Love runs out
ฮ่องกงยังคงดำรงตนอยู่ แต่ความรู้สึกที่มีมาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาค่อยๆเปลี่ยนไป...
เจย์ไม่แน่ใจนักว่าเขาเริ่มต้น 'รู้สึก' อะไรแบบนี้กับวิคเตอร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันค่อนข้างพิเศษ...ไม่สิ มันพิเศษ ดังนั้นในทุกๆครั้งที่หัวใจโบยบินกลับบ้าน เจย์จะรู้สึกว่ามันพิเศษเสมอไป...
ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เชียงราย ความสัมพันธ์ของวิคเตอร์และเจย์ก็...ไม่ค่อยคืบหน้า จะว่าอย่างเช่นนั้นก็ได้ เอาเข้าจริงเหมือนต่างคนต่างมีงานและภาระหนักหน่วงที่ต้องรับผิดชอบ ได้เจอกันบ้างเวลาอาหารเย็น วิคเตอร์คอยตามประกบมิถุนา ส่วนเจย์ก็หัวปั่นกับปัญหางานและศัตรูการค้าที่ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก
ฮ่องกงยังเป็นบ้านเกิดที่เขาโหยหาเสมอและคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป เมื่อใดก็ตามที่ย่างก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลหวัง ความรู้สึกต่างๆ รวมถึงความทรงจำก็ทะลักทลายเข้ามาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเจอวิคเตอร์ที่นี่ ทุกความสัมพันธ์ในวัยเยาว์ดำเนินที่นี่ วันที่วิคเตอร์ต้องไปอเมริกาเพื่อเรียนต่อ เจย์ร้องไห้หนักหนาแค่ไหนตอนมาส่งพี่ชายทั้งสองขึ้นรถ เขายังจำได้ดี ตอนนั้นเขายังไม่สิบขวบดีด้วยซ้ำ เป็นเด็กเนิร์ดๆที่ก้าวกระโดดข้ามชั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะ
แต่สำหรับจอมทัพและวิคเตอร์ เจย์ก็ยังเป็นเจย์ที่เป็นเด็กอยู่เสมอ วันนั้นทั้งจอมทัพและวิคเตอร์ปลอบเขาอยู่เป็นชั่วโมงๆ เป็นครั้งแรกที่เจย์รู้สึกถึง 'ความสูญเสีย' อะไรบางอย่างเข้าจริงๆ
ตอนนั้นยังเด็กนัก ไม่รู้ว่าวิคเตอร์คิดอย่างไร แม้กระทั่งความรู้สึกที่มีอยู่เป็นเช่นไร มาตระหนักเข้าใจจริงๆก็ตอนที่อีกหลายปีให้หลังที่พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง วิคเตอร์ในวัยยี่สิบสองหรือยี่สิบสามนี่แหละ สูงใหญ่ ผิวแทน หน้าตาคมคร้าม ดูเงียบขรึมและเย็นชา แต่เอาเข้าจริง พอเริ่มต้นสนิทกันใหม่...อีกครั้ง...วิคเตอร์ก็ยังทะเล้นตึงตังเสมอ
ตอนนั้นเจย์ยังเรียนอยู่ เขาอายุประมาณสิบหกปี เรียนปริญญาตรีปีสุดท้าย จากนั้นก็มีความคิดว่าจะต่อโท รวมถึงปริญญาเอก แน่ละ...ตอนนี้เขาเป็น ด็อกเตอร์เจย์ ฟาน แต่หากถามว่าจำเป็นต้องให้ใครรู้ไหม เจย์คิดว่าวินาทีมันไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่นัก
จอมทัพเริ่มทำงานที่ฮ่องกง เฮียแจ็คกี้ของเขาไม่มีความคิดไปทำงานที่ประเทศไทยตั้งแต่ต้น (จนกระทั่งเกิดเรื่องของ ทาเคยามะ จุน ที่ทำให้เจย์รู้สึกสงสารจอมทัพจับใจ มาเฟียที่เสียหลัก ปีกหักเช่นนั้น...เขานึกไม่ถึงเลยจริงๆ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มาเฟียหนุ่มย้ายฐานทัพไปยังประเทศไทย) ในขณะนั้นเฮียมีวิคเตอร์เป็นมือซ้าย วิคเตอร์เป็นมือซ้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาเป็นเด็กกุ๊ยที่โดนพวกจอมทัพซ้อมยับ แต่จอมทัพเกิดถูกชะตาจึงนำมาชุบเลี้ยง กับมือขวา...เอเลน
ให้พูดถึงบางที...ก็นึกสมเพชตัวเองไม่น้อย จนกระทั่งบัดนี้ เจย์ก็ไม่แน่ใจว่าเขากำลังเป็นเงาของเอเลนอยู่หรือเปล่า คนที่จะได้ไปประเทศไทยในทีแรกกับแจ็คกี้ หวัง ก็คือเอเลนเพื่อนซี้ แต่เพราะบิดาของมาเฟียหนุ่มต้องการตัวเอเลน เอเลนจึงอยู่ที่ฮ่องกงต่อเพื่อเป็นเลขาให้ประมุขตระกูลหวัง ส่วนเจย์นั้นได้สานงานต่อจากเอเลน
เจย์คือที่สองมาตลอด เขาคิดเช่นนี้จริงๆ...
จริงๆก็ไม่อยากจะน้อยใจหรอกนะ แต่มันก็อดไม่ได้ในบางที การกลับมาฮ่องกงในแต่ละครั้ง แน่นอนว่ามันอบอุ่นหัวใจ ได้เจอพ่อ แม่ คนในครอบครัวได้กลับมาในสถานที่เก่าๆ กินร้านอาหารร้านเดิมที่โหยหา แต่กระนั้นเอง...ทุกครั้งที่กลับมาเจอเอเลน...คนที่เขาเองก็เคารพ มันกระอักกระอ่วนทุกครั้งไป
เพราะสายตาของคนๆนั้นที่มองเอเลนอย่างเคารพบูชาเสมอไป...
สายตาของวิคเตอร์
“นายไปพักเถอะเจย์"
คำพูดของวิคเตอร์ทำให้คนที่ยังบาดเจ็บจากรอยกระสุนที่แขนและกำลังนั่งเหม่ออยู่หน้าห้องผ่าตัดต้องหันไปมอง วิคเตอร์ โหลว ยืนเอนกายพิงกับกำแพงอาคารพร้อมดวดกาแฟกระป๋องไปด้วย ในขณะที่มาเฟียแจ็คกี้นั่งก้มหน้าอยู่ที่เบาะแถวหน้าสุดด้วยอาการไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังไม่ไหนไม่ได้ อาการของคนในห้องไม่อนุญาตให้มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวไปไหน
เจย์จำหน้าเจ้านายของเขาได้ดี ใบหน้าเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด...ตอนได้รู้ว่าทาเคยามะ จุน กำลังจะจากตนไป คำว่าเสียหลักเป็นเช่นไร เจย์รับรู้และตีความได้จากสายตาและสีหน้าของคนที่เคารพและเทิดทูนไว้ราวกับพี่ชาย
มิถุนายังอยู่ในห้องฉุกเฉิน อาการไม่สู้ดีนัก ตลอดทางบนเฮลิคอปเตอร์ มิถุนาไม่ได้สติ ไม่มีการตอบสนอง ชีพจรอ่อนมากด้วยเพราะเสียเลือดมาก เจย์อยากจะกรีดร้อง เขาทำได้เพียงเอนไหล่ซบวิคเตอร์ด้วยความอ่อนเพลีย เอเลนเองดูคุมสติได้ดีที่สุด ซึ่งตอนนี้เหมือนคนๆนั้นหายตัวไปแล้ว เจย์รู้ได้ทันทีว่าคนๆนั้นคงไปจัดการที่เกิดเหตุ ไม่ต้องให้ใครบอกหรอก เอเลนน่ะจัดการได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ชั่วโมงบินคนๆนั้นสูง แถมยังเป็นที่พึ่งของจอมทัพในหลายๆเรื่องอีกต่างหาก เขาอาจจะไม่ฉลาดเท่าเจย์ แต่เขาเฉลียว สุขุม เล่ห์เหลี่ยมรอบด้าน รู้จักการต่อรองเพื่อให้ได้มา
ในขณะเดียวกัน เขาก็มีเสน่ห์อย่างคาดไม่ถึง ร้อนแรงราวกับไฟ และหอมหวานราวกับดอกไม้หอมที่คอยดักล่อให้ผีเสื้อบินมาติดกับ คนแบบนี้แหละที่วิคเตอร์ชอบ หมอนั่นชอบความท้าทาย ยิ่งถ้าได้เอเลนมาล่ะก็...
เจย์จำต้องหยุดความคิดเพ้อเจ้อของเขาเมื่อฝ่ามืออุ่นทาบลงมาที่ข้างแก้ม มือขวาถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความเหนื่อยล้า เขาเอนกายพิงพนักพิงอย่างเมื่อยขบ
“ไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ ยิ่งมีแผลอยู่ด้วย" มือซ้ายดุราวกับเขาเป็นเจย์ เจย์ทำหน้าตึง
“รอมิออกมาก่อนไม่ได้หรือ" เจย์ถามกลับ "อีกอย่าง ต้องไปเคลียร์สถานที่ด้วย"
“เอเลนไปแล้วล่ะ" วิคเตอร์ว่า เขาถอนหายใจเบาๆให้กับเด็กดื้อ แต่กระนั้นก็ไม่รู้ตัวว่าชื่อของใครบางทีคนเขาเอ่ยออกไปจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเล็กๆ
มันไม่ดี เจย์รู้เขางี่เง่า ระหว่างที่อยู่ที่ฮ่องกงนั้น วิคเตอร์ใส่ใจเขาดีมาตลอด เคยเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น แต่ติดอยู่อย่างเดียวที่หมอนั่นก็ยังมอง เอเลนด้วยสายตาชื่นชมอยู่ตลอดนั่นแหละ เจย์น่ะอยากจะเคลียร์ๆไปให้มันรู้เรื่องไปเลยแต่ก็ไม่กล้า อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าควรจะเอาความมั่นใจหรือเอาสถานะอะไรไปทำเช่นนั้น
“กลับไปพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้จะให้มาเฝ้ามิถุนาแต่เช้าเลย" วิคเตอร์ต่อรอง
“...ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย" เจย์เบือนหน้าหนี
“ไปพักเถอะนะ เดี๋ยวจะรีบตามกลับไป"
วิคเตอร์ย้ำอีกที มือหนารั้งศอกข้างที่ไม่เจ็บของเจย์ให้ลุกขึ้น เจย์ดูขัดขืนในทีแรก แต่เป็นเพราะวิคเตอร์ส่งสายตาหารือให้เจ้านายหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ จอมทัพจึงหันกลับมามองเจย์แล้วพยักเพยิดอีกคน
“ไปพักเถอะเจย์ เหนื่อยมามากแล้ว ยังไม่ได้พักเลยไม่ใช่หรือตั้งแต่บาดเจ็บ"
เจย์อยากจะเถียงว่าเขาไม่เหนื่อย แต่ตาที่จะปิดและแผลที่เริ่มจะระบมเล็กๆทำให้เขาปฏิเสธไม่ได้
“ครับ"
“กินยา ทานข้าวให้ครบทุกมื้อ แล้วนอนพักยาวๆเลยนะ ไม่มีงานแล้วล่ะ" จอมทัพว่า เขาอิดโรย แต่สายตาก็ยังสื่อว่าเขาขอบคุณมือขวาของเขาจริงๆ
“แล้วเอเลน...” เจย์พึมพำถามถึงคนที่หายตัวไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก เอเลนไปจัดการเรื่องพื้นที่ให้ เจ็บขนาดนี้แล้ว เลิกคิดถึงเรื่องงานเสียที"
จอมทัพถอนหายใจ เขาโคลงศีรษะคนที่เป็นเหมือนน้องชายของเขาไปมา
"กลับไปเจอกันที่บ้านนะ"
เจย์จำยอมต้องพยักหน้ารับ "อย่าหักโหมนะครับ"
เขาเหลือบมองหน้าวิคเตอร์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินลากเท้าออกมาพร้อมกับคนขับรถที่จอมทัพเรียกตัวไว้ให้ เขารู้สึกอ่อนเพลียก็ตอนที่เดินออกจากอาคารมายังลานจอดรถ พอเจออากาศด้านนอกที่ร้อนกว่าด้านใน เจย์รู้สึกอึดอัดกับการหายใจเล็กๆ และพอขึ้นรถ ทันทีที่เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ แอร์เย็นๆที่เป่าเข้าหาตัวทำให้เขาค่อยๆเอนหัวพิงและปิดตาลงช้าๆ ก่อนจะจมสู่นิทราไปโดยไม่รู้ตัว...
เจย์ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงกุกกักบางอย่างในห้อง เขาหลับยาวตั้งแต่กลับมาถึงบ้านพัก ผลัดผ้า เช็ดตัว ล้างหน้าพอให้สบายร่างกาย แล้วก็กระโจนเข้านอนโดยไม่ได้กินยาหรือข้าวสักมื้อตามที่จอมทัพกำชับสั่งไว้เลย สักนิด มือขวาค่อยๆปรือตาขึ้นอย่างยากลำบาก เขากระพริบตาเบาๆ ปรับสายตามองไปยังมุมห้องที่มีแสงสลัวๆ เขาเห็นแผ่นหลังของคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น
ที่ฮ่องกง เจย์พักอาศัยอยู่ห้องเดียวกับวิคเตอร์ในตัวบ้านที่แยกมาของจอมทัพที่ปีกซ้าย เขานอนจนรู้สึกปวดหัวไปหมด แผลที่แขนก็ระบมหนักจนแทบยกไม่ขึ้น เจย์ใช้มืออีกข้างยันตัวขึ้นแล้วพิงหัวเตียงเอาไว้ เขาไม่รู้ว่านี่มันกี่โมงเข้าไปแล้ว แต่วิคเตอร์คงเพิ่งถึงบ้าน...
“วิค...” เจย์พึมพำเรียกอีกฝ่ายเสียงแหบแห้ง วิคเตอร์ที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หันขวับมามอง
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ" มือซ้ายตัวโตถามกลับ เขาหาววอด ท่าทางเหนื่อยอ่อน
“อืม" เจย์พยักหน้า "กี่โมงแล้ววิค" เขาถามกลับ
วิคเตอร์เหลือบสายตามองนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนังห้องเหนือโทรทัศน์แอลซีดี ชายหนุ่มสวมกางเกงผ้าทับบ็อกเซอร์กับเสื้อยืดสีพื้นพอดีตัว
“ตีสองกว่าแล้ว...ยังเจ็บแผลอยู่ไหม"
“นิดหน่อย" เจย์ว่า จริงๆแล้วเจ็บเลยล่ะ
วิคเตอร์ถอนหายใจ ดูท่าทางขยับตัวพิลึกของคู่หูก็พอรู้ได้ด้วยตนเองว่าหมอนั่นยังเจ็บแผลแค่ไหน คงไม่ได้กินยาตามที่สั่งไว้ด้วยแน่ๆ
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างของเตียง ช่วยพยุงร่างเล็กขึ้นนั่ง พอมาสัมผัสตัวกันจะๆแบบนี้ เจย์ผอมลงมาก จากที่ผอมอยู่แล้วนี่แทบจะผอมเทียบมิถุนาได้แล้วด้วยซ้ำ เขาเห็นคนเจ็บนิ่วหน้า ก่อนจะทำหน้าดุใส่
“ทำไมไม่กินยา" วิคเตอร์คาดคั้น
เจย์เบือนหน้าหนีเหมือนเด็กดื่้อ "เพลียไม่ไหวแล้ว"
“ใช่คำแก้ตัวไหม" เขาเอื้อมมือแกะถุงยาที่วางอยู่บนหัวเตียงออก ก่อนจะแกะยาส่งให้เจย์ แล้วก็ต้องชะงักมือไว้
"ยังไม่ได้กินอะไรด้วยใช่ไหม"
เจย์พยักหน้าออกมาจนได้ นั่นทำให้วิคเตอร์หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก อยากจะตะคอกดุ แต่พอเห็นใบหน้าอิดโรยของคนป่วยก็จำต้องเงียบปาก
ชายหนุ่มตัวสูงเดินออกไปด้านนอก สักพักก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วย เจย์มองร่างสูงใหญ่นั้น แล้วนึกขอบคุณไม่ได้
“มีแค่นี้แหละ เขาหลับกันไปหมดแล้ว" วิคเตอร์ว่า เขาทิ้งตัวนั่งลงข้างเจย์ แล้วประคองถ้วยให้ "ร้อนนะ ระวังหน่อย"
เจย์พยักหน้าหงึกหงัก พอบะหมี่คำแรกลงท้องไป เขาถึงได้รู้ว่าตนเองหิวแค่ไหน
“เฮียล่ะ" เจย์ถามถึงจอมทัพ
“ค้างคืนที่โรงพยาบาล"
“แล้วมิ...?” เจย์ถามอย่างเป็นห่วง
“ยังไม่พ้นขีดอันตราย แต่หมอบอกว่าไม่น่าจะทรุดลงไปกว่านี้ คืนนี้ดูอาการในห้องไอซียูต่อ ถ้าพรุ่งนี้เช้าดีขึ้น จะย้ายเข้าห้องปกติ"
หัวใจเจย์กระตุกวูบเมื่อได้ยินดังนั้น เขาสูดจมูก วิคเตอร์เห็นดังนั้นได้แต่ส่ายหัวเบาๆ ก่อนวางมือบนศีรษะเล็ก
"ไม่มีอะไรหรอกน่า มิถุนาต้องไม่เป็นอะไร" เขาปลอบ
เจย์เหลือบมองหน้าคนตัวโตกว่า ก่อนเอื้อมมือแตะที่หางคิ้วของ วิคเตอร์เบาๆ สะเก็ดระเบิดเป็นทางยาว คราบเลือดถูกชำระออกไปแล้ว แต่แผลยังเหลืออยู่ วิคเตอร์มีรอยสะเก็ดระเบิดกี่ที่แล้วนะ เขาเคยพยายามจำมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะคู่หูมาด้วยกัน แต่บาดแผลมันก็มากเกินไปจนจำไม่หวาดไหว วิคเตอร์เจ็บตัวตลอด เป็นเจย์ที่แทบไม่เคยได้เลือดเลย...
“เจ็บไหมเนี่ย"
“ไกลหัวใจตั้งเยอะ" วิคเตอร์ยิ้มแล้วส่ายหัว "กินเร็ว จะได้กินยา"
เจย์กินได้อีกสามคำ ก่อนทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมอีกครั้ง เขาไม่ได้เป็นคนที่ใส่ใจไปทั่วนักหรอก แต่สำหรับคนที่สำคัญของเขา เขามักจะกังวลใจยิ่งกว่าเรื่องของตนเอง
“ทำไมกลับดึกจัง"
“กว่าจะผ่าตัดเสร็จก็บ่ายแล้ว...เฮียอยู่โรงพยาบาลตลอด ช่วงบ่ายฉันแวะไปหาเอเลนมา" วิคเตอร์ตอบราบเรียบ "ไปช่วยจัดการอะไรๆ แล้วก็รอรับกลับมานี่แหละ"
จู่ๆคำตอบของมือซ้ายก็ทำให้เจย์นึกกินไม่ลงเข้าเสียแล้ว เขาเม้มปากแน่น คีบเส้นบะหมี่กินเงียบๆ
“อิ่มแล้วล่ะ"
เจย์ผลักถ้วยออก วิคเตอร์รับบะหมี่ที่เหลือค่อนถ้วยมา ก่อนจะบ่นที่เจย์กินน้อย เจย์ทิ้งตัวลงนอน แต่ก็ถูกวิคเตอร์ที่เดินกลับเข้ามาในห้องหลังจากเอาขยะไปทิ้งสะกิดเรียก
“กินยาก่อน" คนตัวโตว่า เจย์เม้มปากแน่น ยอมให้อีกคนประคองตัวให้ลุกขึ้นนั่ง เจย์รีบกลืนยาอย่างรวดเร็ว แล้วล้มตัวนอนอีกครั้ง
"เดี๋ยวนอนเป็นเพื่อน"
วิคเตอร์สอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ทำให้เจย์แปลกใจเล็กๆ แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะพูดคุย ปกติแล้วพวกเขาแยกเตียงกัน เตียงเจย์อยู่ฝั่งซ้าย วิคเตอร์อยู่ฝั่งขวา พวกเขาเคยนอนด้วยกันตอนเด็กๆ อยู่ที่ไทยก็ก็แยกห้องมาตลอด พอมาอยู่ร่วมห้องที่ฮ่องกง เจย์รู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร...นี่เป็นคืนแรก ที่พกวเขานอนด้วยกัน...
เจย์นอนหันหลังให้ มือซ้ายค่อยๆเบียดชิดร่างเล็กกว่า ก่อนเอื้อมมือลูบหัวเล็กเบาๆ
“ทำไมจู่ๆมานอนด้วยล่ะ" เจย์ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ
วิคเตอร์เงียบไปพักหนึ่ง เหมือนหาคำตอบ
"ก็เปล่า" เขาตอบในที่สุด "เห็นเจ็บอยู่ เผื่อจะอยากได้คนนอนเป็นเพื่อน"
“......”
“ตอนเด็กๆเวลาป่วยก็ชอบอ้อนไม่ใช่หรือไง" วิคเตอร์ว่ายิ้มๆ
“ประสาท" เจย์ด่ากลับ แล้วก็เงียบไป
“เป็นอะไร ง่วงอีกแล้วเหรอ"
เจย์ไม่ตอบ เขานิ่ง ไม่ง่วงเท่าไหร่แล้ว แต่อะไรบางอย่างยังวนเวียนอยู่ในหัว
"เปล่าหรอก"
“นอนเถอะ พรุ่งนี้พักยาวๆอีกสักวัน"
“ให้นอนต่อไม่ไหวหรอก มีเรื่องต้องจัดการเยอะแยะ" เจย์เถียงกลับ แต่วิคเตอร์กลับไม่เห็นด้วย
“อย่าห่วงเลย มีเอเลนอยู่ทั้งคน"
เอเลนอีกแล้ว...
เจย์เม้มปากแน่น “ทำไมต้องเอเลนด้วยล่ะ มันหน้าที่ฉันแท้ๆ" เจย์ท้วงด้วยรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กๆ
“ก็เจ็บอยู่ขนาดนี้"
“ไม่ได้เจ็บแล้ว โอ๊ย!” เจย์ร้องขึ้นเมื่อวิคเตอร์แกล้งขยับตัวโดนแผลที่แขนเบาๆ
“โกหกชัดๆ" วิคเตอร์ว่า ทำเอาเจย์หน้าตึง "ฉันทำงานกับเอเลนได้ ดีด้วยซ้ำ ไม่ต้องห่วงหรอก"
เจย์เม้มปากแเน่นขึ้น เขารู้สึกแย่กับความไม่แน่นอนแบบนี้
"พูดเหมือน...ไม่อยากจะทำงานด้วยกัน"
“อะไรนะ" วิคเตอร์ร้องออกมา เขาหรี่ตามองอีกคนในความมืด "เปล่าสักหน่อย"
เขาปฏิเสธ เจย์เงียบ ไม่ได้ต่อความยาวอะไรอีก
“แต่จริงๆ...ถ้าเราไม่ได้เป็นคู่หูกัน...อาจจะดีกว่านี้ก็ได้นะ" วิคเตอร์เปรยเบสๆ ทำเอาเจย์ขมวดคิ้วฉับ
“ทำไม"
เขาถามเสียงแข็ง ได้ยินเสียงวิคเตอร์หัวเราะเบาๆในลำคอ แต่ก็ไม่ยอมตอบ ทำให้เขาต้องย้ำถาม
"ทำไมถึงบอกว่าเราไม่ควรทำงานด้วยกัน"
“ก็เปล่า" วิคเตอร์ถอนหายใจแรง "ก็ทะเลาะกันบ่อย ความเห็นไม่ลงรอยกัน"
“พูดจริงเหรอ" เจย์ถามอย่างใจไม่ดีนัก
“จริงสิ...ถ้าไม่ได้เป็นคู่หูกัน อะไรๆอาจจะง่ายกว่านี้เยอะ" วิคเตอร์ว่า แล้วหลับตาลง ทิ้งให้เจย์นอนทบทวนคำพูดเหล่านั้นพร้อมกับใจดวงน้อยที่หล่นหายวับไปไกล
เจย์เม้มปากแน่น ไม่...เขาไม่ยอมร้องไห้หรอกนะ
เขารู้...เขาเป็นคนสำคัญของวิคเตอร์ แต่วิคเตอร์ไม่ได้บอกว่าสำคัญที่สุด...และหมอนั่น ก็คงมีใครในใจแล้ว...
เจย์หลับตาลงช้าๆ...เจ็บปวกแต่ไม่ใช่เวลามาทำตัวอ่อนแอ เขาจะแสดงท่าทีโง่เง่าออกไปไม่ได้ งานคืองาน และเขาต้องเป็นคู่หูของวิคเตอร์ต่อไป บางทีเขาควรจะกลับไปอยู่บ้านสักพัก รอให้รู้สึกดีขึ้น
ค่อยกลับมาที่นี่ คงจะดีกว่า