เอก x นาย
หมายเหตุ : เหตุการณ์อยู่ในช่วงตอนที่ 59 – 60ผมชื่อเอกภพ แปลว่าหนึ่งเดียวในโลก
ส่วนเขาชื่อนราธิป แปลว่าเป็นใหญ่ในหมู่คน
“ปล่อย”
เดิมทีผมรู้จักเขาอยู่แล้ว...แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง เรื่องนี้แม้แต่ควีนก็ไม่รู้ ว่าหลังจากหลานของท่านมีคนคบหาอย่างจริงจัง ‘ท่าน’ ก็ออกคำสั่งให้ผมจ้างนักสืบเพื่อล้วงประวัติของนิลกาฬทันที
ฉะนั้นผมจึงรู้จัก ‘นาย’
และอาจจะรู้จักดีกว่าเจ้าตัวซะอีก
พอเห็นควีนขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์ของกรห่างออกไปผมก็ปล่อยตัวนาย ไม่ได้เรียกมาจากความหมายของเจ้านาย เหมือนที่ควีนเรียกหรอกนะ แต่ผมเรียกเขาว่านาย ซึ่งมาจากชื่อเล่นที่เขาตั้งเองและชอบให้ใครต่อใครยกยอตัวเอง
คำเดียวกัน แต่แปลได้หลายความหมาย
เป็นได้ทั้งผู้เป็นใหญ่ แต่ก็เป็นได้ทั้ง...คนธรรมดาคนหนึ่ง
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อยู่นิ่งๆ ดีกว่า เมื่อควีนออกคำสั่ง ผมย่อมทำทุกวิธีเพื่อพาคุณไปที่คลับให้ได้”
ไม่ว่าเปล่ายังเลื่อนมือจากที่ปิดปากเป็นกอบกุมลำคอ ตามประวัติที่ได้อ่าน นายเป็นเพียงนักธุรกิจที่รักการกอบโกยและเอาเปรียบผู้อื่น แต่ไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ ช่างโลภมากและไม่เจียมตัวเอาซะเลย
ฉะนั้นผมถึงไม่เห็นใจเขาสักนิดที่ถูกเพื่อนสนิททรยศจนโดนฟ้องขึ้นศาลใหญ่โต เสื่อมเสียชื่อเสียง และโดนแบนจากบริษัท
“ควีน?” นายเอ่ยทวนอย่างสงสัย ทีท่าสงบขึ้น คงรู้ว่าผมเอาจริง “เห็นเรียกตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว ควีนคืออะไรกันแน่”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เขาถามเพราะอยากจะทำความรู้จักกับควีน ไม่ใช่ด้วยความสอดรู้เกี่ยวกับระบบของคลับ
“ผมไม่มีหน้าที่ต้องตอบคุณ”
“หึ สุนัขซื่อสัตย์” นายแค่นหัวเราะเย้ยหยัน
“ก็ดีกว่าสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง เที่ยวกัดคนอื่นไปทั่ว”
“แก!”
“ปีนี้อายุสี่สิบเอ็ดแล้วนี่ครับ แถมยังเป็นโรคความดันอีกต่างหาก อย่าโกรธมากจะดีกว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมคงไม่พาคุณไปโรงพยาบาล แต่คงให้ไปตายที่คลับแทน”
ผมลากนายลงจากรถ เพราะจากประสบการณ์ทำงานกับบอส ทำให้พวกผมเลือกที่จะรอบคอบไว้ก่อน แม้ไม่รู้ว่าควีนจะจัดการกับคนคนนี้ยังไง แต่ถ้าให้บอสมาตัดสินในขั้นตอนสุดท้าย ก็ควรทิ้งหลักฐานที่ข้องเกี่ยวกับเขาที่คลับให้น้อยที่สุด
ทะเบียนรถน่ะตัวดี ฉะนั้นผมถึงบังคับให้เขามาหยุดอยู่หน้ามอเตอร์ไซค์ที่ขับมายังที่นัดหมาย
เงินเดือนของคลับมากพอให้ซื้อรถสักคันก็จริง แต่ผมชอบความตื่นเต้นและความรวดเร็วของมอเตอร์ไซค์หรือเจ้าบิ๊กไบค์คันนี้มากกว่า เลยเอาเงินมาลงกับการแต่งเครื่องซะแทน
“จะให้ฉันนั่งไอ้นี่ไปรึไง”
“ถ้ารู้แล้วก็สวมหมวกกันน็อกซะสิ” ผมส่งหมวกให้นายที่ทำหน้าแขยง ราวกับว่าการนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในชีวิต
“ทำไมฉันต้องไปกับแก แค่กดโทรครั้งเดียว ทั้งเจ้านายของแกและตัวแกก็ไม่รอดแล้ว”
“เพราะก่อนที่คุณจะกดโทรออก ก็อาจจะมีเสียงดังที่คลับคล้ายกับกระดูกหัก” ผมหักนิ้วตัวเองขณะยิ้มนิดๆ แถมไปด้วย “เสียงประมาณนี้ แต่ความเจ็บปวดคงเทียบกันไม่ได้”
ผมชอบขู่ก็จริง แต่บทจะทำจริงขึ้นมา ก็ทำได้ดี
นายมองผมอย่างประเมินครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมนั่งซ้อนด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แถมยังมองหมวกกันน็อกแบบงงๆ เพราะเป็นแบบเต็มใบปิดทั้งหน้า ไม่ใช่ครึ่งใบเหมือนของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เวลาสวมแล้วอึดอัดหน่อยครอบปิดหุ้ม โฟมรองรับป้องกันแรงกระแทก และเหมาะกับรูปศีรษะของผม ปกติผมไม่ค่อยให้ใครมาซ้อนเท่าไหร่ ก็เลยพกหมวกแค่ใบเดียว ตอนขามาก็ให้ควีนเป็นคนสวม ส่วนตอนนี้ก็ต้องยกให้นาย เพราะมีสิทธิ์กลิ้งตกสูงกว่าผมแน่ๆ อยู่แล้ว
“จับดีๆ”
“ไม่ต้องมาหวังดี”
“อายุปูนนี้ตกลงไปกระดูกกระเดี้ยวหัก ผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ”
นายกัดฟัน แม้จะรักษารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างดีแต่การถูกพูดย้ำเรื่องอายุบ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องน่าสนุก
แต่ผมก็ไม่ได้ตั้งใจให้ขำสักหน่อย
“ถ้าขับออกไปเจอคนเมื่อไหร่ ฉันจะร้องให้ช่วย”
“อย่ามัวแต่พูดจะดีกว่า” ผมเอ่ยระหว่างเหลือบมองนายที่จับท้ายรถอย่างไม่ค่อยถนัดมือเท่าไหร่ “และถ้าทำได้...ก็ลองดู”
คนแก่อ่อนประสบการณ์ เขาคงคิดว่ามอเตอร์ไซค์เหมือนกับการขับรถที่แค่เปิดหน้าต่างก็ร้องขอความช่วยเหลือได้
แต่โทษเถอะ จนตอนนี้กัดลิ้นตัวเองไปรึยังก็ไม่ทราบ แถมยังจิกชายเสื้อผมแน่นเหมือนกลัวตก เบียดตัวแนบชิดแทบผสานเป็นเนื้อเดียว จะเอื้อมไปจับข้างหลังก็ไม่ทันแล้วเพราะตัวไหลลงจากตำแหน่งเดิมจนแทบจะรวมร่างกับผม ทำให้ขับยากกว่าเก่าเพราะศูนย์ถ่วงชวนเป๋ พอเจอความเร็วเข้าหน่อยก็ห่อตัว ทำอะไรไม่ถูก สมเป็นพวกเศรษฐีชี้นิ้วสั่ง ไม่เกลือกกลั้วกับปุถุชนจริงๆ
ผมพยายามขับอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะพอนายเบียดมาขนาดนี้เลยต้องแบกรับน้ำหนักเขาไปโดยปริยาย กว่าจะจอดอยู่หลังคลับได้ก็ใช้เวลานานกว่าที่คิด พอเปิดประตูเข้าไปทั้งเก่งและแว่นก็พากันลงมานั่งที่ชั้นแรกอย่างรอคอย
“แล้วควีนล่ะ”
“ไปกับกร”
“ไปไหน ไปทำไม” อัศวินเลือดร้อนถามอย่างงุนงง เพราะควีนออกไปกับผม แต่ไหงสุดท้ายถึงไปกับบิชอปอีกคนซะได้
“คงจะจัดการเรื่องโรงงานน่ะ” ผมสันนิษฐานพลางลากนายเข้ามาในคลับ ฝ่ายนั้นเอาแต่ยื้อราวกับกลัวว่าถ้าเข้ามาแล้วจะออกไปไม่ได้ง่ายๆ แต่ช่วงเวลาดึกดื่นค่อนคืนที่เพิ่งมีตำรวจบุกถล่ม คงจะมีคนกล้ามาเดินเล่นแถวนี้ให้เขาร้องขอความช่วยเหลือหรอก
“แล้วนี่ใคร”
“นราธิป กสินสกุล” แว่นเป็นคนตอบ ในมือถือไอแพดที่เปิดประวัติสมาชิกเทียบ “คนรู้จักของควีน”
“และเป็นคนที่ควีนขึ้นแบล็คลิสต์เอาไว้...หรือว่ามันจะเป็นคนแจ้งตำรวจ!?”
ผมรีบดึงตัวนายให้ถอยหลบไปด้านหลัง แล้วยกมือรับกำปั้นของเพื่อนร่วมตำแหน่งอัศวินผู้มีนิสัยต่างกันคนละขั้ว อาจเพราะอายุห่างกันหลายปี ทำให้เก่งควบคุมวุฒิภาวะทางอารมณ์ไม่ค่อยอยู่
“พี่เอกปกป้องมันทำไม!”
“ควีนสั่งให้บอสเป็นคนจัดการเท่านั้น”
“ขอสักหมัดไม่เป็นอะไรหรอก บอสไม่เคยว่าผมสักหน่อย”
“เป็นอัศวินก็หัดทำตัวให้เยือกเย็นบ้าง” ผมพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ เก่ง “แว่นไม่ชอบคนเลือดร้อนหรอกนะ”
เก่งชะงักทันที พอหันไปเจอแว่นที่เหลือบมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก็คล้ายถูกน้ำเย็นจัดสาดจนอารมณ์พลุ่งพล่านดับวูบ ลดหมัดลดแขนลงก่อนจะยอมถอยห่างจากหน้าประตู
“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่ให้ใครแตะต้องคุณจนกว่าควีนและบอสจะกลับมา”
“ทำไม แกไม่อยากต่อยฉันเหมือนคนนั้นรึไง”
ผมส่ายหน้า ไม่โมโหไปตามคำยั่วยุ
“เพราะคุณ...มีอดีตกับควีน”
จะบอกว่าผมคิดมากก็ได้ แต่ในเมื่อการกระทำของคนๆ นี้ล้วนมาจากผลพ่วงของอดีตที่ควีนไม่อยากพูดถึง ฉะนั้นผมจึงพยายามไม่แตะต้องเขา ปล่อยให้ควีนกับบอสจัดการจะเหมาะสมกว่า
“หึ ทั้งควีน ทั้งอัศวิน คลับนี้คงจะครึกครื้นฟั่นเฟือนน่าดู”
“ก็ดีกว่าบริษัทของคุณ”
ผมฉุดต้นแขนของเขาให้เดินมาพร้อมกัน แล้วบังคับให้นั่งแถวโต๊ะเล่นไพ่ ไม่ลืมหันไปบอกกับเก่งให้ช่วยหาเชือกมามัดมือเอาไว้ ป้องกันหยิบฉวยของในคลับมาขว้างปาเพื่อหาจังหวะหนี ความจริงหากขยับตัวมีพิรุธสักหน่อย ผมที่ยืนใกล้ขนาดนี้คงไหวตัวทัน แต่เพื่อความมั่นใจ และเพื่อลดความระแวดระวังพร้อมทั้งความสบายใจของแว่น ผมเลยต้องป้องกันไว้ก่อน
นายไม่ขัดขืนผมเลยตอนที่มัดมือเขา คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่ายังไงก็หนีไม่พ้น ในเมื่อมีอัศวินหน้าโหดยืนแยกเขี้ยวใส่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“แกดูรู้จักฉันดีจังนะ”
“ถ้าคิดจะใช้เงินฟาดหัวเพื่อขอให้ปล่อยตัว ก็เลิกคิดซะเถอะ” ผมพูดดัก การที่จู่ๆ หันมากระซิบกระซาบและแย้มยิ้มเป็นมิตรด้วยสีหน้าเสแสร้ง คงไม่พ้นจงใจเกลี้ยกล่อมผม
นายหน้าเสียไปวูบหนึ่ง แต่ก็ยังพยายามเอ่ยต่อราวกับรู้จักควีนเป็นอย่างดี
“บอสของแกมันโง่ที่ตกหลุมกับดักของนิลกาฬ”
ผมยืนพิงกับโต๊ะอีกฝั่ง หันหน้าเข้าหานาย ปล่อยให้พล่ามตามใจชอบ
“มันเคยใช้เซ็กซ์หลอกฉันจนหัวปั่น บอสของแกก็จะเป็นเหมือนกัน”
“ไม่เหมือนกัน” ผมพูดนิ่งๆ “จุดเริ่มต้นระหว่างควีนกับบอส และนิลกาฬกับคุณ ไม่มีส่วนเหมือนกันแม้แต่นิดเดียว”
นายเบิกตาโพลงอย่างคาดการณ์ไว้ไม่ผิด
“แกรู้...”
ผมยิ้มน้อยๆ เป็นคำตอบ
“แกเป็นใครกันแน่ ไม่สิ คลับนี้มันอะไร ถ้ารู้ประวัติของนิลกาฬ แล้วทำไมยังรับคนเลี้ยงไม่เชื่องแบบนั้นอีก แถมยังยกย่องเป็นควีนบ้าบออะไรนั่น”
“เบาเสียงหน่อย”
ผมใช้นิ้วโป้งกดบนริมฝีปากของนายที่คล้ายจะสารภาพบาปทุกอย่างออกมา การกระทำนั้นทำให้แว่นและเก่งหันมามองอย่างสงสัย
“มีแค่บอสกับผมที่รู้ ส่วนคุณ...ถ้าไม่อยากโดนอัศวินคนนั้นทำร้าย ขอเตือนว่าอย่าปากมากจะดีกว่า”
ดวงตาของนายสั่นระริก ก่อนจะยอมสงบปากสงบคำโดยดี
“แก...”
“ผมชื่อเอก”
ออกจะแปลกไปหน่อยกับการแนะนำตัวในสถานการณ์แบบนี้ แต่ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่ถูกเรียกห้วนๆ ทั้งที่รู้จักอีกฝ่ายเป็นอย่างดี จะให้ไล่ชื่อญาติพี่น้องมาด้วยยังได้ ขนาดเลขห้องนอน เบอร์โทรศัพท์ ผมก็ยังรู้
ทั้งหมดเป็นคำสั่งของท่านที่ให้เตรียมตัวเสมอหากคนๆ นี้ย้อนกลับมาหาควีน
ท่านมีความรักอันยิ่งใหญ่ แม้จะมากมายจนเกินไปบ้างแต่ก็เต็มไปด้วยความหวังดีและอยากปกป้องคนที่รักจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงที่อาจเข้ามาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
กระทั่งกับคนรักของหลานยังไม่เว้น
ด้วยเหตุนี้ ผมถึงได้จงรักภักดีต่อท่าน และ...ต่อบอส
“ควีน...นิลกาฬที่คุณรู้จักเปลี่ยนไปแล้ว”
ผมเลื่อนนิ้วออก ก่อนจะกลับมายืนกอดอกเหมือนเดิมอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เชื่อมั่นว่าท่านจะต้องช่วยบอสได้อย่างแน่นอน
“ถ้าไม่เชื่อ ก็รอดูกับตาเถอะ”
หลังจากนั้นไม่นานควีนก็กลับมา
ท่าทางที่พวกผมคุ้นชินดี คงเป็นภาพแปลกตาสำหรับนาย เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ราวพยายามทำความเข้าใจใหม่ถึงตัวตนของนิลกาฬในอดีต และตัวตนของนิลกาฬในตอนนี้
นิลกาฬที่ไม่ได้มีดีแต่ปาก ไม่ใช่คนหลักลอยไร้เป้าหมาย แต่กลับมุ่งมั่นในการทำบางสิ่งบางอย่าง จนกลายเป็นความเชื่อมั่นที่น่าติดตาม จนทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความพยายามและเข้มแข็ง จนอดที่จะยอมรับไม่ได้
คงเพราะเหตุนี้ นายถึงได้เลิกดันทุรัง ดึงดันเพียงฝ่ายเดียว
นิลกาฬคนนี้เป็นอิสระจากอดีตแล้ว
“ฉันเคยรักเธอนะนิลกาฬ”
“มันไม่ใช่รักหรอกครับ นายแค่หลงผมเพราะเป็นผู้ชายคนแรกของนายก็เท่านั้น”
ลับหลังควีนที่เดินผ่านไป นายหรือนราธิป ผู้เป็นใหญ่เหนือผู้อื่นกลับกลายเป็นคนแพ้คนหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ผมช่วยแก้มัดให้เขา แต่นายไม่ยอมขยับตัวเหมือนไม่อยากออกไปจากคลับ ไม่อยากไปจากควีน ไม่อยากจบความสัมพันธ์เหล่านั้นและกลายเป็นคนไม่รู้จักกันเข้าจริงๆ
ช่างเป็นคนโลภมากไม่เปลี่ยน
“ควีน!”
พลันเสียงตะโกนดังลั่น ผมกับนายหันไปทางประตูพร้อมกัน แต่เพราะมีม่านแดงขวางเอาไว้ จึงรีบเดินไปที่ทางออก ก่อนจะพากันอึ้งตะลึงเมื่อเห็นควีนกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกับตัวของแว่นโดยที่มีมีดปักอยู่ตรงช่วงท้อง พร้อมกับเลือดสีแดงที่ค่อยๆ ซึมกระจายเป็นวงกว้าง
แว่นเรียกรถโรงพยาบาล กรโทรหาบอส ใบปอยืนอย่างทำอะไรไม่ถูก ส่วนเก่งก็เอาแต่ระดมชกตัวการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ส่วนนาย...
“นิล...”
นายทิ้งทิฐิทุกอย่าง แล้วคุกเข่าลงข้างๆ ควีนด้วยสายตาระริกไหวอย่างเป็นกังวลและหวาดกลัว
“นิลกาฬ”
แต่ควีนกลับหลับตาและหันหน้าหนี ราวกับไม่อยากเห็นท่าทางที่แสดงซึ่งความอ่อนแอ ทั้งที่เป็นตัวตนจริงๆ ของนาย
เมื่อเห็นทีท่ารังเกียจขนาดนั้นนายก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองด้วยสายตาตัดพ้อและเจ็บปวด แผ่นหลังของเขาแฝงความโศกเศร้าอย่างชัดเจน
และในตอนนั้นเอง ผมก็ตระหนักได้ว่าความจริงแล้วไม่ได้รู้จักอีกฝ่ายดีอย่างที่คิด
ข้อมูลบนเอกสาร กับนายที่นั่งอยู่ข้างหน้านี้
แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บางที...การที่นายรีบมาหาควีนอย่างเร่งร้อน คงไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องหลักฐานฟ้องร้อง
และบางที...การที่เขาร่วมมือกับคนอื่นเพื่อให้ร้ายคลับ ก็ไม่ใช่การเอาคืน
เขาอาจหวังแค่...ทำลายที่อยู่ของควีนตอนนี้ แล้วมอบที่อยู่ใหม่ เพื่อให้นิลกาฬ...กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ควีนบอกว่านั่นไม่ใช่ความรัก
แต่สำหรับผม...ผมคิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของความรัก ที่แฝงมาพร้อมความเห็นแก่ตัว
แก้มขวาของผมปวดแปลบ
แม้จะเจ็บแค่ไหนแต่ความรู้สึกนี้คือสิ่งตอกย้ำว่าพวกผมไม่สามารถปกป้องควีนตามคำสั่งบอส ถูกลงโทษเพียงการต่อยหน้าคนละครั้ง ก็ถือว่าเป็นความเมตตาของบอสมากแล้ว เพราะตอนที่กรเล่าเรื่องราวทั้งหมด บอสแทบจะกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ซะด้วยซ้ำ
เป็นควีนที่ช่วยพวกเราเอาไว้
ทั้งที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้อง แต่การกระทำของควีนช่วยปลอบขวัญบอส และสร้างความรู้สึกตื้นตันจนไม่สามารถเอาอารมณ์ทั้งหมดมาลงกับเรา แม้ว่าจะออกคำสั่งไม่ให้เหล่าอัศวินและบิชอปเข้าไปรบกวนเด็ดขาด ทั้งที่ทั้งแว่น ทั้งกร และใบปออยากจะเฝ้าควีนด้วยก็ตาม
บอสขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ได้บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องตำรวจสักเท่าไหร่ มีเพียงหมอบซึ่งตามมาอย่างกระหืดกระหอบเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับชายที่ช่วยอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมฟังเป็นพิธี พอคาดเดาได้อยู่แล้วว่าสุดท้ายท่านจะต้องเป็นฝ่ายทนปากแข็งไม่ไหว ยอมรับบอสก่อน แม้จะด้วยสถานการณ์บีบบังคับก็ตาม
ส่วนแผลของควีนไม่เป็นอันตรายมากนัก เพราะตัวมีดไม่ได้แทงทะลุ อีกทั้งรถพยาบาลก็มาถึงเร็วเนื่องจากเป็นช่วงเช้ามืด หลังให้เลือดควีนจึงนอนหลับเพราะฤทธิ์ยา
แว่นกับเก่งกลับไปก่อน เพราะต้องไปจัดการกับคนอาจหาญที่กล้าทำร้ายคนสำคัญของคลับตามคำสั่งของบอสว่าต้องยัดเข้าคุกให้ได้ ส่วนกรกับใบปอนั้นตามสะสางเรื่องโรงงานที่ถูกเผา ด้วยกลัวว่าจะมีตำรวจที่ยังตื้อไม่เลิกตามสืบเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในช่วงนี้ จึงต้องตามไปกำชับทุกคนและต่อรองให้เรียบร้อย เพราะอาจจะตกใจเรื่องไฟไหม้จนหลุดปากเรื่องไม่สมควรออกมา
ทางหมอบและชาย ก็กลับไปเตรียมเสื้อผ้ามาให้ควีนและบอส พร้อมทั้งคอยดูแลเรื่องอาหารการกินเพราะบอสคงไม่ออกมาหาอะไรทานเองจนกว่า ควีนจะตื่นแน่ๆ
ส่วนผม...
ตอนแรกผมตั้งใจจะกลับไปดูแลคลับ เพราะต้องทำความสะอาดรอยเลือดที่หน้าประตู แต่เนื่องจาก ‘คน’ ที่ขอติดรถมาด้วยนั้นยังไม่ยอมไปไหน เลยต้องคอยตามเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลับไม่ถูก ก็ตอนจับตัวมาผมเอากระเป๋าเงินของเขาทิ้งไว้ในรถกันกระโดดหนีนี่นา
“นิลกาฬเปลี่ยนไปมากจริงๆ”
นายหันมาพูดกับผมด้วยรอยยิ้มขื่น ไม่รู้ทำไมผมถึงคิดว่าไม่เหมาะกับเขาเอาซะเลย นายที่เย่อหยิ่งและคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ตอนนี้เหมือนคนสิ้นหวังและหมดอาลัยชอบกล
“เปลี่ยนไปในทางที่ดี” ผมเสริม ยิ่งทำให้นายสลดไปใหญ่
“ใช่ ในทางที่ดี...” เสียงชักจะแผ่วลง ผมเลยทนไม่ไหวกระชากแขนนายให้หันมามองตรงๆ หากอีกฝ่ายจะเป็นลมหมดสติเอาซะก่อนจะได้เตรียมตัวส่งแอดมิทห้องต่อจากควีนถูก
“ฉันรักนิลกาฬจริงๆ นะ” พอหันมาเผชิญหน้า นายก็พูดออกมาเหมือนอัดอั้นมาตลอด และต้องการบอกใครสักคนให้เชื่อในคำนั้น “ฉันรักเขาจริงๆ ถึงจะเป็นความรักที่ผิด ที่ขังเขาเอาไว้ แต่ฉันก็แค่ไม่อยากให้เขาหนีไป...ไม่สิ ฉันรู้แน่ๆ ว่าเขาจะต้องหนี ถึงได้ทำร้ายเขาแบบนั้น”
“ผมรู้”
ความจริงก็เพิ่งจะรู้เมื่อเร็วๆ นี้เอง
“ฉันรักนิลกาฬ แต่เขา...คงไม่เชื่อ”
“ต่อให้เชื่อ เขาก็ไม่รักคุณ” ผมพูดตัดความหวัง “กลับไปเถอะ แล้วอย่ามาที่นี่อีก บอสคงไม่ชอบใจที่เห็นคุณ”
เพราะกรยืนยันหนักแน่นว่าควีนไม่เอาความ บอสจึงได้แต่มองนายอย่างข่มขู่ว่าอย่าคิดจะเข้ามาเหยียบในคลับเป็นอันขาด
แต่นายกลับยึกยัก เหมือนกับตอนที่ผมแก้มัด เขาพยายามถ่วงเวลาที่จะออกมาเผชิญหน้ากับความจริง
“แกต้องไปส่งฉันที่รถใช่มั้ย”
“ก็ควรต้องเป็นแบบนั้น”
“งั้น...ไปส่งฉันที่ห้องได้มั้ย” นายขอร้องราวกับรู้ทันว่าผมสืบประวัติและรู้ที่อยู่เขาดีอยู่แล้ว
“บอกเหตุผลมาสักข้อสิ”
“ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” นายพูดพลางมองหน้าผมด้วยสีหน้าโศกสลด “แกรู้นี่...ใช่มั้ย”
...ใช่
เพราะนิสัยของนายที่แกมโกงและเอาเปรียบคนอื่นเสมอ ทำให้ญาติพี่น้องต่างระอาและไม่อยากคบหา คนที่ติดต่อด้วยก็มีแต่ประเภทเดียวกัน ชีวิตของนายจึงมีแต่การหาคู่นอนเพื่อตอบสนองความต้องการทางกาย แจกเงินแจกทองเพื่อแสดงความร่ำรวยและให้คนอื่นอิจฉา แต่ไม่สามารถหาคนรัก ยิ่งหลังจากควีนหนีไป นายก็เที่ยวเปลี่ยนคู่นอนไม่เว้นวัน ตอนนั้นผมคิดว่าเขาคงอยากให้คนอื่นเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตามตื้อกับแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง แต่ในตอนนี้ ผมรู้แล้วว่าเพราะเขาไม่สามารถทนอยู่คนเดียวได้อีกต่างหาก
หนึ่งปีที่เป็นฝันร้ายของควีน แต่เป็นฝันดีของอีกคน
หลังเหตุการณ์นั้น ควีนกลายเป็นคนติดเซ็กซ์ ส่วนนายเป็นคนติดคู่นอนจนไม่สามารถหลับลงอย่างเดียวดาย
...ช่างเป็นคนโลภที่เก็บซ่อนความในใจได้มิดชิดซะเหลือเกิน
ท่าทางเย่อหยิ่งจองหอง คงเป็นสิ่งที่แสดงออกจากความผิดหวังและไม่ต้องการให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเอง
แล้วผมซึ่งเป็นคนเดียวที่รู้ จะปฏิเสธคำนั้นได้ยังไง
“เรียกชื่อผมสิ”
“เอก”
ทั้งที่เป็นเพียงชื่อชื่อหนึ่ง แต่เมื่อถูกเรียกจากคนคนหนึ่งที่ไม่เคยคาดหวังและคาดคิด กลับสร้างความรู้สึกแปลกๆ ก่อตัวขึ้นมา
“จะไปส่งฉันมั้ย” นายเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงกึ่งจะออกคำสั่ง
“แค่ส่ง?” ผมเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ ที่มักถูกบอกว่าน่ามอง
“ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” นายเงยหน้าขึ้น แววตายังแฝงความอ่อนแอ แต่สีหน้านั้นเผยถึงความถือดีที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ “จะตีความยังไงก็แล้วแต่”
เป็นคำขอร้องที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน
ไม่สิ นั่นคงเป็นคำเชิญชวนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันตราย
ไม่ใช่กับตัวผมหรอก แต่เป็นตัวนายต่างหากที่อันตราย
“คุณคงไม่กลับคำพูดทีหลังหรอกนะ”
“ฉันไม่ทำหรอก” นายพูดพลางเหยียดยิ้ม แตะหน้าอกของผมอย่างสื่อความนัย “เพราะฉันไม่ได้เป็นคน ‘ทำ’”
รู้ตัวมั้ยนะว่าพูดอะไรออกมา
คงเพราะพลั้งปาก หรือเพราะรู้สึกเจ็บกับความรักครั้งเก่า ถึงได้เลือกคว้าใครก็ได้มาปลอบใจในค่ำคืนนี้ เหมือนที่ไม่เคยคิดเลือกให้มากความ และใช้เงินเป็นคำตอบมาโดยตลอด
แต่รู้อะไรมั้ย ผมไม่ใช่คนแบบนั้น
ผมจงรักภักดีต่อท่านและบอส ฉะนั้นจึงเป็นพวกบูชาความรัก แม้จะไม่มีใครเคยรู้ก็ตาม
แต่ไม่เป็นไรหรอก...
ได้เวลาที่นายต้องรู้จักผมบ้างแล้วล่ะ
----------------
ที่เหลือไปต่อกันในเรื่องของพี่เอกซึ่งเราจะตั้งแยกต่างหากนะคะ ขึ้นเรื่องใหม่เลย น่าจะได้ฤกษ์ลงในเร็วๆ นี้ ( แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อมมมม

)
สำหรับคู่นี้โค้งแหกศอกคู่นี้ตอนแรกเราเเอบกังวล แต่เนื่องจากเรารักพี่เอก ชอบพี่เอก ไม่อยากให้พี่เอกไปเลี้ยงหมา ( และไม่อยากแย่งหมามาจากหญิงด้วย 555 ) เลยเเน่วแน่ตั้งใจเเต่งมาก ปรากฏพอแต่งออกมาจริงๆ...กลับชอบมากค่ะ ชอบจนตั้งเรื่องใหม่ให้เลยดูสิ! ( ลำเอียงกว่านี้มีอีกมั้ย ) พี่เอกเป็นพวกคูลๆ ชิลๆ ก็ต้องเจอร้อนแรงแบบนายนี่ล่ะค่ะถึงจะสนุก เย้!
อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไงอย่าลืมฟีตเเบคกันน้า คู่นี้เราลุ้นมาก
ปล.ติดตามรายละเอียดหนังสือและเรื่องใหม่พี่เอกได้ที่เพจนะคะ ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้ว เราคงไม่อัพอะไรเพิ่มแล้วค่ะ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามมาถึงตอนนี้
เพจนักเขียนที่รักพี่คิง ปลื้มพี่แว่น ชอบพี่หมอบ คลั่งพี่เอก อวยน้องนิลลิ้งรายละเอียดรีปริ้นหนังสือ King's Club 1-3 [ปิดจอง 15 มี.ค.นี้ ]