ต่อค่ะ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ผมก็ถูก
‘โหวต’ ให้เป็น
‘ตัวแทนแม่ทัพ’ เสมอๆ
เรียกซะดูดี จริงๆ แล้ว...
ผมเป็น.. หัวหน้ากลุ่ม
ผมเป็น.. หัวหน้าห้อง
ผมเป็น.. หัวหน้าหมู่ลูกเสือ
ผมเป็น.. ตัวแทนในการพูดขอบคุณ
ผมเป็น.. ตัวแทนในการตอบคำถาม
ผมเป็น ผมเป็น ผมเป็น โดยที่ไม่มีใครสักคน หรือคำสักคำที่ถามถึง
ความสมัครใจ “เอาละทุกคน... เสนอชื่อหัวหน้าห้องประจำปีการศึกษา 2560..”
“ผมขอเสนอนายมุ่งมั่นครับ มันเป็นหัวหน้าห้องตั้งแต่ผมจำความได้มั้งจารย์”
“เปลี่ยนคนมั้งซีธัชชัย”
“ม่ายละครับ มันอยู่ตรงนั้น ทำหน้าที่ได้ดีกว่าใครๆ อยู่แล้ว ใช่ปะวะมุ่งมั่น”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ขยับแว่นตาที่ตกลงที่ปลายจมูก ดันขึ้นจนชิดหัวตา เงยหน้ามองอาจารย์ประจำชั้นมอหกทับสาม ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตายังไง อาจจะยิ้มเหมือนเดิม หรือเบ้หน้าเอียนกับโชคชะตาตัวเอง เธอมองมาที่ผมแล้วยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นแปลได้ความหมายเดียว คือ
เธอสงสาร แต่เหนือสิ่งอื่นใด คำพูดที่ผมฝังใจมาตลอดตั้งแต่เกิดมากำลังจะออกจากปากของเธออีกครั้ง..
“เอาอย่างนี้ดีกว่า งั้นอาจารย์จะให้เพื่อนๆ โหวต”
“...”
“ใครอยากให้มุ่งมั่นเป็นหัวหน้าห้อง ยกมือขึ้น”
พรึบ!! ตลกร้าย แทบจะไม่มีใครไม่ยกมือเลย หมายถึงมีคนไม่ยก? ใช่และนั้นคือ...ผมเอง
“โอเค มติเป็นเอกฉันท์ เสียงข้างมากโหวตให้มุ่งมั่นเป็นหัวหน้าห้องประจำปีนี้ค่ะ”
เสียงโห่ฮิ้วดังตามคำประกาศที่สิ้นสุดลง ผมยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มเหมือนหนึ่งปีที่แล้ว สองปีที่แล้ว สามปีที่แล้ว... สิบปีที่แล้ว
ผมไม่เคยอยู่เสียงข้างมาก และเสียงข้างมากมักจะชนะ
พวกเขายกให้ผมทำหน้าที่ที่ทุกคนขยาด พวกเขายกหน้าที่ให้ผมเป็นทาส
ทาสของการถูกนำเสนอ
ทาสอเนกประสงค์
.
.
.
.
.
ทุกอย่างมันชัดเจนขึ้น เมื่อผมเรียนมอปลาย
และยิ่งชัดเจนมาก... ในขณะนี้
เสียงหัวเราะและเสียงไวท์บอร์ดดังสลับกัน พวกเพื่อนๆ ผมกำลังวางแผนการหาเสียงด้วยความสนุก หลังจากที่ชื่อพรรคของเราเป็นทอร์กออฟเดอะทาวน์ทั้งโรงเรียน โดยมีหน้าผมเป็นยี่ห้อ น้องๆ ทุกคนรู้จักประธานพรรคจากการแปะใบปลิวที่ค้นพบว่าผ่านการแต่งภาพมายับ เพราะคนที่พวกเขาเห็นกับผมตัวจริงนั้น ต่างกันสิ้นเชิง เกิดวลีเด็ดประจำพรรคว่า ‘ประธานหน้าจิ้งเหลน’
นั้นคือไอเดียของเพื่อนในห้องผม
คนที่เสนอให้ผมเป็นประธานพรรค ให้ผมเป็นหัวหน้าห้อง
และ... ทุกคนเห็นด้วยว่า เออ มันขายได้
คนจดจำผมได้.
เพื่อนผู้หญิงเสนอการออกไปพูดหน้าเสาธง พวกเขาคิดบทการพูดให้ตลกโปกฮา ทั้งสโลแกนพรรค นโยบายประหลาดๆ ผมได้นิ่งรอเขียนสรุปไว้บนกระดาน
“ทุกคนเห็นด้วยมั้ย?”
“เอาดิๆ”
“เออชอบๆ”
“เห้ย อันนี้ซื้อเลย”
“มึงถามมั่นมันก่อนดิ้ ว่ามันจะเอาด้วยไหม” เสียงผู้ชายคนนึงดังขึ้นมากลางปล้อง ทำให้บรรยากาศดีๆ หยุดกะทันหัน
“มึงอย่าขัดดิ ขนาดคนอื่นยังชอบ กูว่าน้องส่วนมากก็ชอบ”
“เออๆ อีกอย่างมันก็งานส่วนรวมป่ะหว้า พวกกูช่วยมันคิดก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“เฮ้ยอย่าเถียงกัน มาต่อๆ นโยบายสามข้อหลัก... เฮ้ยมั่น จดไว้ดิ มึงอย่านิ่งไอ้ประธาน”
พวกเขาเถียงกันไปมา เพื่อนผู้ชายคนนั้นมองตรงมาที่ผม เขายักไหล่ก่อนจะสนใจไอ้เทคโนโลยีในมือต่อ
เหมือนพวกเขาจะลืม..
ว่าคำถามนั้น
ผมยังไม่ได้ตอบออกไป ไวท์บอร์ดในมือลากตามคำพูดสโลแกนตลกๆ นั่น
ทุกคนขำเมื่ออ่านมัน
แต่ผม
ไม่.
.
.
วันนี้บริเวณหน้าเสาธงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะมีพี่ๆ มอหกจำนวน 4 ห้องมายืนรอหาเสียงครั้งสุดท้าย ก่อนวันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นการเลือกตั้งจริง
ทางโรงเรียนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งมาก ผู้อำนวยการกล่าวว่าการเลือกประธานนักเรียนนั้น ก็เหมือนกับการเลือกตั้งระดับประเทศ คือ การเลือกนายกรัฐมนตรี โรงเรียนกำลังปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย เลือกให้ตัวแทน ซึ่งเป็นพี่มอหก คร่ำหวอดในโรงเรียนมาหลายปีเป็นคนดูแล เป็นตัวแทนของนักเรียนทั้งโรงเรียนในการตัดสินใจต่างๆ
เพราะประธานนักเรียน คือ ตัวแทนของนักเรียนทุกคน
เราจะเดินไปทิศทางไหน ใครจะเป็นคนกุมบังเหียนนี้
.
และไม่ลืมที่จะย้ำถึงความจริงจังในการเลือก
.
รักใคร ชอบใคร ให้กาเบอร์นั้น ผมฟังจนมาถึงประโยคข้างต้นก็ถึงกับหัวเราะออกมา
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ หาว่าผมขำกับสิ่งที่ตัวเองจะได้พูดออกไป ...สโลแกนบ้าๆ นั้น
แต่ไม่ใช่..
ผมขำกับความคิดที่สุดท้ายแล้ว
เราจะเลือกคนที่เราชอบ มากกว่าผลประโยชน์ที่เราได้รับอยู่ดี.
.
ก่อนออกไปหาเสียง ประธานพรรคต่างๆ ถูกเรียกให้ไปจับฉลากคิวขึ้นหน้าเสาธง และรักษาการประธานนักเรียนเป็นคนพูดกติกาให้ฟังด้วยเสียงโมโนโทนแข่งกับอาจารย์เวรที่พูดผ่านไมค์
เราสี่ประธานพรรคยิ้มแห้งๆ ให้กัน
ก่อการยืนข้างๆ ผม ดินสอที่ทัดหูวันก่อนเป็นอย่างไร วันนี้ก็เป็นอย่างนั้น เขาหันมามองผมเล็กน้อยแล้วเอียงหน้าเหมือนถามอะไรบางอย่าง ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อการกระตุกแขนผมให้ละจากเขาไปสนใจรักษาการแทน นั้นทำให้ผมตั้งใจฟังกว่าครั้งไหนๆ
“เรามีกันสี่พรรคใช่มั้ย เอ้อ แล้วทีนี้การหาเสียงครั้งสุดท้าย จะพิเศษหน่อยคือ เราจะให้หาเสียงปะทะกัน”
“...”
“หมายถึง จะให้ขึ้นหน้าเสาธงไปพร้อมกันสองพรรค แบ่งซ้ายขวา อาจจะมีการข่มกันได้เล็กน้อย ผมรู้ว่าพวกพี่เตรียมมา แต่อย่าให้มากถึงขั้นสร้างความราวฉานเลยนะ ห้าม”
“...”
“จับเวลาพรรคละไม่เกิน 6 นาที ผมจะยืนบอกเวลาอยู่ข้างๆ ถ้าครบแล้วจะต้องเปลี่ยนฝั่งทันที รักษาเวลาด้วยนะ แล้วพรรคที่ต้องเจอกันก็แบ่งคู่คี่เลย ง่ายๆ ห้องหนึ่งเจอห้องสาม ห้องสองเจอห้องสี่ มาๆ จับฉลากคิวกัน ได้ก่อนชิลก่อนครับ”
ผลฉลากของห้องสองเป็นเลขหนึ่ง ทำให้คู่พวกเขาได้ขึ้นหาเสียงก่อน ผมมองฉลากเลขสี่ ในมือตัวเอง ก่อนจะยื่นไปให้ก่อการที่ทำท่าเหมือนอยากเห็นเลขผมใจจะขาดเพราะเจ้าตัวยังไม่เปิดของตัวเอง เขาทำหน้าเซ็งๆ ใส่แล้วเดินกลับห้องของตัวเองไป
ผมเดินกลับมาที่เดิมเช่นกัน อธิบายกติกาคราวๆ ให้เพื่อนในพรรคฟัง
“ซวยชิบหายได้คู่กับพวกก่อการ ตอนแรกกะว่าจะทำผ่านๆ ไป แต่กูก็ไม่อยากโดนเปรียบเทียบว่ะ”
“เห้ยพวกมึง งั้นกูว่าเราเพิ่มอันนี้ดีปะวะ เราจะได้ไม่ดรอป”
ผมถูกดึงเข้าไปกลางวง พวกเขาเสนอไอเดียใหม่ที่ดูน่าสนุกเพราะไม่อยากทำให้การหาเสียงของพรรคเราดูแป้ก นัดแนะกันอย่างดีและปล่อยให้ผมกลับมาตั้งสมาธิจำบทของตัวเอง
.
.
สองพรรคที่ผ่านไป ใช้เวลารวดเร็วกว่าที่ให้ไว้ พวกเขาลงจากเวที ส่งยิ้มให้เหมือนไม้ผลัด พรรคของผมและก่อการก้าวขึ้นเวทีช้าๆ
ผมเผชิญหน้ากับประธานพรรคก่อการร้าย
แดดในตอนเช้าส่องลงมาราวกับสปอร์ตไลท์ แต่ผมว่าไม่จำเป็นกับอีกฝั่งเท่าใดนัก
เพราะตอนนี้ ทุกสายตา ทุกความสนใจของผมก็หยุดที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นแต่ไหนแต่ไรแล้ว ..
ก่อการแทบจะไม่ก้มดูสคริปต์ของตัวเอง เขาพูดจาฉะฉาน ตรงประเด็น มีการแนะนำเปิดตัวพรรคได้อย่างหน้าประทับใจ รอยยิ้มที่ผมแอบตั้งชื่อเล่นๆ ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าประดับบนหน้าตลอดตั้งแต่ก้าวขึ้นเวที แถมยังมีการยักคิ้วลิ่วตาคล้ายกับกำลังตอบโต้ ส่งศาลท้ามาให้ฝั่งผมอีก
รักษาการประธานนักเรียนยกมือให้สัญญาณหมดเวลา
.
เขากล่าวขอบคุณและเดินส่งไมค์ให้ผมด้วยตัวเอง
ริมฝีปากขยับในขณะที่ส่งมันให้กับผม
รอยยิ้มคนละแบบกับเมื่อสักครู่ ทำเอาผมเบลอไปหมด
“รีบๆ เข้าละ เราร้อน”.
เสียงเพื่อนๆ ข้างหลังผมโวกเวกโวยวายเป็นสัญญาณเปิดตัวของพรรค ผมยกไมค์ขึ้นมาจ่อปาก ก่อนจะพ่นบทคำพูดที่ท่องจำตั้งแต่เมื่อคืน สโลแกนพรรคที่มีแต่คำเสียดสี ท่าทางที่เพื่อนๆ และผมทำออกไปเรียกเสียงฮาจากน้องๆ ด้านล่าง ผมมองไปยังคณะอาจารย์ที่เดินปะปนกับเด็กนักเรียน ก่อนจะกล่าวคำที่คิดไว้ให้พวกเขาขมวดคิ้วเล่นๆ นโยบายประหลาดๆ ออกจากปากของผมและรองประธานพรรค พวกเราหันไปหาพรรคก่อการร้าย พูดประโยคดูถูกความตั้งใจของพวกเขา คำแซวที่ผมคิดว่าหากโดนเองอาจจะทนไม่ไหวเหมือนกัน
ก่อการยกมือกอดอก คิ้วเรียวขมวดแน่น
ผมขอโทษนะคนเก่ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไป
เหมือนเครื่องตอบรับอัตโนมัติ ที่หากไม่หมดโปรแกรมที่ตั้งไว้ ก็จะพูดต่อเนื่องไปจนจบ
สติผมกลับมาหลังจากเสียงปรบมือที่ดังจากทั่วทิศ ผมมองลงไปด้านล่าง เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ คำพูดที่เผลอได้ยินวิ่งเข้าโสตประสาท
‘กูชอบพรรคนี้ว่ะ’ นั่นคือสัญญาณที่ทำให้ผมกลัวจับใจ
กลัวว่าพวกเขาจะชอบ กลัวว่าพวกเขาจะเป็นเสียงข้างมาก
ถึงแม้จะก้าวลงจากเวทีแล้ว ผมเองก็ยังภาวนา
ภาวนาว่าเมื่อครู่คือความคิดของผม ไม่ใช่ความจริง ผมต้องลืมบทพูดแล้วยืนเอ๋อบนเวทีให้เพื่อนในพรรคก่นด่าสิวะ..
แต่แรงที่ตบบนบ่าสองครั้งของรองประธานพรรคจิ้งเหลนทมิฬได้ย้ำเตือนผมว่าคิดอะไรไร้สาระ..
“เมื่อกี้โคตรฮาเลยว่ะเพื่อน”.
.
.
ห้องน้ำอาคารพละไม่ได้ร้างอย่างที่อาจารย์เวรคิดไว้
ถึงแม้จะเป็นที่ลับตาคน แต่กลับไม่โดยยึดโดยเด็กเกเรทั้งหลายที่ตั้งใจแอบมาทำลายปอดกัน เหมือนมันถูกจำกัดสิทธิ์ให้แค่คนสายตาไม่ดีที่เผลอมองเห็นช่องทางลับเชื่อมมายังด้านหลังอ่างล้างมือชำรุด
ผมทิ้งกระเป๋านักเรียนลงจากบ่า ค้นๆ หามวนบุหรี่แล้วจุดเพื่อพ่นทำลายอวัยวะภายในอย่างที่อาจารย์สุขศึกษาบอกไว้ ยันตัวเองขึ้นนั่งบนอ่างเก่า
เข้าแล้วออก
สูบแล้วพ่น
หลับตาแล้วคิดตาม
แว่นที่สวมอยู่เหมือนกับไม่ได้ใช้งานในตอนนี้ ผมดึงมันออก นวดหัวตาเบาๆ และเมื่อลืมตาอีกรอบ โลกมัวๆ ที่ผมชอบก็ปรากฏขึ้น ผมยิ้มกับตัวเอง
มวนแล้วมวนเล่า
.
.
.
“ว่าละว่าต้องอยู่ที่นี่” ผมหันขวับไปหาเจ้าของเสียงที่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา หรี่ตาลงเล็กน้อยเพ่งมองว่าเป็นใคร ผมถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเป็นเขา..
ก่อการเดินเข้ามาหาผม อยู่ในระยะที่มองเห็นบ้าง ไม่มัวมาก เลยทำให้สังเกตเห็นก้านอมยิ้มอยู่ในปากเจ้าตัว เขาแทรกเข้ามาที่ระหว่างขา เท้าแขนลงข้างตัวผม
“เมื่อเช้าว่าเราสร้างภาพอ่อ?” เจ้าตัวเลิกคิ้วถาม ผมยกบุหรี่มวนเดิมขึ้นสูบ แล้วพ่นใส่หน้าเขาช้าๆ ...
รู้ตัวนะว่าเสียมารยาท
แต่อยากแกล้ง
เขาหลับตา ยกมือบีบจมูก
“มึงมันแฟนเหี้ย” “ฮะๆ .. ขอโทษๆ ที่พูดไปก็สคริปต์ทั้งนั้นแหละ”
“เออ เจ็บปวดดี แต่ความจริงอะนะ”
ผมดึงเอาอมยิ้มที่คาอยู่ในปากเขามาอมแทน เจ้าตัวถลึงตามองแล้วยึดบุหรี่ในมือผมบ้าง
มือเรียวยกจรดกับปากที่ผมชอบ
“เครียดเหรอถึงมาหา หืม?”
“เปล่า..” ก่อการยักไหล่ “แค่ขี้เกียจเรียน”
“ประธานนักเรียนโดดมาสูบแบบนี้ ระวังความนิยมตกนะ”
“ตอนแรกก็ค่อนข้างมั่นใจแหละ”
“...”
“แต่มั่นทำออกมาดีชิบหาย เริ่มกลัวๆ ละ”
ผมขมวดคิ้ว
“เราไม่ได้อยากได้...”
“อื้อ.. รู้ แค่คิดดูว่าเราเองก็อยากพูดล้อเล่นแบบนั้นบ้าง แต่กลับต้องรักษาภาพพจน์นักเรียนดีเด่นอะไรไม่รู้ รำคาญชะมัด” เขาดึงอมยิ้มคืน แล้วยื่นบุหรี่มาให้ผม “พวกอาจารย์ไม่ได้ชอบหรอก ที่มั่นพูดน่ะนะ แต่น้องส่วนมากชอบ เออ.. เราก็ชอบ ถ้าคะแนนเทไปหาพรรคมั่นหมด ก็ไม่แปลกใจเลย..”
ก้านอมยิ้มที่หมดแล้วถูกโยนไปข้างหลัง คนตรงหน้าหยิบลูกอมอีกเม็ดขึ้นมาแกะก่อนส่งเขาปากตัวเองไป
“แต่เราว่าเรามี
ดีกว่าคำพูดตลกๆ ของพวกจิ้งเหลนทมิฬเยอะ.. และคิดว่าตัวเรา
เด็ดพอที่จะซื้อเสียงของน้องที่เหลือได้ละกัน”
แฟนผมขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมแล้วพาดแขนโอบหลังคอผมไว้ ใบหน้าที่เห็นจนชินเหมือนจะชัดขึ้นจากระยะห่างที่ลดลง
ผมทิ้งมวนบุหรี่ที่เหลือลงบนพื้นเพื่อรวบเอวของเขาให้ใกล้อีกนิด ...อยากเห็นหน้าชัดๆ น่ะ
“แล้วถ้าพรรคของเราชนะก่อละ?..”
ลักยิ้มข้างขวาของเขาเผยขึ้น ทำให้ผมอดใจไม่ไหว
“ก็..”
“...”
.
.
“จะอยู่ข้างๆ” จูบรสหวานจากลูกอมในปากของคนที่ผมรัก อบอวลไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกลบความกังวลที่ผมสร้างขึ้นด้วยความหลงตัวเองของเขา ไม่สิ.. ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่หลง ผมเองก็หลงด้วย
ไม่เป็นไร ..
จะอีกกี่ครั้ง ที่ถูกยัดเยียดอะไรที่ไม่ชอบ ไม่ได้ต้องการ
ผมจะยิ้ม ยอมรับ
ถ้ามีเสียงข้างน้อยคนนี้อยู่ข้างๆ ไม่เป็นไร...
.
.
.
.
‘แต่ไม่มีทางชนะหรอก เราซื้อเสียงอาจารย์และเพื่อนมอหกไว้แล้วด้วยรอยยิ้ม’
‘....’
‘อย่างน้อยๆ... ก็มีจิ้งเหลนทมิฬคนนึงแหละที่กาเบอร์เรา’
เขาติดกระดุมเม็ดบนที่ผมปลดหลังจากฝากความหมั่นเขี้ยวบนร่างกายอีกฝ่าย
‘....’
‘อย่าให้รู้ว่ากาเบอร์อื่นนะ’ ผมที่กลัวคำขู่ของประธานพรรคก่อการร้ายแน่นอนว่าต้องกาเบอร์ของเขาเมื่อกลางวันที่ผ่านมา
เย็นของวันศุกร์ไม่ได้เงียบเหงาอย่างที่คิด อาคารพละที่ผมเดินผ่านตะกี้ก็มีนักกีฬาประเภทต่างๆ ซ้อมอยู่ แต่ก็ยังไม่มีใครที่รู้ฐานลับหลังห้องน้ำเก่าของผม
เสียงแมสเซนเจอร์ดังขึ้นต่อเนื่อง เป็นของกลุ่มห้องผมเอง พวกเขาแค่ทักตามหาประธานพรรคที่หายตัวไประหว่างการนับคะแนนเสียง
ผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา ปลดล็อกหน้าจอเพื่อตอบคำถามพวกนั้น
‘อยู่ห้องน้ำ ท้องเสียว่ะพวก’
‘ไอ้ชิบหายประธานกู มึงรีบมาๆ พรรคอื่นแม่งจับประธานนั่งบนโต๊ะละ’
‘เดี๋ยวกูกำลังไปเป็นทัพหลัง กลุ่มกูไปหอบกลองคณะสีมา’
‘ลงทุนสาดดด’
‘คะแนนเป็นไงบ้าง’
‘นำโด่งไปเลยพวกก’
เสียใจที่ได้ยินอย่างนั้นชะมัด
ผมกดปิดเสียง และนั่งสูบเงียบๆ ขัดกับเสียงตึกตักของนักกีฬารอบๆ
เอาจริงแล้วผมก็ไม่ได้เครียดอะไร เพียงแค่ไม่อยากรับภาระอันหนักอึ้งอีก ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่ทำให้อาจารย์ประจำชั้นเลือกใช้งานบ่อยๆ ผมตัวสูงกว่าใคร และยังชอบเล่นกีฬากับพ่อ ทำให้ผมดูตัวใหญ่ แรกๆ ก็เริ่มจากการยกการบ้านไปส่ง และหลังจากนั้นก็เป็นการวานไปทำธุระ บ่อยครั้ง บ่อยขึ้น ทุกคนจึงโมเมเอาว่าผมคือหัวหน้าห้อง
ตอนแรก ผมยินดีที่จะได้ทำหน้าที่นั้น
แต่ไม่ใช่การเป็นตัวแทนทุกครั้งที่ใครต้องการ ผมเริ่มชินและทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย
ผมตั้งใจยุติความต่อเนื่องนี้ทุกครั้งที่ขึ้นปีการศึกษาใหม่ แต่ผมทำไม่ได้เลย
ผมแพ้ให้กับ ‘เสียง’ ของคนอื่นทุกครั้ง
ทุกคนต่างผลักภาระให้ใครสักคนหนึ่ง และเขาก็คือผม
ชินซะแล้วละ ถ้าหากครั้งนี้วกกลับเข้าอีหรอบเดิมอีก ก้อนภาระอาจจะใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้เพื่อนๆ ผมเขาต้องเป็นคณะกรรมการด้วย คงแบ่งเบาไปได้
...
“คิดซะว่าเพิ่มผลงานใส่พอร์ทละกัน มุ่งมั่น”
ผมหยิบลูกอมที่ติดไว้ในกระเป๋าใส่ปาก ตั้งใจจะไปอยู่นับคะแนนเสียง เผื่อจะตื่นเต้นแล้วมีกำลังใจทำหน้าตายินดีหากได้รับตำแหน่งจริงๆ
.
.
ผมเดินเตร็ดเตร่มาเรื่อยๆ จนมาถึงอาคารอำนวยการ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าหายไปอยู่คนเดียวซะนาน พอกลับมาที่หน่วยเลือกตั้งก็มืดค่ำแล้ว เสียงเฮตอนนับคะแนนหายไป ตอนนี้มีเพียงน้องๆ มอสี่ที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และเพื่อนๆ ที่เหลือกระจายอยู่ เริ่มเก็บของและยกคูหากลับไปเก็บ
การนับคะแนนจบแล้ว?
“เฮ้ยไอ้มั่น!!” หมับ!! รองประธานพรรคจิ้งเหลนทมิฬวิ่งมากอดทันทีที่เห็นผม พอกวาดสายตามอง ก็ปรากฏว่าเหลือเพื่อนในห้องเพียงแค่มันคนเดียว
“กูดีใจชิบหายเลยว่ะ”
“...”
“มึงหายไปไหนวะ ไอ้รักษาการมันถามหาอยู่ กูนึกว่าจะได้เป็นตัวแทนแทนมึงซะอีก.. เอ้อ กูไปละนะ ไปประชุมปิดการเลือกตั้งด้วยมึงอ่ะ บายๆ”
ผมโบกมือลาก็คงไม่ทัน มันตบบ่าปุๆ แล้ววิ่งออกไป
นึกสงสารตัวเอง
เขาจะรอผมทำไมกันนะ? ถ้าไม่ใช่เพราะ...
ผมนึกสีหน้าว่าจะปั้นยิ้มยังไงดีไม่ให้มันออกมาดูแย่ พร้อมเดินไปหากลุ่มของประธานพรรคที่เหลือทื่ยืนอยู่กับรักษาการ
.
“จิ้งเหลนทมิฬมาละ โอเคครบนะ ... ผลออกมาเป็นเอกฉันท์แล้ว แต่ที่เรียกมาประชุมปิดเพราะอยากขอความร่วมมือ... แหม่พี่พลอย ไม่ต้องดีใจออกหน้าขนาดนั้นก็ได้ม้าง”
รักษาการที่อายุน้อยกว่าพวกผมแซวสาวเจ้าประธานพรรคห้องสอง เธอโบกมือไปมาแล้วกลั้วเสียงหัวเราะ
“ม่าย พี่แค่ดีใจที่โรงเรียนเราจะพัฒนาต่อไปด้วยมือของคนที่ดีกว่าพี่เฉยเช๊ยย ถ้าซื้อหวยพี่ถูกไปแล้วเนี่ย”
“ฮ่าๆ แต่ถึงยังไงการบริหารโรงเรียนก็ต้องพึ่งหลายตำแหน่งเนอะ อาจารย์เลยฝากให้มาบอกว่าจะให้พวกพี่เป็นแกนนำของห้องที่เหลือช่วยประธานนักเรียนในการจัดกีฬาข้างเคียงด้วย เพราะปีนี้เราเป็นเจ้าภาพ...”
“...”
ผมไม่ได้สนใจฟังต่อจากนั้น มองข้ามหัวรักษาการไปจบที่กระดานบอร์ดนับคะแนนเสียงที่เขียนชื่อพรรคเรียงตามเบอร์ห้อง แน่นอนว่าพรรคก่อการร้ายทำคะแนนได้ดีมากๆ ทิ้งห่างอีกสองพรรคที่เหลือไปแบบไม่เห็นฝุ่น ส่วนพรรคของผมก็เช่นกัน...
เดี๋ยวนะ...
ผมว่ามัน...
ผมอาจจะดูผิดไป
เบอร์ 1 [ lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll l = 1020 ]
.
.
เบอร์ 4 [lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll lllll ll = 940]
ปีการศึกษา 2560 : พรรคก่อการร้าย ประธาน คือ นายก่อการ งามดรัล “พรรคก่อการ... ชนะเหรอ..” วงสนทนาชะงักไปเพราะคำถามของผม
“เอ้ะ.. ใช่ครับ อ๋อ พี่ไม่ได้อยู่ตอนประกาศสินะครับ แต่ถึงยังไงพรรคอื่นๆ ก็ต้องช่วยกันด้วย แล้วก็พี่ก่อครับ เดี๋ยวเลิกตรงนี้แล้วรับเอาแผนงานของปีที่แล้วกับปีนี่ที่ผมด้วยนะ...”
มึงมันบ้า ไอ้มั่น
หุบยิ้มสิวะ !
ผมพยายามแล้วนะ ที่จะไม่แสดงออกมาให้คนอื่นรู้ว่าผมโล่งใจแค่ไหน แต่ก็ไม่วายโดยประธานพรรคห้องสองพูดแซวว่าผมก็ไม่ได้ต่างจากเธอเลย เมื่อสบตากับประธานนักเรียนหมาดๆ ก็พบกับสายตาคาดโทษไว้ ผมได้แต่ยกมือยอมแพ้
นึกขำตัวเองที่คิดเป็นตุเป็นตะไปก่อนหน้า
นี่แหละหนา กินปูนร้องท้อง
ตำแหน่งนี้ เหมาะที่สุดแล้วกับ ‘เขา’
กับ ‘แฟนของผม’
.
.
“ยิ้มอะไรหนักหนา” คนข้างตัวสะบัดเสียงใส่ ผมรับเอาแฟ้มแผนงานเล่มหนามาถือเอง รวมทั้งกระเป๋าสะพายของเขาด้วย ก่อการตบกระเป๋าซ้ายขวา แล้วหยิบอมยิ้มรสสตรอเบอร์รี่สุดโปรดขึ้นมาส่งเข้าปากตัวเอง
...จะติดอะไรขนาดนั้นนะ
ผมส่ายหน้าขำๆ เราเดินข้างกันไปเรื่อยจนถึงโรงรถจักรยานยนต์ของโรงเรียน
“เปล่าหรอก... แค่คิดว่าดีแล้วที่ก่อเป็นประธานนักเรียน”
“ถ้าเป็นคนอื่นแล้วทำไม ถ้าเป็นเราแล้วทำไม”
“ถ้าเป็นคนอื่นก็ดีใจด้วยกับเขา แต่ถ้าเป็นแฟนของเรา...”
“...”
“...”
“...”
“...จะอยู่ข้างๆ” ก่อการกรอกตาแล้วถอนหายใจกับคำพูดของผม เว้นแต่หูแดงๆ ของเจ้าตัวจะเด่นชัดเกินจะทำให้ผมใจเสีย เขารับเอาแฟ้มมาถือเองแล้วเปลี่ยนเป็นสะพายกระเป๋าของเราสองคนแทน ผมก้าวขึ้นคร่อมมอไซด์เตรียมขับออกจากโรงเรียน
แต่ต้องชะงักเมื่อมือเรียวของคนด้านหลังป้อนอะไรบางอย่างให้
รสหวานของอมยิ้มประจำตัวของเขาคือสิ่งที่ผมสัมผัส
ไม่แปลกใจเลย ที่ทำไมเขาถึงติดมันขนาดนั้น
เพราะผมเอง.. ที่ชิมทุกวัน ยังรู้สึกชอบ ชอบโคตรๆ
แต่ผมว่า มันมีอะไรที่หวานกว่านี้นะ....
“มั่นไม่ต้องอยู่ข้างๆ เราหรอก เราไม่ต้องการ”
“...”
“..เพราะ.”
“...”
“เราอยากให้อยู่ข้างล่างมากกว่า...”.
หึ..
ครับๆ
“ตามนั้นครับ ท่านประธาน”
อ่อ ผมรู้แล้วละครับ...
ว่าไม่มีอะไรหวานไปมากกว่า...
...จูบของเสียงข้างน้อย คนนี้ของผม