ตัวเองกำลังทำร้ายพี่อยู่หรือเปล่า? (1)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ตัวเองกำลังทำร้ายพี่อยู่หรือเปล่า? (1)  (อ่าน 3027 ครั้ง)

natakorn

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องมันยาวไปสักหน่อยนะครับ เพราะอยากให้ทราบรายละเอียดของเส้นทางรักที่ดำเนินไปไม่ถึงฝัน

             เรื่องมันมีอยู่ว่า ราวกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ลงข้อความหาเพื่อนทางเน็ต และได้ทิ้งไลน์ไอดีไว้เพื่อให้คนที่อยากคุยแอดเข้ามา  โดยเจตนารมณ์ที่แท้จริงก็คือ อยากมีคนคุยด้วย เพราะผมเป็นคนต่างจังหวัด หลังจากเรียนจบก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ไม่รู้จักใครเลย ญาติ พี่ น้อง เพื่อน ฝูง ก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด ที่ทำงานก็มีแต่พี่ๆ รู้จักกันก็ผิวเผิน ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรเพราะวัยค่อนข้างต่างกัน  มันก็เลยเหงา อยากรู้จักใครสักคนเอาไว้เป็นเพื่อนกายเพื่อนใจ หรือเป็นคนรัก ไว้คอยช่วยเหลือดูแลกันในยามจำเป็น  ที่จริงผมก็เข้าใจแหละครับว่า การหาเพื่อนหรือหาแฟนในเน็ตนั้นมันเป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากมากที่เราจะเจอคนจริงใจสักคน แต่ด้วยโอกาสและข้อจำกัดหลายอย่าง ผมจึงเลือกทางนี้ ด้วยความเชื่อว่าความบริสุทธิ์ใจที่ผมมีจะช่วยให้ได้พบเจอคนดีๆ สักคน

             หลังจากทิ้งข้อความและไลน์ไอดีไว้ ปรากฏว่าไม่นานก็มีคนส่งคุกกี้รันมาให้กันยกใหญ่  ไม่มีใครเข้ามาคุยตามเจตนารมณ์ที่ผมได้ระบุไว้เลย  ผ่านไปเข้าวันที่สามคุกกี้รันยังถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง จนผมนึกย้อนกลับไปว่า ไม่น่าไปโพสไว้เลย แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นราวสี่ทุ่มของวันนั้น  มีบุรุษหน้าตาเรียบร้อยท่านหนึ่งส่งสติ๊กเกอร์มาทักทายผม ผมก็ทักทายกลับไป สอบถามชื่อเสียงเรียงนาม และข้อมูลพื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนเพิ่งรู้จักกัน  และหลังจากนั้นเราก็คุยผ่านไลน์กันมาเรื่อยๆ สิ่งที่คุยกันส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้น การสอบถามเรื่องราวส่วนตัวของกันและกัน หลังจากคุยไลน์กันสามวันผ่านไป ข้อมูลที่ผมรู้เกี่ยวกับตัวเขาคร่าวๆ ก็คือชื่อเล่น (ต่อไปผมจะเรียกว่าพี่ชอ) อายุเขาแก่กว่าผมราว 6 ปี เป็นคนภูมิภาคเดียวกับผม จบโทจากอังกฤษ  ปัจจุบันทำงานอยู่บริษัทเอกชนข้ามชาตินำเข้าสารเคมีแถวเอกมัย และพักอยู่แถวรามคำแหง หัวหมาก

             เข้าสู่วันที่ 4 พี่ชอเริ่มมีความประสงค์อยากเจอตัวเป็นๆ ของผม ผมเองก็อยากเจอเขา เพราะเข้าใจว่าเจตนาทั้งของสองฝ่ายคืออยากรู้จักกันเป็นมากกว่าเพื่อน ผมตอบตกลง เพราะจะได้รู้ว่าหลังจากได้เจอตัวจริงกันแล้ว ทั้งเราและเขาจะโอเคมั้ยถ้าจะคบกันเป็นคนรัก  หรือถ้าไม่โอเคก็จะได้แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ละคน จะได้ไม่ต้องเสียเวลา  เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน เราตกลงเจอกันที่อนุสาวรีย์ชัยฯ  เขาบอกว่าจะขับรถมารอผมที่นั่น และไปหาข้าวเย็นกินกัน  หลังจากตกลงเรื่องสถานที่กันแล้ว เราก็แลกเบอร์ไว้ติดต่อกัน เพราะผมไม่ได้ใช้เน็ตมือถือ หากไม่มี wifi ที่ทำงานหรือที่หอพักก็จะใช้เน็ตทางมือถือไม่ได้ สรุปว่าหลักเลิกงานผมตรงไปอนุสาวรีย์ชัยฯ และเราก็ได้เจอกันเป็นครั้งแรก หลังจากทักทายกันเล็กน้อย เขาก็ขับรถพาผมไปแถวหอที่ผมพัก เราเลือกที่นั่งกินข้าวในร้านข้างทางแห่งหนึ่ง ผมก็สั่งข้าวกับกับข้าวมากิน แต่เขาบอกว่าเขาไปกินข้าวเย็น เลยขอนั่งกินเบียร์กับกับข้าวอย่างเดียว ระหว่างกินข้าวเราก็คุยกันตามปกติ เขาถามผมว่าเจอเขาแล้วเป็นไงบ้าง ผมก็พูดตามความรู้สึกว่า ก็โอเคครับ! น่ารักดี ดูเป็นผู้ใหญ่  ดูอบอุ่น เขาก็บอกว่า งั้นขอจีบผมได้มั้ย? ตอนนั้นผมไม่ตอบครับ เพราะคิดว่าอยากรู้จักนิสัยกันก่อน อยากให้เขาเห็นนิสัยใจคอผมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะจีบผมมั้ย ผมเลยเลี่ยงๆ บอกไปว่า ผมโอเคที่จะคุยกับเขาต่อ และอยากให้ได้เรียนรู้กันมากกว่านี้ก่อน เอาเป็นว่าให้เขาใจเย็นๆ แล้วค่อยๆ เรียนรู้กันไป
 
             หลังจากผมพูดแล้วท่าทีเขาก็โอเคนะครับ แถมยังเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของเขาให้ผมฟังว่า ตลอดชีวิตของเขา เขามีแฟนแค่คนเดียว คบกันมา 5 ปี แต่ก็เลิกกันไปได้ประมาณปีนึงแล้ว สาเหตุที่เลิกกัน เพราะแฟนเขาไปเรียนต่อที่อังกฤษ มหาวิทยาลัยเดียวกับที่เขาเคยไปเรียน  และด้วยเหตุที่อยู่ห่างไกลกัน ทั้งเขาและแฟนจึงตกลงเลิกกัน และจากกันด้วยดี และหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาก็ “ไม่เคยมีใครเลย” และ “ไม่เคยมีอะไรกับใครเลย” จนมาเจอผม แถมยังเอารูปแฟนเขาที่ถ่ายไว้ในมือถือมาให้ผมดู หน้าตาดีใช้ได้ครับ ซึ่งตอนนั้นผมก็ได้แต่นั่งรับฟัง เออออไปตามมารยาทครับ แต่เขาก็ให้ผมเล่าเรื่องแฟนเก่าของผมให้เขาฟังเหมือนกัน ผมก็บอกไปตามความจริงแหละครับ ว่าคบกันมาได้ปีนึงก็เลิกกัน เพราะอยู่ๆ เขาก็เงียบหายไป โทรไปก็ไม่รับ โทรกลับก็ไม่โทร จากที่เคยเป็นห่วงเป็นใย เอาใจใส่ดูแลกันก็ไม่มี  พอรับรู้ได้และมั่นใจว่าเขาหมดรักผมแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจแยกตัวออกมา ที่จริงตอนนั้นผมเองก็คิดอยู่อย่างนึงครับว่า เขาบอกว่าเลิกกับแฟนเพราะห่างกัน แล้วถ้าแฟนเขาเรียนจบกลับมา แล้วเขาจะไม่กลับไปหาแฟนเก่าเขาหรือ? แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรอก แค่คิดเล่นๆ เฉยๆ

             หลังจากกินข้าวเสร็จ เขาก็ขับรถไปส่งผมที่หอ ผมก็ถามเขาว่าจะขึ้นไปบนห้องมั้ย เขาตกลงครับ ผมก็พาเขาขึ้นไป ก็ไม่มีอะไรครับ นั่งคุย นั่งดูทีวีกันตามปกติ จนเขาจะกลับ เขาก็ดึงผมไปกอด แล้วก็พยายามจะไซร้ แต่ผมปฏิเสธ บอกว่าเราพึงเจอกัน ขอเวลาหน่อยเอาไว้เรารู้จักกันมากกว่านี้  ไม่อยากให้เขามองว่าผมง่าย แต่ใจก็กลัวว่าพอได้แล้วหายไปนั่นแหละครับ เขาก็ยอมนะครับ บอกว่าอยากนอนค้างที่ห้องผม แต่กลัวจะอดใจไม่ไหว เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรกับใครเลย จึงมีแรงขับอยู่เยอะ เกินจะต้านไหว

             หลังจากเขากลับไปคืนนั้น วันต่อๆ มาเราก็คุยกันปกติครับ ได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของเขา ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เรื่องอะไรที่เขาได้เจอมาในชีวิต ก็จะเล่าให้ผมฟัง ซึ่งผมเองก็เล่าให้เขาฟังบ้าง แต่ก็เล่าความจริงนะครับ เพราะดูจากคำพูด และกิริยาท่าทางแล้ว คิดว่าเขาน่าจะจริงจังกับเรา แต่เรื่องนึงที่เขามักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ก็คือ เรื่องแฟนเก่า (สมมุติว่าชื่อกอ) ซึ่งผมก็มองโลกในแง่ดีหรือคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่า ที่เขาพูดถึงบ่อยๆ อาจเป็นเพราะ เขาอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจ คือมีอะไรก็บอกตรงๆ บอกหมด ไม่ได้ปิดบังให้ผมต้องมาระแวงสงสัย

             หลังจากที่เราเจอกันครั้งแรก ก็ไม่ได้เจอกันประมาณหนึ่งสัปดาห์  เพราะต่างคนต่างทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา จนกระทั่งวันศุกร์ ซึ่งจะได้หยุดงานในวันถัดไปและวันอาทิตย์  ตอนนั้นเราคุยไลน์กับปกติครับ จนถึงประมาณเที่ยงคืนเกือบตีหนึ่ง เขาก็บอกว่าอยากมาหาผม ผมก็บอกก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เขาบอกว่าเขากลัว กลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้ และถ้ามีอะไรกัน กลัวว่าผมจะโกรธ มาถึงตอนนี้ ยอมรับว่าผมเองก็กลัวเขาจะจากไป เพราะเริ่มรู้สึกดีกับเขา คิดถึง และอยากเจอเขาเหมือนกัน ผมเลยบอกว่าไม่ต้องกลัว ถ้ามันเกิดอะไรขึ้น ก็ถือว่าเขาไม่ผิด เพราะผมเป็นคนชวนให้เขามาเอง สรุปว่าเขาก็มาครับ มาถึงหอผมก็เกือบตีสอง คุยกันเล็กน้อยก็ปิดไฟนอน...เมื่อฟืนใกล้ไฟมันก็ไหลไปตามอารมณ์

             ตอนเช้าเราตื่นกันเกือบแปดโมง เขาบอกว่าอยากพาผมไปไหว้พระที่อยุธยา ก็เลยพากันอาบน้ำแต่งตัว และขับรถไปอยุธยากันครับ วันนั้นอากาศร้อนมาก แต่ผมรู้สึกมีความสุขตลอดเส้นทาง สุขเพราะได้อยู่ใกล้เขา ได้ไหว้พระ ได้นั่งกินข้าวกับเขา ได้เดินข้างเขา และเขาเองก็เอาใจใส่ผมดีมาก ไม่มีท่าทีใดๆ แสดงให้ผมเห็นว่าเขาจะมาหลอกผมหรือไม่คิดจริงจังกับผมเลย หลังจากไหว้พระทำบุญกันได้ 4 วัด ราวบ่ายสองก็กลับกรุงเทพฯ เขาก็ขึ้นมานอนอยู่ในห้องผมจนถึงค่ำ แล้วก็กลับคอนโดเขาไป

             วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์  ที่จริงผมชวนเขาไปดูหนังเรื่องนึง แต่เขาบอกว่าเขาไปดูกับเพื่อนที่ทำงานมาแล้ว และมีนัดตีแบดกับเพื่อนจนถึงเย็น ผมเลยบอกว่างั้นตอนเย็นจะไปรอที่สนามกีฬา อยากไปกินข้าวด้วย เขาก็โอเคครับ บอกให้ผมไปรอเขาที่บิ๊กซีรามคำแหง เพราะเขาขอกลับไปเปลี่ยนชุดที่คอนโดก่อน  ไม่นานเขาก็มาหาผม แล้วก็ไปกินข้าวกัน เขาบอกว่า สามทุ่มต้องไปรับลุงที่ดอนเมือง เลยจะแวะส่งผมด้วย แต่เขาไม่ได้เอารถออกมา ต้องกลับไปเอารถที่คอนโด ซึ่งก็อยู่ตรงข้ามบิ๊กซี เข้าซอยไปไม่ไกลครับ หลังจากกินข้าวเสร็จเขาก็พาผมไปที่คอนโด พาขึ้นไปบนห้อง เขาสูบบุหรี่หมดไปมวนนึง ก็ชวนผมลงมา เพราะต้องรีบไปรับลุง แล้วเขาก็มาส่งผมที่หอตามปกติ

             มาถึงตอนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเขาก็เป็นปกติดีทุกอย่าง ระหว่างที่เราอยู่ด้วยกันนับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ โทรศัพท์ของเขาไม่มีไลน์เข้า ไม่มีสายเข้าให้ผมได้สงสัยเลยว่าเขาคุยกับใคร มีแต่ผมที่คุยไลน์กับเพื่อนอยู่บ่อยๆ และเขาก็แซวผมตลอดว่า แอบคุยกับกิ๊กหรอ? ผมก็บอกว่า เพื่อน เพื่อน เพื่อน และเพื่อน ซึ่งก็เพื่อนจริงๆ ครับ เขาเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างดี เล่าเรื่องราวของครอบครัว เพื่อน ชีวิต การทำงาน และแฟนเก่าให้ผมฟังอยู่ตลอด ทำให้ผมเชื่อใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาคิดจริงจังกับผมจริงๆ เขาถามผมอยู่ตลอดว่าคิดยังไงกับเขา ผมก็บอกว่า ผมรู้สึกดีกับเขามากขึ้น อยากอยู่ด้วย อยากคบหากันไปนานๆ แต่ผมก็ไม่เคยถามเขานะครับ ว่าเขารู้สึกยังไงกับผม แค่ถามว่า ทำไมถึงมาชอบผม เขาก็บอกว่า ผมเป็นคนเรียบร้อย พูดจาดี และเป็นคนภาคเดียวกับเขา ส่วนเวลาไปกินข้าวกัน ผมก็ไม่เคยเอาเปรียบเขานะ  ผมจะเสนอเงื่อนไขให้สลับกันจ่าย ครั้งนี้เขาเลี้ยง ครั้งต่อไปผมจะเลี้ยงเขา แม้จะรู้ว่าเงินเดือนเขาหลักแสน แต่ผมก็ไม่อยากให้เขามองว่า ผมมาชอบเขาเพราะตัวเงิน (ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ) แต่ชอบเพราะเขาคือคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น  ปลอดภัย เขามีความเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล เป็นคนเก่ง และคิดว่าเขาน่าจะจริงใจกับผม แม้รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณเขาจะไม่ได้หล่อเท่ห์สมาร์ท ขาวตี๋อะไรมากมาย แต่สำหรับผมการอยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี มีความสุข ก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เรารักใครสักคน

             หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ เขาก็บอกว่าเขาจะกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดราว 10 วัน ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงสงกรานต์ แต่ผมไม่ได้กลับ เพราะคนเดินทางเยอะไม่อยากกลับ เขาเดินทางในเช้าวันที่ 9 เมษายน คืนนั้นเขามานอนที่ห้องผม เพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากดอนเมืองมาก ราวตีสี่ครึ่งผมก็ตื่นมาส่งเขาขึ้นแท็กซี่ไปดอนเมือง และช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 9 - 17 เมษายน ที่เขากลับบ้าน เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ครับ แต่ผมก็ไลน์ไปถามข่าวคราวเขาทุกวัน เขาก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง บางครั้งอยากได้ยินเสียงผมก็โทรไป แต่ก็คุยกันไม่นาน เพราะเขาบอกว่าอยู่กับเพื่อนกับครอบครัว ซึ่งตอนนั้นก็แอบน้อยใจนะครับ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่กับครอบครัว คงไม่อยากให้คนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงสงสัยว่าคุยกับใคร เพราะเขาก็ไม่ได้เปิดตัวว่าเขาเป็นเกย์
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2014 17:15:33 โดย natakorn »

natakorn

  • บุคคลทั่วไป
                  สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติหลังจากเขากลับมากรุงเทพฯ ในวันที่ 17 เมษายน เกือบเดือนแล้วที่เราได้คุยกัน ผมเริ่มมีความหวังมากขึ้น ว่าความรักครั้งนี้จะไม่ล้มเหลวเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ส่วนหนึ่งก็มีเผื่อใจไว้ ด้วยเหตุผลที่เขามีพร้อมทุกอย่าง ฐานะการงานมั่นคง มีรถขับ มีคอนโด รายได้สูง ต่างจากผมที่เทียบอะไรกับเขาไม่ได้สักอย่าง  โอกาสที่เขาจะเจอคนที่ดีกว่าหรือใช่กว่ามันก็มีเยอะแยะ และถ้าเป็นแบบนั้นผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ ผมคิดแบบนี้ตลอด และจากบทเรียนความรักที่เคยผ่านมา มันทำให้ผมกลัวการจากลามากที่สุด ผมเลยต้องเผื่อใจไว้บ้าง เพราะหากผิดหวังก็จะไม่ได้เจ็บมากเหมือนที่เคยเป็น

               เช้าวันเสาร์เขาพาผมไปดูสถานที่สอบบรรจุรับราชการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต เพราะผมสมัครสอบข้าราชการไว้ และจะต้องไปสอบในวันอาทิตย์ หลังออกจากธรรมศาสตร์ เขาก็พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่รังสิตและพาผมกลับมาส่งที่หอ มาถึงตอนนี้ทุกอย่างยังคงเป็นปกติและดูท่าว่าจะดำเนินไปด้วยดี

              ผ่านมาเดือนนึง เขาพูดถึงเรื่องแฟนเก่าน้อยลง จนถึงวันพุธที่ 23 เมษายน ผมถามเขาว่าวันเกิด (วันที่ 28 เมษายน) จะไปไหน เขาบอกว่าปกติไม่ได้ไปไหน บางปีก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าวันเกิด เพราะเขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับมันมากมาย ยังขอบใจผมด้วยซ้ำที่จำวันเกิดเขาได้ ผมจึงชวนเขาไปทำบุญครับ แต่เพราะวันเกิดเขาตรงกับวันจันทร์ ซึ่งต้องทำงาน เลยนัดกันวันอาทิตย์แทน โดยผมเสนอว่า ไปวัดเทพลีลา เพราะใกล้กับคอนโดเขา เขาก็ตอบตกลงเป็นอย่างดีครับ

              จนกระทั่งเข้าวันพฤหัสบดีเหตุการณ์ยังเป็นปกติ  วันศุกร์ก็ยังคงปกติเรื่อยมาจนกระทั่งราวสี่ทุ่ม ทางกรมที่ผมไปสมัครสอบไว้ประกาศผลสอบ ปรากฏว่าผมสอบผ่านข้อเขียน ได้เข้าสอบสัมภาษณ์ครับ ตอนนั้นดีใจมาก เลยไลน์ไปบอกเขา แต่เขาก็ไม่ได้อ่าน มาขึ้นว่าอ่านอีกทีเกือบตีหนึ่ง เขาก็ส่งสติ๊กเกอร์แสดงความยินดีมาให้ผม ผมถามเขาว่าเพิ่งกลับถึงห้องหรอ เขาก็ไม่อ่านครับ ผมเลยคิดว่าเขาคงหลับไปแล้ว จนกระทั่งถึงเช้าวันเสาร์ ผมเปิดไลน์ดูเขาก็ยังไม่อ่าน ส่งไลน์ไปทักทายก็ไม่อ่าน ตอนนั้นเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยโทรไปหาครับปรากฏว่าเรียกแต่ไม่มีคนรับสาย แต่ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร คิดว่ายังไม่ตื่นหรือไม่ก็ไปออกกำลังกายตามปกติของเขา ราวเที่ยงๆ ผมออกไปสวนจตุจักร เพื่อไปเลือกซื้อของขวัญวันเกิดให้เขา ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปให้เขาสักองค์ เลยไปเดินเลือกอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะได้ กลับมาซื้อกระดาษห่อของขวัญ กลับถึงห้องก็ค่ำพอดี นั่งบรรจงห่อของขวัญให้อย่างดีครับ เปิดไลน์ดูก็ไร้วี่แววว่าเขาจะอ่านและตอบกลับ  โทรกลับก็ไม่โทร ตอนนั้นเริ่มกังวลครับ กลัวว่าเขาจะเป็นอะไร จะประสบอุบัติเหตุอะไรรึเปล่า แต่ก็ยังไม่ได้ลุกลี้ลุกลนอะไรมากมาย

              จนกระทั่งถึงวันอาทิตย์ วันที่นัดกันจะไปทำบุญ เขายังคงเงียบหาย  ไลน์ที่ส่งไปยังไม่ได้อ่านเหมือนเดิม ผมรอจนกระทั่งแปดโมง ก็โทรไปที่เบอร์เขา 2 ครั้ง เหมือนเดิมครับเรียกแต่ไม่มีคนรับ ราวสิบเอ็ดโมงโทรไปอีกทีปรากฏว่าเรียกครั้งนึง แล้วสายมันก็ตัดเป็นสายไม่ว่าง โทรไปซ้ำก็เป็นเหมือนเดิมตลอด มาถึงตอนนั้นผมเริ่มกระวนกระวายใจมาก คิดอยู่อย่างเดียวว่าเขาประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า หรือเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆ ก็เงียบหายไปติดต่ออะไรไม่ได้มันผิดปกติมากๆ  ที่สำคัญ คือ ผมยอมรับว่า ตัวผมแย่มากที่จำชื่อจริงและนามสกุลเขาไม่ได้ ทั้งที่เขาเคยบอกผมครั้งนึง เฟซบุ๊ค อีเมลล์ เบอร์ที่คอนโด เบอร์ที่ทำงานของเขาผมก็ไม่มี ตอนนั้นอยากจะไปหาที่คอนโด แต่ก็จำเลขห้องกับจำชั้นที่เขาอยู่ไม่ได้ พยายามโทรหาเขาแต่ก็ติดต่อไม่ได้ทุกครั้ง ด้วยความเป็นห่วง วันนั้นตอนบ่ายก็เลยนั่งรถไปที่คอนโดเขาครับ  ใจจริงคืออยากขึ้นไปหาที่ห้องแต่อย่างที่บอกครับจำชั้นกับเลขห้องไม่ได้ จำได้แค่ว่าคอนโดนี้ และห้องเขาอยู่ประมาณช่วงไหน ก็เลยไม่กล้าขึ้นไป จึงไปดูที่ลานจอดรถแทนว่ามีรถเขาหรือเปล่า ปรากฏว่าไม่เห็นรถเขาจอดอยู่ ผมเลยตัดสินใจกลับห้อง

              พอถึงห้อง ผมพยายามหาเบอร์คอนโดที่เขาอยู่ในอินเทอร์เน็ต ก็ได้มาครับ แต่พอโทรไปก็บอกเขาไม่ได้ว่าจะให้ต่อสายไปห้องไหนหรือติดต่อคุณอะไร บอกแค่ชื่อเล่นไปเขาก็ไม่รู้จัก อีกอย่างผมก็เข้าใจครับว่า เจ้าหน้าที่ที่คอนโดเขาก็คงไม่ไว้ใจผม เพราะว่าใครก็ไม่รู้อยู่ๆ โทรมาบอกขอสายเพื่อนแต่กลับไม่รู้จักชื่อและนามสกุล มันเป็นไปไม่ได้ ชวนให้น่าสงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพโทรมารึป่าว สรุปว่าผมติดต่อเขาไม่ได้เลย และเขาก็ไม่ติดต่อผมกลับมาเลย

              สถานการณ์ในตอนนั้น คือผมคิดอยู่อย่างเดียวว่า เขาคงประสบอุบัติเหตุหรืออะไรสักอย่าง เพราะคนเคยคุยกันดีๆ จะมาหายแบบไร้วี่แววเลยมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาจะโกรธจะงอนผมแล้วบล็อกเบอร์บล็อกไลน์ผม มันก็ไม่มีสาเหตุอะไร เพราะเราไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน และผมก็มั่นใจว่าไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาโกรธผมขนาดนั้น ตอนนั้นผมไม่ได้ส่งไลน์ไปหาเขาแล้วครับ เพราะเขาไม่อ่านเลย แต่ยังคงโทรไปหา ก็สายไม่ว่างเหมือนเดิม ความเป็นห่วงมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แว๊บนึง มันก็มีความสงสัยว่า หรือเขาจะบล็อกเบอร์กับบล็อกไลน์ผมจริงๆ และถ้าเป็นแบบนั้น เขาทำไปทำไม ผมไปทำอะไรให้เขาโกรธรึเปล่า ตอนนั้นผมสับสนมากครับ ต้องการรู้คำตอบมากว่าเขาหายไปไหนและหายไปเพราะสาเหตุอะไร และเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่า เขาหายไปเพราะมีเหตุร้ายเกิดกับเขา หรือเขาตั้งใจจะหายไปจากผม ผมเลยลองเอาเบอร์โทรศัพท์สาธารณะโทรเข้าเครื่องเขา ปรากฏว่าเรียกครับ แต่ไม่มีคนรับ

              มาถึงตรงนี้ผมเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า อาการมันคล้ายเขาจะบล็อกเบอร์กับบล็อกไลน์ผมจริงๆ แต่เพื่อให้แน่ใจมากขึ้น วันพุธที่ 30 เมษายน ผมขอโทรศัพท์เพื่อนที่ทำงานโทรไปหาเขา ยังเรียกเหมือนเดิมครับ แต่ไม่มีคนรับ สักพักก็มีข้อความส่งกลับมาว่ากำลังประชุมอยู่  อีกหนึ่งนาทีถัดมาก็มีสายเขาโทรกลับมาที่เบอร์เพื่อนของผม ผมรับสายและมั่นใจแน่นอนว่าเป็นเสียงเขา ผมถามเขาว่าบล็อกเบอร์ผมทำไม เขาไม่ตอบอะไรและตัดสายทิ้งไปเลยครับ โทรไปอีกทีก็ไม่รับแล้ว มาถึงตรงนี้ผมรู้แล้วว่าเขาปลอดภัยดี แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำกับผมแบบนั้น มันสงสัยมากครับ คือสำหรับผมถ้าจะเลิกหรือจะไปจากกัน ก็ขอแค่บอกกันคำเดียว บอกเหตุผลผมสักหน่อย ให้ได้รู้ว่าทำไมเพื่อให้ผมได้สบายใจ แค่นั้นก็พอใจแล้ว แต่อยู่ๆ จะมาเงียบหายไปโดยไร้เหตุผลมันทรมานมากครับ เพราะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าผมผิดอะไร หรือมีเหตุผลอะไรที่จะไปจากผม สิ่งที่ผมคิดอย่างเดียวตอนนั้น  คือต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องมานั่งคิดเองไปตลอด มันทรมานและอึดอัดมากครับ

              ด้วยความสงสัยและอยากได้คำตอบมากๆ หลังเลิกงานห้าโมงครึ่ง ผมตัดสินใจนั่งรถเมล์จากแถวลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วต่อรถไปรามคำแหง คนบนรถเมล์แน่นมากๆ ยืนตลอดทาง รถก็ติด กว่าจะถึงก็เกือบสองทุ่ม ลงจากรถเมล์ผมตรงไปคอนโดเขาเลยครับ เห็นรถเขาจอดอยู่ ก็มั่นใจว่าอยู่บนห้องแน่นอน แต่ปัญหาแรกก็คือ ผมไม่มีคีย์การ์ด และปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือไม่รู้ว่าเขาอยู่ชั้นไหนและห้องไหน จำได้เพียงลางๆ ว่าน่าจะชั้นหกและห้องอยู่ประมาณช่วงไหน แต่ยังไงมาถึงแล้ว วันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไม ไม่ใช่เพราะอยากจะยื้อเขาไว้ แต่เพราะอยากให้ตัวเองสบายใจ เพราะหลายวันที่ผ่านมาที่เขาหายไป มันทั้งกังวล เป็นห่วง และทรมานมากครับ อย่างน้อยถ้าได้เจอกัน ได้รู้เหตุผลก็จะได้สบายใจมากขึ้น

              ผมยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้าคอนโดอยู่หลายนาทีก็ไม่มีคนเข้าออกที่จะมาเปิดประตู ให้ผมได้เขาไปข้างในได้ จนกระทั่งลุง รปภ. แกสังเกตเห็น จึงเข้ามาถามผมว่าจะไปห้องไหน ผมก็ตอบไปเนียนๆ ว่าจะไปห้อง... (มั่วเอาครับ) ลุงแกก็ไปเอาคีย์การ์ดมาเปิดประตูให้ผม  ต้องขอบคุณแกมากจริงๆ พอเข้ามาแล้วผมกดลิฟต์ตามเค้าลางจางๆ  ในสมองผมว่าน่าจะชั้นหก พอลิฟต์ไปถึงผมก็ตรงไปห้องที่คิดว่าน่าจะใช่ห้องที่ผมเคยมา แต่ปัญหาก็คือตรงนั้นมันมีอยู่สองห้องติดกันครับ ความสับสนเลยเกิดขึ้นว่าผมจะเคาะประตูห้องไหนดี ผมเลือกเอาความน่าจะเป็นเป็นที่ตั้ง เลือกเคาะประตูห้องที่คิดว่าน่าจะใช่ก่อน เคาะไปหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ ก็ไร้วี่แววว่าจะมีใครเปิดประตูมาต้อนรับ ตั้งใจจะเคาะเป็นรอบสุดท้าย แล้วย้ายไปเคาะห้องข้างๆ ต่อ แต่แล้วก็มีชายหนุ่มอายุน่าจะอ่อนกว่าผมสักสองสามปี อยู่ในชุดนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวแย้มประตูออกมามองหน้าผม ต่างคนต่างมองครับ เขาก็ทำหน้างงๆ ผมก็ทำหน้างงๆ ตกใจเล็กน้อย คิดว่าผิดห้องแน่นอน แต่บังเอิญน้องเขาแย้มประตูกว้างไปหน่อยสายตาผมเลยส่องเข้าไปในห้องได้ แล้วก็เจอจริงๆ ครับ พี่ชอของผมนอนอยู่บนพื้นห้อง ในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวเหมือนคนที่ออกมาเปิดประตูให้ผมเลย

              ความรู้สึกแรกที่เห็นภาพนั้น คือใจมันโล่งๆ หวิวๆ สั่นๆ ยังไงแปลกๆ บอกไม่ถูกครับ ผมถามน้องที่มาเปิดประตูก่อนเลยครับว่า ชื่ออะไรครับ (พูดสุภาพครับ ไม่ใส่อารมณ์ ยอมรับว่าตัวเองใจเย็นมากๆ) น้องเขาตอบว่าชื่อ “กอ” พอได้ยินเท่านั้นแหละครับ ใจมันร้องอ๋อขึ้นมาทันที คือไม่ได้ตกใจหรือควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้แต่อย่างไร แต่มันเป็นความรู้สึกประมาณว่า อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง ส่วนหนึ่งมันสบายใจ โล่งใจ แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งสงสัยว่าทำไมไม่บอก และยังไงก็มาแล้ว ได้เห็นชัดเจนแล้ว ก็ขอเคลียร์ให้จบๆ กันไป

              ผมบอกน้องกอว่าขอเข้าไปข้างในหน่อย เขาก็หลบทางให้ผมด้วยอาการงงๆ ก่อนที่จะปิดประตูห้องแล้วเดินตามหลังผมมาไปนั่งอยู่บนเตียง  ส่วนพี่ชอที่นอนราบอยู่กับพื้นห้อง พอเห็นว่าเป็นผม ก็เอาหน้าซุกหมอนเงียบไม่พูดอะไร ผมเข้าใจเขานะว่าความรู้สึกตอนนั้นเขาคงตกใจ และสับสนว่าจะจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่อย่างไรดี

              ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆ ตัวเขา แล้วถามเขาว่า ที่หายไปเพราะแบบนี้ใช่มั้ย? เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาของเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด แล้วพยักหน้าตอบกลับผมมาครั้งนึง ก่อนเอาหน้าไปซุกหมอนเหมือนเดิม ผมถามอีกว่า ทำไมไม่บอกกันดีๆ ปล่อยให้เป็นห่วงทำไม? เขาเงียบครับ ผมคิดว่าเขาคงเกรงใจน้องกอเลยไม่กล้าพูดอะไร จึงชวนเขาให้ออกมาคุยข้างนอก เขายังคงเงียบครับไม่แสดงอาการใดๆ จนน้องกอ พูดขึ้นมาว่า คุยกันในนี้แหละ พี่ชอเลยลุกขึ้นมายืนตรงหน้าผม แล้วพูดกับผมสั้นๆ ว่า "ตัวเองกำลังทำร้ายพี่อยู่หรือเปล่า?"

              พอผมได้ยินคำพูดนั้นแล้ว ผมรู้สึกว่าไปไม่ถูก นิ่งอยู่ประมาณสิบวิ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนที่เขาพูด ผมมาทำร้ายเขาจริงๆ แต่ผมไม่ได้มีเจตนา แค่อยากรู้เหตุผลที่เขาหายไป มาเพื่อฟังคำอธิบายว่าทำไม  มาเพราะความเป็นห่วงและความทรมานที่มันสะสมอยู่ในใจมาหลายวัน ไม่ได้คิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าจะมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้  ผมไม่ได้ตั้งใจมาทำร้ายเขาจริงๆ

               เขาพูดเสร็จ ก็เดินไปนั่งอยู่ปลายเตียง ปล่อยให้ผมยืนสำนึกในความผิดอยู่ด้วยความเคว้งคว้าง คำพูดของเขาทำให้ผมมืดไปหมด หลังจากผมเงียบสำนึกความผิดอยู่แป๊บนึง ผมก็พูดกับเขาว่า ก็เป็นห่วง เห็นเงียบหายไปเฉยๆ ก็อยากรู้เหตุผลว่าทำไม ถ้าพี่บอกผมสักคำว่าจะกลับมาคบกัน มันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น ผมพูดกับเขาดีๆ ครับ ไม่ใส่อารมณ์ ใจเย็นมากๆ  แต่ผมก็ยังถามเขาซ้ำว่าทำไมไม่บอกผม น่าจะบอกให้ผมรู้สักคำ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องมานั่งกังวลใจทุรนทุรายอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไร้คำอธิบายจากเขาครับ เขายังคงนั่งเงียบเหมือนเดิม

             เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะพูดกับเขา ผมเลยหันไปหาน้องกอ ซึ่งก็น่าเห็นใจครับ คงอยู่ในอาการงงๆ ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ยังไง สิ่งที่ผมเคยคิดไว้เล่นๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ น้องเขากลับมาเมืองไทย แล้วก็กลับมาคบกันเหมือนเดิม น้องเขาไม่ได้ผิดอะไร เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าพี่ชอกำลังคบกับผม และด้วยความที่ผมเชื่อว่าน้องเขาไปเรียนอยู่อังกฤษจริงๆ ผมเลยถามเขาไปว่า กลับมานานรึยัง? เขาตอบว่ากลับมาได้สามสี่วันแล้ว เขาถามผมว่า รู้จักกันนานรึยัง รู้จักกันได้ยังไง ผมก็ตอบตามความจริงครับว่า รู้จักกันทางไลน์ และรู้จักกันมาได้เดือนนึงแล้ว น้องเขาถามผมอีกว่า มาที่คอนโดนี้กี่ครั้งแล้ว เคยมาค้างรึเปล่า ผมตอบไปว่ามาครั้งนี้ครั้งที่สอง ครั้งแรกที่มาก็ไม่ได้ค้าง มานั่งแป๊ปนึงก็กลับ พี่ชอที่นั่งฟังมานานก็หันไปมองน้องกอ แล้วก็บอกว่า “ไม่ได้ค้างสักหน่อย”

              ผมถามน้องกอไปลอยๆ ว่า ไปไหนมาครับ? ไม่คิดว่าคำตอบของน้องเค้าจะทำให้เรื่องราวทุกอย่างมันชัดมากขึ้นและทำให้ผมเสียใจมากขึ้น  น้องกอตอบผมว่า “ไปลาวมา”  ผมเลยถามอีกว่า ไปมานานหรือยัง น้องตอบว่า “ประมาณหนึ่งเดือน”  เพื่อความมั่นใจผมเลยถามตรงๆ เลยว่า ไม่ได้ไปเรียนที่อังกฤษหรอครับ? น้องเขาหันไปมองพี่ชอแบบงงๆ แล้วตอบผมว่า “ไม่นี่ครับ”

              มาถึงตรงนี้ เรื่องราวทุกอย่างถูกเปิดเผยชัดเจน มันชัดเหมือนได้ตรัสรู้อริยสัจสี่ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาหลอกผมจนผมเชื่อสนิทใจว่าเขาเลิกกับแฟนมาปีนึงแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้ว เขายังไม่ได้เลิกกัน ยังคงรักกัน อยู่ด้วยกันตลอด แค่แฟนเขาถือโอกาสช่วงปิดเทอม ไปเที่ยวลาวเฉยๆ ช่วงเวลาที่แฟนเขาไม่อยู่ ผมเลยกลายเป็นที่ระบายความเหงาและความต้องการของเขา โดยผมไม่รู้เลยว่า กำลังเป็นชู้กับแฟนคนอื่นอยู่ ผมช็อคและเสียใจมากครับ ไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูไร้พิษสง ซึ่งทำให้ผมเชื่อมาเสมอว่า เขาจะรักและจริงใจกับผมจริงๆ จะมาทำร้ายผมได้ถึงขนาดนั้น ตั้งแต่เกิดมา มีชีวิตอยู่ยี่สิบกว่าปี ไม่เคยคิดเลยว่า วันนึงตัวเองจะมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ มันเหมือนในละคร มันเซอร์ไพร้มาก เซอร์ไพร้จนผมต้องจำไปตลอดชีวิต

               เมื่อเข้าใจทุกอย่างชัดเจน  ผมถอนหายใจเงียบๆ และพูดกับเขาสองคนว่า ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้จะมาอะไรหรอก แต่เห็นว่าพี่เขาหายไปเงียบๆ ติดต่อไม่ได้ กลัวว่าจะมีอันตราย เลยมาหา มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ และต้องการเหตุผลว่าทำไมถึงหายไป ทำไมต้องบล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ผม เพราะถ้าได้รู้สาเหตุ อย่างน้อยผมก็จะได้สบายใจ ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องมานั่งคิดไปเอง  และที่สำคัญคือไม่มีเจตนาจะมาทำร้ายใครทั้งนั้น และไม่รู้จริงๆ ว่ายังคบกันอยู่ พูดเสร็จผมก็บอกว่า งั้นผมไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณมากนะครับ

               ผมหันหลังแล้วเดินออกมาตรงประตู เปิดประตูก้าวออกมา แล้วปิดประตูล็อคให้เรียบร้อยเสร็จสรรพ เดินไปกดลิฟต์ด้วยใจเบาหวิว  รู้สึกโล่งมากๆ เพราะได้รู้เหตุผลว่าทำไมเขาจึงหายไป  โล่งเพราะความห่วงใย ความกังวลใจที่มีให้เขา และคำถามต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาสะสมในสมองจนหนักอึ้งมาหลายวัน  มันถูกปลดปล่อยออกไปจนหมด เหลือเพียงความเสียใจและความทรมานที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่มันจึงจะหายไป แต่ก็แปลกที่น้ำตาผมไม่ไหลเลย จนถึงวันนี้ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา ทั้งที่มันรู้สึกเจ็บมากๆ แม้เวลาแค่เพียงเดือนเดียว มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่เพียงพอสำหรับความรักหรือความผูกพันของผมกับเขา แต่นับจากวันที่ผมรู้จักเขา ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน ได้อยู่ด้วยกัน ได้จับมือกัน ได้กินข้าวด้วยกัน มันมีค่าสำหรับผมเสมอ มันทำให้ผมมีความสุขมากๆ แต่เมื่อมารู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเขาในชีวิตอีกแล้ว แม้จะเผื่อใจไว้แล้วก่อนหน้า แต่มันก็ไม่พอที่จะมาคุ้มกันให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลย

                ระหว่างที่นั่งรถเมล์กลับห้องพัก ผมหวนคิดถึงคำพูดเก่าๆ ที่เขาเคยพูดกับผม คำพูดที่ทำให้ผมมีความหวัง และเคลิบเคลิ้มจนเชื่ออย่างสนิทใจ ว่าวันพรุ่งนี้จะมีเขาอยู่ข้างๆ ผมไปอีกนาน ไม่คิดว่าช่วงเวลาระหว่างเรามันสั้นมากขนาดนี้  แต่พอมานึกถึงคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับผมว่า  "ตัวเองกำลังทำร้ายพี่อยู่หรือเปล่า?" มันทำให้ผมทั้งหดหู่ เสียใจ และผิดหวังในตัวเขามากๆ  อะไรที่ทำให้เขาเห็นแก่ตัวและมักง่ายได้ถึงเพียงนั้น  ผมทำร้ายเขาก็จริง แต่ทำไปเพราะผมไม่รู้ ถ้าเขาบอกผมสักคำ ผมก็คงไม่ไปหาเขาที่คอนโด และเรื่องทั้งหมดมันก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ที่เขาทำกับผม เขาทำด้วยเจตนา เขาทำทั้งๆ ที่รู้เห็นอยู่เต็มอกว่ามันผิดและต้องมีคนเสียใจ ผมรึเปล่าที่สมควรถามคำถามนั้นกับเขา

              หลังจากกลับมาถึงห้อง มองดูกล่องของขวัญหน้ากระจก นึกในใจคงไม่มีโอกาสเอาไปให้เขาแล้ว (แต่ผมยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้) ตอนนั้นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด คือเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ใครสักคนฟัง ผมเลือกโทรไปหาเพื่อนสนิทคนนึงที่เชียงราย และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเขาฟัง เขาปลอบโยนผมเป็นอย่างดี ทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะ และคิดว่าชาตินี้จะไม่ยอมกลับไปเจอเรื่องราวอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

              นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมผิดหวังกับความรัก แต่ครั้งนี้เขาทำกับผมเจ็บช้ำมากจริงๆ  ผมยังคงวนเวียนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อะไรทำให้เขามักง่ายอย่างนั้น? แม้เรื่องราวทำนองนี้จะเกิดขึ้นจริงในสังคมอยู่เป็นประจำทั้งในคู่เกย์และคู่ชายหญิง แต่สำหรับผมมันเป็นเรื่องใหม่ที่ผมไม่เคยคิดว่า มันจะมาเกิดขึ้นจริงกับตัวผม และผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่าจะมีคนเหมือนพี่ชออยู่ในสังคมนี้มากขนาดนั้น  อาจจะเป็นเพราะผมมองโลกในแง่ดีหรือโง่และใจง่ายเกินไป ที่หลงเชื่อโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ และอาจจะใช้เพียงบรรทัดฐานของตัวเองตัดสินว่า หากมีแฟนแล้วก็จะซื่อสัตย์และจริงใจกับแฟนเพียงคนเดียว ทั้งที่จริงๆ แล้วคนอื่นเขาไม่ได้คิดแบบผม

              ผมยังคงเชื่อว่า ความรักของเกย์ที่เป็นรักแท้นั้นมีอยู่จริง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเกิดขึ้นกับผม บทเรียนครั้งนี้ทำให้ผมต้องระวังที่จะรักใครให้มากขึ้น  อุดมการณ์ของผมยังคงยึดมั่นในรักเดียวใจเดียว ซื่อสัตย์และจริงใจ ผมเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าเพศไหน ถ้าได้รักกันแล้ว คุณธรรมสองข้อนี้จะช่วยค้ำจุนให้ความรักดำเนินไปได้จนวันที่เราตายจากกัน
 
              ขอบคุณนะครับที่อ่านมันจนจบ ยังไงชีวิตก็ต้องมีพรุ่งนี้ คงต้องมีชีวิตเพื่อเจอเรื่องราวดีบ้างร้ายบ้างกันต่อไป ขอให้สมหวังในความรักที่กำลังแบ่งบานอยู่ทั่วทุกมุมจักรวาลครับทุกคน

ออฟไลน์ Moose

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สู้ๆ นะคะ ขอให้เจอคนรักเราจริงๆ สักคนเนอะ

ออฟไลน์ IsDeer

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2519
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-8
เลวมากอ่ะ อย่างนี้ก็แสดงว่า ชอ หลอกคนอื่นไปทั่วอ่ะสิ
ความจริงน่าจะแฉไปเลย น้อง กอ จะได้ไม่ต้องมาโดนหลอกไปด้วย

ออฟไลน์ thehackzzi

  • <?php echo "Hello world!";?>
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-31
ตัวเองกำลังทำร้ายพี่อยู่หรือเปล่า?

กล้าพูดได้นะคำนี้

นี่แหละ ทำให้ผมไม่เคยเชื่อใจและไว้ใจในโลกออนไลน์เลยซักกะตี๊ดเดียว และตามตรงไม่เคยประกาศหาเพื่อนผ่านออนไลน์ด้วย

ส่วนตัว ยอมรับนะว่า จขกท. ใจเย็นมาก และแอบเห็นด้วยกะรีบน น่าจะแฉความจริงไปเลย  แต่ก็นะ จากลากันด้วยดีและไม่ต้องมาสร้างเวรสร้างกรรมกับคนอย่างนี้อีก

ปล. แอบถาม จขกท. เรื่องนี้ เกิดขึ้นมาแล้วกี่ปีเหรอครับ แล้วที่ว่าเป็นคนภาคเดียวกัน คือภาคอะไรครับ? คำถามละเมิดความเป็นส่วนตัวเกินไปก็ข้ามได้ครับ
ปลล. เข้ามาให้กำลังใจครับ ซักวันมันก็ต้องเป็นของเราแหละ ที่สำคัญ เราต้องยึดมั่นในอุดมการณ์ ความจริงใจและซื่อสัตย์ของเราไว้ครับ คนที่มันทิ้งเราไปจะได้นึกเสียดายในตัวตนที่แท้จริงของเรา
ปลล. อ่านจบแล้วหดหู่ต้อนรับวันหยุดเลย (ไปเศร้าแปบ)

ออฟไลน์ shikyu3211

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-1
สู้ๆนะ

natakorn

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เกิดเมื่อปีนี้แหละครับ
ผมเป็นคนจังหวัดชุมพร ส่วนพี่ชอ เป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช
ุ่
ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ และขออภัยที่ทำให้หดหดหู่ครับ
ผมอยากให้นำเรื่องนี้ไปเป็นวิทยาทาน สังคมสมัยนี้ไว้ใจใครยากเหลือเกิน
เหมือนคำเขาว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2014 19:36:02 โดย natakorn »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ขอเม้นท์ 3 คำให้คนอย่างไอ่ชอ

เมิง-มัน-เหี้ย

ส่วนน้องกอ..ต้องทนคบกับเหี้ยต่อไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ่ชอนอกใจ นอกกายน้องกอแน่ๆ
เพียงแต่คราวนี้..ถูกคุณเจ้าของกระทู้ ถลกหนังเหี้ย กระชากออกมาให้เห็น

อย่าเสียใจอีกเลย..คุณ
คิดซะว่ายังโชคดีอยู่บ้างที่มันออกลายให้เห็นเร็ว
ดีกว่าถูกมันหลอกไปเป็นปีๆ ไม่มีกำหนด

หายเศร้านะครับ
อาจจะมีคนรักดีดี รอให้คุณไปพบไปเจอ
โชคดีครับ

ออฟไลน์ manutty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 846
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
คนเลว เห็นแก่ตัว มันจะไม่ถามหรอก "ตัวมันเองทำร้ายใครให้เสียใจบ้าง"  :fire: หลุดมาได้ก็ถือว่าเป็นโชคดีแล้ว ดีกว่าให้มันเก็บไว้หลอกต่อไป สักวันความดีความซื่อสัตย์ของคุณจะเจอคนที่จริงใจด้วย  ดีแล้วที่ไม่เสียน้ำตาให้คนแบบนี้ เก็บไว้ไหลจากตาด้วยความดีใจเมื่อเจอคนที่รักคุณจริงดีกว่า :กอด1: 

ส่วน น้อง กอ ถ้าเห็นขนาดนี้แล้ว ยังรักมันและอยู่ด้วยต่อไป ก็ไม่รู้จะว่ายังไง แต่ถ้าอยู่ได้นั่นก็เพราะเขาอาจจะเป็นคนประเภทเดียวกัน เกิดมาเพื่อคู่กัน  :hao3:  แต่เชื่อเถอะ ไอ้ ชอ อะไรเนี่ย มันต้องเจอเข้ากับตัวบ้าง ถ้ามันลงด้วยรักใครสักคนอย่างจริงใจจริงจังขึ้นมา จะได้รู้ความเจ็บปวด เป็นยังไง  :call:

ออฟไลน์ mutyamania

  • สามารถติดตามงานติดเรทที่ลงเล้าไม่ได้ที่ ReadAWrite ในชื่อมัสยากลับมาจากป่าช้า
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1898
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +794/-139
    • https://mutyawhocamebackfromthedead.readawrite.com
คนเลวนี่มันเลวจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น้องไม่ต้องร้องหรอก
เพราะพี่ได้ร้องแทนไปแล้วนะ

เขาลงทุนจังเลยนะ ลงทุนกับการหลอกลวง
ไม่รู้ว่าลงทุนแบบนี้มากี่รายแล้วเหมือนกัน
ถ้าคนที่ลงทุนไปเป็นแบบน้องก็รอดมาได้
แต่ถ้าเจอคนร้ายๆ เรื่องคงไม่จบดีแน่
ว่าๆไปก็สงสารน้องกอเหมือนกันนะ
ไม้รู้ว่าเป็นตัวจริงยิ่งเจ็บหรือเปล่า

ขอให้เจอคนดีและจริงใจเร็วๆนะ

ออฟไลน์ ♠♥♦♣

  • ex-ChCh13
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1612
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-7
ถือว่าโชคดีค่ะที่หลุดพ้นจากคนเลวๆ  มาได้คนดีๆ และคู่ควรรอเราอยู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด