การใช้หนี้ครั้งที่ 12 : Boss's Boss
ผมตื่นเช้ามาบนโซฟาตัวยาวหน้าทีวี อุณหภูมิในห้องราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ โชคดีที่บนตัวมีผ้าห่มผืนหนาคลุมกาย ถ้านี่คือละครโรแมนติก ผ้าห่มผืนนี้คงมาอยู่ร่างกลางดึกโดยที่ผมไม่รู้ตัว แต่เพราะมันไม่ใช่เรื่องราวจึงต่างออกไป
" มึงจะเข้าห้องน้ำอะไรหนักหนาวะ เข้าบ่อยขนาดนี้ นอนในนั้นเลยมั้ย " เสียงตะโกนลั่นดังมาจากอีกชีวิตร่วมห้อง คนที่ควรจะนอนหลับสบายบนเตียงคิงไซส์ น่าแปลกที่ตอนนี้เขากำลังยืนมองผมอยู่หน้าประตูห้องนอน
" ถ้าในนั้นมันมีหมอนผมก็คงนอนไปแล้ว " คำตอบผมไม่ใช่การประชดประชันหากแต่เป็นสิ่งที่ผมคิด ในเมื่อห้องน้ำเป็นสถานที่เดียวที่อบอุ่น เหมาะแก่การลี้ภัยหนาวจากด้านนอก ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ปรับแอร์ ผมอยากทำนะแต่หาที่ปรับเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
" น่ารำคาญ! "
ปัง
สิ้นเสียงเจ้าหนี้พร้อมกับเสียงประตูห้อง ผมยืนงงอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินจากหน้าห้องน้ำกลับไปที่โซฟาตัวเดิม
พรึ่บ
ปัง
ผมยกศรีษะขึ้นมองทั้งๆ ที่เพิ่งล้มตัวลงนอนแท้ๆ ก็พบว่าหน้าห้องนอนของบุคคลเจ้าปัญหา มีผ้าห่มผืนหนากองอยู่กับหมอนสีขาวบนพื้น ไม่รอช้า ผมรีบเดินไปหยิบเอามาใช้ห่มตัวแล้วหลับโดยเร็วก่อนที่อีกฝ่ายจะมาทวงคืน
ไม่ว่าสิ่งที่เขาทำจะเพราะความปรารถนาดีหรือรำคาญตามที่พูด ผมก็ไม่สน อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้ว่า ลึกๆ แล้ว คุณเจ้าหนี้ของผมเขาไม่ได้ไร้หัวใจ
" หลับสบายมั้ย "
น้ำเสียงเรียบไต่ถามระหว่างทางที่รถเคลื่อนที่ออกจากโรงแรมไปยังบ้านลูกหนี้คนสำคัญ ถ้าไม่สำคัญคุณปูนคงไม่ลงทุนมาด้วยตัวเองแบบนี้หรอก แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมไม่พาพวกยักษ์ชุดสูทมาด้วย ไม่กลัวโดนฆ่าตายรึไง ทีตอนผมขนมายังกับจะออกศึก
" ครับ แล้วคุณ ? "
" ลืมไปแล้วหรอว่ากูนอนเตียง ไม่ใช่โซฟา "
ผมตั้งหน้าตั้งขับรถต่อไปไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไร เมื่อคำพูดห้วนๆ ที่แสนคุ้นชินหลุดออกมา เคยคิดเหมือนกันนะ ถ้าสมมติคนที่นั่งข้างๆ ผมเกิดหัวฟาดพื้นความจำเสื่อม แล้วกลายเป็นคนพูดจาหวานหูเหมือนในฝันครั้งก่อนของผม ผมจะรู้สึกดีจนลืมผู้ชายปาก..คนนี้รึเปล่า
" ถึงแยกหน้าก็เลี้ยวซ้าย โอ้ย "
" คุณปูนเป็นอะไรรึเปล่าครับ ดูท่าทางไม่ดีตั้งแต่นั่งรถมาแล้ว หน้าตาซีดเซียว ร่างกายไม่สู้ดี คล้ายจะมีไข้ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ปัสสาวะไม่ค่อยคล่อง มองทางไม่ค่อยเห็น "
" พอเลยมึงเป็นหมอรึไง "
ผมพูดกลั้วหัวเราะพลางหักเลี้ยวตามที่เจ้านายสั่ง ในจังหวะที่มองกระจกก็เหลือบมองคนข้างๆ ด้วย ดูท่าจะปวดท้องมาก ไม่งั้นคงไม่ร้องครางออกมาแถมเอามือกดไว้แบบนั้น
" เปล่าครับ แต่แฟนเก่าเป็น "
" จอดรถ! "
เอี๊ยด
ผมเบรครถทันทีเพราะกลัวจะเลยบ้านเป้าหมาย แต่พอชะเง้อคอยืดคอยาวมองไปรอบๆ ก็เห็นสองข้างทางมีเพียงป่ารกชัน
" ถึงแล้วหรอครับ ตรงนี้ไม่เห็นมีบ้านซักหลัง "
" ลงไป "
ห๊ะ..ว่าไงนะ ตรงนี้หรอ ไม่มีทาง ผมรีบส่ายหน้าส่งสายตาอ้อนวอน สำนึกผิดในเรื่องที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรให้ไม่พอใจ ผมรู้ว่าคุณชายใจร้าย แต่อย่าถึงขั้นทำแบบนี้กับผมเลย แถวนี้ทั้งรกทั้งเปลี่ยว ถึงจะไม่มืดผมก็กลัวนะ
" กล้าขัดคำสั่งกูหรอ ลงไป! "
เจอเสียงทุ้มหนักถูกส่งมาพร้อมสายตาเอาจริง ผมก็หมดปัญญาต้านทาน สุดท้ายเลยต้องลงจากรถโดยดุษฎี
" ยืนทำซากอะไร ขึ้นมา "
เจ้าหนี้ที่กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับเรียกผมที่ยืนเอ๋อข้างทางให้ขึ้นรถ งงสิครับ
หลังปิดประตูรถผมก็เอ่ยปากพูดแต่ไม่ทันจบประโยคก็โดนคนข้างๆ แทรก
" มึงคิดว่ากูจะทิ้งมึงไว้ตรงนี้รึไง " ผมพยักหน้ารัวๆ ตรงข้ามกับเจ้าหนี้ที่ส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันกลับมาจ้องตาผมนิ่งแล้วพูดน้ำเสียงจริงจัง
" จำไว้ กูไม่วันทิ้งมึงง่ายๆ หรอก "
เสียงหัวใจผมทำงานหนักขึ้น คล้ายมันกำลังพองโตและอีกไม่นานคงจะระเบิดออกมาเต้นอยู่นอกอก ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาขัดขึ้นซะก่อน
" ตราบเท่าที่มึงยังใช้หนี้แทนพ่อไม่หมด "
ผ่านไปซักพักใหญ่เมอสิเดรสคันโก้ก็มาจอดอยู่หน้าบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ตรงรั้วบ้านมีป้ายไม้ขนาดใหญ่เขียนว่า เลื่องลือเดชาชาญ แขวนไว้
ผมก้มมองแฟ้มในมือปรากฏว่าตรงกับข้อมูลที่เจ้าหนี้เอามาให้อ่านพลางอธิบายเกี่ยวกับบุคคลที่กำลังจะเจอ นี่คงเป็นเหตุผลที่เขามาขับรถแทน แต่ก็อดสงสัยประโยคตอนก่อนจะโยนแฟ้มให้ไม่ได้
" บางอดีตไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ กูไม่อยากได้ยิน "
ผมเดินลงจากรถมายืนข้างคุณปูนที่ลงมาก่อนหน้า ไม่นานรั้วอลูมีเนียมสูงก็ถูกเปิดออกด้วยสิ่งที่ควบคุมมันจากระยะไกล ผมเดาว่าเจ้าของบ้านคงเห็นเราจากกล้องวงจรปิดตรงทางเข้า ทำให้เขากดเปิดรั้วโดยไม่ต้องออกมาดู
จากรั้วบ้านถึงตัวบ้านเป็นระยะทางไกลพอสมควร แถมไม่ให้นำรถเข้าไปอีก โชคดีที่ภายในมีรถกอล์ฟมาบริการ ทำให้เราสองคนไม่ต้องเดินตากแดดที่กำลังร้อนได้ที่
" สวัสดีครับคุณปุณณัตต์ และคุณ เอ่อ... " ทันทีที่ลงจากรถกอล์ฟ ผู้ชายวัยกลางคนในชุดสูทท่าทางสุภาพซึ่งยืนรอเราที่ประตูบ้านอยู่ก่อนแล้วมองหน้าผมด้วยความสงสัย ผมเลยแนะนำตัวเสร็จสรรพ
" ผม ยศภัทร ครับ เป็นเลขาคนใหม่ของคุณปุณณัตต์มาทำงานแทนคุณพิสิษฐ์ชั่วคราว "
คิ้วขมวดเป็นปมในตอนแรกเริ่มคลายออก กลายเป็นใบหน้ายิ้มแย้มของชายตรงหน้า
" ถึงว่า ยังเด็กอยู่เลย ผมชื่อ นนทศักดิ์ ยินดีที่ได้พบครับ คุณยศภัทร ยังไงก็เชิญคุณทั้งสองเข้าไปในบ้านก่อน คุณท่านตั้งโต๊ะอาหารไว้รอแล้วครับ "
ผมคิดทบทวนข้อมูลที่เพิ่งอ่านระหว่างเดิน คุณนนทศักดิ์คงเป็นคนสนิทของคุณกิตติ นักการเมืองใหญ่วัย 50 ปลายๆ มีรสนิยมการแต่งตัวคล้ายเสี่ยชอบหนีเมียไปสถานบันเทิง ไว้ผมทรงชะโดตีแปลง รูปร่างท้วม ผิวขาวเหลืองมีรอยกละตามวัย ดวงตาเล็กตี่ ใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลาแม้ในเวลาที่ไม่พอใจ และนั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเพราะเราไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วเขากำลังคิดำอะไรอยู่กันแน่
“ สวัสดีครับคุณปุณณัตต์ ขอโทษที่ทำให้ลำบากต้องมาหาผมถึงที่บ้าน นั่งทานข้าวด้วยกันก่อนสิครับ ผมให้เด็กจัดไว้ให้คุณและอ้าว ผมนึกว่าคุณมากับคุณพิสิษฐ์ ”
“ นี่เลขาใหม่ของผมชื่อ ยศภัทร มาทำงานแทนคุณพิท ขอบคุณสำหรับอาหารนะครับแต่ผมทานมาเรียบร้อยแล้ว ขอเข้าเรื่องเลยดีกว่า ”
คุณปูนพูดหน้าตาเรียบเฉย ผมเห็นคนฟังชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมายิ้มเป็นปกติเหมือนในตอนแรก
“ รีบร้อนอะไรขนาดนั้นครับ ทานข้าวเป็นเพื่อนผมก่อนสิ ผมมีคนจะแนะนำให้คุณรู้จักด้วยนะ ”
คนข้างผมชั่งใจเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เดินไปร่วมโต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามเจ้าของบ้าน ก่อนจะส่งสายตาบอกให้ผมนั่งตาม โชคดีที่เป็นโต๊ะกลมเลยไม่ต้องสนใจเรื่องมารยาทหัวโต๊ะเท่าไหร่
“ อุ้งตีนหมีน้ำแดง จานพิเศษที่ผมเตรียมไว้ให้คุณปุณณัตต์โดยเฉพาะ ” ทันทีที่พูดจบอาหารจานแรกก็ถูกเสริ์ฟลงบนกระจกหมุนกลางโต๊ะ แค่ได้ฟังชื่อก็คลื่นไส้แล้ว พอเห็นหน้าตาอยากจะขอตัวไปอาเจียนซะจริงๆ
“ ลองชิมสิครับ รับรองติดใจ ”
“ พอดีผมไม่ทานเนื้อสัตว์ ” อื้อหื้อ คุณเป็นมังตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้ข่าวว่าอาหารที่บ้านแต่ละจานแทบจะไม่มีผักเลยนะคุณปูน
“ หว่า แย่จัง ผมยังมีเมนูเด็ดให้คุณลองอีกตั้งเยอะ ไหนจะเป็นสมองลิงผัดฉ่า ห่อหมกละมั่ง กระต่ายทรงเครื่อง สิงโตแดดเดียว ”
ผมคิดว่าผมชักอยากเป็นมังตามเจ้าหนี้แล้วล่ะ แม่งเป็นนักการเมืองหรือนายพรานว่ะ อาหารแต่ละอย่างมันช่าง..น่าสะอิดสะเอียน
“ ไม่เป็นไรครับ งั้นมาเข้าเรื่องของเราเลย ”
คุณปูนพยักหน้าส่งสายตาว่าพร้อมมาตั้งนานแล้ว
“ หนี้สินทั้งหมดของคุณกิตติรวมทั้งต้นทั้งดอกแล้วเป็นเงิน 123,456,789.- บาทครับ ” ผมต้องควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติแม้ว่าในใจจะสั่นระทึกเพียงใดก็ตาม นี่คืองานแรกของผม ผมต้องทำมันให้ดี อย่าให้มีความผิดพลาด ถ้าผมทำได้หนี้สินของตัวเองก็จะลดลงไป ถึงแม้ว่าหนี้พ่อผมจะเทียบไม่ได้กับคนตรงหน้า แต่ผมคงไม่อาจหัวเราะไม่สะทกสะท้านแบบเขาได้หรอก
“ ไม่คิดว่าดอกจะขึ้นเร็วกว่ามิเตอร์แท็กซี่ ” คุณกิตติยังคงขำราวกับว่าเงินจำนวนนี้เป็นเรื่องตลก
“ ผมคิดว่าผมให้เวลาคุณเลื่อนชำระมาพอแล้วคุณกิตติ ” เสียงเรียบจนน่าขนลุกดังมาจากคนข้างๆ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรคนฝั่งตรงข้ามได้เลยแม้แต่น้อย
“ อย่าเพิ่งใจร้อนครับคุณปุณณัตต์ ผมจ่ายแน่ไม่ต้องห่วง แต่หลังจากที่ผมแนะนำใครบางคนให้คุณรู้จักก่อน เข้ามา ”
สิ้นคำเสี่ยใหญ่ก็ปรากฏภาพหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงขับผิวขาวจัดเดินเข้ามาภายในห้อง ขนาดผมเป็นเกย์ยังอดตะลึงกับเสน่ห์ของคนมาใหม่ไม่ได้ ผมยาวสยายถูกจับเป็นลอนเข้ากับใบหน้าสะสวยรูปไข่ที่ถูกแต่งแต้มมาเป็นอย่างดี ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณปูน เดรสที่สวมเป็นลูกไม้แขนยาวเหนือเข่าเปิดอกกว้างจนเจ้าซาลาเปาสองลูกแทบทะลักออกมาอยู่ด้านนอก ผมเห็นแล้วอดสงสัยคนข้างๆ ไม่ได้ว่าเขาจะมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตายังไง
“ กณิกนันต์ ลูกสาวของผมครับ ไหว้พี่เขาสิลูก ”
หญิงสาวพุ่มมือไหว้คุณปูนตามคำสั่งของบิดา ผมเห็นคุณปูนรับไหว้ด้วยสายตาเรียบเฉยปราศจากความตื่นเต้น ผมลอบ
ถอนหายใจอย่างโล่งที่เขาไม่สนใจเธอ พลางคิดว่าชายแก่ตรงหน้าร้ายไม่เบา เหตุผลที่เขาหนีหนี้เพียงเพราะอยากให้คุณปูนมาที่บ้านเพื่อมาดูตัวลูกสาวหรอ เหอะ
“ สวัสดีครับ คุณกณิกนันต์ ”
“ เรียกนิกเฉยๆ ก็ได้ค่ะ พี่ปูน เรียกพี่แบบนี้คงไม่เสียมารยาทนะคะ ”
รอยยิ้มหวานบวกกับดวงตาเยิ้มมองใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าหนี้ผมไม่ละสายตา เห็นแล้วอดหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ ดีนะที่คุณปูนไม่เล่นด้วย ไม่งั้นผมคง....คงทำอะไรไม่ได้
“ ผมว่าเรียกปุณณัตต์จะดีกว่านะครับ คุณกณิกนันต์ ” เห็นด้วยที่สุด คุณปูนมีน้องคนเดียวเว้ย จำไว้ ยัยมนุษย์ป้า แล้วผมไปเหวี่ยงอะไรเขาเนี่ย ไม่รู้แหละ ตอนนี้ผมกำลังสะใจที่คำพูดเจ้าหนี้ทำเอาสองพ่อลูกคู่นี้หน้าเสีย
“ ฮ่าๆ สมแล้วที่เป็นคุณปุณณัตต์ ทำอะไรเป็นการเป็นงานไปหมด ” แม้ปากเล็กจะหัวเราะแต่ก็ไม่อาจกลบเกลื่อนสายตาไม่พอใจคู่นั้นได้ คงไม่เคยถูกขัดใจมาก่อนสินะ
" ผมขอเข้าเรื่องของผมเช่นกัน ตามข้อตกลงในสัญญา "
ทุกคนในห้องอาหารนิ่งเงียบฟัง และมองคุณกิตติเป็นตาเดียว
" ผมขอใช้ลูกสาวขัดดอก "
( มีต่อ : ไม่แน่ใจนะว่าวันนี้เสร็จป่าว >< )