ความรัก❤ของไอ้ฟอง
“ไอ้ฟองไปหน่อยเหอะนา นานๆ ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาเบิกทวารทั้งเจ็ดก็ได้ ไอ้ไก่ ไอ้ปอนด์ก็ไปจะกลัวอะไรกันวะ”
“บุคคลที่มึงเอ่ยถึงนั่นแหละน่ากลัวชิบหาย ไปชวนไอ้ตูน ไอ้ทีมโน่นไป”
“ไม่เอา กูจะเอามึง ไม่ได้เหรอวะ แม่งกูงอลแล้วนะโว้ยยยยย! หรือว่าที่มึงไม่ไปคือยังทำใจเรื่องแฟนเก่าไม่ได้”
“ไม่ใช่โว้ย! กูไม่ว่าง งานล้นมือมึงเห็นมั้ย อาจารย์หักคอกูจิ้มน้ำพริกแน่ถ้ากูไม่เอารายงานไปวางบนโต๊ะแกก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ เก็ทยัง!”
“กูช่วยมึงเอง ไปกับกูหน่อยเหอะ ขาดอีกแค่คนเดียว”
“ไหนมึงบอกขาด 2 คนไงวะ”
“ก็ไอ้ปอนด์มันชวนเพื่อนมันมาอีกทีก็เลยครบคน แต่กูเหมารวมมึงด้วยนะ”
“บอกตรงๆ กูไม่ชอบนัดบงนัดบอดอะไรนี้สักนิด ไปเจอใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก น่าเบื่อ!”
“เออก็ได้กูยอมแล้ว! มื้อเที่ยงฟรี 1 อาทิตย์กับรายงานส่งพรุ่งนี้ทันก่อนเที่ยง 1 เล่ม คราวนี้พอจะยกขามึงออกจากเก้าอี้ไปกับกูได้ยัง”
“......มึงคิดว่ากูเป็นคนยังไงวะไอ้เก้า!”
“.......”
“มึงน่าจะพูดให้เร็วกว่านี้กูจะได้ไม่ต้องเล่นตัวนาน ไปสิ! กูอยากไปนัดบอดมากกกกกก!”
“ไอ้เอี้ย!”ผมสะพายเป้ใบโปรดขึ้นหลัง แล้วหันไปแลบลิ้นใส่ไอ้เก้าที่สบถด่าผมอย่างแค้นเคือง ก็ใครใช้ให้มันเอ่ยปากพูดขึ้นมาเองล่ะ ไอ้ฟองคนนี้เลยปฏิเสธความหวังดีของเพื่อนไม่ได้
ในที่นี้ไม่มีใครไม่รู้จักผม ผมนี่แหละดังที่สุดในคณะมนุษย์แล้ว ผมหล่อ ผมรวย ผมเรียนเก่ง ผมมีแฟนสวย ทั้งหมดนั้นมันเป็นข้อยกเว้นสำหรับผม เพราะผมไม่ได้หล่อ ไม่ได้รวย ไม่ได้เรียนเก่งมีติดไออยู่หลายวิชา เรื่องแฟนสวยผมก็ไม่เคยมีนะ ถ้าแฟนหล่อล่ะก็เคยมี
อืม....อย่าพูดถึงเลยดีกว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ยิ่งคิดผมก็ยิ่งโมโหตัวเอง
เอาเป็นว่าที่ผมดังเพราะใครๆ ก็รู้จักชื่อผมในนามนักจัดรายการวิทยุของคณะนั่นแหละ ถึงหน้าตาผมจะไม่ดัง แต่เสียงผมดังนะจะบอกให้
“ไอ้ฟองไม่รอกูเลยนะมึง!”
“ก็บอกรีบ กูก็รีบอยู่นี่ไง เอาไงกันแน่”
“เออกูผิด”
“นัดกันที่นี่เหรอวะ”ผมมองไปที่ร้านฟาสฟู๊ดก่อนที่ไอ้เก้าจะผลักประตูเข้าไปแล้วกวักมือเรียกผม
“ที่นี่แหละประหยัดดี ไปนั่งร้านหรูๆ เอาไว้จีบใครติดแล้วค่อยไปกันเอง”
“โด่! นึกว่าจะได้กินของดีๆ”
“เก็บเสียงมึงไว้จัดรายการดีมั้ย บ่นทุกระยะ 10 วิกูชักรำคาญ”ผมเดินตามหลังไอ้เก้าอย่างเซ็ง ก่อนจะไปหยุดที่โต๊ะยาวในสุดของร้าน ที่โต๊ะตอนนี้ฝ่ายหญิงทีไอ้เก้านัดมาก็มาครบทัง 5 คนแล้ว เพราะรู้สึกจะมีทั้งหมด 10 คนที่จะมาที่นี่ ส่วนผู้ชาย ไอ้ไก่ ไอ้ปอนด์ ก็นั่งรอทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยรอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษนะครับที่มาช้าพอดีติดคาบเรียนเลยโดดมาก่อนไม่ได้”
ออเหรอ? ผมไม่เคยเห็นไอ้เก้ามันมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนขนาดนี้มาก่อนเลย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เก้า พวกเราก็เพิ่งมาถึงไม่นานนี่เอง แต่พี่ไก่กับพี่ปอนด์สิคะ สงสัยจะมารอนานแล้ว”
“ไอ้สองตัวนี้งานหญิงมันไม่พลาดหรอกครับ”ผมแอบกัดไอ้สองตัวที่ยิ้มจนตีนกาถีบหน้าอยู่หลายจุด
“อ้าวไอ้ฟอง กูสองคนเพื่อนมึงนะเว้ยช่วยพูดให้พวกกูดูมีราคาหน่อยไม่ได้รึไง ใช่มั้ยครับน้องพิมพ์”ไอ้ปอนด์โต้กลับแล้วหันไปยิ้มให้น้องพิมพ์ที่อยู่ริมสุด ดูไปแล้วน้องพิมพ์ก็หน้าตาน่ารักสดใสโดนใจไอ้ปอนด์มันเลยจริงๆ
“พี่ฟองตัวจริงดูน่ารักจังเลยนะคะ พวกเราเคยเห็นแค่ผ่านๆ ทางประตูเข้าห้องกระจายเสียง”
“ขอบคุณครับ พี่ชอบคำว่าดูสมาทมากกว่านะครับ”ผมยิ้มตาหยี่กอนจะเดินเข้าไปนั่งตรงริมสุด
“สมาทอะไรวะ? สมาทฮาร์ทเหรอวะ ฮ่าๆ”แล้วไอ้ไก่ก็แซวขึ้นมาทำเอาทุกคนหัวเราะครืน
“เอ่อ.....แล้วอีกคนนึงล่ะคะ ยังไม่มาเหรอ?”ผู้หญิงที่นั่งตรงกลางที่ชื่ออุ้มถามขึ้ม ทำให้ผมต้องย้อนนับจำนวนคนอีกครั้ง แล้วก็พบว่าขาดอีก 1 คนอย่างที่น้องเค้าพูด
“เออ! อีกคนใครวะ กูยังไม่เห็นเงาเลย”
“อะอ้อ! เออๆ เดี๋ยวก็มามันโทรมาบอกกูแล้ว”ไอ้ปอนด์บอกเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย
“ใครเหรอวะ เห็นไอ้เก้าบอกเพื่อนพวกมึงสองคน กูไม่เคยรู้จักเลยเหรอวะ?”ผมถามงงๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำอัดล้มขึ้นมาดูด
“มึงรู้จักมั้ง เดี๋ยวมันก็มาเองแหละ มึงรู้จักไม่รู้จักเดี๋ยวก็รู้”ผมเลิกเซ้าซี้ถามถึงคนมาหลัง แล้วก็หันไปคุยกับพวกน้องๆ ต่อ พวกเราคุยกันอย่างออกรสรวมสารพัดเรื่องมาคุยกันให้กุมท้องขำกันไม่หยุด ผมเองก็เริ่มสนุกวิญญาณนักจัดรายการเข้าสิงพูดจนเข็ด
กรามน้ำลายแตกฟองสมชื่อ จนไม่รู้เลยว่าระยะเวลามันผ่านไปเท่าไหร่ จนกระทั่งบุคคลที่ผมถามถึงก่อนหน้าก็มาถึง
แต่ผมมัวก้มหน้าลงไปเก็บโทรศัพท์ที่เผลอทำตกใต้โต๊ะ เลยมองเห็นแค่รองเท้าหนังสีน้ำตาลตู้ใหญ่ของผู้มาสายเท่านั้น
“กูนึกว่ามึงจะมาตอนร้านปิดนะเนี้ย”เสียงไอ้ไก่เอ่ยขึ้นเคืองๆ พร้อมกับจังหวะที่ผมเผยหน้าขึ้นมาพอดี แล้วหันไปมองคนที่เป็นเพื่อนของไอ้สองตัวนั่น ส่วนอีกฝ่ายก็มองผมกลับกลายเป็นตาประสานตาเข้าให้อย่างบังเอิญ
และแล้ววินาทีนั้นผมก็หน้าถอดสี อ้าปากเหวอ พึมพำชื่อของคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างรู้จักดี
“ไอ้.....หมอก?”ส่วนคนที่ผมเอ่ยชื่อก็มองผมด้วยใบหน้านิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แต่ดวงตาแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง ผมรู้สึกได้!
“เป็นฝีมือมึงสามคนใช่มั้ย...”ผมหันไปทำตาเขียวแยกเขี้ยวใส่ไอ้ไก่ ไอ้ปอนด์ ไอ้เก้าที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“คนนี้ชื่อพี่หมอก เรียนกันคนละมหาลัยกับพวกพี่”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่หมอก นึกว่านายแบบที่ไหนทั้งสูง หุ่นดี แถมยังหล่ออีกด้วย โชคดีจังค่ะที่พวกเราได้รู้จัก”พวกน้องๆ ต่างส่งยิ้มให้หมอก จนเมินหมาสาตัวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไปในทันที ส่วนผมนี่สิอยากจะหายตัวไปซะให้ได้
“ขอบคุณครับ ไม่ถึงขนาดที่พวกน้องชมหรอก ถ้าพี่หน้าตาดีจริงคงไม่โดนคนบางคนโยนทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ หรอกครับ”
“จริงเหรอคะ! ใครกันนะที่ตาถั่วใจไม้ไส้ระกำทำกับพี่หมอกแบบนั้นได้ อยากจะเห็นหน้าจริงๆ เลยเชียว”
“ครับ.....ก็คนไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกครับ”ร้อยยิ้มที่แทบจะสะลายก้อนหินถูกหว่านใส่พวกน้องๆ ที่นั่งอยู่ตรงหน้า ส่วนผมนี่สิถึงกับสะดุ้งเป็นกุ้งเต้น
เพราะไอ้คนที่ตาถั่ว ดูใจยักษ์ใจมารในสายตาน้องๆ ก็คือไอ้ฟอง ตัวผมเองนี่แหละ! จะมีใครเชื่อไหมถ้าผมจะบอกว่าแฟนเก่าของไอ้หมอกนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
“น้องๆ ครับ สนใจพวกพี่หน่อยสิ พอไอ้หมอกมาพี่รู้สึกได้กลิ่นเน่าบนหัวตัวเองทันทีเลย”
“กลิ่นหมาหัวเน่าน่ะ รู้จักมั้ยครับน้องๆ ”ไอ้ไก่ทำท่าตาปริบๆ เรียกร้องความสนใจกันใหญ่ บทสนทนาก็ดูเหมือนจะดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนานบนความกดดันของผม ที่กำลังรู้สึกเหมือนอุกาบาตรกำลังจะเฉี่ยวโลก เปอร์เซ็นต์การรอดชีวิตของมนุษยชาติมีแค่ 1 ในร้อย และผมก็หวังจะเป็นหนึ่งในนั้น
เอาแล้วไง อาการร้อนๆ หนาวๆ เกร็งขาเกร็งแขนเหมือนสันนิบาตจะกิน.....เพราะผมรู้สึกได้ถึงสายตาไอ้หมอกที่มันจ้องผมแทบจะตลอด ถ้างับหัวผมได้มันคงทำไปแล้ว
อึดอัดโว้ยยยยย!
“พี่ฟองเป็นอะไรไปคะ อยู่ๆ ก็เงียบขึ้นมา เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย”
“เอ่อ....พอดีรู้สึกไม่สบายท้อง ถ้ายังไงพี่ขอตัวก่อนนะครับไว้เจอกันใหม่”ผมได้ข้ออ้างจึงรีบลุกพรวดเดินออกมา รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดพ้นจากรัศมีดำมืดยังไงก็ไม่รู้
“ไอ้ฟองจะไปกันง่ายๆ เลยเหรอวะ เดี๋ยว!”ไอ้ไก่ท้วงขึ้นแต่ใครมันจะอยู่ไหววะกับสถานการณ์แบบนี้
ใครมันจะไปคิดว่าจู่ๆ จะได้เจอแฟนเก่าตัวเองที่งานนัดบอด จริงๆ ผมกับไอ้หมอกเพิ่งจะเลิกกันเมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง และคนที่บอกเลิกก็คือผมเองเนี้ยแหละ ประเด็นคือไม่ได้หมดรัก ไม่ได้เบื่อ ไม่ได้รำคาญ หรือไม่ได้เปลี่ยนใจนอกใจอะไรทั้งสิ้น และเพราะผมมันโง่เองแหละที่ไปเข้าใจไอ้หมอกผิดว่ามันแอบนอกใจผมไปมีผู้หญิงอื่น
เป็นใครก็ต้องน้อยใจ เสียใจกันทั้งนั้นที่เห็นแฟนตัวเองไปนั่งกินข้าวกับผู้หญิงอื่น แต่ไปๆ มาๆ ผมกลับเข้าใจผิดเพราะจริงๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นญาติไอ้หมอก แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของมันอีก ตอนนั้นให้ทำไงได้ เลือดมันขึ้นหน้าเลยพลั้งปากบอกเลิกโดยไม่บอกเหตุผล ตัดขาดการติดต่อ กับมันทุกวิถีทาง ทำตัวน่าต่อยอย่างที่ไอ้เก้า ไอ้ปอนด์ ไอ้ไก่เคยบอก เป็นไงล่ะ.....มารู้ความจริงเรื่องนี้ก็ปาเข้าไปสองอาทิตย์แล้ว
จะให้กลับไปพูดว่าขอโทษ คืนดีกัน กลับมาเป็นเหมือนเดิม.....มันก็ไม่ใช่นิสัยผมอีก รู้นะว่าตัวเองผิดแต่ก็ยังปากแข็งถือทิฐิบ้าบอของตัวเองอยู่
นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่ผมเจอไอ้หมอกหลังจากที่เลิกกัน ความรู้สึกผมมันยังไม่หายไปไงเลยรู้สึกไม่ดีอย่างตอนนี้
ผมไมรู้ว่าไอ้หมอกคิดอะไรอยู่ รู้สึกยังไง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะรู้ขึ้นมานิดๆ แล้วล่ะว่ามันคงโกรธผมอยู่ไม่น้อย
“คิดจะหนีกันไปถึงเมื่อไหร่”
“ไอ้หมอก”เอาจริงดิ! นี่มันตามผมออกมาเหรอ ซวยแล้วไง
“ไปหาที่คุยกัน”
“ไม่ว่ะ กูไม่รู้จะพูดอะไรกับมึงจริงๆ กูปวดท้องกูจะกลับบ้านแล้ว”ผมซอยเท้าหนีเอาให้เร็วที่สุด แต่ก็แพ้ขายาวๆ ของมัน
“มึงก็แค่อ้าง ถ้ามึงไม่สบายจริงงั้นกูพามึงไปหาหมอเอง”ไอ้หมอกจับมือผมลาก ผมทั้งเดินทั้งวิ่งตามมัน เพราะระยะก้าวของผมกับมันไม่เท่ากันข้อนั้นผมรู้ซึ้ง
“เฮ้ย! ดะเดี๋ยวๆ ไอ้หมอกปล่อยกูก่อน คนมองมึงอายเค้าบ้างมั้ย”ผมหันซ้ายมองขวา จริงๆ ไม่ได้แคร์เรื่องนั้นแต่แค่ไม่อยากเผชิญหน้า
“กูไม่เห็นสน!”
“แต่กูสนเว้ย! กูยอมรับก็ได้ว่ากูแค่อ้างไม่อยากจะนั่งอยู่ร้านเพราะมีมึงอยู่”พอผมพูดแค่นั้น ไอ้หมอกก็ยอมปล่อยมือผมแต่โดยดี แถมยังทำหน้าเหมือนจะตกใจกับที่ผมพูดอีก
“สาเหตุที่มึงบอกเลิกกู เพราะว่ามึงเบื่อกูรึเปล่า”
เอาแล้วไง มันวกเข้ามาเรื่องนี้จนได้
“ก็ได้.....ไปคุยกัน”ผมยอมแต่โดยดี เพราะข้างทางแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ทีจะมาคุยเรื่องส่วนตัว
“ห่างหน่อยก็ได้กูไม่หนีมึงไปไหนหรอกนา”ผมดันตัวไอ้หมอกที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ มันคุมผมเข้มเสียจนไม่ยอมห่างขนาดผมนั่งอยู่ที่มานั่งมันก็ยังตามมาประกบผมเหมือนนักโทษ
“กูเชื่อที่มึงพูดได้เหรอ บอกมา”
“บอกอะไร”
“ไอ้ฟอง จะเปิดปากพูดเองหรือต้องให้ช่วย”
“ไอ้อ้อง ไอ้อ้อง(ไม่ต้องๆ)”ผมเอามือปิดปากแอบเอียงตัวหนี บอกตรงๆ ผมกลัวมันก็ตอนที่ไอ้หมอกโกรธนี่แหละ ถึงก่อนหน้านี้ผมกับมันจะคบกันไม่ถึงปี แต่ไอ้ 9 เดือนกับ 20 วัน มันก็มากพอที่จะทำให้ผมรู้นิสัยคนตรงหน้าดี
“พูด!”ไอ้หมอกชี้หน้าผมแล้วจ้องผมเขม่ง
“คือ.....กู กูเข้าใจผิดมึงเองแหละ”ผมทำหน้าจ๋อย
“เข้าใจผิด? มึงมาเข้าใจผิดกูตอนไหนทำไมกูไม่รู้ รู้แค่อยู่ดีๆ มึงก็มาบอกเลิกกูแล้วหายไปเลย เบอร์ก็เปลี่ยน หอก็ย้าย”
“ดะเดี๋ยวๆ กูรู้ว่ากูผิด ก็บอกอยู่นี่ไงว่ากูเข้าใจมึงผิด แต่ก็.....ก็บอกเลิกไปแล้ว......ให้กูทำไง”ผมเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ หน้าก็แทบไม่กล้ามอง ไอ้หมอกยิ่งชอบมาทางสายโหดผมเลยแพ้ทางมันแบบนี้แหละ
“โอเค กูรู้ว่ากูต้องใจเย็นเวลาคุยกับมึง บอกมา.....เข้าใจผิดเรื่องอะไร”ไอ้หมอกพยายามกออกหลับตาสงบอารมณ์ ให้ผมพูด
“คือ....วันที่กูไปเดินเล่นกับไอ้ปอนด์ ไอ้ไก่ ไอ้เก้า กูเห็นมึงนั่งกินข้าวอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง กูเลยโกรธมึงเรื่องนี้แหละ เลยเผลอบอกเลิกไป ตอนหลังก็.....ก็เพิ่งมารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมันญาติมึง เรื่อง.....เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“เออ ไม่คิดจะถาม คิดเองเออเอง”
“กู กูขอโทษก็ได้ กูให้มึงต่อยทีนึงอะ!”ผมยื่นหน้าไปให้ไอ้หมอกแล้วหลับตารอรับแรงปะทะสุดฤทธิ์
“ก็ดี อยากจะลงโทษมึงอยู่เหมือนกัน โทษฐานที่ทำให้กูปวดหัว สับสน กระวนกระวายเพราะคิดถึงแต่เรื่องมึงนี่แหละ”ผมได้ฟังที่ไอ้หมอกพูด ความผิดก็มีอยู่หลายกระทงเลยทีเดียว
“ดะเดี๋ยว! ถ้าจะต่อย อย่าโดนจมูก กูเป็นไซนัสอยู่บ่อยๆ”
“ถือว่าแลกเปลี่ยน.....บอกมาก่อนว่ามึงจะเอายังไงกับกู จะเลิกหรือคบกูจะได้กะแรงได้ถูก”ไอ้หมอกยื่นคำขาด จริงๆ ตั้งแต่คบกับมันผมยังไม่เคยโดนมันต่อย มีแต่โดนมันจับ....จับอะไรก็ค่อยว่ากัน จะให้ผมเลือกอะไรล่ะนอกจากสิ่งเดียวที่คิดยู่ในใจมาตลอด
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว.....จะให้กูเลิกได้ไงถ้ายังชอบมึงอยู่ แค่กูยังไม่กล้าไปพูดกับมึงตรงๆ ก็เท่านั้นเอง”
ผมรู้ว่าถ้าไม่เจอไอ้หมอกวันนี้ สักวันผมก็คงจะทนไม่ไหวต้องไปเจอหน้ามันอยู่ดี มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่งี่เง่าที่เข้ามาทดสอบผมในครั้งนี้ก็ว่าได้....ว่าผมมั่นคงในความรู้สึกพอรึยัง และผลมันก็เป็นอย่างที่เห็น ผมยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะสำหรับความรัก
“โอเคพูดได้ดี”ไอ้หมอมันยิ้มแสยะแล้วซ้อมหมัดกับฝ่ามือตัวเองเสียงดังฟังชัด เล่นเอาผมกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่
“..........”
“ยืนขึ้น นั่งกูทำไม่ถนัด”ผมว่านอนสอนง่ายขึ้นมาบัดนาว เลยยืนเอียงหน้าองศาที่คิดว่ารับแรงปะทะได้เยอะที่สุดเข้าห้าไอ้หมอก ก่อนที่มันจะเริ่มนับพร้อมกับผมที่หลับตาปี๋
“หนึ่ง.....สอง......หมับ”
ไม่ใช่หมัด แต่มันเป็นจูบ! ผมยืนนิ่งไปกับเหตุการณ์อยู่หลายวินาทีก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วอ้าปากเหวอ มองไอ้หมอกที่ยืนยักคิ้วแล้วยกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“นะไหนว่ามึงจะต่อย....”
“ถ้ากูต่อยมึง สู้เอาแรงไปทำอย่างอื่นเพื่อเอาคืนมึงไม่ดีกว่าเหรอ”
“งั้นมึงก็ไม่โกรธกูแล้วงั้นสิ”ผมเห็นความหวังของตัวเองรำไรเข้าไปเกาะแขนไอ้หมอกอย่างถือดี บีบแขนมันอย่างเอาใจสองสามที
“ใครบอกว่ากูหาย สามอาทิตย์ที่มึงหายไปกูยังไม่คิดเลยนะ”
“ขอโทษแล้วไงวะ”
“แค่นี้มึงเอาความรู้สึกของกูกลับคืนมาไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะ เอาเบอร์ใหม่มึงมา ที่อยู่หอด้วย”
“อือ แล้วจะเอาอะไรอีก?”ผมให้มันอย่างที่บอก
“เอากุญแจสำรองหอมึงด้วย เผื่อไปหา”
“มาหาทำไมวะ นัดเจอเอาก็ได้!”
“ไปหามึงเพื่อช่วยซักผ้ามั้ง”ไอ้หมอกตีหน้าตึง แล้วผลักหัวผมอย่างหมั่นไส้ไปหนึ่งที
“ตกลงมึงเป็นคนหรือปีศาจกันแน่ ถึงได้เจ้าเล่ห์นักวะ”ผมจิ๊ปากวิจารณ์คนตรงหน้า
“ถ้าไม่เจ้าเล่ห์ กูก็คงได้แต่นั่งจับมือกับมึงไปทั้งชาติสิไอ้อ่อนเอ้ย!”ไอ้หมอกก้มตัวสูงๆ ของมันลงมาก่อนจะพูดต่อหน้าผมชัดเจน ทำเอาผมรู้สึกว่า ความรู้สึกเคอะเขินที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานาน จู่ก็มาสะกิดแก้มเบาๆ
“ว่าไงนะไอ้หมอก! พูดแล้วอย่าเดินหนีสิวะ ว่าใครอ่อนวะ!!!”
“หมาแถวนี้มั้ง”
บุญและกรรมของผมมันคงจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะต่อแต่นี้ไปไม่รู้ว่าผมกับไอ้หมอกจะเป็นยังไง แต่อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมเรียนรู้นั่นก็คือความรักมันเปราะบางมาก มันต้องใช้ความรู้สึกมากมายกว่าที่ผมคิดเพื่อดูแลมันตลอดไป ไม่เช่นนั้นสักวันมันก็จะเกิดรอยราวสะสมจนกระทั่งแตกหักไปในที่สุด เรื่องนี้แหละที่ผมกลัวมากที่สุด
จบ
+++++++++++++++++ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฮับ