ผมตื่นขึ้นมาก่อนแบด เพราะเสียงเอะอะโวยวายหน้าห้อง แบดยังคงนอนตะแคงหลับ อ้าปากหวอ น้ำลายยืดจากมุมปากหมดหล่อไปเยอะทีเดียว ผมยิ้มขำมือก็สาวทิชชู่ที่หัวเตียงมาเช็ดมุมปากให้ แต่คนที่ผมคิดว่ายังไม่ตื่นก็คว้ามือผมหมับ เขาพูดทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา
“จะไปไหน”
ผมพยายามดึงมือออก
“ไม่รู้ใครมาเสียงดังหน้าห้องว่ะ ไฟไหม้หรือเปล่าก็ไม่รู้ กูไปดูก่อน”
ทันใดคนที่จับข้อมือผมก็ดึงจนผมแทบล้มลงทับร่างของเขา ดวงตาที่มีคราบขี้ตา(แน่สิ ก็เพิ่งตื่น) ลืมแป๋วแหววมองผมจากเบื้องล่าง
“ไม่ให้ไปอ่ะ มาให้กอดก่อน”
“มึงเป็นแมวหรือไง เกาะกูหนึบเลย ปล่อยโว้ย”
แบดทำคิ้วลู่เข้าหากันดูน่าสงสาร “แทนใจร้ายว่ะ”
“น่ากูไปดูแปบเดียว เกิดไฟไหม้จริง ๆ กูกะมึงโดนไฟคลอกตายทำไงล่ะ”
“เก๊าะไปเกิดใหม่เป็นเนื้อคู่กันไง”
“แม่ง ผีเข้าแน่ ๆ” ผมบ่นอุบอิบแก้ขวย ก่อนฝืนดึงมือออกแล้วตวัดผ้าเช็ดตัวที่พาดไว้บนเก้าอี้ใกล้ ๆ มาพันเอว ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้ฉันเข้าไป เอากุญแจมาไขเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของผู้หญิง มีอายุหน่อย ๆ และเจ้าอารมณ์แน่ ๆ ดังจากประตูอีกด้านเมื่อผมเข้าใกล้ ผมเปิดประตูทันที และเห็นพี่พนักงานเคาเตอร์ข้างล่างยืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่กับผู้หญิงอีกคนท่าทางเอาเรื่อง และดูจะช็อคพอสมควรที่เห็นผม
“นี่ เธอเป็นใคร เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ยังไง”
“แล้วคุณน้าล่ะครับเป็นใคร ทำไมมาเอะอะโวยวายหน้าห้องคนอื่นตั้งแต่เช้า”
“แม่!”
ผมหันขวับเมื่อเจ้าของเสียงอุทานด้วยความตกใจ หญิงผู้นั้นเดินเข้ามาอย่างแรงจะกระแทกผมให้ถอยออกไปจากทางแล้วเดินเข้าไปในห้อง แบดถอยกรูด ๆ ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
“นี่หมายความว่าไง ไอ้เด็กนี่เข้ามาอยู่ในห้องแกได้ยังไง อย่าบอกนะว่าแกจะเจริญรอยตามพ่อ ไอ้เด็กเปรต”
พร้อมคำพูดเผ็ดร้อน หล่อนตรงเข้าไปคว้าแขนแบดหมับ อีกมือฟาดตบลงไปตรงแขน กลางหลังและเนื้อตัว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมทำอะไรไม่ถูก เขาร้องและบิดตัวหลบไปมา เนื้อตัวแดงขึ้นเป็นแนว
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย บอกแล้วใช่มั้ย ทำไมแกถึงไม่จำ แกอยากให้ฉันอกแตกตายตายให้ได้ใช่มั้ย”
เสียงผัวะผะยังดังไม่หยุด แบดร้องไห้เหมือนเด็ก ๆ แต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมหยุดตี
“คุณน้าหยุดเถอะครับ มีอะไรค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันก็ได้”
ผมพยายามเข้าไปขวาง แต่กลับเจอผลักออก หล่อนหันมาดวงตาวาวโรจน์
“แกใช่มั้ย ที่ทำให้ลูกฉันเป็นแบบนี้ ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ออกไป๊!”
ผมตกใจกับเสียงตวาด เลยชะงักไปครู่หนึ่ง
“ยังหน้าด้านอยู่อีก อยากให้ฉันออกแรงรึไง” หล่อนว่าพลางยกขาถีบผมด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
“แม่อย่า... อย่าทำเขา ฮือ ๆ แบดผิดเอง แบดขอโทษ”
“อ๋อ นี่แกกล้าหือกับฉันใช่มั้ย เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ใช่มั้ย”
หล่อนหันไปจัดการกับลูกชายต่อ ส่วนผมก็ลุกขึ้นจากพื้นแบบมึน ๆ เลือดชักขึ้นหน้า ชักอยากถอนหงอกว่าที่แม่ผัว ผมก้าวอาด ๆ เข้าไปดึงแขนหล่อนไว้ แต่กลับเจอตบหน้าดังฉาด ผมเงื้อหมัดขึ้น หล่อนดูตกใจที่ผมกล้าสู้ ไอ้แบดรีบร้อง
“แทนอย่า!”
ผมสูดลมหายใจแรงเร็ว มือค่อยลดลง แต่มืออีกข้างลอบบีบต้นแขนของหล่อนแรง ๆ จนหล่อนหน้าซีด
“คุยกันดี ๆ” ผมระงับอารมณ์แบบสุด ๆ ระหว่างที่พูดประโยคนี้
แบดปาดดวงตาแดงก่ำ “มึงกลับไปก่อนเถอะ”
ผมขมวดคิ้ว แต่แล้วก็เข้าใจ ผมปล่อยแขนของอีกฝ่าย แล้วตรงไปคว้าเสื้อผ้าของตนก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ระหว่างที่ผมปิดประตูตามหลัง ผมยังได้ยินเสียงแบดพร่ำขอโทษ ที่หน้าห้อง พนักงานคนเดิมมองผมแหย ๆ
“ให้ช่วยอะไรมั้ยคะ”
“คงไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวถ้ายัยหนังเหี่ยวบ้าอำนาจในห้องนั่นกลับไปแล้ว คุณช่วยขึ้นมาดูเพื่อนผมหน่อยล่ะกันนะครับ”
เธออมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินฉายาใหม่ของพายุลูกใหญ่ที่เพิ่งพัดเข้าไปในห้องเมื่อครู่ ก่อนจะรีบพยายามเก็บยิ้มด้วยรู้ว่าไม่สมควร ผมยกขาใส่กางเกงหน้าห้อง ทำเอาพนักงานสาวหน้าแดง เธอจึงรีบจากไป
หลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จ ผมก็พาดผ้าเช็ดตัวที่นุ่งอยู่เมื่อครู่ไว้ที่ลูกบิดหน้าห้อง แล้วเดินลงมาตามบันได ร่างบางผุดลุกจากโซฟาในโถงโล่งของอพาร์ตเม้นท์พร้อมส่งรอยยิ้มเยาะมาทางผม
“เธอนี่มาได้บังเอิญจริง ๆ เลยนะมด” ผมทักก่อน ชิงเป็นฝ่ายรุก แต่เธอก็โต้ตอบมาอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
“มดจะพลาดองก์สำคัญไปได้ยังไงล่ะคะ”
“เอ พี่ก็ไม่ยักกะทราบว่าแถวนี้มีเปิดแสดงละครซะด้วย”
เธอยกยิ้มที่มุมปาก “บางทีชีวิตจริงมันก็ยิ่งกว่าละครค่ะ”
ผมไม่ตอบทันที เดินลงมาจากบันได และก้าวไปช้า ๆ ยังใจกลางโถงประจันหน้ากับหล่อน มดดูหวั่นผวาเล็กน้อย แต่เธอก็ฝืนเชิดหน้ามองผม และผมอาจจะรู้สึกชื่นชมเธอตรงนี้
“อย่างนั้นพี่ก็ชักอยากจะมีลวดเล็ก ๆ คม ๆ สักเส้นในมือ” ผมยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมของสาวร่างเล็กด้วยอาการประหนึ่งคนรัก เผยยิ้มอบอุ่นแล้วกล่าวต่อ “ละครเรื่องนี้จะได้จบแบบโศกนาฏกรรม มดว่าดีไหม”
“อย่าขู่มดเลยดีกว่าค่ะ พี่แทนไม่กล้าหรอก”
“หึ” ผมหัวเราะในคอทีนึง “อันนั้นก็ต้องรอดูกันอีกที จริงสิ..พี่ว่ามดอย่าเสียเวลากับพี่เลย เดี๋ยวจะเข้าฉากไม่ทัน เพราะละครน่ะ..ไม่สนุกหรอกถ้าไม่มีบทหญิงแพศยา”
ผมหัวเราะร่าแล้วเดินเลยคนที่ยืนกำหมัดตัวสั่นไป
ผมกลับมาที่หอและกำลังจะเดินขึ้นตึก แต่ก็มีคนเรียกเอาไว้ก่อน
“พี่แทน หวัดดีครับ”
ผมหันกลับไป อดัมเดินมากับเพื่อนของเขาซึ่งทักทายผมเหมือนกัน ผมยิ้มร้าย แล้วผงกหัวรับ
“อืม ว่าไงดำ”
“ก็สบายดีครับ” เขาพูดขัด ๆ นิดหนึ่ง ก่อนหันไปทางเพื่อน “ไอ้ต้า ไอ้ไก่ พวกมึงขึ้นห้องไปก่อนเถอะ”
“เออ เพื่อนแล้วเจอกัน” พวกเขาพากันเดินขึ้นหอไป ผมมองอดัมแล้วบอกกับเขา
“พี่มีเรื่องจะคุยกับดำพอดี”
“ครับ” เขารับคำแล้วเดินตามผมอย่างว่าง่าย เราเดินเลียบตัวตึกอ้อมไปด้านข้างที่ติดกับริเวอร์ไซด์ อดัมถามผมเบา ๆ “แล้วพี่แทนล่ะสบายดีหรือเปล่า”
“เรื่อย ๆ น่ะ” พวกเรามาถึงจุดที่สงบและปลอดคน “เออ เมื่อคืนพี่ไปเล่นเกมมา”
“ไม่เห็นชวนผมเลย”
ผมยิ้มน้อย ๆ “ลืมว่ะ จะว่าไปก็เจอคนรู้จักของดำด้วย”
อดัมนิ่ง ผมพูดต่อ “ความจริงพี่ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่พี่ว่าดำน่าจะรู้ไว้ พี่เจอมด”
น้องดำร้องอ้อคำเดียว
“ดำคงไม่อยากเชื่อ แต่พี่เห็นมดไปกับไอ้แบดว่ะ ควงแขนกันกระหนุงกระหนิง แต่หลังจากนั้นจะทำอะไรกันต่อพี่ก็ไม่รู้แล้วนะ”
“ครับ”
ผมเลิกคิ้ว “โกรธพี่หรือเปล่าที่มาบอกเรื่องนี้”
หนุ่มนัยน์ตาแขกส่ายหน้า
“พี่ทำให้ดำไม่สบายใจหรือเปล่า ขอโทษด้วยล่ะกัน บางทีพี่อาจจะเข้าใจผิด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ไม่สบายใจหรอก” เขาสบตาผมด้วยแววตามีความหมาย “ผมจะไม่สบายใจ ถ้ารู้ว่าคนที่ไปกับแบดไม่ใช่มด..แต่เป็นพี่”
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก และฝืนยิ้มออกมา
“ดำยังชอบพี่อยู่เหรอ”
“ตลอดเวลาครับ” เขาเน้นเสียง มองหน้าผมพักหนึ่งจึงต่อคำพูด “ถ้าพี่แทนเหนื่อยเมื่อไหร่ก็กลับมาหาผมล่ะกัน”
ผมแทบไม่รู้ตัวว่าถูกขโมยจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปาก อดัมยิ้มอย่างเจ็บปวดระหว่างที่ปล่อยมือจากปลายคางผม เขาจากไปอย่างเงียบงันโดยไม่มีแม้คำบอกลา ชั่วขณะนั้นความโกรธเกลียดที่ผมมีต่อผู้หญิงที่ชื่อมดมาตั้งแต่เช้าก็ปลาศนาการเป็นความสงสารแทน
ผมยังยืนอยู่ที่เดิม แต่แรงบันดาลใจประหลาดทำให้ผมอ้าปากร้องตะโกน
“เจสซี่!” “ว้าย อกอีแป้นจะแตก” เสียงร้องอย่างตกใจดังจากบนตึก ใบหน้าสวย ๆของกะเทยสาวโผล่ขึ้นมาจากขอบบันไดหนีไฟชั้นสอง ปากยังคาบเส้นมาม่าอยู่ “พี่แทนรู้ได้ไงคะว่าเจสซี่มาแอบกินมาม่าอยู่ตรงนี้”
ผมขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่ง
“ลงมา!”
“ต๊าย..ใจเย็น ๆ ค่ะพี่แทน คิดถึงเจสซี่ขนาดนี้เชียวเหรอคะ รอประเดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวสุดสวยจะถกผ้าถุงโดดลงไปแล้ว อึ๊บ!”
หล่อนวางถ้วยมาม่าไว้ที่ขอบระเบียง แล้วรูดเสาที่เป็นทางสำหรับลงจากชั้นหนึ่งมาชั้นสองลงมา
“นี่มึงสะกดรอยตามกูตลอดเลยใช่มั้ย”
“อุ๊ยเปล่านะคะ อย่ามาหาความกัน เจสซี่บอกว่าบังเอิญก็บังเอิญซีคะ”
ผมขยับเข้าไป ตีหน้ายักษ์แล้วคว้าแขนของนังตัวแสบเอาไว้
“บอกมา มึงทำงานให้ใครกันแน่”
“โอ๊ย! เจสซี่เจ็บ พี่แทนปล่อยก่อน..”
“บอกมาก่อน แล้วกูจะปล่อย”
เจสซี่เบ้หน้า แต่ก็ยังแข็งใจยืนกระต่ายขาเดียว “เจสซี่ไม่ได้ทำงานให้ใครนะคะ เจสซี่ตั้งใจช่วยพี่แทนจริง ๆ”
ผมหวนนึกถึงตอนความเข้าใจผิดท็อป-แบดแล้วก็คลายมือลงหน่อยก่อนจะถามต่อ
“ช่วยให้ได้กับไอ้แบดน่ะเหรอ”
หล่อนพยักหน้า
“เพื่ออะไร?”
คราวนี้เธอเงียบ
“กูถามว่าเพื่ออะไร!”
“เจสซี่แค่อยากเห็นคนรักกัน”
“ตอแหล! มึงคิดว่ากูโง่นักหรือไง มึงสุมหัวกับไอ้แบดตั้งแต่แรก ปั่นหัวกูไปทางโน้นทีทางนั้นที แล้วคราวนี้พอสนุกจนพอใจมึงก็หักหลังไอ้แบดอีกต่อ สะใจมึงแล้วมั้ยล่ะ”
“หักหลังอะไร เจสซี่ไม่รู้เรื่อง”
ผมชี้หน้ามัน “แล้วเมื่อเช้า ใครเป็นคนพาแม่ไอ้แบดกับอีมดไปที่หอนอก ไม่ใช่มึงหรือไง”
“แม่พี่แบด..” เจสซี่ร้องอย่างตกใจ ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที แล้วร่ำร้องทันที “เปล่านะคะ เจสซี่ไม่เคยทำอะไรแบบนั้น และไม่มีวันจะทำแบบนั้นด้วย”
“เสแสร้งเก่งจริง ๆ ไม่ต้องเล่นบทนางเอกก็ได้เจสซี่ ดีออกกูชอบ ส่งเรื่องสนุก ๆ อย่างนี้มาเยอะ ๆ สิ”
“พี่แทน” เธอพูดด้วยสีหน้าเครียด “เจสซี่ต้องทำยังไงคะ พี่แทนถึงจะยอมเชื่อใจเจสซี่ ว่าเจสซี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับพี่แทนหรือพี่แบด”
ผมหรี่ตามองหล่อน “งั้นบอกเรื่องทุกอย่างที่มึงรู้”
เจสซี่ส่ายหน้าช้า ๆ “ขอโทษนะคะ เจสซี่ทำอย่างนั้นไม่ได้”
ผมแค่นเสียง แต่อีกฝ่ายพูดต่ออย่างรวดเร็ว
“สักวันพี่แทนจะรู้เองค่ะว่าเจสซี่หวังดี ถ้าพี่แทนจะระแวงเจสซี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอให้เชื่อใจคนที่พี่แทนควรเชื่อใจเถอะค่ะ”
หล่อนค่อย ๆ เบี่ยงแขนออกจากการเกาะกุมผมอย่างนิ่มนวล ส่งยิ้มแบบเดียวกับอดัมให้ผม รอยยิ้มที่บอกว่า ‘ต่อไปนี้คุณต้องอยู่คนเดียวแล้ว ดูแลตัวเองด้วยนะ’

ช่วงนี้เครียดนิดนึงนะคร้าบ
