บทที่1 เรื่องทุกข์ใจของเพื่อน
เปลว หรือชื่อจริงคือนาย เปลวตะวัน ถ้าให้นิยามหรือพรรนณาถึงผู้ชายคนนี้ตามความคิดผมแล้วคงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘พระอาทิย์’ ตามชื่อของมัน
อบอุ่นและเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์กลางฤดูร้อน
เป็นที่รู้จักของผู้คนและเข้ากับอื่นได้ง่ายจนน่าประหลาดใจ แต่ถึงอย่างนั้น...ทั้งๆที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็เหมือนไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง ผู้หญิงหลายคนในโรงเรียนจึงผันตัวไปเป็นดอกทานตะวัน ดอกไม้สีสวยที่ทำได้เพียงแหงนหน้าขึ้นฟ้ามองตามพระอาทิตย์อยู่บนพื้นดิน
แม้ตอนนี้นอกห้างพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่เปลวตะวันตรงหน้ายังคงมอบรอยยิ้มที่สว่างไม่แพ้กันมาให้ผมซึ่งมีความผิดติดตัวอยู่รู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างไรชอบกล
“มึงหยุดเลย มึงห้ามพูดอะไรทั้งนั้น ปิดปากให้สนิทแล้วเปิดหูเปิดสมองรับฟังเหตุผลกูเท่านั้น เข้าใจ๊?“ ผมรีบดักคอมันก่อนจะลากมันมาหยุดคุยกันข้างถังขยะ
ไม่มีเวลาใจเย็นเดินหาร้านกาแฟมานั่งคุยละ ห้างจะปิดแล้ว ยัง ยังอีก บอกให้หุบปากแล้วมันยังจะมายิ้มแซวผมด้วยสายตาได้อีกนะ
“ไม่เป็นไร กูไม่เอาไปบอกใครหรอก” เก็บความมีมารยาทของมึงไปใช้ที่อื่นเถอะ
“พอเลยมึง เข้าใจไปคนละเรื่องละ เมื่อกี้กูกำลังทำธุระสำคัญอยู่ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับพี่พวกนั้นนิดหน่อย คือ เอ่อ อธิบายยังไงดีวะ เออ นั่นหละ สรุปคือกูไม่ได้เป็นเกย์!!!”
พูดจบแล้วแบบไม่ได้ขยายความอะไรสรุปแม่งเลย แน่นอนว่าไอ้เปลวทำหน้าแบบกูเชื่อมึงก็บ้าละจับได้คาหนังคาเขาซะขนาดนั้นซึ่งผมก็จนปัญญาจะแก้ตัว
“ร้อนตัวอะไรเนี่ย ยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ เอ๊ะ หรือว่า...” เจ้าของใบหน้าที่ผมยอมรับว่าหล่อระดับเดียวกับตัวเอง(?) จงใจเว้นคำพูดสุดท้ายไว้ให้ผมไปเติมคำในช่องว่างเอาเองเหมือนอยากได้รอยรองเท้าประทับเสริมเพิ่มความหล่อจากผม
คิ้วผมกระตุกเบาๆ เวลานี้ถ้าเถียงหรือขึ้นเสียงใส่จะเข้าทางมันซะเปล่าๆ
“แค่เล่าสู่กันฟัง” ผมยักไหล่ตอบเหมือนไม่แยแสแต่ใจกำลังเต้นรัวอย่างพิรุธ
พวกเรายืนมองกันไปมาซักพักก่อนมันจะเอ่ยชวนให้ออกไปรอขึ้นรถตู้หน้าห้างกันซึ่งผมก็ยอมทำตามแต่โดยดี
บนรถตู้พวกเราใช้ความเงียบคุยกันมาครึ่งทางแล้ว ไม่มีใครทำลายความเงียบหรือขยับตัวเลยด้วยซ้ำ นั่งหน้านิ่งปล่อยให้แอร์เป่าหัวไปเฉยๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้บรรยากาศแปลกๆตอนนี้มันคืออะไรหรือเกิดจากใคร ผมเหรอ? ผมกำลังกลัวว่ามันจะล้อผมว่าไอ้ตุ๊ดอ่อยผู้ชายอยู่รึปล่าว?
ไม่นะ ถึงจะกวนส้นตีนดีแต่ยิ้มไปวันๆ แต่เปลวไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยาก ผมกับมันรู้จักกันพอสมควร ถ้าไม่นับเพื่อนในแกงค์แล้ว มันคือเด็กต่างห้องที่ผมสนิทที่สุดเลยด้วยซ้ำ (เพราะปกติขลุกอยู่แต่กับเพื่อนในกลุ่มไม่เคยโผล่หัวออกจากห้อง)
ที่สำคัญปกติผมเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วเวลาเจอกันหน้าที่หาเรื่องคุยจึงเป็นของมัน แสดงว่าบรรยากาศเงียบฉี่ที่ลอยคลุ้งอยู่ทั่วรถตอนนี้มีต้นเหตุมาจากไอ้พระอาทิตย์ผู้เหลือเพียงแสงริบหรี่ข้างๆนี่แน่นอน
จู่ๆภาพการสนทนาระหว่างมันกับพี่ไอริณก็ผุดขึ้นในหัว หรือมันจะมีปัญหากับพี่เค้าวะ
“เมื่อเย็นพี่ไอริณเค้ามาบอกชอบกู แต่กูปฏิเสธไป “เหมือนคนที่นั่งข้างๆผมจะอ่านใจผมได้ มันพูดเรื่องเดียวกับที่ผมกำลังคิดขึ้นเหมือนเล่าเรื่องทั่วๆไปอย่างเมื่อเช้ามันกินขนมปังทาแยมมาอะไรเทือกนั้น
ผมหันไปสบตามันที่มองมาที่ผมก่อนแล้ว รอให้มันพูดคำต่อไปออกมาเองไม่ซักถามหรือขัดอะไร
“เราคุยกันมาตั้งแต่กูยังอยู่ม.4 นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะแต่พี่เค้าดูชอบกูมากอะ ชอบมากแบบ...มากไป ใครทักกูหน่อยก็เป็นประเด็นมาดราม่าใส่แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเค้กหรือจดหมายรักเลย กูรำคานมากแต่ไม่รู้จะบอกเค้ายังไงจนมันเลยเถิดมาถึงวันนี้ ”
คำพูดมากมายที่หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่ายไม่ได้แฝงด้วยความรู้สึกเสียใจหรือเสียดายเลย มันเหมือนจะรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เรื่องมันดำเนินมาถึงจุดนี้มากกว่าอย่างที่เจ้าตัวบอก ผมพยักหน้าเบาๆอย่างรับรู้
น่าแปลกที่ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมมันกับพี่ไอริณสามารถเก็บความลับเรื่องแอบรู้จักกันแบบลับๆจากขี้ปากชาวบ้านได้ เพราะตอนนี้เรื่องที่ควรสงสัยมากกว่าคือมันพูดเรื่องนี้ให้ผมฟังทำไม
“แล้วมึงเล่าให้กูฟังไมวะ?” หรืออยากระบายให้ใครสักคนฟัง ปกติมันมีเรื่องอะไรมันไม่ค่อยบอกใครหรอกไอ้เนี่ยอะอมไว้ในปากเก็บไว้ในใจคนเดียวทุกที
อย่างที่บอกไปแล้วว่ามันเข้ากับคนง่ายอัธยาศัยดีแต่คนอื่นกลับเข้าไม่ถึงมัน ถึงจะรู้จักกันแต่เรื่องของมันผมกลับได้ยินจากขาเสือกแชคแทน มาตอนนี้ก็แอบภูมิใจวะ มึงเห็นกูเป็นคนพึ่งพาได้ให้คำปรึกษาได้ใช่มะเลยยอมเล่าให้ฟังเนี่ย
“แค่เล่าสู่กันฟัง” มันยักคิ้วให้ผมทีนึง
ถุ้ย!...ยังจะกวนได้อีกนะไอ้ห่า!!
ผมกลอกตาอย่างเอือมระอา บรรยากาศมิตรภาพเปิดอกคุยกันซึ้งๆเหงาๆบนรถตู้กลางดึกถูกทำลายลงไปอย่างไม่ควรจะเป็น ผมเลยเลิกให้ความสนใจมันแล้วหันไปมองนอกหน้าต่างแทน
“น้ำเงิน”
“ไร กลัวลืมชื่อกูเรอะ!?” ถามดักทางไว้ก่อน
“คืนนี้กูค้างบ้านมึงนะ” มันขอผมด้วยสีหน้าเครียดๆ ดวงตาของมันแฝงประกายของความรู้สึกที่ผมอ่านไม่ออกอยู่ผมเลยเลือกที่จะสบตามันอีกรอบอย่างพยามจับความรู้สึกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาอีกคู่ที่จ้องมายังผมอยู่เช่นกัน ก่อนจะถามหยั่งเชิงออกไป
...วันนี้แม่งจะเปลี่ยนอารมณ์บ่อยไปละนะมึง เป็นไรมากปะเนี่ย...
“ถ้ากูบอกว่าไม่ได้หละ?” อะไรสักอย่างมาดลใจให้ผมเลือกที่จะใช้คำถามนี้แทน ทั้งที่ผมอยากรู้จริงๆก็คือทำไมวันนี้มันทำตัวแปลกๆ ไอ้จะมานอนบ้านสักคืนสองคืนไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอะไรหรอก พวกไอ้นาวก็เคยบ่อยๆ
การที่ผมไม่ปฏิเสธออกไปทันทีก็เท่ากับยอมให้มันมาค้างแบบกลายๆอีกทั้งยังไม่ซักไซ้หาเหตุผลอีกตากหาก เรียกให้มุมปากของมันยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ดูเท่ห์เหมือนอย่างที่มันยิ้มให้พี่ไอริณเมื่อเย็นนี้ ไม่สิ ไม่เหมือน ครั้งนี้มันอ่อนโยน...
เพราะได้มามองใกล้ๆแบบนี้เลยดูดีกว่าที่แอบมองจากไกลๆหรือเพราะรอยยิ้มนี้มีไว้สำหรับผมเลยทำให้หัวใจเผลอเต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่งกันนะ
“กูก็จะขอร้องมึงแล้วก็บอกมึงว่า ไอ้เส้นที่รถคันนี้วิ่งอยู่นะมันคนละทางกับบ้านกูเลย”
ผมเบิกตาจ้องมันจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า นี่แสดงว่ามันตั้งใจจะขอติดสอยห้อยตามไปบ้านผมด้วยตั้งแต่ตอนขึ้นรถแล้วใช่ไหม ไม่ๆๆ ผมประเมินมันต่ำไป ไอ้เหี้ยเปลวอาจจะวางแผนไว้ก่อนที่จะเข้ามาทักผมที่ศูนย์อาหารในห้างนั่นแล้วด้วยซ้ำ!!!
เสียงป้าคนที่นั่งด้านหลังตะโกนบอกให้คนขับจอด เรียกสติที่กระเจิงไปไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ของวันให้เข้าที่เข้าทางก่อนผมจะพบว่าสถานที่ที่รถจอดคือหน้าหมู่บ้านผมเอง
เกือบเลยบ้านละไง นี่ถ้าไม่มีป้านะผมต้องเรียกแท็กซี่อีกต่อนึงเพื่อเข้าบ้านแน่เลย ขอบคุณค้าบบบบ
ผมมองตามป้าที่เดินหายเข้าไปในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่อย่างหรูดูก็รู้ว่าคนที่อยู่ที่นี่ต้องรวยทุกคนเงียบๆ ไม่ต้องบอกก็ควรจะรู้นะครับ ถ้าผมอวยขนาดนี้แสดงว่าไอ้หมู่บ้านนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง...อะไรที่มันหล่อๆแบบผมอาศัยอยู่ไง ฮ่าๆๆ
“หึ หึ”เสียงหัวเราะจากไอ้คนที่ผมยังไม่ตอบตกลงสักคำว่าจะให้ค้างด้วยแต่เสือกตามลงมาจากรถโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ตอบรับหรือปฏิเสธสักแอะดังขึ้นข้างๆ
เปลวมองผมพร้อมยิ้มขำๆ ขำไรมึง?อยากนอนข้างถนนนักรึไง อย่าหือนะเฟ้ยย ตอนนี้มึงต้องง้อกูอยู่
“มองกูทำไม ไม่เดินเข้าไปหละ?” มันพูดหน้าตาเฉยเหมือนที่นี่คือหมู่บ้านมันส่วนผมเป็นผู้มาขออาศัย
สาบานได้เลยว่าเปลวที่ผมรู้จักกวนตีนน้อยกว่านี้นิดนึง หรือนี่คือตัวตนที่แท้จริงของมัน ช่างเถอะ ขี้เกียจคิดเว้ย ผมเดินนำมันเข้าไปในหมู่บ้าน เลยป้อมยามมาหน่อยจะมีบ่อน้ำที่มีรูปปั้นเปกาซัสอย่างสวยสูงประมาณสามเมตรเรียงรายต่อกันหลายตัวตลอดทางเดินยาว สองข้างทางก็ตกแต่งด้วยต้นไม้ตัดแต่งอย่างดี
เห็นไหมผมไม่ได้ขี้โม้อะไร รวยก็บอกว่ารวย เป็นคนตรงๆนะ ตะลึงไปเลยใช่ไหมไอ้อ่อนเปลว ฮ่าๆๆๆ
“บ้านกูสวยใช่ไหมหละ” เดินเข้ามาได้สักพัก ผมก็ยิ้มกว้างก่อนจะหันไปถามมันอย่างภาคภูมิใจ ส่วนมือก็ล้วงกุญแจขึ้นมาไขประตูรั้วเข้าบ้าน ความจริงผมมีแม่บ้านอยู่คนนึงแต่ตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้วผมไม่อยากรบกวนเวลานอนป้าแก แกต้องตื่นไปจ่ายตลาดแต่เช้า
เปลวเหลือบมอง ’บ้าน’ ที่ว่าของผม ผมขอเดาเอาเองได้ไหมว่ามันจะเข้าใจสิ่งที่ผมนำเสนอให้คนที่มาบ้านผมดูทุกครั้ง
ไม่ใช่ตัวบ้านที่ทางหมู่บ้านออกแบบมา แน่นอนว่าแค่ทางเดินยังสวยขนาดนั้นตัวบ้านเองก็คงไม่น้อยหน้าหรอก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวผมสร้างไง สิ่งที่ผมพูดก็คือสวน
สวนดอกไม้เล็กๆที่มีดอกไม้หลายชนิดผลิบานเรียงกันเป็นสีรุ้ง
มันดูเด็กน้อยและตุ๊ดแต๋วมากถ้าผมจะบอกว่าผมนี่แหละเป็นคนปลูก แต่ผมก็เป็นคนปลูกเองจริงๆ ขุดดิน รดน้ำ ซื้อต้นมาเองกับมือ
“ของขวัญวันเกิดให้น้ำตาล” ผมรีบหันไปบอกมันที่ยืนมองสวนดอกไม้ขนาดย่อมด้วยรอยยิ้มล้อๆ ก่อนที่มันจะเข้าใจผิดไปว่าผมมีรสนิยมด้านนี้
“น้องสาวเหรอ” เปลวถามขณะที่พวกเราเข้ามาในตัวบ้านแล้ว
เวลานี้พ่อกับแม่ผมน่าจะเข้านอนไปพร้อมกับน้ำตาลแล้วทั้งบ้านเลยเงียบสนิทไฟทุกดวงถูกปิด ผมเอื้อมมือไปกดสวิทไฟก่อนจะชี้ไปที่กรอปรูปสีชมพูอ่อนที่ตั้งอยู่ในบิวต์อินของห้องนั่งเล่นพร้อมพยักหน้าว่านี่แหละน้องสาวกู น่ารักไหมหละ
ภาพเด็กน้อยน่ารักอายุประมาณห้าขวบยิ้มสดใสให้จากในรูปทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม น้ำตาลเป็นน้องที่อายุห่างกับผมกว่าสิบปีทำให้ผมรักและเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษในฐานะพี่ชายแล้วยอมรับเลยว่าหลงน้องมากกกกกก
“น่ารักดีเนอะ” เปลวเองก็กำลังยิ้มอยู่
“อื้อออ ใช่มะ น้องกูเวลายิ้มนี่นะ โอ๊ยยย...”
“เปล่า กูหมายถึงมึง”
“!?”
.
.
...................................................................................
มาต่อแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์มากๆเลยนะคะ
เป็นกำลังใจนการแต่งได้มากเลย อิอิ