วันที่ 9
“คือว่าเราแอบชอบนายมานานแล้ว!!” คนชื่อมอลต์พูดออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดัง แต่คนที่เขาพูดด้วยไม่ใช่ผม
ตอนนี้ผมนึกออกแล้วว่านายมอลต์อะไรนี่เป็นใคร เขาคือผู้ชายตัวควายๆที่ทำท่าสะดีดสะดิ้งในคลาสเมื่อคราวก่อน ไม่นึกเลยว่าหมอนี่จะชอบผู้ชาย
“เอ่อ...” ไอ้ฟิวยิ้มแห้งๆเหมือนไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่อย่างไรดี
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจว่านายคงตอบรับความรู้สึกเราไม่ได้เพราะนายมีนายสปอตไลท์อยู่แล้ว เราแค่อยากบอกให้นายรู้เฉยๆ” มอลต์ยิ้มด้วยสีหน้าสบายๆ
เดี๋ยวก่อนนะ...สปอตไลท์นี่หมายถึงกูหรอ? “ไม่ใช่แบบนั้น..คือฉันไม่ใช่เกย์” ไอ้ฟิวตั้งสติตอบ
“อ่าว ก็นายสองคน...” นายมอลต์มองหน้าไอ้ฟิวกับผมสลับกันแล้วฉีกยิ้มกว้าง “งั้นเราก็ยังมีหวังอยู่สินะ”
“เคลียร์กันเองนะ กูไปละ” ผมรีบชิ่งเดินเข้าห้องเรียนมาก่อนแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกและแน่นอกแปลกๆ
“นาย” ใครสักคนสะกิดเรียก
“มีอะไรหรอ” ผมถามกลับ
“ไอ้มอลต์มันได้ไปสารภาพรักกับนายป่ะ”
ผมถอนหายใจหนักพลางส่ายหัวแทนคำตอบ เดาได้ทันทีว่าหมอนี่คงเป็นใครอีกคนในห้องน้ำวันนั้น
“อ่าว เห็นมันบอกจะไปสารภาพรัก นึกว่ามันไปหานายซะอีก แล้วมันไปสารภาพรักกับใครวะเนี่ย” เพื่อนนายมอลต์เกาหัว
“เพื่อนนายกำลังคุยกับเพื่อนเราอยู่” ผมช่วยตอบแทน รู้สึกอึดอัดและเจ็บหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก
“เฮดว้ากหรอ?”
“...อืม”
“แม่งเข้าใจผิดแหง๋ๆ อาทิตย์ก่อนมันยังบอกว่าชอบนายอยู่เลย” เพื่อนนายมอลต์ทำหน้ายุ่ง
“อ่าวโก้รู้จักเพื่อนฟิวด้วยหรอ” นายมอลต์ส่งเสียงทัก
ผมรู้สึกเหมือนจะเห็นคำว่าความสุขลอยอบอวลอยู่รอบๆตัวหมอนี่ด้วย ดูแล้วรู้สึกขัดใจยังไงก็ไม่รู้สิ
“เฮ้ย ชื่อเข้ากันดีนะ มอลต์กับโกโก้” ไอ้ฟิวพูดแซว ดูไม่ทุกข์ร้อนกับการโดนผู้ชายสารภาพรักเท่าไรแล้ว
“ไม่หรอกๆ ชื่อเราไม่เข้ากันสักนิด” นายมอลต์รีบปฏิเสธ
“กูชื่อตะโก้ ไม่ใช่โกโก้” นายโก้รีบแก้ก่อนหันไปคุยกับเพื่อนตัวเอง “เชี่ยมอลต์ไหนมึงบอกชอบหมอนี่ไม่ใช่หรอ ทำไมไปสารภาพรักกับเฮดว้ากวะ”
“อ่าวนายสปอตไลท์ไม่ใช่เฮดว้ากหรอกหรอ ผ่านคณะเกษตรทีไรเห็นนายนี่นั่งคุมซ้อมว้ากทุกที”
อ่อ สรุปไอ้มอลต์อะไรนี่เข้าใจผิดว่าผมเป็นเฮดว้ากสินะ...แล้วนี่มึงจะเรียกกูว่าสปอตไลท์อีกนานมั้ย
“กูไม่ได้ชื่อสปอตไลท์”
“ไอ้กรีนไม่ได้ชื่อนั้น”
ผมกับไอ้ฟิวพูดออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดูเหมือนไอ้ฟิวเองก็ไม่ชอบที่ผมถูกเรียกแบบนี้
“ขอเวลาแปบนึงนะ ถ้ากูจำไม่ผิด วันนั้นกูถามมึงว่า มึงชอบคนขาวๆที่นั่งข้างเฮดว้ากเกษตรใช่มั้ย” เพื่อนนายมอลต์ค่อยๆเรียบเรียงเรื่องช้าๆก่อนจะชี้มาที่ผม “กูหมายถึงไอ้หมอนี่นะ”
“อย่างนายนี่ไม่เรียกว่าขาว เขาเรียกซีด” นายมอลต์พูดด้วยเสียงจริงจังแล้วชี้ไปที่แขนไอ้ฟิวบ้าง “นี่สิขาว”
“โอ้ย กูไม่เข้าใจมาตรฐานมึงเลยจริงๆ” นายโก้ดูหัวเสีย
อย่าว่าแต่นายโก้เลยที่ไม่เข้าใจ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ ดูยังไงไอ้ฟิวก็ผิวแทนชัดๆมองยังไงว่าขาววะ“กูก็ไม่ได้ขอให้มึงเข้าใจนี่”
“ใจเย็นๆ มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันนะ” ไอ้ฟิวช่วยห้ามทัพ
คือจะเข้าใจผิดยังไงก็ไม่รู้ล่ะ แต่ช่วยไปเถียงกันไกลๆได้มั้ยวะครับ ทำไมต้องมาคุยกันข้ามหัวกูด้วยผมไม่ได้พูดอะไรออกมา ทุกอย่างยังเป็นแค่กระบวนการทางความคิดเท่านั้น
“คาบนี้พวกเราย้ายมานั่งข้างพวกนายดีกว่า” นายมอลต์พูดขึ้นก่อนจะรีบไปเอากระเป๋ามาวางที่เก้าอี้ที่ยังว่างข้างๆไอ้ฟิว และจัดแจงวางกระเป๋านายโก้ลงข้างผม
ตลอดคาบที่แสนน่าเบื่อ นายมอลต์พยามชวนไอ้ฟิวคุยจนผมต้องทำหน้าที่แลคเชอร์อยู่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดเท่าต้องทนฟังเสียงกรนของนายโก้ที่ฟุบหลับอยู่ข้างผมทั้งคาบ
“เอเวอร์กรีนคร้าบ ยิ้มหน่อยสิครับ” ไอ้ฟิวพูดกับผมด้วยเสียงเหมือนมันกำลังอ้อนแฟน “อย่าหน้าบึ้งใส่ฟิวนะครับ นะๆ”
“หยุดทำเสียงแบบนั้นซะที กูรำคาญ” ผมพูดเสียงห้วน
“ผัวเมียทะเลาะกันวุ้ย” ใครสักคนพูดแซวแต่ผมไม่สนใจ
“กูทำอะไรให้มึงโกรธอีกเนี่ย”
“กูไม่ได้โกรธอะไรมึงสักหน่อย”
“งั้นก็ยิ้มให้กูดูสิ” ไอ้ฟิวยืนกอดอกมองผมด้วยสายตาเหมือนตอนที่มันมองรุ่นน้องที่มันกำลังว้าก
“ถ้ากูไม่ยิ้ม มึงจะว้ากกูหรอ”
“ก็ไม่แน่”
“งั้นกูยิ้มก็ได้...พอใจยัง”
“แบบนี้เขาเรียกแยกเขี้ยวไอ่ห่า” ไอ้ฟิวทำหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันไปพูดกับว้ากเกอร์ที่มารอซ้อมตามปกติ “วันนี้พวกมึงกลับเลยแล้วกัน กูไม่มีอารมณ์”
เหล่าว้ากเกอร์ทำตามคำสั่งเฮดอย่างว่าง่ายแต่ไม่วายแซวส่งท้ายเฮดว้ากส่งท้าย
“อยากมีอารมณ์คงต้องไปคุยกันบนเตียงซะละมั้งพี่ฟิว”
“ฮิ้ววววววววว..”
“พอเลยพวกมึง เดี๋ยวได้โดนกูเตะเรียงตัว” ไอ้ฟิวขู่ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้ดูน่ากลัวสักนิด
เมื่อทุกคนกลับไปจนหมด ไอ้ฟิวก็ชวนผมไปกินนมปั่นหน้ามอ ระหว่างที่กินมันก็ไม่ได้พูดเซ้าซี้อะไรให้ผมรำคาญใจ ราวกับเรื่องที่เราเถียงกันเมื่อกี้ไม่เคยเกิดขึ้น
“เดี๋ยวค่ำๆกูคอลหานะ” นี่คือประโยคแรกที่ไอ้ฟิวพูดกับผมในขณะที่ผมกำลังจะก้าวเข้าหอพัก
ผมหันไปพยักหน้าตอบและเดินขึ้นห้องไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งและโหยหาที่นอนอย่างหนัก ดังนั้นเมื่อเข้าห้องได้ผมจึงเดินไปทิ้งตัวลงที่เตียงทันที
ผมหลับลึกกว่าทุกครั้งทั้งยังไม่ได้เปิดเสียงแจ้งเตือนไว้ตั้งแต่ก่อนเข้าเรียนช่วงบ่าย กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้เข้าวันใหม่ไปแล้ว โทรศัพท์ส่งเสียงสั่นครืดคราดอยู่ในกระเป๋าซึ่งกว่าผมจะควานหาเจอปลายสายก็วางไปเสียแล้ว
‘Garfield 74 miscall’
‘Fieldzila : รับสายกูที ได้โปรด’บนหน้าจอแจ้งเตือนข้อความล่าสุดที่ถูกส่งมาหาและ miscall จำนวนมากจากไอ้ฟิวจนผมอดตกใจไม่ได้ ในขณะที่กำลังจะกดเปิดอ่านข้อความเสียงคุ้นหูก็ดังมาจากอีกฟากของประตู
“เชี่ยกรีนถ้ามึงอยู่ข้างในช่วยมาเปิดประตูที มึงเล่นแบบนี้กูไม่ขำนะ” ไอ้ฟิวทุบประตูเสียงดังซ้ำน้ำเสียงยังดูร้อนรนผิดปกกติ
ผมรีบลงจากเตียงไปเปิดประตูท่ามกลางความมืด และทันทีที่ประตูเปิดออกไอ้ฟิวก็รวบตัวผมเข้าไปกอด
“เชี่ย ปล่อยกู” ผมพยามดันตัวมันออก
“ทำไมไม่รับสายกู” ไอ้ฟิวถามทั้งที่ยังกอดผมไว้แน่น “กูติดต่อมึงไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง”
“ก็กูหลับ” ผมตอบหน่ายๆ “ปล่อยกูก่อนได้มั้ย เชี่ยเอ้ย อย่างน้อยก็ปิดประตูก่อนเถอะกูอายเขา”
ไอ้ฟิวคลายอ้อมแขนออกอย่างว่าง่ายทำให้ผมสามารถไปปิดประตูที่เปิดอ้ารับสายตาสอดรู้สอดเห็นของห้องใกล้เคียงได้ในที่สุด
เออดี เดี๋ยวคงได้ลือกันทั้งหอว่ากูเป็นเกย์“มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ผมถามกึ่งตวาด
“ก็มึงไม่รับสายกู กูส่งข้อความมาเท่าไรมึงก็ไม่อ่านไม่ตอบ”
“...ก็กูหลับ แล้วโทรศัพท์ก็ไม่ได้เปิดเสียง” ผมพยามพูดอย่างใจเย็น
“จริงนะ มึงไม่ได้โกหกกูใช่มั้ย”
“เอ้า แล้วกูจะโกหกมึงทำไมเนี่ย”
“แล้วกูจะรู้หรอว่ามึงจะโกหกกูทำไม
คราวก่อนมึงก็...” ไอ้ฟิวชะงักไปเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา
“คราวก่อนกูทำไม” ไอ้ฟิวเม้มปากแน่นบอกเป็นนัยว่ามันไม่อยากพูด ดังนั้นผมเลยต้องสวมบทโหดเพื่อเค้นความจริงจากปากมัน “ถ้ามึงไม่พูดก็ออกจากห้องกูไปเดี๋ยวนี้เลย”
“มึงโกหกกูเรื่องสมุดบันทึก” ไอ้ฟิวยอมพูดในที่สุด “กูรู้ว่าวันนั้นมึงได้สมุดเล่มเดิมมาเขียนแล้วมึงไม่ได้เขียนบันทึกเรื่องกู”
“มึงแอบอ่านสมุดบันทึกกู...” ผมพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว ในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของคำพูดมันเมื่อตอนนั้น
“ถึงกูจะรักมึง แต่มึงก็รู้ว่ากูเกลียดคนที่โกหกกูยิ่งกว่าอะไรใช่มั้ยกรีน”“ก็กูอยากรู้ว่ามึงเขียนอะไรถึงกู แต่มึงแม่ง...มึงโกหก” ไอ้ฟิวพูดด้วยเสียงคล้ายจะผิดหวังแล้วยิ้มหยัน “แต่กูคงจะว่าอะไรมึงไม่ได้ เพราะคนที่โกหกมากที่สุดคือกูนี่แหล่ะ”
“มึงหมายถึงอะไร กูไม่เข้าใจ...”
“กูชอบมึงกรีน ชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทุกวันนี้กูก็ยังชอบมึงอยู่แต่กูไม่เคยพูดออกมาเพราะกูกลัวจะเสียเพื่อนดีๆแบบมึงไป” ไอ้ฟิวค่อยๆระบายความในใจที่พยามเก็บซ่อนไว้ออกมา “มึงจำขยะในกระเป๋ากูที่มึงเอาไปทิ้งได้มั้ย ใบเสร็จพวกนั้นคือช่วงเวลาที่กูเคยใช้ร่วมกับมึง...มึงคงไม่เข้าใจความรู้สึกที่อยู่ๆก็รู้ว่าตัวเองแอบชอบเพื่อนสนิท...กูไม่ได้อยากเป็นเกย์...เชี่ยเอ้ย รู้ตัวอีกทีกูก็เผลอชอบมึงไปแล้ว จะให้กูทำยังไงวะ”
เรื่องราวอีกด้านที่ผมไม่เคยรับรู้พรั่งพรูออกมาจากปากของมัน และถ้อยคำเหล่านั้นก็กำลังบีบรัดหัวใจของผมจนเจ็บแปลบ ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้สุขใจอย่างบอกไม่ถูก
“...อย่าเกลียดกูนะกรีน” ไอ้ฟิวคว้ามือผมไปกุมไว้หลวมๆ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่กำลังอ้อนวอนนั้นปราศจากการเสแสร้ง
“กู-”
‘บอกว่าร๊าก ร๊าก ร๊ากฉานโกโหกท้างน้าน~ ’ โทรศัพท์ไอ้กรีนแผดเสียงลั่น ผมถอนหายใจและกลืนคำที่กำลังจะพูดลงคอ
“มึงรับสายก่อนเถอะ”
“แต่...”
“กูไม่หนีไปไหนหรอก”
“ก็ได้...ฮัลโหลครับแม่...อ่อ พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องช่วยไอ้กรีนทำรายงาน...ครับ...” ไอ้ฟิวจับมือผมไว้ตลอดในขณะที่มันคุยกับแม่มัน
แม่งคิดได้ไงวะ เพิ่งนึกได้ว่าต้องช่วยเพื่อนทำรายงานตอนเกือบเที่ยงคืน...ผมแอบขำกับข้ออ้างโง่ๆของมัน
ทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่คนโกหกเก่งแท้ๆ แต่ทำไมผมถึงไม่เคยรู้เลยนะว่าไอ้ฟิวมันแอบชอบผมอยู่
“ครับ...คืนนี้คงค้างหอไอ้กรีน...ครับ...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ...” ไอ้ฟิวหน้าจ๋อยท่าทางจะโดนหญิงแม่สวดชุดใหญ่
“โดนหม่อมแม่เทศไปกี่กัณฑ์ล่ะ” ผมสัพยอกทันทีที่ไอ้ฟิววางสาย
“แล้วเพราะใครล่ะกูถึงต้องโดนเทศแบบนี้” ไอ้ฟิวกระเง้ากระงอด
“กูหลับนี่มันผิดมากใช่มะ”
“เปล่า...กูไม่ได้จะว่างั้น...กูขอโทษ” ไอ้ฟิวหลุบตาลงต่ำและพูดนำเข้าประเด็นที่คุยค้างเอาไว้ “เมื่อกี้ก่อนโทรศัพท์ดัง มึงจะพูดอะไร”
“แล้วมึงพูดว่าอะไรนะ ก่อนโทรศัพท์จะดัง”
“มึงนี่แม่งโคตรความจำสั้น” ไอ้ฟิวทำหน้าน้อยใจก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมาอีกรอบ “มึงอย่าเกลียดกูนะกรีน”
“กูขอคิดก่อนแล้วกัน”
“...” ไอ้ฟิวไม่พูดอะไรแต่มันกำลังมองผมด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า ‘มึงนี่มันกวนตีน’
“ขอเวลากูคิดนิดนึง กูเพิ่งตื่นสมองกูยังไม่ทำงาน”
“คิดนานระวังกูโดนแย่งไปนะ” ไอ้ฟิวพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแต่ไม่รู้ทำไมคำพูดของมันถึงทำให้ผมปี๊ด
“งั้นก็เอาไปเลย กูยกให้”
“...นี่มึงโกรธอะไรกูอีกแล้วเนี่ย” ไอ้ฟิวขมวดคิ้ว
“โกรธอะไร? กูแค่บอกว่ากูยกให้ไม่ต้องแย่งก็แค่นั้น”
“มึงจะยกกูให้ไอ้มอลต์จริงดิ”
“ก็ดูเข้ากันได้ดีไม่ใช่รึ...ไง” ผมรู้สึกปรับอารมณ์ไม่ทันเพราะอยู่ๆไอ้ฟิวก็หน้าแดงขึ้นมาซะอย่างนั้น “หน้าแดงอะไรของมึงเนี่ย”
“...
ก็มึงหึงกู...แม่งเอ้ย ดีใจว่ะ”
“หึงพ่อง!!!” พูดไปแล้วก็รู้สึกเหมือนหน้าตัวเองกำลังเห่อร้อนอย่างผิดปกติ ซ้ำหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะเหมือนนางเอกในการ์ตูนตาหวานอีกด้วย
“มึงนี่มัน ฮ่าๆ” ไอ้ฟิวใช้มือขยี้หัวผมจนยุ่งแบบที่มันชอบทำเป็นประจำและหัวเราะเสียงดัง
“เชี่ยฟิวหยุดขยี้หัวกูซะที” ผมโวยวายพยามปัดมือมันออกแต่ไอ้ฟิวก็ยังหัวเราะไม่หยุด
“น่ารักจริงๆ My everygreen” พูดจบมันก็ขโมยหอมแก้มผมไปหนึ่งฟอด
ส่วนผมที่ยังอึ้งอยู่ก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหินเท่านั้น...
---------------------------------------------------
ยังค่ะ ยังไม่จบ แต่ตอนหน้าคงจบแน่ๆ
จำไม่ได้ว่าค้างคลายปมตรงไหนอีก คิดว่าน่าจะ
เหลือแค่เรื่องใครเป็นคนเขียนบันทึกอีกเล่ม
ซึ่งนักอ่านทุกคนคงจะพอเดาได้อยู่แล้ว
เอาเป็นว่า...แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
บายยยยยย~