะคมบ้างไรบ้าง” ไอ้วีว่าเขินๆ ตอนมันเขินก็ดูดีไปอีกแบบนะ

         “ยังไงก็ขอบใจมากๆเพื่อนรัก”

         “เออ กูว่านะตอนนี้มึงควรจะรีบไปปรับความเข้าใจกับนอร์สดีกว่าก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายกว่านี้”

         “อืม”

           ผมที่ตอนนี้เดินตามหานอร์สที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหนเพราะตั้งแต่ที่นอร์สเดินแบบกับเจนสิญาในชุดสุดท้ายของงานก็

เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว ผมเลยลองเข้ามาดูก็ไม่เห็นมีใครก็เลยลองออกมาเดินหาแต่ก็ยังหาไม่พบซะที

         “จริงรึเปล่าคะที่คุณหญิงอยากได้คุณเจนมาเป็นลูกสะใภ้” ผมเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆกับซุ้มประตูดอกไม้ในโซนหนึ่งของงาน

ก่อนจะได้ยินเสียงนักข่าวสัมภาษณ์อะไรบางอย่าง

         “ก็ใช่อยู่นะคะ แต่ก็คงต้องถามหนูเจนน่ะค่ะว่าอยากมาเป็นลูกสะใภ้รึเปล่า” ผมที่ได้ยินเสียงเหมือนคุณหญิงแม่ของนอร์ส

ตอบเลยชะโงกหน้าเข้ามาดู แล้วก็เห็นเต็มสองตาเลยว่าไม่มั่วชัวร์แน่นอน คุณหญิงแม่ชัดๆ!

         “ทำไมคุณแม่พูดแบบนั้นหละคะของแบบนี้ก็คงต้องถามลูกชายคุณแม่ด้วยนะคะว่าอยากจะได้เจนมาเป็นคนรักรึเปล่า”

เสียงของเจนสิญาตอบคำถามคุณหญิงแม่กับพี่ๆนักข่าวก่อนจะทำทีเขินอายใส่นอร์ส ชิ! เห็นแล้วหมันไส้!!!!

         “ครับ” นอร์สตอบกลับเสียงเรียบถึงแม้จะเป็นการตอบคำถามเพื่อรักษาหน้าตาของผู้เป็นแม่ แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกหวั่นๆใน

อกอยู่ไม่น้อย เอาน่าก็แค่การตอบคำถามเพื่อรักษาชื่อเสียง ผมปลอบตัวเอง แต่ก็ยังคงแอบฟังการสัมภาษณ์ต่อไป

         “แล้วอย่างนี้คงต้องมีข่าวดีเกิดขึ้นในเร็ววันแน่ๆเลยสิคะคุณหญิง”

         “แน่นอนค่ะเพราะตอนนี้ทางเราก็ได้เตรียมหาฤกษ์หมั้นหมายให้กับเด็กทั้งสองแล้วล่ะค่ะ”

         “แล้วคุณนอร์สล่ะคะรู้สึกยังไงที่จะได้แต่งงานกับคุณเจน ได้ข่าววงในมาว่าตอนนี้คุณนอร์สกิ๊กอยู่กับใครสักคนในแวดวง

วงการบันเทิงใช่รึเปลาคะ” นักข่าวสาวถามนอร์ส ซึ่งนั่นก็พลอยทำให้ผมตกใจกับคำถามที่ไม่คาดคิดนี้ แต่คนที่ถูกถามกลับมี

ท่าทีเฉยเมยเหมือนกับเรื่องที่ได้ยินนั้นไม่ได้หนักหนาอะไร ซึ่งดูเหล่านักข่าวสำนักอื่นดูจะให้ความสนใจในคำถามนี้ ผมก็อยาก

จะได้ยินคำตอบจากคำถามนั้นเหมือนกัน

         “ไม่มีอะไรทั้งนั้นครับ เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้นไม่มีอะไรมากกว่านั้น” อีกคนตอบคำถาม ซึ่งมันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ

ที่นอร์สจะตอบคำถามแบบนั้นเพราะยังไงซะเรื่องระหว่างผมกับนอร์สก็เกิดจากแผนบ้าๆนั่นอยู่แล้ว แต่ทำไมผมต้องเจ็บจี๊ดที่อก

ซ้ายด้วยนะ?

      “งั้นดิฉันขอถามอะไรอีกสักเล็กน้อยนะคะ ไม่ทราบว่าคุณทั้งคู่จะหมั้นกันเมื่อไหร่คะ” ผมที่ได้ยินคำถามนี้ก็ยิ่งลุ้นอยากจะ

รู้คำตอบไม่แพ้เหล่านักข่าวที่เหลือสักเท่าไร และคำตอบที่ได้มานั้นแทบทำเอาผมล้มทั้งยืน

         “อาทิตย์หน้าค่ะ!!” 











                             
         “อาทิตย์หน้าค่ะ!!”

         “อาทิตย์หน้าค่ะ!!”  เสียงคำตอบของคุณหญิงแม่ของนอร์สยังคงชัดเจนในหัวของผม

ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องนี้.........................

ทำไมผมไม่รู้ว่านอร์สกำลังจะหมั้นกับคุณเจนสิญาอาทิตย์หน้า!!........

ทำไมไม่มีใครบอกอะไรผมเลย???...........................

         “ไฟเป็นอะไร” ผมที่เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของพี่ลมที่สภาพตอนนี้ก็คงจะเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณเต็มที

         “ไฟ” เสียงของพี่ลมเรียก แต่ผมกลับไม่อยากตอบ

         “อาทิตย์หน้า”

         “อะไรอาทิตย์หน้าพูดให้มันจบๆไอ้ไฟ” เสียงไอ้วีถามผมอย่างหัวเสีย

         “เขาจะหมั้นกันอาทิตย์หน้า” ผมบอกไอ้วีกับพี่ลมก่อนจะค่อยๆทรุดลงแต่โชคดีที่ไอ้วีคว้าตัวไว้ได้ทัน

         “เขาของมึงน่ะคือใคร มึงจะบอกอะไรก็บอกมาให้เร็วๆหน่อยไม่ได้เหรอไงวะคนยิ่งอยากจะรู้”

         “นอร์ส...นอร์สกับเจนจะหมั้นกันอาทิตย์หน้า มึงได้ยินไหมว่านอร์สกับ ฮึก..เจน..เขาทั้งคู่จะหมั้นกันอาทิตย์หน้า!!!”

ผมตอนนี้แทบจะร่วงลงไปกองกับพื้น แต่ไอ้วีที่ยังคงประคองผมในตอนแรกช่วยพยุงตัวผมไม่ให้ทรุดลง ผมที่ตอนนี้ซบหน้าลง

กับอกของไอ้วีเพื่อระบายความหน่วงในอกที่มันเกิดขึ้นให้มันบรรเทาโดยการปล่อยหยาดน้ำตาให้ไหลริน และผมก็รู้ว่าตอนนี้เสื้อ

ของไอ้วีก็คงจะฉ่ำไปด้วยน้ำตาของผมขนาดไหน

         “มึง..ฮึก..ได้ยินไหม...ฮือๆๆๆ..ว่าเขาจะแต่งงานกันแล้ว..ฮือ..มึงได้ยินกูไหมไอ้วี!!!!.....ฮึก..ฮือๆๆ”

         “กูรู้แล้ว มึงก็อย่าร้องให้มันมากนักสิวะเดี๋ยวก็หมดหล่อกันพอดี”

         “ใจเย็นๆก่อนนะไฟ พี่ว่าเราอาจจะเข้าใจผิดอะไรก็ได้เดี๋ยวนี้ข่าวเท็จก็มีออกจะเยอะแยะไป” พี่ลมลูบหัวผมเพื่อปลอบ

ประโลมก่อนจะอธิบายให้ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมได้ยินอาจจะเป็นเรื่องโกหก

         “มันไม่ใช่เรื่องโกหกนะพี่ลม...ฮึก..แต่มันเป็นเรื่องที่ออกมาจากแม่ของนอร์สเอง” ไหนบอกว่าเกลียดคนโกหก ไหนบอกว่า

อย่าโกหกกัน แต่ทำไมทำไมนอร์สไม่เคยที่จะบอกเรื่องนี้กับผมเลย!!!!!!!!

         “ขออนุญาตค่ะ ไม่ทราบว่าคนไหนคือคุณไฟคะ” พี่สตาฟเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของพี่ลมก่อนจะถามถึงผม ผมจึงผละออก

จากไอ้วีก่อนจะตอบรับอีกคน

         “ผมเองครับ”

         “คุณนอร์สขอพบที่ห้องแต่งตัวค่ะ”

         “ได้ครับเดี๋ยวผมตามไป”

           ผมเดินไปที่ห้องแต่งตัวของนอร์สตามที่ทีมงานเข้ามาบอก พอเปิดประตูออกไปก็เห็นคนที่เรียกผมนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว

ผมจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะเดินเข้าไป

         “นอร์สมีอะไรเหรอถึงได้ให้คนไปตามไฟ”

         “นอร์สแค่อยากจะถามไฟถึงเรื่องที่นอร์สได้ยินเมื่อคราวก่อน”

         “ไฟกับน้องธีน่าเราวางแผนกันก็จริงแต่ที่เราทำไปเพราะน้องธีน่ารู้ว่าไฟไม่อยากจะแต่งงานกับคุณเจน แต่ตอนนี้ไฟว่ามันคง

ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วล่ะ” ผมอธิบายให้อีกคนฟังทั้งที่ก็ไม่ได้มองหน้าอีกคน

         “หมายความว่ายังไง นอร์สไม่เข้าใจ”

         “ไฟสิต้องถามว่ามันหมายความว่ายังไง นอร์สจะหมั้นกับคุณเจนแต่นอร์สไม่เคยบอกไฟ!!!!” ผมหันไปมองหน้าอีกคน

พร้อมตาแดงๆที่ดูก็รู้ว่ามันผ่านการร้องไห้มามากขนาดไหน เสียน้ำตาไปมากเท่าไรก็ดื่มน้ำชดเชยได้ แต่การที่เสียความรู้สึกทำ

ยังไงก็รักษาไม่หาย

         “ไฟรู้” นอร์สตกใจในสิ่งที่ผมรับรู้

         “ใช่ไฟรู้ ถ้าวันนี้ไฟไม่รู้เองไฟก็คงเป็นคนโง่ที่ถูกนอร์สหลอกอยู่เรื่อยๆใช่ไหม”

         “มันไม่ใช่อย่างที่ไฟเข้าใจ นอร์สก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้เหมือนกับไฟ”

         “งั้นเหรอ ไหนบอกว่าเกลียดคนโกหกไงแล้วเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่นอร์สจะไม่รู้  นอร์สเคยบอกว่านอร์สเกลียดคน

โกหก ไฟก็อยากจะบอกว่าไฟก็เกลียดคนโกหกมากกว่านอร์สหลายเท่า!!!!!”

         “ไฟ” นอร์สเรียกผมเสียงแผ่ว

         “ไฟว่าเรื่องระหว่างเรามันควรที่จะจบลงแล้วล่ะ....เรา-เลิก-กัน-เถอะ!!”

   

ออฟไลน์ zombieztoon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด