B.L.O.O.D.L.I.N.E
TWO
ผมมีความสุขมากในหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาของการได้กลับมาอยู่ที่บ้าน เคยบอกแล้วไงว่าผมชอบความคุ้นเคย ถึงหนึ่งเทอมที่ผ่านมาจะทำให้ผมคุ้นเคยกับแอชยูบ้าง โดยเฉพาะอาซา ผมคุ้นเคยเขาเป็นพิเศษในสถานที่แปลกใหม่ แต่ถึงอย่างนั้น บ้านคือสถานที่ที่วิเศษที่สุด ยิ่งได้อยู่กับคนในครอบครัวและคนที่เรารัก ที่แห่งนี้ก็เปรียบเสมือนสวรรค์บนดิน
“เหนื่อยไหม” อาซาช่วยปัดเหงื่อตามไรผมออกให้เพราะมือทั้งสองข้างของผมไม่ว่าง ถือตะกร้าองุ่นตะกร้าใหญ่อยู่ ส่วนอาซามือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งคอยโอบเอวและเช็ดเหงื่อ
บางทีเขาก็ดูแลผมดีเกินไปขัดกับบุคลิกแบดบอยของเขา จะพูดยังไงดีละ ไม่ใช่ไม่ชอบนะ แต่บางทีเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะแตกหักได้ง่ายๆถ้าไม่ระวัง ยังไงผมก็ผู้ชายคนหนึ่ง แค่ดูแลตัวเองผมทำได้สบายมากอยู่แล้ว
แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะขัดน้ำใจที่เขามีให้ สิ่งไหนเขาอยากทำก็ทำไป จนกว่ามันจะมากเกินพองามค่อยบอกกล่าวกันทีหลัง
“ไม่เหนื่อยหรอก สนุกดี พรุ่งนี้ไปอีกนะ”
ปิดเทอมมาได้อาทิตย์หนึ่ง ผมก็เพิ่งมีโอกาสได้เข้าไปในไร่ ฝนฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ พ่อกับพี่ยอร์ชเลยไม่อยากให้ผมออกไปเสี่ยงกับลมกับฝนหรือพวกสัตว์มีพิษทั้งหลายแหล่
วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่งมาก ถึงขนาดไม่มีเมฆสักก้อน ผมเลยชวนอาซาไปเก็บองุ่นเป็นเพื่อน ผมว่าเก็บกินเองอร่อยกว่าคนอื่นเก็บมาให้กิน
“หึหึ ซนอย่างที่พ่อนายบอกจริงๆด้วย” อาซาพูดเสียงกระเซ้า มือหุบร่มเมื่อเราก้าวเข้าตัวบ้าน
“เขาไม่ได้เรียกว่าซน เขาเรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์” สาบานได้ว่าผมไม่ได้แถ แค่พูดไปตามความรู้สึก
“เป็นประโยชน์?” อาซาทวนคำเสียงสูง เลิกคิ้วสำทับ “ไปเก็บกินฟรีมันเป็นประโยชน์ตรงไหน”
บางทีผมว่าอาซาก็พูดตรงไป
“บอกว่าเป็นประโยชน์ก็เป็นสิ พูดมากไม่ต้องกินเลยนะ” ผมเดินหนีเข้าครัว จัดการล้างองุ่นเพื่อเอาฝุ่นออก วางใจได้ว่าไร้ยาฆ่าแมลง ถึงไม่ล้างก็กินได้ แต่ให้ดีก็ควรล้าง ผมเอาองุ่นส่วนหนึ่งเข้าตู้เย็นไว้กินหลังมื้ออาหาร อีกส่วนหนึ่งไว้ทำแยมองุ่น
เสียงฝีเท้าดังใกล้ตัว ผมเหลือบตามอง อาซาเอนตัวพิงโต๊ะทำกับข้าว มือสองข้างกอดอกสบายใจ ดวงตาคมมองผมไม่วางตา พาลให้เกิดอาการประหม่าเล็กน้อย
ผมเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ ผมไม่ได้งอน แค่แสร้งทำเป็นตั้งตัวแข็งข้อ อาซาเองก็รู้ว่าผมไม่ได้โกรธจริงจัง เขาถึงไม่เข้ามาง้อ
ทำเสร็จผมก็ตัดใส่กระปุกแก้วแช่ตู้เย็น ระหว่างที่ทำมีสายตาหวานมองไม่คลาดสายตา ผมหวังว่าตัวเองจะไม่ได้กำลังหน้าแดง และหลายครั้งผมเห็นอาซาแอบลอบยิ้ม
“มองอะไร” ผมถาม พยายามอย่างมากที่จะสร้างความจริงจังในน้ำเสียงเพื่อข่มความเขิน
“มองแฟน” อาซาระบายยิ้มบางโชว์เขี้ยวเล็กๆที่ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น ผมไปต่อไม่ถูกได้แค่บ่นงึมงำเบาๆให้อาซาขำเล่น
ผมชอบเขาในตอนนี้มากกว่าก่อนหน้า ไม่ใช่แค่ความรู้สึกข้างในจิตใจที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ช่วงเวลานี้อาซาดูผ่อนคลายไร้ความกังวล ไม่มีหัวคิ้วที่ขมวดติดกันเป็นปม ริ้วร้อยบนหน้าผากก็เห็นได้น้อยครั้งจากความเครียด สีหน้านิ่งๆก็ไม่ค่อยจะได้เห็น ที่เห็นก็มีแต่สีหน้าเจ้าเล่ห์เพทุบายกับสีหน้ายิ้มแย้มชวนขนลุกซู่
เสียงโทรศัพท์ของอาซาดังขึ้น ผมเอนตัวพิงเคาน์เตอร์ทำอาหาร มือยกกอดอกมองอาซารับสาย เขาล้วงโทรศัพท์ดูชื่อคนโทรมาแล้วกดรับ
“โยชิ มาช่วยพี่ขนของหน่อย” เสียงพี่ยอร์ชดังตะโกนมาจากหน้าประตู ผมสบตากับอาซาแวบหนึ่งแล้วเดินออกไปช่วยพี่ยอร์ช
ตะกร้าของสดและผักหลากหลายชนิดวางกองอยู่ที่ขั้นบันไดบ้าน เยอะอย่างกับจะจัดงานเลี้ยง ตัวพี่ยอร์ชไม่อยู่เพราะเอารถไปเก็บในโรงจอดรถ เห็นเงาของพ่อแวบๆอยู่ข้างตัวบ้าน กำลังรถน้ำต้นไม้ดอกไม้ในแปลงปลูกของแม่
ตั้งแต่จำความได้ผมก็เห็นดอกไม้แปลงนี้แล้ว มันอยู่ตรงกับหน้าต่างห้องนอนของพ่อและแม่ที่อยู่ชั้นล่าง พ่อเล่าว่าแม่ไม่อยากนอนชั้นบน อยากได้ห้องนอนที่มีระเบียงไว้นั่งดูดอกไม้ได้อย่างใกล้ชิด เห็นพ่อยังไงใส่ใจกับทุกสิ่งที่เกี่ยวกับแม่ผมก็มีความสุข เพราะว่าสิ่งที่พ่อทำคือความสุขของเราทั้งสามคน
ผมขนของเข้าบ้าน อาซาไม่อยู่ที่ครัว ผมมองซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่พบ ลงมือเก็บของสดเข้าตู้เย็น ส่วนพวกขนมอาหารสำเร็จรูปก็เก็บเข้าชั้นให้เรียบร้อย ถุงพลาสติกใส่ของก็พับเก็บใส่ลิ้นชักไว้ใช้งานซ้ำ
“อ้าว ไปไหนมา” ผมถามอาซาที่มายืนซ้อนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“คุยโทรศัพท์น่ะ” เขาบอก เสียงดูจริงจัง “เมื่อกี้เวสตันโทรมา”
เดาได้จากสีหน้าและน้ำเสียงของเขา ต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน มีเวลาผ่อนคลายได้ไม่เท่าไหร่ ดูท่าจะมีเรื่องมาให้พ่อหนุ่มสุดหล่อของผมต้องจัดการอย่างไม่หยุดหย่อน
“เกิดเรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ” ผมถาม หางตาเห็นพี่ยอร์ชเดินเข้ามาในบ้าน คุยโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ฟังไม่ถนัด อาจจะกำลังคุยกับลูกค้าต่างประเทศ ผมกลับมาให้ความสนใจกับอาซา
อาซาส่ายหัวหงุดหงิด มือของเขายกขึ้นสางผมสีดำจนยุ่งเหยิง “เฮอะ!” แล้วก็พ่นลมหายใจแรงหนักหน่วง ผมรอเขาอย่างใจเย็น
“เกิดเรื่องนิดหน่อยที่กรุงเทพ ฉันต้องกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ต่างจากที่คิดไว้ตรงไหน แต่ว่า...จะกลับเลยเหรอ
“ด่วนมากเหรออาซา” ผมยังอยากให้เขาอยู่กับผมที่นี่อีก ผมยังไม่หายคิดถึงบ้านเลย และผมอยากให้เขาอยู่ที่นี่ด้วยกัน
“อืม ขอโทษทีนะ” อาซาขยับเข้าชิดใกล้ ยกมือลูบแก้มนิ่มของผมเบามือ “นายอยู่กับครอบครัวต่อเถอะ ฉันจะรีบกลับไปจัดการธุระ แล้วจะรีบกลับมารับกลับแอชยู”
“ก็ได้”
อาซาเดินขึ้นไปเก็บของในห้องนอน ผมเดินตามด้วยใจที่ห่อเหี่ยวแฟบเป็นลูกโป่งถูกปล่อยลม ผมช่วยอาซาเก็บของใส่กระเป๋า อาซาดูเร่งรีบ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรที่กรุงเทพ แต่ตอนนี้เรื่องเดียวที่พอจะทำให้อาซากระวนกระวายใจได้ก็คงมีแต่เรื่องของเอเดน
“เป็นเด็กดีนะ แล้วฉันจะกลับมารับ” อาซากอดผมไว้ทั้งตัว ผมวาดแขนกอดตอบแน่น ซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกกว้าง
“เป็นเด็กดีอยู่แล้วแล้วน่า”
เราต่างคนต่างเงียบ อาซาช้อยใบหน้าผมเงยขึ้น ผมหัวหมุนคิดอะไรไม่ออก ตอนที่ริมฝีปากเย็นแนบประทับ ผมทุ่มเพียงพลังในการหายใจเข้าออก และใช้สมาธิในการซึมซับรสจุมพิตให้อุ่นซ่านทั่วหัวใจและกาย เก็บไว้คิดถึงยามที่ต้องไกลห่าง
ริมฝีปากเย็นสวยหยัดโค้งขึ้นตอนที่ผมทุ่มทั้งตัวเข้าหาจูบของเขา แตะเบาอ้อยอิ่ง เนียนหวานและนุ่มนวลแต่ก็หนักหน่วงอยู่ในที มือที่ประคองใบหน้าของผมอยู่เลื่อนออกปลดแขนเล็กทั้งสองข้างออกจากลำคอแข็ง เมื่อผมมีทีท่าจะไม่หยุดจูบ
“ใจเย็น อย่าคิดมาก ฉันจัดการได้” เขาจับกระแสความรู้สึกในใจผมได้อย่างเชียบขาด ผมเป็นห่วงเขามากจริงๆ
“ได้โปรด เป็นเด็กดี อย่างอแง” ลมหายใจของเขารินรดแก้มผม ผมพยักหน้ารับรู้ หัวใจเต้นแรง เสียงชีพจรดังตุ้บๆอยูในหู อาซาประทับจูบผมอีกครั้งก่อนจะผละตัวถอนห่างหนึ่งก้าว คว้ากระเป๋าออกจากห้อง
...ใจหาย...
“อ้าว อาซา จะไปไหน” พ่อทักอาซาที่เพิ่งก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย
“พอดีมีธุระที่ต้องกลับจัดการ แต่โยชิจะยังอยู่ที่นี่ ผมต้องขอโทษทีนะครับที่ไม่ได้อยู่จนกว่าจะเปิดเทอม” เขาตอบ พ่อเลิกคิ้วสูงก่อนจะพยักหน้าว่าเข้าใจ
“โอ้ ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น ไปทำธุระเถอะ” มือของพ่อตบไหล่อาซาดังแป๊ะ
“ขอบคุณครับ ไว้ผมจะมารับโยชิกลับ” เขาใช้สายตาเป็นห่วงมองผม
“จะกลับแล้วเหรอ” พี่ยอร์ชเข้ามาถามอีกคน
“อาซาเขามีธุระน่ะ รีบไปเถอะ ช่วงเย็นพายุเข้า ขับรถคนเดียวอันตราย” พ่อบอก
“ผมลาล่ะครับ” อาซายกมือไหว้พ่อผมอย่างนอบน้อม แล้วก็เข้าไปกอดพี่ยอร์ชเพื่อล่ำลาตามวัฒนธรรมของเขา ก่อนจะหันมากอดผมอีกครั้ง
“ถึงแล้วโทรหาฉันด้วยนะ”
“อืม” อาซาจูบซับขมับ กระซิบเบาๆที่ข้างหู “I love you my Darel”
ผมยืนมองจนกระทั่งรถยนต์คันหรูหายลับไปกับตา พอยอร์ชโอบไหล่ผมไว้ ก้อนเมฆสีดำทะมึนลอยอยู่เหนือหัว ลมเริ่มกรรโชคแรงส่งผลให้ต้นไม้ใบหญ้าไหวเอนคล้ายจะโค่น
‘พระเจ้าได้โปรดคุ้มครองอาซาของผมด้วย’ ทำไมอาซายังไม่ติดต่อมา ทั้งคืนผมนอนไม่หลับเพราะเอาแต่เป็นห่วงอาซาที่ต้องขับรถฝ่าพายุในเวลากลางคืน โทรหาก็ไม่มีสัญญา เพราะพายุได้ทำให้ระบบสื่อสารทั้งประเทศมีปัญหา เพิ่งจะใช้ได้เมื่อเช้าที่ผ่านมา หวังว่าจะไม่เกิดอันตรายหรอกนะ แต่อาซาเป็นงูนะ เขาน่าจะเอาตัวรอดได้สิ
บ้าเอ้ย! ผมเป็นห่วงอาซาเข้าขั้นจิตตกไปแล้ว ถ้าเมื่อคืนพายุไม่เข้า ผมคงไม่รู้สึกกังวลมากเช่นนี้
‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สะ...’
ติ๊ด!
“โธ่เว้ย!” ผมทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างหงุดหงิด หันมองออกไปนอกหน้าต่าง ยังจำภาพคืนก่อนที่ผมกับอาซายืนดูดาวด้วยกัน
‘รู้ไหม เมื่อก่อนฉันกับนายสัญญากันเอาไว้อย่างหนึ่ง เป็นประเพณีที่เราจะทำร่วมกันทุกๆวันครบรอบชีวิตคู่’
‘อะไรเหรอ’ ผมถามด้วยความยากรู้ น้ำเสียงยามที่เขาเอ่ยบ่งบอกว่าเขามีความสุขกับช่วงเวลาดังกล่าว
‘เราพบกันในคืนเดือนดับ และเราสัญญาว่า เราจะนอนดูดาวด้วยกันจนกระทั้งดาวดวงสุดท้ายลับหายไปจากท้องฟ้า’ เขาโอบกอดผมเพื่อให้ความอบอุ่น แต่หารู้ไหม ตัวเขาเย็นตลอดเวลา มันไม่ทางให้ความอบอุ่นกับผมได้ กลับกัน ผมว่าผมชอบความเย็นมากกว่าความร้อน อย่างน้อยๆผมก็ไม่ต้องเจ็บตัวเท่าตอนที่เขาลุกเป็นไฟ
“ถ้านายไม่กลับมาหาฉัน ปีนี้ฉันจะไม่นอนดูดาวกับนายแน่อาซา รู้เอาไว้ซะ” ผมพูดขู่เขาคนเดียวในห้องเว้งว้าง
“เฮ้อ” ลงไปข้างล่างดีกว่า
เมื่อเช้าพี่ยอร์ชแวะเข้ามาบอกว่าจะออกไปรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยี่ยมชมไร่ของเรา และเขาค่อนข้างสนใจที่จะทำธุรกิจร่วมด้วย พี่ยอร์ชตื่นเต้นใหญ่ที่จะได้ขยายกิจกรรมค้าไวน์ให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
ผมเดินเล่นอยู่ในบ้านจนเริ่มเบื่อ จึงออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ไม่ถึงกับเข้าไปในไร่ ฟ้าเพิ่งจะโปร่งได้หมาดๆ บนพื้นยังมีน้ำขังเป็นจำนวนมาก ม้านั่งในสวนนั่งเล่นโซนรีสอร์ทที่มีไว้ให้นักท่องเที่ยวอยู่สามสี่หลังจึงถูกผมจับจ้องชั่วคราว
ความคิดล่องอยเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมกำลังทำใจเย็นรออาซาติดต่อมา ป่านนี้เขาน่าจะถึงกรุงเทพได้แล้ว เขาเป็นคนขับรถเร็ว ไม่น่านานไปกว่านี้ แต่ร้อนอกร้อนใจไปก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ทำได้แค่รอ
เอาน่า รอแค่นี้จะเป็นอะไรไป อีกฝ่ายรอผมนานกว่านี้เขายังไม่บ่นสักคำ ผมคิดในใจ
บรื้น
เสียงรถยนต์ดังขัดความคิด ผมมองไปตามทาง เห็นรถที่ใช้พานักท่องเที่ยวเยี่ยมชมไร่องุ่นขับเข้ามาใกล้ คิดว่าคงจะส่งนักท่องเที่ยวกลับรีสอร์ทที่พัก
“เอ๊ะ?” ผมแปลกใจเล็กน้อยที่พี่ยอร์ชเป็นคนขับรถแทนที่จะเป็นคนงาน ผู้ชายสองคนลงมาจากรถ ผมมองเห็นหน้าไม่ถนัด ด้วยความที่เบื่อๆเลยเดินเข้าไปทักทาย
“พี่ยอร์ช” ผมเรียกพี่ชายตัวเอง พี่ยอร์ชหันมองผมแล้วยิ้มกว้าง
“ว่าไงตัวเล็ก มานี่มา พี่จะแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของร้านไวน์ชื่อดังในกรุงนิวยอร์ค” พี่ยอร์ชดึงผมให้ไปยืนเคียงข้าง ผมยิ้มตอบก่อนจะหันไปมองแขกทั้งสองคน
เกิดความประหลาดใจขึ้นเพียงเสี้ยววินาที
หน้าตาแบบนี้ ดวงตาแบบนี้...ไม่จริงใช่ไหม บอกทีว่าแค่คนหน้าเหมือน
“คนนี้คือคุณเอเดน สเตนเบิร์ค และนี่คุณชาร์ล เลวิธ ทั้งสองคน...”
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น เพราะเสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในหัวมีแค่ว่า
‘ซวยแล้ว!!!’ ผมจำไม่ผิดแน่ๆ ดวงตาสีเขียวมรกตแบบนี้ไม่น่ามีใครเหมือน เขาคือเอเดน พี่ชายของอาซา ยิ่งนามสกุลสเตนเบิร์ค ยิ่งตอกย้ำว่าเป็นคนๆเดียวกัน เพราะอาซาก็ใช้นามสกุลนี้
“มีอะไรเรียกผมได้นะครับ ถ้ายังไงเย็นนี้ผมขอเชิญพวกคุณสองคนร่วมทานอาหารเย็นที่บ้านผมนะครับ” พี่ยอร์ชเอ่ยชวนแขกทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง ผมอยากจะเอ่ยขัดแต่ก็ทำไมได้ ดูก็รู้ว่าพี่ยอร์ชดีใจที่พวกเขาบอกว่าจะติดต่อไวน์จากไร่เราไปลงที่ร้าน
แต่...แน่ใจเหรอว่าเขามาเรื่องธุรกิจจริงๆ ไม่ได้มาเพราะเรื่องอื่น ในเมื่อ...
“รู้สึกเป็นเกรียติอย่างมากสำหรับคำชวน ผมจะต้องไปร่วมโต๊ะกับพวกคุณอย่างแน่นอน ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ คุณยอร์ชและคุณโยชิ” เอเดนพูดเนิบๆอย่างคนมีเทคนิคในการเจรจา เขามองผมด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ น้ำเสียงของเขาฟังอีกครั้งผมก็ยังรู้สึกว่ามันน่าขนลุก
เอเดนเปลี่ยนไปนิดหน่อยจากที่ผมเคยเห็นครั้งก่อน ผมที่เคยเป็นสีทองกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูดี แต่เป็นดูดีแบบแอบเปิ้ลเคลือบยาพิษ ถ้าเผลอกินไปก็คือตาย
“ไปเถอะโยชิ ปล่อยให้คุณเอเดนกับคุณชาร์ลพักผ่อน วันนี้พี่รบกวนเราทำอาหารต้อนรับแขกสองคนนี้ทีนะ” พี่ยอร์ชบอกแล้วเดินกลับไปที่รถ ผมมองแขกของพี่ยอร์ชอย่างไม่ไว้วางใจ เอเดนเพียงยิ้มให้ผม ส่วนเพื่อนของเขามองผมแวบหนึ่งแล้วเบนสายตามองไปรอบๆรีสอร์ทแทน
ผมก้าวตามพี่ยอร์ช แต่เท้าถูกดึงไว้ด้วยเสียงทุ้มก้องกังวานในห้วงความคิด
“ยินดีที่ได้เจอกับอีกรอบนะหนุ่มน้อย” ต้องบอกอาซา เรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้
แต่เดี๋ยวนะ...
ภาพงูสองหัวสีเงินตัวใหญ่ในความฝัน มันฆ่าอาซา...งูตัวนั้นคือเอเดน
แล้วงูสีเงินที่ผมเจอบนต้นไม้
“บ้าเอ้ย!!!” ทำไมผมไม่ฉุกใจคิดให้เร็วกว่านี้ แบบนี่หรือเปล่าที่เขาบอกว่า ยามที่เรามีความสุข เรามักจะลืมป้องกันตัวเอง
ผมต้องรีบโทรหาอาซาโดนด่วนเพื่อบอกเขาว่า เอเดนมาที่บ้านผม ‘ได้โปรดรับสายฉันด้วยก่อนที่ฉันจะร้อนใจตาย!’
เรื่องนี้ถ้าไม่ใช่โลกกลม ก็คงเป็นจงใจ
………………..
ยังไม่ได้เช็คคำผิดหรือเกาภาษาเพิ่มเติมเนื้อหาในตอนนี้นะคะ ง่วงมากกกกกกกกกก ไว้วันหยุดวันอังคารคงได้หยิบมาขัดเกลาใหม่ ไม่รู้ว่าขาดอะไรไปตรงไหนบ้าง แต่เอามาลงให้ก่อนเพราะบอกไปแล้วว่าวันนี้จะมา กลัวคนอ่านรอ
ถ้าเจอคำผิดก็รบกวนแจ้งด้วยนะคะ ตอนที่แล้วต้องขอบคุณที่มีคนแวะเข้ามาอ่านนะคะ จะบอกว่าหลังจากนี้เนื้อหาเริ่มหนักละ ไอ้อารมณ์เรื่อยๆแบบตอนที่1คงไม่มีแล้วนะคะ ถึงมีก็น้อยมาก แต่มีฉากหวานอยู่นะ ยังมีอยู่ 555
ตอนที่แล้วต้องขอบคุณdeshiwaด้วยที่แจ้งคำผิดให้ได้ทราบ
ขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจมากๆเลยนะคะ ริริจะทำให้ดีที่สุดค่ะ
