.
.
ผมมาอยู่ที่คลับดังแถวมหาวิทยาลัยในยามค่ำคืน
แสงไฟละลานตาสาดวิ่งวนไปทั่วทั้งไนท์คลับ ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจต้านทานความมืดมิดภายนอกไปได้ แม้จะเป็นเวลาดึกดื่นมืดค่ำ แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว ผู้คนนับไม่ถ้วนกลับมารวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งนี้ ราวกับยามราตรีไม่เคยได้หลับใหล และคนด้านในก็ไม่รับรู้ว่าภายนอกจะเป็นอย่างไร
ผมเองก็เหมือนกัน ไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ถึงได้เข้ามาในนี้ เพื่อหนีจากโลกด้านนอกชั่วครู่
เสียงอึกทึกของดนตรีจังหวะหนักทำให้ประสาทแถวขมับเต้นตุบ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ที่กลืนลงคอ ก็เร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้เร็วและแรงขึ้น จำไม่ได้ว่านี่คือแก้วที่เท่าไหร่ เพราะผมนั่งนิ่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์มานานพอดู
..แต่นับไปก็เท่านั้น..
คิดได้ดังนั้นก็ยกแก้วความขมแตะยังริมฝีปาก กระดกดื่มน้ำเมาสีอำพันลงคอจนกระทั่งหยดสุดท้าย ก่อนจะยกมือเรียกบาร์เทนเดอร์มาเพื่อสั่งเพิ่ม
สายตามองประกายสะท้อนของของเหลวอาบน้ำแข็งล้อเล่นกับแสงไฟในไนท์คลับ บาร์เทนเดอร์หนุ่มรินเหล้าจากขวดลงสู่แก้วใส จมูกไม่รับรู้ถึงกลิ่นฉุนกึกของแอลกอฮอล์อีกต่อไปแล้ว คงเพราะทั้งร่างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นแบบเดียวกัน
นี่คงเป็นความเคยชิน ที่ทำให้เราไม่รู้สึกรู้สาทั้งความสุข หรือความทุกข์
ยิ่งนานวันเข้า ก็กลายร่างเป็น ความด้านชา
ชินชาเสียจนบางครั้งก็ไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
เวลาเที่ยงคืนตรง ผมยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่นัดกันไว้
หากเป็นเวลาปกติ อิฏฐ์ไม่ใช่คนที่จะผิดนัดกันง่ายๆ ทั้งที่อีกฝ่ายรับปากว่าจะมาตั้งแต่สี่ทุ่ม แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่ว่าจะติดต่อมา คงจะผิดนัดเสียล่ะมั้ง
หรือจะกลับเลยดี?
ตั้งใจว่าจะส่งข้อความบอกอิฏฐ์ว่าจะไม่อยู่รอต่อ แต่สายเรียกเข้าจากหนุ่มรุ่นน้องก็ดังขึ้นเสียก่อน ผมจึงกดรับสายที่เรียกเข้ามา
“ว่าไง”
[วา ขอโทษทีนะ]
คำขอโทษกลายเป็นคำทักทายแรก ผมไม่ได้รู้สึกโมโหหรืออยากต่อว่า เพราะถ้าไม่เกิดเหตุสุดวิสัย เขาคงไม่ผิดนัดกันง่ายๆ แบบนี้
“อืม เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
เอ่ยถามไปที่ปลายสาย มือพลางป้องไว้กับโทรศัพท์เพื่อให้เสียงดังฟังชัดขึ้น ความอึกทึกจากภายในไนท์คลับทำให้เสียงการติดต่อสื่อสารขาดๆ หายๆ หรือบางครั้งก็ไม่ได้ยินไปเสียดื้อๆ
[เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ผมพึ่งจะเคลียร์กับประกันเสร็จเมื่อครู่]
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ โชคดีที่อีกฝ่ายปลอดภัย และสามารถโทรศัพท์กลับมาบอกข่าว
“อ้อ แล้วนายไม่เป็นไรนะ?”
[ไม่เป็นไร แต่ต้องเอารถเข้าอู่ วาเถอะ จู่ๆ ก็ชวนดื่ม เป็นอะไรหรือเปล่า?]
ผมนิ่งไปครู่ ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรือ่ง
“ไม่มีอะไร แค่คิดว่าไม่ได้เจอกันสักพักนึงเท่านั้นเอง แล้วนีขับรถเร็วรึเปล่า? ระวังหน่อยก็ดีนะ”
ผมรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มเลือดร้อน บางทีก็อาจคึกคะนองไปโดยไม่ทันระวัง จึงเอ่ยทักให้ระวังตัวไว้หน่อย แล้วก็รู้สึกผิด ที่ชวนอีกฝ่ายมาทั้งๆ ที่ฝนตกหนักด้านนอก
[ผมขับระวังแล้วนะ แต่รถคันหน้าน่ะ ผิดเต็มๆ เลย]
แล้วหนุ่มรุ่นน้องก็สาธยายเหตุการณ์มายืดยาว ฟังได้ความบ้างไม่ได้ความบ้างเพราะเสียงเพลงดังสนั่นภายในไนท์คลับ ขณะที่ฟังก็นึกขันอยู่ในใจ รอจนอีกฝ่ายพูดจนพอใจ จึงค่อยเอ่ยต่อ
“ฉันเข้าใจ งั้นกลับบ้านดีๆ นะอิฏฐ์ รถเสียแล้วก็อย่าไปเถลไถลที่ไหนล่ะ”
[วาด้วย จะว่าไป ผมนั่งแท็กซี่ไปรับวาที่คลับดีไหม อย่าบอกนะว่าเมาแอ๋แล้วน่ะ]
“ถ้าเมาคงคุยกับนายไม่รู้เรื่อง ฮะๆ”
[ถ้ายังไหวงั้นเดี๋ยวผมไปหา รอก่อน..] ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบผมก็เอ่ยตัด
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะกลับแล้วล่ะ ไว้คราวหน้า”
ไม่รู้สึกอยากดื่มกับใครแล้วเพราะดื่มเองไปเยอะ อีกอย่างอิฏฐ์ก็เพิ่งเจอปัญหาเรื่องรถ จะชวนมาดื่มจนดึกดื่นอีกก็ดูจะรบกวนมากเกินไป
ผมกดวางสายเมื่ออิฏฐ์ตอบตกลง เส้นประสาทแถวขมับกลับมาเต้นตุบอีกครั้งเมื่อความสนใจถูกเบี่ยงกลับมาที่เสียงอึกทึก และแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ผมยกดื่มเครื่องดื่มที่เหลือเพียงครึ่งรวดเดียวหมด ก่อนจะวางเงินไว้ข้างใต้แก้วที่รวมทิปให้กับบาร์เทนเดอร์ สายตาไม่สนใจภาพสะท้อนของใครคนหนึ่งอีก หากแต่กวาดมองไปยังไฟหมุนที่สาดสว่างไปทั่วพื้นผนัง เพดานและผู้คน
ยิ่งมองแสงสีก็ยิ่งรู้สึกวุ่นวายสับสน จนต้องหลับตาลงชั่วครู่ สักพักถึงดันตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง ทว่าทันใดนั้นผมก็รู้สึกตัวว่าแทบไม่สามารถควบคุมศีรษะให้ตั้งตรงไว้ได้ไหว จึงต้องเท้ามือยันกับขอบเคาน์เตอร์บาร์ไว้ก่อน
สองขาหยุดยืนนิ่งเพื่อรวบรวมสติ พยายามสะบัดศีรษะให้สร่างจากความมึนเมา ค่อยๆ หันหลังออกก้าวเดิน
ดูเหมือนว่าการดื่มเหล้ารอใครสักคนไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหากเวลาที่ต้องรอนั้นนานมากเกินไป เพราะระยะเวลาที่ยิ่งนาน จำนวนแก้วเหล้าที่ดื่มก็ยิ่งมาก อย่างวันนี้ผมนับจำนวนไม่ได้ด้วยซ้ำว่าดื่มไปมากเท่าไหร่
ขณะที่กำลังโซซัดโซเซจนเกือบชนผู้คนที่เคลื่อนไหวขวักไขว่ไปมา คนแปลกหน้าคนหนึ่งก็ถือวิสาสะเข้ามาจับท่อนแขนผมไว้
“ไหวรึเปล่า ให้ผมไปส่งไหม?”
รีบสะบัดแขนออกจากบุคคลที่ไม่รู้จักทันที ไม่เคยรู้สึกดีใจที่มักเป็นจุดสนใจของคนอื่นง่ายๆ ไม่เคยตื่นเต้นหรือแม้แต่ภาคภูมิใจ ออกจะลำบากใจเสียมากกว่า ผมก้าวเดินต่อไปให้ถึงประตูห้องน้ำ ขืนไม่เอาสารพิษออกจากร่างกายบ้าง คืนนี้คงกลับไม่ถึงห้องของตัวเอง
เดินเกือบจะถึงจุดหมาย ก็ถูกคนแปลกหน้าคนเดิมดึงแขนเอาไว้เสียก่อน
“นี่... ให้ผมไปส่งดีกว่า”
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ผมจึงพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมเหนี่ยวรั้งอีกครั้ง ครั้งนี้ผมพยายามพาตัวเองให้ห่างออกจากห้องน้ำทั้งที่อยากจะอาเจียนแอลกอฮอล์ออกมาเต็มแก่ และหลบเลี่ยงเพื่อไปทางฟากอื่นของคลับ เดินผ่านคนที่เต้นกันขวักไขว่ และเพราะทรงตัวไม่ค่อยอยู่ จึงทำให้ถูกผลักถูกดันจนต้องใช้เวลานานกว่าจะฝ่ากลุ่มคนออกมาอยู่อีกด้านได้
ผมยืนเอนหลังพิงกำแพงโดยที่สายตามองไปที่กลุ่มคนตรงฟลอร์เต้น เหล่าหญิงชายบางคู่ก็พลอดรักกันอยู่ตรงนั้น เห็นแล้วก็ตระหนักได้ว่าที่จริงผมไม่ควรมาที่นี่เลย ต่อให้อยากหนีโลกข้างนอกยังไง ข้างในนี้ก็ไม่เหมาะกับผมอยู่ดี
ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเมื่อตั้งใจจะเดินออกจากไนท์คลับ คนคนเดิมก็เข้ามาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ เขากลับมากับกลุ่มเพื่อนด้วย
“นี่นายดูไม่สบายจริงๆ นะ...เดี๋ยวพวกผมช่วยทำให้สบายตัวมั้ย”
.
.
TBC