หม่อมฉันจะเล่าเรื่องเจ้าชายกัยฟาร์และเจ้าหญิงเทียนมี่ถวายแก่พระองค์ อันเจ้าชายกัยฟาห์นั้นเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นเปอร์เซียร์ในสมัยที่ชาวอาหรับเรายังมิได้เข้าไปรุกราน เจ้าชายองค์นี้มีรูปงาม ผิวเป็นสีทองละเอียดดั่งผืนทรายยามรุ่งเช้า วงพักตร์กลมเกลี้ยงดั่งหินอ่อน วงคิ้วแลโครงหน้าก็งามดั่งรูปอาดัมอันพระอัลลอฮฺได้ถอดมาจากฉายาลักษณ์ของพระองค์
เจ้าชายกัยฟาห์ ทรงโปรดเรื่องเล่าจากต่างแดน พวกพ่อค้าอันเดินทางไปมาระหว่างดินแดนต่าง ๆ มักจะได้รับเชิญให้เข้ามาเล่าเรื่องถวายพระองค์อยู่เสมอ และเรื่องราวที่พระองค์โปรดปรานมากที่สุด ก็เกี่ยวข้องกับดินแดนที่เรียกว่าประเทศจีน
ครั้งนั้นเจ้าชายกัยฟาห์ทรงศึกษาขนบธรรมเนียมของจีน หัดพูดภาษาจีนและลองแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแพรพรรณแบบจีน กระทั่งร่ำลือไปทั่วว่าทรงเป็นเจ้าชายจอมยุทธแห่งโพ้นทะเล ซึ่งเจ้าชายก็ทรงโปรดที่จะให้ผู้คนลือกันเช่นนั้น
มีอยู่วันหนึ่ง พ่อค้าที่เดินทางจากถนนสายไหมได้นำภาพวาดภาพหนึ่งมาด้วย ภาพนั้นวาดรูปดรุณีสะคราญโฉมงามหยาดฟ้ามาดิน กล่าวกันว่ารูปนี้งามราวจะเย้ยอาทิตย์ให้สิ้นแสง ข่มดวงจันทร์ให้หมองราศี แม้นเมื่อวางไว้กลางทะเลทราย ผู้คนซึ่งกระหายน้ำเจียนขาดใจยังเลือกมายลรูปนี้แทนที่จะไปยังโอเอซิส
เจ้าชายกัยฟาห์ได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงรูปดรุณีงามก็โปรดให้พ่อค้าเจ้าของรูปเข้าเฝ้า
“อา...” พระองค์อุทานเมื่อเห็นสิ่งที่ทรงประสงค์ “ช่างวาดช่างมีฝีมือนัก ถึงกับวาดสตรีนางหนึ่งให้งามประดุจนางสวรรค์ได้”
“หามิได้พะยะค่ะ” พ่อค้ากราบทูล “หากพระองค์ได้ยลโฉมนางอันเต็มเปี่ยมด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณ พระองค์จะตรัสว่าช่างวาดฝีมือทรามยิ่ง ถ่ายทอดความงามของนางได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน”
“มีเรื่องเยี่ยงนั้นจริงหรือ ขอเทพมาสดาทรงโปรด นางคือใครกันแน่”
“นางคือธิดาแห่งเจ้ากรุงจีน มีนามว่าเจ้าหญิงเทียนมี่พะยะค่ะ”
เจ้าชายกัยฟาห์ฟังแล้วก็ขอซื้อรูปภาพด้วยทองพันเหรียญ แล้วนำภาพไปกกกอดละเมอเพ้อพกอยู่ด้วยความหลงใหลในรูปโฉม
ครั้งนั้นมีคาราวานพ่อค้าซึ่งจะเดินทางไปยังเมืองจีน เจ้าชายรบเร้าพระบิดาซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย เพื่อขอเดินทางติดตามคาราวานไปด้วย อันธรรมดานั้นเจ้าชายกัยฟาห์เป็นผู้ที่เอาแต่ใจตัว แม้ว่าพระบิดาและพระมารดาจะทัดทานเท่าใดพระองค์ก็ไม่ฟัง ครั้นเมื่อราชาแห่งเปอร์เซียปฏิเสธเป็นคำขาด เจ้าชายก็ลอบรวบรวมเพชรนิลจินดาที่จะใช้สอยระหว่างทาง และปลอมแปลงพระองค์เป็นพ่อค้าเพชรพลอยหน้าตามอมแมม ขอติดตามขบวนคาราวานไปแต่ราตรีนั้น
อันที่จริงพ่อค้าทั้งหลายก็ทราบดีว่าหนุ่มหน้ามลผู้นี้ก็คือเจ้าชายกัยฟาห์ แต่พวกเขาก็ล้วนเอ็นดูในความน่ารักขี้เล่นของเจ้าชายจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย ซึ่งขบวนพ่อค้าก็รอนแรมผ่านทะเลทรายมาจนถึงเมืองจีนจนได้
“พระองค์ดูเถิด นั่นก็คือกำแพงเมืองจีนอันกว้างใหญ่ กล่าวกันว่าใช้แรงงานคนเป็นล้าน ๆ เพื่อก่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา”
พ่อค้าผู้เป็นเจ้าของรูปชี้ให้เจ้าชายดูกำแพงเมืองยาวเหยียดราวกับจะยกมังกรเทพเจ้าเห็นหัวแต่ไม่เห็นหางมาวางล้อมพิทักษ์อาณาจักรแห่งนี้ไว้ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าด่านก็มีเสียงเอะอะดังแว่วมาจากเบื้องหน้า
“เพ้ย!” เสียงตวาดดังเจื้อยแจ้มพร้อมกับฝีเท้าม้ามองโกลอันควบฝุ่นตลบติดตามชายเคราครึ้มท่าทางร้ายกาจ ทว่าบัดนี้วิ่งหนีสตรีบนหลังม้าราวกับมุสิกตื่นกลัว
นางสะบัดแส้ออกไปคราหนึ่ง ก็ตวัดข้อเท้าของชายเคราครึ้ม แล้วกระชากให้ร่างนั้นลอยข้ามหลังม้าไปกลิ้งคลุกฝุ่นอยู่เบื้องหลัง
“เจ้าโจรร้าย บังอาจวิ่งราวทรัพย์สินในเมืองของเรา เห็นทีจะรำคาญชีวิตยิ่ง”
เสียงไพเราะดั่งสกุณากลางไพรบริภาษชายผู้นั้น ทหารรักษากำแพงเมืองซึ่งเพิ่งวิ่งมาถึงช่วยกันจับโจรมัดไว้
“องค์หญิงได้โปรด หม่อมฉันถูกปรักปรำ” ชายเคราครึ้มผู้นั้นร้องวิงวอนอย่างน่าสงสาร ทว่าดรุณีนางนั้นเพียงแค่นเสียงดังเฮอะแล้วกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรืออย่างไร ทหารค้นตัวมันดูว่ามีถุงเงินของผู้อื่นอยู่หรือไม่”
ทหารรีบค้นตัวตามคำสั่ง ขณะนั้นเจ้าชายกัยฟาห์ก็เข้าไปดูเหตุการณ์ใกล้ ๆ ก่อนจะยืนเหม่อด้วยความตะลึงพรึงเพริดเมื่อพบว่าแม่นางผู้นั้นก้คือเจ้าหญิงเทียนมี่ผู้ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายเพลานั่นเอง เจ้าชายพิศความงามสะคราญของนางอีกครั้งและเห็นด้วยกับพ่อค้าเจ้าของรูปว่า ช่างวาดช่างฝีมือทรามนัก เพียงถ่ายทอดด้านที่อ่อนหวานของนาง ไม่มีส่วนอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่เป็นสเน่ห์อย่างยิ่งยวดของเจ้าหญิงเทียนมี่ลงไปด้วย
ทหารค้นได้ถุงเงินแพรปักลายทองไม่สมกับฐานะของชายเคราครึ้ม โจรร้ายเห็นทีว่าโป้ปดไม่ไหวแล้วก็ฉวยจังหวะที่ทุกคนมัวสนใจถุงทอง สลัดหลุดจากการจับกุมแล้ววิ่งตะบึงมาทางเจ้าชายกัยฟาห์ด้วยหมายจะทะลวงหนีไป
“มุสิกต่ำช้า เจ้าจะหนีไปยังที่ใด” องค์หญิงกระโดดจากหลังม้าและเหยียบอากาศเหินมาพร้อมสะบัดแส้ฉกมาดั่งอสรพิษ โจรลักล้วงรีบจับเจ้าชายกัยฟาห์เหวี่ยงไปขวางแส้ นางพลิกข้อมือให้แส้โอบรัดร่างของกัยฟาห์แต่เบาแล้วเหวี่ยงเขาไปพาดอยู่บนหลังม้ามองโกลของนาง ก่อนจะเปลี่ยนกระบวนท่าใช้แถบแพรที่แขนแทนแส้ พุ่งไปรัดข้อเท้าโจรร้ายไว้ จากนั้นฟาดแส้เดิมของนางโบยกลางหลังมันอย่างดุดันคราหนึ่ง
“อ้ากก...!”
ชายเคราครึ้มร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะถูกสยบโดยสิ้นเชิง พ่อค้าชายอาหรับและเปอร์เซียซึ่งต่างก็ตกตะลึงต่อเหตุการณ์นี้ เมื่อคลายตระหนก พวกเขาก็รีบไปหาเจ้าชายกัยฟาห์บนหลังม้า และไถ่ถามว่าทรงบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
เจ้าชายยังคงเหม่อมององค์หญิงเทียนมี่อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา พ่อค้าเจ้าของรูปก็กระตุกฉลองพระองค์ของเจ้าชายแล้วบอกแก่เขา
“พระองค์แกล้งสลบเร็วเข้า”
เจ้าชายซึ่งกำลังงุนงง ใครบอกอะไรก็ทำก็เลยซบหน้าลงไปกับหลังม้าแล้วทำท่าสลบไสลไป
“โอ..ตายล่ะ บุตรชายของหม่อมฉันเป็นอันใดไปแล้ว ชะรอยแส้นั้นจะแรงยิ่งนักเขาคงบอบช้ำจนสลบไสล” พ่อค้าเจ้าของรูปซึ่งอุปโลกน์ตนเป็นบิดาของเจ้าชายกัยฟาห์ ก็ร้องขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง พ่อค้าคนอื่นยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน แล้วต่างก็ร้องคร่ำครวญเป็นลูกคู่รับ บ้างก็แกล้งเข้าไปนวดเฟ้นเจ้าชายกัยฟาห์เหมือนหมายให้ฟื้นสมประดี บ้างก็ไปโอบกอดลูบหลังพ่อค้าเจ้าของรูปเหมือนจะปลอบให้หายวิตก
อันเจ้าหญิงเทียนมี่ไม่รู้เท่าทันกลอุบายของพวกพ่อค้าเปอร์เซีย ก็พระพักตร์ซีดเผือด แล้วรีบรี่เข้าไปดูอาการของเจ้าชายกัยฟาห์
..วันนี้มีอบรมทำเว็บไซต์สื่อการสอนออนไลน์ครับ ลูกศิษย์ผมจะได้เข้ามาโหลดไฟล์พาวเวอร์พ้อยท์ไปง่าย ๆ เดี๋ยวอบรมเสร็จแล้วจะลงมาอัพต่อ อิอิ