ตอนที่ 16 : อดีตของนิลกาฬ
ผมเป็นลูกไม่มีพ่อ
ไม่ใช่ว่าพ่อตาย หรือว่าหย่าร้างกันหรอกนะ แต่ความหมายนั้นตรงตัวมาก
ครับ...ผมไม่มีพ่อ เพราะแม่ไม่รู้ว่าพ่อของผมคือใคร
แม่ของผมเป็นผู้หญิงขายบริการที่บังเอิญท้องผมด้วยความไม่ตั้งใจ แม่กินยาทำแท้งด้วยซ้ำ แต่ผมกลับไม่ยอมออก ไม่ยอมตายสักที ก็เลยคลอดออกมาเป็นเด็กตัวเล็ก ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง และมีผิวขาวซีดผิดปกติจากคนอื่น
ผมมักถูกส่งไปบ้านรับเลี้ยงเด็กเพราะการมีเด็กอยู่ด้วยทำให้รับแขกลำบาก แม่เป็นผู้หญิงที่สวย แม้จะอายุสามสิบกว่าก็ยังดูดี ไม่ต้องใช้นายหน้าก็สามารถเรียกลูกค้าได้ด้วยตัวเองและใช้ห้องพักเป็นที่ประกอบธุรกิจ ผมจำได้ว่าหลายครั้งที่แม่แกล้งทำเป็นลืม ไม่ยอมรับผมกลับไป แต่ท้ายที่สุดผมก็เป็นฝ่ายกลับไปหา ไม่ยอมให้ถูกทิ้ง เหมือนตอนที่เป็นทารกในครรภ์
ไอ้ชายเป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่ตอนนั้น
มันเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านพักรับเลี้ยงเด็ก ก็เลยมีอัธยาศัยดีเที่ยวยิ้มแย้มและช่วยดูแลคนอื่นไปทั่ว
ผมโตมากับมัน
ถึงแม่จะรำคาญผมแค่ไหน แต่พอเห็นผมยืนรอที่หน้าห้อง ก็เปิดประตูรับ ให้เงินผมไปโรงเรียน ถึงจะไม่ดูแล แต่ก็ยังซื้อข้าวให้ผมกิน แม้จะไม่พูดด้วย แต่ก็ยังพาผมไปคลินิคเล็กๆ เมื่อผมป่วย
จนกระทั่งผมอายุสิบห้า และแม่อายุสี่สิบแปด
แม่แก่เกินสำหรับอาชีพขายบริการแล้ว และฐานะการเงินก็ย่ำแย่ลงทุกที แม่อารมณ์เสียบ่อยขึ้น เพราะไม่ว่าไปที่ไหนก็ไม่มีใครรับหญิงที่มีอายุมากแถมยังไร้การศึกษาเข้าทำงาน แม่หันมาดื่มเหล้า ติดยา จากที่โทรมอยู่แล้วก็ยิ่งแย่กว่าเก่า ความสวยเริ่มโรยรา และแม่ก็หันมาทุบตีผม
“แกก็หน้าตาดีเหมือนกันนี่...”
ก่อนจะเอ่ยคำนั้นออกมาหลังทำร้ายผมจนเจ็บไปทั้งตัว แม่มองผมเหมือนเห็นแสงสว่างสุดท้าย เลิกทุบตี แต่หันมาดูแลเอาใจใส่ผมอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากที่สุด เพราะแม่ชอบลูบผมของผม ส่งเข้านอนทุกคืน
“แม่ทำดีขนาดนี้ ต้องตอบแทนแม่นะ นิลกาฬ”
และจากนั้น...ชีวิตของผมก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น
“ผู้ชายคนแรกของกูคืออดีตลูกค้าของแม่”
ผมเล่าให้ไอ้คิงที่นั่งตรงข้ามฟัง ข้างๆ คือชายที่ช่วยจับมืออย่างเป็นห่วง ส่วนข้างๆ ไอ้คิงก็คือพี่หมอบที่ยกมือปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ ท่าทางนั้นทำให้ผมยิ้มออกทั้งที่ไม่ควรจะยิ้มซะด้วยซ้ำ
มันเจ็บ...เมื่อนึกถึง
“คืนนั้นทำให้กูคิดได้ว่ากูอ่อนแอเหลือเกิน กูเลยไปเรียนมวยกับไอ้ชาย ไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังทั้งนั้น เพราะคิดว่าคงจัดการปัญหานี้เองได้ จะแสดงให้แม่เห็นว่ากูไม่ได้ยินยอมกับเรื่องพรรคนั้น แต่แม่รู้ทัน แม่คงฉุกใจคิดได้ว่ากูเริ่มแข็งแรงขึ้น เริ่มมีกล้ามเนื้อมากขึ้น จากตอนแรกที่เป็นแค่เด็กง่อยๆ คนหนึ่งทำอะไรไม่เป็น พอนัดหมายลูกค้าเตรียมจับส่งลูกตัวเองประเคนให้คนอื่นเสร็จสรรพ แม่ก็เลย...วางยากู”
มันเจ็บ...เมื่อผมจดจำได้ทุกอย่าง
โดยเฉพาะความจริงที่ว่าถูกหักหลังด้วยแม่แท้ๆ ของตัวเอง!
“กูเกลียดยาเหี้ยพวกนั้น ไอ้เชี่ย!”
“นิล...ใจเย็นๆ นะ” ชายมันดึงผมเข้าไปกอดหลวมๆ น้ำเสียงปลอบโยนอย่างที่พูดกับผมเสมอ
“ขอกูกอดด้วยได้มั้ยน้องนิล”
“ไม่เอาอ่ะพี่หมอบ ผมไม่อยากให้ใครมาสงสาร”
“แล้วไอ้ชายล่ะ”
“มันคือคนพิเศษ” ผมตอบทั้งที่ยังซุกหน้ากับไหล่ไอ้ชาย พยายามฝืนยิ้มทั้งที่ความจริงมันปวดหนึบไปทั้งใจ มันชาไปทั้งตัว “ตอนนั้นกูโดนฤทธิ์ยาเล่นงานจนแทบคงสติไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่แม่ต้องการ แม่วางยากูทุกคืน...ให้กูรับแขกด้วยสภาพแบบนั้นจนกระทั่งร่างกายรับไม่ได้ กูช็อค...และไอ้ชายก็เป็นคนช่วยเอาไว้”
“พอผมรู้ว่านิลเจอกับอะไร ผมก็ไม่ให้มันกลับไปที่นั่นอีก” ไอ้ชายมันช่วยเล่าต่อเมื่อผมก้มหน้าเล็กน้อยจนเส้นผมปรกหน้า “ครอบครัวของผมแจ้งจับแม่ของนิล และช่วยรับเลี้ยงนิลไว้ แต่แม่ของนิลก็ถูกประกันตัวออกมา และพาตัวนิลไป”
“อันที่จริงคือกูถูกหลอก” ผมโคลงศีรษะเล็กน้อย ถ้าให้ขยายความ คือช่วงนั้นผมเริ่มจะจิตใจเป็นปกติดีขึ้นมาหน่อย แม่ของชายแนะนำว่าผมควรจะไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อนๆ ไปเจอสังคม เพราะจะทำให้ลืมเรื่องร้ายๆ อย่างน้อยก็ไม่จมจ่ออยู่คนเดียว ผมเชื่อฟัง แต่วันหนึ่ง...แม่ก็ปรากฏตัวข้างหน้าผมตอนเลิกเรียน ตอนที่ผมหนีไอ้ชายเถลไถลไปตามประสา แม่บอกว่าแม่ขอโทษ แม่เสียใจ และสำนึกผิด
‘มาอยู่กับแม่เหมือนเดิมนะนิล เราแม่ลูกสองคนไงจ๊ะ’ผมโง่มากที่ยอมเชื่อคำนั้นจากแม่แท้ๆ ของตัวเอง
แม่แท้ๆ ที่ยิ้มหวานเมื่อผมตอบรับ และพาผมขึ้นรถไปกับชายอีกคนหนึ่ง
“จากนั้นกูก็ถูกพาไปที่ไหนสักที่ ถูกขังอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักหรอก แต่พอผ่านไปสักพัก กูก็เข้าใจว่าแม่ขายกูให้กับคนอื่นไปแล้ว คนที่ช่วยประกันตัวแม่เพราะอยากได้กูนั่นแหละ และก็เป็นคนแรกที่เปิดซิงกูด้วย หึ คงจะติดใจกูเข้าล่ะมั้ง”
ผมผละออกจากไหล่ไอ้ชาย เสยผมที่ปรกตาออกแล้วหันไปสบตากับไอ้คิงที่ไม่พูดอะไรสักอย่างตั้งแต่ต้น
“กูถูกขังแบบนั้นหนึ่งปี...หนึ่งปีเต็มๆ ที่เปลี่ยนเด็กโง่ๆ ให้เป็นคนละคน กูแกล้งทำเป็นชอบหมอนั่น เรียนรู้เรื่องเซ็กซ์จากมัน เปลี่ยนจากความเกลียดให้กลายเป็นความสุข จริตบนเตียงทั้งหลาย กูก็ได้มาจากตอนนั้นนั่นแหละ” ผมหันไปยิ้มให้ไอ้คิง เพราะรู้ว่ามันชอบใจในลีลาอันเร่าร้อนของผมแค่ไหน “มันหลงกูหัวปำ จากที่ขังเอาไว้ก็เลยเริ่มหย่อนยาน พอสบโอกาสกูก็เลยแอบหนีออกมา...สิ่งที่กูนึกออกตอนนั้นก็มีแต่ไอ้ชายเท่านั้น ส่วนแม่...ตั้งแต่ขายกูไป กูก็ไม่เคยเห็น และไม่คิดติดต่อเธออีกเลย”
“น้องนิล...”
“เอาเป็นว่าพอหนีออกมาได้ไอ้นั่นมันก็ตามหากูให้ควัก เพราะตอนหนีออกมากูแอบขโมยเงินมันมาด้วย ใครจะโง่ออกมาตัวเปล่าทั้งที่โดนทำขนาดนั้นกันล่ะวะ” ผมหลุดหัวเราะเมื่อนึกถ้าหน้าโกรธๆ ของไอ้แก่ตันหากลับที่มายืนโวยวายจะห้องผมที่หน้าบ้านไอ้ชาย “น่าเสียดายที่มันเป็นเงินผิดกฏหมายที่มันแอบไว้ในตู้เซฟ กูมีเวลานั่งไล่หารหัสตั้งหนึ่งปีก็เลยหวานหมูได้หลักฐานอื่นมาด้วย พอมันฟ้องมา พวกกูก็ฟ้องกลับ แล้วคิดว่ากูที่ยืนบีบน้ำตาเพราะโดนกระทำชำเราทั้งที่อายุไม่ถึงสิบแปดจะชนะมั้ย แน่นอนว่าพอมีจดหมายฟ้อง ไอ้นั่นก็วิ่งหนีหัวหด กูก็เลยอยู่กับไอ้ชายตั้งแต่นั้น”
ผมยิ้มไอ้คิงอีกครั้งเมื่อมันยังคงมองนิ่งๆ ให้ตาย อยากจะรู้ชะมัดว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่
“ประเด็นสำคัญคือหลังจากนั้น...กูก็ดันโหยหาเซ็กซ์...ทั้งที่หลุดพ้นมาแล้ว แต่สุดท้ายกูก็ขายตัวแลกเงินอยู่ดี ตอนโดนครอบครัวไอ้ชายจับได้กูนึกว่าจะโดนไล่ออกจากบ้านซะแล้ว แต่สุดท้ายพวกเขากลับเข้าใจ และเป็นคนขอร้องให้กูเลิก...ไม่ใช่เลิกมีเซ็กซ์ เพราะกูทำไม่ได้ แต่เลิกให้กูขายตัว และให้กูเลือกที่จะมีเซ็กซ์ด้วยความพอใจของตัวเอง”
นึกแล้วผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เป็นยิ้มด้วยความขอบคุณถึงครอบครัวของไอ้ชาย ถ้าไม่มีพวกเขา ป่านนี้ผมอาจจะถอดใจตั้งแต่โดนขายแล้วก็ได้ แต่เพราะรู้ว่ายังมีคนรออยู่ ยังมีคนที่ห่วงใย...ทั้งที่ไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ผมถึงได้พยายามมากถึงขนาดนี้
“ไอ้ชายมันช่วยติวเรื่องเรียนให้กู และก็เป็นคนเสนอให้กูมาลองสอบชิงทุนที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นกูเองก็ไม่อยากเดือดร้อนครอบครัวมันเวลาออกไปมีอะไรกับใครตอนดึกๆ ดื่นๆ อยู่แล้วเลยตกลง และก็อย่างที่เห็น พวกกูอยู่ดีมีสุขดี ฉะนั้นไม่ต้องทำท่าเหมือนจะร้องไห้น้ำตาปริ่มแบบนั้นหรอก เข้าใจมั้ยเนี่ยไอ้พี่หมอบ”
“ก็...ฮึก...ก็พวกมึง...”
ผมเพิ่งสังเกตตอนนี้ว่าไอ้พี่หมอบแม่งมองไปมองมาระหว่างผมกับไอ้ชาย ดึงชายเสื้อเปิดหน้าท้องเพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลพรากๆ อย่างกับน้ำตก...อะไรล่ะเนี่ย ที่งงคือทำไมต้องมองไอ้ชายด้วยสายตาเวทนาเห็นอกเห็นใจขนาดนั้น มองผิดคนรึเปล่าครับไอ้พี่หมอบ
“พอใจรึยังไอ้คิง”
ถ้าพอใจแล้วก็เลิกจ้องหน้ากูเหมือนจะจ้องทะลุไปถึงกะโหลกสักทีเถอะ ขนลุกไปหมดแล้วไอ้เชี่ย!
“อืม”
นี่ก็ง่ายไปมั้ยไอ้สัด!
“ไอ้คิง...มึงต้องดูแลน้องนิลดีๆ นะเว้ย ฮึก ไม่งั้นกูไม่ยอม”
เช็ดน้ำตาตัวเองก่อนมั้ยพี่หมอบ แล้วนั่น...อย่าสูดน้ำมูกกับเสื้อตัวเองสิวะ สกปรกชิบหาย
“เราไม่ยอม” จู่ๆ ไอ้ชายก็พูดขึ้นมาหลังจากพยายามดูปฏิกริยาไอ้คิงมาตั้งแต่ต้น “เราไม่ยอมให้นิลอยู่กับคนคนนี้อีกครั้งหรอกนะ เรื่องเมื่อคืน...นิลลืมแล้วรึไง”
ใครจะไปลืมได้กันล่ะ โดนยาจนสติแตกขนาดนั้นผมนี่ล่ะที่เจ็บที่สุด
“มันไม่ใช่ความผิดไอ้คิง...”
“นิล!” ไอ้ชายมองผมอย่างไม่อยากเชื่อ “จะความผิดใครก็ช่าง แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืน เป็นต้นเหตุให้มันเกิดขึ้น...เราก็ไม่ยอมทั้งนั้น”
“มึงเป็นแม่มันรึไง” ไอ้คิงพูดออกมาจนได้ เปิดปากมาทีนี่เจริญหูจริงๆ ผมต้องรั้งตัวไอ้ชายเอาไว้ เพราะเห็นแบบนี้แต่มันเคยเรียนมวยเป็นเพื่อนผมนะ ถึงจะไม่ค่อยได้ใช้จนเกือบลืมวิชา เป็นพวกไม่สู้คน แต่บทอยากจะบวกขึ้นมาก็มีท่าต่อยตรงทำให้คนเลือดกลบปากได้เหมือนกัน
“คิง! มึงใจเย็นๆ สิวะ”
พี่หมอบหันไปปรามเพื่อนตัวเอง เพราะถึงจะนั่งนิ่งๆ แต่ไอ้เชี่ยคิงกลับเงยหน้ามองไอ้ชายด้วยสายตาท้าทายวอนโดนกระทืบมาก ขนาดผมยังรู้สึกคันเท้าขึ้นมาตงิดๆ
“หรืออยากจะเป็นมากกว่...”
“ไอ้ชาย ออกไปกับกู!”
ผมสะดุ้งเลยครับเพราะจู่ๆ พี่หมอบก็ตะโกนแทรกก่อนที่ไอ้คิงจะพูดจบประโยค ไม่ว่าเปล่ายังกระชากตัวไอ้ชายให้เดินตามหลังออกไปทางผับอีกด้วย แน่นอนว่าไอ้ชายขืนตัวไว้ แต่ใครจะรู้ว่าบทพี่หมอบจะฮึดขึ้นมา ดันมีเรี่ยวแรงมหาศาลขนาดลากมันตัวปลิว
ความจริงทั้งสองคนก็ตัวพอๆ กัน พี่หมอบเองบทจะไม่กากก็ทำได้นี่หว่า
ผมยังคงยืนอึ้งๆ มองเพื่อนที่นิ่งสนิทเมื่อพี่หมอบกระซิบอะไรบางอย่างแล้วสงสัยเป็นบ้าว่าพูดอะไรกัน ไอ้ชายมันโมโหมาก เดินกระแทกเท้าออกไปข้างนอก ก่อนที่พี่หมอบจะหันมายิ้มให้ผมอย่างมั่นใจ
“เอ่อ...น้องนิล ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะเคลียร์ให้เอง น้องก็คบกับไอ้คิงต่อไปอย่างสบายใจเถอะ”
...ผมควรเชื่อพี่เขามั้ยเนี่ย
“ส่วนไอ้คิง มึงอย่าทำน้องนิลร้องไห้นะ ไม่งั้นกูลาออกแน่ๆ กูจะลาออกและเลิกเป็นเพื่อนกับมึง!”
แต่ผมควรเชื่อตัวเอง และอย่างน้อย...ก็ควรจะเชื่อไอ้คิง
ประตูห้องถูกปิด แทนที่ด้วยความเงียบและกลิ่นบุหรี่ที่ไอ้ผัวมันจุดสูบตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมมองมันนิ่งๆ มันเองก็สบสายตาผมนิ่งๆ
“มานี่มา”
“กูไม่ใช่หมา” ผมด่าเมื่อมันกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ
“กูรู้ มึงคือเมีย” มันตอบแบบไม่ยี่หระ “มานั่งนี่ มานั่งข้างๆ กู ไม่ต้องไปห่วงเพื่อนมึงหรอก ไอ้หมอบจัดการได้”
“มึงรู้ได้ยังไง”
“กูรู้แล้วกัน”
เท่สัดๆ เลยไอ้เชี่ย ผมยกนิ้วกลางให้มันก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งๆ ข้าง ไอ้คิงมันโอบเอวผมจนแทบเกยตัก ก่อนจะบังคับให้ผมวางหัวพิงกับไหล่มันเหมือนที่เคยทำก่อนบอกเลิก
ให้ตายสิ...พอนั่งพักสบายๆ แบบนี้ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าโคตรเหนื่อยเลย
เหนื่อยกับการต้องมานั่งเล่าเรื่องที่ไม่อยากเล่า เหนื่อยกับการลุ้นเรื่องไอ้ชายว่ามันจะโอเคมั้ย เหนื่อยกับการถามตัวเองว่าเป็นแบบนี้มันดีแล้วหรือ และเหนื่อย...
เหนื่อยกับการนั่งเดาใจไอ้เชี่ยคิงที่พ่นบุหรี่ปุ๋ยๆ อยู่ข้างหัวนี่!
“ไม่ต้องห่วง” มันเอ่ยออกมาพร้อมกับตบหัวผมเบาๆ “ไม่ว่ามึงจะเป็นยังไง กูก็ยืนยันคำเดิม”
คำว่ารักนั่นน่ะเหรอ คำที่กูไม่เคยคิดถึงแม้แต่น้อย
“มึงแน่ใจเรื่องนั้นก็พอ”
แต่กูกำลังจะรู้จักมัน...ใช่มั้ยไอ้คิง
--------
สั้นมาก แต่เราไม่อยากให้ดราม่า เลยมาแบบสรุปในตอนเดียวค่ะ ( แต่แต่งนานมากเลยนะ

)
ขยายความเพิ่มเติมเล็กน้อย...สาเหตุที่น้องนิลดูง่ายและไม่ค่อยห่วงตัวเองเท่าไหร่ ก็เพราะน้องคิดว่าตัวน้องไม่มีค่าค่ะ สิ่งเดียวที่ทำให้น้องฮึดมาถึงตอนนี้ก็คือครอบครัวชายที่สนับสนุน คอยเป็นห่วง แถมยังช่วยเรื่องการใช้จ่ายอีกต่างหาก ฉะนั้นน้องนิลไม่มีทางคิดกับชายในแง่ชู้สาวเด็ดขาดเพราะไม่อยากให้ครอบครัวชายผิดหวังค่ะ เพราะถ้าเกิดรับไม่ได้ขึ้นมาจะเท่ากับน้องนิลจะไม่มีที่อยู่ น้องนิลกลัวถูกทิ้งอีกครั้งค่ะ
ส่วนที่น้องนิลบอกไม่อยากให้ใครมาสงสาร ก็เพราะคิดว่าครอบครัวชายอุปการะตัวเองด้วยความสงสาร ฉะนั้นน้องไม่รู้จักรักกว่าพี่คิงซะอีก ความจริงตอนเด็กน้องรักคุณแม่มากนะ พยายามเข้าหาคุณแม่มาตลอด โดนลืมโดนทิ้งก็ยังกลับไปหา แต่พอโดนตอบแทนแบบนี้...ก็เลยกลายเป็นขยาดโดยปริยาย
แล้วทำไมถึงยอมคิง?
น้องยังไม่ค่อยอยากฟังคำนั้นจากพี่คิงหรอก แต่ยังไงน้องก็ยังหวังจะรู้จักมันอยู่นะ น้องไม่อยากตัวติดกับชายไปตลอดชีวิตเพราะกลัวชายจะมาจมกับตัวเอง ก็เลยพยายามไล่ชายไปหาพี่หมอบบ่อยๆ ฉะนั้นตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างวินวินสำหรับน้องนิล แม้จะต้องมานั่งปวดหัวกับคิงส์คลับในกาลต่อไป...
ปล.ขอย้ำเรื่องนี้ไม่เน้นดราม่า แต่จะมีลงรายละเอียดบ้างในอนาคต เพื่อให้เข้าใจในตัวน้องนิลมากขึ้นค่ะ
ปลล.ตอนหน้าชายxหมอบเน้อ