close friend เพื่อนที่รัก
เพียงแค่ผมเจอร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคุ้นเคย ขาของผมก็เดินตรงไปที่เข้า แล้วแย้มยิ้มให้พร้อมสวมกอดอย่างแสนคิดถึงเพราะยังไงเขาก็คงคิดถึงผมเหมือนกัน
สองปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน
“มิล คิดถึงจังนะ”
“ขอโทษนะครับ คุณเป็นใคร”
ทำไมล่ะ แววตาคู่นั้น...ทำไมถึงฉายแววฉงน
จำกันไม่ได้เหรอ มิล...
“ไนท์ ส่งงานให้หน่อยสิ แม่มารับแล้วอ่ะ ขอโทษนะ”
เพื่อนคนเดียวที่เหลือในห้องวิ่งออกไปทิ้งผมกับเวลาช่วงเย็น ผมหยิบใบงานของเพื่อนเดินลงไปที่ห้องพักครูอย่างไม่รีบที่ผมไม่รีบเพราะบ้านผมอยู่ไม่ไกลนักและที่บ้านก็ไม่น่ากลับสักเท่าไหร่
บ้านที่ไร้สิ่งที่ใกล้เคียงคำว่าบ้าน มันไม่น่ากลับเลย
ผมเดินลงบันไดเรื่อยๆ ก่อนจะสะดุ้งชักขามาข้างหลังเมื่อรู้สึกว่าเหยียบอะไรนุ่มๆ หยุ่นๆ เข้า
“เฮ้ย ใครเนี่ย”
ร่างสูงนอนเหยียดตัวยาวบนพื้น ดูราวกับไร้สติ ใบหน้าขาวซีด ดวงตาปิด ผมมองไปที่งานที่ตกกระจัดกระจายของเขาก็ก้มลงไปเขย่าตัวเจ้าของร่างสูง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
ไร้การตอบสนอง ผมพยุงตัวเขาขึ้นแล้วจับแขนมาพาดไหล่พาเขาไปที่ห้องพยาบาล
“อาจารย์ครับ เพื่อนเป็นลมครับ”
ผมเรียกอาจารย์ห้องพยาบาลที่ยืนหันหลังจัดยาอยู่ เธอรีบเดินเข้ามาดูอาการของคนตรงหน้าก่อนจะให้ผมพาตัวเขาไปที่เตียง
“ดูแล้วน่าจะแค่อ่อนเพลีย นอนพักสักพักน่าจะหาย เขาตื่นมาก็ให้ยานี่ทาน”
“งั้นผมฝากอาจารย์ด้วยนะครับ”
“ขอโทษทีนะจ๊ะ พอดีครูต้องไปประชุมน่ะ เธอช่วยเฝ้าเขาหน่อยนะ”
“เอ่อ ครับ”
ผมมองตามร่างอวบของอาจารย์ที่เดินออกไปประชุม ก็ลากสายตามามองคนนอนหลับอยู่
นี่ ต้องเฝ้างั้นเหรอ เมื่อไหร่จะตื่น
ผมลอบมองใบหน้าเขา ขนตายาวจังเลย ปากบางสีอ่อนน่าจะเป็นเพราะไม่สบาย โครงหน้าสวยรับกับจมูกโด่ง ผมมองเขาพลางคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงคงจะสวยเด็ดไปเลย แต่เป็นผู้ชายคงต้องใช่คำว่าหล่อละมั้ง
“นี่ นายเป็นใครน่ะ”
เสียงดังจากคนบนเตียงเรียกผมที่กำลังใช้ความคิดอยู่มาสนใจเขาแทน เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง
“ฟื้นแล้วก็ทานยานี่ซะแล้วกลับไปนอนบ้าน ฉันไปล่ะ”
ผมบอกเขาแล้วหยิบงานของเพื่อนที่ยังไม่ได้ไปส่งเดินออกจากห้องแล้วเข้าไปส่งกับอาจารย์ให้ ผมเดินออกจาประตูโรงเรียนก็
เจอกับเจ้าของร่างสูงยืนพิงกำแพงยิ้มให้ผมอยู่
“เมื่อกี้ ยังไม่ได้ขอบคุณเลย”
“ฉันรับคำขอบคุณ”
“อ้าว ไม่ใช่แค่นี้สิ”
ผมปรายตามองเขาอย่างเบื่อๆ แล้วก็เดินลากเท้าผ่านหน้าเขาไป
“ไปหาอะไรกินกัน”
คำชวนออกจากปากเขา ยังไม่ทันที่ผมจะ บอกเขาว่าไปหรือเปล่าเขาก็ลากมือผมไปที่มอเตอร์ไซด์สีชมพูน่ารัก แล้วยื่นหมวกกันน็อกสีไม่ต่างกันมาให้
“ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน”
“เดี๋ยวหาอะไรกินเสร็จก็ไปส่งไง”
จะไปส่งน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมไม่คิดถึงสภาพผู้ชายไซส์ตัวไม่ต่างกันสองคนซ้อมมอเตอร์ไซด์คันสีหวานพร้อมหมวกสีคู่กัน แค่คิดยังรับไม่คอยจะได้เลย
“เคยกินก๋วยเตี๋ยวข้างโรงเรียนสตรียัง โห อร่อยมากอ่ะ”
พอเขาเห็นผมลังเลก็ขยับปากพูดอีกครั้ง แล้วตบเบาะให้ผมขึ้นไปนั่ง
ช่างมันอย่างน้อยก็ได้กลับบ้านช้า
ก๋วยเตี๋ยวข้างโรงเรียนสตรีอร่อยสมคนอวดจริงๆ คนแน่นร้านจนต้องซื้อมาแล้วทานข้างทาง ผมมองคนช่างพูดที่พูดไม่หยุดตั้งแต่มา
“อือหือ อร่อยเวอร์มาก กี่ครั้งก็เหมือนเดิม ว่าแต่ นายชื่ออะไร คุยตั้งนานยังไม่รู้ชื่อเลย”
“ไนท์”
“มิล เพิ่งย้ายมาเมื่อตอนต้นเทอมเองห้องหนึ่ง”
ผมหันไปมองคนร่างสูงอย่างอึ้งๆ ห้องหนึ่งของโรงเรียนผมคือห้องคิง มีแต่คนเก่งจริงๆ ที่เข้าได้ นี่ยิ่งมากลางเทอมยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดผมติวแทบตายยังได้แค่ห้องควีน แต่นี่มากลางเทอมได้ห้องคิงเลย โลกนี่ช่างยุติธรรม
“ฮ้า อิ่มที่สุด”ผมมองซากอารยธรรมที่เขาก่อไว้พลางคิดว่าคงต้องเปลี่ยนคำพูดเป็นท้องจะแตกกว่ามั้ย ก๋วยเตี๋ยวสองชาม เกาเหลาหนึ่งข้าวเปล่าสอง บอกเลยนะว่าผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยเขากินคนเดียว พอจ่ายเงินเสร็จ เขาก็หันมาส่งหมวกสีหวานให้ผมอีกครั้ง
“บ้านนายอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันจะไปส่งตามสัญญา”
“ใครสัญญา”
“ฉันไง เป็นคนสัญญา”
สุดท้ายวันนั้นผมก็ตองยอมให้มิลไปส่งผมอยู่ดี ตอนนี้เราทั้งคู่เริ่มสนิทกันมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ เขาฉลาดมาก มันมากพอกับที่เขาไม่มีเพื่อนประมาณว่าความฉลาดมันแปรผกผันกันจำนวนเพื่อนยังไงยังงั้นแหละ ตอนนี้เขาเลยยังติดผมที่เป็นเพื่อนจริงๆ ภายในโรงเรียนอยู่
“นี่ ทำไมไม่หาเพื่อนในห้อง”
ผมถามเขาอย่างสงสัย เท่าที่ผมสังเกต เขาไม่มีแต่เพื่อนที่จะเดินด้วยกันเลย ถึงจะเคยได้ยินว่าห้องคิงเป็นห้องที่สัมพันธภาพแย่มากก็เถอะ แต่คนอื่นๆ ในห้องนั้นก็ยังเดินด้วยกันได้
“ฉันไม่ชอบคนแบบห้องนั้นสักเท่าไหร่ มันดูไม่จริงใจ สู้นายไม่ได้เลย ปากร้าย ใจร้ายแต่ชอบ”
“เหรอ แปลกคน”
“ว่าแต่คนอื่น นายเองก็ดูไม่ค่อยมีเพื่อนเลย”
“มี แต่ไม่สนิทเท่านั้นเอง”
“เรามันก็เหมือนกันแหละ”
หลังจากนั้นทั้งผมและเขาก็สนิทกันมากขึ้น จนกระทั่ง...
“พี่มิลค่ะ หนูชอบพี่”
เด็กสาววันแรกรุ่นในชุดม.ต้นโรงเรียนผม เดินมาสารภาพรักกับมิลต่อหน้าคนนับสิบ ใบหน้าหวานระเรื่อไปด้วยสีอมชมพูราวกับคนที่เขินเต็มที่
“ขอบคุณครับ”
รอยยิ้มที่เคยเจิดจ้าไปด้วยความมั่นใจกลับเหลือจางๆ ด้วยความเศร้ากับคำตอบแสนเรียบงานแต่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงของคนที่เธอชอบ
“หนูไม่ขอให้พี่ชอบหนูตอนนี้ แต่หนูขอให้พี่ไม่ห้ามให้หนูชอบพี่ได้มั้ย”
มิลหันมาหาผมที่ยืนข้างกัน เขาสบตากับผมที่ยิ้มให้เขาตอบรับ
“ครับ”
“พี่มิล วันนี้ทานข้าวหรือยังค่ะ เอ่อ พี่ไนท์ๆ”
“หืม ว่าไงเรา”
เมื่อไม่ได้คำตอบ น้องเหมียวเด็กสาวตัวน้อยที่กล้ามาสารภาพรักกับเพื่อนผมครั้งก่อนหันมาถามผมที่เริ่มสนิทกันมากขึ้นเพราะมิลดูไม่ค่อยอยากคุยกับน้องเขา ผมจึงเป็นตัวแทนคล้ายๆ พ่อสื่อ
“มิลยัง...”
“พี่ทานแล้ว”มิลหันมาพูดแทรกผมที่อ้าปากตอบน้องเขา แต่ช่างเถอะ คุยกันบ้างก็ดีแล้ว
“เย็นนี้พี่มิลเลิกเรียนกี่โมงค่ะ”
“พี่ขอตัวนะเหมียว ไนท์ ขึ้นห้องกันเถอะ”
แล้วผมกับมิลก็เดินขึ้นอาคารม.ปลาย ทิ้งเหมียวไว้ข้างล่างเพียงลำพัง
“เห้ย มิล สงสารน้องเขา”
“สงสารไม่ใช่ความรักไนท์ อย่าให้โอกาสน้องเขาเข้าใจผิด ฉันชอบอยู่กับนายมากกว่า”
เป็นแบบนี้เรื่อยเลย พี่มิลของน้องเหมียวที่มักจะปฏิเสธคนรอบตัวกลับชอบเรียกผมไปอยู่กัน แบบนี้มันจะมีเพื่อนมั้ย ผมมองตามร่างสูงที่ตอนนี้เริ่มสูงกว่าผมแล้วจากแรกๆ ที่สูงพอกันอยู่ ป่านนี้คงสูงขึ้นไปสักร้อยแปดสิบกว่าแล้วล่ะ ส่วนผมขึ้นมาจากเดิมสองเซนครึ่ง น่าดีใจชะมัด
แรงสั่นจากโทรศัพท์ผมที่จะเดินตามมิลขึ้นไปหยุดมารับสาย เบอร์แปลกที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมลังเลที่จะรับแต่แรงสั่นไม่หยุดก็ตัดสิ้นใจว่ารับซะดีกว่า แต่พอรับแล้วผมกลับอ่อนแรงและคิดว่าผมไม่ควรรับมันเลย
(ฮัลโหล ไนท์เหรอ เจ๊กลับมาแล้วนะ คิดถึงไนท์จัง)
กลับมาเหรอ กลับมาทำไม...
‘พี่ขอโทษ ไนท์’
‘ขอโทษ ขอโทษเหรอ การที่พี่ชายผมทำแฟน ไม่สิ อดีตแฟนผมท้อง พี่พูดแค่ขอโทษ พี่เป็นพี่ที่ผมคิดว่ารักผมที่สุดกลับหักหลังผมไปมีอะไรกับอดีตแฟนจนท้อง เหอะ ขอโทษ ผมขอโทษว่ะ ผมรับไม่ได้”
‘เจ๊ขอโทษนะไนท์ เจ๊ไม่ได้ตั้งใจ เจ๊ผิดเอง’
‘ไม่ได้ตั้งใจอะไรเจ๊ ไม่ได้ตั้งใจท้องเหรอ! ใช่ เจ๊ผิด มันผิดตั้งแต่เจ๊คิดที่จะมีอะไรกับพี่ผม ผิดที่ท้อง ผิดที่ทำให้เรื่องมันแดงขึ้นมา หรือว่าถ้าเจ๊จะบอกว่าเจ๊ไม่ผิดก็ได้นะ ผมผิดเอง ผิดที่เอาใจไม่เก่งเหมือนพี่ ผิดที่ยังเด็ก ผิดที่เกิดช้า ผิดที่สู้พี่ไม่ได้ ผมผิดเองแหละ!’
‘ไอ้ไนท์ ชักจะมากเกินไปแล้วนะ’
‘เหอะ อะไรมากล่ะ พูความจริงมากไปนะเหรอ’
‘ฉันไม่เคยสอนให้แกมีนิสัยแบบนี้!’
‘โทษทีพี่ ผมจำไม่ได้ว่าเคยมีคนสอน เพราะไอ้คนสอนมันตายจากสมองผมหมดแล้ว ผมจำไม่ได้หรอก’
‘ไอ้ไนท์!’
‘หึ แค่ผู้หญิงคนเดียวบ้านหลังนี้ก็ลุกเป็นไฟเลยเว้ย ว้าว เจ๊หมี่ เจ๊เก่งจริงๆ ทำให้พี่ที่ไม่เคยขึ้นเสียง กลับขึ้นทั้งสียง ทั้งขึ้นไอ้ เก่งจริงๆ เหอะ ช่างมันเถอะ ผมจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น’
‘พี่ พี่ขอโทษนะไนท์’
‘พี่ขอโทษเรื่องอะไร พี่ไกท์ พี่ทำอะไรผิดเหรอ พี่ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พี่มีหลานให้ผมนะ ยิ้มสิ มีความสุขสิ โชคดีนะ บ้านที่แสนจะน่ารักของผม’
เสียงร้องไห้ปะปนเสียงขอโทษไม่เคยทำให้ผมที่เดินออกมาจากบ้านในวันนั้นกลับไปรู้สึกแบบเก่าได้เลย ถึงผมจะพูดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นแต่ผู้หญิงที่ผมรักมาก มากซะจนคิดว่าต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้กับท้องกับพี่ชายที่ผมรักที่สุด พี่ที่คอยอยู่เคยข้างผมที่สุด คืนวันนั้น ผมร้องไห้อย่างกับคนบ้าเด็กอายุสิบสี่หัดดื่มเหล้าเป็นครั้งแรกต่อจากวันนั้นผมไม่เคยคุยกับทั้งสองคนอีกแต่ไม่นานทั้งเจ๊หมี่และพี่ไกท์ที่ต้องย้ายไปอยู่กับพ่อแม่ทางเหนือ บ้านที่เคยมีความสุขของผมที่เคยมีพี่ดีที่สุด บ้านที่เคยมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นที่ที่ผมรังเกียจที่สุด แต่ตอนนี้สาเหตุที่ทำให้บ้านเปลี่ยนไปกำลังจะกลับมา ผมจะทำยังไงดี...
“ไนท์ เป็นอะไรไหวไหม หน้าซีดมาก ไปห้องพยาบาลกัน”
“ไม่เป็นอะไร มิล วันนี้ ฉันไปนอนบ้านนายได้มั้ย”
“เอาดิ ตามสบาย แล้วจะไม่ได้ห้องพยาบาลแน่นะ”
“อือ”ผมพยักหน้าให้มิลส่งๆ
“มีอะไรโทรมานะ ถึงเวลาเรียนแล้ว”
เย็นวันนั้นสายโทรศัพท์ผมแทบไหม้ ร้อยกว่าสายทั้งพ่อแม่พี่ไกท์ และเจ๊หมี่ มิลมองๆ ผมอยู่เหมือนกันแต่ไม่ได้ถามอะไรได้แต่พยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจ คืนนั้นที่ผมนอนแล้วฝันถึงวันนั้นผมกระสับกระส่ายแต่ก็มีอ้อมกอดอุ่นของใครบางคนที่ไม่รู้ว่าใครประคองกอดไว้แน่นจนราวกับว่ามันได้ทุเลาสิ่งที่ผมกลัวจนหมด
tbc.
เรื่องสั้นเรื่องนี้เขียนจบแล้ววว เห็นกองอยู่สต๊อก ปัดๆฝุ่น
เอามาลง ชอบไม่ชอบยังไงก็คอมเมนต์ด้วยน้า
อีกตอนเดียวก็จบแล้ววว ลงวันที่11นะ มาอ่านกันด้วยนะค่ะ