……บทที่10 เสียงปืนในความมืด
ใช้เวลาอยู่พอสมควร กว่าผมจะตีหน้าเศร้าและทำที่เชื่อฟังว่าง่ายจะไม่ไปไหนอยู่แต่ให้ห้องภายในตัวโรงแรมสุดหรู ให้คนขับรถของพี่มอคค่าได้ตายใจจริงๆ ก็เล่นกินเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
ผมอดทน และเฝ้ารอเวลาจนพี่คนขับรถที่ขับมาส่งผมนั้น ได้เดินทางกลับไปยังที่จัดงาน ผมเดาว่าพวกพี่เค้าคงจะคิดไม่ถึงว่าผมจะหาทางกลับไปยังสถานที่จัดงานได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็นั้นแหละครับ ผมอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว ไม่ใช่เด็กอมมือที่ไม่รู้ประสีประสา การหาวิธีกลับไปยังสถานที่จัดงานนั้นง่ายมากสำหรับผม
ผมอดทน และอดทน ..จนเวลาล่วงเลยมาอีกซักระยะ และมั่นใจว่าพวกพี่เค้าจะต้องกลับไปหาพี่มอคค่ากันจนหมดแล้ว จึงได้ค่อยๆแง้มเปิดประตูห้องห้องออก (โชคดีของผมที่พวกนั้นไม่ได้ล็อคประตูห้องไว้จากข้างนอก) ก่อนจะรีบเดินมากดลิฟท์แล้วลงมาชั้นหนึ่งทันที
เมื่อลิฟท์ได้เคลื่อนมาจอดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ผมก็รีบวิ่งไปยังแผนก information ของโรงแรมทันที เพื่อที่จะหาวิธีที่จะกลับไปหาพี่มอคค่า ซึ่งทุกย่างก็ดูจะง่ายกว่าที่ผมคิด เพราะเวลาที่ผมไปถามแผนก informationนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่มี พี่วินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งขับมาจอดส่งผู้โดยสารพอดี ...สบายผมเลยสิครับ ไม่ต้องลำบากลากขาเดินออกไปโบกรถโบกลาที่ถนนใหญ่เลย งานนี้เสียบต่อเลยทันที ...
บรรยากาศเริ่มเย็นลงไปทุกที ท้องฟ้าสีส้มยามเย็นเริ่มกลายเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนๆของสัญญาณฟ้าพลบค่ำ ระหว่างทางที่อยู่บนเบาะหลังของพี่วินมอเตอร์ไซค์ ผมก็อดคิดไม่ได้ถึงวันเวลาดีๆที่ผมได้ใช้ร่วมกับพี่มอคค่า ถึงแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่นั่นก็ถือเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมกล้าเรียกอย่างเต็มปากว่ามันคือความสุข ก็แปลกดีนะครับ ทั้งๆที่พึ่งจะโดนด่าไล่ตะเพิดแบบพังทลาย แต่ทำไมในใจกลับยังอุ่นครุไปด้วยความอบอุ่น หรือจะเป็นเพราะผมรู้อยู่เต็มอกว่าที่พี่มอคค่าไล่ผมมาก็เพราะความเป็นห่วง
แสงไฟสีเหลืองอ่อนจากเสาไฟฟ้าข้างริมถนน และลมเย็นๆที่พัดผ่านตัวผมไปจนชวนให้รู้สึกเย็นๆหนาวๆขึ้นมาเล็กๆ กลับยิ่งทำให้ผมรู้สึกคิดถึง ผมมองถนนที่ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว นึกคิดเล่นในใจว่าอยากจะใช้เวลาร่วมกับพี่มอคค่าอย่างคนอื่นบ้างในเวลานี้
ซิคาดา ตลาดมีสไตล์กลางแจ้ง landmarkของหัวหิน สถานที่ที่ผมมักจะมาเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆของผมบ่อยครั้ง ผมชอบใช้เวลาตอนเย็นในการทานอาหารที่นี่ และใช้เวลายามค่ำคืนกับการช็อปปิ้งของ handmade และฟังดนตรีสด
ภาพวาดรางๆในความคิดเริ่มถูกปรุงแต่งให้มีภาพของพี่มอคค่าเดินจับมือผมอยู่ยามค่ำคืนนั้นชัดมากขึ้น โดยเฉพาะภาพที่เราสองคนนั่งฟังดนตรีสดอยู่ภายในสวนที่ปลกคลุมไปด้วยหญ้าพื้นสีเขียว เสียงเพลงเริ่มดูเหมือนจะบรรเลงเองอยู่ในโสตประสาทของผม แม้ว่าตัวผมจะไม่ได้ฟังดนตรีอยู่ก็ตาม
ผมยังคงใช้จินตนาการเล็กๆสร้างความสุขน้อยๆขึ้นมาในใจ หวังอยากจะถ่ายทอดมันให้ผ่านไปยังของคนๆหนึ่งได้บ้าง
....
พี่วินมอเตอร์ไซค์ยังคงบิดมอเตอร์ไซค์ต่ออย่างเร่งรีบ เหตุเพราะผมได้วิงวอนขอพี่เค้าว่าช่วงขับให้เร็วที่สุดให้หน่อย เพราะกำลังมีเหตุด่วน ซึ่งพี่แกก็ตอบรับแต่โดยดี
...ไม่นานนัก
“แอ๊ดด”
เสียงเบรกของมอเตอร์ไซค์ดังขึ้น รถมอเตอร์ไซค์ได้มาหยุดจอดอยู่ที่หน้าโรงแรมสุดหนูที่ผมได้มาเยือนมายามบ่ายๆเย็นๆเป็นสัญญาณบอกว่าตอนนี้พี่วินสุดเฟี้ยได้ส่งผมมาถึงยังที่หมายปลายทางแล้ว หน้าโรงแรมยังคงมีคนคอยเปิดประตูอยู่สองคนเช่นเดิม เสียงเพลงที่หลุดลอยออกมาจากภายในตัวโรงแรมยังไม่หายไปเช่นเดิม ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเหมือนที่ผมมาถึงในตอนแรก ดูจากภายนอกแล้วยังไม่มีการโกลาหลใดๆเกิดขึ้น นั่นทำให้ผมเบาใจไปได้ส่วนหนึ่งว่าพี่มอคค่าน่าจะยังปลอดภัยดีอยู่
ผมรีบหยิบควักแบงค์สีเขียวสองใบง่ายเงินพี่วินมอเตอร์ไซค์ และไม่ลืมที่จะขอบคุณที่พี่แกอุตส่าห์บิดมาส่งผมให้ด้วยความเร็วเสี่ยงต่อการโดนตำรวจไล่อย่างมากมาย ก่อนที่จะเดินขึ้นเข้าไปในตัวโรงแรม เพื่อที่จะเข้าไปยังโถงที่จัดงาน
ระหว่างที่เดินผ่านโถงสุดหรู ผนังถูกทาด้วยสีครีม พื้นล้วนเป็นไม้หินอ่อน ที่เชื่อมระหว่างฮอลจัดงานกับพื้นที่หน้าโรงแรมด้วยความไม่สบายใจปนหน่วงๆนั้น เสียงๆหนึ่งก็เรียกผมดังขึ้นจนผมต้องเหลียวหันไปหา
“มังกร!”
เสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูนัก แสดงถึงว่าคนที่เรียกผมนั้นเป็นคนที่ผมยังรู้จักไม่นานพอ ...และคนๆนั้นก็คือพี่พีท
ใบหน้าของพี่พีทดูเป็นกังวลมากกว่าจะยินดีที่ได้เจอผม ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะแปลกใจนักเพราะเข้าใจสถานการณ์ตึงเครียดตอนนี้ดี ถ้าจะเครียดกว่านี้ก็คงจะเป็นความกลัวที่จะโดนพี่มอคค่าด่าไล่กลับรอบที่สองแหละครับ
“ทำไมถึงยังกลับมาที่นี่อีกหละ”
พี่พีทถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆไม่สบายใจ
“ผม ... คือผม ..” ผมพยายามนึกคำพูดที่พูดไปแล้วน่าจะสวยหรูพอทำให้ผมไม่โดนพี่พีททำเสียงขุ่นๆใส่อีก
แต่แล้วก็ดูเหมือนผมจะจนปัญญา ..คิดไม่ออกว่าจะแก้ตัวยังไงดี เลยได้แต่ยิ้มอ่อนๆตอบกลับพี่พีทไป
พี่พีทส่ายหัวไปมาก่อนจะบอกผมว่า
“มังกร กลับไปเหอะนะ เชื่อพี่เถอะ” พี่พีทเริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนโยน คงคิดจะกล่อมให้ผมกลับไปแน่ๆ แต่ผมไม่ยอมหรอกครับ
“พี่มอคค่าอยู่ไหนครับพี่” ผมถามคำถามพี่พีทไป และทำเหมือนว่าพี่พีทไม่ได้กล่อมเกลาผมใดๆทั้งสิ้น
“อยู่ข้างในหนะ ….แต่ว่า ...”
“ครับ?”
คำว่าแต่ว่าของพี่พีททำให้ความรู้สึกผมสั่นไปมาอีกครั้ง
“พี่ว่า มอคค่าเห็นเรา เค้าจะไม่สบายใจมากกว่านะ ...” พี่พีทยังคงตั้งใจจะกล่อมเกลาผมให้กลับไปอยู่เช่นเดิม
“........”
ผมไม่รู้จะตอบแก้ตัวอย่างไรอีก เลยได้แต่ยิ้มอ่อนอีกครั้งตามสูตรฉบับของพี่โน้ตเดี่ยวไมโครโฟน พี่โน้ตสอนว่าถ้าเราเจอปัญหาหรือเรื่องไม่ชอบหน้า ให้พยายามทำหน้ายิ้มเจื่อนๆเหมือนสัตว์ที่ชื่อสล็อต เจ้าพ่อแห่งการใช้ชีวิตSlow life แล้วเดินหนีอย่างทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมยิ้มครับ แล้วเดินอย่างช้าๆจากพี่พีทไป ซึ่งก็ดูพี่แกจะงงๆกับท่าทีของผมจนถึงกับทำคิ้วขมวด แต่ยืนงงไปยืนงงมา ผมก็เดินมาเหยียบประตูของที่ประชุมแล้วหละครับ
“เดี๋ยวๆ!”
พี่พีทเรียกผมขึ้นทันทีหลังจากที่คงจะได้สติกับท่าทีตลกๆแบบฉบับพี่โน้ตของผม เฮียแกวิ่งเข้ามาทันทีก่อนจะถอนหายใจเฮือกเล็กแล้วว่า
“นี่เราจะเข้าไปให้ได้จริงๆใช่มั้ย”
ผมเริ่มเห็นลู่ทางแล้วครับ อย่างน้อยพี่พีทก็เริ่มเปลี่ยนจากประโยคไล่ผมเป็นประโยคคำถาม รออะไรหละครับ ก็ต้องรีบตอบตกลงสิงานนี้
“ใช่ครับ” ผมยืนยันคำตอบด้วยเสียงหนักแน่น
“ถ้าอย่างงั้นมีข้อแม้” พี่พีทเสนอเงื่อนไขให้ผมเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องใจอะไรถ้ามันไม่หนักเกินไปที่ผมจะทำ
“มังกรต้องอยู่ข้างพี่ตลอด อย่าเดินไปไหนคนเดียวเข้าใจมั้ย เพราะตอนนี้มอคค่ากำลังคุยกับเสี่ยคนนั้นอยู่ พวกพี่เพิ่มการ์ดรักษาความปลอดภัยไปแล้วก็จริง แต่มันก็ใช่จะได้ผล”
พี่พีทหลับตาลง ก่อนจะหยุดเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือทั้งสองขึ้นมาวางลงบนบ่าของผมอย่างเบาแรง
“พี่ไม่อยากให้เหตุการณ์ที่เกิดกับสล็อตเกิดขึ้นอีก ... มังกรอย่าดื้อนะ” นั่นคือสิ่งที่พี่พีทพูดก่อนจะเดินนำผมเข้าไปยังโถงจัดงานนั่น
คำพูดนี้ของพี่พีท ทำให้ผมกลับรู้สึกสงสัย และฉงนกับสล็อตขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งๆที่พยายามจะไม่คิดถึงเขา
ผมนึกสงสัยเล่นๆขึ้นมา ว่าทำไมพี่มอคค่าถึงยังเลือกที่จะคุยเรื่องสัญญาอยู่อีก ทั้งๆที่รู้ว่าเวลานี้กำลังมีอันตรายมาเยือนหาตน และเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วย แต่ก็นั่นแหละครับ ผมตั้งคำถามเอง แล้วก็ตอบเองในเวลาสั้นๆ ความสำเร็จของคนเราจะมีอะไรสำคัญไปยิ่งกว่า ความทะเยอะทะยานที่สุมอยู่ในไฟแห่งความหนุ่มแน่นของบอสเจ้าระเบียบคนนี้ ผมเข้าใจดีเลยหละครับ เพราะความทะเยอะทะยานนั่น ก็ไม่ได้ต่างไปจากผมซักเท่าไหร่หรอก
...
ขณะที่ผมกำลังตามพี่พีทเข้าไปยังที่จัดงานนั้น บรรยากาศยังเป็นไปอย่างปกติ แต่ที่แปลกไปคงจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดูจะเพิ่มจำนวนขึ้นมามากพอสมควรหลังจากที่ผมโดนส่งไปยังโรงแรม บ้างก็ดูยังหนุ่มยังแน่นซึ่งผมเดาไว้ว่าน่าจะเป็นทายาทของสมาพันธุรกิจ บ้างก็ดูค่อยข้างมีอายุพอสมควรซึ่งก็เดาได้ไม่อยากว่าต้องเป็นระดับอภิมหาเศรษฐี หรือเศรษฐีระดับพระกาฬ
เสียงเพลงจีนร่วมสมัยยังคงบรรเลงก้องดังด้วยเสียงไพเราะจากนักร้องนำผู้ชายร่างสูงขาวตี๋ ที่แต่งตัวอย่างจัดเต็มตามสไตล์คุณชายในฝันของหญิงสาวหลายๆคน อาเจ๊อาเจ๊กล้วนกำลังร่วมวงสนทนาทั้งเรื่องมีสาระและปนเรื่องของชาวบ้านอย่างหน้าออกรสออกชาติ
(ถึงจะไฮโซยังไง แต่ไอความสนุกของการยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ก็ไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ จริงมั้ยครับ)
ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นจะมีความผิดปกติแต่อย่างไรเกิดขึ้น ทุกอย่างดูปกติ เรียบง่าย บ๋อยบริกรยังคงเดินกันให้วุ่น เหล่าบรรดาแขกล้วนกำลังพูดคุยอย่างดุสนุกสนาน บ้างก็รับประทานอาหารและทานเค้กอย่างมีความสุข มีเมาท์มอยออกรสออกชาติกันเป็นหย่อมๆ ...ดูอย่างช่างดูปกติเสียเหลือเกิน ..จนผมเริ่มรู้สึกว่า ผมคิดมากไปเองรึเปล่า
“พี่มอคค่าอยู่ไหนหรอครับ”
ผมถามพี่พีทไปอย่างตรงๆหลังจากที่รุ้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนเป็นปกติ
“อยู่ข้างในสุดหนะมังกร ..โต๊ะนั่นไงที่มีพี่ซือๆยืนอยู่ด้วย”
พี่พีทว่าพลางส่งสายตาไปยังโต๊ะที่อยู่ข้างในสุดของตัวโถง โต๊ะกลมไม้ที่ถูกปูทับด้วยผ้าปูผืนขาวสะอาดตา ถูกจัดวางและเต็มไปด้วยอาหารที่ดูเลิศรสอยู่เต็มโต๊ะ เหนือโต๊ะมีโคมไฟสุดพิเศษที่ดุรูปทรงออกโกธิคของทางยุโรป ..มองปราดเดียวก็ทราบได้ทันทีว่า นั่นคือตัวพิเศษสำหรับแขกชั้นสูงแบบ super high class
ชายสูงวัยสองสามคนกำลังนั่งเคียงข้างกับอาเสี่ยที่กำลังจะมาเซ็นสัญญากับพี่มอคค่า ส่วนข้างพี่มอคค่ากลับมีที่ว่างอยู่ทั้งสองข้าง ซึ่งผมเดาว่าตอนแรกนั่นคงจะเป็นที่ของผม เพราะมพี่มอคค่าบอกไว้ว่าจะให้ผมได้ลองร่วมโต๊ะสนทนาธุรกิจ
พอเห็นภาพตรงหน้าจากไกลๆด้วยการชะเง้อมอง ความทะเยอะทะยานที่อยากจะลองประสบการณ์ใหม่ตรงหน้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมา วิ่งไปเวียนมาอยู่ในเส้นเลือดของผม แต่นั่นผมก็พอจะมีสติรู้ตัวว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะพุ่งโผลงเข้าไป มันคงจะเป็นการเสียมารยาทมากพอดู .. ผมเลยได้แต่มองอยู่อย่างนึกเสียดายเล็กๆ
.....
แต่แล้วขณะที่ผมกำลังนึกวาดฝันสนุกๆว่าตนเองได้มีโอกาสร่วมวงเสวนาธุรกิจกับพี่มอคค่านั่น เหตุการณ์ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าเรื่องร้ายๆกับลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เกิดขึ้น เมื่อไฟของโถงอาคารดับลงอย่างกะทันหัน!
“ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ว้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
“พรึ่บ!….
เสียงกรี๊ดกร๊าดตื่นตระหนกของเหล่าอาเจ๊และเสียงโวยวายของเหล่าอาเจ๊กสอดรับประสานกัน ยิ่งเพิ่มความตระหนกให้กับเหตุการณ์มากขึ้น
....
ปั้ง!
ไม่น่านากหลังจากที่เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาทั่วทั้งโถง เสียงปั้ง ดังจากกระบอกปืนก็ดังขึ้นถึงสองนัด
เสียงเก้าอี้ที่ถูกลากครืดคราด เสียงกระทบกันระหว่างรองเท้ากับพื้นโถงดังขึ้นอย่างสนั่นทันที!
ครั้งนี้ผมเริ่มสัมผัสได้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นชัดมากในที่มืดก็ตาม ว่าผู้คนเริ่มวิ่งหาทางออกกันอย่างอลหม่าน มีหลายคนที่วิ่งชนตัวผมผ่านไปและออกจากประตูทางเข้าตัวโถงซึ่งยังพอมีแสงไฟสว่างจากด้านนอกอยู่
ณ วินาทีนั้นผมไม่รู้ว่าพี่พีทหายไปจากตัวผมตอนไหน ไม่มีเสียงเรียกชื่อผม มีแต่เสียงกรี๊ดกร๊าดโวยวายตื่นตระหนก และเสียงฝีเท้าของเหล่าบรรดาแขกที่ตระหนนกกับเสียงดังของปืน
วินาที่นั้น คนๆเดียวที่ผมนึกถึง ...ก็คือพี่มอคค่า ..
“พี่มอคค่า”
ผมเรียกชื่อเจ้านายของผมออกมาช้าๆอย่างไม่ได้ตั้งใจก่อนที่จะเดินเร็วเข้าไปยังโต๊ะที่อยู่ข้างในสุดทันที
ความเป็นห่วงตีโหมกระหน่ำขึ้นมา ความกังวลปนสับสนและนึกแก้ไขปัญหาไม่ออกกระโจนออกมาพร้อมๆกัน ผมไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แต่ฝีเท้าผมกลับก้าวเดินเข้าไปข้างใน ก้าวเข้าไปอย่างไม่ยอมหยุด ก้าวอย่างแวดระวัง
ระหว่างทางผมเดิน เดิน และเดิน ...เดินชนกับคนหลายคน หลายครั้งที่โดนส้นสูงเหยียบเท้า หรือแม้กระทั่งโดนชนจนแทบจะล้มหงายหลัง ..แต่นั่นมันไม่สำคัญ มันคือเรื่องเล็กน้อยที่ผมจะเจ็บตัว ผมต้องหาพี่มอคค่าให้เจอให้ได้ พี่มอคค่าอยู่ที่ไหน
“พี่มอคค่า!”
....
ผมตะโกนเรียกหาเจ้านายของผมท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งตอนนี้ก็จะมีเพียงแสงไฟอยู่บ้างจากโทรศัพท์มือถือของเหล่าบรรดาแขกที่เริ่มจะหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าเพื่อใช้ส่องทาง
....ไม่มีเสียงตอบกลับจากพี่มอคค่า
ยิ่งผมเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ผมก็สัมผัสได้ว่าผมกำลังอยู่คนเดียวมากขึ้นทุกที ทุกที และทุกที ...
ผู้คนล้วนกำลังวิ่งออกจากประตูในขณะที่ผมกำลังเดินถลำลึกเข้าไป
เสียงโกลาหลเริ่มไกลจากตัวผมมากไปทุที ทุกที และเบาลง เบาลง นั่นแสดงว่าเหล่าบรรดาแขกทั้งหลายเริ่มทยอยออกไปจากโถงนี้กันแทบจะหมดแล้ว
ผมเริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง รู้สึกเหมือนกำลังฝ่าดงความมืดมิดอยู่คนเดียวอย่างไม่มีใครอยู่ข้างกาย
ความกลัวทำให้ผมต้องสะอึกน้ำลายขึ้นมา คำพูดของพี่พีทที่เตือนผมเริ่มตามเข้ามาหลอกหลอน ความรู้สึกกลัวตายเริ่มเข้ามาแทนที่ ....
ผมเดิน เดิน และเดินเข้าไป .... พยายามเดินให้เบาเสียงที่สุดจนถึงตัวตัวข้างในสุดที่เป็นที่เจรจาธุรกิจของอาเสี่ยกับพี่มอคค่า .....
แต่ตอนนี้...
โต๊ะตัวนี้กลับไม่มีใครอยู่แล้ว ….
ท่ามกลางความมืดมิด ..เหลือแต่เพียงผม ..
...
ปั้ง!
..................................
จากไรต์ .... ขอโทษด้วยนะคร้าบบบ หายไปนานเลย ขึ้นปี2มา ไม่คิดว่าเอกจีนจะหนักขนาดนี้ T-Tโดยเฉพาะจีนวัฒนธรรม ไม่มีเวลามากๆ สอบมันทุกอาทิตย์ การบ้านก็มีมาตลอด ..แต่ตอนนี้เริ่มตั้งตัวได้แล้ว จะกลับมาอัพเรื่อยๆนะครับ