โหยยยยย ถ้าผมเจออย่างพี่ว่า ผมก็คงขึ้นเหมือนกันอะ
กวนส้น....... มาก คือไม่รู้จักกาลเทศะเลย
แล้วแค่อ่านก็รู้สึกว่าการพูดจาตุ้งติ้ง ล้อเลียนต่อหน้าคนหมู่มากเนี่ย ตั้งใจชัดๆ
ผมไม่เคยจังๆแบบนี้หรอก เพราะส่วนมากไม่มีใครรู้
เคยเต็มที่ ตอนสมัย ม ปลาย เราสนิทมากเกินกว่าเพื่อนกับ
เด็ก ผช คนนึง อายุ อ่อนกว่าเรา 2 ปี ปัจจุบันมันมีเมียไปละ
หาอ่านเอาได้นะพี่ ในหน้า 1 กระทู้สับสนตัวเอง เม้นท์เกือบสุดท้ายที่มันยาวๆอะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47760.0
แล้วญาติมันอายุใกล้เคียงกัน ผู้หญิงนะ มันเห็นเรา 2 คนตัวติดกัน
เวลาไปไหนมาไหน ถ้าเจอมัน หรือมันเห็นมันจะบอก "ว้าย ยี๋ คู่เกย์ " " เป็นเกย์หรอจ้ะ "แล้วก็ยิ้มแบบดูถูกๆ
แล้วหลายครั้งที่มันตั้งใจพูดต่อหน้าเพื่อนหลายๆคน บางทีก็ตั้งใจให้ผู้ใหญ่ได้ยิน
ตอนนั้นผมอึดอัด และฝังใจมาก ทำไรไม่ได้ด้วย ได้แต่นิ่งและแค้นอยู่ในใจ
พอเข้าใจนะ และยากด้วยที่จะตอบโต้ เพราะเจอยู่ในจุดที่ไม่ได้แสดงตัวมากขนาดนั้น
เพราะเมื่อก่อนผมก็อยู่ในจุดนั้นเหมือนกัน ก็เคยเจอเหมือนกัน
ซึ่งต่างจากผมที่ไม่ได้ปิดบังอะไร เพราะงั้น การตอบโต้เลยทำได้ง่ายกว่า ชัดเจนกว่า
เอ้อ นึกขึ้นได้อีกคน
ตอนสมัยยังทำงานเป็นเด็กร้านเกมส์ที่ กทม.
ก็มีลูกค้าคนนึงเป็นเด้กอายุประมาณ 14-15 นี่ล่ะ
(ตอนนั้นอายุผมประมาณ 23-24 นี่ล่ะ)
ตอนนั้นยังมีแฟนนะ 555+
ตอนใกล้ๆ เลิกงานแฟนก็จะมารอรับกลับห้องด้วย
แต่ตอนนั้นไม่ได้อยู่สถานะเปิดเผยกับใครเลย
แต่เด็กมันก้เหมือนจะสังเกตได้ด้วยล่ะ
ก็มีทำเป็นแซว เหมือนไอน้องสาขา 1 เลย
ก็ไม่ปล่อยไว้เหมือนกัน ถามเลย เฮ้ย น้องมีปัญหาอะไรกับพี่มั้ย
ถามได้นะ ไม่ต้องไปซุบซิบลับหลัง
ทำแบบนั้นแม่งตุ๊ดว่ะ ทำอะไรก็หัดรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ด้วย
เดี๋ยวเจอตบกระโหลกแตกหรอก
หลังจากนั้นก็หงอไปเลย ไม่กล้าเล่นแซวผมต่อเลย 555+
ใครจะว่ารังแกเด็กก็ช่าง 555+
(อ้อ เคยฉะกับแม่ของน้องคนนี้มาแล้วด้วย ดูๆ แล้ว เหมือนครอบครัวมีปัญหาลึกๆ นะ แต่ไม่อยากเล่า เดี๋ยวยาว 555+)
อ่านแล้วรู้สึกว่าถ้ามีพี่จิ๊บมาคอยเป็นหัวโจกให้ น่าจะดีนะ เดี๋ยวคอยเป็นลูกน้องคอยคุ้มกัน ระวังหลังให้ โหดง่ะ
เหมือนจะเปิดกว้างนะ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ยอมรับอยู่ดี ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะตั้งแง่อะไรนักหนา บางครั้งเราก็หงุดหงิดแหละ จะแซวทำพระแสงฆ้องติ้วอะไร แต่ก็ถือว่าเปิดกว้างกว่าสมัยก่อนพอสมควร #นี่คิดบวกแล้วนะ 55555
ถ้าให้บอกตรงๆๆ ผมเลือกคุยครับ ถ้าเจอคนที่ชอบตั้งแง่แล้วยอมรับเราไม่ได้ ผมปล่อยผ่านและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเค้าเลย ตัดปัญหา ดีกว่าให้มันมาดูถูกเรา
มันมองได้หลายมุมมองนะครับ...
ข้อสำคัญข้อแรกที่เราต้องเข้าใจ คือ ภาพลักษณ์ของเพศที่สามในสายตาสังคมไทยมันค่อนข้างแย่มาตลอดตั้งแต่อดีต ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลายๆคนที่อยู่ในกลุ่มคนของเพศที่สาม เมื่อประกาศรสนิยมทางเพศ มักจะถูกล้อเลียน หรือถูกแซว หรือถูกมองในมุมมองของภาพลักษณ์ติดลบไปโดยปริยาย มันเป็นอคติ(bias)เชิงการรับรู้(perception) ที่สังคมมีต่อชนกลุ่มนี้ครับ
ถามว่าคนที่เค้าล้อเลียนเราหรือแซวเรา มันผิดไหม? มันก็ไม่ผิดนะครับ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งทำตัวแบบนั้นให้มันเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ข้อที่สองที่เราต้องยอมรับคือเรื่องนี้ ถ้าไม่มีไฟ ควันมันเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ การที่สังคมมีอคติต่อเรา นั่นเพราะมีคนส่วนน้อยในกลุ่มชนนั้นทำตัวให้เหมาะสมต่อการล้อเลียนและแซวแบบนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทางสังคมครับ การที่เราจะไปร้องเย้วๆบอกว่าเฮ้ย คุณมองเราแบบนั้นไม่ได้นะ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณอย่ามาเหมารวม มันเป็นกลไก self-defense ที่ผมว่าไม่ใช่ทางออกที่ถูก
ผมคิดว่าสิ่งที่เราควรจะสร้าง คือ เราควรลดอคติเชิงภาพลักษณ์ของสังคมออกซะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม สีผิว รสนิยมทางเพศ รูปร่างหน้าตา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่กระทบต่อการรับรู้ของมนุษย์ให้เกิด bias ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้สังคมมองคุณแบบนั้น เราต้องหาทางลด bias ของสังคมที่มีต่อภาพลักษณ์ของเรา
มองในภาพ Macro scale คือการที่เราจะทำให้สังคมเลิกมองเราที่ 'ภายนอก' แล้วหันมามองคนที่ 'ภายใน' แทน การมองคนที่ภายใน จะตัดไบแอสออกทั้งหมด ทั้งทัศนคติส่วนบุคคลและทัศนคติเชิงสังคม มันทำให้เราเห็นสิ่งที่คนๆนั้นเป็นอย่างแท้จริง และการล้อเลียนหรือการแซวแบบเหมารวมจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด เพราะมันจะกลายเป็นการพิจารณา 'รายบุคคล' ครับ
ถามว่ามันทำยังไง ก็ต้องมองกลับมาในภาพ Micro scale คือ เราต้องแสดงออกว่าตัวตนของเรานั้นแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร? มันคือสิ่งที่รสนิยมทางเพศมีผลกระทบต่อจริงๆรึเปล่า(นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก ทุกคนคิดว่ารสนิยมทางเพศของเพศที่สามมีผลร้ายแรงต่อตัวตนภายในจิตใจ ซึ่งไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย) ตัวตนของคุณมันแยกออกจากรสนิยมเพศหรือปัจจัยภายนอกรึเปล่า หรือว่าเพราะรสนิยมทางเพศคุณเป็นแบบนี้ เลยทำให้คุณต้องอยากขุดทอง อยากได้ผู้ชาย อยากจิกกัดคนสวยกว่าตลอด
ถ้าเราลองสังเกตชาวต่างประเทศที่เมื่อประกาศรสนิยมทางเพศ จะเห็นว่าเพื่อนพ้องร่วมประเทศ หรือแม้แต่ในสายตาของคนทั้งโลก ก็ไม่ได้มองเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ถ้าเอาชัดๆก็เซอร์เอียน(แกนดาล์ฟ) เขาแสดงให้เห็นว่าตัวตนและความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ เขารู้ว่าต้องแสดงตัวตนภายในออกมาให้สังคมรับรู้เพื่อมองเขาโดยไม่มีอคติ และเมื่อสังคมมองเขาอย่างไม่มีอคติแล้ว เรื่องสีผิวหรือรสนิยมทางเพศนี่เป็นเรื่องไร้สาระมากครับที่จะเอามาจุดประกายล้อเลียน
เราแก้สายตาคนอื่นไม่ได้ และการมองในมุมมองของเขาก็มีความชอบธรรมในระดับหนึ่งตามหลักความสมเหตุสมผลด้วย ดังนั้น มันจึงทำให้เราต้องกลับมาปรับปรุงที่ตัวเอง แสดงตัวตนจริงๆให้คนที่ชอบล้อเลียนหรือแซวคุณรู้สิครับ ทำให้มันกลายเป็น traits ของคุณ ทำให้เค้ารับรู้ว่าปัจจัยภายนอกกับภาพลักษณ์ภายใน มันเป็นคนละสิ่งกัน มันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด ถ้าคุณมีจิตใจที่ดีงาม มีความเห็นอกเห็นใจ เห็นค่าของความสุขและเห็นค่าของผู้อื่นจากภายใน แล้วเริ่มต้นที่จะแสดงตัวอย่างพวกนี้ให้พวกเขาเห็น การที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้กลับมา มันไม่ใช่เรื่องยาก
ผมไม่เคยล้อเพื่อนที่ชอบผู้ชายนะครับ ผมคิดว่าคงเพราะผมเข้าใจในตัวตนภายในของเขา ถ้าเขาจะปากจัดไปสักหน่อย นั่นเป็นเพราะนิสัยของเขา ถ้าเขาจะแต่งตัวเนี้ยบสักหน่อย นั่นก็เพราะความชอบของเขา มันไม่ได้เกี่ยวกันเลยระหว่างการชอบผู้ชาย การเป็นสาวประเภทสอง หรือการปากจัด เมื่อเราแยกคาแรกเตอร์แต่ละส่วนออกมาได้ เราก็จะเห็นตัวตนและนิสัยของคนๆนั้นอย่างแท้จริงครับ ทำให้เราตัดสินใจได้อย่างไม่มีอคติ และตามดุลยพินิจของตัวเราเองอย่างแท้จริง
ถ้าเราทุกคนทำได้ สุดท้ายแล้ว ปัญหาเรื่องอคติเชิงการรับรู้แบบนี้ก็จะหมดไปจากสังคมของเรา เราจะเดินเข้าสู่สังคมที่ทุกๆคนมีวิจารณญาณมากพอจะตัดสินแต่ละคนจากพื้นฐานเบื้องลึกของเขา ไม่ใช่ภาพลักษณ์ที่คนส่วนน้อยทำให้เขาเป็นครับ
อันนี้เป็นคำตอบเชิงวิชาการและตามหลักจิตวิทยาสินะครับ
อ่านแล้วค่อนข้างเห็นด้วย แต่ไม่ทั้งหมด ขอเห็นต่างในบางจุดนะครับ
ถามว่าคนที่เค้าล้อเลียนเราหรือแซวเรา มันผิดไหม? มันก็ไม่ผิดนะครับ เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งทำตัวแบบนั้นให้มันเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ข้อที่สองที่เราต้องยอมรับคือเรื่องนี้ ถ้าไม่มีไฟ ควันมันเกิดขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ การที่สังคมมีอคติต่อเรา นั่นเพราะมีคนส่วนน้อยในกลุ่มชนนั้นทำตัวให้เหมาะสมต่อการล้อเลียนและแซวแบบนั้นจริงๆ มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทางสังคมครับ การที่เราจะไปร้องเย้วๆบอกว่าเฮ้ย คุณมองเราแบบนั้นไม่ได้นะ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณอย่ามาเหมารวม มันเป็นกลไก self-defense ที่ผมว่าไม่ใช่ทางออกที่ถูกไม่ผิดครับ และก็จริงที่ว่า คนบางกลุ่มทำให้ภาพลักษณ์ต่อกลุ่มๆนึงเสื่อมเสีย
แต่ถามว่ามันสมเหตุสมผลไหม ผมมองว่า ไม่ครับ
อันนี้อยู่ที่การขัดเกลาทางสังคมของแต่ละคนมากกว่า
ในบางคนอาจจะเรียกร้องสิทธิตามที่คุณยกตัวอย่างมา
"การที่เราจะไปร้องเย้วๆบอกว่าเฮ้ย คุณมองเราแบบนั้นไม่ได้นะ เราไม่ได้เป็นแบบนั้น" อันนี้ต้องบอกก่อนว่า ส่วนตัวผมจะถอยห่างออกมาอย่างเงียบๆครับ เพราะทำยังไงเค้าก็มองเราแบบที่เราต้องการไม่ได้
แต่มีในอีกหลายๆคนที่เค้าต้องการแบบนั้น ซึ่งน่าเห็นใจครับ เค้ามีสิทธิที่จะเรียกร้องเท่าที่ควรจะมี ตามหลักการสังคมทั่วไป
อีกอย่างการ
"เหมารวม" ที่พูดถึงมันกลับย้อนแย้งเข้าไปหาตัวบุคคลที่กล่าวมานั้นมากกว่าด้วยนะครับ
เพราะฉะนั้นมันต้องแก้ทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่า แต่ถามว่าใครเป็นฝ่ายควรแก้มากกว่า ผมว่าก็เท่าๆกันนั่นแหละ
ถามว่ามันทำยังไง ก็ต้องมองกลับมาในภาพ Micro scale คือ เราต้องแสดงออกว่าตัวตนของเรานั้นแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร? มันคือสิ่งที่รสนิยมทางเพศมีผลกระทบต่อจริงๆรึเปล่า(นี่เป็นประเด็นที่สำคัญมาก ทุกคนคิดว่ารสนิยมทางเพศของเพศที่สามมีผลร้ายแรงต่อตัวตนภายในจิตใจ ซึ่งไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย) ตัวตนของคุณมันแยกออกจากรสนิยมเพศหรือปัจจัยภายนอกรึเปล่า หรือว่าเพราะรสนิยมทางเพศคุณเป็นแบบนี้ เลยทำให้คุณต้องอยากขุดทอง อยากได้ผู้ชาย อยากจิกกัดคนสวยกว่าตลอดตรงนี้มองว่าต้องแยก รสนิยมทางเพศ ออกจาก >>
นิสัยพื้นฐาน การเลี้ยงดูของครอบครัว สิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวันหรือสิ่งแวดล้อมที่เคยพบเจอ มากกว่า
ถ้าเราลองสังเกตชาวต่างประเทศที่เมื่อประกาศรสนิยมทางเพศ จะเห็นว่าเพื่อนพ้องร่วมประเทศ หรือแม้แต่ในสายตาของคนทั้งโลก ก็ไม่ได้มองเขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ถ้าเอาชัดๆก็เซอร์เอียน(แกนดาล์ฟ) เขาแสดงให้เห็นว่าตัวตนและความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์ เขารู้ว่าต้องแสดงตัวตนภายในออกมาให้สังคมรับรู้เพื่อมองเขาโดยไม่มีอคติ และเมื่อสังคมมองเขาอย่างไม่มีอคติแล้ว เรื่องสีผิวหรือรสนิยมทางเพศนี่เป็นเรื่องไร้สาระมากครับที่จะเอามาจุดประกายล้อเลียน
*ผมขอมองในฐานะปุตุชนธรรมดาทั่วไปโดยไม่อิงหลักใดๆ*
ผมว่าไม่มีอะไรถูกหรือผิด แต่มีแต่อะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
สังคมไทยยังต้องใช้เวลาในการปลูกฝังเรื่องพวกนี้อีกเยอะ
ต้องใช้แรงจูงใจทางสังคม บวกกับพื้นฐานครอบครัวเป็นสำคัญ
ถ้าคนในครอบครัว หรือสังคมรอบข้างยังเป็นแบบนี้ แก้ไขเป็นรายบุคคลไปยังไง
ทั้งตัวบุคคลที่ 1 บุคคลที่ 2 และรวมถึง บุคคลที่ 3 สุดท้ายมันก็ทำไม่ได้ครับ
ไม่อยากโยงเข้าเรื่องการเมืองนะ แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบมันไม่ต่างกันเลย
สังคมไทยยังเป็นสังคม เผด็จการทางอ้อมด้วยซ้ำ ทำตามค่านิยมกันมาแบบผิดๆ
ไม่ยอมรับสิ่งแปลกใหม่ หรือ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไหร่
ลึกๆแล้ว ก็ยังยึดถือยึดติดกันแบบเดิม ไม่ต่างกับ เรื่องชอบเสี่ยงดวง โชคลาภ บูชาสิ่งของหรือสัตว์ที่แปลกตา
ทำตามๆกันมาแบบไม่มีคำตอบ มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกหลายสิบปี ถึงขั้นร้อยปีครับ
คงแก้ยากถ้าความคิดในหัวของคนในสังคมยังเป็นแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะครับ
มันมีประโยชน์ในเชิงลึกมากทีเดียว