02 Lieผมกลับมาบริษัทอีกครั้งหลังจากตรวจงานเสร็จก็หลังเวลาเลิกไปพอสมควร เก็บรถเข้าที่จอดก่อนขึ้นไปหยิบกุญแจรถส่วนตัวที่วางทิ้งไว้ในเก๊ะตอนออกมา ลานจอดค่อนข้างโล่งและเงียบ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นเย็นวันศุกร์ วันสังสรรค์ของทุกคนหลังจากที่อดรนทนทำงานมาตลอด 5 วันที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์แบบคนอื่น เลิกงานก็เก็บของกลับไปทำที่บ้าน ไม่ใช่เพราะรักงานหรือภักดีกับบริษัทถวายหัว เพียงแต่ว่าคิดไม่ออกว่าถ้าไม่ทำงานแล้วจะกลับไปทำอะไร
ชั้น 12 ของแผนกยังคงเงียบเหงาเหมือนด้านล่าง ไฟถูกปิดจนเกือบหมดเหลือไว้ก็แต่ห้องกระจกที่อยู่ห่างออกไปจากประตูทางเข้าเท่านั้นที่ยังสว่างโร่ ผมเปิดสวิตซ์ใกล้มือก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะโดยพยายามไม่มองเข้าไปว่าหัวหน้าใหม่กำลังทำอะไรอยู่ เก็บกระดาษม้วน ๆ ใส่กระบอกกับกวาดเครื่องเขียนที่วางระเกะระกะลงกระเป๋าสัมภาระได้ค่อยหยิบกุญแจรถออกมา รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเดินถอยหลังออกจากพาทิชั่นแล้วชนกับสิ่งมีชีวิตอีกอย่างที่ยืนเท้าแขนอยู่ตั้งแต่ต้น
“คุณ...”
“เอางานกลับไปทำบ้านเหรอ”
“ครับ” ผมตอบเสียงเรียบ หลบตาลงต่ำ ไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้คุณมิ่งฟ้าถามในฐานะเจ้านาย หรือในฐานะคนรักเก่ากันแน่
“พักผ่อนบ้างเถอะ พวกพี่ ๆ เขาเม้าท์กันว่ามึงจะแต่งกับงานอยู่รอมร่อ” สรรพนามที่ดูเป็นกันเองทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าอีกฝ่าย แววตาขบขันนิด ๆ รับกันพอดีกับริมฝีปากที่กดยิ้มเผยให้เห็นรอยบุ๋มที่แก้มจาง ๆ ก่อนเลิกคิ้วสูงขึ้น “มีนัดหรือยังเย็นนี้”
“ยังครับ”
“อยู่กันสองคนเลิกพูดอะไรที่มันน่าอึดอัดสักทีได้ไหม ครับเคริบอะไรของมึง เมื่อก่อนยังเรียกไอ้เหี้ยเฟยไม่ขาดปาก”
“ผมเกรงว่าจะไม่เหมาะ” ตอนนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว อย่างน้อยก็ฐานะที่ผมกับมันยืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิม “ผมขอตัว...”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ในฐานะหัวหน้าใหม่สั่งให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนได้หรือเปล่า”
ผมขบฟันขณะมองหน้าที่จงใจทำเป็นกวนประสาทของคู่สนทนา คุณมิ่งฟ้ายกมือขึ้นแคะเล็บทำทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่อยากจะใช้เวลาร่วมด้วยสักเท่าไร
“ผมติดธุระ”
“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าวันนี้ไม่มีนัด เผื่อลืม”
“คุณมิ่งฟ้า!”
“เอาน่าวายุ กินข้าวกับหัวหน้าตัวเองไม่ได้น่าเบื่อเท่าไรหรอกมั้ง” หัวหน้าจงใจเน้นชื่อจริงของผมในน้ำเสียง ดวงตารีเล็กมองล้อ มีประกายแวววับไม่น่าไว้ใจในแบบของมัน ก่อนจะได้เถียงอะไร มือใหญ่ก็คว้ากระบอกพลาสติกใส่งานที่พาดอยู่บนบ่าผมไปก่อน เขาผิวปากเดินนำด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่วายตะโกนย้อนหลังกลับมาว่า “ให้คุณเลือกร้านนะ ไปรถคุณ อย่าลืมปิดสวิตซ์ไฟให้หมดด้วย ผมจะลงไปรอข้างล่าง”
ร้านอาหารริมน้ำเลียบทางด่วนเป็นสถานที่ที่ถูกเลือกโดยแน่นอนว่าไม่ใช่ผม และก็ไม่ใช่ด้วยรถของผมอย่างที่เจ้านายตัวดีบอกตอนอยู่ออฟฟิศเลยสักนิด หลังจากลงมาด้านล่าง ประตูทางออกก็มีเล็กซัสสีดำติดเครื่องรออยู่ พอสารถีกดกระจกลงเท่านั้นผมก็โมโหปึงปังเดินขึ้นมาด้วยความจำยอม เสนอร้านอาหารใกล้ ๆ ที่สะดวกจะกลับได้ง่าย ๆ แต่ที่ได้รับกลับเป็นรอยยิ้มเย็น ๆ ของชายหนุ่มหน้าสวยเท่านั้น
สุดท้ายก็มาลงตรงละติจูดที่อยู่ห่างกับบริษัทคนละโยด
ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้หลังจากสั่งอาหารเย็นไปแบบถล่มทลายด้วยความหิว หิวนั่นเป็นส่วนหนึ่ง ที่มากกว่านั้นคือหงุดหงิดที่อีกฝ่ายยังคงทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแม้ว่าผมจะแสดงออกมาชัดเจนว่าไม่พอใจแล้วก็ตาม
ไอ้เหี้ยเฟยแม่งเป็นอย่างนี้แหละ เช้า สาย บ่าย เย็น ถึงโดนด่าได้ตลอดทั้งวี่ทั้งวันแล้วก็มาบอกว่าผมขี้โวยวาย ไม่เคยดูสิ่งที่ตัวเองทำเลยสักนิด
“ไวน์ของที่นี่อร่อยนะ ไม่เอาสักหน่อยเหรอ”
“ไม่ล่ะครับ เกรงใจ” ผมตอบปัด ๆ ขณะที่อีกฝ่ายพับเมนูบอกบริกรว่าพอแค่นี้ก่อน เสียงดนตรีสดจากนักร้องพิเศษดังคลอมากับเสียงน้ำตกเล็ก ๆ กลางร้าน ผมวางมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ เบือนสายตาชมการตบแต่งที่ถือว่าใช้ได้ทีเดียวเพื่อหลบการเผชิญหน้าโดยตรงในบรรยากาศชวนอึดอัดเช่นนี้
“นึกว่าซิ่วไปเรียนคณะอื่น”
“เปล่าครับ ผมชอบงานสายนี้”
“เห็นแล้วล่ะว่าชอบ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ยกแก้วไวน์แดงที่สั่งมาดมก่อนดื่ม “ที่พี่ทิพย์บรีพงานวันนี้ก็เอาแต่ชมนายไม่ขาดปาก”
“ยังมีอีกหลายส่วนที่ผมยังทำได้ไม่ดีครับ อย่างเรื่องนำเสนอให้ถูกใจลูกค้า บ่ายวันอังคารมีนัดคุยดับคุณปกรณ์ยังไม่แน่ใจเลยว่าแบบจะต้องแก้อีกหรือเปล่า”
“เป็นรัฐมนตรีนี่เนอะ เรื่องเยอะหน่อยล่ะ”
“ครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่ดุลจะไปด้วย ทางนั้นก็จะเกรงใจในระดับหนึ่ง เป็นเด็กทำงานพวกนี้ก็มีปัญหาแบบนี้ล่ะครับ ท่านไม่ค่อยเชื่อมือ”
“เหรอ” เฟยพูดราวไม่ใส่ใจ ยกแก้วขึ้นดื่มต่อ “บ่ายวันอังคารใช่ไหม เดี๋ยวผมไปด้วยก็แล้วกัน จะได้ถือว่ามาเรียนงานด้วยเลย”
ผมพยักหน้า ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน “แล้วทำไมถึงมาทำงานที่นี่ล่ะครับ”
“อากงสั่ง” มิ่งฟ้าตอบเสียงเรียบ ซึ่งฟังดูไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิด ถ้าคิดย้อนกลับไปแล้วแสบ ๆ อย่างมันก็มีแต่อากงเท่านั้นที่ปราบอยู่ ไม่ว่าป๊า หรือม้าก็ดูกำราบลูกชายเจ้าเล่ห์แสนกลคนเดียวไม่ได้สักที
“ที่จริงจะให้มาช่วยงานคุณประทินตั้งแต่ตอนที่กลับมาจากอังกฤษแล้ว”
“ผมก็ว่างั้น คุณควรไปลงสายบริหารมากกว่า เป็นหัวหน้าฝ่ายได้ช่วยงานก็จริงแต่ยังไงที่นี่ก็บริษัทของอากงคุณ คุณควรได้ดูภาพรวมใหญ่ ๆ”
ชายหนุ่มหน้าสวยวางคางบนฝ่ามือ หรี่ตามองผมแล้วยักยิ้มอีกครั้ง “ยังเจ้ากี้เจ้าการคิดว่าคนอื่นควรทำอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนเดิมเลยนะ”
“ไม่เหมือน!” ผมเถียงคอเป็นเอ็น ก่อนอ้อมแอ้มตอบเมื่อเผลอตัวใช้น้ำเสียงที่แข็งเกินไป “ผมแค่พูดตามความจริงที่มันควรจะ...น่าจะเป็น”
“ผมไม่ชอบงานบริหาร น่าเบื่อ มีแต่คนประจบสอพลอ เอางานคนอื่นมาเดินแทนขา เลยยื่นข้อเสนอว่าจะทำงานในสายงานที่ตัวเองจบเท่านั้น ไม่บรรจุให้ตำแหน่งสถาปนิกก็ไม่ทำ เสียดายความรู้จะตายชัก อุตส่าห์แอบไปสอบชิงทุนป.โทมาแท้ ๆ”
“AAน่ะเหรอครับ” คู่สนทนาพยักหน้า ขณะที่อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
“พอจะรู้เรื่องของผมเหมือนกันเหรอ”
“ได้ยินมาจากพี่ ๆ ที่แผนกน่ะครับ”
“นินทาเจ้านาย” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มิ่งฟ้ากลับไม่มีทีท่าจริงจังในน้ำเสียง ยังคงเป็นคนสบาย ๆ เหมือนเดิมเมื่ออยู่นอกเวลางาน “จับหักเงินเดือนให้หมดดีไหม”
“โอ้โฮ งานถล่มทลายขนาดนั้นยังจะมีกะจิตกะใจหักเงินเดือนลูกน้อง”
“ถ้าอย่างนั้นจะละเว้นไว้แล้วกัน” เขาพูดพลางตักข้าวในโถให้ ไม่ได้สบตาแต่กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นสนุก “ถือว่าเพราะคุณขอ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องหักเงินเดือนตั้งแต่แรกแล้วครับ ไม่ต้องทำเป็นพูดดี” เห็นท่าทางไม่จริงจังจากอีกฝ่ายแล้วก็อดห่วงแผนกไม่ได้ ไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วคนตรงหน้ายังเป็นไอ้เหี้ยเฟยที่ลอยไปลอยมาหรือกลายเป็นคุณมิ่งฟ้าที่จริงจังกับงานไปแล้วจริง ๆ “โตแล้วนะครับ จะทำเป็นเล่น ๆ ไปเสียทุกเรื่องแบบเมื่อก่อนไม่ได้ เป็นถึงหัวหน้าฝ่ายแล้วด้วย”
“จำได้ด้วยนี่ว่าเมื่อก่อนเป็นยังไง แต่จะว่าไปผมก็เหมือนเดิมจริง ๆ นั่นแหละ” คุณมิ่งฟ้าในคราบของไอ้เหี้ยเฟยโคลงหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ แบบที่ตัวเองถนัด“แต่ไม่รู้ว่าคนแถวนี้จะยังเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า”
“ทานข้าวเถอะครับ”
ผมตัดบทเพราะไม่อยากพูดถึง อันที่จริงถ้าเป็นตัวเองกับมันในตอนนั้นคงไม่ได้นั่งคุยกันด้วยท่าทีสบาย ๆ อย่างนี้แน่ ไม่โกรธกันแล้วหรือไง หรือว่ามองผมเป็นแค่เด็กในสต๊อกมันคนอื่น ๆ ถึงได้ไม่คิดจะใส่ใจนัก จะพูดก็พูดเถอะ...ผมไม่ค่อยชอบท่าทางเหมือนกับว่าเราจบกันด้วยดีอย่างในตอนนี้สักเท่าไร กระนั้นก็ไม่กล้าจะเอ่ยออกมาตรง ๆ ว่ามันคิดอะไรอยู่ ผมไม่กล้าตีความหมาย ไม่กล้าบอกว่าเป็นคนที่รู้จักมันดีกว่าใคร ที่จริงแล้วลึก ๆ ก็ยอมรับตั้งแต่วันที่เดินจากมาแล้วว่าผมเองเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนั้น ยอมรับสภาพแม้จะถูกเกลียดกันมากแค่ไหนก็ตาม
“ไม่คิดจะพูดถึงเรื่องเมื่อก่อนสักหน่อยหรือ”
น้ำเสียงนั้นเรียบเฉยและเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ผมรู้ว่ากำลังถูกจับจ้องด้วยแววตาคมกริบราวกับจะเชือดเฉือน แต่ว่ามันก็คงไม่มีประโยชน์ถ้าจะต้องรื้อฟื้นถึงสิ่งที่มันไม่มีทางย้อนกลับ
“ไม่มีอะไรต้องพูดนี่ครับ”
“ตี๋...มึงรู้ว่ามึงทำกูผิดหวังมากแค่ไหน กูให้โอกาสมึงอีกครั้ง แค่ครั้งนี้...พูดความจริงกับกูได้ไหม”
“ผมลืมมันไปหมดแล้วล่ะครับ” ผมโกหก และสาเหตุที่ต้องโกหกเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายผิดหวังในตัวผมมากแค่ไหน ไอ้เฟยเป็นคนเจ้าชู้ และธรรมชาติของคนเจ้าชู้จะขี้หึงไปด้วย นานเหลือเกินกว่าจะทำให้มันเชื่อใจ ยากเหลือเกินที่จะทำให้มันหยุดแค่กับผมได้ แต่สุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ทำพัง
ถ้าแบบนั้นแล้ว...ผมจะมีหน้ากลับไปแก้ตัวกับมันอีกครั้งได้ยังไง
“อาหารเย็นหมดแล้ว ทานเถอะครับ”
ผมเหลือบตามองข้อนส้มในมืออีกฝ่าย มันถูกกำจนแน่นแต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกมาจากกรอบปากสวยได้รูป ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงอาละวาดกันร้านพังไปบ้าง อย่างน้อย...ในวันนี้ก็ได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนไปในตัวอีกฝ่าย
ซึ่งช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่แสนเศร้าสำหรับผมเหลือเกิน
“ถ้าลำบากใจก็จะไม่ถามอีกแล้วกัน เรื่องวันนี้ก็คิดเสียว่ามาทานข้าวกับเพื่อนเก่า คนละคนกับคุณมิ่งฟ้าหัวหน้าฝ่ายคนใหม่”
ในที่สุดผมก็เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย เฟยยิ้มนิด ๆ แต่ดวงตากลับสงบนิ่งไม่ฉายแวว เขาตักของโปรดของผมใส่จานก่อนก้มหน้าลงจัดการกับอาหารของตัวเองต่อ “งงอะไรล่ะ...ยังไงเราก็ต้องร่วมงานในฐานะพนักงานบริษัทเดียวกันอยู่ดี ผมไม่อยากเป็นหัวหน้าจอมเซ้าซี้หรอกนะ ยกเว้นก็แต่คุณจะลาออกไปทำงานที่อื่น”
“คงยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอกครับ”
“งั้นก็ดี” มิ่งฟ้ากล่าวพลางไหวไหล่ “ไม่งั้นผมมีหวังเละแหง ๆ เข้ามาไม่ทันไรมือดีของบริษัทก็ชิ่งเปลี่ยนงานก่อนใครเพื่อน”
“ผมแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออก” จงใจพูดกระทบกระเทียบให้อีกฝ่ายระลึกได้แท้ ๆ แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมาอย่างไม่ทุกข์ร้อนของหัวหน้ากลับทำให้ผมจุกไปทั้งอก
“คงไม่ต้องแล้วล่ะ หลังจากมื้อนี้คงไม่มีเรื่องส่วนตัวระหว่างคุณกับผมให้ลำบากใจกันอีก”
ทั้ง ๆ ที่ นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี...
แต่ทำไมผมถึงกลับรู้สึกร้อนขึ้นมาที่กระบอกตาได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาแปลนบ้านพักตากอากาศของคุณปกรณ์เดินหน้าไปไม่เท่าไร ส่วนหนึ่งเพราะยากเหลือเกินที่ผมจะพยายามทำใจให้จรดจ่อกับงานตรงหน้าได้เกินสิบนาที คำพูดสั้น ๆ ที่ฟังดูควรจะยินดีที่ไม่ต้องอึดอัดกันอีกกลับทำให้ผมว้าวุ่น แม้จะเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมานานแล้วแต่กลับนึกถึงวันที่เคยมีอีกฝ่ายคลอเคลียอยู่ไม่ห่างขึ้นมาดื้อ ๆ
กาแฟดำเจ้าประจำใต้สำนักงานถูกยกดื่มขึ้นอีกครั้ง แก้วพลาสติกสำหรับใส่เครื่องดื่มร้อนดีไซน์จืดชืดเป็นสิ่งที่ถูกล้างแล้ววางไว้เต็มใต้โต๊ะทำงานรก ๆ ของผม วันดีคืนดีจะเอาไปบริจาคให้บริษัททำขยะรีไซเคิลย่านสมุทรปราการ เห็นทีวันนี้คงได้วัตถุดิบอีกโข
“กี่แก้วแล้ววะไอ้วิน” พี่วิชิตเลื่อนเก้าอี้ออกจากพาทิชั่นมามองผมแล้วถามด้วยความเป็นห่วง ผมยกนิ้วชูเป็นตัววีแสดงคำตอบก่อนยกแก้วกาแฟขึ้นซดอีกครั้ง
“นี่เพิ่งสิบโมง มึงแดกไปแล้วสองแก้ว ถามจริง เมื่อคืนทำอะไร”
“ทำงานคุณปกรณ์นี่ล่ะครับ คิดไม่ออกว่าจะเพิ่มอะไรให้ท่านพอใจ”
“ครั้งที่แล้วติงเรื่องอะไรมาล่ะ”
“อยากเพิ่มที่จอดรถครับ แต่จะขยายสวนหน้าบ้านด้วย ตรงสระน้ำนั่นก็เล็กไป”
“โอ้โฮ พื้นที่ใช่ว่าใหญ่สักสิบเอเคอร์”
“ลองหมุนแปลนดูน่าจะพอได้อยู่ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้อีกหรือเปล่า” พูดแล้วเครียด พอคิดได้ก็ต้องมาร่างแบบไปคุยใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อ “ถ้ารอบนี้ไม่ผ่านผมยกให้พี่ชิตดูต่อเลยนะ”
“เฮ้ย ข้าติดงานคุณเกวลินอยู่ว่ะ เอ็งนั่นแหละ ทำ ๆ ไปเถอะ” คู่สนทนาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วยื่นลูกอมให้ “เมียซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น ลูกอมรสนม ผลิตจากเกลือธรรมชาติ ลองกินดูสิ คลายเครียดดี”
“ขอบคุณครับ” ผมรับมาแล้วแกะห่อทันที รสชาติหวานจ๋อยคนละเรื่องกับกาแฟที่หมดไปเมื่อกี้ลิบลับ
“ข้าว่าไม่ไหวก็นอนพักก่อนเถอะว่ะ เช้านี้คุณมิ่งฟ้าไม่เข้า หรือถ้าเข้าเดี๋ยวจะรีบปลุก” รอบนี้พี่ชิตเอ่ยด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ ไม่ได้หยอกเล่นเหมือนที่ผ่านมา ผมถอนหายใจยาวเหยียดมองกระดาษผืนใหญ่ตรงหน้าแล้วก้มลงเอาหัวโขกโต๊ะ
“ผมเบื่อว่ะพี่”
“เออน่า นอนพักไปก่อน พรุ่งนี้ไปคุยใช่ไหม เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปกินหมูกระทะด้วยกันสิ คลายเครียด”
ผมพยักหน้ารับก่อนถอนหายใจซ้ำอีกครั้ง เอียงคอมองรุ่นพี่พุงพลุ้ยที่ยืดตัวออกมาจากพาทิชั่นเพื่อมองผมแล้วยกมือชูขึ้นมาห้านิ้ว “ขอผมนอนห้านาทีนะ พี่ชิตปลุกด้วย”
“เออ ได้ งีบไปเหอะ”
เสียที่ไหนล่ะ!ผมตื่นมาอีกครั้งเพราะมีคนมายืนเคาะพาทิชั่น และคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ไอ้พี่วิชิตที่รับปากผมเมื่อห้านาทีก่อน ไม่ใช่สิ...ผมไมได้หลับไปห้านาทีด้วยซ้ำ แต่นับ ๆ ดูแล้วมันเป็นเวลาสองชั่วโมงกว่าเลยต่างหาก เพราะพอหันกลับไปมองคนอื่น ๆ ในแผนกก็พบแต่เพียงความว่างเปล่ากับนาฬิกาแขวนที่บอกว่าถึงเวลาพักกลางวันแล้วเท่านั้น
“หลับทั้ง ๆ ที่แก้วกาแฟก็อยู่บนโต๊ะน่ะเหรอ คุณนี่มันสุดยอดจริง ๆ”
“ขอโทษครับ พอดีเมื่อคืนนั่งทำงานดึกไปหน่อย” ผมอ้อมแอ้มตอบทั้งที่ไม่จริง ทำงานดึกนั่นเป็นผลจากการที่นอนไม่หลับอีกทีตลอดสองวันที่ผ่านมาต่างหาก ส่วนถ้าสืบไปถึงสาเหตุหลักอีกทีก็หนีไม่พ้นคนที่ยืนจังก้าสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวตรงหน้านี้ล่ะ
“ก็บอกให้พักผ่อนบ้าง มีลูกน้องขยันก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าตายก่อนงานเสร็จผมก็ซวยเหมือนกันนะ”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมพูดพลางถอนใจ “ทำงานก็สนุกดี”
“สนุกจนไม่หลับไม่นอน เชื่อเขาเลย แล้วนี่ก็ยังไม่ทานข้าวกลางวันสินะ”
ก็เห็นอยู่ว่าคนเพิ่งตื่นยังจะมาถามอะไรประสาท ๆ อยู่ได้ ผมรับคำในลำคอแล้วเก็บแก้วกาแฟพลาสติกอันใหม่ซ้อนกับอันเก่าที่ยังไม่ได้ล้าง “ไปกินด้วยกันสิ ผมแวะเอาเสื้อสูทมาไว้ที่ห้องเฉย ๆ”
“ไม่บอกให้พี่ทิพย์ซื้อขึ้นมาล่ะครับ”
“ป่านนี้ของในแคนทีนหมดแล้วล่ะมั้ง ออกไปหาอะไรกินข้างนอกเถอะ จะได้คุยเรื่องงานของคุณปกรณ์ด้วย”
ผมเหลือบตามองแผ่นกระดาษที่ถูกวางทับด้วยกล่องใส่ดินสอแล้วพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลุกขึ้นหยิบกระบอกใส่แบบเพื่อจะพกสมบัติชิ้นสำคัญไปด้วยแต่กลับถูกค้านจากอีกฝ่าย “เอาแค่สมุดโน้ตไปก็พอ คุณจดงานใส่ในนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ผมไม่อยากให้คุณไปกางแผ่นกระดาษเทอะทะกลางร้านอาหารหรอกนะ เจอกันที่เดิม ผมจะลงไปเตรียมรถก่อน”
พูดจบหัวหน้าฝ่ายก็เดินออกไปที่หน้าลิฟต์ ทิ้งผมให้จมจ่อมกับความคิดอยู่พักใหญ่
มาไม้ไหนล่ะทีนี้...
หรือบางที อาจจะไม่มีอะไรอย่างที่คิดก็ได้
“ผมลองปรับตรงนี้เพิ่มจากของเก่าอีกหน่อย เพิ่มสวนไปตรงมุมของสระว่ายน้ำ ท่านอาจจะชอบที่มันมีสีเขียวเยอะ ๆ ตามที่บอกไว้ว่าอยากได้สวนเพิ่ม”
“มีต้นไม้ติดสระน้ำแล้วมันดูแลยาก ยิ่งเป็นบ้านพักตากอากาศที่นาน ๆ ไปทีเด็กที่บ้านคงไม่ใส่ใจเท่าไร ผมว่าตรงสระนี่ทำเหมือนเดิม แล้วเพิ่มพวกรูปปั้นที่ดูประหลาด ๆ ลงไปไม่ดีกว่าเหรอ”
“รูปปั้น?”
“คุณไม่รู้อะไร คนรวยเขาอยากได้ความโก้เก๋ที่อ่านไม่ออกเท่านั้นล่ะ ยิ่งคนไม่เคยรวยแล้วมารวยฟ้าผ่าอย่างท่านรัฐมนตรีเนี่ย ทำให้มันดูอลังการเว่อวังไปเถอะ เดี๋ยวก็พอใจ”
“มุมนี้เหรอครับ” ผมเงยหน้าขึ้นถาม วงแบบแปลนคร่าว ๆ ที่สเกตซ์ใส่สมุดโน้ตไว้ด้วยดินสอ “ใช่ หาข้อมูลเรื่องรูปปั้นที่มันดูเวอร์ ๆ ไปด้วยล่ะ พริ้นแบบแนบไปให้ท่านดูพรุ่งนี้เลย”
ผมพยักหน้า ขณะที่อีกฝ่ายยกน้ำดื่มขึ้นจิบ ภายในห้องอาหารที่แยกออกมาจากด้านนอกมีเพียงผมกับชายหนุ่มหน้าสวยที่วาดแขนด้านหนึ่งไปบนโต๊ะกว้าง จานอาหารหลักถูกบริกรยกไปเก็บแล้ว เหลือก็แต่ของหวานที่สั่งมาวางไว้พอเป็นพิธี เสียงเพลงที่เปิดคลอกับแอร์เย็น ๆ ทำให้หัวผมโล่งมากกว่าอยู่ในออฟฟิศพอสมควร อีกส่วนอาจเป็นเพราะสีหน้าจริงจังกับงานของหัวหน้าฝ่ายที่ดูจะมีความสุขเมื่อได้จับงานที่ตัวเองถนัดขึ้นมา
“เหมือนคุณจะสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าค่อนข้างน้อยนะ ถ้าไม่ถนัดเรื่องเข้าหาคนอื่นก็น่าจะศึกษาจากอินเตอร์เน็ต คุณปกรณ์ไม่ใช่โนเนมที่ไหน ถ้าตามข่าวหน่อยจะรู้ว่าเขาชอบอะไรพรรค์นี้ งานสถาปนิกก็งานบริการ คุณต้องหัดเอาใจลูกค้าให้เป็น ไม่ใช่ว่าเก่งอย่างเดียว” มิ่งฟ้าพูดพลางดึงดินสอออกไปจากมือผม ก้มหน้าลงมาเขียนอะไรบางอย่างบนสมุด
“ตรงทางเดินนี่ก็เพิ่มลูกเล่นอะไรสักหน่อยก็ดี แต่ไม่ต้องรกมาก”
“ครับ” ผมรับคำพลางเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่าย แก้มขาวของไอ้เฟยสีคล้ำลงกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด แต่หน้ายังใสเหมือนเดิม ผมเส้นหนาสีดำสนิทที่ร่วงลงมาจากยางมัดผมถูกทัดขึ้นเหนือหู กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เป็นกลิ่นกายเฉพาะตัวในแบบของผู้ชายยังคงคุ้นจมูกผมแม้ว่าจะเจือด้วยกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ มาด้วยก็ตาม
“พรุ่งนี้ผมจะช่วยพูดให้ ถือโอกาสแนะนำตัวกับคุณปกรณ์ไปด้วยเลย”
“ครับ”
“มีอะไรสงสัยอีกหรือไง”
ผมส่ายหน้า เหยียดตัวเกร็งเมื่ออีกฝ่ายผินหน้ามาสบตาในระยะใกล้ “ไม่มีครับ”
“แล้วมองผมทำไม”ริมฝีปากบนและล่างบดกันอย่างหาคำตอบไม่ได้ ไอ้เฟยมีเซนส์ด้านนี้ ใครมองมันอยู่รู้ตัวตลอดแต่เป็นผมเองที่หักห้ามมันไม่ได้ ผมเบือนสายตาหนี แม้ลมหายใจอีกฝ่ายจะเป่ารดอยู่ตรงหน้าก็ตาม
“คิดมากเรื่องที่ผมพูดวันนั้นเหรอ”
“เปล่าครับ”
“คุณปิดบังเก่งนะ แต่โกหกไม่เป็น ผมเคยบอกแล้วนี่” ประโยคนั้นเคยได้ยินตอนที่ทะเลาะกันในช่วงแรก ๆ ผมพยักหน้ารับแต่ก็ยังไม่สบตา “คิดว่าผมจะยอมถอยง่าย ๆ เหรอ”
ประโยคนั้นดึงดูดสายตาผมให้ยอมหันมาสบอีกฝ่ายด้วยสภาวะจำยอม ริมฝีปากรีสวยยกขึ้นในมุมที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยเล่ห์กล ดวงตารีเล็กที่จับจ้องมายังคงฉายแววของอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถตีความออกไม่ว่าจะเป็นในเชิงบวกหรือลบ ก่อนมือใหญ่จะยกขึ้นยีหัวผมเบา ๆ
“ทำไมถึงเป็นคนที่คิดมากได้ขนาดนี้นะ”
ผมเอนตัวหลบจากสัมผัสแล้วพับสมุดลง ในใจลึก ๆ ยังเข่นเขี้ยวเหมือนเคยด้วยประโยคที่ว่า
'กูคิดมากไปหรือมึงไม่คิดเลยกันแน่'TBC
พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้ดราม่าค่ะ TvT จะค่อย ๆ เฉลยไปนะว่าเรื่องที่วินหรือตี๋ของคุณมิ่งฟ้าๆม่อยากพูดถึงคืออะไร แต่งไปแต่งมาแอบรู้สึกเหมือนรักเร่นิด ๆ แหละ (โฮรวว) แต่ไม่ต้องห่วง ธีมเรื่องนี้ไม่ใช่โลเลแน่นอนค่ะ กร๊ากกก
ทั้งนี้ ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม สัก 5 - 6 ตอนน่าจะพ้นช่วงขมุกขมัวไปแล้ว (นี่ผ่านมาตอนที่สองแล้วนะตัวเอง) เอาเป็นว่าค่อย ๆ ตามกันไปเนอะ
ไว้เจอกันวันพุธค่ะ แต่พุธหน้าไม่มานะ(แหะ ๆ) ติดภารกิจนิดโหน่ย แต่เดี๋ยวสัปดาห์นี้จะต่อพี่ธันน้องปอเป็นการชดเชย เจอกันอีกทีต้นเดือนตุลานะคะ 
ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่าา