บทที่ 22
สายฝนและคำอ้อนวอนเมื่อไปถึงโรงพยาบาล แบงค์ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากอาการเลือดไหลไม่หยุดด้วยการประคบเย็นให้เลือดแข็งตัว พี่กายรีบจัดแจงทุกอย่างให้เรียบร้อยโดยที่แบงค์นั่งรออยู่ที่รถเข็นพร้อมนางพยาบาลที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เพื่อรอหมอมาดูอาการ
“เลือดยังไม่หยุดไหลอีกเหรอเนี่ย?” นางพยาบาลทักขึ้นเมื่อประคบเย็นมาหลายนาทีแล้วแต่เลือดของแบงค์ยังคงไหลออกมาเรื่อย ๆ “หนูเคยเลือดไหลไม่หยุดแบบนี้บ้างไหม?”
แบงค์พยักหน้าช้าๆ เพราะเขายังอยู่ในสภาพที่ต้องเงยหน้าอยู่ตลอดเวลาเลยทำให้พูดออกมาลำบาก “ผมเคยโดนรถเฉี่ยวครั้งนึงตอนอยู่เหนือ ตอนนั้นแค่หัวแตกแต่ก็นอนโรงพยาบาลหลายวันเหมือนกันครับ เพราะเลือดไหลไม่หยุด”
“หนูมีแนวโน้มจะเป็นคนเกล็ดเลือดต่ำนะ” นางพยาบาลบอกสีหน้าเครียด “เดี๋ยวอาจจะต้องให้คุณหมอวินิจฉัยแล้วพาไปเจาะเลือดตรวจดู ว่ามีอาการรุนแรงแค่ไหน”
“เป็นยังไงบ้างครับ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว น้องผมเลือดหยุดไหลรึยังครับ?” พี่กายถามเมื่อเดินกลับมาหลังจากติดต่อเรื่องเอกสารกับทะเบียนเสร็จเรียบร้อย
“เลือดยังไหลไม่หยุดเลย เดี๋ยวรบกวนน้องรออยู่ตรงนี้สักแป๊บนึง ช่วยพี่เข็นพาน้องคนนี้เขาไปพบแพทย์กับพี่นะคะ จะได้เอาทะเบียนที่ขึ้นเสร็จไปด้วยเลย” นางพยาบาลบอก แล้วปล่อยให้แบงค์จับถุงเจลเย็นประคบตนเอง
“เรื่องมันเป็นไงมาไงเนี่ยแบงค์ ถึงโดนเขาต่อยจนจมูกเกือบหักแบบนี้” พี่กายถามขึ้นเมื่อสบโอกาส
“แบงค์ไม่อยากพูดถึงมันเลย พี่กาย ขอแบงค์อยู่เงียบๆดีกว่า” แบงค์บอก
“คุณเจนภพ รัชตะไพบูลย์ค่ะ” เสียงพยาบาลที่หน้าห้องตรวจเรียกขึ้นมา พร้อมกับพี่พยาบาลคนเดิมเดินกลับมารับ “น้องจะรอเพื่อนข้างนอกหรือจะเข้าไปด้วยกัน? พี่เห็นว่าผู้ปกครองน้องไม่ได้มาด้วย เผื่อว่าจะได้ฟังคุณหมออธิบายอาการแทน” พี่พยาบาลถาม
“ไปด้วยก็ได้ครับ ผมก็อยากรู้ว่าทำไม เขาเลือดไหลออกมาไม่หยุดมากขนาดนี้” พี่กายบอก “จะให้พี่ช่วยโทรไปบอกแม่แบงค์ไหม?”
“ไม่เอานะพี่กาย แม่แบงค์ไปสัมมนาที่ชลบุรีอยู่ แบงค์ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง เดี๋ยววันอาทิตย์แม่ก็กลับมาแล้ว” แบงค์ค้าน พี่กายพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบแล้วเข็นน้องเข้าไปพบคุณหมอ
เมื่อคุณหมอได้ตรวจโพรงจมูกและให้แบงค์ปล่อยมือจากจมูกที่จับไว้ แม้เลือดจะไม่ไหลออกมามากเท่าตอนแรกแต่ก็ยังซึมและไหลออกมาเรื่อย ๆ คุณหมอจึงค่อยๆกดตามสันจมูกแบงค์เบาๆ เพื่อดูสภาพกระดูกอ่อนว่ามีการกระทบกระเทือนตรงไหนบ้างไหมจนเป็นสาเหตุให้เลือดไหลไม่หยุดแบบนี้
“หนูปวดสันจมูกไหมเวลาหมอจับ” หมอถาม แล้วส่องไฟดูในโพรงจมูกเพิ่มเติม
“ไม่ครับ ปกติ แต่ปวดที่ตัวจมูกมากกว่าครับ” แบงค์ตอบ เลือดยังคงหยดลงออกจากจมูกอีกรอบ นางพยาบาลจึงหาสำลีและกระดาษทิชชูมาให้ซับเลือดไว้
“งั้นแสดงว่าดั้งไม่น่าหัก แต่ก็น่าจะลองเอ็กซเรย์ดูนะว่ามีอะไรกระเทือนหรือเปล่า หนูมีประวัติเรื่องเลือดไหลไม่หยุดแบบนี้บ้างไหม?” หมอถามข้อมูลเพิ่มพลางจดสองสามอย่างลงสมุดระเบียน
“ก็เคยมีหัวแตกแล้วต้องนอนโรงพยาบาลนานๆเพราะเลือดไม่หยุดนี่เหมือนกันครับตอนเด็กๆ แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยได้เป็นแผลอะไรเท่าไรก็เลยไม่ได้ตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล” แบงค์อธิบาย
“งั้นตรวจเลือดด้วย หมอกลัวว่าหนุ่มจะเป็นฮีโมฟีเลียหรือเปล่า เลือดไหลไม่หยุดขนาดนี้” หมอบอก “แต่เท่าที่ฟังๆมาหนุ่มจะเลือดไหลไม่หยุดเฉพาะตอนที่มีแผลใช่ไหม ? ก็น่าจะไม่รุนแรงมาก อาจจะแค่เกล็ดเลือดต่ำเท่านั้น”
“ถ้าเป็นโรคนี้รุนแรงมันจะทำไมเหรอครับหมอ?” แบงค์ถาม
“ก็ประมาณว่าเลือดสามารถออกทั้งในร่างกายและนอกร่างกายได้เองโดยที่ไม่มีสาเหตุ คนที่เป็นโรคนี้ก็มีที่เลือดออกในสมองเองแล้วเสียชีวิตก็มี ถ้าถามหมอว่าอันตรายไหม? ถ้ารุนแรงจริงๆก็อันตรายแต่ถ้าไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น เกิดมีแผลใหญ่ๆทำให้เลือดไหลออกมาไม่หยุด คนไข้ก็ต้องมาฉีดสารที่ร่างกายขาด เพราะปกติเวลาร่างกายเรามีเลือดออกจะมีสารที่เป็นแฟ็คเตอร์สร้างลิ่มเลือดเพื่อหยุดเลือดอยู่ในเลือด คนเป็นฮีโมฟีเลียมักจะขาดตัวใดตัวหนึ่งคือแฟ็กเตอร์ 8 กับ 9 ถ้าตัวไหนเธอขาดก็ต้องฉีดแฟ็กเตอร์ตัวนั้นเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ร่างกายมีแฟ็กเตอร์ไปสร้างลิ่มเลือดขึ้นมานั่นแหละ และที่สำคัญโรคนี้ไม่มีวันหายขาด มันอยู่ในพันธุกรรมมาตั้งแต่เกิด และพบในผู้ชายเท่านั้น ส่วนผู้หญิงเป็นเพียงพาหะที่ทำให้รุ่นลูกเป็นต่อไปด้วยนะ”
“ฟังดู...น่ากลัวจังเลยครับหมอ แบบนี้ก็ต้องระวังไม่ให้เป็นแผลเลยน่ะสิครับ” พี่กายพูดขึ้นมาเมื่อฟังคำวินิจฉัยเหล่านี้
“อย่าเพิ่งตัดสินไป หมอยังไม่ได้เอาเลือดไปตรวจเลย แค่อธิบายให้ฟังเฉยๆ ว่าโรคแบบนี้มันก็มีนะ แต่คนเป็นน้อยมาก ถ้าหนุ่มเจอแจ็คพ็อตเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็ต้องระมัดระวังเรื่องแผลเลือดออกให้มากๆเลย” หมอบอก “งั้นเดี๋ยวให้ไปตรวจเลือดนะ หมอจะส่งเลือดให้แล็ปตรวจ สักวันเสาร์ก็มาดูผลว่าเป็นยังไง ตอนนี้เหมือนอาการจะค่อยๆดีขึ้นแล้ว ยังไงก็ประคบเย็นไปเรื่อยๆก่อน หมอจะสั่งยาไว้ให้” หมอบอกยิ้มๆ
“ครับ ขอบคุณมากครับ” แบงค์บอกแล้วไหว้หมอ ก่อนจะถูกพี่พยาบาลรับช่วงต่อจากพี่กายเข็นไปเอ็กซเรย์และตรวจเลือด
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว กับเลือดที่ยังหยดอยู่บ้าง คุณหมอจึงเรียกแบงค์เข้าไปคุยอีกครั้งเมื่อดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จะมีก็แต่เรื่องเลือดซึ่งต้องรอแล็ปตรวจละเอียด วันเสาร์เท่านั้นถึงจะได้รู้ว่าเขามีอาการของโรคที่ว่านั่นหรือไม่
“หิวข้าวรึยัง?” พี่กายถาม ในขณะที่ทั้งคู่ออกมาจากโรงพยาบาลราวๆ สามทุ่มแล้ว ฝนยังคงตกอยู่พรำๆ แม้จะไม่หนักมาก แต่ก็ทำเอาน้ำท่วมซอย รถแท็กซี่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆเพราะรถที่ติดอยู่
“แบงค์ไม่หิวเลยครับพี่” แบงค์บอกเสียงหงอย ๆ
“ยังทำใจไม่ได้เหรอ? หืม?” พี่กายถามหันหน้ามามองรุ่นน้องอย่างเป็นห่วง แบงค์ค่อยๆพยักหน้า น้ำตาค่อยๆรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเองแหละ พี่ก็อยู่ข้างๆแล้ว จะได้ไม่ต้องคิดมาก”
“แล้วคืนนี้พี่กายจะกลับยังไงล่ะครับ ?” แบงค์ถามยังคงเอากระดาษทิชชูซับจมูกอยู่
“ไม่กลับครับ พี่จะอยู่เป็นเพื่อน ยังไงให้มันผ่านคืนนี้ไปก่อน พรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยวิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านตอนเช้าก็ได้ ถ้าแบงค์ไหวก็ไปโรงเรียนด้วยกัน ถ้าไม่ไหวก็นอนพักผ่อนไปสักวันก็ได้”
“กวนพี่กายอีกแล้ว ขอบคุณมากนะครับพี่” แบงค์บอกสำนึกในบุญคุณของพี่กายจับใจ “ถ้าไม่ได้พี่กายนี่แบงค์แย่แหงๆเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยพี่ก็ทำให้แบงค์รู้ว่าพี่น่ะ พึ่งพาได้นะ” พี่กายบอกยิ้มๆ “งั้นเย็นนี้ในบ้านมีของสดไหม?”
“พวกผัก เนื้ออะไรแบบนี้น่ะเหรอครับ?” แบงค์ถาม
“อือ ใช่ พี่จะดูว่ามีอะไรพอทำเป็นข้าวเย็นให้กินได้บ้าง” พี่กายบอก
“ก็มีอยู่นะครับ แต่พี่กายทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอเนี่ย” แบงค์ถามกลับ รู้สึกประหลาดใจ “คนอะไรความสามารถเยอะจัง”
“ทำกับข้าวนี่เป็นเรื่องปกติของบ้านพี่นะ แม่พี่สอนให้ทุกคนต้องทำกับข้าวเป็น พี่โดนใช้ให้ช่วยงานในบ้านตั้งแต่อยู่ป.1 เลย เริ่มจากทำอะไรเล็กๆน้อยๆก่อนแล้วก็ทำมากขึ้น ๆ เพราแม่พี่เคยเป็นแม่ครัวในโรงแรมมาก่อน ที่บ้านพี่เลยมีเมนูแปลกๆที่แม่คิดให้กินอยู่เรื่อยๆเลย” พี่กายอธิบาย
“โห...สุดยอด น่าอิจฉาจังเลย แบบนี้ไม่อ้วนกันแย่เหรอพี่” แบงค์ถามอย่างตื่นเต้น
“อ้วนไหม ตอนเด็กๆพี่นะอ้วนเป็นหมีเลยแหละ พอมาเรียนม.ปลายก็หมั่นออกกีฬา ยกเวท ว่ายน้ำ เล่นแบด วิ่งทุกเช้า ตอนนี้ผ่านมาสามปีก็หุ่นเท่านี้แหละ ผอมแล้วก็มีกล้ามด้วยนะ” พี่กายบอก ยักคิ้วให้
เมื่อแท็กซี่มาจอดถึงหน้าบ้าน แบงค์จึงรีบพาพี่กายเข้ามาในบ้าน เพื่อไม่ให้โดนฝนกันมากมาย ทันทีที่พี่กายเข้ามาในบ้านก็รีบเดินตรงเข้าไปในครัวแล้วรื้อเอาผักกาด เต้าหู้กับของที่พอจะทำเป็นแกงจืดง่ายๆออกมา
“เดี๋ยวแบงค์ช่วยนะ พี่กาย” แบงค์เดินตามเข้ามาในครัวในขณะที่เห็นพี่กายกำลังหาอุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ
“อือ เอาสิ ถ้าแบงค์ไหว เลือดไม่ออกแล้วใช่ไหม?” พี่กายถามกลับ
แบงค์ชี้ไปที่กระดาษทิชชูที่ยัดจมูกเอาไว้ “แบงค์ทำแบบนี้แล้ว ตอนนี้มันไม่น่าจะซึมออกมาแล้วล่ะ”
“โอเคเลย งั้นเดี๋ยวหุงข้าวให้พี่นะ ส่วนอย่างอื่น พี่จัดการเอง” พี่กายบอก ส่วนแบงค์ก็พยักหน้ารับ
พี่กายเป็นคนทำอาหารได้คล่องแคล่วมาก เพราะแบงค์สังเกตจากการใช้มีดของพี่กายและการเตรียมข้าวของสำหรับทำอาหาร แม้จะเป็นแกงจืดเต้าหู้ธรรมดาๆ ไข่ทอดใส่แครอทกับหมูสับที่ดูว่าใครๆก็ทำได้ง่าย ๆแต่กลิ่นหอมอวลของการปรุงและความว่องไวในการจัดเตรียมก็ถือว่าพี่กายดูชำนาญไม่น้อย
“พี่อยากรู้ ว่าแบงค์รักท็อปจริงๆหรือเปล่า?” พี่กายถามขึ้นมาในขณะที่เอาซุปหมูก้อนไปต้มในน้ำเดือด “พี่สังเกตว่าแบงค์ชอบทำตัวห่างเหินเหมือนไม่สนิทสนมกันกับท็อปมากมายอะไรกันเลย”
แบงค์ถอนหายใจ การพูดถึงพี่ท็อปในเวลานี้เหมือนกับการเอามีดกรีดลงกลางหัวใจของเขา “พี่กาย....ทำไมถึงถามเรื่องพี่ท็อปอีกล่ะ แบงค์บอกแล้วไงว่าไม่อยากจะตอบ”
“ขอโทษนะที่พี่ถาม พี่แค่อยากจะช่วยให้แบงค์เคลียร์ความรู้สึกตัวเอง บางทีการพูดออกมาบ้างมันก็ดีกว่าการเก็บเอาไว้ แล้วจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ยังไงถ้าแบงค์เล่ามาได้ก็เล่ามาเถอะ” พี่กายบอกหันหน้ามามองแบงค์ที่กำลังจะหาที่ตวงข้าวมาเทใส่หม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆ
“ความรักมันคืออะไร แบงค์ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากมายหรอกครับพี่กาย ที่ผ่านมาพี่ท็อปเขาดีกับแบงค์ แม้ว่าตอนแรกที่เราเจอกันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีๆที่น่าจดจำ แต่ว่าพี่ท็อปเขาก็พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าพี่เขาอาจจะรักแบงค์จริงๆ แต่ความรักของแบงค์กับความรักของพี่ท็อปอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ แบงค์เห็นว่าในเมื่อพี่เขาดีกับเราขนาดนี้ เราก็ควรจะรักพี่เขาตอบจริงไหมล่ะครับ? อีกอย่างแบงค์แสดงออกไม่ค่อยเก่ง แค่พี่เขาขอให้บอกรักตอบแบงค์ยังไม่กล้าเลย แถมต้องคอยหลบๆซ่อนๆเพราะพอมีเรื่องพ่อพี่ท็อปเข้ามาเอี่ยวด้วยแบงค์ยิ่งไม่กล้าแสดงออกอะไรมาก กลัวจะทำให้พี่เขามีปัญหาเพราะเรื่องระหว่างเรา” แบงค์บอก
“อืม ก็คงเป็นความรู้สึกดีๆที่มีให้กันสินะ” พี่กายเสริม แล้วจึงนำเนื้อหมูสับละเอียดลงไปต้ม
“ถึงแบงค์จะบอกพี่ท็อปตลอดว่า แบงค์รักพี่ท็อป แต่ก็รู้ว่าจริงๆแล้ว มันก็แค่คำพูดที่รู้ว่าคนฟังอยากฟังก็เลยเหมือนพูดส่งๆ ออกไป มันยังไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆที่ออกมาจากข้างใน แบงค์ถึงบอกว่าความรักของแบงค์ที่ให้กับพี่ท็อปมันอาจจะไม่มากเท่ากับที่พี่ท็อปให้แบงค์มาก็ได้ แบงค์เพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองคิดถึงพี่ท็อปจริงๆจังๆก็ตั้งแต่พี่กายเข้ามาเนี่ยแหละ ขอโทษนะครับที่อาจจะทำให้รู้สึกไม่ดี พอพี่ท็อปออกปากจะให้พี่แข่งกับเขา แล้วแบงค์ต้องเลือกระหว่างพี่กายและพี่ท็อป แบงค์ไม่อยากจะเลือกใครเลยด้วยซ้ำตั้งแต่แรก แบงค์ไม่ชอบปัญหา ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้มากลายเป็นปัญหาชีวิต และรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของเล่นของพี่ท็อปมากขึ้น ๆ มากกว่าจะเป็นคนที่พี่เขารัก
แต่พอไม่มีพี่เขาอยู่จริงๆ แบงค์ถึงรู้ว่า แบงค์คิดถึงพี่เขาอย่างที่ตัวเองไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหัวใจและร่างกายเริ่มเรียกร้องหาพี่ท็อป เหมือนอะไรบางอย่างในชีวิตขาดหายไป ถึงจะมีพี่กายเข้ามาทำให้ไม่เหงาอยู่บ้าง แต่มันก็ยังรู้สึกว่ามันแทนกันไม่ได้ และเริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าสิ่งที่แบงค์รู้สึกมันไม่ใช่แค่ความผูกพัน แต่มันคือความรักนั่นแหละที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ แบงค์ไม่ใช่คนรักใครง่ายและยิ่งคนที่เคยทำไม่ดีด้วยตั้งแต่แรกแบบพี่ท็อป มันยากจริงๆที่จะเปลี่ยนความรู้สึกเหล่านั้นมาเป็นความรัก” แบงค์อธิบาย ตาก็มองดูพี่กายทำอาหารมือเป็นระวิง
“แบงค์ยังเด็กอยู่ ยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกมาก ไม่ต้องรีบร้อนหรอก” พี่กายตอบยิ้มๆ แล้วใส่เต้าหู้ลงไปในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะยกลงจากเตา
“พี่กายฟังแบงค์เล่าแบบนี้แล้ว ยังจะชอบแบงค์อยู่ไหม?” แบงค์ถามกลัวคำตอบจับใจ
“ชอบสิ” พี่กายบอกตรงๆ “มันทำให้เห็นว่าแบงค์ไม่ได้รักใครแบบฉาบฉวย แบงค์ค่อยๆให้เวลากับมัน ให้ความผูกพันซึมซับเข้ามาเรื่อยๆ จนพัฒนาเป็นความรู้สึกแบบตอนนี้กับท็อป พี่บอกได้เลยว่านี่แหละคือความรักล่ะ”
แบงค์นิ่งเงียบ น้ำตารื้นออกมาจนต้องแอบเช็ด
“มันเลยยิ่งเจ็บมากสินะ พอมาเจออะไรแบบนี้ ในวันที่ความรู้สึกเหล่านั้นถูกเติมจนเต็ม ท็อปเหมือนเหยือกน้ำที่พร้อมจะเทใส่แก้วของแบงค์ และแบงค์ก็ค่อยๆรับน้ำนั้นมาเรื่อยๆจนตอนนี้พี่ว่ามันคงเต็มล้นปรี่เลยล่ะกับความรู้สึกที่แบงค์มีให้ท็อป พี่อยากขอโทษที่เข้ามาเอี่ยวกับความสัมพันธ์ของแบงค์กับท็อปนะ พี่ไม่น่าตื๊อเลย เหมือนไปก่อความแตกแยกให้กับความสัมพันธ์ของพวกเรา” พี่กายบอก “พี่เริ่มสนใจแบงค์หลังจากแข่งแบดมินตันแล้ว ว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันยังไงแล้วก็สืบรู้ว่าเราสองคนน่าจะเป็นแฟนกัน พี่ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าท็อปมันจะมาชอบผู้ชาย พี่เห็นมันมาตั้งแต่เข้าม.1 ใครๆก็รู้จักลูกอาจารย์สายัณห์ นิสัยแสบๆ แต่ดันเรียนเก่งกับกีฬาโดดเด่นแถมป๊อบปูล่าร์ เลยพาลเอาสาวๆหลงกันหัวปักหัวปำ พี่เลยสนใจอยากจะลองรู้จักแบงค์ดูบ้างว่าอะไรทำให้ท็อปเปลี่ยนไป จนตอนนี้พี่เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไม”
แบงค์ระเบิดโฮออกมา เอามือเช็ดตาเหมือนเด็กร้องไห้ ความรู้สึกที่อัดอั้นมาตั้งแต่ตอนเย็นนั้นหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา เขาสะอื้นไห้เสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้ “ขอโทษนะครับพี่กาย แบงค์ไม่อยากพูดถึงพี่ท็อปอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้ว สิ่งที่แบงค์มีให้พี่ท็อปตอนนี้มันคือของจริง แต่กับสิ่งที่พี่ท็อปทำให้แบงค์มันคือภาพลวงตา พี่เขาก็แค่เห็นแบงค์เป็นของเล่น คงไม่ได้รักแบงค์จริงๆอย่างที่พี่เขาเอาแต่พร่ำบอก พี่เขาก็แค่เห็นแบงค์เป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือ อยากจะทำอะไรก็ได้ อยากจะขยำขยี้ให้ตายคามือยังไงก็ได้....” แบงค์บอก สะอื้นให้ไม่หยุดจนพี่กายต้องเขามากอดเอาไว้
“พี่ขอโทษจริงๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น” พี่กายบอก กอดแบงค์แน่น แต่แบงค์ไม่ได้กอดพี่กายตอบ พยายามเช็ดน้ำตากับน้ำมูกผสมเลือดลงกระดาษทิชชู
“พี่กายไม่เกี่ยวหรอกครับ ดีแล้วแหละที่พี่กายมา ไม่อย่างนั้น แบงค์ก็คงไม่รู้หรอกว่าลับหลังแบงค์พี่เขาทำอะไรลงไปบ้าง ต่อหน้าพี่เขาอาจจะทำดีกับแบงค์แต่ลับหลังแบงค์ก็ไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นคนยังไงอยู่ดี” เขาบอกยังร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“ร้องไห้ออกมาเลย ร้องออกมาให้พอนะ พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องร้องอีกแล้ว” พี่กายพูดเบาๆเสียงสั่นเครือเพราะสงสารน้องเหลือเกิน
“ที่สำคัญ พี่กายครับ ก่อนหน้านี้แบงค์ยังพูดว่ารักพี่ท็อปได้ไม่สนิทใจเท่าไร แต่พอพี่กายเข้ามามันทำให้แบงค์รู้ใจตัวเองมากขึ้นว่าแบงค์รักพี่ท็อปมาก ทั้งๆที่แต่แรกไม่รู้ใจตัวเองขนาดนี้แต่วันนี้รู้เลยว่ามันเจ็บมาก รู้เลยว่าแบงค์รักพี่เขาจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดส่งเดชออกไปให้อะไรมันจบเหมือนที่ผ่านๆมา ความรักนี่มันเจ็บปวดแบบนี้นี่เอง” เขาร้องไห้อย่างสะอึกสะอึ้นเสียงดัง กดหน้าลงกับหน้าอกของพี่กาย น้ำตาไหลออกมาเรื่อยๆ
พี่กายได้แต่กอดน้องเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกปวดร้าวอยู่เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าเวลาอันสั้นที่ผ่านมาอาจจะไม่ได้ทำให้เขารักแบงค์ได้มากถึงขนาดที่ท็อปกับแบงค์มีให้กัน แต่ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า เขามองความรักในแบบที่พี่คนหนึ่งจะสามารถมีให้น้องได้ แม้แบงค์จะไม่สามารถรักเขาตอบได้ในตอนนี้ แต่นับจากนี้ไปเขาตั้งใจว่าจะดูแลแบงค์เองไม่ให้เผชิญกับความเจ็บปวดแบบนี้อีก
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ทั้งแบงค์และพี่กายชะโงกออกมาดูจากทางกระจก เพราะตกใจว่าใครมาหาในยามค่ำแบบนี้ แบงค์รีบปาดน้ำตาแล้วเดินไปที่ม่านเพื่อส่องดูว่าผู้มาเยือนเป็นใคร
ด้านนอกฝนยังตกอยู่พรำๆ แสงไฟจากรั้วส่องให้เห็นเด็กผู้ชายสวมเสื้อกันฝนจอดมอเตอร์ไซค์คันเดิมที่คอยมารับเขาเสมอๆทุกเช้า ส่วนเจ้าของรถก็เอาแต่รัวกระหน่ำนิ้วกดที่อ๊อดจนดังลั่นบ้าน
“แบงค์ แบงค์ ออกมาหาพี่หน่อย พี่อยากจะคุยด้วย แบงค์ ออกมาหาพี่หน่อย” เสียงท็อปตะโกนข้ามรั้วมาเสียงดัง
“พี่ท็อปมาแล้ว พี่กาย” แบงค์บอกแล้วรีบเดินกลับไปหาพี่กายที่ยืนส่องดูจากม่านอีกฟากของห้อง “แบงค์ไม่อยากคุยกับพี่เขาแล้ว พี่กาย ทำยังไงดี”
พี่กายหันหน้ามองแบงค์ที แล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างที ท็อปยังคงทำท่าชะเง้อเพื่อดูว่าแบงค์อยู่ที่บ้านหรือไม่ ฝนที่ยังตกกระหน่ำหนักขึ้นนั้นทำให้เขาเริ่มหนาวสั่น และจามออกมาเป็นระยะๆ แต่ก็ยังไม่หยุดตะโกน
“แบงค์ได้ยินพี่ไหม? แบงค์ พี่อยากให้เราออกมาเคลียร์กันก่อน เปิดประตูให้พี่หน่อย” พี่ท็อปยังไม่ลดละความพยายาม
“เดี๋ยวพี่จะออกไปรับหน้าเอง แบงค์รออยู่ในบ้านก็แล้วกันนะ” พี่กายบอก
“พี่กายอย่าทำอะไรพี่ท็อปนะพี่ ปล่อยพี่เขาไป แบงค์ไม่อยากให้ปัญหามันเรื้อรังอีกแล้วให้มันจบตรงนี้วันนี้ไปเลย” แบงค์บอกน้ำตายังคงไหลออกมาเรื่อยๆ
พี่กายหยักหน้าแล้วเปิดประตูออกไปเผชิญหน้ากับท็อป พี่กายเดินออกมายืนที่ระเบียงแต่ยังอยู่ในชายคาบ้านเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนฝนตรง ๆ
“พี่กาย...” ท็อปอุทานเมื่อเห็นหน้ารุ่นพี่
“มึงมาทำไมวะ ไอ้ท็อป แบงค์หลับไปแล้ว มึงทำน้องเจ็บขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามาถามหาน้องอีกเหรอ?” กายฉะใส่ส่งเสียงดังจนกลบเสียงฝน
“พี่กาย ผมอยากจะคุยกับแบงค์ ผมไหว้ล่ะพี่ ให้ผมเข้าไปได้ไหม” ท็อปอ้อนวอน “ผมไม่อยากให้อะไรมันจบแบบนี้”
“มันจบไปแล้วล่ะท็อป มึงไม่ได้ยินที่แบงค์เขาบอกมึงเหรอ ว่าไม่อยากเจอหน้ามึงแล้วน่ะ พี่ว่ามึงกลับไปเหอะ ต่อจากนี้ก็ถือเสียว่าแค่เป็นคนเคยรู้จักกันก็พอ” พี่กายโต้กลับ
“พี่ครับ ผมขอร้องล่ะ ให้ผมได้คุยกับแบงค์เถอะ ไม่งั้นคืนนี้ผมนอนไม่หลับแน่ๆ” พี่ท็อปบอกน้ำตาไหลออกมาปะปนกับน้ำฝนที่ไหลหยดลงมาเช่นกัน แล้วจามออกมาเสียงดังอีกรอบ
“นั่นมันปัญหาของมึงแล้วล่ะท็อป น้องมันบอกเองว่าไม่อยากยุ่งกับมึงตั้งแต่ตอนที่เจอภาพบาดตาแล้ว กูถามหน่อยเหอะ มึงทำแบบนี้กับแบงค์ได้ยังไง เนี่ยเหรอ ความรัก ที่มึงบอกน้องนักหนา มึงแสดงออกความรักด้วยวิธีแบบนี้เหรอ?”
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับพี่ ผมรู้ว่ามันอาจจะฟังดูงี่เง่า แต่ผมไม่ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้นะครับ” พี่ท็อปบอก รู้สึกข้อแก้ตัวของตัวเองนั้นฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
“ไม่เป็นลูกผู้ชายเอาซะเลยว่ะ ท็อป มึงกลับบ้านไปเหอะ เรื่องของมึงกับแบงค์มันจบไปแล้ว มึงรู้ไว้ซะด้วยนะ ว่ากูก็ไม่อยากเห็นหน้ามึงอีกเหมือนกัน มึงเหี้ยเกินคำบรรยายกูจริงๆ รอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อน กูจะไปฟ้องอาจารย์สายัณห์ เอาให้มึงเจ็บมากกว่าที่ทำกับแบงค์ร้อยเท่า” พี่กาย ตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น
“พี่จะต่อยจะชกผมก็ได้ แต่ผมขอคุยกับแบงค์เถอะนะครับพี่ ผมอยากขอโทษ ผมไมได้ตั้งใจ ผมรักน้องจริงๆนะครับพี่ ผมไหว้ล่ะพี่ ให้ผมเข้าไปหาน้องนะครับพี่” พี่ท็อปอ้อนวอน น้ำตาพรั่งพรูด้วยความเสียใจ “ผมรู้ดีว่าผมมันเหี้ย ผมมันเลว แต่ผมทำใจไม่ได้จริงๆถ้าต่อจากนี้แบงค์จะไม่อยู่กับผมแล้ว พี่ช่วยผมหน่อยเถอะ”
“ไอ้สัตว์ พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม?” พี่กายพูด ทำท่าจะพุ่งลงไปจากระเบียงแล้วเดินไปที่ประตูรั้ว แต่แบงค์ที่เห็นสถานการณ์และแอบฟังอยู่ตลอดก็รีบเปิดประตูออกมาคว้าแขนพี่กายไว้
“พอเหอะ พี่กาย อย่าไปทำอะไรพี่ท็อปเลย” แบงค์ร้องบอก ท็อปตะโกนลั่นด้วยความดีใจเมื่อเห็นแบงค์ออกมาในที่สุด
“แบงค์ เปิดประตูให้พี่หน่อย พี่อยากจะขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว จะโกรธจะด่าพี่ยังไงก็ได้ แต่อย่าทิ้งพี่เลยนะแบงค์” ท็อปเขย่าประตูรั้วราวกับจะดึงมันให้หลุดออกจากราง
พี่กายส่ายหน้าให้แบงค์ราวกับเป็นสัญญาณว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียงอะไรกับพี่ท็อปอีก แบงค์ถอนหายใจช้าๆ จากนั้นจึงคว้าเอาร่มที่วางอยู่แล้วกางเดินออกมาหา ท็อปยิ้มดีใจเมื่อเห็นแบงค์เดินมาหาเขาในที่สุด
“พี่ท็อป...” แบงค์เรียก มองหน้าเขาอย่างอาลัย “ให้มันจบลงตรงนี้เถอะนะพี่” แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา “แบงค์พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แบงค์ขอโทษที่แบงค์ทำตามคำขอพี่ท็อปไม่ได้จริงๆ”
“อย่าดิแบงค์ อย่าทิ้งพี่ไปแบบนี้ แล้วต่อจากนี้พี่จะอยู่กับใครล่ะแบงค์ ใครจะคอยอยู่ข้างๆพี่ คอยสอนพี่ คอยเตือนพี่” พี่ท็อปร้องไห้ ทั้งจามทั้งน้ำตา น้ำมูก พรั่งพรูออกมา
“พี่ท็อปยังมีเพื่อน มีพี่คาร์พ มีพ่อ ที่อยู่ข้างๆนะ อย่าลืมพวกเขาสิ ที่ผ่านมาให้มันเหมือนฝันไปเถอะนะ ถึงเวลาที่พวกเราทั้งสองคนต้องตื่นกันสักที” แบงค์บอก
“ไม่ พี่ไม่อยากตื่น ยังไงพี่ก็ต้องให้แบงค์อยู่กับพี่เหมือนเดิม เราจะต้องไม่เลิกกัน” ท็อปตะคอกทั้งโมโหทั้งโกรธจนหน้าแดง
แบงค์เอื้อมมือไป อยากจะไปจับแก้มพี่ท็อปอย่างที่เขามักจะทำเวลาอยู่ด้วยกันสองคน แต่ก็ยั้งมือเอาไว้ เพราะรู้ตัวดีว่าต่อจากนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคงต้องหยุดไว้ “พี่ท็อปกลับไปเถอะ แบงค์บอกแล้วไงว่าอย่าตากฝน เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ไม่เอานะ แบงค์ อย่าทำแบบนี้กับพี่ดิ พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว ไม่เอาแล้ว พี่ไม่ได้ตั้งใจ เขาหลอกให้เราทะเลาะกันนะแบงค์” พี่ท็อปร้องบอกออกมา
“หลอกอะไร ยังไงมันก็อยู่ที่พี่ท็อปอยู่ดี ถ้าพี่ท็อปรู้จักยั้งใจตัวเอง มันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก แสดงว่าเราสองคนอาจจะยังรักกันไม่มากพอ มันมาได้ไกลแค่นี้แหละพี่ท็อป” แบงค์พูดเบาๆ น้ำเสียงราบเรียบ แล้วก็จามออกมาด้วยอีกคน เพราะยืนโดนไอฝน เลือดกำเดาก็พุ่งออกมาอีกครั้ง
“แบงค์ พอเถอะ ไม่ต้องคุยอะไรกับมันแล้ว เข้าบ้านเลย” พี่กายเดินฝ่าฝนออกมาพาแบงค์เข้าบ้าน
“แบงค์ ทำไมแบงค์เลือดออกเยอะแบบนี้ล่ะ ? แบงค์ เปิดประตูให้พี่ก่อน พี่กายครับ เปิดประตูให้ผมก่อน พี่กาย เปิดสิวะ” พี่ท็อปโวยวายกระชากประตุเหล็กเสียงดังลั่น
“มึงกลับบ้านไปเลยนะ แบงค์เป็นแบบนี้ก็เพราะมึง รู้ไว้ซะด้วย แบงค์น่ะมีโอกาสเลือดไหลไม่...”
“พอเหอะพี่กาย” แบงค์รีบบอก “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว มันจบแล้ว” น้ำตาของเขายังไหลในขณะที่มือกุมดั้งจมูกเอาไว้
“ทำไม แบงค์เป็นอะไร แบงค์ ตอบพี่มาก่อนดิ แบงค์เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เปิดพี่จะปีนเข้าไปแล้วนะ” พี่ท็อปร้องบอกมา
“กูให้เวลามึง 5 นาที ถ้ามึงไม่ไป กูจะโทรเรียกตำรวจว่ามึงบุกรุกยามวิกาล มึงรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ กูไม่ได้พูดเล่นนะ”พี่กายชี้หน้าท็อป แล้วรีบพาแบงค์เข้าไปในบ้าน ปิดประตูลั่น
“แบงค์...อย่าทำแบบนี้สิแบงค์ บอกพี่มาก่อน แบงค์....” ท็อปได้แต่ยืนตะโกนจนแทบจะสิ้นเสียง ฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆราวกับพายุเข้า รู้สึกผิดจนแทบอยากจะตายไปเสียตรงนี้เลย ทั้งหัวใจของเขาสูญสลายไปแทบทั้งหมด ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม เขาจะอยู่อย่างไรต่อไป พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป วันที่ไม่มีแบงค์จะมาถึงแล้วเหรอ แล้วต่อจากนี้ชีวิตของเขาจะมีเรี่ยวแรงมาจากไหนได้เมื่อแหล่งกำลังใจของเขาได้ตัดใจจากเขาไปแล้ว
แบงค์ทรุดลงที่หน้าประตูเมื่อพี่กายพาเข้ามาในบ้าน ร้องไห้ไม่หยุดเหมือนกับคนเสียสติ จนพี่กายต้องปลอบ “พี่กายอย่าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อพี่ท็อปนะ เรื่องพี่หวานด้วย แค่นี้ทุกอย่างมันก็แย่มากพออยู่แล้ว”
“อืม พี่ก็ขู่มันไปอย่างนั้นแหละ” พี่กายบอก “สงสัยคืนนี้คงไม่มีอารมณ์กินข้าวแล้วมั้ง” เขามองดูรุ่นน้องที่ยังคงนั่งร้องไห้อยู่แล้วหันไปดูกับข้าวร้อนๆที่ตนเองเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
แบงค์ส่ายหน้า นั่งกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง “พอแล้ว ร้องไห้จนน้ำตากับเลือดออกจะหมดตัวแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่าแล้วกินยานอนเลยนะ ไม่ต้องเสียใจแล้ว ยังมีเวลาอีกเยอะ วันนี้เจออะไรๆมาเยอะแล้ว ไปเถอะ” พี่กายบอกแล้วค่อยๆพยุงร่างของน้องขึ้นมา
แบงค์ไม่ตอบอะไรได้แต่ร้องไห้จนจวนจะหมดแรง
จบบทที่ 22 ตอนที่ 23 พบกันใหม่วันศุกร์ครับ
(ขอเม้นกันมั่งนะครับเป็ฯกำลังใจว่าเพื่อนยังตามๆกันอยู่ T^T)