แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องพัก ขับไล่ความเหน็บหนาวของฤดูกาลให้ลางเลือน พร้อมกับปลุกคนทั้งสองให้พบกับโลกใบเดิม ทว่า...ความสุขอิ่มเอมในใจนั้นเปลี่ยนไป
"อรุณสวัสดิ์" อีธานที่ตื่นนานแล้วเอ่ยทัก เขามองใบหน้าหวานอ้าปากหาวน้อยๆ เปลือกตาย่นเข้ามากันก่อนลืมตาขึ้นมอง พอเห็นอีธานมองมาก็ยกศีรษะขึ้นเพื่อแตะปลายจมูกกับอีกฝ่าย
"อรุณสวัสดิ์"
"หลับสบายไหม เมื่อคืนว่าจะอุ้มเข้าไปนอนในห้องแต่กลัวตื่น"
"มากๆ กอดมึงแล้วอุ่นดี"
"ปกติก็นอนกอดกูอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" หมอหนุ่มหัวเราะร่า ใช้นิ้วหนีบสันจมูกเจ้าชีวีโยกเล่นไปมา
"วันนี้อุ่นกว่าทุกวัน เพราะเรารักกัน" อีธานหมดคำพูดจะโต้เถียงกับคนเด็กกว่า เขาอมยิ้มแล้วเริ่มปล้ำจูบอีกฝ่ายตั้งแต่ใบหน้าขาวไล่ลงมาจนถึงแผ่นหลังเปลือย
"ใช่... เรารักกัน" กระซิบเบาชิดใบหูขาว ถ้อยคำที่จางเจือทว่ากลับแทรกซึมลึกในหัวใจ
คนได้ฟังอมยิ้มน้อยๆ ใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาของอีธานเอาไว้ "กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง มึงอยากฟังไหม"
"เล่ามาสิ" อีธานเท้าศอกข้างหนึ่งบนพื้นโซฟาเพื่อใช้ฝ่ามือรองศีรษะ แขนอีกข้างหนึ่งวางไว้บนเอวบาง ตั้งหน้าตั้งตารอฟังสิ่งที่เจ้าชีวีจะเล่าให้เขาฟัง
"เมื่อหลายปีก่อนนู้นเลยนะ มีชายหญิงคู่หนึ่งเจอกันที่ห้องอาหารในโรงแรม มันเป็นงานดูตัวที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ ไม่นานสองคนนั้นก็แต่งงานกัน แล้วก็มีลูกชายคนนึงชื่อกษิดิ์เดช ตอนแรกก็ดูรักกันดี แต่ไม่นาน...การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักก็ทำท่าไปไม่รอด ถึงอย่างนั้นก็ต้องประคับประคองสถานะสามีภรรยาเอาไว้ สิบปีต่อมา...ฝ่ายผู้หญิงก็ตั้งท้องลูกคนที่สอง มันเป็นเรื่องน่ายินดี แต่คงไม่สำหรับเธอและสามี เธอกำลังวางแผนหย่า ถ้าเธอท้องการหย่าก็เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเธอตัดสินใจกินยาขับเลือด มันเกือบจะสำเร็จถ้าคนรับใช้ไม่มาเจอเสียก่อน และเด็กในท้องเธอก็รอดมาได้ ถึงอย่างนั้นก็เกิดมาไม่แข็งแรงนักหรอก เด็กคนนั้นคลอดก่อนกำหนดตั้งสามเดือน ออกมาตัวเล็กนิดเดียว แถมต้องนอนโรงพยาบาลเป็นปีๆ"
อีธานใช้ดวงตามองคนตรงหน้าที่เล่าเรื่องราวนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างตั้งใจ ไม่พูดขัดหรือพูดปลอบใจอะไรนอกจากเลื่อนมือขึ้นจากเอวบางเกี่ยวเส้นผมสีอ่อนขึ้นทัดใบหูให้
"พอเด็กคนนั้นกลับมาอยู่บ้าน ไม่มีใครสักคนมองเห็นเขา นอกเสียจากคุณย่าของเด็กคนนั้น เธอตั้งชื่อให้หลานชาย เธอพาหลานชายคนเล็กไปต่างประเทศด้วยบ่อยๆ ไปหาหมอบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง ให้ความรักแก่เด็กคนนั้นมากเท่าที่เธอจะมอบให้ได้ แน่นอน...เด็กคนนั้นมีความสุขมาก...มากจริงๆ แต่แล้วเธอก็ทิ้งเด็กคนนั้นไปตลอดกาล ชีวิตของเด็กคนนั้นกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง เขาหมุนคว้าง รู้สึกว่างเปล่า และเดินต่อไม่ไหว ในเมื่อไม่มีตัวตนในสายตาคนรอบข้างแล้วเขาจะอยู่ต่อไปทำไม เด็กคนนั้นจึงตัดสินใจหยิบมีดรีดเลือดออกจากตนเองเสีย แต่ว่า...ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่เห็นเด็กคนนั้น"
เจ้าชีวียกมือแตะใบหน้าอีธานอีกหน เขาค่อยๆ ลูบใบหน้านั้นด้วยความรักใคร่ คิ้วหนาพาดเฉียงเสริมรับกับดวงตาโตทว่าดุดันสีเข้ม จมูกโด่งราวสันเขื่อน ริมฝีปากเล็กเป็นกระจับคล้ายปากนก หากมองรวมกันแล้วกลับหล่อเหลาสะดุดตาใครต่อใคร
"คนนั้นฉุดเด็กชายขึ้นมาจากความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็อยู่เคียงข้างตลอดมา"
"เพราะว่าเขามองเห็นเด็กคนนั้น ตั้งแต่วันที่รับมือเล็กนั้นมากอบกุมไว้...และจะไม่มีวันปล่อยมือนั้นไปไหน แม้แต่ความตาย ก็จะไม่ยอมให้มาพรากจากไป"
"จะทำได้จริงเร้อ..."
"รู้ไหมว่าชื่อกูแปลว่าอะไร" ศีรษะกลมส่ายไปมาแทนคำตอบ อีธานจึงหนีบแก้มกลมนั่นหนึ่งทีก่อนเฉลย "ซิ่นฉี ซิ่นคือความศรัทธา ฉีคือเทวดา พอรวมกันก็จะกลายเป็นเชื่อมั่นในเทวดา เพราะงั้นมึงเชื่อกูได้แน่ๆ"
"โอเค งั้นต่อไปนี้ถ้ากูใกล้ตายกูจะเรียกซิ่นฉีให้มาช่วยนะ"
"แล้วกูจะรีบไปหาเลย"
.
.
.
เข้าเดือนธันวาคม อากาศเริ่มหนาวลง อีธานยังคงต้องไปทำงานทุกวัน แม้มันจะน่าเบื่อบ้างที่ต้องลุยรถติดไปทำงาน แต่หากกลับบ้านมาแล้วเจอรอยยิ้มใสๆ ของเจ้าชีวี ความเครียดที่สั่งสมมาทั้งวันก็มลายหายไปทันที
"ซิ่นฉี" เจ้าชีวีเอ่ยเรียกไว้ก่อนที่เขาจะเดินผ่านประตูออกไป อีธานหันกลับมามองคนที่เรียกเขาว่าซิ่นฉีได้เกือบสัปดาห์ด้วยรอยยิ้ม
"อะไร"
"พันอันนี้ไว้นะ คอจะได้อุ่นๆ เป็นคุณหมอจะมาป่วยเองไม่ได้นะ" พูดจบก็ชูผ้าพันคอไหมพรมผืนยาวสีฟ้าเข้มให้อีกฝ่ายดู
"อย่าบอกนะว่าที่นั่งถักอยู่ทุกวันนี่ถักให้กูน่ะ"
"เออสิ" เจ้าชีวีคลี่ผ้าพันคอออกก่อนนำมันไปพันรอบคอของอีธาน "ถ้าคอเย็นแล้วจะไม่สบายนะ"
อีธานคลี่ยิ้มบาง ชะโงกหน้าเข้าไปจูบมุมปากอีกคนเบาๆ "ขอบใจนะ"
"อื้อ! วันนี้ก็...ไฟท์ติ้งนะ" ร่างบางกำหมัดสองข้างส่งยิ้มกว้างให้กำลังใจ เท่านั้นอีธานก็ไปทำงานอย่างมีความสุขยิ่งกว่าทุกวัน
บานประตูห้องปิดลงพร้อมกับร่างของเจ้าชีวีที่ทรุดลงไปนอนกับพื้น สองมือกุมหน้าท้องแน่น ใบหน้าขาวซีด หากริมฝีปากกับกัดแน่นกั้นเสียงร้อง เขากลัวอีธานได้ยินแล้วจะวิ่งกลับมา ไม่อยาก...ให้คนที่เพิ่งจากไปต้องเป็นห่วง
"คุณวีคะ... ฉันตามคุณหมอให้นะคะ" แม่บ้านที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวเห็นร่างบางนอนคู่ตัวกับพื้นก็ตกใจ เธอรีบวิ่งเข้ามาดูอีกฝ่าย แต่ก็ถูกมือขาวปัดทิ้ง
"ไม่..."
"แต่ว่าพักนี้คุณวีปวดแบบนี้บ่อยนะคะ ฉันว่าตามคุณหมอเถอะค่ะ"
"ไม่... ฉันบอกว่าไม่ยังไงเล่า!" เขาตวาดใส่แม่บ้านที่เดินไปหยิบโทรศัพท์ ใบหน้าหวานยู่ลงอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด "ยา... เอายามาให้ฉัน"
"แต่..."
ปั้ง!"ฉันบอกให้เอายามา!" เขารวบรวมแรงครั้งสุดท้ายทุบพื้นเสียงดัง ดวงตากลมโตหรี่มองแม่บ้านทำเอาเธอกลัวลนลาน แม้น้ำเสียงที่สั่งออกจะไปแหบพร่าด้วยสติเลือนลางเต็มที "ไปเอามา... ไปเอายามา..."
"คะ ค่ะ ฉันจะรีบไปเอายาค่ะ" หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชีวี หยิบยาแก้ปวดบนหัวเตียงมาให้อีกฝ่ายตามตรงการพร้อมกับแก้วน้ำ เธอค่อยๆ ประคองร่างสูงของเจ้านายขึ้นเพื่อให้สามารถกลืนยาลงไปได้ พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่เจ้าชีวีจะหายปวด
แม่บ้านต้องค่อยๆ ประคองเขาเข้าไปนอนในห้อง แม้จะปวดจนเพลียแทบหมดแรงลืมตาแต่เจ้าชีวีก็ไม่ลืมที่จะสั่งหล่อนในเรื่องสำคัญ
"อย่าบอกคุณหมอนะ ถ้าปากโป้งเมื่อไหร่ฉันจะไล่เธอออก"
"ค่ะ"
เจ้าชีวีไม่รู้หรอกว่าแม่บ้านจะทำจริงอย่างที่รับปากหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาเพลียเกินกว่าจะทำอะไรได้อีก ลมหายใจที่หอบรุนแรงด้วยอาการเจ็บปวดในร่างกายเริ่มเพลาความถี่ลง ไม่นานก็กลับเป็นการหายใจเบาๆ สม่ำเสมอแทนเมื่อเจ้าของร่างเข้าสู่ห้วงนิทรา
เขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ เจ้าชีวีจะอยู่กับอีธานให้ได้ถึงร้อยปี
หรือจนกว่าอีธานจะไม่ต้องการเขาอีกต่อไป.
.
.
I wanna make you smile
whenever you're sad
carry you around when your arthritis is bad
all I wanna do, is grow old with you
ใกล้คริสมาสต์แล้วแต่อากาศที่หนาวลงเรื่อยๆ กลับอุ่นขึ้น อีธานได้วันหยุดยาวช่วงท้ายปีตั้งแต่ก่อนคริสมาสต์ เขาคิดไว้ว่าอาจจะพาเจ้าชีวีไปนิวยอร์กหาเพื่อนๆ ที่นั่น
ทว่า...ก่อนเดินทางกลับนิวยอร์กสองวัน เจ้าชีวีก็ชวนอีธานไปเที่ยวสวนสนุกในเมืองก่อน
"จะว่าไป...ตั้งแต่ที่ไปยูนิเวอร์แซลสตูดิโอตอนเกรดสิบ กูกับมึงก็ไม่ได้ไปสวนสนุกอีกเลยนี่นะ" ฝ่ามือหนาแตะคางอย่างใช้ความคิด
"ใช่ม้า... เสร็จแล้วเราไปเล่นไอซ์สเก็ตกันนะ"
"โอเค ไปก็ไป"
"งั้นไปเลยนะ"
"ตอนนี้?" คุณหมอถามเสียงสูง ตอนนี้ที่เขาว่าก็คือห้าโมงเย็น
"ใช่ ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไม่ทันขบวนพาเหรด" เจ้าชีวียิ้มหน้าแป้นแล้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับผ้าพันคอสองผืนในมือ "ไปกันเลยเนอะ"
แล้วอีธานจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อถูกอ้อนด้วยรอยยิ้มหวานสดใสของคนรัก เจ้าชีวีเดินมาพันผ้าพันคอให้เขาแล้วค่อยพันให้ตัวเอง ก่อนที่ทั้งคู่จะจับจูงมือกันเดินออกจากห้องไป
ที่สวนสนุกตอนเย็นคนไม่ได้บางตาอย่างที่อีธานคาดไว้ เหล่าเด็กนักเรียนมัธยมที่เพิ่งเลิกเรียนต่างมาเที่ยวเล่นเต็มไปหมด จึงกลายเป็นภาพแปลกตาไม่น้อยที่ผู้ชายวัยทำงานตัวโตๆ สองคนเดินจับมือกันมาเที่ยวสวนสนุก
"เฮ้ย! อันนี้น่ารักดีว่ะ" อันนี้ที่เจ้าชีวีว่าคือที่คาดผมรูปหูสัตว์ นิ้วยาวชี้ไปที่ของเหล่านั้นราวกับต้องการได้ ตากลมโตเป็นประกายวิบวับ "ซื้อใส่กันเถอะ"
"อายุเท่าไหร่แล้วมึง"
"ยี่สิบสี่" คนถูกถามตอบหน้าแป้นแล้น ก่อนออกแรงลากคนตัวโตกว่าหน่อยไปที่ซุ้มขายของ มือผอมหยิบอันนู้นอันนี้ขึ้นมาเทียบบนหัวตนเองกับคนรัก แม้ใจอีธานอยากจะขัดแทบตาย...แต่พอเห็นหน้าเจ้าชีวียิ้มแย้มสดใสก็ไม่พูดว่าอะไร สุดท้ายเขาก็ได้หูกระต่ายมาสวมหัว ส่วนคนต้นคิดกลับไม่ได้ซื้อ
"ทำไมกูต้องเป็นกระต่ายด้วยว่ะ"
"น่ารักดีออกคุณกระต่าย"
"แล้วทำไมมึงไม่ซื้อมาใส่บ้าง กูใส่คนเดียวกูก็อายเป็นนะเว้ย"
"ก็วันนี้กูเป็นอลิซ แล้วมึงก็เป็นกระต่ายที่จะพาอลิซไปท่องแดนมหัศจรรย์ไง"
"เอางั้น?"
"เออ อย่าบ่นมาเป็นตาแก่น่า ไปเล่นกันดีกว่า กูอยากเล่นไอ้นั่นมากเลย ไม่ได้เล่นตั้งนาน" อีธานมองตามนิ้วยาวที่ชี้ไปทางเครื่องเล่นอันหนึ่งแล้วส่ายหัว
"Merry-go-around?"
"Yeeeeeeeeeeeeeeeeees!" เป็นอีกครั้งที่อีธานยอมแพ้ให้กับรอยยิ้มสดใสนั้น เขาปล่อยให้เจ้าชีวีลากไปที่ม้าหมุนเพื่อต่อแถวรอเล่นเครื่องเล่นกับพวกเด็กตัวจิ๋ว
หลังจากต่อแถวรอเกือบสิบห้านาที ก็ถึงคิวของทั้งคู่เสียที เจ้าชีวีวิ่งนำหน้าอีธานไปที่ม้าตัวหนึ่ง หน้าหวานเหลียวซ้ายมองขวาหาคนรัก กวักมือเรียกให้ตามมาไวๆ พอเขามาถึงตัวก็จับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนหลังม้าทำเหมือนเจ้าชีวีเป็นเด็กเล็กๆ
"ซิ่นฉี ตัวนี้ว่างอยู่"
"มึงเล่นเถอะ กูขอยืนกับมึงดีกว่า ขึ้นไปนั่งบนนั้นกลัวของเขาพัง"
"กูนั่งยังไม่เห็นพังเลย ตัวพอๆ กันมึงกลัวอะไรวะ"
"ซอรี่ พอดีกูไม่ได้ผอมแบบมึง" จบประโยค เจ้าชีวีก็หัวเราะคิกคักเสียงใส แม้อีธานจะไม่ได้อ้วน แต่น้ำหนักตัวก็มากพอดู อีกอย่างคือเขาอายตัวเองเกินกว่าจะเล่นแบบเจ้าชีวีได้ ขอยืนเป็นกระต่ายบอดี้การ์ดพิทักษ์อลิซรวยฟันก็แล้วกัน
ม้าหมุนเคลื่อนตัวขึ้นลงตามจังหวะกลไกของมัน แสงจากหลอดไฟที่ประดับประดาไปทั่วม้าหมุนให้แสงเหลืองนวลอบอุ่น เสียงเพลงจากลำโพงดังคลอขับกล่อมให้เหล่าบุคคลในที่แห่งนี้หลงลืมช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงไปชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวงดงามราวกับตกอยู่ในความฝัน...
ดินแดนมหัศจรรย์ที่บันดาลทุกอย่างให้เป็นจริงได้อย่างใจนึกเจ้าชีวีพูดคุยกับอีธานด้วยเรื่องราวในอดีตมากมาย วันคืนแห่งความสุขที่พวกเขาได้เจอกัน ประสบการณ์ดีๆ มากมายที่ได้ทำร่วมกัน เสียงหัวเราะของพวกเขาที่หลุดออกมาไม่เว้นช่วงบอกถึงความสุขเหล่านั้นได้ดี
"เขาว่าหัวเราะหนึ่งครั้งอายุยืนไปอีกหนึ่งปี"
"งั้นกูจะหัวเราะทุกวัน จะได้อายุยืนอยู่กับมึงไปนานๆ"
อีธานหลับตาเมื่อเจ้าชีวีโน้มคอลงมาจูบเขา ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะหยุดความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเด็กตัวเปี๊ยกที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ เจ้าหน้าที่บังคับเครื่องที่อาจจะแอบมองดูอยู่ หรือคนที่ยืนดูอยู่ด้านนอก
"กูรักมึง"
เจ้าชีวีไม่เคยเบื่อพูดคำนี้ให้อีธานรู้ และไม่เคยเบื่อฟังคำว่ารักจากปากอีธาน แม้ต้องให้เขาต้องพูดว่ารักจนริมฝีปากแห้งผากก็ตาม พวกเขาจะเดินไปด้วยกัน จะเติบโตและใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปด้วยกัน
I'll miss you, kiss you
Give you my coat when you are cold
Need you, feed you
Oh I could be the man that grows old with you
I wanna grow old with you"แต่งงานกันนะ"
ไม่ต้องมีชุดแต่งงานหรูหรา ไม่ต้องมีบาทหลวงทำพิธี ไม่จำเป็นต้องสาบานรักต่อหน้าพระเจ้า
แค่คำว่ารักที่ออกมาจากใจก็พอ"อืม"
เจ้าชีวีดึงแหวนออกจากนิ้วชี้ มันเป็นแหวนที่ย่าของเขาทิ้งไว้ให้เป็นมรดก แล้วเขาก็ชอบมันมากจนหยิบมาใส่ติดตัวตั้งแต่อายุสิบสี่ "แลกแหวนกัน"
"ค่อยแลกกันวันหลังได้ไหม กูจะซื้อวงใหม่ให้" เขากระซิบถามชิดริมฝีปากอิ่ม แหวนในมือเขาเป็นแค่แหวนแพลตตินัมธรรมดา ไม่ใช่แหวนแพลตตินั่มประดับเพชรของทิฟฟานี่แอนด์โคแบบของเจ้าชีวี อย่างน้อยแค่ของแลกเปลี่ยนแทนใจเขาก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนรัก
"ไม่ต้องหรอก กูชอบวงที่มึงสวมอยู่ เพราะว่ามันอยู่กับมึงมานานที่สุด" เป็นอีกครั้งที่อีธานต้องยอมแพ้เจ้าชีวี แพ้ในเหตุผลของอีกฝ่าย...
อีธานเป็นฝ่ายสวมแหวนของเขาให้ก่อน เขาถอนแหวนออกจากนิ้วนางข้างขวาเพื่อสวมให้เจ้าชีวีที่นิ้วนางข้างซ้าย "หลวมไปหน่อยแฮะ" เขาบ่นอุบเมื่อพบว่าแหวนค่อนข้างหลวมไปมาก แต่เจ้าชีวีก็รีบชักมือกลับทันทีด้วยกลัวอีธานจะเอามันคืน
"ยื่นมือมาได้แล้ว"
"คร้าบๆ" คุณหมอหนุ่มอมยิ้มก่อนยื่นมือออกไปบ้าง เจ้าชีวีจึงรีบสวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายอีกฝ่าย แม้ว่ามันจะค่อนข้างลำบากเล็กน้อยเพราะแหวนวงเล็กกว่านิ้วคุณหมอมาก
"เอาเป็นว่าเราแต่งงานกันแล้วนะ คุณกระต่าย"
"เออ"
คนเจ้ากี้เจ้าการเห็นคนรักทำหน้านิ่งๆ ก็รีบล้วงเป้หยิบกล้องโพราลอยด์ขึ้นมาชูเหนือหัวเปลี่ยนบรรยากาศ "ถ่ายรูปกันดีกว่า เอ้า! ยิ้มหน่อย หนึ่ง สอง สาม ชีส!" นิ้วเรียวกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง แสงแฟลชก็แล่บออกมาให้ได้หยีตากัน เพียงครู่เดียวฟิล์มก็ปริ้นต์ออกมา
ไม่รอให้ฟิล์มอันแรกแห้ง เจ้าชีวีตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปอีกครั้ง เขากอดคออีกคนไว้เป็นหลัก "อีกรูปนะ หนึ่ง สอง สาม..."
จะว่ารู้ทันกันก็คงไม่ผิด เมื่อสิ้นเสียงสามทั้งคู่ต่างหันหน้าเข้าหากันพร้อมกับหลับตาเพื่อจูบแก้มอีกฝ่าย แต่เมื่อพร้อมใจกันแบบนี้มันจึงกลายเป็นการจูบปากกันไปโดยปริยาย
"รูปจูบกันรูปแรกเลยนะเนี่ย" คนกดชัตเตอร์ทำเสียงทะเล้นกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตนเอง แก้มอิ่มขึ้นสีแดงจัด ต่างกันอีธานที่กดริมฝีปากย้ำลงไปข้างขมับซ้าย
"ที่ชวนมาสวนสนุกนี่คือจะชวนแต่งงานกันใช่ไหม"
เจ้าชีวีไม่ตอบนอกจากกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินออกไป อีธานหัวเราะก๊ากที่แกล้งคนเก่งกล้าให้ได้อาย ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตามคนรักที่เดินออกจากบริเวณเครื่องเล่นไปแล้ว
หลังออกจากสวนสนุก เจ้าชีวีพาอีธานมาที่ลานไอซ์สเก็ตบนห้างดังใจกลางเมือง คนมากมายกำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนนั้น ไอซ์สเก็ตอาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่พวกเขาห่างร้างมากนาน ทว่าเจ้าชีวีก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้สไลด์ร่างกายไปบนพื้นน้ำแข็งเย็นๆ
หลังจากเช่ารองเท้าและสวมใส่เรียบร้อย คนอายุน้อยกว่าก็ลงสนามก่อน เจ้าชีวีค่อยๆ ไถลเท้าสลับซ้ายขวาเป็นจังหวะ ไม่นานเมื่อเข้าที่ดีก็เพิ่มความเร็ววิ่งไปรอบๆ สนาม อีธานที่ตามมาทีหลังจึงหยุดรอจนกว่าเจ้าชีวีจะวนกลับมาถึง พอร่างบางเข้ามาใกล้ เขาก็ยื่นมือออกไปจับแล้วพากันวิ่งไปพร้อมกัน
ทวงทำนองเพลงน่ารักๆ พาให้ครึกครื้น เจ้าชีวีทำเป็นเต้นรำกับอีธาน หมุนรอบตัวเอง บางทีก็หมุนตัวลอดวงแขนอีกฝ่าย กว่าจะยอมหยุดคือเหนื่อยจนหายใจหอบ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นสีแดงจัดไปถึงลำคอ
"สนุกไหม"
"มากๆ อันนี้ถือว่าเป็นฮันนีมูนแล้วกัน"
"โรแมนติกเหลือเกิ๊นนนนน" อีธานแกล้งทำเสียงสูง ยกมือขยี้ผมเส้นเล็กสีสว่างของเจ้าชีวีจนมันยุ่งเหยิง
เจ้าชีวีปัดมือเขาออกก่อนเปิดปากพูด "ซิ่นฉี กูมีคำถามข้อนึง"
"ว่ามาสิ" เขายักไหล่ท่าทางสบายๆ มือยังไม่หยุดพยายามจะขยี้หัวเจ้าชีวี "แต่อย่าถามยากมากนะ กูกลัวตอบไม่ถูก"
"มึงตอบได้แน่" น้ำเสียงเจ้าชีวีสะดุดไปเล็กน้อย แต่อีธานไม่ทันได้สังเกตด้วยสาละวนกับการแกล้งคนรัก จนเจ้าชีวีต้องดึงมือนั้นมือกุมไว้ด้วยสองมือ "ถ้าวันหนึ่งกูตาย แล้วมึงเจอคนที่เหมือนกูทุกอย่าง มึงจะรักคนๆ นั้นไหม"
อีธานชะงักมือที่จะดึงออกจากการเกาะกุมทันที เขาจ้องตาอีกฝ่ายและเปลี่ยนเป็นบีบสองมือนั้นแทน "ทำไมถามแบบนี้"
"ตอบกูมาสิ กูอยากรู้"
"มึงมีคนเดียวในโลก ต่อให้เหมือนมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ใช่มึง กูก็ไม่รักหรอก"
"จริงเหรอ..." เสียงทุ้มเอ่ยละห้อย ท่าทางดีใจแต่ก็เหมือนไม่อยากเชื่อใจมากนัก มันไม่ง่ายนักหรอกนะที่จะถามอะไรออกไปแบบนี้ ถ้าทั้งหมดไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง...
ตาคมมองเห็นความไม่มั่นใจในแววตาของอีกฝ่าย เขาจึงดึงสองมือนั้นขึ้นมาจรดฝีปาก กดจูบแรงๆ ลงไปบนแหวนทองคำขาววงเกลี้ยง และสำทับคำพูดยืนยันสิ่งที่เขาคิดออกไป
"จริงที่สุด เพราะกูรักมึงคนเดียว"หลังจากวันนั้นเมื่อถึงวันหยุดยาว พวกเขากลับไปนิวยอร์ก พร้อมกับแจ้งข่าวดีนี้ให้แก่เพื่อนสนิท ทุกคนไม่แปลกใจกันเท่าไหร่การคบกันของคนทั้งคู่ แถมยังช่วยจัดปาร์ตี้ฉลองให้อีก
อีธานควงแขนเจ้าชีวีเต้นไปทั่วห้อง สลับกับเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ที ยกเครื่องดื่มดีกรีต่ำจิบเป็นพักๆ ดื่มด่ำกับความสุขที่ล้นทะลักออกมาจากใจ จนเจ้าชีวีเริ่มเมาพูดไม่รู้เรื่องก็อุ้มไปนอนบนเตียง
So let me do the dishes in our kitchen sink
Put you to bed when you've had too much to drink
Oh I could be the man that grows old with you
I wanna grow old with you*
*I Wanna Grow Old With You - Adam Sandler
มือหนาเกลี่ยปรอยผมที่ปรกหน้าหวานออกก่อนก้มลงจูบบนหน้าผากเนียนสวย อีธานไม่เคยรู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เขารู้สึกพอดี ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วนอกจากมีเจ้าชีวีเคียงข้างไปด้วยกัน
อีธานวางแผนไว้ ก่อนปีใหม่เขาจะพาเจ้าชีวีไปจดทะเบียน แล้วพอกลับไปที่ไทยเขาจะรับอุปการะเด็กสักคนเป็นลูกของพวกเขา ครอบครัวของเราจะได้สมบูรณ์
.
.
.
"เบื่อชะมัด ทำงานวันแรกหลังหยุดปีใหม่ก็ต้องผ่าตัดเลย" อีธานบ่นเล็กน้อยขณะที่กินมื้อเช้าอยู่กับเจ้าชีวี คนนั่งตรงข้ามจึงเลิกคิ้วเป็นอาการสงสัย
"ผ่าแต่เช้าเลยเหรอ"
"เปล่า ผ่าตอนเย็นน่ะ วันนี้คงกลับดึก"
"ถ้าเพลียมากนอนค้างที่โรงบาลก็ได้นะ"
"ไม่เอาอ่ะ กลับมานอนกอดมึงดีกว่า" เขาว่าพลางยิ้มกว้างเห็นฟัน สองมือรวบมีดและส้อมไว้กลางจานก่อนชะโงกหน้าไปจูบมุมปากอีกฝ่าย "แล้วจะรีบกลับมานะ"
"อืม ขับรถดีๆ นะ"
"รับทราบครับสุดที่รัก รักมึงที่สุดนะ" อีธานทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น เขารีบเดินไปหยิบเสื้อโค้ทบนเสามาสวมก่อนเดินไปที่ประตู ตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เดินจากไปจนสุดสายตา แล้วจึงวกกลับมามองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตนเอง
"ฉันก็รักซิ่นฉี รักซิ่นฉีมากที่สุดเหมือนกัน"
ทั้งวันเจ้าชีวีไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอน ตื่นมาอีกครั้งก็บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว เขามองนาฬิกาเหนือหัวเตียง...มันค่อยๆ ขยับเข็มเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าไม่เคยหยุด และไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถหยุดมันได้เช่นกัน
มือเพรียวหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นกดหาเบอร์โทรศัพท์ กลั้นใจเล็กน้อยก่อนต่อสายไปหา หลังจากแนบหูรอไม่นานอีธานก็กดรับโทรศัพท์
'ว่าไงมึง มีอะไรหรือเปล่า'
"เปล่า แค่คิดถึง"
'ปากหวานนะมึง' อีธานส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย 'กูก็คิดถึงมึง เนี่ยจะเข้าไปผ่าตัดแล้ว ว่าจะโทรไปขอกำลังใจพอดี'
"เอาไปเลย เอาจากกูไปเลย กูให้มึงหมดล่ะ ทั้งตัวและหัวใจ"
'วันนี้มาเน่านะมึง มีอะไรหรือเปล่า'
"ไม่มี แค่รักซิ่นฉีมากเท่านั้นเอง" เจ้าชีวีอมยิ้มกับโทรศัพท์ ปลายเท้าเตะพรมไปเรื่อยเหมือนเด็กสาววัยรุ่นเขินอายยามคุยกับแฟนหนุ่ม
'เดี๋ยวจะรีบกลับไปกอดนะ'
"โอเค รักมึงมากนะ"
'รักมึงเหมือนกัน กูไปทำงานก่อนนะ'
"อือ"
อีธานวางสายไปนานแล้วแต่เจ้าชีวียังคงนั่งยิ้มอยู่นาน กระทั่งเสียงเดินของนาฬิกาค่อยๆ ลอยเข้าหูเรียกสติให้แก่เจ้าชีวีอีกครั้ง ตอนนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายไป โทรศัพท์ในมือถูกยกขึ้นกดโทรออกอีกครั้ง...
"ตะวัน ฉันพร้อมแล้ว"
ตะวันมาหาเจ้าชีวีภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีราวกับว่าเขารออยู่นานแล้วเพียงแต่ไม่ได้ปรากฏกายให้เห็น เขาช่วยเจ้าชีวีเก็บเสื้อผ้าและข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และกล่องลังด้วยความเร่งรีบ
"คุณวีจะไปไหนคะ" แม่บ้านออกจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเจ้าชีวีพาคนอื่นเข้ามาในบ้าน แถมยังช่วยกันขนข้าวของออกไปอีก
"จะเสือกทำไม แล้วไม่ต้องบอกคุณหมอนะว่าฉันไปไหนกับใคร"
"แต่ว่า..."
"ฉันสั่งให้ทำก็ทำ!"
"ไม่เอาน่าวี" ตะวันรีบเข้ามาห้ามไว้ก่อนที่เจ้าชีวีจะตวาดใส่แม่บ้านอีกรอบ พวกเขารีบเก็บของลงกล่องแล้วขนจากไปอย่างรวดเร็ว
ตากลมมองห้องที่เขาอาศัยอยู่กับอีธานได้ไม่ถึงสามเดือนดีเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาเขาก็ใช้หลังแขนปาดออกทันที
"แน่ใจนะว่าทำอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว" ตะวันถามคนข้างกายเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่เจ้าชีวีคิดจะทำนอกจากจะทำให้อีธานต้องเจ็บปวดแล้ว มันก็ทำร้ายหัวใจของเจ้าชีวีมากไม่แพ้กัน
"อืม แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว ไปกันเถอะตะวัน" เขากัดฟันพูด น้ำตาที่เพิ่งปาดทิ้งออกไปกลับมารวมกันอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย "ถ้าฉันไม่ไปตอนนี้ ฉันกลัว...กลัวว่าฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว"
ตะวันไม่เคยขัดใจเจ้าชีวีอยู่แล้ว เขาช่วยอีกฝ่ายแบกลังและกระเป๋าเสื้อผ้าลงลิฟต์ไป ทิ้งห้องนั้นไว้ให้เหลือเพียงแค่อีธานคนเดียว...
.
.
.
'คุณหมอคะ คุณเจ้าชีวีออกจากห้องไปแล้วค่ะ มีผู้ชายที่ไหนมารับไปก็ไม่รู้ ขนข้าวของออกไปหมดเลย จะให้แจ้งความไหมคะ'
'คุณหมอคะ ฉันรอไม่ไหวแล้วต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียนก่อน คุณหมอกลับมาดูเองนะคะ'สองข้อความเสียงที่ได้รับหลังออกจากห้องผ่าตัดทำให้อีธานแทบบ้า รีบขับรถกลับมาที่คอนโดฯ เขาไม่เชื่อหรอกที่ว่าเจ้าชีวีจะทิ้งเขาไป ก็พวกเขาเพิ่งคุยโทรศัพท์กันก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เพิ่งจะบอกว่าคิดถึง...เพิ่งจะบอกว่ารัก
มันไม่มีทางที่เจ้าชีวีจะทิ้งเขาหรอก ไม่มีทาง...
เมื่อเขาเปิดประตูออกเขาจะเจอเจ้าชีวีนอนรอเขาอยู่บนโซฟา บนตักมีกองไหมพรม พอเขาเดินเข้าไปใกล้ ตากลมโตที่เขาชอบนักหนาจะเปิดขึ้นมาให้พร้อมรอยยิ้มสว่างสดใส และน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่จะบอกว่ารักเขามากที่สุด
หาย..ห้องมืดสนิทจนเขาต้องกดสวิทต์ไฟ บรรยากาศในห้องเงียบเหงาไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนอนเมื่อตาคมเห็นแล้วว่าบนโซฟาไม่มีคนรักนอนอยู่
ภายในห้องที่มันจะได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของเจ้าชีวีก็เงียบงัน บานหน้าต่างถูกเปิดม่านทิ้งไว้พอให้มีแสงไฟจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามา เตียงนอนที่เคยอบอุ่นกลับเย็นเยียบ เหลือทิ้งไว้เพียงผ้าพันคอที่ถักเสร็จแล้วผืนหนึ่ง
มือหนาหยิบมันขึ้นมากอด สูดดมกลิ่นกายของเจ้าชีวีที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
หาย...หายไปแล้วหัวใจของเขา.
.
.