[เรื่องสั้น] S w i s h e r S w e e t s ตอนที่ 3/3 (03.10.14) จบแล้วค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] S w i s h e r S w e e t s ตอนที่ 3/3 (03.10.14) จบแล้วค่ะ  (อ่าน 17085 ครั้ง)

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2014 16:03:35 โดย บัวน้อย ไร่แตงโม »

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
อ้างถึง
จากใจคนเขียน
เป็นเรื่องสั้นแนวที่ไม่ค่อยมีคนแต่งแบบนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มีแต่บทบรรยาย
เนื้อหาไม่ใช่ประเภทใสๆ หรือดิบเถื่อนแบบเจอหน้ากัน ง้องอนกันไปมาแล้วรักกันอะไรแบบนั้น
อยากให้ค่อยๆ อ่านช้าๆ ทำความเข้าใจกับความคิดตัวละครไปด้วย
และถึงจะเป็นเรื่องสั้นแต่ตอนหนึ่งค่อนข้างยาวพอสมควร ไม่ต้องรีบอ่านกันนะคะ (ฮา)

*หมายเหตุ - เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นของเก่าที่เรานำมาปัดฝุ่นใหม่ ได้มีการเปลี่ยนชื่อตัวละครและเนื้อหาบางอย่าง ถ้ารู้สึกเหมือนเคยอ่านเจอขอให้รู้ว่าคนแต่งคนเดียวกันนะจ๊ะ




Swisher Sweets



"เขาบอกว่าถ้าทำดีจะได้ไปสวรรค์"

คืนหนึ่งช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง บนดาดฟ้าอาคารสูงเสียดฟ้า ลมหนาวหอบเอากลิ่นและควันบุหรี่จางหายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว กระนั้นก็พัดเอากลิ่นน้ำหอมผู้ชายจางๆ เข้าจมูกของผมด้วย

"มึงว่ากูจะได้ไปสวรรค์ไหม" ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง นิ้วยาวของเขาคีบบุหรี่รสโปรดไว้หมิ่นเหม่ ดวงตาคู่กลมไร้ประกายจนผมนึกเดาความคิดของเขาไม่ออก

ผมไม่ได้ตอบอะไรเขาไปนอกเสียจากหยิบบุหรี่อีกตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดสูบ ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับผมและเขา มันเป็นเรื่องที่เราสองคนต่างคุ้นเคยหากก็คนละรูปแบบ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดถึงเรื่องหลังความตาย

"บางทีนรกคงเหมาะกับกูมากกว่า" เขาพูดอย่างนั้นก่อนยกบุหรี่ขึ้นสูบต่อ ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอให้ควันขาวได้ล่องลอยกลางอากาศก่อนจางหาย

ชีวิตของเขาเหมือนกับควันบุหรี่ เกิดจากการเสพความสุขเพียงครู่ ออกมาดูโลกอย่างล่องลอย และจางหายไปในเวลาไม่นาน

เขาดับบุหรี่ในมือแล้วดีดก้นทิ้งบนพื้น ร่างสูงโปร่งหันหลังให้กับทิวทัศน์ของนิวยอร์กยามค่ำคืนคล้ายปฏิเสธการรับรู้ความเป็นจริงอีกต่อไป ผมเองจึงหันตามเขากลับมา มองเห็นเพียงแผ่นหลังที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อโค้ทตัวโตเย็บริมด้วยขนเฟอร์แท้ฟอกสีน้ำตาลไหม้

"ถ้ามึงตกนรก กูจะตามไปอยู่เป็นเพื่อนมึง"
เขาทำเพียงโบกมือเหนือหัวไปมา แต่ผมรู้ว่าเขากำลังยิ้ม...


 
"เวลาของเราไม่เท่ากัน มึงอย่าตามกูมาเลย"

.
.
.

บ้านของอีธาน พ่อที่เป็นหมอกับแม่ที่เป็นพยาบาลหย่ากันตอนเขาอายุได้ห้าขวบ แม้แม่ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเขาเมื่อพ่อส่งค่าเลี้ยงดูให้แต่ละเดือนเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่เขาก็ยังขาด...ขาดความรักและความอบอุ่น
แต่คงไม่เท่ากับอีกคน...

เจ้าชีวีคล้ายจะเป็นเหมือนอีธาน ถึงแม้ว่าทั้งพ่อและแม่จะยังไม่หย่ากันแต่ความสัมพันธ์ย่ำแย่เสียยิ่งกว่าหย่าขาด

เขาเกือบไม่ได้เกิดออกมาดูโลกเมื่อคนเป็นแม่พยายามกินยาขับเลือดตอนเขาอยู่ในครรภ์ได้เพียงสี่เดือน เคราะห์ดีที่เขารอดออกมาลืมตาดูโลกได้แม้จะต้องนอนอยู่ในตู้อบเกือบครึ่งปีและเข้าผ่าตัดอีกเกือบสิบครั้ง

เจ้าชีวีมาอยู่ที่นิวยอร์กถาวรกับผู้เป็นย่าตอนอายุได้แปดขวบ ก่อนหน้านั้นเขาเทียวไปเทียวมาอยู่เป็นระยะตั้งแต่เกิด เด็กน้อยอาศัยอยู่กับคุณย่าและคนรับใช้ผิวดำเพียงอีกแค่หนึ่งคนบนแมนชั่นหรู

เขาเจอกับอีธานตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ย้ายมา วันนั้นเป็นวันเกิดเด็กหนุ่มชาวจีนที่อยู่ห้องด้านล่างเยื้องไปทางซ้าย ครอบครัวของอีธานเป็นชาวจีนที่อพยพมาตั้งรกรากในนิวยอร์กได้เกือบยี่สิบปีแล้ว

อีธานเป็นลูกคนเดียว ดังนั้นตอนที่แม่เขาพาเด็กผู้ชายชาวเอเชียตัวเล็กๆ ผิวขาวซีด ผมสีดำสนิทตัดบ๊อบสั้นล้อมกรอบใบหน้ากลม ตากลมโต ปากนิดจมูกหน่อย แก้มแดงๆ น่ารักเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นไม่มีผิดมาแนะนำให้ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาที่จะมีเพื่อนเป็นชาวเอเชียบ้างนอกจากเพื่อนชาวตะวันตก

"อีธาน น้องชื่อเจ้าชีวีนะจ๊ะ เพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพ ดูแลน้องแล้วก็พาน้องเล่นด้วยนะ"

"ได้ฮะ" อีธานตอบรับคำของมารดา เขายื่นมือไปรอให้คนตัวเล็กกว่า อยู่นานทีเดียวกว่าที่เจ้าชีวีจะยอมยื่นมือให้ "เดี๋ยวฉันจะแนะนำเพื่อนๆ ของฉันให้นายรู้จัก" อีธานพูดกับเจ้าชีวีเป็นภาษาอังกฤษ เขาคิดว่าคนตัวเล็กจะเข้าใจเพราะแม่ของเขาก็พูดกับเด็กคนนั้นด้วยภาษาอังกฤษ และเป็นไปตามคาด เจ้าชีวีพูดภาษาอังกฤษได้ แม้จะไม่ค่อยกล้าพูดก็ตาม

เพื่อนใหม่ทุกคนล้วนตื่นเต้นกับเด็กผู้ชายตัวเล็กที่หน้าเหมือนเด็กผู้หญิง และพากันตั้งชื่อให้ใหม่ด้วยไม่สามารถออกเสียงภาษาไทยได้ จากเจ้าชีวีก็เหลือเพียงวี

อีธานไม่เคยรู้เรื่องครอบครัวของเจ้าชีวี เขารู้เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายอ่อนกว่าเขาสองปี อยู่กับย่าแล้วก็สาวใช้ผิวสีอีกคนหนึ่งเท่านั้น และที่บ้านของเจ้าชีวีก็มีฐานะดีเข้าขั้นเศรษฐี เพราะเขาไม่เคยเห็นย่าของเจ้าชีวีออกไปทำงานอะไรแต่ก็มีเงินจับจ่ายซื้อของแพงๆ ให้หลานเล่นได้เรื่อย

เขารู้อีกอย่างว่าเจ้าชีวีสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก นอกจากจะเป็นเด็กตู้อบเพราะคลอดก่อนกำหนดแล้ว เด็กชายยังมีสารพัดโรคติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทั้งโรคเลือด ภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกันไม่ค่อยดี เจ้าชีวีต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยพอกับที่ไปโรงเรียน ถึงอย่างนั้นก็เป็นวีที่ทุกคนให้ความสนใจและรัก

อาจจะเป็นโชคดีเพียงอย่างเดียวในชีวิตของเจ้าชีวีก็ได้ที่เกิดมาแล้วมีแต่คนรักคนชอบ ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เป็นเช่นนั้น


ถึงจะเป็นเช่นนั้น...
เจ้าชีวีก็พยายามฆ่าตัวตายครั้งแรกตอนอายุสิบสี่


ตอนเจ้าชีวีอายุได้สิบสี่ ย่าของเขาก็จากโลกใบนี้ไปด้วยโรคร้ายทิ้งให้หลานชายอยู่เพียงลำพัง

การตายของครอบครัวเพียงคนเดียวไม่ได้ทำให้เจ้าชีวีคิดมากจนถึงขั้นฆ่าตัวตาย เขาแค่อยู่ในอาการช็อค เก็บตัวไม่พูดไม่จากับใคร สุดท้ายแม่ของอีธานก็ตัดสินใจพาเจ้าชีวีมาดูแลระหว่างที่รอญาติจากทางเมืองไทยมารับ และนั่นเป็นเหตุที่ทำให้อีธานได้พบกับครอบครัวของเจ้าชีวีเป็นครั้งแรก

คนที่มารับเจ้าชีวีเป็นพี่ชายวัยห่างกันสิบปีชื่อกษิดิ์เดช เพียงแค่เห็นก็รู้ว่าสองพี่น้องไม่สนิทกันมากนัก ไม่...ต้องเรียกว่าไม่รู้จักกันเลยน่าจะถูกกว่า

พี่ชายของเด็กชายแทบจะพาตัวน้องชายและศพของคุณย่ากลับเมืองไทยทันทีที่มาถึง และเจ้าชีวีก็ต่อต้าน เขาเปิดปากพูดเป็นครั้งแรกนับแต่ที่คุณย่าจากไป สบถคำหยาบคายใส่พี่ชายและขว้างขวดน้ำใส่ ใบหน้าขาวเต็มไปด้วยน้ำ ดวงตากลมโตคู่นั้นแดงก่ำเหมือนสีเลือด เขาอาละวาดเสียจนอีธานตกใจ เขาไม่เคยเห็นเด็กชายเป็นแบบนี้มาก่อน สุดท้ายแม่ของเขาที่เป็นพยาบาลจึงต้องเรียกหมอมาดูอาการและฉีดยานอนหลับให้เพื่อระงับเหตุการณ์

ในระหว่างที่เจ้าชีวีสงบแล้วนั้นเอง แม่ของอีธานจึงคุยกับพี่ชายของเจ้าชีวี อีธานเองก็ได้รับอนุญาตให้ร่วมฟังด้วยในฐานะที่โตพอแล้วและเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าชีวี

"อย่างที่เธอเห็น วีไม่อยากกลับไปกรุงเทพ ฉันพอจะรู้อยู่บ้างว่าเพราะอะไร แต่ถ้าเธอจะบังคับเขาให้ไปให้ได้ บางทีเขาอาจจะอาละวาดหนักกว่านี้"

"ผมรู้ แต่ถ้าวีไม่กลับพินัยกรรมก็เปิดไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือพ่อแม่ของผมอยากรับเขากลับไปเลี้ยงดู"

แม่ของอีธานมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของเธอคล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง

"ถ้าให้วีไปกับคุณ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้ลูกชายของฉันไปเป็นเพื่อนเขาด้วย ตอนนี้ปิดเทอมฤดูร้อนพอดี เขามีเวลาพอ" แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่สุดท้ายกษิดิ์เดชก็ยอม

หลังจากเกลี่ยกล่อมเจ้าชีวีอยู่เกือบสองวัน เด็กชายยอมกลับเมืองไทยพร้อมกับพี่ชายและอีธาน โดยไม่มีใครรู้ว่านี่คือการเริ่มต้นชีวิตที่พังทลายของเจ้าชีวี...

เมื่อย่างเข้าสู่รั้วบ้านตระกูลเกียรติตระกูล อีธานถึงรู้ว่าฐานะของเจ้าชีวีห่างไกลเกินเศรษฐีไปโข เพราะแค่คำว่ามหาเศรษฐีคงบรรยายได้ไม่พอ ด้วยคฤหาสน์หลังโตกินเนื้อที่หลายไร่แถบชานเมือง คนใช้มากมายเกินนับ ข้าวของตกแต่งหรูหรา และรถยนต์ต่างประเทศจอดเรียงกันเป็นแถวในโรงจอด

ทว่าทั้งๆ ที่นี่เป็นบ้านของเจ้าชีวี เขากลับเหมือนไม่มีตัวตนในครอบครัว เป็นเหมือนแค่ควันจางๆ ที่ล่องลอยไปมา และน่าแปลกที่เจ้าชีวีเองก็ไม่คิดจะพูดกับใคร เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่เข้ามาคุยกับเด็กชายและอีธานก็คือตะวัน อารีรักษ์ญาติผู้พี่ห่างๆ กับเจ้าชีวี

ตะวันเป็นลูกของน้าสาวของเจ้าชีวี แก่กว่าเด็กหนุ่มเกือบปีหากก็ถือว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เด็กชายผิวสีแทนร่าเริง ว่องไว แทบจะแตกต่างกับเจ้าชีวีทุกอย่าง เขาชวนเจ้าชีวีเล่นนู่นเล่นนี่ จนสุดท้ายเด็กชายที่ซึมมาตลอดตั้งแต่เสียคุณย่าของอีธานก็เริ่มยิ้มออกมาได้บ้าง

หลังงานศพ พินัยกรรมก็ถูกเปิดออก แม้ส่วนแบ่งมรดกที่เจ้าชีวีจะได้รับอาจจะดูไม่มีมูลค่ามากมายนักเมื่อเทียบกับหุ้นในบริษัทต่างๆ ที่ถูกตัดสรรปันส่วนให้กับญาติคนอื่นๆ ทว่าบรรดาเงินสด เครื่องเพชร รถยนต์ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ บ้านพักอากาศต่างๆ ที่เจ้าชีวีได้รับเมื่อรวมกันแล้วต่างก็ทำให้ใครตาใครตาลุกวาวด้วยความอิจฉา ไม่เว้นกระทั่งพ่อแม่ของเด็กชาย

พวกเขาเริ่มโต้เถียงแย่งสิทธิในการเลี้ยงดูลูกชายคนเล็ก ดึงถ้อยคำหยาบคายสาดใส่กันด้วยน้ำลาย ขุดอดีตอันโสมมของอีกฝ่ายขึ้นมาเปิดเผย ก่อนหันไปถามลูกชายคนเล็กว่าจะเลือกใคร

ดวงตากลมโตคู่สวยมองตรงไปข้างหน้าคล้ายไม่ได้จับจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีสายตาสองคู่มองตรงมาที่เขาเพื่อรอคำตอบ แล้วในที่สุดริมฝีปากเล็กๆ สีแดงจัดนั้นก็ขยับ

"ผมชื่ออะไร"

"พูดอะไรน่ะ ตอบมาสิว่าจะให้ใครดูแล แม่ใช่ไหม!"

"พ่อต่างหาก ใช่ไหม บอกผู้หญิงคนนี้เขาไปสิว่าเลือกพ่อ!"

เด็กหนุ่มหลับตาลงเพียงครู่คล้ายกระพริบตา เมื่อดวงตากลมโตคู่นั้นลืมขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ปัดทั้งมือของบิดามารดาผู้ให้กำเนิดออกแล้ววิ่งหนีขึ้นห้องนอนไป

อีธานรีบวิ่งตามเจ้าชีวีไป ทิ้งเสียงทะเลาะกันของชายหญิงคู่นั้นไว้ หากก็ไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายวิ่งเข้าห้องน้ำไปก่อน มือของเด็กหนุ่มวัยกำลังโตทุบลงบนบานประตูกระจกแรงๆ ภาพเงาสะท้อนเลือนรางจากด้านในทำให้เขาพอคาดได้ว่าเจ้าชีวีกำลังทำอะไร

เสียงขวดแก้วแตกกระจายดังพอๆ กับเสียงตะโกนของอีธาน เขาตะโกนจนเสียงแทบแหบแห้ง ก่อนที่จะได้ยินคนด้านนั้นพึมพำออกมาเบาๆ แทรกเสียงสายน้ำไหลรุนแรง

"ฉันชื่ออะไร?"

กว่าที่อีธานจะเรียกคนมาช่วยกันพังประตูได้ เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปีก็เสียเลือดจนตัวซีด และนั่นคือการฆ่าตัวตายครั้งแรกของ เจ้าชีวีที่ได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนข้อมือบาง



หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีใครกล้าเซ้าซี้เอาอะไรกับเจ้าชีวีอีก(คงเพราะพี่ชายของเขาด้วยที่คอยช่วยพูดไว้) เด็กชายตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตที่นิวยอร์กเพียงลำพัง  แม้ว่าที่นั่นจะไม่มีคุณย่าของเขาอีกแล้วก็ตาม และนั่นคือการเร่งเวลาการพังทลายของเจ้าชีวีลงอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคาดคิด

เจ้าชีวีเริ่มไปปาร์ตี้กับเพื่อนร่วมชั้นครั้งแรกหลังกลับมานิวยอร์กได้เพียงสองเดือน อีธานเองก็ได้ไปงานนั้น แต่เขาไม่ได้คิดอะไร นอกเสียจากว่าได้เห็นเจ้าชีวีพูดคุยกับเพื่อน หัวเราะ และมีความสุขมันก็เพียงพอแล้ว

พอมีครั้งแรกก็ย่อมมีครั้งต่อๆ มา...

เด็กหนุ่มเริ่มรู้แล้วว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีความสุขจนลืมเรื่องราวต่างๆ ไว้เบื้องหลังได้ เขาดื่มเหล้า ลองสูบบุหรี่ และมีเซ็กส์ครั้งแรกกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในชั้น แต่หลังจากที่เขาได้นอนกับกัปตันชมรมบาสเก็ตบอลในคืนถัดมา เจ้าชีวีก็รู้ว่าเขาชอบเป็นฝ่ายรับมากกว่าฝ่ายทำ

ชีวิตที่แสนเศร้าของเจ้าชีวีเริ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง...อย่างน้อยก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น

เขาออกปาร์ตี้แทบทุกคืน ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกับเพื่อนฝูง มันไม่น่าจะมีเหตุอะไรที่จะทำให้เจ้าชีวีหยิบคัตเตอร์ขึ้นมากรีดซ้ำรอยแผลเดิมอีก

แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกจนได้เพราะยาเสพติดและเพราะอีธานเอง...

เพียงปีเดียวหลังจากกลับจากเมืองไทยครั้งนั้น คืนนั้นมันก็เป็นแค่ปาร์ตี้ธรรมดาเหมือนเดิม มีสูบกัญชากับชิชา(บารากุ)ตามแต่ใครชอบแบบไหน แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่พอเริ่มเมากัญชากันได้ที่ คว้าคอใครได้ก็ลากกันไปเอา

แต่คืนนั้นอีธานไม่เมา เขาดูดแค่ชิชาสลับกับบุหรี่ตัวโปรด จิบเบียร์นั่งโยกหัวตามจังหวะเพลงไปเรื่อยๆ จนคิดว่าได้เวลากลับ ร่างสูงจึงลุกขึ้นเดินตามหาเจ้าชีวีเพื่อพากลับแมนชั่น

หลังจากเดินหาอยู่สักพักเขาก็ได้เสียงครางครึมด้วยอารมณ์สุขสมมาจากห้องนอนของเจ้าของบ้าน

อีธานไม่เคยรู้หรอกว่ารสชาติของเจ้าชีวีเป็นอย่างไร ถึงพวกเขาจะมั่วแต่ก็ไม่เคยนอนด้วยกัน เพราะถือว่าอีกฝ่ายคือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวและไม่อยากให้ความสัมพันธ์เป็นแค่เซ็กเฟรนด์

เมื่อขายาวก้าวเข้าไปในห้องนอนที่ไม่ได้ปิดประตู ตาคมก็เห็นว่าหนุ่มเจ้าของบ้านกำลังกระแทกตัวหนักๆ เข้าไปที่เจ้าชีวี เด็กหนุ่มกรีดร้องลั่นพร้อมกับหลั่งน้ำกามออกมา สายตาของเจ้าชีวีดูเลื่อนลอยกว่าทุกครั้งขณะหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดเร็วๆ

"ทำอะไรกันมา" อีธานไม่ได้ถามว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน เพราะภาพก็เห็นอยู่ว่าพวกเขาเพิ่งมีเซ็กส์กัน แต่สิ่งที่เขาต้องการคำตอบคือสิ่งที่สองคนนั้นเสพ

"แค่ลองของใหม่น่ะ" เจ้าของบ้านตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาลุกขึ้นยืนสวมกางเกงก่อนหยิบซองบนโต๊ะโยนให้อีธาน "สนใจไหม เล่นนิดๆ หน่อยๆ ไม่อันตรายหรอก"

"เฮโรอีน?"

"ลองสิอีธาน ขนาดวียังชอบเลยเนอะ"

"อื้อ" คนถูกพาดพิงพลิกตัวนอนคว่ำ เส้นผมสีดำสนิทยาวประบ่าคลอเคลียใบหน้าขาวให้ยิ่งน่ามอง สะโพกเล็กเปล่าเปลือยซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหมิ่นเหม่ ดวงตาคู่กลมโตหวานหยาดเยิ้มด้วยฤทธิ์ยา "ลองไหมอีธ เดี๋ยววีดูดเป็นเพื่อน"

ในเมื่อชวนกันขนาดนี้เขาก็ไม่ปฏิเสธ หนำซ้ำยังรู้สึกเซ็งด้วยที่มีของดีแล้วไม่ยอมบอกแต่แรก เจ้าของบ้านปิดห้องให้เขากับเจ้าชีวีลองเสพย์เฮโรอีนกันเงียบๆ

เจ้าชีวียังคงไม่ใส่เสื้อผ้า เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงแล้วดึงแขนร่างสูงให้นั่งบนขอบเตียง มือเล็กกว่าของเด็กอายุสิบห้าจัดแจงแกะซองเทผงขาวใส่กระดาษฟรอยด์คล่องแคล่ว แสงไฟจากไฟแช็ควูบขึ้นครู่หนึ่งแล้วควันก็ลอยออกมา เจ้าชีวีเริ่มเสพก่อนที่อีธานจะทำตาม

เขาทั้งสองต่างหลงอยู่ในมวลควันอันน่าแปลกประหลาดของเฮโรอีน...หลงลืมสติและความคิดไป

"กูทำให้ไหม" เสียงแตกหนุ่มแหบพร่า ใบหน้าขาวก้มลงจนเกือบชิดหน้าตักอีกฝ่าย

"..." อีธานนิ่งเงียบ ตาคมมองริมฝีปากเล็กที่กำลังพรมจูบตรงส่วนนั้นของเขาผ่านกางเกงยีนส์เนื้อหนา เขารู้ดีว่าตัวเขากำลังต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหน มันอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาหรือบางทีก็เพราะสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ ภาพของเจ้าชีวีที่กรีดร้องอย่างมีความสุข ถ้าเปลี่ยนจากฝรั่งหัวแดงคนนั้นเป็นเขาแทนล่ะ...

นอกจากตัวของเขาที่สั่นจนห้ามไม่ได้แล้วหัวใจของเขาก็สั่นน่ากลัวไม่แพ้กัน

"กูแค่ช่วยมึงปลดปล่อยความต้องการ ไม่ต้องมีอะไรกันจริงๆ ก็ได้" สิ้นเสียงนั้น ฟันขาวก็งับหัวซิปทองเหลืองแล้วลากมันลงมาเพื่อให้ริมฝีปากได้เข้าใกล้กับส่วนนั้นของอีธานมากขึ้นไปอีก

แล้วกิจกรรมของทั้งคู่ก็เริ่มขึ้น เจ้าชีวีทำจริงๆ อย่างที่ปากว่า เขาแค่ช่วยแต่ไม่ได้ร่วมรักกับอีกฝ่ายจริงๆ แม้ร่างขาวเปล่าเปลือยจะขึ้นไปขย่มบนหน้าตักของร่างหนาแรงเท่าไหร่ ก็ไม่มีสักครั้งที่กายของทั้งคู่จะเชื่อมต่อกัน มีแต่เสียดสีปัดผ่านกันเท่านั้น หากก็เพียงพอที่จะทำให้อีธานคลั่งจนหลั่งน้ำแห่งความสุขออกมา

หรือแม้กระทั่งระหว่างขับรถกลับ เด็กหนุ่มยังซุกซนใช้ปากช่วยอีกฝ่ายให้เสร็จจนแทบไม่ถึงบ้านอีกหนึ่งหน

เวลาที่เหลือในคืนนั้นพวกเขานอนกอดก่ายกันบนเตียงนอนแสนโดดเดี่ยวของเจ้าชีวี ไม่มีแม้แต่จูบสัมผัสกันเบาๆ มีเพียงแต่ร่างกายที่ถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กันเท่านั้น

อีธานไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ไม่คิดอาจจะเป็นเพราะเขาเมายา ไม่มีสติ หรือคิดว่ามันไม่มีอะไรจริงๆ ก็เป็นได้ แต่ไม่ใช่กับเจ้าชีวี

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยอาการหวาดกลัว เขามองร่างกายเปลือยของตนเองและอีธานแล้วร่ำไห้ ความรู้สึกผิดที่นอนกับเพื่อนตัวเองคอยตามหลอกหลอกในหู เสียงก่นด่าดังแว่วมาจากที่ใดไม่มีใครทราบ แต่เจ้าชีวีรู้สึกแย่ แย่จนอยากตายไปให้พ้นๆ

"กูกลัว...กูกลัวระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิม" เด็กหนุ่มยืนร้องไห้ พูดกับตนเองอยู่หน้ากระจก เขาพูดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นก่อนหยิบใบมีดเล็กๆ จากมีดโกนหนวดขึ้นมากรีดซ้ำๆ ลงบนรอยแผลเก่าที่ข้อมือจนเนื้อเปิดเหวอะหวะ

"กูผิดไปแล้ว...กูผิดไปแล้ว อย่าเกลียดกูเลยนะอีธาน ฮือ..."

กว่าอีธานจะตื่นขึ้นมาพบ เขาก็ได้เห็นภาพร่างกายขาวซีดไร้สีเลือดของเจ้าชีวีท่ามกลางสายน้ำอีกครั้ง

ไม่มีใครรู้ว่าที่เด็กหนุ่มคิดฆ่าตัวตายอีกครั้งเป็นเพราะฤทธิ์ยาเสพติดหรือเพราะรู้สึกแย่จริงๆ หากแต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เจ้าชีวีต้องเข้าพบจิตแพทย์พร้อมกับเข้ารับการบำบัดอาการติดสิ่งเสพย์ติด อีธานเองก็ต้องพูดทำความเข้าใจกับอีกฝ่ายอยู่นานกว่าที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ที่บอกว่ากลับมาเป็นเหมือนเดิมก็คือเหมือนเดิมจริงๆ พวกเขาออกตระเวนราตรี ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเสเพลเหมือนเดิม แม้จะไม่ใช้ยาหนักเท่าเดิมด้วยกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย แต่ปริมาณการดื่มและบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

อีธานเองก็ถึงเวลาเลือกทางเดินต่อในอนาคตพอดี เขากำลังจบเกรดสิบสอง ใจของเขาไม่คิดจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว แต่พ่อที่หย่าขาดกับแม่ไปนานกลับมาจุ้นจ้านให้เขาตั้งใจเรียนและเลือกเรียนหมอ แม้เด็กเอเชียจะค่อนข้างฉลาดกว่าเด็กเจ้าถิ่น แต่อีธานที่ไม่สนใจหยิบจับหนังสือมานานมีหรือจะเชื่อฟัง

เขาทะเลาะกับพ่อหนักและแม่เองก็ไม่เข้าข้างเขา เขาโมโหจัด หลบไปนอนที่ห้องเจ้าชีวี พากันออกไปตระเวนราตรีอย่างเคย

เวลาที่เมามากๆ จนอ้วกแตกอ้วกแตน เจ้าชีวีก็จะเดินมากอดเขาไว้แน่นๆ ปลอบประโลมด้วยความเข้าใจ อีธานคิดว่าไม่มีใครเข้าใจเขาได้มากเท่าเจ้าชีวีอีกแล้ว และเจ้าชีวีเองก็ไม่มีใครเข้าใจเท่าเขา

ทั้งอีธานและเจ้าชีวีล้วนเป็นเด็กบ้านแตก พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่ามีที่ไหนอบอุ่นเลยบนโลกนี้ นอกจากอ้อมกอดของกันและกัน เขาปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ แอลกอฮอล์ บุหรี่ ปาร์ตี้ เซ็กส์ และยาเสพติด

กระทั่งวันหนึ่ง...
ที่ปาร์ตี้บ้านใครสักคนในกลุ่ม เจ้าชีวีล้มลงกลางห้องขณะกำลังเดินไปหยิบซองบุหรี่บนโต๊ะหนังสือ เขาไม่หายใจ เลือดออกจากจมูกและปาก ลำตัวขาวซีดเหมือนคนตาย หลังจากที่อีธานและเพื่อนในห้องตั้งสติได้ พวกเขาพาตัวเจ้าชีวีส่งโรงพยาบาล

ตลอดทางที่เดินทางจากบ้านไปโรงพยาบาล หัวใจของอีธานแกว่งไกวด้วยจังหวะที่ไม่เคยเป็น เขารู้สึกเหมือนอากาศบนโลกนี้กำลังหมดไป หายใจไม่ออก อึดอัดไปทั่วทั้งหน้าอกและช่องท้อง มือคอยแต่จะบีบมือของเจ้าชีวีไว้ตลอดเวลา

แล้วคำถามหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวว่า...ถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีเจ้าชีวีแล้ว ชีวิตของเขาจะอยู่ได้อย่างไร

หมอบอกว่าปกติร่างกายของเจ้าชีวีก็ไม่แข็งแรงดีอยู่แล้ว และการใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงก็ยิ่งร่นระยะการใช้ชีวิตให้สั้นลง ทางที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าชีวีก็คือหยุดพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านั้นซะ แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นจะทำให้เจ้าชีวีมีอายุยืนยาวขึ้น มันก็แค่ช่วยให้เจ้าชีวีอยู่กับพวกเขาได้นานขึ้นเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น

"บอกตามตรง คนไข้มีโรคประจำตัวเยอะ เวลาของเขาที่มีแต่แรกก็มีไม่มากอยู่แล้ว ยิ่งใช้ชีวิตแบบนี้อยู่ได้เกินยี่สิบก็เก่งแล้ว"

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
หลังจากคำพูดของหมอวันนั้น อีธานจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อ ขอโทษผู้ให้กำเนิดทุกอย่างแล้วขอให้เขาช่วยติวหนักให้เพื่อสอบเข้าวิทยาลัยแพทย์ให้ได้

เจ้าชีวีนอนโรงพยาบาลอยู่เกือบเดือน เด็กหนุ่มแปลกใจเล็กน้อยที่อีธานเดินมาบอกว่าจะเรียนหมอ เขาไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มและอวยพรให้เพื่อนรักโชคดี

"ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว..." เด็กหนุ่มพูดแค่นั้นก่อนหลับไป

หลังจากทุ่มเทติวเข้มอยู่หลายเดือน อีธานสอบติดวิทยาลัยแพทย์อย่างที่ตั้งใจ เขาฉลองข่าวดีนี้กับเจ้าชีวีเพียงสองคนในแมนชั่นของเจ้าตัว แอลกอฮอล์ที่ห่างหายไปนานทำรสชาติเฝื่อนลิ้นได้เพียงครู่เดียวจึงกลับมาคุ้นเคย

"กูบอกแล้วว่ามึงต้องทำได้" เจ้าชีวียิ้มหวาน นานครั้งที่อีธานจะเห็นเจ้าตัวยิ้มอย่างนี้สักที ยิ้มที่มาจากใจจริงๆ

"แต่ได้ที่ไกลไปหน่อย" เสียงทุ้มเจือแววเศร้า แต่ถ้าเขาไม่ไป เขากลัว...กลัวจะไม่ทันเจ้าชีวี

"แค่อังกฤษเอง ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะ"

อีธานหัวเราะเบาในลำคอกับคำพูดนั้น ใช่...เจ้าชีวีตามเขาไปก็ได้เพราะเจ้าตัวเองก็มีบ้านที่เป็นมรดกอยู่ที่นั่น เขาไม่น่าคิดมาก เพียงแต่เขาแค่กลัวเท่านั้นเองว่าเจ้าชีวีไม่อยากไป เห็นเจ้าตัวติดนิวยอร์กอย่างกับอะไรดี ขนาดตอนนั้นให้กลับไปอยู่กรุงเทพก็ไม่ยอมตั้งแง่จะกลับนิวยอร์กท่าเดียว

แต่อีธานคงไม่รู้ว่าที่เจ้าชีวีติดนิวยอร์กก็เพราะนิวยอร์กมีอีธาน อยู่ต่างหาก...

เจ้าชีวีย้ายโรงเรียนมาที่อังกฤษเพื่อตามอีธานมา สิ่งแวดล้อมที่อังกฤษแม้ไม่ได้ต่างจากนิวยอร์กนัก แต่อีธานคิดว่าดีกว่า โรงเรียนที่เจ้าชีวีอยู่ก็มีแต่ลูกคนมีเงิน แม้จะมีปาร์ตี้กันบ้างก็ไม่หนักขนาดที่อเมริกา

พวกเขาใช้ชีวิตเพียงลำพังสองคนกันเกือบสองปี พอย่างปีที่สามที่เจ้าชีวีจะขึ้นมหาวิทยาลัยก็มีคนมาอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน

ตะวัน...

อีธานไม่รู้มาก่อนว่าสองคนนี้ไปสนิทกันมากขนาดชวนมาอยู่ด้วยกันตอนไหนเพราะเจ้าชีวีไม่เคยเล่า เขารู้อีกทีเมื่อกลับมาที่แมนชั่นแล้วเจอตะวันนั่งดื่มกาแฟอยู่บนโซฟากับเจ้าชีวี

เด็กหนุ่มผิวเข้มบอกว่าเขาจะมาเรียนต่อที่นี่ แล้วเจ้าชีวีก็ชวนเขามาอยู่ด้วยกัน ที่สนิทกันถึงขั้นชวนมาอยู่ด้วยก็เพราะตั้งแต่กลับจากเมืองไทย ทั้งคู่ติดต่อผ่านทางอีเมล์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเจ้าชีวีจะเล่าให้ตะวันรู้หมด

หนุ่มจีนรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้า เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่รู้เรื่องเจ้าชีวีทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องเจ้าชีวีเลย

เขามึนตึงกับเพื่อนอ่อนวัยอยู่เกือบสามเดือน สุดท้ายก็ได้บุหรี่เป็นตัวช่วยในคืนหนึ่งที่อากาศขมุกขมัว

บนดาดฟ้าที่ไร้ผู้คน เขาสองคนต่อไฟจากปลายบุหรี่ของอีกฝ่ายแล้วดูดรสชาติขมเฝื่อนคอที่ไม่ได้ลิ้มรสมานาน

"ขอโทษที่ไม่ได้เล่าเรื่องตะวันให้ฟัง กูแค่คิดว่ามันไม่สำคัญ ไม่คิดว่ามึงจะโกรธ"

"ไม่ได้โกรธ แค่คิดว่ากูคงไม่สำคัญพอจะเล่าให้ฟัง"

ตากลมโตเหลือบมองคนสูงกว่าเพียงนิดเล็กน้อยแล้วพ่นควันบุหรี่ออกมา "สำคัญ"

"..."

"สำคัญกว่าทุกคนเพราะกูมีมึงแค่คนเดียวที่อยู่ด้วยกันมาตลอด เป็นครอบครัวก็คงใช่"

"ตะวันก็สำคัญไม่ใช่หรือไง" อีธานไม่ได้ตั้งใจพูดประชด เขาแค่รู้สึกหงุดหงิดโดยไม่รู้สาเหตุ

"สำคัญ แต่ไม่เหมือนกัน มึงคือครอบครัว ตะวันคือ..." เจ้าชีวีหยุดริมฝีปากอิ่มแดงของตนเองไว้แค่นั้น แล้วใบหน้าน่ารักก็ระบายยิ้มออกมาอ่อนๆ แบบที่นานทีอีธานจะได้เห็น

แล้วอีธานก็รู้ว่าสิ่งที่เจ้าชีวีไม่ได้เอ่ยออกมาในวันนั้นคืออะไร...
ตะวันคือคนรักของเจ้าชีวี

พวกเขาตัดสินใจคบกันเมื่อวันที่ทั้งคู่ฉลองเข้ามหาวิทยาลัยได้ เจ้าชีวีเข้าวิทยาลัยศิลปะ ส่วนตะวันก็ได้เข้าคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยชื่อดัง

ความอบอุ่นของตะวันคงเป็นสิ่งที่เจ้าชีวีรัก คนอ่อนเยาว์สุดเลิกสิ่งเสพติดทุกอย่างก็เพราะตะวันขอ ตั้งใจเรียนจนเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็เพราะตะวัน เจ้าชีวีทำสิ่งดีๆ ได้ก็เพราะตะวัน ในขณะที่อีธาน...มีแต่ชักชวนเจ้าชีวีลงสู่สิ่งโสมมทั้งที่รู้ว่าเด็กอย่างเจ้าชีวีเปราะบางยิ่งกว่าอะไร

ว่าตอนที่ตะวันย้ายมาอยู่ด้วยชีวิตของเจ้าชีวีดีขึ้นแล้ว พอเปิดตัวว่าคบกันจริงๆ ชีวิตของเจ้าชีวีก็ดียิ่งกว่าเก่า จากที่เจ็บออดๆ แอดๆ เข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เจ้าชีวีก็มีสุขภาพดีขึ้น พอขาดเรียนน้อยลงผลการเรียนก็ดีตาม

บางทีถ้าทั้งคู่อยู่ด้วยกันตลอดไปชีวิตเจ้าชีวีอาจจะอยู่ได้ถึงร้อยปีด้วยมั้ง

ครอบครัวเล็กๆ ที่มีเขาเป็นพี่ชายคนโต มีเจ้าชีวีเป็นน้องคนเล็กแล้วก็มีตะวันเป็นคนรักของน้องชาย พวกเขาอยู่ด้วยกันสามคนได้เกือบสี่ปี เจ้าชีวีรักใคร่กับตะวันดีมาตลอด ไม่เคยทะเลาะกันเรื่องใหญ่ๆ สักครั้ง เวลาอีธานกลับมาจากเข้าเวรจะเจอทั้งคู่นั่งกอดกันบนโซฟาอ่านหนังสือบ้างดูโทรทัศน์บ้าง หลอกล้อกันเล่นตามประสาคู่รักทั่วไป

อีธานเองก็ใช่ว่าจะไม่มีใคร หน้าตาเขาดีอยู่แล้ว แถมรูปร่างยังสูงใหญ่กว่าเจ้าของประเทศเสียอีก เขาคบคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ชายบ้างหญิงบ้างตามแต่ตอนนั้นจะมีใครผ่านเข้ามา

มันเป็นช่วงเวลาสงบสุขและมีความสุขที่สุดในชีวิตของทั้งสามคน ก่อนที่พายุจะเข้าแล้วเปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนไปตลอดกาล

คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงปีที่หกบนเกาะอังกฤษของอีธาน เหลืออีกเพียงไม่กี่เดือนเขาจะจบหลักสูตรแพทย์และพร้อมรักษาคนไข้รวมถึงเลือกเรียนต่อเฉพาะทาง มันเป็นคืนที่ลมหนาวเริ่มพัดบาดผิว ใบไม้ร่วงโรยตามชื่อฤดูกาล

เจ้าชีวีไม่กลับบ้าน...

ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าชีวีไปไหน ทั้งเพื่อนที่มหาวิทยาลัยหรือว่าคนรู้จัก โทรศัพท์ขาดการติดต่อ พวกเขาได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้านอย่างกระวนกระวาย ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอ จนเกือบจะไปแจ้งตำรวจเจ้าชีวีถึงยอมกลับมา

ร่างสูงโปร่งเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับผมสีบลอนด์สว่าง เสื้อผ้าชุดเดิมยับยู่ยี่เล็กน้อย ใบหน้าขาวขึ้นสีเรื่อ ดวงตาเหม่อลอย

อีธานเดินเข้าไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายทันที เพียงได้กลิ่นเขาก็รู้ว่าเจ้าชีวีไปทำอะไรมา

"สัญญากับตะวันว่าจะเลิกแล้วไม่ใช่หรือไง" หนุ่มจีนกระชากเสียงห้วน ตาคมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่รู้ตัวว่าเพิ่มแรงบีบลงไปบนข้อมือเล็กนั่นจนอีกฝ่ายเจ็บ

"อีธานใจเย็นๆ เจ้าชีวีกลับมาก็ดีแล้ว แค่ไปปาร์ตี้หนักเท่านั้นแหละน่า"

เพี๊ยะ!
ฝ่ามือหนากระทบแก้มใสจนหน้าขาวหันไปอีกด้านสร้างความตกตะลึงแก่ทั้งตะวันและตัวคนถูกกระทำ เจ้าชีวีตวัดสายตาใส่อีธานทันทีก่อนใช้มือข้างที่ว่างตบหน้าอีกฝ่ายบ้าง พออีธานทำท่าจะตบเจ้าชีวีอีก ตะวันจึงต้องรีบห้าม เพราะดูแล้วที่เจ้าชีวีตบอีธานไปเมื่อกี้ยังเจ็บได้ไม่ถึงครึ่งที่อีธานตบเลย

"ใจเย็นๆ มีอะไรก็คุยกันสิ แค่เมาไม่กลับบ้านแค่นี้เอง"

"เมายาจนกลับบ้านไม่ถูกน่ะสิ" สิ้นเสียงอีธาน ตะวันก็หันไปมองเจ้าชีวีด้วยความตกใจทันที

"เจ้าชีวี... นายไม่ได้เสพยาใช่ไหม" แม้ปากจะพูดอย่างนั้นแต่น้ำเสียงกลับสั่นคลอน

คนอ่อนสุดไม่ตอบ เขาสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีธานแล้ววิ่งหนีเข้าห้องนอนไป

ลับหลังเจ้าชีวี อีธานหันมามองหน้าตะวันก่อนชวนอีกฝ่ายขึ้นไปสูบบุหรี่บนดาดฟ้า หลังปล่อยควันกันจนพอใจแล้ว คนโตสุดก็เอ่ยปากก่อน

"ช่วงนี้ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า"

"ไม่" ตะวันส่ายหน้าประกอบ เขาเคาะปลายบุหรี่กับขอบปูน "ปกติดีทุกอย่าง ก่อนวันที่หายไปเขายังทำฟิชแอนด์ชิฟให้ฉันอยู่เลย"

หมดคำพูดกันแค่นั้น พอบุหรี่หมดม้วนตะวันก็ลงไปดูเจ้าชีวีที่ห้อง ส่วนอีธานขอยืนสูบบุหรี่ต่ออีกสักพักแล้วจะกลับเข้าไป

อากาศรอบตัวเย็นพอที่เขาจะพ่นไอขาวๆ ออกมาแข่งกับควันบุหรี่ได้ อีธานพยายามคิดว่าทำไมเจ้าชีวีถึงกลับไปเสพยาอีกทั้งที่ชีวิตกำลังไปได้ดีแล้วแท้ๆ แม้จะเป็นแค่กัญชา(ตามที่ได้กลิ่นมาจากเสื้อ)ก็ตาม

วันถัดมาอีธานแลกเวรกับเพื่อนนักศึกษาหมอตามเจ้าชีวีมาที่มหาวิทยาลัยศิลปะของอีกฝ่าย หลังจากเดินหาอีกฝ่ายตามคำบอกเล่าของเพื่อนเจ้าชีวีแล้ว หนุ่มร่างสูงก็เจอเจ้าชีวีสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่งไม่ไกลจากหอสมุด

เขาทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างอีกฝ่าย หยิบซองบุหรี่รสโปรดจากกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วต่อไฟจากอีกฝ่ายอย่างที่ทำประจำ หลังจากปล่อยให้บุหรี่หมดไปครึ่งมวนเขาก็เริ่มเปิดปาก

"ทำไมถึงทำแบบนั้น"

"แบบไหน" น้ำเสียงเจ้าชีวีเอื่อยเฉื่อยราวกับต้องการยั่วอารมณ์อีกฝ่าย เขาแกล้งพ่นควันใส่หน้าอีธานแล้วหัวเราะคิกคัก

"มึงก็รู้ดีไม่ใช่หรือไงว่าทำแบบนั้นแล้วสุขภาพจะยิ่งแย่ ไหนมึงบอกว่าอยากอยู่กับตะวันนานๆ ไงว่ะ!"

"..."

"..."

"กู... กูจะเลิกกับตะวัน"

อีธานไม่ถามว่าทำไม เขาดึงบุหรี่ออกจากมือของเจ้าชีวีแล้วรั้งศีรษะอีกฝ่ายให้ซบลงบนอกของเขา "ไม่ร้องไห้นะ"

"กูควรทำไงดีอีธ กูรักตะวันมากเหลือเกิน ฮึก..."

แล้วหลังจากนั้นเจ้าชีวีก็พรั่งพรูทุกสิ่งอย่างออกมาให้อีธานฟังทั้งหมด...

เมื่อวันก่อนที่เจ้าชีวีจะหายไป เจ้าตัวไปที่อันเดอร์กราวน์เพื่อกลับแมนชั่นเหมือนเคย หากจู่ๆ อาการวูบที่เป็นบ่อยในช่วงนี้กลับเกิดขึ้นและเป็นหนักถึงขั้นหมดสติ เขาถูกส่งโรงพยาบาล โทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์ถูกขโมยระหว่างทาง ทำให้ทางโรงพยาบาลติดต่อใครไม่ได้ หลังจากตรวจอาการหนึ่งคืน ผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจนัก และหมอบอกว่าเจ้าชีวีมีสิทธิเสี่ยงเป็นมะเร็ง

"กูรู้ดีว่าชีวิตกูมันไม่ยืดหรอก แต่กูก็อยากอยู่กับตะวันนานๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหมดเร็วแบบนี้เหมือนกัน" มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากใบหน้า แต่ปาดทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่หมดเสียที

"ถ้ามึงอยากอยู่กับตะวันนานๆ มึงก็ไม่ควรออกไปดูดกัญชาแบบนั้น"

"สันดานเก่ามันทิ้งยากว่ะ กูคิดอะไรไม่ออก พอออกมาจากโรงพยาบาลก็เลยไปหาอะไรทำให้มันลืม อีกอย่างตัวกูก็ไม่ใช่คนดีอะไรแบบตะวัน บางทีเลิกกันอาจจะดีกว่า เอาจริงๆ นะอีธ กูไม่คิดว่ากูจะอยู่ได้นานจริงๆ หรอก ต่อให้เปลี่ยนชีวิตให้ดีแค่ไหน สุดท้ายกูก็ตายก่อนอยู่ดี กู...กูไม่อยากทำให้ตะวันเสียใจ กลัวมันเสียใจเพราะคนเหี้ยๆ อย่างกู"

อีธานนิ่งเงียบปล่อยเจ้าชีวีร้องไห้กับอกเสื้อเขาต่อไป ในขณะที่เขากลัวเจ้าชีวีจะตาย แต่เจ้าชีวีไม่...สิ่งที่เพื่อนรุ่นน้องกลัวกลับกลายเป็นการทำให้คนรักเสียใจเพราะความตายของตนเอง

"กูตามใจมึงอยู่แล้ว ทำอะไรก็ทำเถอะ ถ้าคิดว่าทำแล้วจะไม่เสียใจทีหลัง"

"อือ..."

"มึงบอกกูมาดีกว่าว่าเอาเงินที่ไหนไปซื้อกัญชามาดูด ไหนบอกว่ากระเป๋าตังค์หายไงว่ะ"

ศีรษะกลมโผล่ออกมาจากอกอีธานทันที ใบหน้าขาวเหรอหราไปครู่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ "พอดีโรงบาลมันใกล้ห้องอลันน่ะ ก็เลยให้ตำรวจไปตามมาจ่ายค่าหมอให้แล้วก็ขอยืมตังค์กลับบ้าน"

"งั้นที่เงินกูหายไปร้อยนึงนี่ฝีมือมึงใช่ไหม"

"แฮะๆ"

"ไม่มีตังค์ก็บอกดิวะ หยิบไปเฉยๆ เดี๋ยวตีตาย" อีธานเขกหัวขโมยเบาๆ หนึ่งทีก่อนลุกขึ้นยืน เขายื่นมือให้อีกฝ่ายที่ยังคงนั่งอยู่บนม้านั่ง "ไป"

"ไปไหน"

"จะพาไปทำบัตรใหม่ จะได้ไม่ต้องมาขโมยของกูใช้อีก"

คนผิดส่งยิ้มอ้อนให้อีกฝ่ายไม่เอาโทษ ก่อนวางมือลงบนมือที่รออยู่ "ขอโทษคร้าบบบบ ต่อไปนี้จะไม่ทำอีกแล้ว"

เจ้าทุกข์พ่นลมหายใจเสียงดังฮึ ดวงตาคู่คมหลุบพริ้ม ใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มจางๆ เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้จับเจ้าชีวีไว้ขยี้หัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู

"ถึงจะบอกว่าตามใจมึง แต่เรื่องยา กูขอนะ"

"อืม"



หลังจากวันนั้นเจ้าชีวีกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าและทำมึนตึงกับตะวัน ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยอมเจ้าชีวีเสมอมา เขาไม่เคยว่าถ้าเจ้าชีวีจะไปปาร์ตี้เมาหัวราน้ำที่ไหน ไปค้างคืนที่อื่นกับใคร หรือแม้กระทั่งพาใครมานอนที่ห้องให้เห็นกับตา ตะวันทำเพียงแค่ปิดประตูแล้วหลบไปดูดบุหรี่บนดาดฟ้าถึงในหัวใจเขาจะเจ็บมากก็ตาม

อีธานคิดว่าสิ่งที่เจ้าชีวีทำมันไม่ได้ผล ตะวันทนยิ่งกว่าแรด เขาไม่เคยเอาเรื่องเจ้าชีวีทำตัวเสเพลมาต่อว่า มีแต่รอยยิ้มส่งไปให้ แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะจืดจางลงไปบ้าง

แต่เจ้าชีวีไม่คิดอย่างนั้น ชายหนุ่มคิดตรงข้ามกันกับอีธานทุกอย่าง สิ่งที่เขาทำมันได้ผลดีเกินคาด ตอนนี้จิตใจของตะวันมีรอยปริ ยิ่งเขาเก็บความรู้สึกไว้มากเท่าไหร่ เวลามันแตกออกมาก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น

ปลายเดือนมกราคมที่อากาศยังคงหนาวเหน็บและหิมะยังไม่ละลาย อีธานกลับมาที่แมนชั่นแล้วต้องแปลกใจที่เห็นตะวันนั่งตากอากาศหนาวอยู่ข้างประตู

"ลืมกุญแจหรือไง"

"เปล่า" หนุ่มผิวสีแทนส่ายหน้า "เจ้าชีวีอยู่ข้างใน"

"อ้าว แล้วทำไมไม่เข้าไป ทะเลาะกันหรือไง"

ตะวันส่ายหน้าอีกครั้ง เขาแค่นยิ้มดูแคลนซึ่งอีธานก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำอย่างนั้นให้ใคร ตัวเอง เจ้าชีวี หรือว่าอีธาน หากก่อนที่อีธานจะได้ถามเพิ่ม ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับฝรั่งหนุ่มหัวทองคนหัวแดงคนเดินออกมา

"อ้าวกลับกันมาแล้วเหรอ วีอยู่ข้างในแน่ะ" หนึ่งในนั้นทัก อีธานพอจะจำได้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนร่วมปาร์ตี้กับเจ้าชีวีก็พยักหน้าให้ เขามองตามสองคนนั้นจนแผ่นหลังลับหายไปในลิฟต์ ตอนนั้นเขาพอจะเดาได้แล้วว่าทำไมตะวันถึงไม่เข้าห้องไป

"อย่าคิดมากน่า" เขาตบไหล่ตะวันเบาๆ เป็นการปลอบ เพราะรู้ดีว่าเจ้าชีวีทำแบบนี้ทำไม แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด เจ้าชีวีนอนตาปรืออยู่บนโซฟายาว มีผ้านวมหนาๆ คลุมช่วงเอวไว้ ทำให้เห็นว่าร่างกายนั้นเปล่าเปลือย ไหนจะเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่รอบอีกล่ะ

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติที่อยู่กันสองคน อีธานคงถามเสียงเย้ากับเจ้าชีวีไปแล้วว่าขอสองเลยหรือ แต่ภาพตะวันที่ก้มลงไปเก็บเสื้อผ้ามาใส่ให้เจ้าชีวีก็ทำเอาเขาพูดไม่ออก

"ฉันไม่รู้ว่านายทำแบบนี้ทำไม" น้ำเสียงของตะวันไม่มีแววตำหนิหรือประชดประชดอีกฝ่าย เสียงของเขาอบอุ่นเหมือนเคย หลังจากสวมเสื้อให้เจ้าชีวีเสร็จ เขาก็รั้งร่างสูงโปร่งเข้ามากอด ก้านนิ้วยาวลูบไล้เส้นผมนุ่มเล็กสีทองเบาๆ "ถ้าไม่รักกันแล้วก็บอกมา ฉันพร้อมทำทุกอย่างที่วีต้องการเพราะวีเป็นเจ้าชีวิตของฉันไงล่ะ"

อีธานจ้องตากับเจ้าชีวี พวกเขารู้อยู่แล้วว่าตะวันไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ไม่คิดว่าตะวันจะยอมโง่ขนาดนี้ ทั้งที่รู้ดีว่าทุกสิ่งอย่างที่เจ้าชีวีทำลงไปก็เพื่อตีจาก แต่เขาก็ก้มหน้าก้มตาทำเหมือนไม่มีอะไร

เจ้าชีวีน้ำตาคลอ เขาอยากจะยกมือขึ้นมากอดตอบคนรักของเขาเหลือเกิน...

"ฉันทำอะไร"

"ขอเพียงแค่นายพูดมาคำเดียวว่าไม่รักฉันแล้ว ฉันจะไปให้พ้นหน้านายเดี๋ยวนี้เลย"

แล้วเจ้าชีวีจะพูดว่าไม่รักตะวันได้อย่างไร ในเมื่อทุกสิ่งที่ทำลงไปก็เพราะรักตะวันมากเหลือเกิน

ร่างผอมบางค่อยๆ ดันกายออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของอีกฝ่าย ใบหน้าหวานจ้องมองคนรักด้วยสายตาเฉยชา เจ้าชีวีเหลือบมองอีธานครู่เดียวก่อนรีบกลับมามองตะวัน

ก็ตัดสินใจจะทำแล้ว ต่อให้โกหกก็คงต้องทำใช่ไหม?












"ใช่ ฉันเกลียดคนแสนดีจืดชืดแบบนายเต็มทีตะวัน ไปให้พ้นหน้าฉันเถอะ"

"นายจะเกลียดฉันก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามลืมรักตัวเองนะ รักษาตัวด้วย"

.
.
.

ความพยายามฆ่าตัวตายครั้งที่สามของเจ้าชีวีเกิดขึ้นในวันจบการศึกษา บางทีเจ้าชีวีอาจจะมีความคิดว่าการกรีดข้อมือเป็นการตายที่ทรมานน้อยสุดหรือไม่ก็สภาพศพจะดูดีสุดแล้ว เขาจึงกรีดข้อมือตัวเองขณะอาบน้ำก่อนไปปาร์ตี้ฉลองเรียบจบ

โชคดีที่เขามีเพื่อนสนิทเป็นหมอ เจ้าชีวีรอดแต่สภาพจิตใจร่อแร่...

นับจากวันที่ตะวันขนเสื้อผ้าของใช้ออกจากแมนชั่นไปทันทีที่เจ้าชีวีเอ่ยปากไล่ เพื่อนของเขาก็ซึมเศร้ามาตลอด อีธานโทษตัวเองที่เขาดูแลเจ้าชีวีได้ไม่ดีพอ ทั้งที่รู้ดีว่าเจ้าชีวีคิดมากแค่ไหน และปกติเจ้าชีวีก็มีอาการทางจิตอ่อนๆ อยู่แล้ว แม้จะป้องกันโดยการเก็บของมีคมออกจากบ้าน ล็อกตู้ยา ฝากเพื่อนให้ช่วยดูไม่ให้เจ้าชีวีอยู่คนเดียว แต่อีธานก็ประมาทเกินไป เจ้าชีวีใช้เศษกระจกในห้องน้ำที่ถูกทุบจนแตกมากรีดข้อมือตัวเองแทน

เจ้าชีวีจึงกลายเป็นคนไข้คนแรกที่อีธานรักษาหลังจากเรียนจบได้สามชั่วโมงไปโดยปริยาย

แล้วทั้งคู่ก็ต้องยืดเวลาอยู่ในลอนดอนต่อออกไปอีกสามเกือบสี่เดือน เมื่ออีธานบังคับให้อีกฝ่ายตรวจร่างกายอย่างละเอียด และผลออกมาว่าเจ้าชีวีเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวจริงๆ

"จะเอาไงต่อ" ฤดูหนาวหมดไปแล้วและฤดูใบไม้ผลิกำลังมา ถึงจะเป็นฤดูแห่งการเริ่มต้น ทว่าบรรยากาศของลอนดอนก็มืดหม่นเยียบเย็นเกินไป

"อยากกลับบ้าน" นัยน์ตากลมโตเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ามืดหม่นคล้ายจะมีฝนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า "บ้านที่นิวยอร์ก"

"ได้สิ" อีธานตอบสั้น มันไม่เหนือความคาดคิดของเขาไปเสียเท่าไหร่ ยิ่งที่นี่มีความทรงจำของตะวัน เจ้าชีวีคงไม่คิดอยากอยู่ให้ปวดใจไปมากกว่านี้

เจ้าชีวีใช้ชีวิตตามปกติไปเรื่อยอย่างมีความสุข อย่างน้อยก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่เคยพูดถึงตะวันเลยตั้งแต่กลับมานิวยอร์ก แต่ก็ไม่ได้คบกับใครอีก

พวกเขากลับมาอยู่ที่เดิม อีธานเข้าทำงานในโรงพยาบาลใกล้บ้าน ส่วนเจ้าชีวีก็อยู่บ้านวาดรูปส่งแกลอรี่บ้าง ไปดูหนังฟังเพลงบ้าง บางคืนก็ไปปาร์ตี้กับเพื่อนเก่า ทำตัวดีไม่ดื้อไม่งอแง ไม่ปาร์ตี้หนักเมาหัวราน้ำยันเช้า โดยที่ไม่ต้องให้อีธานบอกตามหน้าที่คุณหมอที่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่ายังไงเจ้าชีวีก็ต่อต้านหัวชนฝาก็คือการเข้ารับการรักษา

เจ้าชีวีจะเข้าโรงพยาบาลก็ต่อเมื่อมีอาการหน้ามืด อาเจียนหนัก หรือมีเลือดออกเพราะติดเชื้อ แต่เขาจะไม่ยอมเข้ารักษาอาการของโรคมะเร็งอย่างจริงจังเด็ดขาด

อีธานเคยถามเหตุผลครั้งหนึ่ง แล้วก็เลิกเซ้าซี้อีกเมื่อเจ้าชีวีตอบกลับมาว่า...

"กูไม่อยากหัวล้าน" ใบหน้าหวานส่งยิ้มกว้างเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ขณะป้ายปลายพู่กันลงบนผ้าใบ "หูกูกางคงน่าเกลียดน่าดู"

"พูดเล่นใช่ไหม"

"เปล่านะ พูดจริงๆ อีกอย่างมึงเป็นหมอก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงร่างกายกูน่ะ"

ใช่ อีธานรู้ร่างกายของเจ้าชีวีดี คนอายุน้อยกว่าร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งถ้าเจอการฉายรังสีซ้ำๆ แบบนั้นจะตายเพราะทนไม่ไหวหรือไม่ก็แพ้การรักษาตายก่อนน่ะสิ อีธานจึงไม่ตอบโต้อะไรอีก

พอกลับมาอยู่ที่เดิม เจ้าชีวีชักเริ่มเข้าแล้วว่าทำไมคนอังกฤษในยุคก่อนถึงพยายามมาขุดทองกันที่อเมริกา นอกจากที่จะมีอิสระเสรีเหลือเฟือ บรรยากาศแห่งความมีชีวิตชีวาก็มากกว่าลอนดอนที่เหมือนจะเป็นสีขาวดำมากกว่าไหนๆ

บางทีเจ้าชีวีคงตายที่นิวยอร์ก เขาแทบจะเตรียมโลงศพให้ตัวเองอยู่แล้วถ้าวันหนึ่งพี่ชายที่ไม่ได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่เขาอายุสิบสี่ก็มาหา เกือบสิบปีที่สองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากัน ยิ่งกว่าเป็นคนแปลกหน้าเสียอีก

"สบายดีนะ" กษิดิ์เดชยิ้มจาง มือหนึ่งคนกาแฟในถ้วยไปเรื่อยรอให้น้ำตาลละลาย

"ก็อย่างที่เห็น คุณพูดมาดีกว่าว่ามาทำไม"

"ฉันอยากให้นายกลับเมืองไทย"

"เพื่ออะไร?" เจ้าชีวีตอบสั้น ไม่มีวี่แววประชดประชันทั้งในน้ำเสียงและแววตา เขาไม่มีความรู้สึกอะไรกับคนที่นั่นมานานมากพอที่จะเป็นอย่างนี้ ตากลมหลุบต่ำมองเครื่องดื่มในมือ ทั้งที่อากาศเริ่มเย็นลงเพาะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่เจ้าชีวีก็เลือกจะดื่มโกโก้ปั่นเย็นๆ

"แค่อยากให้กลับไปอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว"

สิ้นเสียงคนเป็นพี่ ใบหน้าหวานก็บิดริมฝีปากเป็นรอยยิ้มน่าเกลียดน่าชัง ตาโตหรี่มองคนตรงหน้าดูแคลนที่สุดเท่าที่จะทำได้ "ถ้าคุณอยากได้หุ้นในบริษัทก็บอกผมดีๆ ซี่ อย่ามาอ้างอะไรไร้สาระหน่อยเลย เพราะถ้าพวกคุณต้องการอย่างนั้นจริงๆ ทำไมถึงทิ้งผมตั้งแต่ผมยังไม่เกิดล่ะ"

"ฉันไม่ได้ทำ"

"พวกคุณทำ" คนอ่อนวัยจบบทสนทนาด้วยการลุกขึ้นยืน เขายกแก้มโกโก้ดูดอีกครั้งแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะแรงๆ "หึ... เด็กที่อยากฆ่าให้ตายแต่ไม่ตาย เด็กที่เกิดมาพร้อมกับความรักที่หมด เด็กที่ไม่เป็นที่ต้องการ เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่ อยู่เป็นเสี้ยนหนามตำใจทุกคนมากสินะ"

"เจ้าชีวี..."

"รู้แล้วหรือไงว่าผมชื่ออะไร"

"..."

"ตั้งแต่ผมเกิด ยังไม่มีพวกคุณคนไหนเรียกชื่อผมเลยรู้ตัวหรือเปล่า"

.
.
.

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
"คิดยังไงจะกลับไป"

"แก้แค้นมั้ง" เจ้าชีวีหันมาตอบหน้าทะเล้นเลยถูกอีธานหยิกแก้มป่องๆ หนึ่งที ไม่ว่าจะผอมเพราะโรคร้ายแค่ไหน แต่แก้มก็ไม่เคยตอบเลยเถอะ

"เกลียดที่นั่นไม่ใช่หรือไง"

"เกลียด แต่...อยากกลับไปตอกหน้าคนพวกนั้น เขาไม่เคยต้องการกูหรอก เพราะงั้นกูเลยจะไปอยู่ให้พวกนั้นรู้ว่ากูยังมีชีวิต" เขาหยุดจังหวะ ยกบุหรี่ขึ้นมาสูบก่อนพูดต่อ "แม้จะเหลืออีกไม่มากนักเถอะ"

"งั้นกูไปด้วยนะ" ตากลมเหลือบมองคนข้างกายด้วยหางตาเป็นคำถาม อีธานจึงตอบอีกฝ่ายด้วยการยกมือขยี้เส้นผมเบาๆ "ก็เราเป็นครอบครัวกันไม่ใช่หรือไง มึงเป็นน้องกู เป็นครอบครัวของกูที่ต้องดูแลตั้งแต่วันแรกที่แม่กูพามึงมาให้กูดูแลแล้ว"

เจ้าชีวีระบายยิ้มจางๆ แทนคำพูด ใช่...ครอบครัวของเจ้าชีวีมีเพียงอีธาน ตั้งแต่วันนั้นที่อีธานจูงมือเขาเข้าไปในงานปาร์ตี้วันเกิด

"เขาบอกว่าถ้าทำดีจะได้ไปสวรรค์" หลังจากเงียบไปพักใหญ่จนบุหรี่หมดไปหนึ่งมวน เจ้าชีวีก็เอ่ยขึ้น "มึงว่ากูจะได้ไปสวรรค์ไหม"

อีธานไม่ได้ตอบอะไรเจ้าชีวีไปนอกเสียจากหยิบบุหรี่อีกตัวออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดสูบ ความตายไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับทั้งอีธานและเจ้าชีวี มันเป็นเรื่องที่พวกเขาทั้งสองคนต่างคุ้นเคย หากก็คนละรูปแบบ

เพราะอีธานเป็นหมอ...เขาเจอคนตายมามากพอ
ส่วนเจ้าชีวีเองก็ใช้ชีวิตอยู่บนเส้นด้ายระหว่างความเป็นความตายมาตลอดเวลา

และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เจ้าชีวีพูดถึงเรื่องหลังความตาย

"บางทีนรกคงเหมาะกับกูมากกว่า" เจ้าชีวีพูดอย่างนั้นก่อนยกบุหรี่ขึ้นสูบต่อ ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอให้ควันขาวได้ล่องลอยกลางอากาศก่อนจางหาย

ชีวิตของเขาเหมือนกับควันบุหรี่ เกิดจากการเสพความสุขเพียงครู่ ออกมาดูโลกอย่างล่องลอย และจางหายไปในเวลาไม่นาน

เขาดับบุหรี่ในมือแล้วดีดก้นทิ้งบนพื้น ร่างสูงโปร่งหันหลังให้กับทิวทัศน์ของนิวยอร์กยามค่ำคืนคล้ายปฏิเสธการรับรู้ความเป็นจริงอีกต่อไป อีธานจึงหันตามมา เขามองเห็นเพียงแผ่นหลังที่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อโค้ทตัวโตเย็บริมด้วยขนเฟอร์แท้ฟอกสีน้ำตาลไหม้

"ถ้ามึงตกนรก กูจะตามไปอยู่เป็นเพื่อนมึง"

เจ้าชีวีทำเพียงโบกมือเหนือหัวไปมา แต่อีธานรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้ม...
ครอบครัวคนเดียวของเขากำลังยิ้ม


"เวลาของเราไม่เท่ากัน มึงอย่าตามกูมาเลย"


.

.

.


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อีธานมาประเทศไทย หากนี่จะเป็นการลงหลักปักฐานที่ไม่รู้อนาคต เขาไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ บางที...อนาคตของเขาก็ขึ้นอยู่กับคนที่เขาตามติดมา

"มึงไม่อยู่บ้านเหรอ" อีธานถามคนที่ยึดเตียงของตนเองเป็นที่นอนชั่วคราว ร่างผอมบางนั้นนอนคว่ำหน้า เกยร่างกายท่อนบนอยู่เหนือหมอนหนุนขนห่านใบเขื่อง

"ไม่ชิน" เจ้าชีวีตอบกลับสั้นๆ ไม่น่าแปลกใจนักกับคำตอบ ถ้าเขาบอกว่าชอบอยู่บ้านสิน่าแปลก

"พรุ่งนี้กูจะเข้าโรงพยาบาล"

"แล้วยังไง?"

"เหตุผลที่กูตามมึงมานี่ มึงน่าจะรู้ดีนะ"

"ไปคนเดียวเถอะ กูจะไปภูเก็ต" เขาซุกหน้าลงกับหมอนมากขึ้น ทำท่าเหมือนหลับไปแล้ว เพื่อนร่วมห้องดึงผ้าห่มจากปลายเท้าขึ้นมาคลุมร่างนั้นให้ รู้ว่าเขายังไม่หลับแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จนปัญญาจะพูดกับคนหัวแข็งแบบนั้น

คนอย่างเจ้าชีวีถ้าไม่อยากก็ไม่ทำเด็ดขาด

วันถัดมา หนุ่มจีนสัญญาติอเมริกาก็เข้าไปยื่นเอกสารที่โรงพยาบาล แจ้งความจำนงค์ขอเริ่มงานอาทิตย์หน้า รวมถึงสำรวจห้องทำงานใหม่ โรงพยาบาลนี้เป็นหนึ่งในธุรกิจของบ้านเจ้าชีวีที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่น่าแปลกที่ห้องทำงานของเพื่อนสนิทจะเป็นห้องที่ดีที่สุดรองจากห้องทำงานผู้บริหาร

หลังจากขับรถตระเวนสำรวจเส้นทางในกรุงเทพจนถึงมื้อเย็น อีธานก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกลมาจากภูเก็ต เจ้าชีวีโทรมาพร้อมกับเสียงร้องไห้ นานแล้วที่เขาไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้ หมอหนุ่มจึงเปลี่ยนเส้นทางจากร้านอาหารข้างหน้าไปยังสนามบินเพื่อให้ทันเครื่องเที่ยวสุดท้ายในวันนี้

เมื่อเขาย่างก้าวเข้าไปในบ้านพักตากอากาศของเจ้าชีวี แม่บ้านก็เดินมาบอกว่าคุณหนูของหล่อนขังตัวอยู่ในห้องนอน เธอยื่นกุญแจสำรองให้แก่อีธานเมื่อเขาร้องหา ไม่นานร่างสูงใหญ่จึงได้เข้าไปในห้องนอนของเขา

เจ้าชีวีไม่ได้อยู่ในนี้ ทว่าเสียงหยดน้ำกระทบพื้นกระเบื้องจากในห้องน้ำทำให้อีธานไม่สติแตกไปเสียก่อน

ห้องนอนของเจ้าชีวีค่อนข้างกว้าง และห้องน้ำก็อยู่ห่างออกไป อีธานต้องเดินเกือบห้าสิบก้าวกว่าจะถึงหน้าประตู  ประตูกระจกฝ้าสลักลายเปิดทิ้งไว้ เสียงน้ำยังคงไหลต่อเนื่องและครั้งนี้เขาได้ยินเสียงสะอื้นปน

ในห้องน้ำแสนกว้าง พื้นกระเบื้องสีนิลเต็มไปด้วยขวดเครื่องสำอางที่หล่นเกลื่อนกลาด บ้างแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยให้ต้องระวังว่าจะบาดฝ่าเท้า โชคดีที่ใบมีดโกนยังคงว่าอยู่บนชั้นไม่ได้หายไป อีธานพอโล่งใจ เขาถอนหายใจยาวก่อนสาวเท้าเข้าไปด้านในอีก

เจ้าชีวีนั่งคู้ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ ฝักบัวเหนือศีรษะเปิดค้างปล่อยสายน้ำหล่นกระทบเส้นผมสีสว่างตัดสั้นกับใบหน้าขาวซีด ดวงตาของเขาแดงก่ำพอๆ กับจมูกที่พยายามสูดหายใจอย่างยากลำบาก
ร่างสูงเดินไปหาเพื่อนรักจนเอื้อมมือไปปิดฝักบัวได้ ตอนนั้นเจ้าชีวีถึงรู้ว่าอีธานมาถึงแล้ว...

"อีธ..." น้ำเสียงอู้อี้นั้นดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าขาวที่เงยขึ้นมองตอบ ก่อนที่ร่างนั้นจะกระโจนขึ้นกอดอีกฝ่ายไว้ทั้งตัว "อีธ... กูเป็นใครอีธ กูไม่ใช่คนดีเลยสักนิดแต่ทำไม..."

"เพราะตะวันรักมึง" หนุ่มจีนตอบสั้น คำตอบที่เจ้าชีวีก็รู้ดีแต่ไม่ยอมเชื่อ

"เขาโง่เหรอมึงถึงรักกูอยู่ได้ กูสงสารเขา"

"ความรักเปลี่ยนคนฉลาดให้เป็นคนโง่เสมอ" เขาใช้ฝ่ามือหนาลูบหลังลูบไหล่เจ้าชีวีให้หยุดร้องไห้เสีย และพยายามแบกร่างโปร่งออกมาจากห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้าชุ่มน้ำออกและสวมชุดนอนสบายตัวให้ ใช้มือลูบหน้าลูบแก้มอีกฝ่ายราวเจ้าชีวีเป็นลูกชายตัวน้อยๆ ห่มผ้าให้ นั่งรออยู่ข้างเตียงส่งเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา

ใบหน้ายามหลับของเจ้าชีวีช่างไร้เดียงสา งดงามและบริสุทธิ์ น่าเสียดายที่ชีวิตของเขามีแต่ความทุกข์ เพราะตอนที่ใบหน้าหวานใสนั้นแย้มรอยยิ้ม เจ้าชีวีจะสวยงามได้มากกว่านี้อีก

คืนนั้นเจ้าชีวีไข้ขึ้นสูงจนต้องส่งโรงพยาบาลด้วยกลัวว่าจะเกิดอาการช็อค ร่างบางได้แต่เพ้อเรียกชื่อตะวันด้วยพิษไข้ตลอดเวลา

เปรียบแล้วความรักก็คือยาพิษร้ายสำหรับเจ้าชีวีที่ทรมานให้ตายลงช้าๆ นั่นเอง...

"กูถามอะไรอย่างนึงสิ"

บ่ายอ่อนๆ ท่ามกลางลมหนาวที่เริ่มพัดลงสูงเกาะทางใต้ เจ้าชีวีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงคนไข้ ศีรษะกลมคาดที่คาดผมมินนี่เมาส์ บนตักมีตุ๊กตาตัวโตกลมๆ สีแดงวางอยู่ เบื้องหน้าเป็นอาหารกลางวันและแก้วใส่ยาที่เพิ่งกินเสร็จ

อีธานที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเหลือบตาขึ้นมองคนถามพลางยกคิ้วแทนคำตอบ

"ถ้ากูบอกว่าเกลียดมึง มึงจะไปจากกูแบบตะวันเปล่าว่ะ"

แพทย์หนุ่มพับหนังสือลง เขาลุกขึ้นเดินมานั่งบนขอบเตียง ตาคมภายใต้แว่นกรอบเหลี่ยมสีดำจ้องมองเจ้าชีวี อีธานตีหน้าจริงจัง "ไม่"

"ทำไม"

"เพราะกูรักมึง"

"ตะวันบอกว่ารักกู ยังไปเลย"

"รักของคนเราไม่เหมือนกัน" น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบด้วยความใจเย็น อีธานยกมือแตะแก้มใสใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเปื้อนอาหารให้ "ตะวันรักมึงแบบรักแล้วยอมให้ทั้งใจ"

"แล้วมึงรักกูแบบไหน เหมือนแบบที่กูรักมึงหรือเปล่า"

"งั้นมึงรักกูแบบไหนล่ะเจ้าชีวี" เขายิ้มเจ้าเล่ห์ แต่เจ้าชีวีก็ไม่สนใจ

อีธานชอบเรียกอีกฝ่ายว่าเจ้าชีวีมากกว่าวี แม้ตอนแรกที่รู้จักกันจะเป็นเรื่องยากในการทำลิ้นอ่อนเพื่อให้ออกเสียงได้เหมือนต้นฉบับ แต่หลังจากพูดเข้าบ่อยๆ สุดท้ายเขาก็เรียกชื่ออีกฝ่ายได้เหมือนเจ้าของภาษา

"มึงบอกกูก่อนดิ" คนตัวเล็กกว่าหน่อยยู่หน้า ริมฝีปากอิ่มบางสีแดงจัดเบะออกเหมือนเป็ด ท่าทางหงุดหงิดที่อีธานเล่นตัว

สุดท้ายคนแก่กว่าก็ต้องยอมแพ้ อีธานดึงเจ้าชีวีมาซุบอกก่อนหลับตาลง "ไม่รู้เหมือนกันนะ รู้แต่ว่าต่อให้มึงเหี้ย ติดยา ใกล้ตาย ขี้แง ขี้งอน คิดมาก แต่กูก็ยังอยากอยู่ข้างๆ อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป"

"..."

"..."

"งั้นก็เหมือนกันสิ กูน่ะรักตะวัน แต่ไม่อยากให้ตะวันเจ็บเพราะรักกู กูเลยยอมปล่อยเขาไป แต่สำหรับมึง คนที่อยู่กับกูมาตลอด กูก็อยากให้มึงอยู่ข้างกูแบบนี้ตลอดไปเหมือนกัน"

คุณหมอหนุ่มกดจมูกลงบนเรือนผมสีอ่อน แต่ติดหูมินนี่กับโบว์สีแดงจัด มือหนาจึงจัดการดึงออกก่อนเลื่อนปลายจมูกฝังลงที่พวงแก้มอิ่มแรงๆ แทน

"ไปเอาที่คาดผมนี่มาจากไหนกัน ตุ๊กตานี่ด้วย" อีธานแย่งตุ๊กตาตัวกลมจากตักเจ้าชีวี เขายกมันขึ้นเล่นเกมจ้องตากับเจ้าตุ๊กตานกสีแดงหน้าตาไม่รับแขก "ถึงกูจะรู้ว่ามึงชอบเล่นอะไรนุ่มๆ แต่ไม่คิดว่ามึงจะไปซื้อตุ๊กตามากอดเองหรอกนะ"

"หลานเอามาฝาก"

"หลาน?"

"อืม ลูกพี่เดช สิบขวบแล้วล่ะ เมื่อวานแม่เขาพามาเยี่ยม เด็กนั่นเลยซื้อตุ๊กตามาให้ ปัญญาอ่อน แต่ก็น่ารักดี" ตากลมมองสลับคนข้างกายกับตุ๊กตาแล้วหัวเราะคิก "จะว่าไปหน้าก็เหมือนมึงดีนะ มึงสนใจเปลี่ยนสีหัวเป็นสีแดงบ้างป่ะ รับรองเหมือนยิ่งกว่าเดิมอีก"

"มึงทำเป็นเพื่อนกูป่ะล่ะ"

"ไม่ล่ะ กูไม่นิยม ฮ่าๆ"

"ไอ้แสบเอ๊ย!!!" อีธานจับตุ๊กตา เอาตรงส่วนที่เป็นจะงอยปากเหลืองๆ จิ้มลงไปตามหน้าตามหัวของเจ้าชีวีจนคนตัวผอมปัดมือหนีเป็นพัลวัล

"เฮ้ย! ไม่เล่นเว้ย ไม่เอานะอีธาน กูจั๊กจี้ ฮ่าๆ" ร่างโปร่งโน้มตัวหลบไปอีกด้าน อีธานก็ตามลงมาจนกลายเป็นใช้ร่างกายใหญ่โตกว่าคร่อมอีกฝ่ายไว้ทั้งตัว แม้ตอนแรกเขาเอาผิวนุ่มนิ่มของตุ๊กตาแต้มลงไปบนผิวของอีกฝ่าย หากไม่นานกลับกลายเป็นปลายจมูกและริมฝีปากของเขาที่แต้มลงไปแทน

"กูจะอยู่กับมึงจนกว่ามึงจะตายเลย"



พอออกจากโรงพยาบาลที่ภูเก็ต อีธานก็ได้ฤกษ์ทำงานที่โรงพยาบาลแห่งใหม่ทันที ส่วนเจ้าชีวีที่ขนข้าวของมาทิ้งไว้ที่ห้องอีธานตั้งแต่วันกลับไทยก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันแบบไม่บอกกันให้รับรู้ด้วยคำพูด แม้ว่าเจ้าชีวีจะมีห้องว่างในกรุงเทพอยู่สามสี่ที่ก็ตาม และอีธานก็คิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะอยู่ด้วยกัน อย่างน้อยถ้าเจ้าชีวีเกิดเป็นอะไรขึ้นมาหรือคิดฆ่าตัวตายอีกเขาจะได้ช่วยทัน

ทุกวันอีธานจะออกไปทำงานที่โรงพยาบาล เขาจ้างแม่บ้านไว้คนหนึ่งให้คอยดูแลเจ้าชีวีตอนที่เขาไม่อยู่ ตอนเที่ยงก็จะกลับมากินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับไปทำงานต่อ ตกเย็นก็กลับเข้าบ้านมากินข้าวด้วยกัน หรือบางวันก็พาเจ้าชีวีออกไปกินข้าวข้างนอก เดินเล่นริมแม่น้ำเจ้าพระยาหรือไปช้อปปิ้ง

วันหนึ่งของต้นเดือนพฤศจิกายน อีธานกลับเข้าห้องมาพบว่าภายในห้องมืดสนิท เขาเปิดสวิตท์ไฟก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า ทั้งเจ้าชีวีและแม่บ้านหายไป เขาเดินตามหาทั่วห้องเผื่อว่าเจ้าชีวีจะเล่นพิเรนทร์อะไร แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนได้ยินเสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์

'กูอยู่บนดาดฟ้า รีบๆ มานะ มันหนาว'

ชายหนุ่มขึ้นลิฟต์ไปตามที่อีกฝ่ายบอก เมื่อเปิดประตูดาดฟ้าเขาก็พบคนที่กำลังตามหายืนหันหลังให้

"เจ้าชีวี"

"มาแล้วเหรอ ช้าชะมัด กูเกือบหนาวตายไปแล้วรู้ไหม" เจ้าชีวีหันมาต่อว่าอีกฝ่าย แต่ใบหน้ากลับยิ้มสดใส ข้างๆ กันมีแม่บ้านกำลังจัดโต๊ะอาหารเย็นอยู่

"ทำอะไรน่ะ"

"ดินเนอร์ไง"

"หนาวจะตาย มากินอะไรบนนี้"

"เปลี่ยนบรรยากาศ" เขาตรงเข้าไปฉุดมืออีกฝ่ายให้มานั่งบนเก้าอี้ ตอนนั้นอีธานถึงเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะมีเค้กวางอยู่ด้วย "แฮปปี้เบิร์ธเดย์"

"วันนี้วันที่หกแล้วเหรอ"

"อื้อ!" เจ้าชีวีขานรับน้ำเสียงกระตือรือร้น เขาโบกมือไล่แม่บ้านไปก่อนนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามอีกฝ่าย "ยี่สิบหกแล้วนะมึง"

"งั้นเราก็รู้จักกันมา..." มือหนาถูกยกขึ้นมานับนิ้ว "สิบหกปีแล้วสิ"

"เหมือนนานเนอะ แต่เร็วชะมัด"

อีธานยิ้มน้อยๆ เขาเริ่มตักอาหารลงจาน เจ้าชีวีก็เลยทำตามบ้าง เครื่องดื่มอย่างไวน์แดงรสดีถูกยกจิบเป็นระยะ จนอาหารหมดคนต้นคิดก็ล้วงไฟแช็คขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจุดเทียนให้ โชคดีที่ตรงที่นั่งมีขอบปูนบังลม ไม่นานเปลวไฟก็สว่างไสว

เจ้าชีวีหยิบกีต้าร์โปร่งขึ้นมาดีดแล้วร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้อีกฝ่าย ตลอดเวลาอีธานจะอมยิ้มน้อยๆ จนเจ้าตัวร้องจบเขาถึงหลับตาอธิษฐานแล้วเป่าเทียน

"ตั้งแต่รู้จักกันมา นี่เป็นปีแรกที่ฉลองวันเกิดกันแค่สองคน"

"ก็ปกติมีแต่เพื่อนมาจัดปาร์ตี้ให้นี่" เจ้าชีวีอมยิ้ม "แต่แบบนี้ก็มีความสุขไปอีกแบบเนอะ"

"แล้วไหนของขวัญวันเกิดล่ะ"

"หลับตาสิ" ตาคมมองใบหน้าขาวใสที่ยังคงส่งยิ้มกว้างมาให้ก่อนยอมหลับตาลงตามที่อีกฝ่ายบอก ไม่นานเสียงกรีดนิ้วลงบนสายกีต้าร์ก็ดังขึ้น

"I can’t win, I can’t reign
I will never win this game without you
I won’t run, I won’t fly
I will never make it by without you
I can’t rest, I can’t fight
All I need is you and I, without you
Can’t erase, so I’ll take blame
But I can’t accept that we’re estranged
Without you, without you
I can’t quit now, this can’t be right
I can’t take one more sleepless night without you
I won’t soar, I won’t climb
If you’re not here, I’m paralyzed without you
I can’t look, I’m so blind
I lost my heart, I lost my mind without you
I am lost, I am vain
I will never be the same without you
You, you, you
Without you, you, you, without you"

ฉันสู้ใครไม่ไหว ฉันปกครองอะไรไม่ได้
ฉันคงทำอะไรไม่ถูกหากขาดเธอ
ฉันหมดแรง หมดกำลังกาย
ฉันคงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้หากไม่มีเธอ
ฉันหยุดพักไม่ได้ จะสู้ต่อก็ไม่ไหว
ที่ต้องการคือเธอและฉันในหัวใจ หากต้องขาดเธอ
อดีตที่ผ่านมาคงลบล้างไม่ได้ อย่างนั้นฉันจะยอมรับความผิดเอง
แต่ฉันไม่อยากรับว่าตอนนี้เราเหินห่างกัน
หากต้องขาดเธอ หากไม่มีเธอ
ฉันหยุดตอนนี้ไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้
ไม่อยากข่มตาผ่านค่ำคืนคนเดียวอีกแล้ว เมื่อขาดเธอ ไม่มีเธอ
ฉันสิ้นหวัง หมดแรงกำลัง
หากเธอจากไป ฉันคงไร้เรี่ยวแรง หากขาดเธอ
ฉันมองไม่ได้ แสงไฟมันดับไป
ใจฉันสลาย คงต้องบ้าตายหากขาดเธอไป
ฉันหลงทาง ฉันไร้ค่าใด
ชีวิตคงไม่มีวันกลับมาเป็นอย่างเดิมหากไม่มีเธอ
เธอเท่านั้นทีรัก
หากขาดเธอไป...หากต้องไม่มีเธอ

*Without You - David Guetta ft. Usher

ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาทีละน้อยเมื่อเปิดจบลงจนพบคนตรงหน้านั่งฉีกยิ้มมาให้

"มึงคือทุกสิ่งทุกอย่างของกู ถ้าไม่มีมึง...บางทีกูอาจจะไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มีความสุขแบบในตอนนี้ เพราะงั้นอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ"

"มันแน่นอนอยู่แล้วเด็กโง่" เขาพูดเป็นภาษาไทยจนเจ้าชีวีต้องหัวเราะคิก

"ไปจำมาจากไหนน่ะ"

"คนไข้ที่โรงพยาบาลน่ะ ตอนนี้กูพูดไทยคล่องกว่าที่มึงเคยสอนอีกนะ"

"เดี๋ยวก่อนนะ นี่คนไทยเขาพูดจากันน้ำเน่าขนาดนี้เลยเหรอ"

"ไม่รู้สิ แต่กูนั่งดูละครอยู่กับคนไข้เลยจำมา ฮ่าๆ"

"ไอ้บ้า" เจ้าชีวีก้มหน้า เขาไม่คิดว่าเพื่อนตัวสูงหน้าตาดุดันอย่างอีธานจะไปนั่งดูละครกับใครได้ มันตลกแล้วก็น่ารักดี...

อีธานยิ้มอีกครั้งก่อนเดินมากอดไหล่อีกคนไว้หลวมๆ แล้วจับโยกไปมาเหมือนกล่อมเด็ก "ขอบใจ ถ้าไม่มีมึง กูก็คงไม่มาถึงตรงนี้ได้เหมือนกัน" เขาปิดท้ายประโยคด้วยจูบไรผมเหนือขมับ ปลายจมูกแตะลงบนเรือนผมสีอ่อน

"อย่างทิ้งกูนะ" มือหนาเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายแผ่วเบา จูบประทับรอยความเศร้าหมองให้จางหายไป แทนคำสัญญา

"กูจะไม่ทิ้งมึงแน่นอน"




TBC

เจอกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ [N]€ẃÿ{k}uñĢ

  • ~ῲเจ้าแม่Dramaῴ~
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +740/-5
+1 จัดไปจ้า อ่านไปอินไป เนื้อเรื่องน่าติดตามมาก
อ่านแล้วแอบสงสารตะวัน  :hao5:
แต่ก็เข้าใจว่าทำไมวีถึงทำแบบนั้น
อ่านจบแล้วก็คิดเรื่องนี้คงจบ เมื่อ นาฬิกาชีวิตของวี หยุดเดิน
คำถามคือแล้วหลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้น...

ออฟไลน์ hibarihao

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เศร้าอ่ะ

ออฟไลน์ cho_co_late

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อ่านแล้วหยุดไม่ได้ ชอบเรื่องแบบนี้จัง
หาอ่านไม่ค่อยได้ แต่ชอบมาก
ส่วนตัวชอบคู่อีธานกับชีวีเนี้ยล่ะ คอยดูแลกันไปมา
ชอบตรงที่อีธานตัดสินใจเรียนหมอเพื่อชีวี
มาต่อเร็วๆนะคะ ติดตามอยู่ :)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
สิ่งที่เจ้าชีวีต้องทนแบกรับมาตั้งแต่อายุยังน้อย
และความพยายามหาอะไรมาทดแทน
ซึ่งล้วนแต่ไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืน
ถ้าเจ้าชีวีเห็นแก่ตัวอีกนิด หาความสุขให้ตัวเองก่อนตาย
คงไม่ปล่อยตะวันไป
ถ้าคนเราคิดได้ ทำได้ ก็คงไม่มีใครเป็นทุกข์
กับอีธานให้เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะมันมากกว่าคำว่าคนรัก เพราะอีธานคือครอบครัว


ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
2




พวกเขาคิดว่าการอยู่กันสองคนแบบนี้ในสถานที่ไม่รู้จักใครก็ดีเหมือนกัน ครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขาสองคนดูเหมือนจะปลอดภัยจากโลกภายนอกที่วุ่นวาย ถ้าไม่มีใครเปิดประตูออกไป...

เจ้าชีวีชักเข่าขึ้นมาวางไว้บนโซฟาข้างหนึ่ง เอนใบหน้าลงซบ ดวงตากลมโตเมินเฉยต่อผู้ให้กำเนิดสองคนตรงหน้า

เพียงเช้าถัดมาหลังวันเกิดของอีธาน พ่อและแม่ของเจ้าชีวีก็บุกมาที่ห้อง ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร แต่คงเดาได้ไม่ยากในเมื่อตึกนี้ก็เป็นหนึ่งในธุรกิจของเกียรติตระกูล

"พวกเรามารับลูกกลับบ้าน"

ชายหนุ่มแค่นยิ้มให้กับคำพูดของผู้หญิงตรงหน้า มือข้างหนึ่งยกบุหรี่เข้าปาก อีกข้างยกไลท์เตอร์จุดไฟ เขาสูดควันเข้าปอดแรงๆ ก่อนพ่นใส่หน้าบุพการีทั้งสอง "ไม่กลัวผมไปตายในบ้านอีกหรือไง"

"ไม่ใช่อย่างนั้นนะลูก ที่พ่อกับแม่มาหาลูกในวันนี้ก็แค่อยากให้พวกเรากลับไปอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวเท่านั้นเอง"

"อยากได้อะไรว่ามาเลยดีกว่า หุ้นตัวไหน เครื่องเพชรชุดไหน เผื่อผมจะพอยกให้ได้"

"ลูกจ๊ะ ฟังแม่กับพ่อดีๆ นะ พวกเราแค่อยากให้ลูกกลับไปอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง ตอนนั้นพวกเราคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้คิดถึงลูกเลย ทำให้ลูกต้องเจ็บปวด ตอนนี้แม่กับพ่อคิดได้แล้ว เราอยากจะขอโทษลูกแล้วก็อยากอยู่ด้วยกัน"

เจ้าชีวีหันหน้าหนีไปอีกทาง ใช้หลังมือปาดน้ำตาที่เริ่มมาคลอทิ้งอย่างรวดเร็ว

"กลับไปเถอะ พวกคุณพยายามกำจัดผมตั้งแต่ผมยังไม่เกิด พอเกิดมาก็ไม่เคยต้องการ ถ้าคุณย่าไม่สงสารเอามาเลี้ยงผมก็คงตายไปนานแล้ว แล้วก็นะ...ถึงไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น ผมก็มีชีวิตเหลืออีกไม่นานหรอก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้"

"ลูก..."

"ในเมื่อไม่เคยสนใจกันตั้งแต่แรก ก็อย่ามาทำตัวสำนึกได้เลย ต่างคนต่างอยู่ ขอบคุณแล้วกันที่ทำให้ผมเกิดมา แม้ชีวิตมันจะโคตรเฮงซวยบัดซบ" เขาลุกขึ้นเดินไปทางห้องครัว หันหลังให้พ่อและแม่ที่เริ่มมองหน้ากันอย่างคิดไม่ออก "นู่นประตู มาทางไหนก็กลับทางนั้นเถอะ"

สุดท้ายคนเป็นพ่อแม่ก็ยอมแพ้ พวกเขามองหน้ากันแล้วถอนหายใจก่อนลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ไม่นึกโกรธลูกชายคนเล็กเลยสักนิด หากแต่โทษพวกเขาเองที่เคยทอดทิ้งอีกฝ่ายจนกลายเป็นคนแข็งกระด้างแบบนี้ แม้แต่ตอนยืนอยู่ตรงประตูก็ยังมองกลับมาดูลูกด้วยความรู้สึกผิด

"คุณวีคะ! คุณวี!!!" เสียงตะโกนของแม่บ้านทำให้ผู้สูงวัยทั้งสองรีบวิ่งกลับเข้าไปทันที เจ้าชีวีนอนคว่ำหน้ากับพื้น มีเลือดบางส่วนไหลออกมาจากจมูกและปาก ใบหน้าขาวซีดและดูเหมือนไม่หายใจ

"เรียกรถพยาบาลสิ" คนเป็นพ่อหันไปสั่งแม่บ้าน เธอรีบลนลานเดินออกไปโทรศัพท์ตามเบอร์ที่คุณหมอต่างชาติจดแปะไว้บนบอร์ดสำหรับกรณีนี้ทันที ไม่นานรถพยาบาลก็มาถึง เจ้าชีวีถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลที่อีธานทำงาน รวมไปถึงพ่อแม่ของทั้งคู่ที่ตามไป

เกือบชั่วโมงในห้องฉุกเฉิน อีธานไม่ยอมปล่อยแต่ละนาทีให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาตรวจดูจนแน่ใจว่าเจ้าชีวีไม่มีอาการอะไรร้ายแรงนอกจากเครียดจนช็อกหน้ามืดหมดสติไปเฉยๆ ถึงให้คนป่วยไปพักฟื้นที่ห้องพักได้

ถึงจะไม่เป็นอะไรมากไปกว่าหมดสติเพราะโลหิตจาง(เลือดที่ออกมาจากปากและจมูกเกิดตอนที่ล้มลงไปหน้ากระแทกพื้น) หากชายหนุ่มก็อ่อนแอเกินกว่าจะหายใจด้วยตนเองได้ อีธานจำต้องสอดเครื่องช่วยหายใจด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะหยุดหายใจไปเฉยๆ จนไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง

"นาย... ไม่สิ คุณหมอ ลูกชายผมเป็นยังไงบ้าง" แม้จะพอจดจำอีกฝ่ายได้ว่าเป็นเพื่อนลูกชายที่เคยมาที่บ้านด้วยกันเมื่อสิบปีก่อน แต่เมื่ออีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงนายแพทย์ประจำตัวลูกชาย พวกเขาก็ควรให้เกียรติอีกฝ่ายมากๆ ที่ช่วยชีวิตลูกชายของเขาเอาไว้

อีธานเพียงใช้ดวงตาเย็นชาปรายมองสองสามีภรรยา แม้ใจอยากจะตรงเข้าไปบีบคอสองคนนั้นนักแต่ด้วยหน้าที่ค้ำคอทำให้เขาจำเพียงตอบกลับไปเรียบๆ "ปลอดภัยแล้วครับ"

"เฮ้อ..." คนเป็นพ่อถอนหายใจโล่งอก เขาพอจะยิ้มออกมาได้บ้าง "เอ่อ...แล้วเขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ"

"คุณเป็นพ่อเป็นแม่เขา ไม่รู้หรือครับว่าลูกชายตัวเองเป็นอะไร" เขากล่าวน้ำเสียงราบเรียบไร้วี่แววประชดประชัน แต่ทำเอาคนฟังสะอึกไปตามๆ กัน

"คือ..." แม้ท่าทางของสองสามีภรรยาจะดูอึกอักน่าสงสารมากแต่อีธานก็ไม่นึกสงสารสักนิด เขามีแต่ความคิดสมเพชอีกฝ่าย

"ถ้าพวกคุณไม่รู้ ผมจะบอกให้นะครับ" รอยยิ้มเย็นฉาบบนใบหน้าหล่อเหลา มันทั้งน่าดูและน่ากลัวไปพร้อมๆ กัน "คุณแม่ทำอะไรไว้ก่อนเขาเกิดล่ะครับ ผลนั้นมันก็ตกมาถึงตอนนี้ ผมคงไม่ต้องพูดนะครับ เขาคงอยู่กับพวกคุณได้ไม่อีกนาน"

"ถ้า...ถ้าอย่างนั้นขอฉันเข้าไปเยี่ยมแกหน่อยได้ไหม"

"ไม่รู้หรือครับว่าที่เขาช็อคจนหมดสติเพราะเครียดเนี่ย ความเครียดมันมาจากใคร หรือคุณอยากเห็นเขาตายสนิทจริงๆ ถ้างั้นก็เชิญเลย" อีธานผายมือไปทางห้องพัก ก่อนกำหมัดแน่นตวัดต่อยกำแพง "แต่ข้ามศพผมไปก่อนนะ เพราะผมจะไม่มีวันปล่อยให้พวกคุณมาทำร้ายเจ้าชีวีได้อีกแล้ว"

ในที่สุดพ่อและแม่ของเจ้าชีวีก็ล่าถอยไป อีธานถอนหายใจทันทีที่ลับหลังสองคนนั้น เขาอารมณ์เสียไม่น้อยที่เจ้าชีวีต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองครั้งภายในเวลาห่างกันไม่ถึงเดือน

เพราะนั่นหมายถึงสัญญาณชีวิตที่อ่อนแอของเจ้าชีวีด้วย

.
.
.

"เมื่อไหร่กูจะได้กลับบ้าน" เย็นวันหนึ่งหลังกินยาหลังอาหาร เจ้าชีวีก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ อีธานที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจดี แต่ว่าเพื่อนรุ่นน้องเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อสองวันก่อน อาการโดยรวมก็ยังไม่น่าไว้วางใจ คงจะปล่อยกลับบ้านไม่ได้เร็วนัก

"คงอีกสักพัก"

"กูเบื่อ ใกล้วันเกิดกูแล้วด้วย กูอยากไปเที่ยว อยากกินเค้ก อยากดูดบุหรี่ด้วยว่ะ แม่งอยู่โรงบาล มึงก็ไม่ให้ดูด"

"กูว่ามึงควรงดบุหรี่ได้แล้วนะ"

"กูติดมาตั้งแต่สิบห้า เลิกยากว่ะ วันไหนไม่ได้สูบเหมือนจะลงแดง" พูดแล้วสูดปากซี้ด ริมฝีปากเบะออกทำให้หน้าหวานดูน่ารักยิ่งขึ้น แปลก...ติดบุหรี่จัดแต่ปากกลับไม่ดำ

"งั้นมึงดูดปากกับกูก่อนมา" พูดจบมือหนาก็คว้าศีรษะกลมเข้ามาใกล้ ทำปากจู๋แกล้งจะจูบอีกคน เจ้าชีวีหัวเราะคิก พยายามพลิกหัวหนีไปหนีมา อีธานก็เลยพลอยหัวเราะไปด้วย

"จะว่าไป ถึงตอนนั้นเกือบจะมีอะไรกัน...แต่มึงกับกูไม่เคยแตะปากกันเลยเนอะ"

"อยากลองป่ะล่ะ" อีธานยักคิ้ว ท่าทางกวนประสาท

"ก็ได้" หลังจากคิดสักพักเจ้าชีวีก็ตอบรับ เขาหลับตาพริ้มรออีกฝ่ายก้มลงมาจูบ ใจทั้งคู่ที่ตอนแรกคิดว่าเป็นแค่จูบเล่นๆ ไม่น่าจะทำให้รู้สึกอะไรได้

ทว่า...ริมฝีปากยังไม่ทันแตะกันหัวใจก็สั่นไหวเสียแล้ว

อีธานค่อยๆ แนบรอยจูบลงบนกลีบเนื้ออ่อนสีจัด หัวใจของเขาเต้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าจูบครั้งแรกกับแฟนคนแรกหรือว่าตอนลองยาเสียอีก

ในขณะที่อีธานกำลังตกใจกับเสียงหัวใจของตนเอง อีกด้านหนึ่งเจ้าชีวีก็รู้สึกไม่ต่างกัน หัวใจของชายหนุ่มเต็มรัวเสียจนกลัวว่าอีธานจะได้ยินแล้วเอามาล้อเขา แก้มใสขึ้นสีแดงจัดอย่างที่ทำให้คนป่วยดูเป็นคนสุขภาพดีขึ้นมาในทันตา

คุณหมอหนุ่มถอนจูบออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้สงบตาม เขามองเจ้าชีวีที่ยังคงหลับตาพริ้มหากแก้มใสนั้นขึ้นสี ริมฝีปากที่เขาเพิ่งสัมผัสเหมือนจะสีเข้มขึ้นกว่าเก่า อีธานรู้ว่าเจ้าชีวีเป็นคนหน้าตาดีมากๆ หากพอได้มองพิจารณาใกล้ๆ แบบนี้หลังจากจูบกัน เขากลับรู้สึกว่าเจ้าชีวีสวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์

"กูรักมึง"
"กูก็รักมึง"

แม้พวกเขาจะบอกรักกันเป็นประจำ แต่นั่นก็แค่ในฐานะเพื่อนหรือพี่น้องเท่านั้น ไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเขาจะบอกรักหลังจากจูบปากกัน และนั่นก็เหมือนสะกิดความรู้สึกบางอย่างที่มีให้เปลี่ยนไป

.
.
.

เจ้าชีวีได้ออกจากโรงพยาบาลก่อนวันเกิดสองวัน เขาดูมีความสุขมากเพราะยิ้มตลอดเวลา จดนู่นจดนี่ลงกระดาษวางแผนไว้ยาวเหยียด ปากสีสดขยับขึ้นลงเล่าแผนการณ์ให้เพื่อนตัวสูงฟัง

"กูจะไปซื้อบุหรี่มาดูดสักสามซอง จิบแชมเปญดีๆ สักแก้ว แล้วก็เค้กช็อกโกแลตร้านตรงข้างคอนโดฯ ครึ่งปอนด์เป็นกับแกล้ม แล้ววันเกิดกูนะ กูก็จะทำฟิชแอนด์ชิฟ มันอบเนย เอาแบบเนยเยิ้มๆ เลยนะ หูย...พูดแล้วเปรี้ยวปากว่ะแม่ง แล้วมึงก็ห้ามลืมของขวัญกูด้วย"

"เออน่ะ" อีธานตีมือลงไปบนฝ่ามือขาวที่แบออกมาตรงหน้า เขาช่วยเจ้าชีวีหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าไปตลอดทางที่เดินจากห้องพักไปลานจอดรถ

เจ้าชีวีเห็นคนไข้หลายคนทักทายอีธานแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี พอเห็นแบบนั้นเขาก็พลอยอารมณ์ยิ้มตามไปด้วย ดีใจที่มีคนมากมายรักอีธาน เพราะแม้เขาจะไม่อยู่รักอีธานแล้ว อีธานก็จะยังมีคนอื่นๆ รักแทนเขาอีกมากมาย

"ยิ้มอะไร" ตอนเข้ามานั่งในรถแล้วถึงได้เห็นเจ้าชีวีอมยิ้มใหญ่จึงอดถามไม่ได้

"มีความสุข" เจ้าชีวีหยิบแว่นตากันแดดขึ้นสวม ก่อนหันไปฉีกยิ้มยิงฟันให้คนขับรถ "มากๆ"

"อีกสองวันนายจะมีความสุขมากกว่านี้อีก" เขาพูดเป็นนัยและเจ้าชีวีก็ไม่ถามเซ้าซี้

พอถึงวันเกิดของเจ้าชีวี อีธานยอมลางานสองวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าชีวี พวกเขาสองคนไปเลือกซื้อของสดมาทำอาหารกันที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อเค้ก แล้วก็เครื่องดื่ม เจ้าของวันเกิดดูมีความสุขมากๆ เพราะยิ้มตลอดทาง

"จับมือได้ไหม" ระหว่างเลือกซื้อของสด คนข้างตัวก็เอ่ยถามขึ้น อีธานมองเจ้าชีวีเป็นคำถามแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเพียงยื่นมือให้อีกฝ่ายจับเท่านั้น พอเจ้าชีวีแตะมือมาเขาก็รวบไว้หลวมๆ "แบบนี้เหมือนเป็นแฟนกันเลยเนอะ แต่ฉันไม่เคยจับมือเดินกับตะวันเลย"

"ปกติมึงไม่ได้เดินจับมือกับตะวันหรือไง"

"กลัวคนมองไม่ดีเลยไม่ได้จับ แต่อยู่ในบ้านน่ะจับ"

"แล้วที่ทำอย่างนี้ไม่กลัวคนมองไม่ดีเหรอ"

"ม่ายยยยย..." เขาลากเสียงยาว ฉีกยิ้มเห็นฟัน "ฉันไม่แคร์"

"เห~" อีธานร้องเสียงสูงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ "จับไว้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน มึงจะได้หนีกูไปไหนไม่ได้ไง"

"กูกลัวมึงหนีกูมากกว่า"

"ก็บอกแล้วว่ากูไม่ทิ้งมึงหรอก" แล้วอีธานก็ตัดคำพูดทั้งหมดด้วยการจูงมือเจ้าชีวีไปคิดเงิน

ตลอดทางที่เดินเลือกซื้อของอื่นๆ ที่เหลือไม่มีสักครั้งที่อีธานจะปล่อยมืออีกฝ่าย แม้แต่ตอนจ่ายเงินก็หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาแล้วให้เจ้าชีวีช่วยใช้อีกมือหยิบบัตรให้ จนถึงตอนขับรถนั่นแหละที่ต้องปล่อยมือออกจากกัน

พวกเขาทั้งสองใช้เวลาช่วงบ่ายในการเตรียมอาหารเย็น เปิดเพลงเบาๆ เต้นไปรอบห้อง สลับดูฟุตบอลรีรัน หัวเราะกับมุกตลกของอีกฝ่าย ไม่นานท้องฟ้าก็ถูกย้อมไปด้วยสีดำ

"มึงว่าฝนตกจะไหม" ร่างสูงโปร่งยืนริมผนังกระจก แนบใบหน้าและฝ่ามือลงบนแผ่นกระจกใส

"ปลายเดือนพฤศจิกาฯ แล้วนะ อีกอย่างนี่ก็กรุงเทพ เมืองที่ร้อนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลย แดดก็เปรี้ยงออกขนาดนี้"

"วันที่กูเกิดนะ คุณย่าบอกว่าฝนตกหนักมากเลย วันนี้อากาศก็แอบหนาวกว่าทุกวันด้วยนะ"

"อยากให้หิมะตกว่างั้น"

"อื้อ" เจ้าชีวีหันกลับมาดูอีธานที่ง่วนกับการจัดโต๊ะอาหาร กีต้าร์โปร่งถูกวางพิงข้างโซฟา เมื่อคุณหมอหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารก็กวักมือเรียกให้มานั่ง

"กินก่อนแล้วค่อยเป่าเค้กนะ"

"โอเค" ชายหนุ่มเอานิ้วชี้แตะกับนิ้วโป้งเป็นวงกลมทั้งสองข้างแล้วมาวางบนตาเป็นสัญลักษณ์โอเคเหมือนสวมแว่น เขายิ้มทะเล้น รับมีดกับส้อมจากมือของอีธานแล้วเริ่มต้นกินดินเนอร์

ใช้เวลาเพียงไม่นานมื้อค่ำก็หมดลง แม้เจ้าของวันเกิดจะกินน้อยด้วยไม่ค่อยอยากอาหาร แต่อีธานก็จัดการส่วนที่เหลือแทน

พวกเขาช่วยกันยกจานเปล่าทิ้งไว้บนอ่างรอแม่บ้านมาล้าง แล้วอีธานจึงเดินไปหยิบเค้กจากในตู้เย็นออกมาวางบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟา ร่างสูงนั่งบนนั้น บนตักมีกีต้าร์โปร่งตัวเดียวกับวันเกิดของเขาวางอยู่ เมื่อเจ้าชีวีเดินออกมาจากห้องน้ำเขาก็ตบมือลงที่นั่งว่างข้างๆ ให้อีกฝ่ายนั่ง

เมื่อร่างผอมบางของเจ้าชีวีนั่งลง อีธานก็กดรีโมทปิดไฟในห้องให้เหลือเพียงไฟสลัว ไฟแช็คถูกหยิบขึ้นมาจุดไฟบนเทียนสองเล่มที่เป็นเลข '2' และ '4'

ก้านนิ้วยาวกรีดลงบนสายกีต้าร์เป็นทำนองเพลงอวยพรวันเกิด น้ำเสียงทุ้มต่ำขับขานเนื้อร้องออกมาด้วยความขลาดเขิน จวบจนเสียงเพลงสิ้นสุดลง เสียงตบมือก็ดังขึ้นมาแทนที่

"สุขสันต์วันเกิดปีที่ยี่สิบสี่"

"ยังไม่เบญจเพสสินะ" อีธานไม่ได้สนใจฟัง เขายกเค้กช็อกโกแลตขึ้นมาตรงหน้าเจ้าชีวี เจ้าของวันเกิดจึงหลับตาลงก่อนลืมขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าผ่านเปลวไฟ "ขอบคุณ กูรักมึงมากๆ"

ยามเปลวเทียนดับลง ร่างสูงโปร่งจึงชะโงกตัวข้ามก้อนเค้กจูบมุมปากอีกฝ่ายเบาๆ

"กูดีใจที่ได้ฉลองวันเกิดกับมึงทุกปี มันเหมือนกับว่ามึงได้มีชีวิตตอกหน้าหมอคนนั้น" หลังจากใช้ช้อนจวงเค้กกินจนมันพรุนไปครึ่งก้อนแล้ว อีธานก็โพล่งขึ้นมา

"หมอคนไหน"

"คนที่รักษามึงตอนมึงล้มครั้งแรก เขาบอกว่ามึงไม่มีทางอยู่ได้เกินยี่สิบหรอก แต่นี่มึงอยู่เกินมาตั้งสี่ปี"

"งั้นกูจะอยู่ให้เป็นร้อยปีเลยไหม"

"ทำให้ได้สิ กูรู้ว่ามึงทำได้"

"แน่นอน แล้วไหนของขวัญกูล่ะ"

"ลองหาดูสิ กูซ่อนไว้ในห้องนี้แหละ" อีธานหัวเราะคิกกับอาการหงุดหงิดของคนตรงหน้า เจ้าชีวีเลยใช้ฝ่ามือดันหน้าผากอีกฝ่ายก่อนลุกขึ้นหาไปทั่ว เขาจำได้ว่าตั้งแต่วันที่กลับจากโรงพยาบาลไม่เห็นอีธานหิ้วของอะไรกลับห้องมาเลยสักชิ้น จะว่าแอบไว้ในห้องนอนก็คงไม่ใช่เพราะเขาก็นอนด้วยทุกคืน

ชายหนุ่มลากเท้าพาร่างผอมของตัวเองหาของขวัญจนทั่วก็ไม่พบ เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิด เปิดประตูห้องน้ำออกมาจะโวยวายคนที่ยังนั่งกินเค้กอยู่หน้าทีวีก็ต้องงงตาโต เพราะไฟในห้องถูกรี่ลงจนเหลือเพียงแสงสลัวอีกครั้ง


"I remember tears streaming down your face
When I said, I'll never let you go
When all those shadows almost killed your light
I remember you said, Don't leave me here alone
But all that's dead and gone and passed tonight"


ฉันจดจำเหล่าน้ำตาที่หลั่งลงบนใบหน้าเธอได้
ยามฉันบอกว่าจะไม่มีวันปล่อยเธอไป
เมื่อเหล่าเงามืดเกือบกลืนกินแสงสว่างของเธอหมดสิ้น
ฉันยังจำได้ดีที่เธอกล่าวว่าอย่าทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง
หากตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตายจากและผ่านพ้นไปแล้วในคืนนี้



เจ้าชีวีค่อยย่างเท้าเดินเข้าใกล้อีกฝ่าย ดวงตากลมโตสั่นระริกและวาววับไปด้วยหยาดน้ำจ้องมองผู้ชายตรงหน้าที่กำลังดีดกีต้าร์และร้องเพลง อีธานมองตอบเขา ส่งยิ้มมาให้ทั้งที่ยังร้องเพลงให้เขาฟัง



"Don't you dare look out your window darling
Everything's on fire
The war outside our door keeps raging on
Hold onto this lullaby
Even when the music's gone, gone

Just close your eyes
The sun is going down
You'll be alright
No one can hurt you now
Come morning light
You and I'll be safe and sound *"




เธออย่าได้หาญมองออกไปยังนอกหน้าต่างนะที่รัก
ทุกสิ่งอย่างกำลังลุกไหม้
สงครามนอกประตูบ้านของเรานั้นยังคงปะทุเดือด
เหนี่ยวยึดบทเพลงกล่อมนี้ไว้
แม้ว่าดนตรีจะดับลงไปแล้วก็ตาม

หลับตาลงเสีย
แม้ทินกรกำลังลาจาก
เธอจะไม่เป็นไร
ไม่มีใครสามารถทำร้ายเธอได้ในยามนี้หรอก
แล้วเมื่อแสงยามเช้าสาดส่องมา
เธอและฉันจะปลอดภัย

*Safe and Sound - Taylor Swift ft. The Civil Wars



ร่างสูงโปร่งค่อยๆ ทรุดนั่งลงที่เดิม เขาเบียดกายแนบชิดอีกฝ่าย ใช้สองแขนผอมบางเกี่ยวกระหวัดเอวหนาของอีกฝ่ายไว้ เปลือกตาหนาเลื่อนปิดลงตามเนื้อเพลง

น้ำตาหยดลงบนเสื้อเชิ้ตเนื้อหนา ทว่ามันกลับซึมลึกลงไปถึงใจของอีธาน ความอบอุ่นของผิวเนื้อที่กอดแนบได้ถ่ายเทให้แก่กันจนค่ำคืนนี้ที่ฝนด้านนอกกำลังปรอยปรายไม่หนาวจนเกินไป

"จูบได้ไหม?" เงียบไปนานทีเดียวกว่าที่เจ้าชีวีจะเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบนั้น

อีธานใช้หางตาเหลือบมองคนที่นั่งกอดเขาไปครึ่งตัว แล้วตอบคำถามนั้นด้วยการกดจูบลงบนเส้นผมนุ่มสลวยเหมือนเส้นไหม เจ้าชีวีค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จนในที่สุดริมฝีปากของของพวกเขาจึงได้สัมผัสกันอีกครั้ง

พวกเขาหลับตา
ใช้แต่ความรู้สึกมองซึ่งกันและกัน
และใช้สัมผัสร่างกายบอกแทนคำพูด

รสชาติของสิ่งที่เรียกว่าความรัก หวานละมุนและบรรเทาความรวดร้าวจากบาดแผลได้ชะงัด


กายเปล่าที่แนบกันให้ความอบอุ่นได้ดียิ่งกว่าการกอดก่ายกันครั้งไหน ริมฝีปากที่กระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความปรารถนาช่างน่ายวนใจเสียต้องลิ้มลองอยู่ไม่เบื่อ

"กูรักมึง" ไม่ต้องถามก็บอกจะบอกให้รู้ และถึงจะเป็นคำว่ารักเหมือนกันหากความรู้สึกที่ต่างออกไปก็ทำให้การได้ยินครั้งนี้พิเศษและมีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ

เจ้าชีวีไต่ปลายนิ้วบนใบหน้าคมที่อยู่เหนือหัวตนเอง พร่ำกระซิบสิ่งที่จับใจความไม่ได้ หากแต่อีธานก็รู้ว่าเจ้าชีวีต้องการพูดว่าอะไร ในเมื่อร่างกายของพวกเขาเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วไม่มีอะไรที่พวกเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายต่อไป

"เจ็บเหรอ" อีธานปาดน้ำตาออกจากหน้าหวานช้าๆ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเซ็กส์ แต่สำหรับทั้งคู่ที่ต่างหากห่างกับเรื่องอย่างนี้มานานพอสมควรก็อาจทำให้เจ็บได้

คนที่นอนหงายบนโซฟาส่ายหน้าปฏิเสธ แม้น้ำตาจะเกาะอยู่ที่หางตาแต่กลีบเนื้ออ่อนก็แย้มรอยยิ้มออกมา "กูแค่... ตอนนี้กูแค่มีความสุขมาก ถึงกูจะนอนกับผู้ชาย คนที่กูรักก็เป็นผู้ชาย แต่กูก็เป็นผู้ชาย กูไม่เคยคิดอยากเป็นผู้หญิงสักครั้ง"

เขารั้งศีรษะอีกฝ่ายให้ก้มลงมาซบกับไหล่ของเขา ลูบด้วยความทะนุถนอนราวกับอีธานคือเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ

"แต่วันนี้กูอยากเป็นผู้หญิง...เพราะกูรักมึง กูอยากมีลูกกับมึง กูรู้ดีว่ากูคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานหรอก แต่ถ้าอย่างน้อยเรามีลูกด้วยกัน มึงจะได้มีครอบครัวของเราต่อไป แล้วก็นะ...กูจะไม่ทอดทิ้งลูกของเรา กูจะดูแลเขา จะให้ความรักเขามากๆ ไม่ต้องให้เขาต้องขาดความรักเหมือนกูเด็ดขาด"

"ไม่..." อีธานส่ายหน้า เขายกศีรษะขึ้นเพื่อได้สบตากับคนด้านใต้ "เราจะไม่ทอดทิ้งลูกของเรา เราจะให้ความรักเขามากๆ เพราะเขาเป็นลูกของเรา ลูกของมึงกับกู"

เจ้าชีวีไม่เคยได้ความรักจากใครมากขนาดนี้ แม้แต่กับตะวันที่เขารักมากๆ ก็ตาม เขาร้องไห้ด้วยความสุข เขาคิดว่าอย่างน้อยชีวิตของเขาก็ไม่ได้บัดซบจนเกินไป พระเจ้ายังเมตตาเขาด้วยการดลให้เขาได้พบกับอีธาน ผู้ชายที่รักเขาตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง

คืนนั้นก่อนหลับในอ้อมกอดของอีธาน เจ้าชีวีเอ่ยขอบคุณพระเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต และเขาก็ขอให้คำอธิษฐานของเขาก่อนเป่าเทียนวันเกิดนี้เป็นจริง



Just close your eyes
You'll be alright
Come morning light
You and I'll be safe and sound...



'ขอให้อีธานได้มีครอบครัวที่ดีด้วยเถอะ'[/i]

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาภายในห้องพัก ขับไล่ความเหน็บหนาวของฤดูกาลให้ลางเลือน พร้อมกับปลุกคนทั้งสองให้พบกับโลกใบเดิม ทว่า...ความสุขอิ่มเอมในใจนั้นเปลี่ยนไป

"อรุณสวัสดิ์" อีธานที่ตื่นนานแล้วเอ่ยทัก เขามองใบหน้าหวานอ้าปากหาวน้อยๆ เปลือกตาย่นเข้ามากันก่อนลืมตาขึ้นมอง พอเห็นอีธานมองมาก็ยกศีรษะขึ้นเพื่อแตะปลายจมูกกับอีกฝ่าย

"อรุณสวัสดิ์"

"หลับสบายไหม เมื่อคืนว่าจะอุ้มเข้าไปนอนในห้องแต่กลัวตื่น"

"มากๆ กอดมึงแล้วอุ่นดี"

"ปกติก็นอนกอดกูอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ" หมอหนุ่มหัวเราะร่า ใช้นิ้วหนีบสันจมูกเจ้าชีวีโยกเล่นไปมา

"วันนี้อุ่นกว่าทุกวัน เพราะเรารักกัน" อีธานหมดคำพูดจะโต้เถียงกับคนเด็กกว่า เขาอมยิ้มแล้วเริ่มปล้ำจูบอีกฝ่ายตั้งแต่ใบหน้าขาวไล่ลงมาจนถึงแผ่นหลังเปลือย

"ใช่... เรารักกัน" กระซิบเบาชิดใบหูขาว ถ้อยคำที่จางเจือทว่ากลับแทรกซึมลึกในหัวใจ

คนได้ฟังอมยิ้มน้อยๆ ใช้สองมือประคองใบหน้าหล่อเหลาของอีธานเอาไว้ "กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง มึงอยากฟังไหม"

"เล่ามาสิ" อีธานเท้าศอกข้างหนึ่งบนพื้นโซฟาเพื่อใช้ฝ่ามือรองศีรษะ แขนอีกข้างหนึ่งวางไว้บนเอวบาง ตั้งหน้าตั้งตารอฟังสิ่งที่เจ้าชีวีจะเล่าให้เขาฟัง

"เมื่อหลายปีก่อนนู้นเลยนะ มีชายหญิงคู่หนึ่งเจอกันที่ห้องอาหารในโรงแรม มันเป็นงานดูตัวที่ผู้ใหญ่จัดเตรียมไว้ ไม่นานสองคนนั้นก็แต่งงานกัน แล้วก็มีลูกชายคนนึงชื่อกษิดิ์เดช ตอนแรกก็ดูรักกันดี แต่ไม่นาน...การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรักก็ทำท่าไปไม่รอด ถึงอย่างนั้นก็ต้องประคับประคองสถานะสามีภรรยาเอาไว้ สิบปีต่อมา...ฝ่ายผู้หญิงก็ตั้งท้องลูกคนที่สอง มันเป็นเรื่องน่ายินดี แต่คงไม่สำหรับเธอและสามี เธอกำลังวางแผนหย่า ถ้าเธอท้องการหย่าก็เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเธอตัดสินใจกินยาขับเลือด มันเกือบจะสำเร็จถ้าคนรับใช้ไม่มาเจอเสียก่อน และเด็กในท้องเธอก็รอดมาได้ ถึงอย่างนั้นก็เกิดมาไม่แข็งแรงนักหรอก เด็กคนนั้นคลอดก่อนกำหนดตั้งสามเดือน ออกมาตัวเล็กนิดเดียว แถมต้องนอนโรงพยาบาลเป็นปีๆ"

อีธานใช้ดวงตามองคนตรงหน้าที่เล่าเรื่องราวนั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างตั้งใจ ไม่พูดขัดหรือพูดปลอบใจอะไรนอกจากเลื่อนมือขึ้นจากเอวบางเกี่ยวเส้นผมสีอ่อนขึ้นทัดใบหูให้

"พอเด็กคนนั้นกลับมาอยู่บ้าน ไม่มีใครสักคนมองเห็นเขา นอกเสียจากคุณย่าของเด็กคนนั้น เธอตั้งชื่อให้หลานชาย เธอพาหลานชายคนเล็กไปต่างประเทศด้วยบ่อยๆ ไปหาหมอบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง ให้ความรักแก่เด็กคนนั้นมากเท่าที่เธอจะมอบให้ได้ แน่นอน...เด็กคนนั้นมีความสุขมาก...มากจริงๆ แต่แล้วเธอก็ทิ้งเด็กคนนั้นไปตลอดกาล ชีวิตของเด็กคนนั้นกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง เขาหมุนคว้าง รู้สึกว่างเปล่า และเดินต่อไม่ไหว ในเมื่อไม่มีตัวตนในสายตาคนรอบข้างแล้วเขาจะอยู่ต่อไปทำไม เด็กคนนั้นจึงตัดสินใจหยิบมีดรีดเลือดออกจากตนเองเสีย แต่ว่า...ยังมีคนอีกคนหนึ่งที่เห็นเด็กคนนั้น"

เจ้าชีวียกมือแตะใบหน้าอีธานอีกหน เขาค่อยๆ ลูบใบหน้านั้นด้วยความรักใคร่ คิ้วหนาพาดเฉียงเสริมรับกับดวงตาโตทว่าดุดันสีเข้ม จมูกโด่งราวสันเขื่อน ริมฝีปากเล็กเป็นกระจับคล้ายปากนก หากมองรวมกันแล้วกลับหล่อเหลาสะดุดตาใครต่อใคร

"คนนั้นฉุดเด็กชายขึ้นมาจากความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็อยู่เคียงข้างตลอดมา"

"เพราะว่าเขามองเห็นเด็กคนนั้น ตั้งแต่วันที่รับมือเล็กนั้นมากอบกุมไว้...และจะไม่มีวันปล่อยมือนั้นไปไหน แม้แต่ความตาย ก็จะไม่ยอมให้มาพรากจากไป"

"จะทำได้จริงเร้อ..."

"รู้ไหมว่าชื่อกูแปลว่าอะไร" ศีรษะกลมส่ายไปมาแทนคำตอบ อีธานจึงหนีบแก้มกลมนั่นหนึ่งทีก่อนเฉลย "ซิ่นฉี ซิ่นคือความศรัทธา ฉีคือเทวดา พอรวมกันก็จะกลายเป็นเชื่อมั่นในเทวดา เพราะงั้นมึงเชื่อกูได้แน่ๆ"

"โอเค งั้นต่อไปนี้ถ้ากูใกล้ตายกูจะเรียกซิ่นฉีให้มาช่วยนะ"

"แล้วกูจะรีบไปหาเลย"

.
.
.

เข้าเดือนธันวาคม อากาศเริ่มหนาวลง อีธานยังคงต้องไปทำงานทุกวัน แม้มันจะน่าเบื่อบ้างที่ต้องลุยรถติดไปทำงาน แต่หากกลับบ้านมาแล้วเจอรอยยิ้มใสๆ ของเจ้าชีวี ความเครียดที่สั่งสมมาทั้งวันก็มลายหายไปทันที

"ซิ่นฉี" เจ้าชีวีเอ่ยเรียกไว้ก่อนที่เขาจะเดินผ่านประตูออกไป อีธานหันกลับมามองคนที่เรียกเขาว่าซิ่นฉีได้เกือบสัปดาห์ด้วยรอยยิ้ม

"อะไร"

"พันอันนี้ไว้นะ คอจะได้อุ่นๆ เป็นคุณหมอจะมาป่วยเองไม่ได้นะ" พูดจบก็ชูผ้าพันคอไหมพรมผืนยาวสีฟ้าเข้มให้อีกฝ่ายดู

"อย่าบอกนะว่าที่นั่งถักอยู่ทุกวันนี่ถักให้กูน่ะ"

"เออสิ" เจ้าชีวีคลี่ผ้าพันคอออกก่อนนำมันไปพันรอบคอของอีธาน "ถ้าคอเย็นแล้วจะไม่สบายนะ"

อีธานคลี่ยิ้มบาง ชะโงกหน้าเข้าไปจูบมุมปากอีกคนเบาๆ "ขอบใจนะ"

"อื้อ! วันนี้ก็...ไฟท์ติ้งนะ" ร่างบางกำหมัดสองข้างส่งยิ้มกว้างให้กำลังใจ เท่านั้นอีธานก็ไปทำงานอย่างมีความสุขยิ่งกว่าทุกวัน

บานประตูห้องปิดลงพร้อมกับร่างของเจ้าชีวีที่ทรุดลงไปนอนกับพื้น สองมือกุมหน้าท้องแน่น ใบหน้าขาวซีด หากริมฝีปากกับกัดแน่นกั้นเสียงร้อง เขากลัวอีธานได้ยินแล้วจะวิ่งกลับมา ไม่อยาก...ให้คนที่เพิ่งจากไปต้องเป็นห่วง

"คุณวีคะ... ฉันตามคุณหมอให้นะคะ" แม่บ้านที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวเห็นร่างบางนอนคู่ตัวกับพื้นก็ตกใจ เธอรีบวิ่งเข้ามาดูอีกฝ่าย แต่ก็ถูกมือขาวปัดทิ้ง

"ไม่..."

"แต่ว่าพักนี้คุณวีปวดแบบนี้บ่อยนะคะ ฉันว่าตามคุณหมอเถอะค่ะ"

"ไม่... ฉันบอกว่าไม่ยังไงเล่า!" เขาตวาดใส่แม่บ้านที่เดินไปหยิบโทรศัพท์ ใบหน้าหวานยู่ลงอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด "ยา... เอายามาให้ฉัน"

"แต่..."

ปั้ง!
"ฉันบอกให้เอายามา!" เขารวบรวมแรงครั้งสุดท้ายทุบพื้นเสียงดัง ดวงตากลมโตหรี่มองแม่บ้านทำเอาเธอกลัวลนลาน แม้น้ำเสียงที่สั่งออกจะไปแหบพร่าด้วยสติเลือนลางเต็มที "ไปเอามา... ไปเอายามา..."

"คะ ค่ะ ฉันจะรีบไปเอายาค่ะ" หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเจ้าชีวี หยิบยาแก้ปวดบนหัวเตียงมาให้อีกฝ่ายตามตรงการพร้อมกับแก้วน้ำ เธอค่อยๆ ประคองร่างสูงของเจ้านายขึ้นเพื่อให้สามารถกลืนยาลงไปได้ พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่เจ้าชีวีจะหายปวด

แม่บ้านต้องค่อยๆ ประคองเขาเข้าไปนอนในห้อง แม้จะปวดจนเพลียแทบหมดแรงลืมตาแต่เจ้าชีวีก็ไม่ลืมที่จะสั่งหล่อนในเรื่องสำคัญ

"อย่าบอกคุณหมอนะ ถ้าปากโป้งเมื่อไหร่ฉันจะไล่เธอออก"

"ค่ะ"

เจ้าชีวีไม่รู้หรอกว่าแม่บ้านจะทำจริงอย่างที่รับปากหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาเพลียเกินกว่าจะทำอะไรได้อีก ลมหายใจที่หอบรุนแรงด้วยอาการเจ็บปวดในร่างกายเริ่มเพลาความถี่ลง ไม่นานก็กลับเป็นการหายใจเบาๆ สม่ำเสมอแทนเมื่อเจ้าของร่างเข้าสู่ห้วงนิทรา

เขาจะไม่ยอมตายง่ายๆ เจ้าชีวีจะอยู่กับอีธานให้ได้ถึงร้อยปี
หรือจนกว่าอีธานจะไม่ต้องการเขาอีกต่อไป


.
.
.

I wanna make you smile
whenever you're sad
carry you around when your arthritis is bad
all I wanna do, is grow old with you

ใกล้คริสมาสต์แล้วแต่อากาศที่หนาวลงเรื่อยๆ กลับอุ่นขึ้น อีธานได้วันหยุดยาวช่วงท้ายปีตั้งแต่ก่อนคริสมาสต์ เขาคิดไว้ว่าอาจจะพาเจ้าชีวีไปนิวยอร์กหาเพื่อนๆ ที่นั่น

ทว่า...ก่อนเดินทางกลับนิวยอร์กสองวัน เจ้าชีวีก็ชวนอีธานไปเที่ยวสวนสนุกในเมืองก่อน

"จะว่าไป...ตั้งแต่ที่ไปยูนิเวอร์แซลสตูดิโอตอนเกรดสิบ กูกับมึงก็ไม่ได้ไปสวนสนุกอีกเลยนี่นะ" ฝ่ามือหนาแตะคางอย่างใช้ความคิด

"ใช่ม้า... เสร็จแล้วเราไปเล่นไอซ์สเก็ตกันนะ"

"โอเค ไปก็ไป"

"งั้นไปเลยนะ"

"ตอนนี้?" คุณหมอถามเสียงสูง ตอนนี้ที่เขาว่าก็คือห้าโมงเย็น

"ใช่ ถ้าไม่ไปตอนนี้จะไม่ทันขบวนพาเหรด" เจ้าชีวียิ้มหน้าแป้นแล้น เขาลุกขึ้นพร้อมกับผ้าพันคอสองผืนในมือ "ไปกันเลยเนอะ"

แล้วอีธานจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่อถูกอ้อนด้วยรอยยิ้มหวานสดใสของคนรัก เจ้าชีวีเดินมาพันผ้าพันคอให้เขาแล้วค่อยพันให้ตัวเอง ก่อนที่ทั้งคู่จะจับจูงมือกันเดินออกจากห้องไป

ที่สวนสนุกตอนเย็นคนไม่ได้บางตาอย่างที่อีธานคาดไว้ เหล่าเด็กนักเรียนมัธยมที่เพิ่งเลิกเรียนต่างมาเที่ยวเล่นเต็มไปหมด จึงกลายเป็นภาพแปลกตาไม่น้อยที่ผู้ชายวัยทำงานตัวโตๆ สองคนเดินจับมือกันมาเที่ยวสวนสนุก

"เฮ้ย! อันนี้น่ารักดีว่ะ" อันนี้ที่เจ้าชีวีว่าคือที่คาดผมรูปหูสัตว์ นิ้วยาวชี้ไปที่ของเหล่านั้นราวกับต้องการได้ ตากลมโตเป็นประกายวิบวับ "ซื้อใส่กันเถอะ"

"อายุเท่าไหร่แล้วมึง"

"ยี่สิบสี่" คนถูกถามตอบหน้าแป้นแล้น ก่อนออกแรงลากคนตัวโตกว่าหน่อยไปที่ซุ้มขายของ มือผอมหยิบอันนู้นอันนี้ขึ้นมาเทียบบนหัวตนเองกับคนรัก แม้ใจอีธานอยากจะขัดแทบตาย...แต่พอเห็นหน้าเจ้าชีวียิ้มแย้มสดใสก็ไม่พูดว่าอะไร สุดท้ายเขาก็ได้หูกระต่ายมาสวมหัว ส่วนคนต้นคิดกลับไม่ได้ซื้อ

"ทำไมกูต้องเป็นกระต่ายด้วยว่ะ"

"น่ารักดีออกคุณกระต่าย"

"แล้วทำไมมึงไม่ซื้อมาใส่บ้าง กูใส่คนเดียวกูก็อายเป็นนะเว้ย"

"ก็วันนี้กูเป็นอลิซ แล้วมึงก็เป็นกระต่ายที่จะพาอลิซไปท่องแดนมหัศจรรย์ไง"

"เอางั้น?"

"เออ อย่าบ่นมาเป็นตาแก่น่า ไปเล่นกันดีกว่า กูอยากเล่นไอ้นั่นมากเลย ไม่ได้เล่นตั้งนาน" อีธานมองตามนิ้วยาวที่ชี้ไปทางเครื่องเล่นอันหนึ่งแล้วส่ายหัว

"Merry-go-around?"

"Yeeeeeeeeeeeeeeeeees!" เป็นอีกครั้งที่อีธานยอมแพ้ให้กับรอยยิ้มสดใสนั้น เขาปล่อยให้เจ้าชีวีลากไปที่ม้าหมุนเพื่อต่อแถวรอเล่นเครื่องเล่นกับพวกเด็กตัวจิ๋ว

หลังจากต่อแถวรอเกือบสิบห้านาที ก็ถึงคิวของทั้งคู่เสียที เจ้าชีวีวิ่งนำหน้าอีธานไปที่ม้าตัวหนึ่ง หน้าหวานเหลียวซ้ายมองขวาหาคนรัก กวักมือเรียกให้ตามมาไวๆ พอเขามาถึงตัวก็จับอุ้มอีกฝ่ายขึ้นไปนั่งบนหลังม้าทำเหมือนเจ้าชีวีเป็นเด็กเล็กๆ

"ซิ่นฉี ตัวนี้ว่างอยู่"

"มึงเล่นเถอะ กูขอยืนกับมึงดีกว่า ขึ้นไปนั่งบนนั้นกลัวของเขาพัง"

"กูนั่งยังไม่เห็นพังเลย ตัวพอๆ กันมึงกลัวอะไรวะ"

"ซอรี่ พอดีกูไม่ได้ผอมแบบมึง" จบประโยค เจ้าชีวีก็หัวเราะคิกคักเสียงใส แม้อีธานจะไม่ได้อ้วน แต่น้ำหนักตัวก็มากพอดู อีกอย่างคือเขาอายตัวเองเกินกว่าจะเล่นแบบเจ้าชีวีได้ ขอยืนเป็นกระต่ายบอดี้การ์ดพิทักษ์อลิซรวยฟันก็แล้วกัน

ม้าหมุนเคลื่อนตัวขึ้นลงตามจังหวะกลไกของมัน แสงจากหลอดไฟที่ประดับประดาไปทั่วม้าหมุนให้แสงเหลืองนวลอบอุ่น เสียงเพลงจากลำโพงดังคลอขับกล่อมให้เหล่าบุคคลในที่แห่งนี้หลงลืมช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงไปชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวงดงามราวกับตกอยู่ในความฝัน...ดินแดนมหัศจรรย์ที่บันดาลทุกอย่างให้เป็นจริงได้อย่างใจนึก

เจ้าชีวีพูดคุยกับอีธานด้วยเรื่องราวในอดีตมากมาย วันคืนแห่งความสุขที่พวกเขาได้เจอกัน ประสบการณ์ดีๆ มากมายที่ได้ทำร่วมกัน เสียงหัวเราะของพวกเขาที่หลุดออกมาไม่เว้นช่วงบอกถึงความสุขเหล่านั้นได้ดี

"เขาว่าหัวเราะหนึ่งครั้งอายุยืนไปอีกหนึ่งปี"

"งั้นกูจะหัวเราะทุกวัน จะได้อายุยืนอยู่กับมึงไปนานๆ"

อีธานหลับตาเมื่อเจ้าชีวีโน้มคอลงมาจูบเขา ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดจะหยุดความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเด็กตัวเปี๊ยกที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ เจ้าหน้าที่บังคับเครื่องที่อาจจะแอบมองดูอยู่ หรือคนที่ยืนดูอยู่ด้านนอก

"กูรักมึง"

เจ้าชีวีไม่เคยเบื่อพูดคำนี้ให้อีธานรู้ และไม่เคยเบื่อฟังคำว่ารักจากปากอีธาน แม้ต้องให้เขาต้องพูดว่ารักจนริมฝีปากแห้งผากก็ตาม พวกเขาจะเดินไปด้วยกัน จะเติบโตและใช้ชีวิตต่อจากนี้ไปด้วยกัน

I'll miss you, kiss you
Give you my coat when you are cold
Need you, feed you
Oh I could be the man that grows old with you
I wanna grow old with you


"แต่งงานกันนะ"

ไม่ต้องมีชุดแต่งงานหรูหรา ไม่ต้องมีบาทหลวงทำพิธี ไม่จำเป็นต้องสาบานรักต่อหน้าพระเจ้า
แค่คำว่ารักที่ออกมาจากใจก็พอ


"อืม"

เจ้าชีวีดึงแหวนออกจากนิ้วชี้ มันเป็นแหวนที่ย่าของเขาทิ้งไว้ให้เป็นมรดก แล้วเขาก็ชอบมันมากจนหยิบมาใส่ติดตัวตั้งแต่อายุสิบสี่ "แลกแหวนกัน"

"ค่อยแลกกันวันหลังได้ไหม กูจะซื้อวงใหม่ให้" เขากระซิบถามชิดริมฝีปากอิ่ม แหวนในมือเขาเป็นแค่แหวนแพลตตินัมธรรมดา ไม่ใช่แหวนแพลตตินั่มประดับเพชรของทิฟฟานี่แอนด์โคแบบของเจ้าชีวี อย่างน้อยแค่ของแลกเปลี่ยนแทนใจเขาก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนรัก

"ไม่ต้องหรอก กูชอบวงที่มึงสวมอยู่ เพราะว่ามันอยู่กับมึงมานานที่สุด" เป็นอีกครั้งที่อีธานต้องยอมแพ้เจ้าชีวี แพ้ในเหตุผลของอีกฝ่าย...

อีธานเป็นฝ่ายสวมแหวนของเขาให้ก่อน เขาถอนแหวนออกจากนิ้วนางข้างขวาเพื่อสวมให้เจ้าชีวีที่นิ้วนางข้างซ้าย "หลวมไปหน่อยแฮะ" เขาบ่นอุบเมื่อพบว่าแหวนค่อนข้างหลวมไปมาก แต่เจ้าชีวีก็รีบชักมือกลับทันทีด้วยกลัวอีธานจะเอามันคืน

"ยื่นมือมาได้แล้ว"

"คร้าบๆ" คุณหมอหนุ่มอมยิ้มก่อนยื่นมือออกไปบ้าง เจ้าชีวีจึงรีบสวมแหวนใส่นิ้วนางข้างซ้ายอีกฝ่าย แม้ว่ามันจะค่อนข้างลำบากเล็กน้อยเพราะแหวนวงเล็กกว่านิ้วคุณหมอมาก

"เอาเป็นว่าเราแต่งงานกันแล้วนะ คุณกระต่าย"

"เออ"

คนเจ้ากี้เจ้าการเห็นคนรักทำหน้านิ่งๆ ก็รีบล้วงเป้หยิบกล้องโพราลอยด์ขึ้นมาชูเหนือหัวเปลี่ยนบรรยากาศ "ถ่ายรูปกันดีกว่า เอ้า! ยิ้มหน่อย หนึ่ง สอง สาม ชีส!" นิ้วเรียวกดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง แสงแฟลชก็แล่บออกมาให้ได้หยีตากัน เพียงครู่เดียวฟิล์มก็ปริ้นต์ออกมา

ไม่รอให้ฟิล์มอันแรกแห้ง เจ้าชีวีตั้งท่าเตรียมถ่ายรูปอีกครั้ง เขากอดคออีกคนไว้เป็นหลัก "อีกรูปนะ หนึ่ง สอง สาม..."

จะว่ารู้ทันกันก็คงไม่ผิด เมื่อสิ้นเสียงสามทั้งคู่ต่างหันหน้าเข้าหากันพร้อมกับหลับตาเพื่อจูบแก้มอีกฝ่าย แต่เมื่อพร้อมใจกันแบบนี้มันจึงกลายเป็นการจูบปากกันไปโดยปริยาย

"รูปจูบกันรูปแรกเลยนะเนี่ย" คนกดชัตเตอร์ทำเสียงทะเล้นกลบเกลื่อนอาการเขินอายของตนเอง แก้มอิ่มขึ้นสีแดงจัด ต่างกันอีธานที่กดริมฝีปากย้ำลงไปข้างขมับซ้าย

"ที่ชวนมาสวนสนุกนี่คือจะชวนแต่งงานกันใช่ไหม"

เจ้าชีวีไม่ตอบนอกจากกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินออกไป อีธานหัวเราะก๊ากที่แกล้งคนเก่งกล้าให้ได้อาย ก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวตามคนรักที่เดินออกจากบริเวณเครื่องเล่นไปแล้ว

หลังออกจากสวนสนุก เจ้าชีวีพาอีธานมาที่ลานไอซ์สเก็ตบนห้างดังใจกลางเมือง คนมากมายกำลังวิ่งเล่นกันอยู่บนนั้น ไอซ์สเก็ตอาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่พวกเขาห่างร้างมากนาน ทว่าเจ้าชีวีก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะได้สไลด์ร่างกายไปบนพื้นน้ำแข็งเย็นๆ

หลังจากเช่ารองเท้าและสวมใส่เรียบร้อย คนอายุน้อยกว่าก็ลงสนามก่อน เจ้าชีวีค่อยๆ ไถลเท้าสลับซ้ายขวาเป็นจังหวะ ไม่นานเมื่อเข้าที่ดีก็เพิ่มความเร็ววิ่งไปรอบๆ สนาม อีธานที่ตามมาทีหลังจึงหยุดรอจนกว่าเจ้าชีวีจะวนกลับมาถึง พอร่างบางเข้ามาใกล้ เขาก็ยื่นมือออกไปจับแล้วพากันวิ่งไปพร้อมกัน

ทวงทำนองเพลงน่ารักๆ พาให้ครึกครื้น เจ้าชีวีทำเป็นเต้นรำกับอีธาน หมุนรอบตัวเอง บางทีก็หมุนตัวลอดวงแขนอีกฝ่าย กว่าจะยอมหยุดคือเหนื่อยจนหายใจหอบ ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นสีแดงจัดไปถึงลำคอ

"สนุกไหม"

"มากๆ อันนี้ถือว่าเป็นฮันนีมูนแล้วกัน"

"โรแมนติกเหลือเกิ๊นนนนน" อีธานแกล้งทำเสียงสูง ยกมือขยี้ผมเส้นเล็กสีสว่างของเจ้าชีวีจนมันยุ่งเหยิง

เจ้าชีวีปัดมือเขาออกก่อนเปิดปากพูด "ซิ่นฉี กูมีคำถามข้อนึง"

"ว่ามาสิ" เขายักไหล่ท่าทางสบายๆ มือยังไม่หยุดพยายามจะขยี้หัวเจ้าชีวี "แต่อย่าถามยากมากนะ กูกลัวตอบไม่ถูก"

"มึงตอบได้แน่" น้ำเสียงเจ้าชีวีสะดุดไปเล็กน้อย แต่อีธานไม่ทันได้สังเกตด้วยสาละวนกับการแกล้งคนรัก จนเจ้าชีวีต้องดึงมือนั้นมือกุมไว้ด้วยสองมือ "ถ้าวันหนึ่งกูตาย แล้วมึงเจอคนที่เหมือนกูทุกอย่าง มึงจะรักคนๆ นั้นไหม"

อีธานชะงักมือที่จะดึงออกจากการเกาะกุมทันที เขาจ้องตาอีกฝ่ายและเปลี่ยนเป็นบีบสองมือนั้นแทน "ทำไมถามแบบนี้"

"ตอบกูมาสิ กูอยากรู้"

"มึงมีคนเดียวในโลก ต่อให้เหมือนมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ใช่มึง กูก็ไม่รักหรอก"

"จริงเหรอ..." เสียงทุ้มเอ่ยละห้อย ท่าทางดีใจแต่ก็เหมือนไม่อยากเชื่อใจมากนัก มันไม่ง่ายนักหรอกนะที่จะถามอะไรออกไปแบบนี้ ถ้าทั้งหมดไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง...

ตาคมมองเห็นความไม่มั่นใจในแววตาของอีกฝ่าย เขาจึงดึงสองมือนั้นขึ้นมาจรดฝีปาก กดจูบแรงๆ ลงไปบนแหวนทองคำขาววงเกลี้ยง และสำทับคำพูดยืนยันสิ่งที่เขาคิดออกไป

"จริงที่สุด เพราะกูรักมึงคนเดียว"



หลังจากวันนั้นเมื่อถึงวันหยุดยาว พวกเขากลับไปนิวยอร์ก พร้อมกับแจ้งข่าวดีนี้ให้แก่เพื่อนสนิท ทุกคนไม่แปลกใจกันเท่าไหร่การคบกันของคนทั้งคู่ แถมยังช่วยจัดปาร์ตี้ฉลองให้อีก

อีธานควงแขนเจ้าชีวีเต้นไปทั่วห้อง สลับกับเพื่อนคนนู้นทีคนนี้ที ยกเครื่องดื่มดีกรีต่ำจิบเป็นพักๆ ดื่มด่ำกับความสุขที่ล้นทะลักออกมาจากใจ จนเจ้าชีวีเริ่มเมาพูดไม่รู้เรื่องก็อุ้มไปนอนบนเตียง

So let me do the dishes in our kitchen sink
Put you to bed when you've had too much to drink
Oh I could be the man that grows old with you
I wanna grow old with you*

*I Wanna Grow Old With You - Adam Sandler

มือหนาเกลี่ยปรอยผมที่ปรกหน้าหวานออกก่อนก้มลงจูบบนหน้าผากเนียนสวย อีธานไม่เคยรู้สึกมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนนี้เขารู้สึกพอดี ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วนอกจากมีเจ้าชีวีเคียงข้างไปด้วยกัน

อีธานวางแผนไว้ ก่อนปีใหม่เขาจะพาเจ้าชีวีไปจดทะเบียน แล้วพอกลับไปที่ไทยเขาจะรับอุปการะเด็กสักคนเป็นลูกของพวกเขา ครอบครัวของเราจะได้สมบูรณ์

.
.
.

"เบื่อชะมัด ทำงานวันแรกหลังหยุดปีใหม่ก็ต้องผ่าตัดเลย" อีธานบ่นเล็กน้อยขณะที่กินมื้อเช้าอยู่กับเจ้าชีวี คนนั่งตรงข้ามจึงเลิกคิ้วเป็นอาการสงสัย

"ผ่าแต่เช้าเลยเหรอ"

"เปล่า ผ่าตอนเย็นน่ะ วันนี้คงกลับดึก"

"ถ้าเพลียมากนอนค้างที่โรงบาลก็ได้นะ"

"ไม่เอาอ่ะ กลับมานอนกอดมึงดีกว่า" เขาว่าพลางยิ้มกว้างเห็นฟัน สองมือรวบมีดและส้อมไว้กลางจานก่อนชะโงกหน้าไปจูบมุมปากอีกฝ่าย "แล้วจะรีบกลับมานะ"

"อืม ขับรถดีๆ นะ"

"รับทราบครับสุดที่รัก รักมึงที่สุดนะ" อีธานทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น เขารีบเดินไปหยิบเสื้อโค้ทบนเสามาสวมก่อนเดินไปที่ประตู ตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ เดินจากไปจนสุดสายตา แล้วจึงวกกลับมามองแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตนเอง

"ฉันก็รักซิ่นฉี รักซิ่นฉีมากที่สุดเหมือนกัน"

ทั้งวันเจ้าชีวีไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอน ตื่นมาอีกครั้งก็บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว เขามองนาฬิกาเหนือหัวเตียง...มันค่อยๆ ขยับเข็มเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้าไม่เคยหยุด และไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถหยุดมันได้เช่นกัน

มือเพรียวหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นกดหาเบอร์โทรศัพท์ กลั้นใจเล็กน้อยก่อนต่อสายไปหา หลังจากแนบหูรอไม่นานอีธานก็กดรับโทรศัพท์

'ว่าไงมึง มีอะไรหรือเปล่า'

"เปล่า แค่คิดถึง"

'ปากหวานนะมึง' อีธานส่งเสียงหัวเราะมาตามสาย 'กูก็คิดถึงมึง เนี่ยจะเข้าไปผ่าตัดแล้ว ว่าจะโทรไปขอกำลังใจพอดี'

"เอาไปเลย เอาจากกูไปเลย กูให้มึงหมดล่ะ ทั้งตัวและหัวใจ"

'วันนี้มาเน่านะมึง มีอะไรหรือเปล่า'

"ไม่มี แค่รักซิ่นฉีมากเท่านั้นเอง" เจ้าชีวีอมยิ้มกับโทรศัพท์ ปลายเท้าเตะพรมไปเรื่อยเหมือนเด็กสาววัยรุ่นเขินอายยามคุยกับแฟนหนุ่ม

'เดี๋ยวจะรีบกลับไปกอดนะ'

"โอเค รักมึงมากนะ"

'รักมึงเหมือนกัน กูไปทำงานก่อนนะ'

"อือ"

อีธานวางสายไปนานแล้วแต่เจ้าชีวียังคงนั่งยิ้มอยู่นาน กระทั่งเสียงเดินของนาฬิกาค่อยๆ ลอยเข้าหูเรียกสติให้แก่เจ้าชีวีอีกครั้ง ตอนนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายไป โทรศัพท์ในมือถูกยกขึ้นกดโทรออกอีกครั้ง...

"ตะวัน ฉันพร้อมแล้ว"



ตะวันมาหาเจ้าชีวีภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีราวกับว่าเขารออยู่นานแล้วเพียงแต่ไม่ได้ปรากฏกายให้เห็น เขาช่วยเจ้าชีวีเก็บเสื้อผ้าและข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่และกล่องลังด้วยความเร่งรีบ

"คุณวีจะไปไหนคะ" แม่บ้านออกจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเจ้าชีวีพาคนอื่นเข้ามาในบ้าน แถมยังช่วยกันขนข้าวของออกไปอีก

"จะเสือกทำไม แล้วไม่ต้องบอกคุณหมอนะว่าฉันไปไหนกับใคร"

"แต่ว่า..."

"ฉันสั่งให้ทำก็ทำ!"

"ไม่เอาน่าวี" ตะวันรีบเข้ามาห้ามไว้ก่อนที่เจ้าชีวีจะตวาดใส่แม่บ้านอีกรอบ พวกเขารีบเก็บของลงกล่องแล้วขนจากไปอย่างรวดเร็ว

ตากลมมองห้องที่เขาอาศัยอยู่กับอีธานได้ไม่ถึงสามเดือนดีเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะมีน้ำตาเอ่อขึ้นมาเขาก็ใช้หลังแขนปาดออกทันที

"แน่ใจนะว่าทำอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว" ตะวันถามคนข้างกายเป็นครั้งสุดท้าย สิ่งที่เจ้าชีวีคิดจะทำนอกจากจะทำให้อีธานต้องเจ็บปวดแล้ว มันก็ทำร้ายหัวใจของเจ้าชีวีมากไม่แพ้กัน

"อืม แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว ไปกันเถอะตะวัน" เขากัดฟันพูด น้ำตาที่เพิ่งปาดทิ้งออกไปกลับมารวมกันอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย "ถ้าฉันไม่ไปตอนนี้ ฉันกลัว...กลัวว่าฉันจะทำแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว"

ตะวันไม่เคยขัดใจเจ้าชีวีอยู่แล้ว เขาช่วยอีกฝ่ายแบกลังและกระเป๋าเสื้อผ้าลงลิฟต์ไป ทิ้งห้องนั้นไว้ให้เหลือเพียงแค่อีธานคนเดียว...

.
.
.

'คุณหมอคะ คุณเจ้าชีวีออกจากห้องไปแล้วค่ะ มีผู้ชายที่ไหนมารับไปก็ไม่รู้ ขนข้าวของออกไปหมดเลย จะให้แจ้งความไหมคะ'

'คุณหมอคะ ฉันรอไม่ไหวแล้วต้องไปรับลูกสาวที่โรงเรียนก่อน คุณหมอกลับมาดูเองนะคะ'


สองข้อความเสียงที่ได้รับหลังออกจากห้องผ่าตัดทำให้อีธานแทบบ้า รีบขับรถกลับมาที่คอนโดฯ เขาไม่เชื่อหรอกที่ว่าเจ้าชีวีจะทิ้งเขาไป ก็พวกเขาเพิ่งคุยโทรศัพท์กันก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เพิ่งจะบอกว่าคิดถึง...เพิ่งจะบอกว่ารัก

มันไม่มีทางที่เจ้าชีวีจะทิ้งเขาหรอก ไม่มีทาง...

เมื่อเขาเปิดประตูออกเขาจะเจอเจ้าชีวีนอนรอเขาอยู่บนโซฟา บนตักมีกองไหมพรม พอเขาเดินเข้าไปใกล้ ตากลมโตที่เขาชอบนักหนาจะเปิดขึ้นมาให้พร้อมรอยยิ้มสว่างสดใส และน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่จะบอกว่ารักเขามากที่สุด

หาย..

ห้องมืดสนิทจนเขาต้องกดสวิทต์ไฟ บรรยากาศในห้องเงียบเหงาไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องนอนเมื่อตาคมเห็นแล้วว่าบนโซฟาไม่มีคนรักนอนอยู่

ภายในห้องที่มันจะได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของเจ้าชีวีก็เงียบงัน บานหน้าต่างถูกเปิดม่านทิ้งไว้พอให้มีแสงไฟจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามา เตียงนอนที่เคยอบอุ่นกลับเย็นเยียบ เหลือทิ้งไว้เพียงผ้าพันคอที่ถักเสร็จแล้วผืนหนึ่ง

มือหนาหยิบมันขึ้นมากอด สูดดมกลิ่นกายของเจ้าชีวีที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

หาย...หายไปแล้วหัวใจของเขา

.
.
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
อีธานไม่คิดว่าเจ้าชีวีจะสามารถไปไหนได้ไกล เช้าวันถัดเขาถามแม่บ้านว่าคนที่พาเจ้าชีวีออกไปมีลักษณะอย่างไร พอเขาได้ยินก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเป็นตะวัน เขาจึงพยายามกดโทรศัพท์หาอีกฝ่าย แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับสาย

เขาพยายามรออย่างใจเย็น มั่นใจว่าถ้าตามหาเจ้าชีวีเจอ เจ้าชีวีจะยอมกลับมาอยู่กับเขาและไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกแน่นอน เพียงแค่เขาตามหาอีกฝ่ายเจอเท่านั้น

หลังจากเสร็จธุระอีธานจึงรีบขับรถไปที่บ้านของเจ้าชีวี ที่ที่เขาเคยมาเยือนเมื่อตอนอายุสิบหก

แม่บ้านให้เขานั่งรอที่ห้องรับแขก ไม่นานเจ้าของบ้านอย่างพ่อและแม่ของเจ้าชีวีก็เข้ามา อีธานเปิดฉากก่อนทันทีที่เห็นหน้า เขาแทบจะกระชากคอเสื้อพ่อของคนรักเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ปฏิเสธ

"พวกคุณจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าชีวีไปไหน ก็หลานคุณเป็นคนพาเจ้าชีวีออกไปจากบ้านผม"

"ตะ ตะวันน่ะเหรอ..."

"ก็เออน่ะสิ"

"พวกเราไม่รู้จริงๆ คุณหมอใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม" แม่ของเจ้าชีวีพยายามเข้ามาห้าม เธอแตะมือลงบนต้นแขนแข็งพร้อมเอ่ยเสียงสั่น "คุณหมอรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าลูกของพวกเราเกลียดพวกเรามากขนาดไหน มันไม่มีทางหรอกนะที่เขาจะกลับมาอยู่กับพวกเราน่ะ"

"แต่... แต่ถ้าเขาจะหนีผมได้ มันก็มีแต่ที่นี่เท่านั้นแหละ"อีธานทิ้งตัวนั่งบนโซฟา สองมือรวบผมเสยขึ้นไปกุมขมับแน่น

จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า...เจ้าชีวีเกลียดที่นี่ เขาจะกลับมาที่นี่ทำไม

"ผม... ผมไม่รู้แล้วว่าจะไปตามหาเขาที่ไหน" มือที่วางไว้เหนือหัวเมื่อครู่ถูกเปลี่ยนมาปิดริมฝีปากนั้นแทน เขาสูดจมูกฟุดฟิด

เพียงแค่กระพริบตา...หยดน้ำตามากมายก็ทะลักทลายลงมาอาบสองแก้ม

"ผมรักเขา...รักเขามาก เราแต่งงานกันในสวนสนุก เราแลกแหวนกันบนม้าหมุน เราจดทะเบียนกันที่แอลเอ แล้วผมก็กำลังจะบอกเขาตอนเช้าวันนี้ว่าจะพาเขาไปรับอุปการะเด็ก เพราะเขาบอกว่าอยากมีลูกกับผม ผมนัดสถานสงเคราะห์ไว้แล้วด้วยนะ ถ้าทุกอย่างเสร็จสิ้น เราจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ เราจะให้ความรักกับลูกของเรามากๆ จะไม่ทอดทิ้งเขา"

อีธานร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนตอนที่เขายังเด็กแล้วพลัดหลงกับแม่ในซูเปอร์มาร์เก็ต มันเคว้งคว้างไม่รู้จะไปทางไหน ได้แต่เดินตามหาไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

"แล้ว...แล้วทำไม เจ้าชีวีถึงทิ้งผมแบบนี้"


.

.

.

อากาศเริ่มเย็นลงสมกับเป็นฤดูใบไม้ร่วง บนดาดฟ้าโรงพยาบาลที่ไร้ผู้คนได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ร่างสูงใหญ่ของนายแพทย์ชาวต่างชาติยืนเท้าแขนกับขอบระเบียง ในมือมีต้นกำเนิดกลิ่นอยู่

เกือบสามปีแล้วที่เจ้าชีวีทิ้งอีธานไป และเขาก็ยังคงรอคนรักอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน

อีธานอัดบุหรี่เขาปอดหนักๆ หนึ่งครั้งจึงค่อยพ่นควันออกมา เขาเคาะปลายบุหรี่กับขอบปูน ตั้งใจว่าพอหมดมวนนี้จะกลับไปทำงานต่อเสียที

"เป็นคุณหมอแต่สูบบุหรี่แบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ" อีธานหันไปหาต้นเสียง ชายหนุ่มใบหน้าน่ารัก ผิวขาวสะอาดเหมือนน้ำนมในชุดเสื้อกราวน์แบบเขายืนส่งยิ้มมาให้ พอเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยเขาจึงดับบุหรี่ก่อนที่มันจะหมดมวน

"ว่างแล้วเหรอ

"ครับ วันนี้คนไข้เยอะไปหน่อย แต่ก็โอเคอยู่ หมออีธานวันนี้คนไข้น้อยเหรอครับ" หมอหนุ่มเดินมายืนข้างอีธาน เขามองบุหรี่ในมืออีกฝ่ายด้วยความสงสัย แล้วก็ถามทันทีโดยไม่รอคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้ "นี่บุหรี่อะไรครับ รูปร่างแปลกจัง"

"บุหรี่ยี่ห้อ Swisher Sweets น่ะ เป็นซิก้าร์ประเภทนึงแต่ว่าขนาดเล็กกว่า เขาเรียกว่าซิการิลโล่"

"กลิ่นหวานๆ ดีนะครับ สมชื่อดี"

"ลองไหม เดี๋ยวแบ่งให้ตัวนึง"

"หวา... ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่สูบ" แพทย์หนุ่มน้อยรีบยกมือปฏิเสธ "ว่าแต่หมออีธานสูบบุหรี่มานานแล้วเหรอครับ ผมไม่ยักรู้มาก่อนเลย"

"ตั้งแต่สิบห้า ที่ไม่ได้กลิ่นเพราะปกติไม่ค่อยสูบที่โรงพยาบาลมั้ง"

"อ้อ..." แพทย์หนุ่มน้อยพยักหน้ารับ แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ "ใช่สิ วันนี้พอเลิกงานแล้วเราไปกินมื้อค่ำกันไหมครับ ผมได้ยินมาว่ามีร้านอาหารจีนเปิดใหม่ที่ห้าง หมออีธานไม่ได้กลับจีนนานคงคิดถึงอาหารจีนแย่"

อีธานหัวเราะทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ ก่อนจะแก้ไขความเข้าใจผิดของอีกคน "ถึงผมจะเป็นคนจีน แต่ผมก็ไม่ค่อยได้กินอาหารจีนเท่าไหร่หรอกนะ ผมเกิดที่นิวยอร์กน่ะ"

"อ้าว...งั้นเหรอครับ มิน่าผมก็ว่าทำไมหมออีธานพูดภาษาอังกฤษเก่งจัง แฮะๆ" คุณหมอเด็กหัวเราะเสียงแห้ง เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างที่ชอบทำเวลาประหม่าก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "งั้นเปลี่ยนไปเป็นอาหารอเมริกันแทนก็ได้นะครับ"

"ไม่เป็นไร อาหารจีนก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้กินอาหารจีนมาสักปีแล้วมั้ง" อีธานยิ้มเอ็นดูอีกฝ่ายที่ชอบหลุดอะไรโก๊ะๆ ออกมาเหมือนเด็ก

"โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเลิกงานแล้วผมติดรถไปกับหมออีธานนะ"

"ได้ งั้นหกโมงเย็นเจอกันที่ห้องพักผมนะเอื้อ"

"ครับ แล้วเจอกัน" หมอเอื้อยิ้มสดใสจนดวงตายิบหยีสมกับเป็นหมอเด็กที่ต้องใจดีกับคนไข้เด็กๆ เขาโบกมือให้อีธานก่อนลงทำงานต่อ ทิ้งอีธานให้ยืนสูบบุหรี่ต่อคนเดียว



ร้านอาหารที่เอื้อแนะนำมาบรรยากาศใช้ได้ อาหารรสเลิศเหมือนต้นตำรับ พวกเขาสั่งอาหารมาเกือบเต็มโต๊ะ กินไปพูดคุยไปเหมือนโต๊ะอื่นๆ หากจะต่างกันตรงที่เอื้อเป็นฝ่ายชวนอีธานคุยเสียมากกว่า และมื้อนั้นอีธานก็อาสาเป็นเจ้ามือจ่ายให้

"ถือว่าเลี้ยงต้อนรับคุณหมอคนใหม่ของโรงพยาบาลก็แล้วกัน" เขาให้เหตุผลอย่างนั้น แต่เอื้อก็ไม่ค่อยจะชอบใจนัก

"ผมเข้ามาทำงานได้เกือบปีแล้วนะครับ"

"แค่นี้ผมมีปัญญาจ่ายอยู่หรอก แต่ถ้าคุณอยากกินอะไรที่มันหรูกว่านี้ก็คงต้องคิดกันดูอีกที"

เอื้ออมยิ้มหน้าแดง พวกเขาพากันออกจากร้านอาหารเดินดูเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้เป็นการย่อยอาหารไปในตัว จนถึงชั้นบนสุดของห้างที่เป็นโรงหนัง หมอหนุ่มก็ตาวาวจ้องมองตารางหนังไม่วาง

"อยากดูหนังเหรอ"

"ผมอยากดูเรื่องนี้จัง ไม่รู้ว่าเข้าแล้ว สงสัยมัวแต่ตรวจเด็กๆ"

"งั้นดูกันไหม คุณรีบไปไหนหรือเปล่า"

"ไม่ครับ เอางี้ดีกว่า ในเมื่อหมออีธานเลี้ยงมื้อเย็นผมแล้ว เดี๋ยวค่าตั๋วผมจ่ายให้นะครับ"

"เอางั้นก็ได้" อีธานยักไหล่ เอื้อจึงรีบวิ่งไปซื้อตั๋วหนัง พอเขากลับมาทั้งคู่จึงหาที่นั่งรอเวลาหนังฉายอยู่แถวนั้น และเอื้อก็ชวนอีธานคุยอย่างเคย อีธานก็ฟังไปเรื่อยๆ ไม่ได้เสริมอะไรเป็นพิเศษ แค่อีกฝ่ายพูดมาแล้วเขาก็พูดตอบ

"พชร แกชวนฉันโดดเรียนพิเศษเพื่อมาดูหนังเนี่ยนะ"

"แค่วันเดียวเองน่า รับรองว่าที่บ้านแกไม่มีคนรู้หรอก"

"ใช่ เจ้าชีวีอย่าเครียดไปเลย พวกเรารู้ว่านายเป็นเด็กดี แต่แค่โดดเรียนครั้งเดียวคงไม่ทำให้เกรดนายตกหรอก"

เสียงพูดคุยเอะอะของกลุ่มเด็กที่เดินผ่านหน้าไปคงไม่ทำให้อีธานสนใจได้ แม้ว่าหนึ่งในบทสนทนานั้นจะมีชื่อเหมือนคนรักเขาก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้อีธานลุกขึ้นวิ่งตามเด็กกลุ่มนั้นไปไม่ได้สนใจเอื้อที่กำลังเล่าเรื่องเคสล่าสุดให้เขาฟังก็คือเจ้าชีวี ตัวของเจ้าชีวีจริงๆ!

" เจ้าชีวี!" เขาส่งเรียกออกไปพร้อมกับถึงตัวคนรัก สองแขนโอบกอดร่างเล็กนั้นไว้แน่นราวกับจะไม่ให้หนีหายไปไหนอีกแล้ว "เจ้าชีวี...มึงจริงๆ ด้วย"

"..." อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรออกมา เขารู้เพียงว่าเขากำลังถูกกอดด้วยความคิดถึงที่เปี่ยมล้น สองแขนเล็กนั้นจึงยกตอบเพื่อกอดกลับ

"มึงทำกูแทบบ้า อย่าทิ้งกูไปอีกนะ"

"เฮ้ย! ลุงนั่นแหละบ้า" เสียงเอะอะโวยวายรอบตัวเรียกอีธานให้เงยหน้าขึ้นมอง เด็กผู้ชายมัธยมต้นสองคนกำลังพุ่งเข้ามาแยกเขาออกจากเจ้าชีวี และคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเองก็พยายามดันตัวออกมา

"ก็นี่เจ้าชีวี..."

"ก็เจ้าชีวีน่ะสิ ฉันว่าแล้วนะนี่ต้องเป็นพวกลุงโรคจิตที่ตามไอจีไอ้วีอยู่แน่เลย" เด็กผู้ชายตาโตๆ เอ่ยขึ้น เด็กหน้าตี๋อีกคนที่ท่าทางหาเรื่องจึงพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมสู้

"โรคจิตงั้นเหรอ ไอ้วี ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าเลิกเพิ่มแฟนคลับประหลาดๆ สักที"

"เอ่อ..." เด็กที่ถูกเรียกว่าเจ้าชีวีเริ่มส่งเสียงออกมาบ้าง ตาคมจึงมองกวาดคนที่เขากอดอยู่เมื่อครู่ทันที ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือน้ำเสียงก็คือเจ้าชีวีชัดๆ แต่ว่าเป็นเจ้าชีวีเมื่อตอนอายุสิบสี่!

ก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่ เอื้อก็วิ่งเข้ามา เขาพูดคุยเด็กๆ ทั้งสามคน ก่อนหันไปดูอีธานที่ยังคงนิ่งเงียบ

"หมออีธานครับ คุณหมอ... ทำไมไปกอดน้องเขาแบบนั้นล่ะครับ"

"หมอ! เดี๋ยวนี้หมอก็เป็นโรคจิตเหรอ โรงพยาบาลไหนเนี่ย ผมจะได้ไม่ไปรักษา"

"ไม่เอาน่าพชร บางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้" เด็กที่ชื่อเจ้าชีวีเขย่าแขนเพื่อนให้ใจเย็นลง พอมองไปที่คู่กรณี ฝ่ายนั้นยังคงมองมาที่เขาเหมือนเดิม เพียงแต่สายตานั้นเต็มไปด้วยความสับสน

"ฉันว่าที่พชรพูดอาจจะถูกก็ได้นะ เข้าใจผิดอะไรจะเรียกชื่อได้ถูกเผงขนาดนี้ ชื่อแกโหลเหมือนชื่อชาวบ้านเขาที่ไหน"

"คิม..."

"ขอโทษ ฉันจำคนผิดจริงๆ นั่นแหละ" นานทีเดียวกว่าที่อีธานจะควานหาลิ้นของตัวเองเจอ เขายกมือขึ้นปิดริมฝีปากด้วยความอับอาย "เธอหน้าเหมือนคนรักของฉันน่ะ"

"คนรักของลุงอายุสิบสี่ เป็นเด็กผู้ชาย ชื่อเจ้าชีวีด้วยหรือไง พรากผู้เยาว์นี่หว่า" เด็กที่ชื่อพชรทำท่าจะหาเรื่องอีกครั้ง เอื้อจึงต้องเดินมาขวางไว้ก่อน

"ใจเย็นๆ นะพ่อหนุ่ม บางทีหมอเขาอาจจะทำงานมากไปเลยเบลอ"

"เปล่าหรอกเอื้อ ฉันผิดเอง...แต่ก็ใช่ เขาหน้าเหมือนเจ้าชีวีก็จริง แต่ว่าเหมือนเจ้าชีวีตอนอายุเท่านี้น่ะ ส่วนคนรักฉันตอนนี้จะยี่สิบเจ็ดแล้ว" น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความเหงาและความผิดหวัง "ขอโทษด้วยแล้วกันนะที่ทำให้ตกใจ หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีก"

ร่างสูงหันหลังเดินกลับไปทันทีที่พูดจบ เอื้อไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องรีบวิ่งตามไป ปากก็คอยตะโกนขอโทษเด็กทั้งสามคนแทนอีธาน โดยมีดวงตากลมโตของเจ้าชีวีวัยสิบสี่จับจ้องแผ่นหลังนั้นที่ค่อยๆ ไกลออกไปด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

โปรแกรมดูหนังถูกยกเลิก อีธานขับรถไปส่งเอื้อที่บ้านพร้อมกับเงียบไปตลอดทาง ไม่ว่าเอื้อจะชวนอีกฝ่ายคุยเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา สุดท้ายหมอหนุ่มก็ยอมแพ้เมื่อถึงหน้าบ้าน

อีธานเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำเฉยชากับเอื้อ แต่ตอนนี้หัวใจเขาเต็มไปด้วยเจ้าชีวี เขาสับสน ผิดหวัง อ่อนล้า และเจ็บปวด เด็กคนนั้นอาจจะเหมือนเจ้าชีวีไปทุกอย่างก็จริง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือความรักที่เขามีให้ อีธานได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ได้พบเจอกับเด็กคนนั้นอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงบ้าเข้าจริงๆ สักวัน



ทุกครั้งที่ฉันนั้นเห็นภาพเธอ วันคืนเก่าๆ ก็กลับมาเสมอ
มีแต่เธอที่จะไม่กลับมาแล้ว


หลังจากวันนั้นอีธานพยายามไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก และเอื้อก็เหมือนจะรู้เขาจึงไม่พูดอะไร อากาศเย็นลงทุกวัน และวันเกิดของอีธานก็ผ่านไปอย่างเงียบเหงาเหมือนสองปีที่ผ่านมา

ถึงแม้อีธานจะพยายามไม่คิดถึงเรื่องเด็กเจ้าชีวีนั่นแล้ว แต่เจ้าชีวีคนรักของเขากลับวนเวียนมาหาในฝันถี่กว่าปกติ ยิ่งใกล้วันเกิดของเจ้าชีวี เขาก็ยิ่งฝันติดกันทุกวันในหนึ่งสัปดาห์

ความฝันแต่ละครั้งล้วนเป็นภาพของเขากับคนรักในอดีตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอกัน วันที่เจ้าชีวีรอดตายแล้วเขาบอกว่าจะเรียนหมอ วันแรกที่จูบกัน งานแต่งงานในสวนสนุก หรือแม้แต่วันที่เขาคุยโทรศัพท์กับเจ้าชีวีเป็นครั้งสุดท้าย

คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่อีธานฝัน เขาได้ยินเจ้าชีวีเรียกหาเขาจากที่ไกลแสนไกล...
'ซิ่นฉี ไหนมึงบอกว่าจะมาหากูไง'
'อย่าโกรธอย่าเกลียดกูนะ'
'กูรักมึงมาก มึงก็รู้ใช่ไหม'

รัก... รักเธอ ทั้งหมดของหัวใจ เธอได้ยินไหมคนดี
อยากขอ...ให้ความรู้สึกที่ฉันมี ส่งไปถึงเธอที่แสนดี
ว่าชีวิตนี้ฉันมีแต่เธอดังความฝัน จะพบกัน...อีกได้ไหม


สิ่งสุดท้ายที่อีธานเห็นคือใบหน้าของเจ้าชีวีที่กำลังส่งยิ้มมาให้แล้วค่อยๆ จางหายไป ไม่ว่าอีธานจะร้องเรียกเท่าไหร่ จะวิ่งไล่แค่ไหนก็คว้าไม่ทัน เขาร้องไห้โฮเหมือนเด็กๆ เรียกแต่ชื่อของคนรักเหมือนคนบ้าจนแทบหมดลมหายใจ

โชคดีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อนที่เขาจะเป็นบ้าตายไปจริงๆ อีธานสะดุ้งตื่น มองหาต้นตอของเสียงจนเจอก่อนหยิบดูชื่อคนที่โทรมา หากเพียงแค่เห็นชื่อ เขาก็คิดว่าขอเขาอยู่ในฝันที่มีเจ้าชีวีเหมือนเดิมจะดีกว่า

เสียงโทรศัพท์ตัดไปหนึ่งครั้งก่อนจะดังขึ้นอีก เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง พอมันดังครั้งที่สี่อีธานจึงยอมกดรับโทรศัพท์ เขาปาดน้ำตาบนใบหน้าออกลวกๆ ปั้นเสียงแข็งลงไป

แต่ถ้าอีธานรู้มาก่อนว่าตะวันโทรหาเขาเพื่อจะบอกอะไร
อีธานจะไม่มีวันกดรับสายนั้นเด็ดขาด



อีธานเดินเหมือนคนไร้วิญญาณตลอดทางเดินในโรงพยาบาล ที่ห้องฉุกเฉินมีพ่อแม่ พี่ชาย และญาติสนิทของเจ้าชีวีอยู่ในนั้น ทุกคนยืนล้อมเตียงด้วยใบหน้าโศกเศร้าพร้อมกับน้ำตาอาบแก้ม พอเห็นว่าอีธานมาก็พร้อมใจกันเปิดทางให้ชายหนุ่มเข้าหาคนรัก

เจ้าชีวียังคงงดงามเหมือนวันแรกที่พวกเขาจูบกัน ใบหน้าหวานขาวซีดไร้สีเลือด เนื้อตัวเย็นเฉียบ แม้แต่ดวงตาคู่งามก็ปิดสนิทและจะไม่มีวันลืมขึ้นมามองอีธานได้อีกแล้ว

เจ้าชีวีฆ่าตัวสำเร็จในครั้งที่สี่ เขากรีดข้อมือตนเองระหว่างแช่อ่างอาบน้ำ ทิ้งจดหมายไว้เพียงหนึ่งฉบับให้อีธาน และไม่ว่าจะพยายามส่งเสียงเรียกหาซิ่นฉีเท่าไหร่... คนรักของเขาก็มาช่วยไม่ทัน

คนเป็นหมอหายใจติดขัด เขารู้สึกแน่นหน้าอก ดวงตาพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา สองมือที่ลูบใบหน้านั้นด้วยความรักใคร่สั่นเทา เสียงทุ้มแหบพร่าเอาแต่พร่ำเรียกชื่อคนรักเหมือนคนสติไม่สมประกอบ

"เจ้าชีวี... เจ้าชีวี..."



















ว่าชีวิตนี้ฉันมีแต่เธอดังความฝัน...แล้วสักวันจะไปหา*

*รักเธอทั้งหมดของหัวใจ - Pause



TBC

เมื่อวันศุกร์ทั้งงานทั้งประชุมยุ่งๆ จนลืมลงเลยค่ะ
พอเสาร์อาทิตย์จะลงก็ดันลืมไปว่าไฟล์อยู่ในคอมที่ออฟฟิซเลยต้องเลื่อนมาเป็นวันนี้แทน
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ ><
ศุกร์ที่จะถึงนี้จะพยายามไม่ลืมลงนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-09-2014 13:44:17 โดย บัวน้อย ไร่แตงโม »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทำไมเจ้าชีวีคนนั้นหน้าเหมือนเจ้าชีวีที่ตายไปเลยล่ะ
อ่านแล้วเศร้ามาก  :mew4: :mew6:
เป็นกำลังใจให้คนแต่งจ้า

ปล.เราชอบชื่อ "เจ้าชีวี" มากๆเลย :D

ออฟไลน์ hibarihao

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เศร้ามากกกกก

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อึ้ง บอกไม่ถูก ถ้าชีวิตนี้มันจะสับสนทรมานนัก ก็คงต้องจบมันลง
เฮ้อ...จริง ๆ ก็ไม่รู้เธอคิดยังไง ต้องการอะไร
รู้ไหมว่าตัวเองสำคัญ เป็นความสุข เป็นรอยยิ้มของใครอีกหลายคน



ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
3



"ทำไม...ทำไมทำแบบนี้ แล้วต่อไปนี้กูจะกอดมึงได้อีกไหม กูจะจูบมึงได้อีกหรือเปล่า เจ้าชีวีตอบกูสิ" อีธานปล่อยน้ำตาอาบใบหน้า สองมือสั่นเทาคอยแต่จะลูบหน้าลูบตาคนรัก

ถ้าอีธานสามารถร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือดได้ เขาก็คงทำ

คนที่เขาอยู่ด้วยมาตลอด คนที่พาชีวิตเขาให้เดินมาข้างหน้า คนที่เป็นแรงบันดาลใจในการทำทุกๆ วันให้มีความหมาย คนที่เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงรอได้จากไปแล้ว แล้วต่อจากนี้ไปเขาจะอยู่อย่างไร อีธานไม่รู้อีกแล้วว่าเหตุผลที่มีชีวิตอยู่ต่อไปคืออะไร

"จำได้ไหม วันนั้นที่มึงบอกกูว่าตัดสินใจจะมาเมืองไทย กูบอกมึงไปว่าอะไร..." เขาเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก หายใจฟึดฟัดตลอดเวลา ลำคอตีบตันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ กว่าเขาจะเค้นคำพูดสุดท้ายออกมาได้ เขาก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มครั้งแล้วครั้งเล่า "...กูจะตามไปอยู่เป็นเพื่อนมึง"

อีธานเคยตั้งคำถามกับตัวเองครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่เจ้าชีวีล้มลงครั้งแรกว่า...ถ้าวันหนึ่งเขาไม่มีเจ้าชีวีแล้ว ชีวิตของเขาจะอยู่ได้อย่างไร

ตอนนี้อีธานได้คำตอบแล้ว เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไร้เจ้าชีวี

เขาร้องไห้ ฟูมฟาย เสียสติ ตาบอด ความรักทำให้คนเป็นบ้า

มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบคัตเตอร์ที่ฉวยติดมือมาขึ้นเลื่อนใบมีดคมให้สะท้อนกับแสงไฟ เขาว่าเขาเข้าใจเจ้าชีวีแล้วว่าทำไมถึงมักหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย บางครั้งปัญหาบางอย่างมันก็ไม่มีทางออกอื่นใดแล้วนอกจากตายจริงๆ

ตาคมมองหน้าคนรักคล้ายขอกำลังใจ เขาจ่อใบมีดใกล้ที่ข้อมือ เพียงแค่กรีดลงไปลึกๆ แล้วหลับตาลงนอนเคียงข้างเจ้าชีวีตรงนี้ เขาก็จะได้ตามเจ้าชีวีไป

หากแต่คนอื่นรอบข้างไม่ยินยอมให้เขาทำเช่นนั้น ตะวันและกษิดิ์เดชรีบเข้ามาดึงมือชายหนุ่มไว้ พวกเขาสามคนพยายามยื้อยุดฉุดกระชากกันสุดแรง อีธานกำลังไร้สติ...เขากำลังคลั่ง เรี่ยวแรงมหาศาลของเขาทำให้แม้แต่ผู้ชายสองคนก็เอาไม่อยู่ รอบข้างล้วนโกลาหลวุ่นวาย เสียงกรีดร้องของแม่เจ้าชีวีทำให้คนที่อยู่ข้างนอกกรูกันเข้ามา

"ปล่อย... กูบอกให้ปล่อยกูไง กูจะไปหาเจ้าชีวี กูจะไปอยู่กับเขา"

"อีธาน! ใจเย็นๆ ฆ่าตัวตายมันไม่ใช่ทางออกนะเว้ย" ตะวันพยายามเกลี่ยกล่อม เขาอยากต่อยหน้าอีธานแรงๆ สักทีให้มันได้สติ แต่เขาไม่สามารถผ่อนแรงเกาะกุมอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย

"เกิดอะไรขึ้นคะคุณ"

"ภาไปตามรปภ. มาที" กษิดิ์เดชตะโกนบอกภรรยา เธอจึงคว้ามือแม่สามีและพ่อสามีให้ออกไปหลบข้างนอกก่อนโดนลูกหลงการต่อสู้ของผู้ชายสามคนพร้อมกับเรียกยามมาควบคุมเหตุการณ์

อีธานยังคงคลั่ง เขาสะบัดจนกษิดิ์เดชกระเด็นกระดอนไปกับพื้นกระเบื้องเย็นเชียบ พอมือว่างข้างหนึ่ง เขาก็มีแรงพอที่จะสู้กับตะวันได้ถนัดขึ้น หมอหนุ่มต่อยตะวันเสียจนฝ่ายนั้นกระเด็นไปติดกำแพง เขายกคัตเตอร์ขึ้นชี้ไปที่ตะวันก่อนตวาดกร้าว "อย่า...อย่ามาแยกฉันออกจากเจ้าชีวีอีก"

"อีธาน ใจเย็นๆ นะ วีไม่อยากให้นายทำแบบนี้หรอก เชื่อฉันเถอะ"

"ชีวิตเจ้าชีวีมีแต่ฉัน ฉันเองก็มีแต่เจ้าชีวีเหมือนกัน" เขากล่าวน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว ใบมีดถูกวางลงบนข้อมือใหญ่ เส้นเลือดดำปรากฏชัดจากการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อ จุดที่เขารู้ดีว่ากรีดใบมีดลงไปเพียงนิดเดียวเลือดมากมายก็จะทะลักทลายออกมา

"คุณพ่อ! คุณอา! เกิดอะไรขึ้นฮะ"

"เจ้าชีวีออกไปข้างนอกลูก อย่าเข้ามา!" กษิดิ์เดชตะโกนเสียงลั่น มือของอีธานชะงักกึกก่อนที่จะได้กดใบมีดลงไป เขาหันไปมองกษิดิ์เดชที่พยายามตะเกียกตะกายไปทางประตู ถึงได้เห็นร่างเล็กผอมบางในชุดนอนใต้เสื้อโค้ทตัวโคร่งยืนสั่นอยู่หน้าทางเข้า ตากลมโตคู่นั้นมองมาที่เขาคล้ายหวาดกลัวในที ทว่าริมฝีปากอิ่มแดงกลับขยับเรียกเขาแผ่วเบาจนทำให้ทุกคนในห้องหยุดนิ่งไป

"คุณหมอ..."












เคร้ง!

เสียงคัตเตอร์ตกกระทบพื้นดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง หากเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น สมองของเขากำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว

นี่ใช่ไหมคือเหตุผลของเจ้าชีวีที่ไม่ยอมให้เขาตามไป...


.

.

.


นับจากคืนนั้นที่โรงพยาบาล อีธานก็เหมือนลืมเรื่องฆ่าตัวตายไปเลย และนั่นทำให้ตะวันโล่งอกพอสมควร แต่ปัญหาที่ตามมาคือความต้องการนำร่างของเจ้าชีวีกลับไปทำพิธีที่นิวยอร์ก ทว่าทางครอบครัวต้องการฝังศพไว้ในสุสานของตระกูล หลังจากทุ่มเถียงกันอยู่เกือบสองคืน อีธานก็ยอมเมื่อคิดว่าอย่างน้อยเจ้าชีวีจะได้นอนเคียงข้างผู้เป็นย่า

พิธีศพของเจ้าชีวีจัดที่โบสถ์ขนาดใหญ่ย่านสำคัญของกรุงเทพ ผู้คนมากหน้าหลายตามาร่วมงานเหมือนเมื่อครั้งงานศพของคุณย่า วันแรกของงานคนที่กล่าวคำไว้อาลัยคือหลานชายของคนตายผู้มีใบหน้าราวถอดแบบกันมา

อีธานในชุดดำตั้งแต่หัวจรดเท้านั่งมองหลานชายของเจ้าชีวีด้วยแววตาสับสน เขาเคยเจอเด็กคนนั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่ห้างสรรพสินค้า ตอนนั้นเขาคิดว่าอาจจะเป็นแค่ใครบางคนที่หน้าเหมือนกัน แต่พอรู้ว่าเป็นหลาน...เขาจึงไม่แปลกใจที่จะมีใบหน้าคล้ายคลึง หากนี่กลับเหมือนกันมากจนน่ากลัว

เด็กชายวัยเพิ่งครบสิบห้าปีได้ไม่กี่วันเองก็อยู่ในชุดสูททางการผูกไทสีดำ ดวงหน้าขาวถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมนิ่มละเอียดสีดำขลับตัดบ๊อบสั้นล้อมใบหน้าหวาน ดวงตาคู่กลมจับจ้องกระดาษใบมือเพื่อกล่าวคำอาลัยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ถึงจะเหมือนแค่ไหน...แต่ยังไงก็ไม่ใช่เจ้าชีวีของเขาอยู่ดี

แล้วพิธีการก็ดำเนินมาถึงวันสุดท้าย หลังจากทำมิสซาในโบสถ์เสร็จ โลงแก้วก็ถูกนำไปที่สุสาน อีธานมองคนรักผ่านม่านน้ำตา เจ้าชีวียังคงงดงามเสมอเพียงแต่ดวงตาคู่นั้นจะไม่มีวันลืมขึ้นมามองเขา ริมฝีปากนุ่มนิ่มน่าจูบที่เคยแดงจัดกลับขาวซีดนั่นก็จะไม่สามารถเอ่ยบอกว่ารักเขาได้อีก สิ่งมีค่าเดียวที่ติดตัวเจ้าชีวีไปยังโลกเบื้องหน้าคือแหวนแต่งงานที่เจ้าตัวได้สั่งเสียแก่ทนายไว้

มือหนาลูบที่นิ้วเรียวยาวผ่านแหวนแต่งงานวงเกลี้ยงไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย ก่อนเลื่อนขึ้นแตะแก้มอิ่มที่เย็นราวน้ำแข็ง เขาหอมแก้มนั้นด้วยความรักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วปล่อยให้พิธีการดำเนินต่อ

ตอนแรกอีธานพยายามส่งเจ้าชีวีด้วยรอยยิ้ม เขาค่อยๆ วางดินลงบนหลุมทีละก้อนด้วยตนเอง แต่ยิ่งดินนั้นทับถมกันมากขึ้น น้ำตาเขาก็หลั่งออกมาพร้อมกับเกล็ดหิมะที่ร่วงโรย จนถึงดินก้อนสุดท้ายเขาก็สะอื้นฟูมฟายไม่แคร์สายตาใครอีกต่อไป

เจ้าชีวีไม่เคยบอกว่าเขาชอบดอกไม้อะไรมากที่สุด แต่อีธานคิดว่าเจ้าชีวีเหมาะกับดอกฟอร์เก็ตมีน็อทที่สุด ดอกไม้ดอกเล็กๆ สีฟ้าอมม่วงที่มีความหมายว่าอย่าลืมฉัน... เขาวางช่อดอกนั้นลงบนหลุมเป็นอย่างสุดท้ายพร้อมกับหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสามมวนวางเคียงข้าง

"ถึงมึงจะห้ามกูไม่ให้ตายได้ แต่มึงห้ามหัวใจกูไม่ให้ตามมึงไปได้หรอกนะ ไม่ว่าเมื่อไหร่มึงก็คือคนที่กูรักเสมอ..."



ตอนแรกอีธานคิดจะกลับนิวยอร์กหลังจากเสร็จเรื่องของเจ้าชีวีทันที หากกษิดิ์เดชกลับบอกให้เขาอยู่ร่วมเปิดพินัยกรรมของเจ้าชีวีเสียก่อนในฐานะสามีที่ถูกต้องตามกฎหมาย

อีธานได้กลับมาที่บ้านเกียรติตระกูลอีกครั้ง เขาเพิ่งรู้จากปากของตะวันว่าสามปีที่เจ้าชีวีหายไปเจ้าตัวมาหลบอยู่ที่นี่ มันผิดไปจากที่เขาคิดเสียเมื่อไหร่ล่ะ

ตอนได้ยินก็เกือบมีวางมวยกับตะวันเหมือนกัน แต่เด็กเจ้าชีวีก็เข้ามาเจอเสียก่อนทุกอย่างจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย หากกระนั้นความขุ่นเคืองของอีธานกลับไม่ได้ลดตามลงเลย หนำซ้ำยิ่งโหมกระพือแรงขึ้นไปอีกเมื่อถึงวันเปิดพินัยกรรม

"ตามที่คุณเจ้าชีวี เกียรติตระกูลได้ระบุไว้ในพินัยกรรมก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตคือขอยกทรัพย์สินทั้งหมดของตนเองให้แก่สามีตามกฎหมายคือคุณอีธาน ฮวง ยกเว้นเพียงเงินสดสำรองในธนาคารจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่หลานชายเพียงคนเดียวนามเจ้าชีวี เกียรติตระกูลและอสังหาริมทรัพย์จำนวนสองที่ได้แก่ แมนชั่นที่บรูคลิน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และแมนชั่นที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษที่จะให้เป็นเจ้าของร่วมกันกับอีธาน ฮวง นอกจากนั้น..."

"อะไรนะ!" ยังไม่ทันที่ทนายความประจำตระกูลจะได้อ่านพินัยกรรมต่อ อีธานก็ลุกขึ้นตะโกนเสียงดัง เขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยความขุ่นเคือง "ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นฉันไม่สนใจ แต่แมนชั่นนั่นเป็นบ้านของฉันกับเจ้าชีวีแค่สองคน จะให้คนอื่นมาเป็นเจ้าของร่วมได้ยังไงกัน!"

"อีธาน ทนายยังอ่านพินัยกรรมไม่เสร็จ นายไม่ควรโวยวายตอนนี้นะ" ตะวันรีบเดินเข้ามาบังตัวหลานชายให้พ้นรัศมีจ้องทำลายของอีธานทันที ทุกอย่างเป็นอย่างที่เจ้าชีวีพูดไว้เลยว่าอีธานจะต้องไม่ยอม

อีธานไม่ได้สนใจตะวันสักนิด เขาเหยียดยิ้มเยาะใส่เด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งหลังตรงแข็งเป็นท่อนไม้อยู่หลังคุณอาหนุ่มก่อนพูดข้อเสนอบางอย่าง "เอางี้นะไอ้หนู ฉันจะแลกทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่เป็นมรดกของเจ้าชีวีให้นายหมดเลย แลกกับบ้านสองหลังมูลค่าเล็กน้อยนั่นเป็นไง หรือไม่...จะให้ฉันซื้อต่อก็ได้นะ"

"ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ"

"ทำไม?" เสียงทนายที่แทรกขึ้นมา ทำให้นายแพทย์หนุ่มแทบจะกลับไปเค้นคอทนายแทนเด็กชายทันที ถึงเขาพอจะรู้ความคิดของเจ้าชีวีบ้างก็เถอะว่าทำไมถึงทำแบบนี้ แต่เพราะรู้ดีต่างหากเขาถึงไม่ยอม...ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครจะมาแทนที่เจ้าชีวีของเขาได้หรอก

"ในพินัยกรรมของคุณเจ้าชีวี เกียรติตระกูลยังระบุต่ออีกว่าห้ามคุณเจ้าชีวี เกียรติตระกูลผู้เป็นหลานชายมอบอสังหาริมทรัพย์ให้ผู้อื่นต่อเด็ดขาดไม่ว่าจะซื้อ ขาย หรือยกให้ หรือแม้แต่จะยกสิทธิความเป็นเจ้าบ้านให้แก่คุณอีธานแต่เพียงผู้เดียว มิเช่นนั้นจะมีคำสั่งให้ทุบทำลายอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นทิ้งทันที"

"บ้าไปแล้ว ฉันไม่ยอมรับพินัยกรรมฉบับนี้หรอกนะ ของปลอมชัดๆ"

"นายก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าเจ้าชีวีน่ะบ้า" ตะวันส่งเสียงเยาะเย้ย เขาจ้องมองอีธานที่บ้าไปแล้วอย่างไม่เกรงกลัว ไม่สิ...เขาไม่เคยกลัวอีกฝ่ายอยู่แล้ว "นายควรยอมรับการตัดสินใจของคนรักนายนะ"

"ถ้ามึงไม่พาเจ้าชีวีหนี มันก็ไม่ลงเอยแบบนี้หรอกไอ้สัด"

"ก็ไม่ได้อยากทำหรอกนะถ้าวีไม่ขอร้องน่ะ ถามตัวเองดีกว่าไหมว่ารักวียังไงถึงทำให้เขาทนอยู่ด้วยจนตายไม่ได้"

"มึง!" คำพูดของตะวันร้ายกาจเสียยิ่งกว่าน้ำกรดที่สาดราดลงไปบนใจอันเปราะบางของอีธาน เขาพุ่งตัวเข้าหา อีกฝ่ายก็เงื้อหมัดรอ การตะลุมบอนจะเกิดขึ้นแน่ถ้ากษิดิ์เดชและคนในบ้านไม่เข้ามาห้ามกันเสียก่อน

"พอๆ จะต่อยกันให้ได้อะไรมา ตะวัน...หุบปากซะบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ ส่วนนาย...อีธาน ถ้านายรักน้องชายฉันมากจริงๆ ก็ทำตามที่เขาขอเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้สิ" เพียงแค่ยกเจ้าชีวีมาอ้าง อีธานก็ยอมหุบปากเงียบไม่โวยวายอีกนอกเสียจากกระแทกตัวแรงแรงๆ ลงบนโซฟาดังเดิม

ตาคมจับจ้องไปที่เด็กชายฝั่งตรงข้าม แม้ใบหน้าหวานนั้นติดจะตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวเขาเลยสักนิด ยิ่งเห็นยิ่งไม่สบอารมณ์

เจ้าชีวีคนนี้ก็เหมือนแค่ของทำเลียนแบบเจ้าชีวีที่ผิดพลาดเท่านั้นแหละ!


.

.

.


นิวยอร์กที่จากมาสามปียังคงเหมือนเดิม หม่น ทึม แล้วก็โศกเศร้าตลอดกาล น่าแปลก...วันที่อีธานกลับมาถึงตรงกับเมื่อสามปีที่แล้วที่เขาพาเจ้าชีวีกลับมาจดทะเบียนสมรสพอดี

แม่ของเขาเพิ่งแต่งงานใหม่แล้วก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ที่ลอสแองเจิลลิส ห้องเดิมที่เคยอยู่เลยถูกขายทิ้ง เขาจึงย้ายข้าวของมาไว้ที่ห้องของเจ้าชีวีเสียหมด

ห้องเดิมยังคงกว้างขวางและสภาพดีเหมือนใหม่ และมีความทรงจำของเขากับเจ้าชีวีอัดแน่นมากมาย ไม่ว่าจะบนโซฟาที่เจ้าชีวีชอบมานอนกลางวัน ริมหน้าต่างที่ชอบไปนั่งสูบบุหรี่ด้วยกัน หรือแม้แต่ห้องน้ำที่เจ้าชีวีเคยคิดจะฆ่าตัวตายแล้วเขาไปช่วยออกมา

มีเจ้าชีวีเต็มไปหมด

อีธานพยายามใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนเมื่อตอนสามปีที่ผ่านมา ใช้ชีวิตเพื่อเฝ้ารอเจ้าชีวีจะกลับมาหาเขาแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นแบบนันได้อีกแล้ว แต่เขาก็ทำ...อย่างน้อยในเมื่อเจ้าชีวีมาหาเขาไม่ได้ สักวันเขาก็จะไปหาเจ้าชีวีเองจนได้ ทว่านิวยอร์กกับกรุงเทพมันต่างกันมากเกินไป

ที่นั่นเขาแทบไม่มีความทรงจำอะไรกับเจ้าชีวีเลย ผิดกับที่นี่...ที่ๆ พวกเขาพบและเริ่มต้นความสัมพันธ์กัน อีธานต้องไปทำงาน เจอเพื่อนเก่า และคำถามมากมายถึงคนรักที่จากไปแล้วตลอดกาล

อากาศที่นิวยอร์กก็หนาวเลวร้ายสิ้นดี หิมะทับถมเสียจนไม่อยากออกไปไหน ฟ้าก็ครึ้มตลอดเวลา บรรยากาศชวนเหงาเสียยิ่งกว่าเหงา

หลายครั้งที่อีธานหยิบมีดขึ้นมาวางบนข้อมือ แล้วก็ต้องวางมันทิ้งไปเมื่อนึกถึงเหตุผลที่ทำให้เขายังตายไม่ได้ ถ้าไม่เป็นเพราะรักเจ้าชีวีมากขนาดนี้เขาจะไม่มีวันตามใจทำคำขอสุดท้ายของเจ้าชีวีหรอก

อีธานเกือบบ้าไปหลายหนตลอดช่วงฤดูหนาว พอฤดูใบไม้ผลิมาเยือน แสงแดดเริ่มสาดลงมาให้ความอบอุ่นเขาก็เริ่มปรับตัวได้และฟุ้งซ่านถึงคนที่จากไปน้อยลง

อีเมล์ล่าสุดที่ได้รับจากหมอเอื้อ ทำให้รู้ว่าหมอเด็กคนนั้นกำลังมาเรียนแพทย์เฉพาะทางโรคเด็กต่อที่นี่ อีธานจึงอาสาหาที่อยู่ให้เป็นอพาร์ทเม้นต์ขนาดกลางในห่างจากแมนชั่นของเขาไปสองถนน เมื่อถึงวันที่เอื้อมาเขาก็ไปรับเจ้าตัวที่สนามบิน

"หมออีธานดูอ้วนขึ้นนะครับ" คำทักทายแรกของเอื้อทำเอาเจ้าตัวคิ้วขมวด ก่อนแก้ตัวเสียงขรึม

"อาหารที่นี่ไขมันเยอะ ไม่เหมือนอาหารไทย"

"โอเค ผมจะเชื่อนะ แล้วนี่หมอจอดรถไว้ที่ไหนเหรอฮะ"

"ข้างนอก เดินไกลหน่อยนะ" เอื้อยักไหล่แทนคำตอบว่าไม่ต้องห่วง อีธานช่วยถือกระเป๋าเดินทางแบบลากใบที่ใหญ่สุด

ระหว่างเดินไปยังประตูเพื่อออกนอกอาคารเขาเหลือบเห็นเด็กผู้ชายผมดำท่าทางคุ้นๆ คนหนึ่งเดินตัดหน้าไป อีธานพยายามเหลียวหลังมองตาม แต่เด็กคนนั้นก็หายไปกับฝูงคนเสียแล้ว หรือไม่บางทีเขาอาจจะตาฝาดก็ได้ เจ้าชีวีตายไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

หลังจากช่วยหมอเอื้อจัดห้องเสร็จ แล้วพากันออกไปดินเนอร์ที่ภัตตาคารอาหารฝรั่งเศส อีธานก็กลับมาถึงห้องเกือบเที่ยงคืน ดีว่าพรุ่งนี้เขาลาหยุดงานไว้ล่วงหน้าสำหรับพาเอื้อศึกษาเส้นทางในเมือง เขาเลยไม่ต้องห่วงเรื่องตื่นสาย

ริมฝีปากหนางับบุหรี่ไว้หมิ่นๆ เขาล้วงมืออีกข้างควานหาไฟแช็คกับกุญแจห้องในกระเป๋ากางเกง พอเจอไฟแช็คก็จุดบุหรี่พ่นควันสักอึกก่อนไขกุญแจ

ห้องไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว แสงไฟจากด้านนอกพอให้เห็นเงาสลัวๆ อยู่บ้าง หลังกดเปิดสวิตท์ไฟไม่นานทั้งห้องก็พลันสว่าง อีธานกะว่าจะหยิบเบียร์มาจิบระหว่างแช่น้ำร้อนหวังให้แอลกอฮอล์ฉีดเข้าเส้นเลือดจะได้หลับสบาย หากยังไม่ทันได้เดินไปถึงครัว สายตาคมกลับหยุดอยู่ที่โซฟา

ใบหน้าขาวหวานที่คุ้นเคยกำลังหลับตาพริ้ม ริมฝีปากหยักแดงจัดหุบสนิท ผมสีดำเข้มตัดซอยล้อมใบหน้าให้ยิ่งดูสว่างน่ามอง ร่างผอมบางนอนขดตัวอยู่บนโซฟาเหมือนลูกแมว

ทั้งหมดมันทำให้อีธานนึกถึงวันก่อนๆ ที่พอพวกเขากลับมาจากโรงเรียนทำการบ้านเสร็จแล้วเผลอหลับไป เจ้าชีวีจะนอนอยู่บนโซฟาแบบนั้น แล้วลืมตาโตๆ ขึ้นมาเมื่อคุณย่าเรียกให้ไปกินมื้อเย็น

อีธานย่างเท้าเข้าไปใกล้โซฟา เขาอยากรู้ว่านี่มันเรื่องจริงหรือว่าเขาเพียงแค่ฝันไป บางทีเขาอาจจะเมาไวน์แดงในร้านอาหารก็เป็นได้ เจ้าชีวีตายไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือว่าจะเป็นผีเจ้าชีวี...ไม่น่าหรอก ก็ตอนเจ้าชีวีตายอายุก็ยี่สิบเจ็ดพอดี แต่นี่ยังเป็นเจ้าชีวีตัวน้อยของเขาอยู่เลย หรือบางที...อีกฝ่ายอาจจะข้ามเวลามาหาเขา

ปลายนิ้วแตะผิวแก้มใส มันอุ่นนุ่มเหมือนมีชีวิตอยู่จริง ก่อนลากลงมาถึงริมฝีปากแดงอิ่ม สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่บอกว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิต

"เจ้าชีวี..." เขาลองส่งเสียงเรียก ไม่นานเปลือกตาขาวก็ขยับยุกยิกก่อนเปิดออกทีละน้อย เขามีท่าทีตกใจนิดหน่อยที่เห็นอีธานอยู่ตรงหน้าก่อนลุกขึ้นนั่งพรวดพราดเมื่อเห็นว่านิ้วของอีธานแตะอยู่ที่ปากตนเอง

"อาอีธกลับมาแล้วเหรอฮะ" เสียงแหบแบบเด็กเพิ่งแตกหนุ่มทักด้วยความตกใจ เขากัดฟันด้วยความประหม่าพลางทำจมูกฟุดฟิดเมื่อเห็นอีธานจ้องตนไม่วางตา

อีธานนิ่งไปพักใหญ่ก่อนได้สติ เขานึกโทษไวน์แดงที่จิบไปหน่อยอยู่ในใจ เจ้าชีวีตายไปแล้วจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่เห็นอยู่น่ะ...ไม่ใช่เจ้าชีวีของเขาสักหน่อย

"มาอยู่ที่นี่ได้ไง" เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสตาหลบไปทางอื่น

"คุณพ่อมาส่งเมื่อเที่ยงฮะ"

"มาทำอะไร จะไล่ฉันออกไปหรือไง"

"เอ่อ ไม่ใช่นะฮะ ผมว่าคุณพ่อส่งอีเมล์มาให้อาอีธตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้ว คุณอาไม่ได้อีเมล์เหรอฮะ" เด็กหนุ่มเอานิ้วชี้จิ้มเข้าหากันพลางทำหน้ายู่ ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารักเหมือนเจ้าชีวีตอนเด็กๆ ไม่มีผิด

"ไม่รู้สิ ไม่ได้เช็ค" อีธานตอบส่งๆ แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาได้เมล์จากกษิดิ์เดชเมื่อสัปดาห์ก่อนจริงๆ แต่คิดว่าไม่สำคัญอะไรเลยไม่รีบเปิดอ่านจนลืม เขาใช้มือว่างเสยผมสีบลอนด์สว่างไปด้านหลังก่อนตวัดสายตามองคนตรงหน้าอีกหน "แล้วมาทำอะไร"

"ผมจะมาเรียนไฮสกูลกับมหาลัยต่อที่นี่ตามที่อาวีเขียนพินัยกรรมไว้ไงฮะ"

"เหี้ยเอ๊ย!" อีธานสบถลั่นจนเด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง เถ้าบุหรี่ที่ถูกจุดทิ้งไว้หล่นใส่หน้าขาเขาเต็มๆ เขารีบปัดมันออกแล้วขยี้ปลายบุหรี่กับที่เขี่ยบนโต๊ะเล็กข้างโซฟา พอเสร็จแล้วจึงหันมาถามเด็กหนุ่มอีกที "เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ"

"ผมบอกว่าผมจะมาเรียนไฮสกูลกับมหาลัยต่อที่นี่ตามที่อาวีเขียนพินัยกรรมไว้ไงฮะ" เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาตอบน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

"ห๊ะ!" เป็นอีกครั้งที่เขาสบถเสียงดังจนเด็กหนุ่มสะดุ้ง เขาถลึงตาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจบ ในใจนึกโมโหคนรัก

เจ้าชีวีบ้าหรือไงที่จะให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับเด็กที่มีทั้งชื่อ นามสกุลรวมไปถึงหน้าตาสรีระทุกอย่างเหมือนอดีตคนรักกัน!

อีธานพยายามสงบสติอารมณ์ ถึงเจ้าชีวีคนนี้จะเหมือนเจ้าชีวีแทบทุกอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนกันเลยก็คือนิสัยนี่แหละ คนรักของเขาออกจะคิดอะไรแผลงๆ และไม่เคยทำอะไรอย่างที่คนอื่นเขาชอบทำกันตลอดเวลา ต่างกับเด็กคนนี้ที่ใสซื่อ(จนแทบจะซื่อบื้อ)และทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

"ความจริงมันไม่ต้องทำก็ได้นี่ อีกอย่างพ่อนายไม่ขัดขวางเลยหรือไง" หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ อีธานจึงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

"คุณพ่อบอกว่าทั้งชีวิตพ่อกับคุณปู่คุณย่าไม่เคยทำอะไรให้อาวีเลย เมื่อนี่คือคำขอร้องสุดท้ายของอาวี ก็อยากทำให้อาวีนอนหลับอย่างมีความสุข"

"แล้วไม่คิดว่าฉันจะลำบากหรือไง" อีธานว่าฉุนๆ แต่พอเห็นเด็กเจ้าชีวีทำหน้าเศร้าก็ถอนหายใจ เขาเพิ่งสังเกตว่าในห้องมีกระเป๋าเดินทางกับกล่องสัมภาระสองสามใบวางอยู่ใกล้ๆ มีกล่องอาหารสำเร็จรูปที่กินหมดแล้ววางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่เอี่ยมก็เดาได้ว่าเจ้าชีวีคงรอเขานานมากจนหลับไป

"ผมไม่รู้ แต่ถ้าทำให้อาอีธลำบากใจผมจะขอร้องคุณพ่อย้ายไปอยู่ที่อื่นแทนก็ได้ฮะ"

มีไม่กี่ครั้งนักที่อีธานจะมองหน้าเด็กเจ้าชีวีตรงๆ เขามองกวาดตั้งแต่เส้นผมลงมาถึงปลายเท้าก่อนส่ายหัว หน้าหวานตัวบางแบบนี้ ต่อให้อยู่ในย่านที่ปลอดภัยที่สุดในนิวยอร์กก็คงไม่รอด ไม่ถูกลากไปข่มขืนโต้งๆ ก็คงโดนหลอกฟันเข้าให้นั่นแหละ

"ช่างมันเถอะ ยังไงตามศักดิ์เธอก็เป็นหลานฉัน ฉันคงไม่ใจดำปล่อยหลานอยู่ต่างประเทศคนเดียวหรอกนะ แต่มากะทันหันแบบนี้ฉันไม่ได้เตรียมห้องไว้ให้ คืนนี้ก็นอนโซฟาไปก่อนแล้วกัน"

เจ้าชีวีค่อยยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่าย หลังจากนั้นอีธานก็ไล่อีกฝ่ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้นอนสบายๆ

เขามองเด็กผู้ชายสูงแค่ช่วงอกเขารื้อกระเป๋าเดินทางหยิบชุดนอนลายหมีพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำวิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในห้องน้ำแล้วอมยิ้มขันไม่ได้ เพราะท่าทางเหมือนตัวอะไรสักอย่างเล็กๆ น่ารักที่เขาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

จากที่ตอนแรกอีธานกะว่าจะนอนแช่น้ำร้อนจิบเบียร์ เขาก็ต้องพับความคิดนั้นไปหลังจากที่เด็กหนุ่มยึดโซฟาเป็นที่นอนไปแล้ว เขาเองก็ควรจะเข้านอนบ้างเพราะพรุ่งนี้ต้องไปหาเอื้อแต่เช้า



นาฬิกาปลุกบนหัวนอนส่งเสียงเรียกอีธานจากนิทรารมย์ตอนแปดโมงเช้าพอดี เขาลุกขึ้นงัวเงียเดินลากขาเข้าห้องน้ำ ออกมาหลังจากนั้นอีกสิบนาที ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมไปหาเอื้อ

อีธานมองตัวเองในกระจกแล้วก็ถอนหายใจ เมื่อคืนกว่าที่เขาจะนอนหลับก็เกือบตีสาม สาเหตุก็มาจากเด็กผู้ชายที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา

เจ้าชีวียังคงหลับสนิทไม่รู้เรื่อง คงเพลียจากการเดินทางไกล นายแพทย์หนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้แต่เขียนโน้ตทิ้งไว้ ถ้าเด็กคนนี้ไม่โง่จนเกินไปก็น่าจะอ่านภาษาอังกฤษที่เขาเขียนออก

วันนี้เขาพาเอื้อไปดูมหาวิทยาลัย รวมถึงพาขับรถเที่ยวจนเกือบทั่วนิวยอร์ก และปิดทริปของวันด้วยดินเนอร์ที่ร้านอาหารจีนในไชน่าทาวน์ กว่าอีธานจะกลับถึงห้องก็เกือบสามทุ่ม

ตาคมเห็นเจ้าชีวีนั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนขอบหน้าต่าง ตากลมสะท้อนวาวน้ำกับแสงไฟ หากพอหันมาเห็นเขา มือบางก็รีบปาดมันทิ้งก่อนวางสายแล้ววิ่งมาหาเขาเหมือนลูกหมาต้อนรับเจ้าของกลับบ้าน

"อาอีธกลับมาแล้ว" เด็กหนุ่มยิ้มแหย ตากับจมูกแดงจัด ดูก็รู้ว่าร้องไห้มาไม่เบา

"กินอะไรหรือยัง"

"ยังเลยฮะ ผมไม่รู้จะออกไปซื้อยังไง ไม่มีกุญแจด้วย ผมอ่านโน้ตที่อาอีธทิ้งไว้ให้แล้วนะฮะ แต่ลายมือมัน... เอ่อ ผมพยายามอ่านแล้ว" เจ้าชีวีทำหน้าซื่อ นิ้วจิ้มเข้าหากัน ก้มหน้าก้มตามองพื้น

อีธานถอนหายใจ เขายกมือขยี้หัวเด็กหนุ่มก่อนเดินไปหยิบโทรศัพท์โทรสั่งอาหาร เมื่อวางสายเสร็จก็ดันหลังเล็กให้นั่งบนโซฟา

"หิวไหม"

"ไม่ฮะ" เจ้าชีวีตอบพลางส่ายศีรษะจนเส้นผมกระจาย หากท้องก็ไม่รักดีส่งเสียงโครกครากดังลั่นจนอีธานหลุดหัวเราะ

"หิวก็บอกว่าหิวสิ" เด็กชายไม่ว่าอะไรนอกจากอมลมจนแก้มพอง

ไม่นานอาหารจีนก็ถูกส่งถึงห้อง อีธานวางกล่องอาหารไว้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา พอมองกองหมอนกับผ้าห่มก็นึกได้ว่าเขายังไม่ได้จัดห้องให้อีกฝ่ายเลย

"คืนนี้นอนบนโซฟาต่อไปอีกคืนแล้วกัน ฉันยังไม่ได้ให้คนมาจัดห้องให้เลย"

"ก็ได้ฮะ" เจ้าชีวีก้มหน้าก้มตาคีบบะหมี่เข้าปาก อีธานจึงไม่เห็นสีหน้าของคนอายุน้อยกว่า

ร่างสูงลุกขึ้นกลับห้องนอนของตนเอง เมื่อปิดประตูลงก็ปล่อยลมหายใจยาวเหยียด อีธานไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าชีวีดี แค่วันเดียวก็ทำให้เด็กนั่นต้องร้องไห้แล้ว ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีเท่าไหร่แต่ก็ไม่ชอบเห็นน้ำตาใคร ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่มีใบหน้าเหมือนกับคนรักของเขา แต่ก็อีกนั่นแหละ...อีธานไม่คิดว่าเขาเองจะดูแลใครได้ เขาอยู่คนเดียวมานานตามประสาหนุ่มโสด ตอนคบกับเจ้าชีวีก็ไม่ได้ดูแลกันในแบบนั้นเพราะต่างคนต่างโตดูแลตัวเองได้

เขานั่งอ่านเอกสารฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าดึกพอสมควรจึงออกมาอาบน้ำ ไฟนอกห้องดับสนิท อีธานจึงเปิดไฟข้างผนังสีเหลืองนวลแทน ตาคมอดเหลือบมองทางโซฟาตัวยาวไม่ได้ เด็กหนุ่มนอนขดตัวอยู่บนนั้นท่าทางไม่สบายตัว

อีธานลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเข้าไปอุ้มร่างเล็กขึ้นแล้วพาเข้าไปในห้องนอน วางเจ้าชีวีลงบนเตียงด้านหนึ่งพร้อมกับห่มผ้าให้

ใบหน้าหวานที่นิ่วขมวดมาตลอดพอแผ่นหลังได้สัมผัสกับพื้นเตียงนุ่มๆ ก็ค่อยคลายและเผยรอยยิ้มพึงใจ เจ้าชีวีพลิกตัวซ้ายขวาก่อนที่สุดท้ายจะซุกตัวใต้ผ้านวม

อีธานมองภาพนั้นแล้วเห็นภาพของเจ้าชีวีซ้อนทับขึ้นมาจนเผลอแตะนิ้วลงบนแก้มอิ่ม ความอุ่นที่สัมผัสได้จากปลายนิ้วนั้นช่างแตกต่างจากจากความเย็นเยียบของร่างไร้วิญญาณที่เขาได้กอดเมื่อหลายเดือนก่อน มันเหมือนกับว่าเขาได้เจ้าชีวีที่มีชีวิตกลับมาอีกครั้ง

"ไม่มีวันไหนที่ฉันลืมนายได้เลย แล้วแบบนี้ฉันจะทนไหวไหมนะ นายมันร้ายกาจจริงๆ เจ้าชีวี"

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
อากาศยามเช้าค่อนข้างหนาว เจ้าชีวีขดตัวน้อยๆ ก่อนคว้าไออุ่นใกล้มือเข้ามากอด หากแต่ออกแรงดึงเท่าไหร่ก็ไม่ขยับ เขาจึงขยับตัวเข้าไปหาแล้วซุกหน้าลงแทน

อีธานลืมตาตื่นตั้งแต่ตอนที่เด็กหนุ่มคว้าชายเสื้อยืดเขา ชายหนุ่มเหลือบสายตามองร่างเล็กที่ซุกกับซอกแขนเขาหลับเหมือนลูกหมาก็ถอนหายใจ ช่างนอนได้ไม่ระวังตัวเลยจริงๆ

นายแพทย์หนุ่มยอมให้เด็กชายนอนกอดอยู่แบบนั้นครู่ใหญ่ จนเห็นว่าสมควรลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำงาน นิ้วยาวจึงสะกิดแขนเล็กที่พาดอยู่กลางอกเขาสองสามทีพร้อมส่งเสียงเรียก "เฮ้... ตื่นได้แล้ว"

"หือ... หม่าม้า วีขออีกห้านาทีนะ"

"ตื่นได้แล้ว ฉันจะไปทำงานสายนะ"

"อือ..." ยิ่งเรียก เจ้าชีวีก็ยิ่งซุกตัวเข้าหาอีธาน แถมยังกอดอกเขาแน่นอีกต่างหาก

อีธานถอนหายใจเฮือกใหญ่ สองมือพยายามแงะร่างเล็กออกจากตัวให้นุ่มนวลที่สุด กว่าจะหลุดออกมาได้เขาต้องเสียเสื้อนอนให้เด็กขี้เซาเอาไปกอดหนึ่งตัวถ้วน

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งก็เห็นเด็กชายตื่นแล้ว ร่างเล็กนั่งขยี้ตามึนๆ อยู่บนเตียง พอเห็นเขาเดินออกมาก็ทำตาโตตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าเข้ามานอนในห้อง

"อาอีธ"

"กว่าจะตื่นนะ" เขาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดทำงานออกมาใส่ไม่ได้สนใจสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งที่อยู่ในห้องอีกจนแต่งตัวเสร็จหันกลับมาถึงเห็นว่าเด็กหนุ่มเอาเสื้อนอนของเขาปิดหน้าปิดตา "เป็นอะไร"

"เอ่อ... เปล่าฮะ" เจ้าชีวีส่ายศีรษะจนผมเส้นเล็กกระจาย แล้วค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากเสื้อนอน "อา... อาอีธานจะไปทำงานแล้วเหรอฮะ"

"ใช่ เดี๋ยวอาหารเช้ากับกลางวันจะโทรสั่งให้แล้วกัน แล้วตอนเย็นจะกลับมากินด้วย"

"ฮะ ผมขอออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ไหมฮะ"

ตาคมปรายมองคนพูดทันทีก่อนเอ่ยห้าม "ไม่ได้ เดี๋ยวหลงทาง ถึงแถบนี้จะปลอดภัยก็ใช่ว่าจะไม่มีอันตราย แล้วเรื่องโรงเรียนน่ะ..."

"คุณพ่อจัดการให้แล้วฮะ วันที่มาก็พาไปมาแล้ว"

"ที่ไหน"

"ที่ xxx ฮะ"

"แล้วเริ่มเรียนวันไหน"

"เปิดเทอมสองอาทิตย์หน้าฮะ"

"งั้นก็อยู่ที่นี่เฉยๆ แล้วเดี๋ยวเสาร์นี้จะพาออกไปข้างนอกเอง" อีธานตัดบทเพียงแค่นั้นก่อนเดินฉับๆ ออกจากห้องไป

ลับหลังคุณหมอหน้าดุได้แป๊บเดียว เจ้าชีวีก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ไออุ่นบนเตียงทำให้ไม่อยากลุกไปไหนทั้งที่นี่ก็สายมากแล้ว หากพอดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจมูกก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเสื้อนอนตัวเบ้อเร้อในมือ เด็กหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับโยนเสื้อทิ้งลงพื้น รู้สึกอายตัวเองไม่น้อยที่นอนไม่รู้เรื่องราวจนกระชากเสื้อนอนอาเขยติดมือ



เมื่อวันเสาร์มาถึง อีธานก็ทำอย่างที่บอกไว้ เขาพาเจ้าชีวีสำรวจรอบๆ เมือง พอเที่ยงอีธานก็พาเด็กหนุ่มไปนั่งอาบแดดที่เซ็นทรัลปาร์คพร้อมกับทานมื้อเที่ยงเป็นแซนด์วิชง่ายๆ ซื้อจากร้านค้าแถวนั้นกับน้ำอัดลมคนละกระป๋อง

อากาศที่ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ซ้ำยังมีลมอ่อนๆ ทำให้สองอาหลานเริ่มตาปรือหลังจากยัดขนมปังประกบแฮม ผัก ไข่ดาวชิ้นโตลงท้อง

"ถ้ายังไม่อยากเดินต่อ เธอจะนอนก่อนก็ได้นะ"

"ไม่เป็นไรฮะ เอ่อ...อาอีธฮะ อาอีธรู้จักผู้ชายที่ชื่อซิ่นฉีไหมฮะ" เอ่ยถามด้วยความสนใจ คล้ายว่าเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ค้างคาในใจเขามานานแล้ว

อีธานเพียงเหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงข้ามก่อนแวบเดียวแล้วยกกระป๋องโค้กขึ้นซด "ไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน"

"อาวีฮะ ตอนที่อาวีอยู่ที่บ้านชอบเล่าเรื่องผู้ชายคนนี้ให้ฟังบ่อยๆ"

"เขาเล่าว่ายังไงบ้างล่ะ" ชายหนุ่มถามด้วยความนึกรู้ เขาอยากรู้ว่าเจ้าชีวีจะเล่าเรื่องราวของเขาให้คนอื่นฟังอย่างไรบ้าง ขายาวเหยียดลงบนพื้นหญ้า ท่วงท่าดูสบายๆ หากในใจเต็มไปด้วยความกังวลว่าเจ้าชีวีจะเอาไปพูดกับใครต่อใครว่าไม่รักเขาเลย

"คุณอาบอกว่าซิ่นฉีคือคนที่คุณอารักมากที่สุด เป็นผู้ชายที่อยู่เคียงข้างคุณอามาตลอด ใจดี หล่อ แล้วก็รู้ใจคุณอาทุกอย่างเลยว่าต้องการอะไร ผมก็เลยสงสัยว่า...ถ้าซิ่นฉีคือคนที่คุณอารัก แล้วทำไมถึงได้แต่งงานกับอาอีธล่ะฮะ"

เจ้าชีวีมองคนข้างกายตาแป๋ว หากอีธานยังคงยกกระป๋องโค้กซดอึกๆ จนหมดแล้วบีบมันจนกลายเป็นเศษขยะ

"ฉันจะบอกอะไรให้นายรู้อย่างนึงนะ ซิ่นฉีน่ะเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลก แม้แต่จะดึงรั้งคนรักไว้กับตัวเองก็ยังทำไม่ได้ เขาไม่สมควรจะได้รับความรักจากเจ้าชีวีเลยด้วยซ้ำ" อีธานลุกขึ้นเดินออกไปไม่นึกเรียกหลานตัวน้อยสักนิด

เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจน้อยๆ ไม่เข้าใจทั้งอีธาน ทั้งอาเจ้าชีวี และทั้งตัวเองที่รู้สึกเศร้าไปกับความเจ็บปวดของอีธาน

ถ้าความรักทำให้ใครต่อใครต้องเจ็บปวด แล้วไยถึงยังเรียกร้องหามันอีกนะ...

เขารีบวิ่งตามอีกฝ่ายไปเมื่อเห็นว่าอีธานเดินไปไกลแล้ว ปากก็ร้องเรียกให้อีกฝ่ายหยุดรอ อย่างน้อยอีธานก็ยังไม่เย็นชาถึงที่สุด เขาหยุดรอทั้งที่ยังหันหลังให้จนกว่าเด็กหนุ่มจะวิ่งมาถึงตัวแล้วออกเดินไปพร้อมกัน



เจ้าชีวีย้ายมาอยู่นิวยอร์กกับอีธานได้ครึ่งปีแล้ว และไม่เคยเห็นอีธานยิ้มไปถึงดวงตาสักครั้ง หากครั้งไหนชวนคุยเรื่องคุณอาผู้ล่วงลับ อีธานมักจะตัดบทแบบนี้ด้วยการเดินหนีออกไปข้างนอกทุกที สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเจ้าชีวีไม่กล้าพูดถึงอาตัวเองให้อีกคนฟัง แม้ว่าเขาจะมีเรื่องราวมากมายอยากจะเล่าให้อีธานรู้ว่าอาของเขารักคุณหมอคนนี้มากแค่ไหน

ลมหนาวพัดมาอีกครั้งพร้อมกับใบไม้ที่เปลี่ยนสี เจ้าชีวีนอนไม่หลับ...อาจจะเป็นเพราะว่าอีธานยังไม่กลับมาหรือเพราะอย่างอื่นเขาก็ไม่แน่ใจ

เด็กหนุ่มที่ส่วนสูงเริ่มยืดนอนเอกเขนกบนโซฟา ตากลมจ้องทีวีตรงหน้าแป๋ว ซีรี่ย์น้ำเน่าเรื่องนี้พอจะทำให้เขาหายเบื่อได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด และแม้พรุ่งนี้จะมีเรียนแต่ก็ข่มตาไม่ลงทั้งที่เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว

จวบจนใกล้ตีสอง เด็กที่เข้านอนเป็นเวลาก็เริ่มตาปรือ เจ้าชีวีเคลิ้มจวนเจียนจะหลับแล้วเมื่อตอนได้ยินเสียงเอะอะโวยวายนอกห้อง หนแรกเขาตกใจสะดุ้งจนตื่นเต็มตาและนึกกลัวไปว่าอาจจะเป็นโจร หากพอจับใจความสิ่งที่ได้ยินก็รีบวิ่งไปเปิดประตูทันที

เมื่อประตูบานหนาเปิดออก ตากลมก็สะท้อนภาพชายหนุ่มตัวโตสามคน อีธานยืนแข้งขาอ่อนแรงใบหน้าแดงก่ำตาเยิ้ม เขาถูกผู้ชายสองคนช่วยกันพยุงเอาไว้ คนหนึ่งเจ้าชีวีคุ้นหน้า แต่จำไม่ได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน ส่วนอีกคนเป็นชาวตะวันตกตัวใหญ่พอๆ กับอีธาน

"อาอีธกลับมาแล้ว"

"อือ... เจ้าชีวี" พอได้ยินเสียงเรียกอีธานก็สะบัดตัวออกจากการพยุง เขาเดินโซซัดโซเซไปทางเด็กชายแล้วโน้มตัวลงกอดทั้งตัว นั่นทำให้เจ้าชีวีแทบหงายหลังเพราะขนาดตัวที่ต่างกันมาก

"ให้ตายเถอะ เมาหนักขนาดนี้ได้ไงเนี่ย" ชายผมทองบ่นงึมงำก่อนตรงเข้ามาช่วยดึงตัวอีธานออกไป แต่อีธานก็กลับกอดเด็กหนุ่มไว้แน่นแล้วละเมอ

"เจ้าชีวี เจ้าชีวีจริงๆ ด้วย นายกลับมาหาฉันแล้วสินะ นายรู้บ้างไหมว่าฉันคิดถึงนายขนาดไหน" อีธานพูดเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนไม่ใช่คนเมา สองมือจับแก้มเด็กหนุ่มไว้เพื่อให้ได้จ้องตากัน "คนใจร้าย ทิ้งฉันได้ลงคอ กลับมาแล้วห้ามหนีไปไหนอีกนะ"

"อาอีธเมาแล้ว"

"ไม่รู้เป็นบ้าอะไร ร้อนวันพันปีไม่เคยเมา วันนี้นึกคึกซดไม่ยั้งเลยเมาแบบนี้" ฝรั่งหนุ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เขาหิ้วคออีธานออกจากเด็กหนุ่มได้สำเร็จ คงด้วยเพราะอีธานเริ่มหมดแรงแล้วเหมือนกันจึงจัดการได้ง่าย เขาโยนอีธานลงบนโซฟา ก่อนหันไปมองหน้าเจ้าชีวี "แล้วนี่หลานของวีใช่... วะ วี!!!"

"ใครคือวีกันเหรอครับ" หนุ่มเอเชียเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เขามองฝรั่งหนุ่มที่ตกใจตาโตอ้าปากค้างไปแล้ว

"วี วีจริงๆ ด้วย นี่ผีหลอกเหรอเนี่ย"

"ผมเป็นหลานอาวีฮะ ชื่อเจ้าชีวี" เด็กหนุ่มยิ้มแหย ตากลมจ้องกลับคนที่กำลังตกใจ นานทีเดียวกว่าที่เขาจะตั้งสติได้แล้วก้มใบหน้าลงมามองอีกฝ่ายให้ถนัด

"โอ้วมายก็อด เธอหน้าเหมือนวีมากเลย ชื่อก็เหมือนกันด้วย มิน่าอีธานถึงได้คลั่งเหลือเกิน"

"วีคือใครเหรอครับคุณไมเคิล"

"วีคือคนรักของอีธานครับคุณเอื้อ แต่ว่าเสียไปเมื่อปลายปีที่แล้ว"

"อ้อ" เอื้อพยักหน้ารับรู้ ก่อนมองที่เด็กชาย "แล้วนี่ก็คือหลานของอดีตคนรักของหมออีธานสินะ"

"อาวีไม่ใช่อดีตคนรักของอาอีธนะฮะ อาวียังเป็นคนรักของอาอีธอยู่" เจ้าชีวีเถียงกลับทันที เขารู้สึกไม่ชอบหน้าเอื้อขึ้นมาตะหงิดๆ

"โอเค แต่เขาก็ไม่อยู่แล้ว" เอื้ออมยิ้มน้อยๆ "เหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน อ้อ! นึกออกแล้ว ที่โรงหนังวันไหนไง ที่หมออีธานทักคนผิด"

เจ้าชีวีใช้ตากลมๆ ของตัวเองตวัดมองคนแก่กว่าไม่ชอบใจนัก ด้วยอะไรบางอย่างบอกเขาว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังพยายามมาแทนที่ของอาเจ้าชีวี ริมฝีปากสีสดยู่เข้าหากันก่อนเดินหาอีธานที่โซฟา

"อาอีธฮะ เข้าไปนอนในห้องเหอะ"

"เดี๋ยวฉันช่วยนะ" ฝรั่งไมเคิลอาสา เขาหิ้วปีกอีธานขึ้นข้างหนึ่งพร้อมกับเอื้อที่รีบเข้ามาช่วยเช่นกัน เจ้าชีวีจึงต้องเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้ พอส่งคุณหมอตัวสูงถึงเตียงได้ อีธานก็กรนเสียงดังทันที

"ให้ตายเถอะ! แต่ก่อนดื่มหนักกว่านี้ก็ไม่เคยเมาสลบได้แบบนี้ สงสัยห่างไปนาน"

"แต่ก่อนคุณหมอปาร์ตี้หนักมากเลยเหรอครับ" เอื้อถามสีหน้าอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ไม่ต่างจากคนเด็กสุดที่ทำเป็นไม่สนใจ เข้าไปช่วยห่มผ้าให้อาเขยแต่เงี่ยหูรอฟัง

"โอ๊ย! ไม่อยากจะนินทาเลยครับ ตอนเด็กๆ รุ่นเท่าเด็กคนนี้" เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าชีวีก่อนเล่าต่อ "พวกผมปาร์ตี้กันแทบทุกคืน เมาหัวราน้ำยันเกือบสว่าง ลองมาเกือบหมดแล้วล่ะครับ แทบจะเสียผู้เสียคนกันไปก็หลายหน จนไม่อยากเชื่อว่าอย่างอีธานจะเป็นหมอได้ ถ้าไม่เป็นเพราะวี...อีธานก็คงทำตัวเสเพลไปวันๆ"

"คนที่ชื่อวีเขามีอิทธิพลกับหมออีธานมากเลยเหรอครับ"

"ครับ มากที่สุดเลย คงเพราะสองคนนี้ตัวติดกันตั้งแต่เด็กๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เป็นยิ่งกว่าครอบครัวอีก พวกผมไม่แปลกใจเลยถ้าวันหนึ่งพวกเขาจะรักกัน แต่น่าสงสาร...พระเจ้าพรากวีไปเร็วเหลือเกิน ถ้าวียังอยู่ พวกเขาคงเป็นคู่รักที่น่าอิจฉามากที่สุดคู่นึง"

"อาเจ้าชีวีรักอาอีธมากเหมือนกัน ผมเชื่อว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกแน่นอน" เด็กหนุ่มที่เพิ่งห่มผ้าให้อาเขยเสร็จเงยหน้าขึ้นมองผู้ใหญ่ทั้งสอง ใบหน้าหวานงดงามราวกับถอดพิมพ์เดียวกันมาของอาส่งรอยยิ้มสดใส

"ตอนนี้อีธานก็ได้เจอเจ้าชีวีแล้ว ถึงจะเป็นคนละคนก็เถอะ ช่วยดูแลอีธานด้วยนะ" ไมเคิลทิ้งท้ายก่อนได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเก่าของเด็กหนุ่ม

"แน่นอนอยู่แล้วครับ ในเมื่อนี่คือสิ่งที่อาวีต้องการเป็นสิ่งสุดท้ายนี่ครับ"



อีธานตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว แสงแดดที่แยงตาทำให้เขาไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีก ร่างสูงพยายามลุกขึ้นพาตัวเองไปห้องน้ำ

หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วหัวก็พอจะโล่งขึ้นบ้าง เขาก็เดินออกมาที่ห้องครัว คิดชงกาแฟดำดื่มแก้อาการเมาค้าง หากยามตาคมเห็นร่างเล็กก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเตาก็สงสัย อีธานมองนาฬิกาบนผนังเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาเกือบสิบโมงเช้า เลยเวลาเข้าเรียนมานานแล้ว

"ทำไมไม่ไปโรงเรียน"

"ก็อาอีธยังไม่ตื่น ผมกลัวว่าอาอีธจะไม่สบายเลยตั้งใจว่าจะอยู่เฝ้าน่ะฮะ"

"ฉันดูแลตัวเองได้ เธอมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปเถอะ"

เจ้าชีวีอมลมแก้มพอง เขาปิดเตาแก็สลงแล้วเดินออกจากครัวไปทันที

หมอหนุ่มมองตามหลังเล็กนั่นก่อนถอนหายใจ เขาเดินเข้าไปในครัวเปิดเครื่องต้มกาแฟแล้วชะโงกหน้าดูสิ่งที่เจ้าชีวีทำค้างไว้ มันเป็นซุปข้าวโพดง่ายๆ จากซองอาหารกึ่งสำเร็จรูป อีธานไม่คิดอยู่แล้วว่าลูกคุณหนูอย่างนั้นจะทำอะไรได้

สิบนาทีให้หลังเขาก็เดินออกมาจากครัวพร้อมกาแฟดำหนึ่งแก้วกับชามใส่ซุปข้าวโพด เจ้าชีวีนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ใบหน้าหวานบูดบึ้ง ดูก็รู้ว่ากำลังงอน

อีธานเอาตัวยักษ์ๆ เข้าไปนั่งข้างกัน เขาวางของในมือลงบนโต๊ะกระจก หางตาก็เหลือบมองคนตัวเล็กกว่าที่จ้องชามซุปข้าวโพดแล้วรีบหันกลับไปดูทีวีด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มอ่อนๆ

ชายหนุ่มค่อยๆ ละเลียดทั้งกาแฟดำและซุปข้าวโพดสลับกับดูรายการโทรทัศน์ ไม่นานของทั้งสองอย่างก็หมดลง ทั้งคู่เงียบอยู่นานและเป็นอีธานที่ทำลายความเงียบนั้นก่อน

"ไหนๆ ก็โดดเรียนแล้ว ไปเที่ยวกันไหม"

"ที่ไหนเหรอฮะ"

"อยากไปไหนล่ะ"

"อยากไปเซ็นทรัลปาร์คอีกฮะ"

"ก็ได้" อีธานยักไหล่ตกลง

หลังจากพากันไปแต่งตัวเตรียมออกเดินทางกันเรียบร้อย อีธานก็พาเจ้าชีวีนั่งรถข้ามสะพานไปเกาะแมนฮันตันเพื่อไปยังเซ็นทรัลปาร์ค

ใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลส้มแทบเกือบทั้งปาร์ค ถ้าอากาศหนาวอีกหน่อยทะเลสาบก็จะกลายเป็นลานน้ำแข็งให้ได้เล่นสเก็ตกัน

สองร่างเดินเคียงกันไปตามทางเดินซีเมนส์ทอดยาว พอมีลมพัดใบไม้ต่างพากันร่วงปลิวเป็นภาพที่สวยงาม คนเด็กกว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ก่อนถ่ายรูปตนเองและคนข้างกาย

"อาอีธถ่ายรูปกัน"

"ไร้สาระ" อีธานตอบสั้นๆ เขาก้าวไปข้างหน้าต่อไม่เหลียวกลับมามองเจ้าชีวีที่ทำหน้ามุ่ยไปเรียบร้อยแล้ว

พวกเขาเดินกันอยู่เกือบสามสิบนาทีก็ล้มตัวนั่งบนพื้นหญ้าแห้งที่มีแสงแดดส่องถึง อีธานเอนตัวลงนอนราบหลับตาคล้ายจะหลับ คนที่มาด้วยเลยล้มตัวลงนอนข้างๆ หยิบมือถือขึ้นกดเล่นไปเรื่อย แต่แล้วคนที่ทำท่าจะหลับก็เอ่ยขึ้น

"ทำไมถึงชื่อเจ้าชีวี?"

คนถูกถามตกใจจนทำมือถือร่วงใส่หน้า เจ้าชีวีร้องโอ๊ยเอามือปิดจมูก เจ็บจนน้ำตาเล็ด หากแทนที่อีธานจะห่วงเขากลับหัวเราะ

"ผมเจ็บนะ อาอีธหัวเราะทำไม"

"ซุ่มซ่าม"

"แล้วถ้าอาวีทำแบบนี้บ้างอาอีธจะหัวเราะหรือเปล่าล่ะ"

"ถ้าเป็นอาเธอ ฉันรีบเข้าไปดูตั้งแต่ร้องแล้ว"

"ลำเอียงสุดๆ" เจ้าชีวีเบะปาก โยนโทรศัพท์ลงพื้นหญ้าแล้วกลิ้งตัวนอนตะแคงมองคนตัวยาวที่ยังคงนอนหลับตาสบายๆ "เมื่อกี้อาอีธถามว่าอะไรนะ"

"ทำไมถึงชื่อเจ้าชีวี ที่บ้านเธอไม่มีชื่ออื่นให้ตั้งแล้วหรือไงถึงได้ตั้งชื่อลูกให้เหมือนน้องชายตัวเอง ไอ้เรื่องหน้าเหมือนกันฉันคงไม่คิดว่าเธอทำศัลยกรรมหรอกนะ เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ แต่เรื่องชื่อ...จงใจแทนเจ้าชีวีมากเกินไปหรือเปล่า" ตาคมลืมขึ้นเมื่อถึงประโยคสุดท้าย จักษุดำขลับสะท้อนภาพก้อนเมฆที่ลอยผ่านหน้าไปช้าๆ

เจ้าชีวีเงียบไป เขาล้มตัวนอนหงายอีกครั้งก่อนหลับตา นานทีเดียวกว่าที่จะหาเสียงตัวเองเจอ "ชื่อเจ้าชีวี แปลว่าเป็นเจ้าของชีวิต คุณพ่อเล่าว่าตอนอาวีเกิดเป็นช่วงที่คุณปู่กับคุณย่าทะเลาะกัน คุณย่าเลยต้องรับอาวีไปเลี้ยงเอง คุณย่าทวดจึงตั้งชื่อนี้ให้ เพราะอยากให้อาวีเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง"

"เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว ผู้ใหญ่ไร้ความรับผิดชอบ ถึงขั้นอยากฆ่าลูกตัวเอง"

"ผมเกิดตอนที่อาวีไปอยู่นิวยอร์กแล้ว คุณปู่คุณย่ารู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกของตนเองได้ เขาบอกผมว่า...เขาไม่กล้าเรียกชื่ออาวีเพราะละอายแก่ใจ ตอนผมเกิดเลยตั้งชื่อนี้ให้ผม และดูแลผมทดแทนส่วนที่อาวีไม่เคยได้รับ"

"เหอะ ดีจังเลยนะ เกิดมาก็มีแต่คนรัก มีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา แถมยังหน้าตาเหมือนกันอีก ทุกคนคงหลงเธอตั้งเธอเป็นตัวแทนคนที่ไม่เคยดูดำดูดีจนหลงลืมเจ้าชีวีของฉัน และในขณะที่เจ้าชีวีของฉันไม่เคยมีใครนอกจากคุณย่ากับฉัน เธอคงจะมีความสุขมากสินะที่เกิดมาแล้วมีพร้อมไปทุกอย่าง"

"ฮะ ผมมีความสุข" เจ้าชีวีรับคำโดยไม่โต้เถียง มันก็จริงอย่างที่อีธานว่าเขาเหมือนเป็นตัวแทนเจ้าชีวีตั้งแต่เกิด ทุกคนในบ้านต่างรักและเอาอกเอาใจเขากันทุกคน ในขณะที่อาเจ้าชีวีต้องทนทุกข์ทรมานกับความเหงาและโรคร้าย

"แล้วแบบนี้ยังจะให้ฉันทนอยู่กับคนที่เกิดมาแล้วได้ทุกอย่างไปง่ายๆ งั้นหรือ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม แม้แต่เจ้าชีวีก็ยังรักเธอ หรือบางทีคงเกลียดเธอมากจนส่งมาให้เจอคนอย่างฉัน"

"อาอีธ!" ร่างเล็กผุดลุกขึ้นนั่งมองคนข้างตัวด้วยความตกใจ อีธานยังคงนอนจ้องมองท้องฟ้า

"ฉันเกลียดคนแบบเธอที่สุดเลย" อีธานเองก็ลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากับอีกคน ใบหน้าหล่อเรียบเฉยและเย็นชาเสียจนคนมองน้ำตาไหล "ใจฉันยังคงรักเพียงเจ้าชีวี และฉันจะยิ้มได้ก็เพราะเขาเท่านั้นไม่ใช่เพราะเธอ ฉะนั้นเธอก็เลิกพยายามทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เสียทีเถอะนะ"

อีธานจ้องมองใบหน้าสวยหวานที่เขาจดจำได้ดีว่าเหมือนคนที่เขารักมากแค่ไหน เหมือนมากเสียจนน่ากลัวว่าเขาเองวันหนึ่งก็อาจพลาดตกหลุมพรางที่เจ้าชีวีขุดไว้ก็เป็นได้

"ไม่เคยรู้ตัวเลยหรือไงว่าฉันไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อเลย เพราะไม่ว่าอย่างไรเจ้าชีวีของฉันก็มีเพียงคนเดียว"



ตลอดทางกลับบ้านไม่มีเสียงพูดคุยกันอีก เจ้าชีวีเองก็พยายามกลั้นน้ำตาจนหน้าแดงไปหมด เขาเดินตามหลังอีธานมาจนถึงหน้าห้อง มองผู้ชายตัวสูงไขกุญแจเข้าไปผ่านม่านน้ำตา

อีธานเหลียวกลับมามองเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะเดินตามเข้ามา ตาคมจึงได้มองภาพเด็กผู้ชายตัวผอมบางยืนปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มไร้เสียงสะอื้น

"ถ้า... ถ้าผมจะบอกว่า...ผมตกหลุมรักอาอีธตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน ตั้งแต่วันนั้นที่อากอดผมเพราะคิดว่าผมเป็นอาวีที่โรงหนัง..."

"..."

"ถ้าผมบอกว่าทุกอย่างที่ผมยอมทำตามที่อาวีบอกนั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่งใจผมก็อยากทำ ผมอยากใกล้ชิดกับอา ผมอยากรักอาแล้วก็อยากให้อารัก โดยที่ไม่มีข้อบังคับทางพินัยกรรมเป็นเงื่อนไข อาอีธจะเชื่อผมไหม"

"..."

"ถึงอาจะไม่รักผม แต่ผมดีใจนะที่อาบอกว่าอาไม่เคยเห็นผมเป็นเหมือนอาวี ตั้งแต่ผมเกิดมาทุกคนรอบตัวรักผมก็จริง แต่เขารักเพราะเห็นผมเป็นตัวแทนของอาวี ไม่มีใครที่จะมองผมในสิ่งที่ผมเป็นตัวของผมจริงๆ เลยสักคน เพราะงั้นมันคงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะรักคนที่บอกว่าผมไม่ใช่ตัวแทนของใคร คนที่มองผม...อย่างที่ผมเป็นจริงๆ"

ร่างเล็กค่อยย่างก้าวเข้ามาในห้อง ยืนจวบจะประชิดกายสูงใหญ่ ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา

"ผมมีความสุขมากจริงๆ นะที่ได้รักอา ไม่ต้องรักผมก็ได้แต่ขอให้ผมได้อยู่ข้างๆ อาแบบที่อาอีธทำกับอาเจ้าชีวีก็พอนะ" ริมฝีปากสีสดพยายามบิดรอยยิ้มกว้างออกมา แต่ไม่ว่ายิ่งพยายามยิ้มเท่าไหร่น้ำตาก็ยิ่งไหลอาบแก้มมากขึ้นเท่านั้น

"แม้จะรู้ว่าไม่มีวันได้ใจไปน่ะหรือ"

"แค่ได้อยู่ข้างอาอีธ ผมรอได้เสมอ"



ได้เกิดมารักเธอ ได้ทุ่มเททุกอย่าง
หนึ่งชีวิตนี้ก็มีค่า ถ้ารักใครถึงที่สุด
สุดชีวิต...มันโง่ไปใช่ไหม
ได้เกิดมาครั้งเดียว จะขอทำทุกอย่าง
ต่อให้เธอไม่เห็นคุณค่า
อาจเหมือนคนไม่ฉลาด...ก็ยอมรับ
มันโง่ตั้งแต่รักเธอหมดใจ*
*คนไม่ฉลาด - PURE


มือหนายกขึ้นแนบแก้มใส ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยคราบน้ำตาออกให้ช้าๆ "แม้จะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ยังจะรัก เด็กโง่"


.

.

.

ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
ต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว อากาศเย็นลงอีกสององศาได้ ปาร์ตี้วันเกิดอีธานจัดขึ้นที่แมนชั่น มีเพียงเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่ถูกรับเชิญมางาน รวมไปถึงหมอเอื้อด้วย

เจ้าชีวีตื่นเต้นมากเพราะจะได้ฉลองวันเกิดกับอีธานเป็นครั้งแรก เขาไปสั่งเค้กช็อกโกแลตจากร้านที่ดีที่สุดมาสองปอนด์ พร้อมคิดข้อความบนหน้าเค้กให้อีกฝ่ายด้วยตนเอง พออีธานกลับมาจากโรงพยาบาล อาหารที่สั่งไว้ก็ถูกนำมาส่ง สองอาหลานช่วยกันจัดโต๊ะรอเวลาแขกมาที่งาน

สักทุ่มตรงเอื้อก็มาที่งานเป็นคนแรกพร้อมกับกล่องของขวัญกล่องใหญ่ แล้วตามด้วยเพื่อนของอีธานที่เจ้าชีวีไม่เคยเจอ ทุกคนตกใจเล็กน้อยที่เห็นหน้าเจ้าชีวี และล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าหน้าเหมือนวีมากจนคิดว่าเป็นวีสมัยยังเฮ้วๆ

"ตอนวีอายุเท่าเธอก็ย้อมผมบลอนด์แล้วล่ะ แถมวีรกรรมแต่ละอย่างเด็ดทั้งนั้น" หญิงผมเงินคนหนึ่งเล่าให้เด็กหนุ่มฟังแล้วก็พากันหัวเราะ

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน อีธานเองก็ยิ้มและหัวเราะไปกับเพื่อนๆ จวบเที่ยงคืนจึงได้ฤกษ์เป่าเค้ก เขาหลับตาอธิษฐานบางอย่างอยู่นาน ในหัวนึกถึงวันเกิดเขาเมื่อสี่ปีก่อนที่มีเพียงเขาและเจ้าชีวีบนดาดฟ้าตึกสูงใจกลางกรุงเทพ เขาหวังว่าเมื่อเขาลืมตาในครั้งนี้เขาจะได้เจอเจ้าชีวีอีกครั้ง

'ขอให้ได้เจอนายอีกครั้ง' เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มองเห็นเจ้าชีวีของเขายืนส่งยิ้มมาให้ผ่านเปลวเทียน อีธานยิ้มกว้าง จ้องตาอีกฝ่ายอยู่นานจนน้ำตาไหล 'ขอบใจที่ยังคิดถึงกัน'

เมื่อเขาเป่าเทียนเล่มน้อยดับลงภาพของเจ้าชีวีก็จางหายไปพร้อมกับควัน หลงเหลือเพียงความจริงที่ยังอยู่ตรงหน้าคือเจ้าชีวีอีกคน

"สุขสันต์วันเกิดฮะอาอีธ"

อีธานฉีกยิ้มน้อยๆ แต่ก็ออกมาจากใจ "ขอบใจ"

หลังตัดเค้กแล้วงานปาร์ตี้ก็ดำเนินต่อไปอีกหน่อย แขกบางคนเริ่มทยอยกลับ ส่วนเจ้าของงานกลับหายไปในห้องนอนกับเอื้อ

ตอนแรกเจ้าชีวีรู้สึกไม่ไว้ใจหมอหน้าเด็กคนนั้นเท่าไหร่ ยิ่งคิดว่าอีกฝ่ายคงจะชอบอาอีธานเหมือนกันกับเขาใจก็ยิ่งร้อนรุมอยากจะเดินไปแกล้งเคาะประตูแรงๆ หากพอคิดได้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายรอเองก็นั่งเงียบอยู่บนโซฟา

ไม่นานเอื้อก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากห้องนอนพร้อมกับคราบน้ำตา เขาปิดประตูเสียงดังทำเอาคนอื่นตกใจ ทว่าพอมองอีธานที่เดินตามออกมาพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนักก็พากันเดินเข้าไปหาแล้วพูดให้กำลังใจอีกฝ่าย

"นายทำดีแล้วอีธาน" ไมเคิลตบหลังเพื่อนสองสามที

"ขอบใจ"

"ไหนๆ ก็ไม่ต้องทำงานแล้วไปต่อกันดีกว่า บาร์เทนเดอร์คนใหม่ที่ร้านเชอรี่ชงเหล้าเจ๋งสุดๆ" ใครคนหนึ่งเสนอ อีธานเองก็พยักหน้าตกลงไปแล้ว หากเมื่อเห็นเจ้าชีวีก็ทำท่าจะปฏิเสธ

"อาอีธไปเถอะฮะ นานๆ ได้เที่ยวกับเพื่อน ผมจะรออาอยู่ที่ห้องนี่แหละ"

"เอางั้นเหรอ"

"ฮะ"

"เสียดายนะอายุยังไม่ถึง ไม่งั้นจะพาไปด้วยแล้ว ถ้าเป็นวีนะไปไหนไปกัน"

"งั้นก็อยู่นี่แหละ ฉันจะกลับมาก่อนเช้า" เขาลูบหัวเล็กก่อนเดินไปหยิบเสื้อโค้ทแล้วเดินตามเพื่อนๆ ออกไป

อีธานกลับมาถึงแมนชั่นก่อนตีห้าเล็กน้อย เขาไขกุญแจเข้าห้องอยู่นานเพราะความมึนเมา พอเข้าห้องได้ก็แทบจะล้มตัวหลับบนโซฟา หากอากาศก็หนาวเกินกว่าจะทนนอนได้ ร่างสูงพยุงตัวเองเข้าไปในห้องนอน ถอดโค้ทโยนทิ้งบนพื้นแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที

แพทย์หนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดมึนศีรษะ เขาพลิกตัวหนีแสงแดดที่แยงเข้าดวงตาจนชนกับวัตถุนิ่มๆ หนแรกเขานึกว่าเป็นหมอนข้างจึงรวบมากอด แต่พอหมอนข้างขยับได้เขาก็ตื่นเต็มตา

ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งและปรายตามองก้อนกลมๆ ทันที ตอนนั้นเขาถึงรู้ตัวว่าเข้ามานอนในห้องของเจ้าชีวี เพราะเจ้าของห้องโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มเล็กน้อย

ใบหน้าหวานถูกแสงแดดยามเช้าอาบไล้ใบหน้า ขนตางอนยาวกับเส้นผมสีดำสนิทสะท้อนแดดเป็นประกาย ปกติหน้าตาก็สวยหวานเหมือนเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว ยิ่งยามอยู่นิ่งๆ ไม่วุ่นวายก็ยิ่งงดงามเหมือนเป็นนางฟ้าองค์น้อยที่แอบลงมาเล่นบนโลกมนุษย์แล้วเผลอหลับไป

เขาไล้ปลายนิ้วลงบนแก้มอวบอิ่มเลื่อนลงมาถึงริมฝีปากแดง แตะค้างนานก่อนก้มใบหน้าลงแนบชิดและสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน สัญญาณที่บอกว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่

"เธอเข้มแข็งมากเด็กน้อย"

เกือบสิบโมงเช้าเจ้าชีวีถึงตื่น และเป็นอีกวันที่เขาหยุดเรียนเนื่องจากตื่นสาย หากอีธานไม่ได้พูดบ่นอะไรแถมยังชวนอีกฝ่ายไปเที่ยวอีกต่างหาก

"ไปเล่นไอซ์สเก็ตกันไหม"

"ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งแล้วเหรอฮะ"

"ยังหรอก แต่มันมีอยู่ที่นึงที่แมนฮันตันเป็นลานไอซ์ เธอเล่นเป็นหรือเปล่าเถอะ"

"เป็นสิฮะ" เด็กหนุ่มรีบตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจไม่พาเขาไป สุดท้ายสองอาหลานก็พากันมาหยุดที่ลานน้ำแข็งใจกลางเมือง เพราะว่าเป็นวันธรรมดาผู้คนจึงไม่พลุกพล่าน และส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยว

อีธานกับเจ้าชีวีไถลเท้าไปตามพื้นน้ำแข็งพร้อมๆ กัน เจ้าชีวีดีใจที่ตัวเองเริ่มยืดตัว ขาเขาเองก็ยาวขึ้นจึงเริ่มจะก้าวตามอีกฝ่ายทัน เสียงเพลงที่กำลังฮิตในบิลบอร์ดชาร์ตดังคลอตามจังหวะการก้าวของคนทั้งคู่

"เธอรู้ไหมว่าฉันกับเจ้าชีวีฮันนีมูนกันทีไหน" เป็นครั้งแรกที่อีธานชวนเจ้าชีวีคุยเรื่องของเจ้าชีวีก่อน เด็กหนุ่มตกใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้า

"ลานน้ำแข็งที่สยามดิส อาวีเล่าให้ฟังว่าบังคับอาอีธแต่งงานที่ม้าหมุนก่อนพากันมาฮันนีมูนที่ห้าง"

"อาของเธอน่ะเอาแต่ใจที่สุดเลย แต่ฉันก็รักเขาที่เป็นแบบนั้นนะ" อีธานเกาะขอบกั้นก้มหน้าหัวเราะกับพื้นน้ำแข็งอยู่นานก่อนเงยใบหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่ม "ถ่ายรูปกันไหม"

"ได้เหรอฮะ"

"ได้สิ" เขาอมยิ้มตอบอย่างอารมณ์ดี เจ้าชีวีจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาโปรแกรมถ่ายภาพ พอจะถ่ายอีธานก็เดินเข้ามาซ้อนหลังและโน้มใบหน้าลงมาให้อยู่ระดับเดียวกันกับเด็กหนุ่ม

"หนึ่ง สอง ซั่ม ชีส~~~"

"อีกรูปนะ" อีธานบอก คราวนี้เขาแนบแก้มชิดกับอีกฝ่ายก่อนกดชัตเตอร์ รูปที่ออกมาจึงเห็นหน้าอีธานยิ้มกว้างกับเจ้าชีวีที่ตกใจอ้าปากหวอแก้มแดง

"อาอีธเล่นอะไร ผมตกใจหมดเลย" ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เด็กหนุ่มกลับยิ้มน้อยยิ้มใญ่ เขารีบกดเปลี่ยนรูปหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปเมื่อครู่ทันที

สองอาหลานพากันเดินเล่นต่อที่เซ็นทรัลปาร์ค หลังจากนั้นก็ทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารไทยย่านไทยทาวน์  อีธานดูอารมณ์เป็นพิเศษจนเจ้าชีวีอดแปลกใจไม่ได้ เพราะโดยปกติแล้วคุณหมอจะทำหน้าขรึมและไม่ค่อยจะยิ้มหรือหัวเราะเท่าไหร่ คนเด็กกว่าพยายามคิดในแง่ดีว่าคงเพราะเพิ่งผ่านวันเกิดมาเลยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

"เมื่อวาน...นอกจากจะเป็นวันเกิดฉันแล้ว ยังเป็นวันครบรอบยี่สิบปีที่ฉันกับเจ้าชีวีรู้จักกัน ทุกอย่างดูผ่านไปเร็วเหลือเกิน แป๊บเดียวฉันก็อายุสามสิบแล้ว แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันยังไม่ได้ทำ"

"งั้นอาอีธก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำสิฮะ ถ้าคิดกลับกันว่าอาอีธเพิ่งสามสิบมันก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะนะ"

"สิ่งที่ฉันอยากทำมันหายไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เจ้าชีวีตาย... ฉันไม่รู้จะทำอะไรต่อ แม้แต่หายใจยังคิดว่าไม่สามารถทำได้ ฉันหยิบคัตเตอร์ขึ้นมา วางมันลงบนข้อมือ ฉันจะตามคนที่ฉันรักไป แต่ว่า...เจ้าชีวีไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น เขาฉลาด...เขารู้ว่าถ้าเขายังอยู่ ฉันก็จะไม่ตาย"

อีธานมองเจ้าชีวีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้างุนงงที่มองมายังเขาทำให้อีธานนึกถึงตอนที่เจ้าชีวีอายุสักสิบสองสิบสาม ไร้เดียงสาแล้วก็น่ารัก

"ถึงจะไม่ใช่เจ้าชีวีตัวจริงที่ฉันรักและฉันก็รู้ข้อนี้ดี แต่ฉันทำไม่ได้เพียงเพราะดวงตาคู่ที่เหมือนกันนั้นมองมา"

"ถ้าไม่มีผมอาอีธก็จะตายใช่ไหมฮะ" เจ้าชีวีทุบโต๊ะไม่แรงนัก รู้สึกฉุนผู้ชายตรงหน้านิดๆ ที่พูดเหมือนหาว่าเขาเป็นคนทำให้อีกฝ่ายฆ่าตัวตายไม่สำเร็จ ทั้งที่การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด "งั้นผมจะอยู่ไปนานๆ อาอีธจะได้ไม่คิดฆ่าตัวตายอีก"

"งั้นเหรอ"

"ใช่ฮะ แม้จะคิดว่าผมเป็นตัวแทนอาเจ้าชีวีก็เถอะ"

คนแก่กว่าไม่พูดอะไรอีกนอกจากอมยิ้มแล้วตักกุ้งใส่จานข้าวให้อีกฝ่ายเป็นการตัดบท



เจ้าชีวีเพิ่งรู้ว่าอีธานลาออกจากงานที่โรงพยาบาลเมื่อตอนเกือบจะถึงวันเกิดของเขา เขาเห็นอีธานออกไปนอกบ้านบ้างอยู่บ้านบ้างก็นึกว่าแค่หยุดธรรมดา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าอีธานจะลาออกจากงานประจำที่ทำ

"พรุ่งนี้ฉันจะไปกรุงเทพ" หลังทานมื้อค่ำเสร็จและพากันมานั่งดูข่าวภาคค่ำที่โซฟาอีธานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ มือที่กำลังตักไอศครีมเข้าปากของเจ้าชีวีค้างกลางอากาศ

"ไปหาอาวีเหรอฮะ จะว่าไปก็ใกล้ครบรอบหนึ่งปีแล้วนี่เนอะ ผมไปด้วยได้ไหมฮะ"

"อยู่นี่แหละ เดี๋ยวตะวันจะมาหา"

"อาตะวันน่ะเหรอฮะ ไม่เห็นอาบอกผมเลย" หน้าหวานมุ่ยลง รู้สึกแย่นิดหน่อยที่จะไม่ได้อยู่ฉลองวันเกิดกับอีธาน และบางทีก็คงไม่ได้เจอครอบครัว

เงียบกันไปนานจนเจ้าชีวีกินไอศครีมหมดถ้วย อีธานก็พูดขึ้นอีกครั้ง "ฉันมีเรื่องอีกอย่างหนึ่งจะบอก..."

"อะไรอีกล่ะฮะ"

"จากนี้ไปอยู่ที่นี่กับตะวันนะ"

เจ้าชีวีหันมองคนพูดทันที ตอนนั้นเขาถึงรู้ว่าอีธานมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลากำลังส่งยิ้มอ่อนมาให้

"อาอีธ...จะไปไหนฮะ" อีธานถอนหายใจก่อนเสหลบตาลงมองพื้นพรม เขาดูนิ่งและเงียบไปนาน เจ้าชีวีเริ่มใจไม่ดี ร่างเล็กเบียดเข้าหาอีกฝ่าย สอดแขนเข้าท่อนแขนแข็งแรงแล้วซบใบหน้าลงกับไหล่กว้าง "อาอีธจะไม่ทิ้งผมใช่ไหมฮะ อาอีธฮะ..."



ตะวันยืนรอเพียงครู่เดียวอีธานก็เดินมาเปิดประตูให้ ร่างสูงช่วยอีกฝ่ายถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้ามาในห้อง คนผิวเข้มมองสำรวจไปรอบห้องที่เปิดเพียงโคมไฟบนโต๊ะไม้ข้างโซฟาให้แสงสลัวนวลตาจางๆ

"เจ้าชีวีล่ะ" เขาถามถึงหลานคนโปรดทันที อีธานยักไหล่ก่อนชี้ไปที่ห้องนอน

"หลับอยู่ในห้อง งอแงน่าดู"

"บอกแล้วเหรอว่าจะไปไหน"

"ยังไม่ได้บอก แค่บอกว่าจะให้มึงมาอยู่ด้วยก็ร้องแล้ว"

"แล้วจะบอกหลานกูเมื่อไหร่ มึงคงไม่ได้คิดทำแบบวีหรอกใช่ไหม"

"บางทีถ้าทำแบบนั้นอาจจะดีกว่านะ" อีธานเดินเข้าไปในครัว หยิบเบียร์ออกมาสองกระป๋อง โยนให้ตะวันกระป๋องหนึ่ง อีกอันก็เปิดให้ตัวเอง "เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าชีวีถึงหนีไปโดยไม่บอก รอโดยที่ไม่รู้อะไร รอแบบคนโง่ ยังทรมานน้อยกว่ารอโดยที่รู้ว่าเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมา"

สองหนุ่มเงียบไปพักใหญ่ ต่างคนต่างกระดกเบียร์ในมือขึ้นดื่มจนหมดกระป๋อง จมอยู่ในความคิดของตนเอง

"เจ้าชีวีเป็นเด็กน่ารัก สดใส แล้วก็ร่าเริงมากๆ ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อมยิ้มอารมณ์ดีไปทุกราย แม้แต่วี...ตอนที่ป่วยหนัก เด็กคนนั้นก็อยู่เคียงข้างมาตลอด หาเรื่องนู่นเรื่องนี่มาคุยไม่ให้คนเจ้าอารมณ์อย่างนั้นหงุดหงิด เพราะอย่างนั้นวีก็คงรู้ดีถึงได้ส่งเด็กคนนั้นมาอยู่ข้างๆ นาย ดึงนายออกจากความทุกข์แสนสาหัส"

"ยิ่งอยู่ด้วยยิ่งหงุดหงิดล่ะสิไม่ว่า เด็กอะไรวุ่นวายชะมัด พูดก็มาก" มือหนาพับกระป๋องเบียร์ก่อนโยนทิ้งบนโต๊ะ "แต่ก็ทำให้หายเหงามากพอดู"

"อดีตคืออดีต อนาคตก็คืออนาคต ครอบครัวของฉันได้เรียนรู้จากวีแล้วว่าสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วมันกลับไปแก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พอจะทำได้ในวันนี้ก็ควรทำให้ดีที่สุด"

ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีกนอกจากคำบอกให้ตะวันเข้าไปนอนพักผ่อนในห้องนอนของเขา หลังจากส่งตะวันเข้านอนแล้วอีธานก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้า หยิบบุหรี่ที่พักหลังเขาไม่ค่อยได้ลิ้มรสชาติของมันเพราะเด็กนั่นไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ขึ้นจุดสูบ

สองแขนท้าวอยู่บนขอบปูน ตาคมมองไปเบื้องหน้าไร้จุดหมาย ไม่นานแสงแรกของวันก็ปรากฏขึ้นช้าๆ จากตึกรามบ้านช่องมากมาย

อีธานสูดควันอัดลึกเข้าไปในปอดแล้วพ่นควันบุหรี่ออกจากปากเชื่องช้า ให้เหล่าควันสีเทาจางนั้นล่องลอยอยู่กลางอากาศได้นานที่สุด แสงสีทองอาบใบหน้าของเขาและเส้นผมสีบลอนด์เกิดประกายเจิดจ้า เปลือกตาหนาปิดลงเชื่องช้า สูดเอาอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าซึมซับบรรยากาศของนิวยอร์กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้อีก

คืนนี้เขาจะจากบ้านเกิดไปในที่ไกลแสนไกล และโอกาสที่จะได้กลับมาอีกนั้นช่างน้อยนิดเหลือเกิน...



ตะวันขับรถพาอีธานมาส่งที่ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ เคนเนดี้เพื่อขึ้นเครื่องไปกรุงเทพ เจ้าชีวีที่นั่งอยู่เบาะหลังเงียบมาตลอดทางหากดวงตาแดงก่ำเพราะร้องไห้ตั้งแต่ตื่น

พวกเขามาถึงสนามบินก่อนเวลาเช็คอินเกือบชั่วโมง ตะวันจึงแนะนำให้หาร้านโดนัทนั่งทานขนมเล่นฆ่าเวลา

"วี นี่โดนัทที่วีชอบไง อาซื้อมาให้เยอะเลย" ตะวันพยายามล่อหลานชายให้ยิ้มออกด้วยของโปรด แต่หลานของเขาโตเกินกว่าจะเอาของกินมาล่อได้แล้ว หากก็ยังมารยาทดีด้วยการหยิบขึ้นมากัดไปคำหนึ่งก่อนร้องไห้ต่อ "เจ้าชีวีจ๋า ร้องไห้ทำไมกันฮึ เสียใจที่อาจะมาอยู่ด้วยเหรอ อย่างนี้อาน้อยใจนะ"

"เปล่านะฮะ" พอถูกพูดใส่แบบนั้นก็รีบละล่ำละลักแก้ตัว แต่ก็ยังร้องไห้ไม่หยุด "วีดีใจที่อาตะวันจะมาอยู่กับวีด้วย แต่วีไม่อยากให้อาอีธไป"

"อีธานไม่ได้ไปไหนสักหน่อย เดี๋ยวอีธานก็กลับมาหาวีแล้วไง"

"ไม่เชื่ออ่ะ ก็อาอีธบอกว่าจากนี้ไปให้วีอยู่กับอาตะวัน"

"ก็แค่ช่วงที่อีธานมันไม่อยู่ไงครับ ไม่ร้องนะคนเก่งของอา ตาช้ำหมดแล้วเนี่ย" ตะวันหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้หลานชายสลับจ้องอีธานเขม็งที่เอาแต่นั่งดูดกาแฟเงียบๆ ไม่ช่วยเขาปลอบใจหลานเลย

นั่งกันอยู่สักพักเพื่อนกลุ่มใหญ่ของอีธานก็มาหารวมไปถึงหมอเอื้อด้วย พวกเขาพูดคุยและร่ำลากันเสียงดัง บางคนก็ร้องไห้แบบเจ้าชีวี โดยเฉพาะหมอเด็กคนนั้น จึงทำให้เจ้าชีวีรู้ว่าทุกคนรู้กันหมดว่าอีธานจะไปไหนยกเว้นเขา

ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ บางทีเจ้าชีวีคงไม่มีความสำคัญสำหรับอาอีธานเลย อีกฝ่ายจึงไม่ยอมบอกว่าจะไปไหนนอกเสียจากบอกว่าจะไปอาของเขาที่เมืองไทยเท่านั้น

"หมออีธานฮะ รักษาตัวดีๆ นะฮะ" พูดจบเอื้อก็โถมตัวเขากอดอีธานแน่นพลางร้องไห้โฮเหมือนเด็กจนคนถูกกอดต้องมาปลอบ ตะวันมองภาพนั้นแล้วมองหลานชายตัวเองที่กลั้นร้องไห้ก็สงสารสลับโมโหผู้ชายคนนั้น ยิ่งอีธานหัวเราะกับท่าทางเด็กๆ ของเอื้อแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด

ไม่ต่างจากเจ้าชีวีเท่าไหร่ เด็กหนุ่มปวดหนึบไปทั้งใจที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของอีธานเลย เขาไม่สามารถทนอยู่ตรงนี้มองภาพอีธานกับเอื้อได้อีกจึงขอตัวไปห้องน้ำ

เจ้าชีวีหลบไปร้องไห้อยู่ในห้องน้ำนานเสียจนตะวันต้องเข้ามาตาม อีกสิบนาทีอีธานก็จะเข้าไปในเกทแล้ว และคงไม่ได้เห็นหน้ากันอีก ตอนแรกเจ้าชีวีก็งอแงจะไม่ออกไป จนตะวันต้องขู่ว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าอีธานอีกแล้วเท่านั้นก็ยอมออกมา

อีธานยืนอยู่หน้าทางเข้าเกท ร่างสูงใหญ่โดดเด่นท่ามกลางผู้คนนับพันในที่แห่งนี้ และเมื่อเห็นเจ้าชีวีเดินเข้ามาในคลองสายตาก็ส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้พร้อมกับยื่นมือออกไปรอรับ

"อาอีธ..." ทันทีที่สัมผัสมือกันร่างเล็กก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น ศีรษะเล็กที่สูงเลยหัวไหล่อีกฝ่ายมาได้หน่อยซุกอยู่ตรงอกเพื่อใช้ส่วนนั้นช่วยซับน้ำตาที่ไหลออกมา "อาอีธจะไป...อาอีธจะทิ้งวีเหรอฮะ อาอีธไม่ไปได้ไหม วีไม่อยากให้อาอีธไปเลย ผมกลัวอาอีธจะไม่กลับมาหาผมอีกแล้ว"

หมอหนุ่มไม่พูดอะไร เขาใช้ฝ่ามือลูบหลังอีกฝ่ายให้หยุดร้องไห้เหมือนที่เขาเคยทำกับเจ้าชีวี เกือบห้านาทีกว่าที่เจ้าชีวีจะหยุดร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก

"ถ้าอาอีธจะไปจริงๆ บอกได้ไหมว่าจะไปไหน"

ร่างสูงผละออกจากเด็กหนุ่มเพื่อก้มใบหน้าลงให้อยู่ระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย เขาไม่ตอบคำถามนั้นแต่ถามอีกฝ่ายกลับไปว่า... "รักฉันไหม"

"รักฮะ"

"งั้นรอฉันนะ เหมือนที่เธอเคยบอกว่าจะรอ"

"ถ้าอาอีธให้รอ ผมก็จะรอ แต่อาอีธต้องกลับมาหาผม ห้ามตายก่อนผม สัญญานะฮะ" ไม่ง่ายเลยกับการปล่อยคนที่เรารักให้จากไปโดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังจะไปที่ไหนและจะกลับมาหาเราอีกไหม เจ้าชีวีต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกลั้นน้ำตา พูดประโยคเหล่านั้นออกมาด้วยความจำใจ

อีธานอมยิ้ม พวกเขาจ้องตากัน แล้วตาคมก็หรี่ลงจนปิดสนิทเพื่อกดริมฝีปากลงบนแก้มอิ่มเฉียดริมฝีปากนุ่มแทนคำสัญญา

"รอฉันนะเจ้าชีวี"


.

.

.


ทันทีที่ถึงกรุงเทพอีธานก็มุ่งหน้าสู่สุสานของบ้านเกียรติตระกูลทันที ปีนี้เป็นอีกครั้งที่ฝนตกตอนหน้าหนาว บนแผ่นป้ายศิลาเต็มไปด้วยร่องรอยน้ำ เขาใช้ฝ่ามือเปล่าปัดทั้งหมดนั้นลงไปที่พื้นเพื่อให้เห็นตัวอักษรสีทองสลักเป็นชื่อของคนที่เขารักได้ชัด

"กูมาลา ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย แต่...ถ้าไม่มาตอนนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้มาลามึงอีกเมื่อไหร่ หลานมึงน่ารักมาก มึงคิดถูกทีเดียวที่ให้เขามาอยู่กับกู เพราะเด็กคนนั้นทำให้คนอย่างกูที่ไม่เคยได้รับความรักจากใครมาก่อนได้เรียนรู้ว่าการเรียกร้องหาความรัก...บางครั้งเราก็ต้องทำถ้าเราอยากได้ความรัก มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แม้เขาจะไม่ได้รักเรา แต่ถ้าเรารักเขาและอยากได้ความรักคืน...การพูดร้องขอก็ไม่ได้น่าสมเพชเสมอไป"

อีธานหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อสามมวนวางทิ้งไว้บนป้ายหลุมศพ แล้วจุดให้ตนเองบ้าง เขาสูบจนเกือบหมดมวนก็โยนทิ้งบนแอ่งน้ำขังเปียกๆ ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มกว้าง

"กูบอกให้หลานมึงรอ กูเชื่อว่าเขาทำได้แบบที่กูเคยรอมึง แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ากูจะกลับไปหาเขาในสภาพนี้หรือสภาพแบบมึง ถ้ามึงเกิดหึงกูกับหลานมึงขึ้นมา จะไปยุพระเจ้าให้ลากคอกูไปหามึงเร็วๆ ก็ได้นะ เพราะกูก็คิดถึงมึงมากเหมือนกัน"

เขาก้มลงจูบป้ายศิลาที่เย็นเยียบเหมือนวันที่เขาจูบแก้มเจ้าชีวีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนปิดฝาโลง

"สุขสันต์วันเกิด"


.

.

.


ออฟไลน์ NiTRoGeN14

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-1
    • คอนโดแมว
เจ้าชีวีไม่รู้ว่าอีธานไปที่ไหน อยู่ ณ แห่งหนใดบนโลกใบนี้ แต่เขายังคงเฝ้ารออีกฝ่ายอยู่ที่นิวยอร์กซิตี้มาสามปีแล้ว

เมื่อวานนี้หัวใจของเจ้าชีวีเต้นแรง มีจดหมายส่งมาจากกองทัพฉบับหนึ่งกล่าวขอบคุณการปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบของแพทย์อาสาที่ชื่ออีธาน ฮวงพร้อมกับมอบเหรียญรางวัลแนบมาด้วย สองมือสั่นเทาขณะเปิดซองจดหมายอ่านข้อความ ตอนนั้นเจ้าชีวีถึงเพิ่งรู้ว่าอีธานหายไปไหนมา

"อีธานจะกลับมาแล้วนะ" ตะวันบอกหลานชายด้วยรอยยิ้ม เขารับร่างบางเกือบไม่ทันเมื่อเจ้าชีวีโถมเข้ามากอดเขาทั้งตัว

"ผม...ผมไม่รู้จะดีใจ จะโกรธ หรือว่าจะกังวลดี แต่อาอีธจะกลับมาแล้วใช่ไหมฮะ"

"ใช่"

แล้วตะวันก็เล่าให้หลานชายสุดที่รักฟังว่าอีธานหายไปไหนมาตลอดเวลาสามปี ชายหนุ่มได้ทำเรื่องขอเป็นแพทย์อาสาในสนามรบของกองทัพอเมริกันที่ตะวันออกกลางตั้งแต่กลับมานิวยอร์กซึ่งตอนนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าชีวีจะมาอยู่ด้วย เรื่องดำเนินการอยู่ในกองทัพจนอีธานเกือบลืมไปแล้ว แต่วันหนึ่งกลางเดือนตุลาคมหมายเรียกก็มา เขามีกำหนดเข้าประจำการตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไปอย่างไม่มีกำหนดจากการแจ้งจำนงค์ของเจ้าตัวเอง และตอนนี้สงครามก็ยุติลงแล้ว

อีธานเองก็กำลังจะกลับมา...

ด้วยความตื่นเต้นทำให้เจ้าชีวีสั่งอาหารรอต้อนรับอีธานมากมายทั้งที่ไม่รู้เวลากลับที่แน่ชัด และตะวันที่หมดหน้าที่แล้วก็เตรียมตัวกลับเมืองไทย เขาบอกเพียงว่าอีธานจะกลับมาวันที่ยี่สิบเจ็ด ซึ่งตรงกับวันเกิดของเจ้าชีวีพอดี

เจ้าชีวีนั่งรออีกฝ่ายบนโซฟา รอเหมือนที่ทำมาตลอดสามปีที่ผ่านมา เขารอมาได้นานขนาดนั้นแล้วให้อดทนรออีกหน่อยเขาทำได้ แต่รอจนแล้วจนเล่าประตูก็ไม่เปิดออกเสียที เด็กหนุ่มเริ่มใจเสีย หรือบางทีอีธานไม่อยากกลับมาที่นี่แล้วและทิ้งเขาไป



ริมฝีปากหนางับบุหรี่ไว้หมิ่นๆ เขาล้วงมืออีกข้างควานหาไฟแช็คกับกุญแจห้องในกระเป๋ากางเกง พอเจอไฟแช็คก็จุดบุหรี่พ่นควันสักอึกก่อนไขกุญแจ

ห้องไม่ได้มืดสนิทเสียทีเดียว แสงไฟจากด้านนอกพอให้เห็นเงาสลัวๆ อยู่บ้าง หลังกดเปิดสวิตท์ไฟไม่นานทั้งห้องก็พลันสว่าง อีธานกะว่าจะหยิบเบียร์มาจิบระหว่างแช่น้ำร้อนหวังให้แอลกอฮอล์ฉีดเข้าเส้นเลือดจะได้หลับสบาย หากยังไม่ทันได้เดินไปถึงครัว สายตาคมกลับหยุดอยู่ที่โซฟา

ใบหน้าขาวหวานที่คุ้นเคยกำลังหลับตาพริ้ม ริมฝีปากหยักแดงจัดหุบสนิท ผมสีบลอนด์สว่างตัดซอยล้อมใบหน้าให้ยิ่งดูอ่อนหวานน่ามอง ร่างผอมบางนอนขดตัวอยู่บนโซฟาเหมือนลูกแมว

ทั้งหมดมันทำให้อีธานนึกถึงวันนั้นที่เขากลับบ้านมาแล้วเจอร่างแบบบางนอนรอเขาอยู่อย่างนี้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่มีคนรอเขาอยู่อีกครั้ง

อีธานย่างเท้าเข้าไปใกล้โซฟา เขาอยากรู้ว่านี่มันเรื่องจริงหรือว่าเขาเพียงแค่ฝันไป บางทีเขาอาจจะเมารถจนตาพร่าก็ได้ เด็กคนนั้นจะรอเขาได้ถึงสามปีเชียวหรือ

ปลายนิ้วแตะผิวแก้มใส มันอุ่นนุ่มเหมือนมีชีวิตอยู่จริง ก่อนลากลงมาถึงริมฝีปากแดงอิ่ม สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ที่บอกว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิต

"เจ้าชีวี..." เขาลองส่งเสียงเรียก ไม่นานเปลือกตาขาวก็ขยับยุกยิกก่อนเปิดออกทีละน้อย เขามีท่าทีตกใจนิดหน่อยที่เห็นอีธานอยู่ตรงหน้าก่อนลุกขึ้นนั่งพรวดพราดเมื่อเห็นว่านิ้วของอีธานแตะอยู่ที่ปากตนเอง

"อาอีธานกลับมาแล้วเหรอฮะ" เสียงทุ้มทักด้วยความตกใจ เขากัดฟันด้วยความประหม่าพลางทำจมูกฟุดฟิดเมื่อเห็นอีธานจ้องตนไม่วางตา

อีธานนิ่งไปพักใหญ่ก่อนได้สติเมื่อร่างนั้นโถมเข้ากอดเขาเต็มๆ แล้วร้องไห้พร้อมกับแสงแรกของวันที่สาดส่องเข้ามาในห้อง เสียงร้องไห้และบ่นงึมงำกับซอกคอเขาทำให้คุณหมออมยิ้ม เขาฟังคำต่อว่ายาวเหยียดของคนอ่อนวัยกว่าอย่างไม่มีแย้ง



Come morning light
You and I'll be safe and sound



จากที่ตอนแรกอีธานกะว่าจะนอนแช่น้ำร้อนจิบเบียร์ เขาก็ต้องพับความคิดนั้นไปหลังจากที่เจ้าชีวีชวนเขาคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อยทดแทนส่วนที่หายไปถึงสามปี แม้เขาจะเพลียจากการเดินทางไกลข้ามทวีปติดต่อกัน แต่เพียงได้เห็นรอยยิ้มสดใสราวพระอาทิตย์แรกก็ไม่นึกง่วงอีก

อีธานบอกเด็กหนุ่มว่าเขาแวะไปหาเจ้าชีวีที่สุสานมาก่อน ถึงค่อยบินกลับมานิวยอร์ก เวลาเลยอาจคลาดเคลื่อนจากที่ตะวันบอกไว้เล็กน้อย

"ผมคิดว่าอาอีธจะไม่กลับมาหาผมแล้ว"

"ก็เธอบอกจะรอ ฉันก็เลยกลับมา"

"ผมรักอาอีธ" เจ้าชีวีกอดแขนแกร่งที่ดูคล้ำลงไปมากด้วยความหวงแหน "อาอีธไม่ต้องรักผมตอบก็ได้ ขอให้ผมได้รักอาอีธก็พอ"

หมอหนุ่มกลั้วหัวเราะเสียงดัง เขาลูบเรือนผมสีอ่อนที่เจ้าตัวไปกัดมา ผิดกับเขาที่กลายเป็นหัวดำไปแล้ว มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเป้ควานหาของบางอย่างจนเจอ อีธานยื่นกล่องสีเหลี่ยมไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

"อะไรฮะ"

"ของขวัญวันเกิดย้อนหลังหนึ่งวัน" เจ้าชีวีรับกล่องสีฟ้ามาถือไว้ เขาค่อยๆ เปิดฝากล่องออกด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ "รักษามันไว้ให้ดีนะ"

หยาดน้ำใสไหลอาบแก้มขาว ไม่ได้เพราะเสียใจแต่เพราะดีใจมากที่สุดในชีวิต หัวใจที่อีธานให้มา เขาสัญญาว่าจะรักษามันไว้ให้ดี



คืนนั้นอีธานฝันถึงเจ้าชีวีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่เจ้าชีวีตาย พวกเขานั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างตรงที่ชอบมานั่งสูบบุหรี่กันบ่อยๆ แล้วเจ้าชีวีก็ยิ้มกว้างสดใสท่าทางมีความสุขมากเหมือนเมื่อวันที่พวกเขาแต่งงานกัน อีธานจำได้คร่าวๆ ว่าพวกเขาคุยกันเยอะมาก ทั้งเรื่องที่ไม่เคยได้พูดและเรื่องที่อยากจะพูดมาตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่อีธานจำได้แม่นยำหลังจากตื่นนอนในเช้าวันถัดมาด้วยแสงอาทิตย์เหลืองอ่อนจากหน้าต่างห้องนอนคือรอยยิ้มกว้างจนตากลมหยีลงของเจ้าชีวี

เจ้าชีวีเอื้อมมือมาแตะที่หลังมือของอีธาน ใช้หัวแม่มือลูบบนนั้นเบาๆ "ชีวิตกูแม่งโคตรเหี้ย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้กูไม่เสียดายที่เกิดมาแม้จะต้องเจ็บปวดก็คือการได้เจอกับคนอย่างมึง ได้รักมึงและมีคนอย่างมึงมารัก"

ใบหน้าอ่อนเยาว์แย้มรอยยิ้มขึ้นช้าๆ นัยน์ตากลมโตจ้องมองคนรักจนเห็นเพียงเงาสะท้อนของกันและกัน

"ฉันรักนาย ลาก่อนฮวง ซิ่นฉี"



อีธานตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของเจ้าชีวีในฝัน เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ก็เอื้อมมือเปิดลิ้นชักข้างหัวนอน หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา

เป็นเวลาสี่ปีนับตั้งแต่ได้จดหมายฉบับนี้ แต่อีธานไม่เคยมีความกล้าพอจะเปิดมันอ่าน เขากลัวว่าสิ่งที่เจ้าชีวีจะเขียนลงไปในนั้นคือการบอกว่าไม่รักเขา เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาคือสิ่งหลอกลวง และการที่เจ้าชีวีฆ่าตัวตายนั่นเป็นเพราะไม่มีใครรัก

จดหมายฉบับนั้นถูกเขียนด้วยลายมือน่ารักเรียบร้อยเป็นภาษาอังกฤษ แตกต่างจากลายมือของเขาอย่างสิ้นเชิง กระดาษตีเส้นขนาดเอสี่ถูกดินสอวาดกรอบให้มีลวดลายไม่จืดชืด ไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือจดหมายลาตายที่เขียนโดยคนคิดสั้น

'ถึง ฮวง ซิ่นฉี คุณสามีสุดที่รัก

นานเท่าไหร่แล้วนะที่ฉันไม่ได้เรียกนายด้วยคำสุภาพๆ เอาล่ะ ก่อนที่ฉันจะจากโลกนี้ไปฉันจะขอเรียกนายด้วยคำสุภาพเหมือนเมื่อเราเจอกันครั้งแรกก็แล้วกัน

เป็นเวลานานหลายปีที่เราได้รู้จักกัน แน่นอนล่ะมันคือช่วงเวลาที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเฮงซวยของฉัน

ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงดีกับความรู้สึกที่มีให้คุณสามี เราอาจจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยความสงสารก็ได้ แต่ความรักที่เรามีให้กันนั้นมันคือเรื่องจริง ฉันรู้สึกได้เลยล่ะ

โอเค เราแต่งงานกัน แลกแหวนกัน เราจดทะเบียนกัน แล้วเราก็อยู่เป็นครอบครัวกันจริงๆ จังๆ ได้อีกเกือบเดือน แล้วฉันก็หนีนายมา มันไม่ใช่ว่าฉันไม่รักนายนะ แต่ฉันรักสามีของฉันมากเกินไปต่างหาก หลังจากที่เราแต่งงานกันอาการของฉันมันก็หนักขึ้น ฉันกลัวว่าวันหนึ่งนายจะรู้แล้วนายจะเป็นห่วงจนฉันจนประสาทเสีย ก็เลยตัดสินใจ...ทำอะไรน้ำเน่าๆ แบบในละครที่เคยดูตอนนายไปทำงาน มันก็แค่นั้นแหละ...

ฉันกลับมาอยู่ที่บ้าน ฉันได้ยินเสียงนายร้องไห้ด้วย มันทรมานและยากมากเลยกับการที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ออกไปหานาย ยิ่งนายเสียใจมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากเท่านั้น แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็คิดว่ามันดีกว่าที่ฉันจะทนทรมานกับอาการป่วยที่ไม่มีวันหายคนเดียว แม้นายอยากจะบอกฉันด้วยคำพูดเท่ๆ ว่า 'เราเป็นคนรักกัน เราก็ตองแบ่งปันความเจ็บปวดนี้ไปด้วยกันสิ' แต่ขอโทษนะ สำหรับฉันแล้ว...สิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือการเห็นคนที่ฉันรักต้องเสียใจล่ะ และตอนที่นายจะเสียใจจริงๆ ก็คือตัวที่ฉันตายไปแล้วและฉันก็ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดของนายอีก ฉันมันเห็นแก่ตัวที่สุดใช่ไหมล่ะ

ที่บ้านฉันได้เจอกับหลานชายของฉันอีกครั้ง มันน่าประหลาดใจมากเลยที่เขามีหน้าตาเหมือนฉันทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อ! โอเค ตอนแรกฉันก็โมโหนะ แต่พอคิดอะไรบางอย่างได้ฉันว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดี มีเด็กคนนี้อยู่ก็เหมือนฉันยังอยู่ นายคงทำใจฆ่าตายตามฉันมาไม่ได้หรอกถ้ายังเห็นคนหน้าเหมือนฉันวนเวียนอยู่บนโลกใบนี้ ฉันนี่มันฉลาดที่สุด!

ฉันคิดถึงนายเหลือเกิน ตะวันบอกฉันตลอดว่านายยังคงรอฉันอยู่ที่เดิม หลายครั้งที่ต้องหักห้ามใจไม่ให้กลับไปหานาย ถึงตอนนี้ที่ฉันตัดสินใจกำลังจะตาย ฉันก็ยังคิดถึงนายอยู่ และการที่ฉันตัดสินใจจะไปมันไม่ใช่อะไรเพราะฉันทนความทรมานเหล่านี้ไม่ไหวแล้วทั้งอาการเจ็บป่วยกับร่างกายแสนอ่อนแอ และโรคซึมเศร้าที่เป็น ฉันสู้จากไปด้วยฝีมือตัวเองดีกว่าจะให้อะไรมากำหนด ก็ชีวิตฉันทั้งชีวิต...ฉันเลือกเองมาตลอดยกเว้นตอนจะเกิดนี่นา ชื่อฉํนก็บอกอยู่แล้วนี่นเอะว่าเป็นเจ้าชีวิตตัวเอง

ขอโทษนะที่ทำให้เสียใจ แต่สำหรับฉันแล้วทุกอย่างที่ทำไปแม้จะเสียใจอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดนั้น ฉันดีใจด้วยซ้ำที่ทำมันลงไป แค่ได้รักนาย สามีของฉัน ฉันก็ไม่เสียใจอะไรอีกแล้วล่ะ

ลาก่อนนะฮวง ซิ่นฉีสุดที่รักคนดีของฉัน แล้วเราจะเจอกันบนท้องฟ้า

รักมึงเสมอ
เจ้าชีวี'

อีธานพับจดหมายเก็บไว้ในลิ้นชักตามเดิม เขาหัวเราะอีกครั้งกับความบ้าของคนรัก มือหนาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าลวกๆ เขาเองก็อยากบอกเจ้าชีวีเหมือนกันว่าไม่เคยเสียใจเลยที่ได้เกิดมารักกัน

ฉันไม่ต้องการอะไร เป็นอย่างนี้มันก็ดีเท่าไหร่
มันมีค่ายิ่งกว่าสิ่งไหน เมื่อเธอและฉันสองคนรักกัน

ฉันไม่เสียดายอะไรแล้ว มีแค่นี้เป็นอย่างที่ต้องการ
แค่เธอกับฉันดีต่อกันทุกวัน แค่เพียงเท่านั้นมันก็พอแล้ว

เราได้รักคนที่เรารัก ได้เรียนรู้ในชีวิตช่วงหนึ่ง
การได้รักใครแค่เพียงครั้งหนึ่ง ก็คงจะคุ้มที่เกิดมาแล้ว

พรุ่งนี้อาจไม่มีฉัน พรุ่งนี้อาจไม่มีเรา
พรุ่งนี้ไม่มีใครรู้ ถ้าสักวันต้องแตกร้าว
อยากบอกว่าฉันคงไม่เสียใจ*
*พรุ่งนี้อาจไม่มีฉัน - ปาล์มมี่

แต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่เขาควรให้ความสำคัญมากกว่า สิ่งนั้นคือปัจจุบันที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มข้างๆ เขา ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังหลับตาพริ้มราวตกอยู่ในห้วงวิมานอันแสนหวาน

ร่างสูงผ่อนกายลงบนเตียงอีกครั้ง แขนยาวคว้าเอวบางคนด้านรั้งให้สองกายได้เบียดแนบชิดกัน แลกเปลี่ยนไออุ่นแห่งชีวิตกันอย่างนี้และตลอดไป



END

จบแล้วค่า
ตอนสุดท้ายยาวเกินจนต้องแบ่งเป็นสี่ทู้เลย TTATT
ขอบคุณที่อ่านและอินกับตัวละครในเรื่องนะคะ
ส่วนเรื่องที่ยังแต่งไม่จบจะรีบเคลียร์ตัวเองมาต่อให้จบให้ได้ค่า

ขอบคุณค่ะ ^^

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
เจ้าชีวีช่างคิดจริงๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เจ้าชีวีคนแรกฉลาดและชอบคิดอะไรแปลก
เจ้าชีวีอีกคนก็น่ารัก เข้มแข็ง ไม่แปลกที่อีธานจะตกหลุมรักอีกครั้ง  :katai2-1:
ขอบคุณคนเขียนที่เขียนจนจบนะคะ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เราประทับใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ hibarihao

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ขอบคุณค่า

ออฟไลน์ zizits

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ซึ้งมากเลย บรรยายเป็นคำพูดไม่ออก นับถือคนแต่งมาก
ตอนแรกคิดว่าจะจบตอนที่วีตายซะอีก ดีใจจังที่วีมีหลายมาดามใจอีธนะะ
เป็นนิยายที่เรียลดี ชีวิตจริงไม่มีอะไรสวยงามเสมอไป ขอบคุณสำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ

ออฟไลน์ 28016

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนอ่านจบนี่อเรียบเรียงคำพูดไม่ถูกเลยค่ะ
สองพาร์ทแรกเราอ่านแบบหน่วงๆหนักๆ มาถึงพาร์ทสุดท้ายเท่านั้นล่ะก๊อกแตก 555
อ่านไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้าเลย :hao5:
เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ประทับใจเรามากๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ไม่ได้ก๊อกแตกกับนิยายมานานแล้ว :hao7:
ปล.ตอนเย็นเปิดอ่านมานิดนึงเกือบร้องไห้กลางกวดวิชา สุดท้ายเลยตัดใจทนความค้างมาอ่านที่บ้านแทน ฟฟฟ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ  :hao5:
ยังดีที่จบแฮปปี้ ไม่งั้นคืนนี้คงนอนไม่หลับ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วอยากจะร้องก็ร้องไม่ออก มันจุกมาก
ลุ้นตลอดเลยว่าจะเป็นยังไงต่อ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องนี้ ขอเก็บเป็นเรื่องสั้นในดวงใจเลยค่ะ

ออฟไลน์ janehh

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
น้ำตาหมดไปเป็นลิตร
ท่วมจอเลยค่ะ  :hao5:
ร้องแล้วร้องอีกอ่ะ ฮือออออออออออ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆ ให้อ่านค่ะ  :L2:

ออฟไลน์ Baztile

  • GO OUT IN JOY
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
อ่านไปฟังเพลงThe fault in our stars ของ Troye Sivan พอถึงกลางๆเรื่องแล้วน้ำตาจะไหลให้ได้ รู้สึกว่าเจ้าชีวีเข้มแข็งมากสำหรับคนที่เจออะไรแบบนั้น ถึงจะฆ่าตัวตายแต่ไม่รู้สึกว่าเป็นการตายของคนอ่อนแอเลยค่ะ

ชอบหลายๆเหตุการณ์ในเรื่องมากอย่างตอนแต่งงาน เหมือนถูกทำให้อินกับรักของสองคนนี้แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ แต่สุดท้ายอีธานก็ได้มีความสุขกับเจ้าชีวีคนหลาน นึกว่าจะตามเจ้าชีวีไปซะแล้ว

ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้นดีๆเรื่องนี้นะคะ ประทับใจมากจริงๆ

ออฟไลน์ Lilyrum

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-2
เป็นเรื่องสั้นที่งดงามมากๆเลยค่ะ ทำเรานอนน้ำตาไหลตั้งแต่เช้าเลย

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ชอบความรักของสองคนนี้มากเลย จะเป็นนิยายอีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำเราค่ะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แบบนี้อาจจะดีที่สุดก็เป็นได้
เจ้าชีวีคนเก่า ชีวิตออกไปทางดาร์คและเศร้ามาก ๆ เหมือนไม่คุ้นชินกับความสุข
เลยพลอยทำให้คนรอบข้างสุขไม่สุดซักคน
เจ้าชีวีคนหลาน น่าจะนำแสงสว่างและความสุขกลับคืนมาให้กับหลาย ๆ คน
ต่อไปก็ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเสียที เศร้ามามากแล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด